นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายแฟนเมค อนิเมะชื่อดังอย่างวันพีช แต่เรื่องราวจะเน้นไปที่กลุ่มโจรสลัด ที่แต่ละครจะมีค่าหัวระดับพิเศษ ซึ่งหนึ่ในสมาชิกกลุ่ม คือ คาเรน ดี ซีรีน อดีตเด็กฝึกหัดบนเรื่อโรเจอร์ ราชาโจรสลัด รุ่นเดียวกับ 4จักพรรดิ์แชงคูส และบากี้ เรื่องราวมีทั้งหมด12เล่ม ผมจะเริ่มเล่มที่12ก่อน และวนกลับไป ทำเล่ม 1-11 ต่อ
ณ เกาะเอลบัฟ ดินแดนแห่งเหล่ายักษ์ที่เต็มไปด้วยภูมิประเทศอันขรุขระและป่าไม้หนาแน่น ทิวเขาสูงตระหง่านทอดยาวจนสุดสายตา เสียงลมพัดผ่านหมู่ไม้และยอดหินดังก้องในอากาศ เย็นเยือกแต่เต็มไปด้วยพลังชีวิต เมฆครึ้มปกคลุมท้องฟ้า แต่ยังมีลำแสงอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์ลอดผ่าน ราวกับให้ความหวังในดินแดนแห่งการต่อสู้และเกียรติยศนี้
บนเนินเขาแห่งหนึ่งที่มองเห็นทั้งผืนป่าและหมู่บ้านยักษ์ในระยะไกล ปรากฏร่างของ คาเรน ดี ซีรีน หญิงสาวที่เต็มไปด้วยออร่าของอันตราย ผมสีเงินตัดสั้นคล้ายทรงผมผู้ชาย ปลิวไสวไปตามแรงลม ดวงตาสีอำพันของเธอจ้องมองไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว ชุดเสื้อคลุมสีดำสนิทประดับด้วยสัญลักษณ์ของกลุ่มโจรสลัดของเธอพริ้วไหวตามแรงลม สะท้อนถึงพลังและการเคลื่อนไหวที่ไม่หยุดนิ่ง
"***เจ้าโลลิ***..." *เธอเอ่ยเสียงต่ำ เสียงนั้นเยือกเย็นและเต็มไปด้วยอำนาจ* "**เจ้านั่นทำตัวตามอำเภอใจเกินไป คราวนี้ ฉันจะลงโทษมันด้วยตัวเอง...ไม่มีปัญหาใช่ไหม, มูหลิง**?"
เบื้องหลังของเธอ มูหลิง หญิงสาวผู้เป็นกัปตันของกลุ่ม ยืนสงบนิ่ง สทรงผมตัดสั้นสีเขียวยาวอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาคมกริบของเธอสะท้อนความสงบนิ่งแต่แฝงไปด้วยไหวพริบและประสบการณ์มากมาย เธอสวมชุดกังฟูสีเขียวสดที่ขับเน้นความแข็งแกร่งและความงามในคราวเดียวกัน
"***ใจเย็นลงหน่อย, ซีรีน" มูหลิงพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ก็มีน้ำหนักพอที่จะหยุดความโมโหของรองกัปตันได้*** "โลลิอย่างหมอนั่นน่ะ แม้จะทำอะไรตามใจไปบ้าง แต่ก็ยังเป็นส่วนสำคัญของกลุ่มเราอยู่"
ทั้งสองยืนมองทิวทัศน์ของเอลบัฟที่แผ่ไพศาลเบื้องล่าง ลมแรงที่พัดผ่านนำพากลิ่นดินและกลิ่นทะเลมาสมทบ เสียงคำรามของเหล่ายักษ์จากหมู่บ้านด้านล่างดังแว่วมาถึง ทำให้บรรยากาศยิ่งตึงเครียด แต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ซีรีน หันมามองกัปตันของเธอด้วยแววตาแน่วแน่ "ถ้าหมอนั่นยังดื้ออีก ฉันจะไม่ลังเลที่จะสั่งสอน—ไม่สิ ฉันจะทำให้มันจำจนวันตาย!"
มูหลิง หัวเราะเบาๆ ราวกับได้ยินอะไรตลก "ซีรีน เธอชอบทำตัวเป็นพี่ใหญ่เสมอ แต่บางครั้งก็ลืมไปว่าพวกเราทุกคนต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อน เธอน่ะ...ก็เหมือนกับพวกเขา เธอก็เคยดื้อเหมือนกัน"
ซีรีนกัดฟันเบาๆ แต่มุมปากกลับยกยิ้ม เธอไม่เถียงอะไรต่อ เพราะลึกๆ แล้วเธอรู้ดีว่ามูหลิงพูดถูก
เบื้องล่าง เนินเขาและท้องฟ้าของเอลบัฟเผยภาพของโลกที่ทั้งโหดร้ายและงดงาม สัญลักษณ์ของยุคที่เหล่าจักรพรรดิและกลุ่มโจรสลัดแย่งชิงความยิ่งใหญ่ในท้องทะเล... กลุ่มของมูหลิงอาจจะไม่ได้เป็นหนึ่งในจักรพรรดิทั้งสี่ แต่พวกเธอและพวกเขาคือภัยคุกคามที่รัฐบาลโลกไม่อาจมองข้ามได้
ด้านหลังของเนินเขา ปรากฏร่างของชายร่างกลายกำย้ำ ชิม่อน ชายผู้มีร่างกายสูงใหญ่จนดูเหมือนยักษ์กล้ามแน่นราวกับเหล็กกล้า ผิวของเขาถูกปกคลุมด้วยรอยแผลเป็นที่บ่งบอกถึงประสบการณ์การต่อสู้นับไม่ถ้วน ผมสีเขียวสดสะบัดไปตามแรงลม ดวงตาคมดั่งเหยี่ยวจับจ้องมาที่มูหลิงและซีรีน เสื้อคลุมแดงที่เขาสวมอยู่มีลวดลายโลหะทองที่บ่งบอกถึงฐานะนักรบผู้แข็งแกร่งในกลุ่มนี้
"ให้ฉันไปเองไหม, มูหลิง...ไปตามล่าเจ้าโลลินั่นกลับมา" ชิม่อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำที่ทรงพลัง ท่าทางของเขาดูนิ่งขรึม แต่คำพูดที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ซีรีน หันขวับไปมองเขา ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจทันที "***นายน่ะ ไม่ต้องมายุ่ง, ชิม่อน!" เธอเอ่ยเสียงเรียบแต่แฝงด้วยความเฉียบขาด "ฉันในฐานะรองกัปตัน ฉันจะเป็นคนไปตามหาเจ้าโลกิเอง***!"
ชิม่อนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ยิ้มกวนๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา "***หา...ถ้าให้เธอไป เจ้าโลกิคงรอดกลับมาไม่ครบ 32 ชิ้นกันพอดี***" คำพูดนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงล้อเลียนแต่แฝงด้วยความขี้เล่น เขารู้ดีว่าเขากำลังแหย่เสือที่หลับอยู่
ซีรีนกัดฟันแน่น ท่าทีของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอยืดตัวตรงและจ้องมองชิม่อนด้วยสายตาเย็นชา "***อะไรกัน...เจ้านั่นมันทำตามใจชอบเกินไป ฉันก็แค่จะ สั่งสอน นิดหน่อยเอง***!" เธอพูดพลางยกมือขึ้นกอดอก ใบหน้าของเธอฉายแววจริงจังแต่ก็มีเสี้ยวหนึ่งที่บ่งบอกว่าเธอกำลังหงุดหงิดกับคำพูดของชิม่อน
"ทั้งสองคนพอได้แล้ว...น่า" มูหลิง พูดแทรกขึ้น พร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ ที่ปรากฏบนใบหน้า เธอยืนอยู่ระหว่างทั้งสองคน ราวกับเป็นจุดสมดุลของสถานการณ์ที่กำลังร้อนแรง
สายลมแรงพัดผ่านอีกครั้งพาเอาใบไม้แห้งปลิวว่อน ชิม่อนยืนกอดอกพลางหัวเราะเบาๆ ราวกับไม่มีอะไรให้เขากังวล ในขณะที่ซีรีนยังคงยืนอย่างเคร่งขรึม เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
มูหลิงถอนหายใจเงียบๆ ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้ากว้างเบื้องบน ใจของเธอยังคงสงบนิ่ง แต่เธอก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงอีกหนึ่งวันธรรมดาในชีวิตของพวกเขา—กลุ่มโจรสลัดที่เต็มไปด้วยบุคคลอันตรายและไม่ธรรมดาเหล่านี้
"พวกนายสองคนรออยู่นี่นะ ฉันจะลงไปเอง" ซีรีนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นโดยไม่สนใจเสียงท้วงใดๆ ทิ้งท้ายไว้เพียงคำพูดสั้นๆ ก่อนจะกระโจนออกจากเนินเขาสูงชันด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ
ร่างเพรียวของเธอทะยานลงมาตามความลาดชันของเนิน ปลายผ้าคลุมสีดำสะบัดไหวราวกับปีกของเหยี่ยว มือทั้งสองประคองสมดุลอย่างชำนาญ เมื่อลงถึงพื้น เธอกระแทกปลายเท้ากับพื้นหินอย่างมั่นคง แรงกระแทกทำให้หินที่รองรับเท้าของเธอแตกร้าวเล็กน้อย แต่ร่างของเธอกลับไม่แสดงอาการสะดุ้งสะเทือนใดๆ
---
เบื้องล่างของเนินเขา เผยให้เห็นความงดงามและความยิ่งใหญ่ของ เอลบัฟ เกาะในตำนานของเผ่ายักษ์ หมู่บ้านของพวกยักษ์ตั้งอยู่กระจายตัวบนผืนดินกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มและต้นไม้ขนาดมหึมาที่สูงเสียดฟ้า ภูเขาหินรูปร่างแปลกตาตั้งตระหง่านเป็นฉากหลัง ทุกอย่างที่นี่ดูเหมือนถูกขยายขนาดหลายเท่าตัวเพื่อรองรับเผ่ายักษ์ที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
ในใจกลางของเกาะ เสาหินแกะสลักลวดลายโบราณที่บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของเอลบัฟตั้งตระหง่านอยู่ ลมที่พัดผ่านพาเอากลิ่นหญ้าผสมกลิ่นทะเลและเสียงคำรามของยักษ์ที่ดังก้องไปทั่ว ผืนดินที่เต็มไปด้วยรอยเท้าขนาดใหญ่ซึ่งบ่งบอกถึงการเดินเหินของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเกาะนี้
---
ระหว่างที่ซีรีนกำลังเดินอยู่ ท่ามกลางบรรยากาศอันกดดัน เสียงหนักแน่นและทรงพลังดังขึ้นขัดจังหวะ
"หยุดก่อน!"
ร่างสูงใหญ่ของชายชาวยักษ์ก้าวออกมาจากเงา ดวงตาเขาจ้องมองซีรีนด้วยแววตาเอาเรื่อง เขาคือ โดริ หนึ่งในนักรบแห่งเอลบัฟ ผิวสีเข้มของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นที่บ่งบอกถึงประสบการณ์การต่อสู้ ผ้าคาดเอวสีสดและหมวกนักรบโลหะบ่งบอกถึงฐานะของเขา ดาบยักษ์ขนาดใหญ่ถูกสะพายไว้ที่หลัง แม้เขาจะดูสง่างาม แต่แววตานั้นเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
"แกคือพวกค่าหัวระดับพิเศษงั้นสินะ...แกคิดจะมาเอาเจ้าชายโลลิไปหรือไง?" โดริเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของเขาดังลั่นจนสะเทือนอากาศ ซีรีนหยุดยืนมองชายยักษ์ตรงหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง สายตาเธอเยือกเย็นและแน่วแน่
"แล้วถ้าฉันจะใช่ล่ะ? จะทำไม?" ซีรีนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่แฝงความกดดันที่ทำให้ยักษ์ตรงหน้าขมวดคิ้ว ความตึงเครียดในอากาศเพิ่มขึ้น ราวกับโลกหยุดเคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
นี่คือการเผชิญหน้าระหว่างนักรบแห่งเอลบัฟผู้ยิ่งใหญ่ และรองกัปตันของกลุ่มโจรสลัดที่รัฐบาลโลกหมายหัว...
**โดริ** ตะโกนเสียงดังสนั่น ดาบยักษ์ขนาดมหึมาที่เขาสะพายอยู่ถูกชักออกจากหลังในชั่วพริบตา เสียงโลหะเสียดสีกันดังสะท้านอากาศ มือข้างเดียวของเขากำดาบไว้แน่นก่อนจะสะบัดมันอย่างรุนแรง **"อาวุธของเอลบัฟ: Hakoku!"**
แรงลมจากการฟาดดาบของโดริทรงพลังมหาศาล มันกรีดผ่านอากาศและพุ่งตรงเข้าหาซีรีนจนพื้นดินที่อยู่ในเส้นทางเกิดรอยแยก เสียงคำรามของดาบนั้นดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ ราวกับภูเขากำลังถล่มลงมา
ซีรีนไม่ได้ขยับหนี แต่เพียงแค่แสยะยิ้มมุมปาก "ก็แค่พละกำลังของยักษ์…" เธอพึมพำเบาๆ ก่อนจะยื่นมือไปจับด้ามดาบขนาดใหญ่ที่สะพายอยู่บนหลัง เธอชักมันออกมาในจังหวะเดียว ดาบเล่มนี้ไม่ใช่ดาบธรรมดา แต่คือหนึ่งใน 12 ดาบชั้นเลิศ **"มิสโทแกนิกา (Mystoganica)"** ดาบในตำนานที่มีใบมีดคมยาวสะท้อนแสงเงินยวง ตัวดาบถูกประดับด้วยลวดลายแกะสลักวิจิตรตระการตา โคนดาบประดับด้วยอัญมณีสีเขียวมรกตที่ดูเหมือนมีพลังบางอย่างแฝงอยู่
**ซีรีน** ยกดาบขึ้นเหนือศีรษะ ลมรอบตัวเธอเริ่มหมุนวนรุนแรง ราวกับธรรมชาติกำลังตอบสนองต่อพลังของดาบเล่มนี้ ใบมีดของมิสโทแกนิกาปลดปล่อยคลื่นพลังที่กรีดผ่านอากาศได้แม้ยังไม่ได้เหวี่ยง เธอสะบัดดาบในแนวนอนเพียงครั้งเดียว คลื่นพลังสีเงินพลันแหวกอากาศออกไป
**ร่างของโดริ** ถูกตัดออกจากกันอย่างไร้ปรานี เสี้ยววินาทีนั้นทั้งร่างของเขาแยกออกจากกันกลางลำตัว เสียงเนื้อและเกราะของเขาขาดออกจากกันดังก้องไปทั่วบริเวณ ดวงตาของยักษ์นักรบเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าเพียงการฟันครั้งเดียวจากเธอจะทำลายเขาได้ถึงเพียงนี้
ซีรีนสะบัดดาบเบาๆ ขจัดแรงลมและพลังที่เหลือออกจากใบมีด เธอหันไปมองร่างของโดริที่นอนแน่นิ่งบนพื้น "ฉันไม่ฆ่าหรอก..." เธอพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย ก่อนจะยกนิ้วขึ้นดีด **"คลิก"**
เสียงดีดนิ้วของเธอสร้างประกายพลังบางอย่างที่ดูเหมือนคลื่นเวลา ทุกอย่างในบริเวณนั้นเริ่มเคลื่อนไหวถอยกลับไปยังจุดเริ่มต้น **ร่างของโดริที่ถูกฟันขาดค่อยๆ ต่อคืนสู่สภาพเดิม** รอยแผลเป็นทั้งหมดเลือนหายไปพร้อมกับพื้นดินและต้นไม้รอบๆ ที่เคยเสียหายจากการโจมตีของพวกเขากลับมาเหมือนเดิมทุกประการ
---
**โดริ** ที่เพิ่งกลับมาจากความตาย ยืนนิ่งด้วยอาการตื่นตระหนก ดวงตาของเขาสั่นไหวด้วยความไม่เชื่อ "ไม่จริง…แม่สาวนี่เหนือกว่าเจ้าชายโลกิมากเกินไป…" เขาคิดในใจ หยาดเหงื่อเริ่มไหลลงมาตามกรอบหน้า
"ขนาดโลกิ พวกเราต้องยกกองทัพทั้งหมด ถึงจะจับเขาได้…แต่เธอ…"
ในหัวของโดริเริ่มปะติดปะต่อถึงบางสิ่ง "พลังผลปีศาจ…ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน!" เขากำดาบแน่นพลางถอยหลังเล็กน้อย เขารู้ตัวดีว่าสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่แค่ศัตรูธรรมดา แต่เป็นคนที่อยู่ในระดับที่เขาไม่มีวันเอาชนะได้
ซีรีนหันหลังให้โดริ เธอสะบัดดาบมิสโทแกนิกากลับเข้าฝัก ก่อนจะพูดทิ้งท้ายด้วยเสียงเย็นชา "คราวหน้าอย่าเอาแค่พละกำลังมาสู้ ถ้ายังอยากรักษาศักดิ์ศรีนักรบของเอลบัฟ"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!