ฝนตกหนักในเช้าวันนั้น ขวัญข้าวยืนอยู่ใต้ป้ายรถเมล์ที่ปิดไว้ด้วยผ้าใบสีเทา ลมพัดแรงจนเธอต้องยืดตัวเกาะร่มไว้อย่างมั่นคง ไม่ให้มันปลิวไปตามกระแสลม การเดินทางที่วางแผนไว้ล่วงหน้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่กลับดูเหมือนเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่
“ทำไมฝนตกตอนนี้นะ” ขวัญข้าวบ่นเบา ๆ ในขณะที่มองดูรถเมล์ที่วิ่งผ่านไปไม่สนใจที่จะจอดรับเธอ บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยผู้คนที่วิ่งเข้าหาที่หลบฝน เธออยากจะหาที่หลบฝนเช่นกัน แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัดกับความคิดที่ว่า ถ้าหากไม่ได้ออกเดินทางในวันนี้ ก็อาจจะไม่มีวันได้ไป
เธอจึงทำในสิ่งที่เคยทำมาตลอดเวลา แค่ทำตามใจตัวเองและยึดมั่นในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ขวัญข้าวเชื่อว่าการเดินทางจะเปิดโลกใหม่ให้กับตัวเธอ และยังเชื่อว่านี่คือทางที่จะทำให้เธอได้พบสิ่งที่ค้นหามานาน
เธอหยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋าเป้ มองไปที่แผนที่หมู่บ้านชื่นฤดีที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร แม้จะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ ในหุบเขา แต่ขวัญข้าวรู้สึกว่าเธอจะได้แรงบันดาลใจใหม่ ๆ จากที่นั่น เหมือนที่เคยอ่านเจอในบทความของนักเขียนคนหนึ่งที่พูดถึงการหลบหนีความวุ่นวายและหาความสงบในหมู่บ้านแห่งนี้
แม้จะมีความคิดที่สงสัยว่าการเดินทางของเธอในครั้งนี้อาจจะไม่ได้ผลอย่างที่คิด แต่เธอก็ยังตัดสินใจที่จะทำตามใจตัวเอง
“ฝนคงหยุดบ้างล่ะ” ขวัญข้าวพูดกับตัวเอง ในขณะที่พยายามมองหารถที่จะพาเธอไปยังจุดหมาย ขวัญข้าวไม่ได้ตั้งใจจะนั่งรถประจำทางหรือรถไฟ เธอตั้งใจจะโบกรถเพื่อการเดินทางที่เต็มไปด้วยการผจญภัยและพบเจอคนแปลกหน้า เพราะเธอเชื่อว่าในทุกการเดินทางนั้น มีเรื่องราวใหม่ ๆ ที่จะมาพาเธอเติบโตไปอีกขั้น
ขวัญข้าวยืนอยู่ที่ริมถนนไม่กี่นาที ก่อนที่รถกระบะสีดำคันหนึ่งจะขับมาถึง พอเห็นว่ารถจอดลงข้างๆ เธอก็ไม่ลังเลที่จะก้าวขึ้นไป ท่ามกลางสายฝนที่ยังตกลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน
"ไปทางไหน?" เสียงทุ้มของชายหนุ่มในรถถามขึ้น ขวัญข้าวมองไปที่เขาและสังเกตเห็นว่าเขามีท่าทางลึกลับและใบหน้าที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรนัก ชายหนุ่มในเสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำที่นั่งอยู่ในรถมีกลิ่นของความเย็นชาและเป็นระเบียบที่ทำให้ขวัญข้าวรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
"หมู่บ้านชื่นฤดีค่ะ" ขวัญข้าวตอบไปโดยไม่ลังเล เธอตัดสินใจไว้ว่าจะไม่ถามหรือลังเลในการพูด เพราะเธอไม่อยากทำให้ความสงสัยกลายเป็นอุปสรรคในการเดินทางของตัวเอง
ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ขึ้น ขวัญข้าวก้าวขึ้นไปนั่งข้างๆ เขาด้วยความระมัดระวัง ปรับกระเป๋าเป้ที่หนักหน่วงให้พอดีกับที่นั่งเล็ก ๆ ข้างตัว
เสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะดังขึ้นเมื่อมันเคลื่อนที่ไปบนถนนที่เปียกชื้น รถคันนี้ขับผ่านทางที่เปลี่ยวและห่างไกลจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ เส้นทางที่ขวัญข้าวเคยคาดหวังว่าจะนำเธอไปพบกับโลกใหม่ แต่ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความเงียบสงัดจนเกือบจะรู้สึกอึดอัด
ขวัญข้าวมองออกไปที่หน้าต่างรถ ทิวทัศน์ข้างทางดูเหมือนจะเบลอไปกับฝนที่ยังไม่หยุดตก การเดินทางในครั้งนี้ดูจะไม่มีทางเลือกมากนัก เส้นทางที่เธอเลือกอาจจะไม่ใช่ทางที่ถูกต้อง แต่มันก็เป็นทางที่ทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เธอลอบมองไปที่ชายหนุ่มที่ขับรถอยู่ เงียบสงัดและไม่พูดอะไรสักคำ เขาดูเหมือนจะไม่สนใจขวัญข้าวเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ทิ้งความรู้สึกที่ทำให้เธอสงสัยในตัวเขาอยู่ดี
ขวัญข้าวพยายามยิ้มให้กับตัวเองในขณะที่ยกมือขึ้นจับร่มที่กำลังจะปลิวไปกับลม เธอคิดว่าอาจจะเป็นโชคดีที่ได้เจอกับคนแปลกหน้าในวันที่ฝนตกหนักแบบนี้
"ขอบคุณที่รับมาด้วยนะคะ" ขวัญข้าวพูดเบา ๆ ขณะมองออกไปข้างนอก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้หันมามองเธอ เขาขับรถต่อไปอย่างมั่นคงและไม่พูดอะไรเพิ่มเติม
ขวัญข้าวถอนหายใจออกมาเบา ๆ รู้สึกเหมือนการเดินทางครั้งนี้ยังคงเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แม้จะมีเป้าหมายในใจ แต่สิ่งที่ขวัญข้าวรู้สึกตอนนี้คือความสงสัยเกี่ยวกับคนที่เธอได้พบ
แผลเป็นที่ข้อมือของชายหนุ่มทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเขามีอดีตอะไรบางอย่างที่อาจจะไม่อยากพูดถึง ขวัญข้าวพยายามคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่มันกลับเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
"อุบัติเหตุหรือ...?" ขวัญข้าวพูดกับตัวเองในใจ เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอย่างนี้ แต่บางครั้งความสงสัยก็ทำให้เราไม่สามารถหลีกหนีจากคำถามเหล่านั้นได้
การเดินทางครั้งนี้ของขวัญข้าวจึงไม่เพียงแค่การออกไปสำรวจสถานที่ใหม่ ๆ แต่ยังเป็นการค้นหาคำตอบบางอย่างที่อยู่ลึกในตัวเธอ และบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มที่ขับรถอยู่ข้าง ๆ เขานี่เอง
เสียงล้อรถบดไปตามถนนเปียกฝน ขวัญข้าวมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นสายฝนที่ยังตกไม่หยุด ท้องฟ้ามืดคลึ้มแม้จะเป็นกลางวัน เธอนั่งอยู่ในรถกระบะของชายหนุ่มแปลกหน้าที่เธอเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงชั่วโมง เจตน์เป็นคนเงียบขรึมและพูดน้อย แต่มีบางอย่างในแววตาของเขาที่ทำให้เธอรู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ได้ธรรมดา
ในตอนแรก ขวัญข้าวเพียงคิดว่าเขาเป็นชายหนุ่มทั่วไปที่ผ่านมาพบเธอตอนฝนตกหนัก แต่ท่าทางที่เขาขับรถและระวังหลังทุกครั้งที่หยุดรถ ทำให้เธอเริ่มคิดมากขึ้น ตอนที่เธอสังเกตเห็นแผลเป็นที่ข้อมือขวาของเขา เธอเก็บความสงสัยไว้เงียบ ๆ
“คุณขวัญข้าวจะเดินทางไปไหนต่อเหรอครับ” เจตน์ถาม ขณะที่มือข้างหนึ่งจับพวงมาลัย ส่วนอีกข้างวางอยู่ใกล้เบาะนั่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่ขวัญข้าวสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่
“อ๋อ... ฉันจะไปหมู่บ้านชื่นฤดีค่ะ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มเพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลาย “คุณเจตน์ไปทางนั้นพอดีเหรอคะ”
เจตน์หันมาสบตาเธอครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ก็พอจะผ่านทางนั้นครับ”
คำตอบของเขาทำให้เธอเริ่มสงสัยอีกครั้ง เขาไม่ได้พูดว่าเขาไปที่ไหนกันแน่ และไม่มีคำอธิบายใด ๆ เพิ่มเติม มันเป็นเพียงคำตอบที่เหมือนจะช่วยให้เธอวางใจ แต่ก็ไม่ได้ช่วยคลายความสงสัยในใจเธอ
เมื่อรถแล่นเข้าสู่เส้นทางที่เปลี่ยวมากขึ้น ขวัญข้าวเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ทิวทัศน์รอบ ๆ เป็นป่าโปร่งและทุ่งหญ้าที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ เธอพยายามสังเกตชายหนุ่มข้าง ๆ ด้วยหางตา เจตน์ดูเหมือนจะจับสังเกตทุกสิ่งรอบตัว เขามักจะมองกระจกมองหลังบ่อยกว่าคนขับรถทั่วไป
“คุณเจตน์ทำงานอะไรเหรอคะ?” ขวัญข้าวตัดสินใจถามด้วยความอยากรู้
เขาชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบ “งานอิสระครับ... พวกธุรกิจส่วนตัว”
คำตอบนี้ยิ่งทำให้เธอสงสัย เพราะมันกว้างเกินไปและไม่มีรายละเอียดอะไรเลย
“แผลที่ข้อมือนั่น... เป็นอะไรเหรอคะ?” เธอถามออกไปตรง ๆ
เจตน์หันมามองเธอทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่เขาก็ยิ้มจาง ๆ เพื่อทำลายความกดดัน “อุบัติเหตุน่ะครับ ตอนทำงาน”
คำตอบสั้น ๆ นั้นทำให้เธอไม่กล้าถามต่อ แต่ในใจเธอมีคำถามมากมายที่ผุดขึ้นมา เขาดูเหมือนคนที่มีความลับ และยิ่งเธอพยายามค้นหา เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ธรรมดา
ขณะที่รถแล่นไปอีกสักพัก ขวัญข้าวสังเกตเห็นว่ามีรถอีกคันที่ขับตามมาตั้งแต่พวกเขาออกจากตัวเมือง เจตน์ดูเหมือนจะสังเกตเห็นเช่นกัน เขาเปลี่ยนเลนอย่างรวดเร็ว และพยายามหาจังหวะเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางลัด
“เอ่อ... เราไปทางนี้เหรอคะ?” ขวัญข้าวถามด้วยความสับสน
“ถนนข้างหน้ามันไม่ค่อยดี ผมรู้จักทางลัดที่ดีกว่า” เขาตอบโดยไม่มองหน้าเธอ
ขวัญข้าวไม่แน่ใจว่าเขาพูดจริงหรือไม่ แต่เธอก็ไม่ได้โต้แย้ง เพราะเธอเองก็ไม่รู้เส้นทาง
หลังจากเลี้ยวเข้าสู่ถนนที่แคบและเงียบสงบ เจตน์ขับต่อไปสักพักก่อนจะหยุดรถข้างทาง
“คุณขวัญข้าว รออยู่ในรถสักครู่นะครับ ผมจะไปดูอะไรหน่อย” เขาพูดก่อนจะลงจากรถ
เธอมองตามเขาไป เขาเดินเข้าไปในป่าข้างทาง ท่าทางของเขาดูคล่องแคล่วและชำนาญ เหมือนคนที่เคยใช้ชีวิตในป่าอย่างดี
ขณะที่เจตน์หายเข้าไปในป่า ขวัญข้าวเริ่มคิดว่าเธออาจตัดสินใจผิดที่ขึ้นรถมากับเขา เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูว่าเธอยังมีสัญญาณหรือไม่ แต่แบตเตอรี่กลับเหลือน้อยจนใช้งานได้ไม่ถึงนาที
ไม่นานนัก เจตน์ก็กลับมาที่รถ เขาดูสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เธอสังเกตเห็นเสื้อของเขามีรอยเปื้อนดิน
“เรียบร้อยแล้วครับ เราไปต่อกันเถอะ” เขาพูดพลางเปิดประตูขึ้นมานั่ง
ขวัญข้าวพยายามรวบรวมความกล้าและถามอีกครั้ง “คุณเจตน์... คุณไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม?”
เจตน์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณขวัญข้าว ผมรู้ว่าคุณกำลังสงสัยในตัวผม แต่ขอให้เชื่อเถอะว่าผมไม่ได้เป็นอันตรายต่อคุณ”
คำพูดของเขาแม้จะฟังดูจริงใจ แต่ก็ไม่ได้ช่วยลดความกังวลในใจเธอ เธอรู้ว่าเจตน์อาจมีความลับบางอย่างที่เขาไม่สามารถเปิดเผยได้ และสิ่งนั้นอาจเกี่ยวข้องกับแผลเป็นและท่าทางระแวดระวังของเขา
ในขณะที่รถยังคงแล่นต่อไป ขวัญข้าวนั่งคิดเงียบ ๆ ว่าการเดินทางครั้งนี้จะพาเธอไปเจอสิ่งใด และเธอจะสามารถไว้ใจชายหนุ่มลึกลับคนนี้ได้หรือไม่...
ขวัญข้าวนั่งเงียบในรถกระบะของเจตน์ สายฝนยังคงตกลงมาไม่หยุด ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับบอกเหตุการณ์ที่ไม่ดีจะเกิดขึ้น แต่เธอกลับพยายามหลับตาและทำใจให้สงบ รู้สึกว่าเวลาที่ผ่านไปเงียบ ๆ ในรถนี้มันเต็มไปด้วยความอึดอัดบางอย่าง เธอเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นเกี่ยวกับตัวเจตน์ ชายหนุ่มที่ช่วยเหลือเธอจากฝนตกหนักและพาเธอเดินทางมายังที่แห่งนี้ แต่ตอนนี้ ขวัญข้าวรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ปกติในตัวเขา
“เจตน์... ขอโทษนะคะที่ถามอีกครั้ง แต่... คุณทำงานอะไรกันแน่?” ขวัญข้าวถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะเป็นมิตร แต่ในใจของเธอกลับไม่สงบเท่าที่ควร
เจตน์เหลือบมองขวัญข้าวเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองทางข้างหน้า “บอกแล้วว่าทำธุรกิจส่วนตัวครับ” เขาตอบสั้น ๆ เหมือนเดิม ซึ่งยังคงไม่คลายความสงสัยในใจของขวัญข้าว
ขวัญข้าวตั้งใจจะถามเพิ่มเติม แต่กลับรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ เธอสังเกตเห็นเจตน์ที่กระชับพวงมาลัยมากขึ้น มองออกไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขากำลังขับรถเร็วขึ้นตามจังหวะที่ถนนเริ่มแคบลงไปทีละน้อย และยังมีเสียงลมกรรโชกผ่านหน้าต่างที่เปิดเล็กน้อย
“เจตน์... มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ?” ขวัญข้าวถามอย่างระวัง เพราะเห็นได้ชัดว่าเขามีท่าทางกังวล
เจตน์ไม่ตอบคำถามของเธอทันที แต่หันไปมองกระจกมองหลังแล้วกดคันเร่งให้รถเคลื่อนที่เร็วขึ้นกว่าเดิม ขวัญข้าวมองตามไปเห็นไฟหน้ารถคันหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปแต่กำลังขับตามมาในระยะที่ใกล้ชิดมากขึ้น
“เจตน์... ทำไมรถคันนั้นมันขับตามเรามาตลอดเลย?” ขวัญข้าวถามด้วยเสียงที่เริ่มมีความวิตกกังวล
เจตน์ยิ้มบาง ๆ แต่ยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกดี เขาหันมามองขวัญข้าวด้วยสายตาจริงจัง “ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่คุณควรกังวล” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ในใจของขวัญข้าวกลับมีความรู้สึกว่าเขากำลังปกปิดบางอย่าง
เธอพยายามไม่สนใจและหันไปมองข้างทางแทน แต่แล้วเสียงเครื่องยนต์จากด้านหลังมันดังกว่าปกติ และก่อนที่ขวัญข้าวจะรู้ตัว รถที่ขับตามมาอย่างเงียบ ๆ ก็เร่งเครื่องอย่างรวดเร็ว ขับเข้ามาใกล้มากขึ้นจนแทบจะเกือบชนกับท้ายรถของเจตน์
“เจตน์! รถคันนั้นมันกำลังไล่เราอยู่!” ขวัญข้าวตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ
เจตน์มองผ่านกระจกมองหลังอีกครั้งและยิ้มบาง ๆ ก่อนจะพูด “ขอโทษนะครับ คุณขวัญข้าว...” เขาพูดก่อนจะกดคันเร่งให้รถเพิ่มความเร็วอย่างรวดเร็ว
ขวัญข้าวรู้สึกถึงแรงกระแทกจากการเร่งเครื่อง เมื่อเจตน์พารถกระบะพุ่งไปข้างหน้า รถของพวกเขาเหมือนจะทะยานไปตามถนนที่ฝนตกจนลื่น และแล้วรถคันที่ตามมาก็ยังไม่ยอมถอยกลับ พวกเขาเริ่มมองเห็นว่าอีกคันหนึ่งขับมาทางด้านข้างเพื่อพยายามแซง
“เจตน์... พวกเขากำลังจะทำอะไร?” ขวัญข้าวเริ่มตื่นตระหนกขึ้น
“ไม่ต้องห่วง” เจตน์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว พลางหักพวงมาลัยพารถกระบะขับเลี้ยวไปทางขวามือ ก่อนที่รถของเจตน์จะหลบออกไปจากทางแคบที่กำลังจะเกิดการปะทะ
แต่แล้วเหมือนโชคไม่เข้าข้าง ทั้งสองรถวิ่งขนานกันไปสักพัก รถคันที่ตามมาเร่งเครื่องอย่างเต็มที่และพยายามชนท้ายรถของเจตน์ ขวัญข้าวรู้สึกได้ถึงแรงกระแทกจากท้ายรถจนทำให้เธอเกือบจะหลุดจากเบาะที่นั่ง
“อย่าหวาดกลัวครับ! ต้องตั้งสติ!” เจตน์ตะโกนออกมาเสียงดังและเคร่งขรึม ในขณะที่เขากระชับพวงมาลัยและเร่งเครื่องไปข้างหน้าเต็มที่ เขาหักเลี้ยวไปทางทางเล็ก ๆ ที่เป็นทางลัด
ขวัญข้าวหวาดกลัวจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ก็ทำตามคำสั่งของเจตน์ พยายามจับเบาะแน่นและเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น
เจตน์ขับรถไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ผ่านทุ่งหญ้าและป่าเขา แม้จะรู้ว่าเส้นทางนี้อาจจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่เขาก็เลือกที่จะเสี่ยง เขาเลี้ยวรถไปตามเส้นทางแคบที่ยากจะบอกได้ว่าเป็นทางไหน ขวัญข้าวมองออกไปเห็นรถคันที่ไล่ตามพวกเขากำลังทำการพลิกตัวเองอย่างพยายามจะไล่ตามให้ทัน
“พวกมันไม่ยอมหยุดใช่ไหม?” ขวัญข้าวพูดออกมาเสียงสั่น
เจตน์ไม่ตอบ แต่สามารถอ่านสัญชาตญาณได้ว่าเขาต้องทำอะไร เขาหักเลี้ยวอีกครั้งไปทางทิศทางที่ดูเหมือนจะเป็นทางตัน แต่มันกลับเป็นทางลัดที่ทำให้รถไล่ตามไม่สามารถตามทันได้
ทันใดนั้น รถคันที่ตามมาก็พลาดไปตกลงข้างทาง พวกมันไม่สามารถหยุดการไล่ตามได้ทัน แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่เกิดการปะทะที่รุนแรง
เจตน์เบาใจเมื่อเห็นว่ารถคันที่ไล่ตามไม่สามารถติดตามเขาได้แล้ว เขาพารถกระบะออกจากเส้นทางนั้นและหยุดรถในที่โล่งกลางทุ่งหญ้า
ขวัญข้าวหลับตาลง หายใจออกอย่างแรง แล้วค่อย ๆ พูดออกไป “เรา... รอดมาได้ยังไงคะ?”
เจตน์มองขวัญข้าวก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แค่ชั่วคราวเท่านั้น... อย่าเพิ่งไว้ใจ”
ในขณะที่ฝนยังคงตกอย่างหนัก ขวัญข้าวมองไปที่เจตน์และรู้สึกถึงความลึกลับที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา ยิ่งรู้จักเขามากขึ้น เธอก็ยิ่งสงสัยว่าเขากำลังหลบหนีจากอะไรบางอย่างที่อันตราย
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!