NovelToon NovelToon

ลบ

ตอนที่ 1 เสน่ห์อันเย้ายวนใจ (?) ของกัปตัน

1

‘ฉาว! นักกีฬาอักษรย่อกอไก่ แอบคั่วเพื่อนชายหลังแป้นบาส’

ปัง! ปัง!

เสียงพลุกระดาษทั้งสองดังขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันภายในห้องชมรมนักข่าวแห่งนี้ สองสาวกำลังกระโดดโลดเต้น ในขณะที่อีกหนึ่งสาวกำลังกึ่งนั่งกึ่งเลื้อยอยู่บนโซฟา สีหน้าหมดอาลัยตายอยาก ดูไม่เข้าพวกสุดๆ

ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายัยปลาดาวจะเศร้าอะไรนักหนา แค่รู้ว่านายกัปตันสุดฮ็อตไม่ได้ชอบผู้หญิง อันที่จริงก็ต้องขอบคุณเขา เพราะข่าวนี้ทำให้หนังสือพิมพ์โรงเรียนปักษ์นี้ถูกแจกหมดเกลี้ยง ช่วยกอบกู้ไม่ให้ชมรมของเราถูกปิด

และเจ้าของนามปากกา ‘นางสาวไก่เขี่ย’ ผู้กอบกู้สถานการณ์นี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ขอประกาศด้วยความภาคภูมิใจ ฉันเนี่ยแหละ!

“ปลาดาว… แกจะร้องไห้ไปอีกกี่วันหา… ต่อให้กัปตันชอบผู้หญิงเขาก็ไม่ได้หันมาสนใจแกหรอก”

แน่นอนว่าคนดีอย่างฉันก็ต้องทำหน้าที่เพื่อนที่แสนดี โยนเจ้ากระบอกพลุกระดาษทิ้งแล้วหันมาปลอบปลาดาว เอ… แต่ก็ไม่รู้ว่าที่พูดไปจะช่วยได้หรือเปล่า ฟังดูแล้วแย่กว่าเดิม แหะๆ

“ฮือ… คิดอย่างอื่นไม่ได้แล้วเหรอ แกพูดประโยคนี้มาสามวันแล้วนะ กระซิกๆ” ปลาดาวเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและน้ำมูกไหลนองขึ้นมามองฉัน อี๋… ไม่เหลือสภาพคุณหนูแม้แต่น้อย

“โอ๋ ไม่เอาอย่าร้องนะปลาดาว” แล้วพี่มิกกี้ประธานชมรมสาวแว่นคนสวยที่เพิ่งจัดการขนมไปได้นิดหน่อยก็เสริมขึ้นมาบ้าง

“ใช่ๆ ผู้ชายฮ็อตๆ โรงเรียนเรายังมีอีกตั้งเยอะ”

“มาฉลองกันดีกว่า ชมรมเราเกือบถูกปิดแล้วถ้าไม่ได้อันอันช่วยไว้”

“แหมพี่… เราก็ช่วยๆ กันหมดเนี่ยแหละค่ะ”

ก็ต้องนับว่าโชคดีจริงๆ ที่เมื่อสี่วันก่อน ฉันดันอยู่พิมพ์ต้นฉบับที่ห้องชมรมจนมืด ระหว่างที่ฉันกำลังเดินเครียดๆ กลับบ้านเพราะต้องหาข่าวให้ทันปิดต้นฉบับวันรุ่งขึ้น ไหนจะต้องให้ข่าวมันเจ๋งพอจะดึงความสนใจได้ด้วย ฉันดันเหลือบไปเห็นชายสองคนกำลังนัวเนียกันที่ข้างสนามบาส

นายสองคนนั้นคงชะล่าใจคิดว่ามืดค่ำแล้วจะปลอดคน ทว่านั่นไม่สามารถรอดสายตาคมของเหยี่ยวข่าวสาวผู้นี้ไปได้ แล้วก็ต้องขอบคุณคุณสจีฟ ต๊อปป์ที่รังสรรค์โทรศัพท์มือถือที่ถ่ายภาพในที่มืดได้ชัดแจ๋วประหนึ่งใช้แสงไฟสตูดิโอ ฉันถึงได้เห็นว่านั่นคือนายกัปตัน นักกีฬาบาสเกตบอลสุดฮ็อตของโรงเรียน

ตอนนั้นเกือบจะถูกจับได้แล้วเพราะโทรศัพท์เจ้ากรรมดันดังขึ้นมา ดีที่วิ่งหนีออกมาได้

วันรุ่งขึ้นคอลัมน์ซุบซิบก็ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กับนามปากกานางสาวไก่เขี่ย แต่ถึงจะเขียนข่าวแบบนั้น ฉันก็ยังมีคุณธรรมพอที่จะใช้อักษรย่อ และเบลอหน้าของคนในภาพไม่ให้รู้ว่าเป็นใคร ปรากฏว่าฉันดันดูถูกศักยภาพของเราๆ ท่านๆ ชาวคีตวิทย์ไปเสียได้

ใครจะไปคิดว่านักกีฬาโรงเรียนที่มีชื่อเล่นกอไก่มีตั้งมากมาย แต่ทุกคนกลับโยงไปหานายกัปตันได้อย่างถูกต้องราวกับเห็นเหตุการณ์วันนั้นเสียเอง

ส่วนยัยปลาดาวที่รู้ข่าวก่อนเป็นคนแรกๆ ก็ใจสลายตั้งแต่วันนั้น จะว่าไปก็แปลก เคยเห็นเจ้าหล่อนจิ้นกัปตันกับบรรดาเพื่อนของเขาอยู่บ่อยๆ พอเป็นเรื่องจริงขึ้นมาดันไม่ชอบ ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ

นั่นปะไร เสียน้ำตาได้ไม่ทันไร พอโทรศัพท์ดัง เธอก็หันไปกดมันหน้าตาเฉย น้ำหูน้ำตาหายไปหมด กลายเป็นไปนั่งยิ้มแฉ่งแทน

“พี่มิกกี้ อันอัน ฉันไปก่อนนะ เดี๋ยวไม่ทันงานมีตติ้งพี่เมฆกับพี่ตาม ซีรีส์เขาเพิ่งจบไปเมื่อคืน ยังฟินไม่หายเลย อ๊าย!”

ฉันกับพี่มิกกี้ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กัน มองดูยัยปลาดาวคว้ากระเป๋าแล้วกระดี๊กระด๊าวิ่งออกจากห้องชมรมไป ตอนนี้ทั้งห้องชมรมก็เลยเหลือแค่ฉันกับพี่มิกกี้ แต่ฉันก็มั่นใจว่ามันคงเงียบแบบนี้อยู่ได้ไม่นานเพราะทันทีที่ใครๆ เห็นความสำเร็จของชมรมนักข่าวเรา ก็คงมีคนแห่มาสมัครกันอีกเพียบ

ว่าแล้วฉันกับพี่มิกกี้ก็ฉลองกันต่อสองคนเงียบๆ จนกระทั่ง…

กรี๊ด!!!

“อ๊าย!”

พี่มิกกี้สะดุ้งโหยงนั่นเป็นเพราะว่าเสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นมานั่นเอง มันเป็นเสียงกรีดร้องจากฉากหนึ่งของหนังผีเรื่องล่าสุดที่ฉันเป็นแฟนตัวยงของผู้กำกับ

“โธ่ อันอัน เปลี่ยนเสียงสักทีเถอะ พี่ตกใจทุกที”

ฉันยิ้มแห้งๆ ให้เป็นการขอโทษแล้วจึงกดรับโทรศัพท์

“ลืมของหรือไงยะปลาดาว”

เอ่อ… ถ้าคนที่ไม่รู้จักมาได้ยิน คงคิดว่าพวกเราโกรธกันมาจากไหน

[นั่นคำทักทายเหรอน่ะ…]

“อ้าว! นี่เป็นห่วงนะเนี่ย เห็นออกไปตั้งนานแล้ว”

[ก็มีเรื่องจะบอกน่ะเซ่! แกกับพี่มิกกี้เก็บของออกมาจากห้องชมรมเดี๋ยวนี้เลยนะ!]

“…” ฉันได้แต่ขมวดคิ้วงง ส่วนพี่มิกกี้ก็คงได้ยินเสียงที่แผดลอดออกมาจากสาย ถึงได้อ้าปากค้าง ถือส้อมเสียบลูกชิ้นจ่ออยู่ที่ปาก

[ตอนนี้พวกแฟนคลับกัปตันกำลังตามหาตัวนางสาวไก่เขี่ยอยู่น่ะสิ!]

 

 

แทนที่ชมรมนักข่าวจะดังเป็นพลุแตกแล้วมีคนแห่มาสมัครเพิ่ม เรื่องดันกลับตาลปัตรกลายเป็นฉาวโฉ่แทน เพราะนอกจากพวกแฟนคลับไม่เชื่อเรื่องรสนิยมทางเพศของนายกัปตันแล้ว พวกหล่อนยังตามล่าหาสมาชิกตัวชมรมนักข่าวและตัวจริงของนางสาวไก่เขี่ยอีกด้วย ฉัน ปลาดาวและพี่มิกกี้ก็เลยไม่สามารถเหยียบกลับเข้าไปในห้องชมรมได้อีก คราวซวยของฉันแท้ๆ เพราะอย่างนั้นพวกเราถึงต้องย้ายที่ประชุมมาอยู่ในที่ปลอดภัย…

นั่นก็คือกลางโรงอาหาร!

ท่ามกลางผู้คนจอแจแบบนี้คงไม่มีใครนึกถึงเป็นแน่ เป็นเวลาอาทิตย์กว่าแล้วที่พวกเรามานั่งจับกลุ่มกันที่นี่หลังเลิกเรียน แต่ความพยายามในการตามหาตัวของพวกหล่อนกลับไม่ได้ลดลงเลย

“เอาล่ะ เรามีเวลาอีกแค่ห้าวันก่อนที่จะถึงกำหนดออกหนังสือพิมพ์ปักษ์ต่อไป พี่อยากให้พวกเราเร่งมือกันหน่อย หาเรื่องที่จะใช้เป็นจุดขายให้ได้ พี่ไม่อยากให้ชมรมของเราต้องมาปิดตัวลงในสมัยของพี่”

พี่มิกกี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามปั้นให้ดูสดใส ถ้าดูไม่ผิดที่คลอเบ้าอยู่คงเป็นน้ำตาใช่ไหมน่ะ พี่แกน่ารักอย่างกับสาวแว่นในการ์ตูน ขนาดผู้หญิงอย่างฉันยังชอบเลย แถมยังมีเพื่อนสนิทเป็นถึงประธานนักเรียน ถ้าไม่งอแงแบบนี้คงเป็นสาวฮ็อตได้ไม่ยาก

แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็น! ปัญหาคือเราจะทำยังไงถึงจะรักษาชมรมนักข่าวที่มีประวัติยาวนานพอๆ กับโรงเรียนไม่ให้ถูกยุบเอาไว้ได้ ตั้งแต่เปิดเทอมมาก็เหลือพวกเราเพียงสามคนที่เป็นสมาชิกเก่า รุ่นพี่ก็เรียนจบออกไปกันหมด พี่มิกกี้ที่เลื่อนชั้นมาอยู่มอหกเลยได้เป็นประธานชมรมไปโดยปริยาย

ความจริงชมรมควรจะถูกยุบออกไปแล้วตั้งแต่เหลือสมาชิกไม่ถึงห้าคน แถมหนังสือพิมพ์ขายไม่ออกเลยแม้แต่ฉบับเดียวทั้งๆ ที่แจกฟรี ทำให้ฝ่ายวิชาการยื่นคำขาด หากยังไม่มีคนสนใจรับหนังสือพิมพ์ไปอ่านอีกจะยุบชมรมของพวกเรา โชคดีที่อันอันผู้นี้ช่วยไว้ได้

แต่! ถ้าฉบับหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกก็แย่น่ะสิ ไหนจะถูกพวกนักเรียนตามล่า ทำให้ทำงานยากขึ้นไปอีก โอ๊ย! ปวดหัว

ยังไงก็เถอะ อันอันคนนี้ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก!

“พี่มิกกี้ไม่ต้องเป็นห่วง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนางสาวไก่เขี่ย!” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงฮึกเหิมหวังปลุกใจสมาชิกชมรมโดยที่ลืมไปเลยว่า…

“ฉันได้ยินคนพูดว่านางสาวไก่เขี่ยว่ะ”

“ไหนวะ อยากเห็นหน้า…”

“ฉันก็ได้ยิน เสียงมันมาจากแถวๆ นี้แหละ”

“เฮ้ย! ฉันว่า…”

นั่นไง! ว่าแล้วไม่ทันขาดคำ แม่สี่สาวโต๊ะข้างๆ ก็หันขวับมาทางฉันพร้อมกัน ดวงตาของพวกนางถ้าปล่อยแสงสีแดงออกมาได้ คงฆ่าฉันตายไปแล้ว วินาทีนั้นฉันรู้ตัวเลยว่าทำพลาดอย่างมหันต์

หนึ่งในแม่สี่สาวลุกขึ้น ตอนนั้นฉันแอบกลืนน้ำลาย ทว่าพี่มิกกี้กับปลาดาวยังไม่รู้ตัว

“นี่เธอ! เธอเป็น…” ยัยนั่นเสียงดังจนทำให้คนรอบๆ เงียบและให้ความสนใจ แต่ฉันก็รู้ว่าหล่อนกำลังจะพูดอะไรและทำให้เกิดอะไรตามมา ฉันถึงได้…

“เป็นเก๊าท์!” ฉันหลับหูหลับตาโพล่งขึ้น ก็แหม… มันเป็นสิ่งเดียวที่น่าจะพอช่วยได้นี่

“หา…” ปลาดาวเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือราคาแพง (ในที่สุด)

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันเป็นเก๊าท์ แกยังจะบังคับให้ฉันกินไก่ทอดเกาหลีอะไรนั่นอยู่ได้”

“หา… ฉันไปชวนแกตอนหนะ…”

“ก็เมื่อวานไง แกลากฉันไปกินเป็นเพื่อน!” ฉันรีบสรุปให้ปลาดาวผู้ยังไม่รู้เรื่องอะไร ก่อนที่ชะตาของเราจะหาไม่ “โอ๊ย! เก๊าท์กำเริบ พี่มิกกี้พาอันอันไปห้องพยาบาลหน่อยนะ”

ฉันพยักพเยิดหน้า กะพริบตา กระดิกคิ้ว เรียกได้ว่าส่งสัญญาณทุกอย่างให้ทั้งสองได้รับรู้ ยัยปลาดาวถึงได้หันไปดูแล้วถึงได้ร้องอ๋อ

“ใช่ๆ พี่มิกกี้ไปด้วยกันนะ เกิดเดินๆ อยู่มันปวดเข่าเดินไม่ไหว ดาวแบกมันคนเดียวไม่ไหวแน่”

“หา… พวกเธอพูดอะไรกัน พี่งง…”

“ดาวว่าไปกันตอนนี้เลยดีกว่าค่ะ ดาวสงสารมันม้ากมาก”

ปลาดาวรีบเก็บข้าวของใส่กระเป๋าราคาแพงลุกขึ้น ดึงให้พี่มิกกี้ลุกขึ้นตาม ปากก็พึมพำว่า ‘ทนไว้ๆ’ สกิลการแสดงระดับสิบทำให้แก๊งสี่สาวนั้นเชื่อสนิทใจ ฉันว่าเจ้าหล่อนน่าจะไปเข้าชมรมการแสดงมากกว่านะ

เป็นอันว่าการประชุมวันนี้ก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไรใหม่ๆ นอกจากว่าจะใช้คอลัมน์ของนางสาวไก่เขี่ยเป็นจุดขาย ปลาดาวกับฉันก็ตกลงกันว่าเวลาที่เหลือทั้งหมดจะมุ่งไปที่การหาข่าวซุบซิบ

แต่เรื่องบังเอิญแบบนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นอีกง่ายๆ น่ะสิ!

 

 

เหลือเวลาอีกสองวันก่อนปิดต้นฉบับ!

งานหลักของฉันยังคงเป็นการแอบตามดูเหล่านักกีฬาโรงเรียนผ่านเลนส์ซูมของกล้องโทรศัพท์ แต่ก็ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เพราะซุ่มดูอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เลิกเรียน ยังไม่เห็นมีใครทำตัวแปลกๆ

“อันอัน! ออกมาจากพุ่มไม้ได้แล้ว แกคิดว่าตัวเองเป็นแบร์ กริลส์หรือไงหา!”

แล้วเสียงแจ๋นของปลาดาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินอ่อนก็ดังขึ้น ฉันยื่นมือออกไปปิดปากหล่อนแทบไม่ทัน

“ชู่ว! แกจะตะโกนให้พวกนั้นวิ่งมาทักทายหรือไง” ฉันส่งเสียงกระซิบตอบ

“ไม่มีใครสนใจแกหรอก ดูสิ คนอื่นก็มาดูคนซ้อมกีฬากันเยอะแยะ”

ทันใดนั้นฉันก็ถูกกระชากตัวออกมาจากพุ่มไม้

หมดกัน! ทุกคนต้องรู้แน่ๆ ว่าฉันนี่แหละคือนางสาวไก่เขี่ย หนึ่งในสมาชิกชมรมนักข่าวที่กำลังถูกตามล่า ไม่นะ ทุกคนอย่าทำร้ายฉันเลย ฉันทำไปเพราะหน้าที่จริงๆ …

เงียบ…

ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วก็พบว่าจริงอย่างที่ปลาดาวว่า ที่ข้างสนามกีฬาอเนกประสงค์แห่งนี้ ไม่มีใครสนใจฉันเลย พวกนักเรียนหญิงที่นั่งกระจายกันตามเก้าอี้ข้างสนามหรือกระทั่งบนสแตนด์เชียร์ต่างเอาแต่กรี๊ดกร๊าดบรรดานักกีฬากล้ามบึ้ก สงสัยฉันจะคิดมากไปแฮะ

ปลาดาวขยับที่ให้ก่อนจะดึงฉันลงไปนั่ง

“เป็นไงสบายขึ้นไหม”

“มากเลยจ้ะ แหะๆ”

“แหงล่ะ ฉันเห็นแกนั่งตรงนั้นมาเป็นชั่วโมงละ คิดว่าไม่มีคนเห็นหรือไง ทำแบบนั้นคนยิ่งสงสัยมากกว่าเดิมอีก”

กรรม… ฉันได้แต่ภาวนาให้ไม่มีคนสงสัย

สนามกีฬาอเนกประสงค์แห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ๆ ได้แก่ สนามบาสเกตบอล คอร์ดวอลเลย์บอล และแบทมินตัน ตอนนี้พวกเรานั่งอยู่ที่ข้างสนามบาส น่าแปลกที่ฉันยังไม่เห็นกัปตันมาเข้าซ้อม ทั้งๆ ที่ฉันไปได้ยินมาว่าจะมีการแข่งระดับเขตในอีกไม่นาน

จะว่าไปก็ไม่ค่อยเห็นกัปตันในโรงเรียนช่วงนี้เลยนี่นา เขาอยู่มอห้าห้องสาม ส่วนปลาดาวกับฉันอยู่ห้องสอง ด้วยเหตุที่ห้องเรียนของพวกเราอยู่ติดกัน จึงไม่แปลกที่ฉันจะสังเกตได้ว่าเขาหายไป หรือว่าเขารับความจริงไม่ได้กันเลยไม่มาโรงเรียน

ด้วยความที่เขาเป็นนักบาสเกตบอล รูปร่างสูง หน้าตาดี แถมยังเล่นอยู่ทีมโรงเรียน จึงไม่แปลกที่จะมีสาวๆ ตามกรี๊ดเขาเยอะแยะไปหมด แต่ก็นี่แหละน้า… เล่นไปหลอก เก๊กหล่อให้ความหวังสาวๆ เขาไปทั่ว ทั้งๆ ที่ตัวเองแอบกิ๊กกับเพื่อนผู้ชายของตัวเองอยู่แล้ว

“อันอัน ฉันกลับบ้านดีกว่า วันนี้ไม่ได้อะไรเลย”

จู่ๆ ปลาดาวก็โพล่งขึ้นมาพร้อมสีหน้ากรุ้มกริ่มชอบกล ฉันมองตามสิ่งที่เจ้าหล่อนกำลังมองอยู่ แล้วก็เห็นว่านักกีฬาบาสสองคนเพิ่งจะเดินกอดคอกันออกจากสนามไปจึงเข้าใจเรื่องทั้งหมด

หล่อนมานั่งดูคู่จิ้นของหล่อน พอพวกเขากลับบ้าน เจ้าหล่อนก็หมดธุระ เอวัง…

“ย่ะ! แกก็มองแต่รุ่นพี่สองคนนั้น คงจะได้เรื่องหรอก…”

“แล้วแกหวังอะไรมิทราบ คิดว่าถ้ามีเรื่องฉาวๆ เขาจะมาทำกันที่สนามบาสกลางวันแสกๆ หรือไง”

เออจริง! ที่ปลาดาวพูดก็มีเหตุผล ฉันคงต้องกลับมาใหม่ตอนที่เริ่มมืดแล้วสินะ

“รอด้วย”

ว่าแล้วฉันก็เลยรีบคว้ากระเป๋า ยัดโทรศัพท์ใส่ลงไป แล้ววิ่งตามปลาดาวออกไปอย่างทุลักทุเล เพราะกำลังใช้สองมือพยายามรูดซิป ด้วยความไม่ระวังหรืออะไรก็ตามจึงไม่เห็นว่ามีอีกคนเดินสวนมา ฉันเลยวิ่งชนเขาเข้าไปเต็มๆ

กระเป๋าสะพายสีดำของฉันร่วงลงพื้น ตามมาด้วยข้าวของข้างในตกกระจัดกระจาย ส่วนตัวฉันที่ชนเขาเข้าไปจังๆ ก็เลยล้มก้นจ้ำเบ้า

“ขอโทษค่ะ”

เจ็บก็เจ็บ รีบก็รีบ ฉันรวบข้าวของใส่กระเป๋าอย่างร้อนรน ให้ตายเถอะ มาทำอะไรขายหน้าประชาชีตรงนี้นะยัยอันอัน

“ไม่เป็นไรหรอก เราก็ไม่เห็นเธอเหมือนกัน” เจ้าของเสียงตรงหน้าเอ่ย

ฉันไม่เห็นว่าหน้าตาของเขาเป็นอย่างไรเพราะเขายืนจังก้าอยู่ แต่เสียงของเขาทุ้มนุ่มน่าฟัง หากว่าฉันไม่ได้กำลังรีบคงจะต้องหาเรื่องทำความรู้จักกับเขาเสียหน่อย

“เดี๋ยวเราช่วยดีกว่า”

แล้วเขาก็คุกเข่าลงช่วยเก็บของใส่กระเป๋าให้ จังหวะหนึ่งมือของเราก็ชนกันแต่ฉันก็รีบดึงมือออก แอบยิ้มเหนียมอายอย่างกับกุลสตรี ทั้งๆ ที่ความจริงอยากจะกรี๊ด เหตุการณ์แบบนี้มันอย่างกับในละครเลย ฉันเขิน…

ฉันปล่อยให้เขาเก็บของใส่กระเป๋าต่อไป ในขณะที่ตัวเองลอบมองใบหน้าของเขา แต่ก็ยังเห็นได้ไม่ชัดนักเพราะเจ้าตัวยังก้มหน้าง่วนอยู่กับการทำหน้าที่เป็นสุภาพบุรุษ ทว่าเห็นแค่ผม ฉันก็จินตนาการไปไกลแล้วว่าเขาต้องหล่อเหลาเอาการ

อ๊าก! นี่มันนิยายชัดๆ เขากำลังทำให้ฉันหวั่นไหว

อืม… มันคงจะเป็นนิยายรักที่ดีเรื่องหนึ่งได้เลยหากคนที่เงยหน้าขึ้นมาไม่ใช่… เขา

“นาย!”

“เอ๋… ครับ เรารู้จักกันด้วยเหรอ”

ไม่ๆ นายไม่รู้จักฉัน แต่ฉันน่ะรู้จักนาย ยิ่งตอนนี้เห็นเต็มตาเลย เขาก็คือคู่ขาของกัปตันที่ฉันแอบไปเห็นวันนั้น!

แย่ล่ะ! เขาจะจำหน้าฉันได้ไหมเนี่ย!

“ไม่ค่ะ”

ฉันรีบดึงของจากมือเขาใส่กระเป๋า ทำเอาเจ้าตัวที่หน้าเปื้อนยิ้มเกิดความงุนงง ฉันรูดซิปปิดแล้ววิ่งออกมา ใช้เวลาเสร็จสรรพไม่ถึงสามวินาทีก็ออกมายืนแอบหอบอยู่ที่หน้าประตูใจหายวาบ

เกือบไปแล้ว ถ้าเมื่อกี้เป็นกัปตันคงแย่กว่านี้อีก ดีไม่ดีเขาอาจจำหน้าฉันได้

แต่… อย่างที่เขาว่ากัน เข้าป่าอย่าพูดถึงเสือ

ทันทีที่ฉันลืมตาขึ้นหลังจากถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็เห็นร่างสูงที่คุ้นตาเดินผ่านหน้าฉันไป

กัปตัน!

นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง นึกว่าหยุดเรียนไปแล้วเสียอีก

ฉันรีบก้มหน้า แขม่วพุง ถอยหลังตัวลีบติดกำแพง ประหนึ่งว่าทำเช่นนั้นแล้วเขาจะมองไม่เห็น หากเปลี่ยนสีร่างกายตัวเองให้เป็นสีขาวกลืนกับสีกำแพงได้ ฉันคงทำไปแล้ว

หัวใจฉันเต้นแรงดังตึกๆ คงจะกังวลมากไป เพราะหมอนั่นไม่ได้สนใจฉันสักนิด เขาอยู่ในชุดกีฬาเดินกระดกขวดน้ำ กำลังจะเลี้ยวเข้าประตูสนามกีฬาไป

“อันอัน! ยืนทำอะไรอยู่ ฉันรอ…”

อีกก้าวเดียว… อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้นกัปตันก็จะเดินผ่านไปแบบสมบูรณ์โดยที่ไม่สังเกตเห็นฉัน แต่ยัยปลาดาวที่ยืนอยู่อีกฝั่งของถนนดันตะโกนเรียกฉันขึ้นมาเสียก่อน กลายเป็นว่านอกจากฉันจะสะดุ้งแล้ว เขายังหยุดกึก หันไปมองต้นเสียงทีแล้วก็หันกลับมามองที่ฉัน กระทั่งปลาดาวที่เพิ่งสังเกตเห็นเขาก็อึ้ง เงียบไปเลย

งานนี้เขาเห็นฉันเต็มๆ ตาเลย!!

ใจเย็นๆ อย่ามีพิรุธ เขาไม่รู้จักแกนะ ยัยอันอัน

ฉันแข็งใจไม่หลบสายตาตอนที่กัปตันหันมา เราสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แต่มันกลับนานเหลือเกินราวกับว่าเป็นภาพสโลโมชั่น

เดี๋ยวก่อน! อย่าเข้าใจผิด มันไม่ใช่โมเมนต์ชวนฝันเหมือนในมิวสิควิดีโอ แต่มันคือช่วงเวลานรกต่างหากล่ะ

โอ๊ย ทำไมไม่เดินเข้าไปสักทีฟะ จ้องหน้าฉันอยู่ได้ ฉันรู้ว่านายไม่ได้พิสมัยอะไรฉันหรอกน่า

“เอ่อ… เพื่อนเรียกน่ะ”

กัปตันลดขวดน้ำลง เบือนหน้าไปทางปลาดาวโดยที่สายตาไม่ละไปจากฉัน

“…” ฉันพยักหน้าตอบแบบอึ้งๆ

“ไม่ได้เป็นอะไรนะ”

พอฉันพยักหน้าตอบอีกครั้ง เขาก็กระดกน้ำ ยกมือเช็ดที่มุมปาก แล้วเดินหายเข้าไปในสนาม โดยที่มีฉันมองตามหลัง

คุณพระช่วย! เพิ่งได้เจอกัปตันตัวเป็นๆ ในระยะประชิด ไม่แปลกใจเลยที่เขามีเสน่ห์จนทำให้สาวๆ หลงใหล แต่ฉันไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน ไอ้อาการหัวใจเต้นแรงนี่เป็นเพราะกลัวว่าจะโดนจับได้ต่างหากล่ะ

ตอนที่ 2 น้องหนูกอหญ้าของพี่

2

“พี่อันอัน กับข้าวเสร็จแล้ว แม่เรียกให้ไปกินข้าว”

“บอกแล้วไงว่าอย่าเปิดประตูก่อนพี่ตอบ”

“ทีหลังก็ล็อกประตูสิ”

เอินเอินยัยน้องสาวตัวแสบจงใจเปิดประตูทิ้งเอาไว้ให้ฉันโมโห ก่อนที่เจ้าหล่อนจะวิ่งลงบันไดเสียงตึงตังไป จะบ้าตาย อยู่มอสามไม่ใช่เด็กๆ แล้วยังมาแกล้งกันอยู่ได้

พอดีกันกับที่ท้องเริ่มร้องจ๊อกๆ ฉันรีบบันทึกไฟล์งานที่เพิ่งพิมพ์เสร็จก่อนจะเปิดอีเมลเตรียมส่งให้พี่มิกกี้ แล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าพี่แกเปลี่ยนอีเมลสำหรับใช้ทำงานในชมรม

“เฮ้อ” ฉันถอนหายใจอย่างหัวเสีย รู้สึกเบื่อหน่ายกับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น

อีเมลใหม่ถูกบันทึกไว้ในโทรศัพท์…

ฉันลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วกระแทกก้นลงบนเตียง โดยไม่ลืมที่จะคว้ากระเป๋าสะพายมาด้วย ตั้งแต่ออกจากโรงเรียนมาก็ยังไม่ได้แตะโทรศัพท์เลย จนถึงตอนนี้การแจ้งเตือนก็ยังเป็นศูนย์แหงๆ

จะว่าไปควานจนทั่วกระเป๋าแล้วก็ยังไม่เจอโทรศัพท์เลย

ฉันเริ่มใจไม่ดี เทข้าวของทุกอย่างออกมาจากกระเป๋า แต่ก็ไม่มีวัถตุรูปร่างใกล้เคียงโทรศัพท์ในเคสสีชมพูออกมาด้วยเลยแม้แต่น้อย

แง อยู่ไหนเนี่ย…

ตัวฉันกระเด้งขึ้นจากเตียงโดยอัตโนมัติ หรือว่าจะทำตกอยู่ข้างล่าง ว่าแล้วฉันก็วิ่งลงบันได ทำเสียงดังตึงๆ ยิ่งกว่ายัยเอินเอินเสียอีก

“เอินเอิน เห็นโทรศัพท์พี่บ้างไหม”

คนที่ถูกถามนอนกดโทรศัพท์เอกเขนกอยู่บนโซฟาหน้าทีวี

“ไม่เห็นอ่ะ พอมาถึงพี่ก็วิ่งขึ้นห้องเลยไม่ใช่หรือไง”

ฉันรับรู้ได้เลยว่าตัวเองเริ่มหน้าซีดเผือด โดยเฉพาะตอนที่ยัยน้องสาวถามต่อ

“อย่าบอกนะว่า…” เอินเอินเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์ “พี่ทำโทรศัพท์หาย”

“อาฮะ…” ฉันฝืนกลั้นน้ำตาพยักหน้ารับ

“ฮ่า! โดนแม่เฉ่งแน่!”

แล้วกัน ยัยเด็กบ้า! แทนที่จะช่วย แล้วจะเสียงดังทำไมน่ะ

“เบาๆ สิ เดี๋ยวแม่ก็ได้ยินหรอก อยากโดนมะเหงกเหรอ”

“พี่อันอันใจร้าย”

ฉันแบมือขอยืมโทรศัพท์ซึ่งเอินเอินก็ยอมให้แต่โดยดี ฉันกดเบอร์ตัวเองลงไปแล้วยกขึ้นแนบหู

เสียงสัญญาณดังขึ้น นานอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ยังไม่มีคนรับ ยิ่งทำให้หัวใจของฉันเต้นแรงด้วยความลุ้นระทึก เพราะคิดได้ว่าน่าจะทำโทรศัพท์ตกตอนที่ชนกับเพื่อนชายของนายกัปตันที่ข้างสนามบาสเกตบอลนั่น ถ้าจะมีใครเก็บได้ก็คงเป็นตานั่น หรือไม่ก็นายกัปตันเอง

ตายๆ นี่ฉันจะวิ่งหนีนายสองคนนั้นไม่พ้นเลยเหรอเนี่ย

แต่แล้วจู่ๆ เสียงสัญญาณก็หายไปพร้อมกับเสียงดังตึ๊ด ฉันแอบกลืนน้ำลายขณะรอฟังเสียงผู้ที่เก็บมันได้

ขอให้ไม่ใช่นายกัปตัน… ขอให้ไม่ใช่นายกัปตัน…

[สวัสดีค่ะ]

ขอบคุณสวรรค์ เสียงผู้รับโทรศัพท์นั้นเป็นผู้หญิง ไม่ใช่กัปตันแน่นอน

 

 

สรุปว่าคนเก็บโทรศัพท์ของฉันได้ก็คือน้องกอหญ้า มอสี่ ซึ่งฉันเองก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ได้ยินชื่อน้องแว่วๆ มาก่อน วันนี้ตอนพักกลางวันฉันก็เลยรอที่ห้องเพราะน้องบอกว่าจะเอาโทรศัพท์มาคืนให้ ทว่านั่งรอแล้วรอเล่าจนเกือบจะหมดเวลาพัก น้องกอหญ้าก็ยังไม่มา และท้องของฉันก็ร้องจ๊อกๆ เพราะยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง

จนกระทั่ง…

“พี่อันอัน!”

ยัยเอินเอินที่จู่ๆ ก็โผล่พรวดมายืนเกาะขอบประตูหน้าห้องเรียนของฉัน เธอหอบแฮ่กๆ แก้มทั้งสองแดงก่ำ ตึกของเด็กมอสามของยัยนั่นอยู่ห่างจากตึกมอห้าอยู่ไกลพอสมควร

“ตกใจหมดเลย…” ฉันตะโกนตอบทั้งๆ ที่ทั้งห้องเงียบสนิท ปราศจากผู้คน

ฉันลุกจากโต๊ะเดินไปหายัยเอินเอินตามที่เจ้าตัวกวักมือเรียก

“พี่คนเมื่อวานส่งข้อความมาบอกว่าให้ไปเจอกันที่ร้านกาแฟหลังเลิกเรียน”

“อ้าว! ทำไมล่ะ”

“อย่าถามเขามากได้ไหม เขาไม่รู้…” ยัยเอินเอินตอบเสียงยาน “เขาเพิ่งได้ข้อความเมื่อกี้นี้เอง เนี่ยอีกแป๊บจะเข้าเรียนแล้วเลยรีบวิ่งมาบอก”

“แล้วไม่รู้จักโทรไปถามพี่เขาดูล่ะ”

“ไม่ใช่หน้าที่นี่ ทีหลังพี่อันอันก็อย่าทำโทรศัพท์หายสิ เขาไปล่ะ”

แล้วเจ้าหล่อนก็รีบวิ่งออกไปโดยพึมพำอะไรลับหลังคนเดียว

“เนี่ย! ไม่ขอบคุณเขา แล้วยังว่าเขาอีก ไม่รู้จักบุญคุณเลย”

“หน็อย… พี่ได้ยินนะยัยเด็กบ้า!”

 

 

ด้วยเหตุประการฉะนี้ ฉันถึงได้มานั่งซดชานมเย็นแก้วที่ห้าอยู่ที่ร้านกาแฟหลังโรงเรียน แต่ก็เป็นเวลาเกือบสามชั่วโมงแล้วที่มานั่งรอน้องกอหญ้าอยู่ที่นี่ ร้านก็ใกล้จะปิดเต็มที คนที่เข้ามานั่งก็ทยอยออกไปจนหมด ข้างนอกก็มืดแล้ว ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอเลย

เอ… จะว่าไปฉันก็ไม่เคยเห็นน้องกอหญ้าเสียด้วยสิ แถมน้องเขาก็ไม่รู้จักฉันอีกต่างหาก แล้วมันจะไปเจอกันได้ยังไง

แต่มาคิดดูอีกที ยัยเอินเอินบอกว่าน้องเขาให้ฉันมานั่งรอที่โต๊ะเบอร์สิบ ถ้ากอหญ้ามาแล้วก็น่าจะตรงมาที่โต๊ะนี้เลยสิ หรือว่าน้องเขาจะลืมไปแล้ว โอย…

คิดได้ดังนั้น ฉันก็เลยกะจะลุกไปของยืมโทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์ร้านเพื่อโทรหาเอินเอิน จังหวะนั้นประตูร้านก็ถูกเปิดเข้ามา ฉันรีบหันไปมองลุ้นให้เป็นน้องที่นัดฉันมาจะได้กลับบ้านเสียที ทว่าพอเห็นว่าเป็นนักเรียนชายร่างสูง ความหวังก็เลยสลาย ฉันจึงตรงไปที่พี่พนักงานทันที

“พี่คะ หนูขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมคะ พอดีหนูทำโทรศัพท์หาย”

พี่สาวผู้นั้นมองฉันครู่หนึ่ง แล้วก็ชะโงกหน้ามองข้ามไหล่ฉันไปที่โต๊ะ คงจะคิดว่าฉันกินไปเยอะขนาดนั้นแล้วยังไม่ได้จ่ายเงินล่ะสิ สงสัยกลัวฉันจะชักดาบ

ฉันก็เลยยิ้มเจื่อนๆ พาร่างกลับไปที่โต๊ะเพื่อหยิบกระเป๋าตังค์ ฉันจะได้ใช้โทรศัพท์ที่ร้านได้เสียที แต่แล้วโต๊ะของฉันที่เคยว่างเปล่าก็ถูกครอบครองด้วยนายคนนั้น เขาเงยหน้าขึ้นมามองตอนที่ฉันเดินไปถึงโต๊ะพอดี

“ขอโทษนะคะ โต๊ะนี้มี…”

แล้วฉันก็ต้องอ้าปากค้างไว้เพียงเท่านั้น เพราะเห็นใบหน้าของเขาชัดเจน ฉันตกใจจนต้องเผลอเรียกชื่อเขาออกมา

“กัปตัน!”

กัปตัน! ใช่แล้ว! กัปตันคนที่ฉันไม่อยากเจอมากที่สุดเนี่ยแหละ ทำไมต้องมาเจอกับเขาที่นี่อีกจนได้ แต่ใจเย็นๆ ไว้ก่อนอันอัน เขาไม่รู้จักเธอ

เจ้าของร่างสูงสบตากับฉันแล้วเขาก็เลิกคิ้วขึ้นแสดงความประหลาดใจ มือข้างหนึ่งกำลังหมุนโทรศัพท์มือถือของเขาเล่นบนโต๊ะ

“ตะ… โต๊ะนี้มีคนนั่งแล้ว” พอเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร ฉันก็เลยรีบชิงเอ่ยปากไล่

“ขอนั่งด้วยคนไม่ได้เหรอ”

ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่สายตาของนายนั่นที่มองมามันดูแปลกๆ ชอบกล ทำให้ขนลุกวาบ

“งั้น… งั้นนายนั่งไปเถอะ ฉันกำลังจะกลับพอดี”

ไม่ได้การแล้วถ้าอยู่ต่อไปนานๆ เขาต้องสงสัยแน่ ยิ่งฉันทำตัวลุกลี้ลุกลน มือก็สั่นแบบควบคุมไม่ได้อีก ฉันรีบเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋า แต่แล้ว…

หมับ!

เย้ย! จู่ๆ อีตากัปตันก็คว้าข้อมือฉันที่กำลังจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าตังค์ไว้

“จะรีบไปไหน”

น้ำเสียงน่าขนลุกชะมัด

“ฉะ…ฉะ…ฉะ”

ติดอ่างไปอีก! ฉันมั่นใจว่าไม่ได้มีพิรุธอะไร แต่จู่ๆ ก็โดนจู่โจมแบบนี้มันก็ตั้งตัวไม่ทันน่ะสิ

“ไม่อยู่คุยด้วยกันก่อนล่ะ จำฉันไม่ได้เหรอ สาวๆ ที่ไหนก็อยากคุยกับฉันทั้งนั้น”

“จะ… จำได้สิ นายชื่อกัปตันไง อยู่มอห้าห้องสาม นายดะ… ดังจะตาย ใครๆ ก็รู้จัก”

โอย… ตาบ้า จู่ๆ จะมาอยากสานสัมพันธ์อะไรกับฉันตอนนี้ นายชอบผู้ชายไม่ใช่หรือไง แล้วอยู่ๆ มาแตะเนื้อต้องตัว ถึงนายจะเป็น แต่ฉันก็ถือนะเฟ้ย!

“ก็ดังขึ้นเยอะเลย ต้องขอบคุณคุณตีนไก่”

ตะ… ตีนก่งตีนไก่อะไรกัน โอ๊ย! แล้วเมื่อไรยัยน้องกอหญ้าจะมาสักทีนะ นี่ฉันพร่ำบอกตัวเองในใจไม่ให้ลนลานไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว

“แล้ว… นายมาทำอะไรที่นี่เหรอ”

“บังเอิญว่าฉันเก็บโทรศัพท์ได้ ก็เลยจะเอามาคืน”

“อึก!”

แล้วฉันก็เลยหยุดสะดีดสะดิ้งเพราะความอึ้ง ประกอบกับนายกัปตันที่ออกแรงดึงมือฉันพอดี ร่างของฉันก็เลยเซลงไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเขา

ไม่ม้าง~ โลกคงไม่กลมขนาดนั้น เขาคงเก็บโทรศัพท์ของคนอื่นได้แน่ๆ เพราะเด็กผู้หญิงที่ชื่อกอหญ้าต่างหากที่เป็นคนถือโทรศัพท์ของฉันไว้อยู่

กัปตันละมือออกจากโทรศัพท์ที่เขานั่งหมุนเล่นอยู่สักพัก ฉันจึงได้เห็นว่าเจ้าโทรศัพท์สีดำในเคสสีชมพูมันดูคล้ายๆ กับโทรศัพท์ของฉันที่ทำตกหายไป

ของฉันจริงๆ ด้วย!

“โทรศัพท์ฉันไปอยู่ที่นายได้ยังไง”

กัปตันหัวเราะหึ “ก็ฉันเป็นคนเก็บได้ มันก็ต้องอยู่ที่ฉันสิ”

“โกหก เมื่อวานคนที่คุยกะฉันคือน้องที่ชื่อกอหญ้า”

“อ้อ…” เขาทำท่าเหมือนนึกขึ้นมาได้ “นั่นน้องสาวฉันเอง”

กอหญ้าเป็นน้องกัปตัน! สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดกลายเป็นความจริงจนได้

ขอถอนคำพูดที่เคยกล่าวขอบคุณสรวงสวรรค์ ดูเหมือนพวกเขาจะเกลียดฉันสุดๆ เลยล่ะถึงเล่นงานกันขนาดนี้ วันนั้นคนในสนามมีเป็นร้อย ทำไมคนที่เก็บได้ต้องเป็นเขาด้วยเนี่ย

“ว่าแต่เธอจะมาถามอะไรให้มากเรื่องเนี่ย ฉันเก็บได้ก็เอามาคืน ไม่ดีใจหรือไง”

“ขอบใจ แต่นายนี่มาช้ามากเลยนะ”

ฉันแอบถอนหายใจ ดูท่าทางแล้วเขาคงแค่เอาโทรศัพท์มาคืนจริงๆ ก็นั่นสินะ ต่อให้เขาเก็บโทรศัพท์ฉันได้ เขาจะไปรู้ได้ยังไงว่าฉันคือนางสาวไก่เขี่ย ฉันนี่คิดมากไปเองตลอด

ฉันยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย สีหน้าโล่งใจ แต่ขณะที่ยื่นมือออกไปก่อนจะถึงโทรศัพท์ กัปตันก็ดึงมันหนีไป

“เผอิญว่าเพิ่งเลิกซ้อมน่ะ ช่วงนี้ใกล้แข่งแล้วด้วย”

“นายก็ฝากให้น้องกอหญ้าเอามาให้ก็ได้นี่ รู้ไหมว่าฉันรอนายนานมาก”

“อืม… อยากมาดูหน้าเธอน่ะ” ก่อนที่สมองฉันจะทันประมวลความหมายได้ กัปตันก็โพล่งขึ้นมาอีก “สรุปว่านี่โทรศัพท์เธอสินะ”

“กะ… ก็ใช่น่ะสิ”

ตาบ้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่…

“งั้นเธอก็คือยัยตีนไก่!”

หมอนี่ท่าจะเพี้ยน พูดถึงตีนไก่อะไรนี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ไม่เห็นรู้เรื่อง

“พูดอะไร ยัยตีนไก่อะไร ฉันไม่รู้จัก ฉันชื่ออันอันต่างหาก แต่ถ้าอยากกินตีนไก่ก็พอจะบอกร้านดังให้นายได้บ้าง”

“อย่ามาทำเป็นเนียน ก็ยัยคนที่เขียนข่าวใส่ร้ายว่าฉันเป็นเกย์ในหนังสือพิมพ์โรงเรียนไง!”

“อ้อ… นายคงหมายถึงนางสาวไก่เขี่ย ฮ่าๆ”

ฉันคลายปมที่คิ้ว แอบดีใจที่ในที่สุดก็เข้าใจสิ่งที่อีตากัปตันพยายามจะสื่อ แล้ววินาทีต่อมาถึงนึกขึ้นได้ว่า…

หะ! เขารู้ความจริงแล้ว! รู้ได้ยังไง!

“หา… ว่าไงนะ ตีนไก่ ไก่เขี่ยอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอน” ท่าทางของฉันก็เลยเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบในบัดดล

“แต่ฉันจำเสียงโทรศัพท์ในวันนั้นได้ วันที่ฉันโดนแอบถ่ายรูป เสียงแปลกๆ แบบนี้ไม่มีใครที่ไหนแน่”

อึก! เพราะไอ้ริงโทนบ้าๆ นี่แท้ๆ เลย ถ้าฉันเปลี่ยนตามที่พี่มิกกี้บอกตั้งแต่แรก หมอนี่อาจจะไม่เอะใจก็ได้ แต่ขืนยอมรับไปเขาต้องฆ่าฉันแน่ๆ ทำอะไรสักอย่างสิยัยอันอัน

จะว่าไปสกิลการเล่นละครไม่เนียนที่เรียนมาจากปลาดาวก็น่าจะพอใช้ได้บ้างล่ะมั้ง

“เอ่อ… นั่นไม่ใช่โทรศัพท์ของฉันหรอกนะ ฉันดูผิดน่ะ ตายแล้ว แย่จัง แหะๆ ของฉันต้องมีลายดอกไม้ที่เคสด้วย” ฉันรีบรัว พูดเอง สรุปเอง

กัปตันพยักหน้าทำเหมือนจะเชื่อ ทำให้ฉันยิ่งโล่งใจแต่…

“ถ้าไม่ใช่ของเธอ งั้นฉันจะโยนทิ้ง”

“หา…”

เขายกโทรศัพท์ขึ้นมาจริง มองหน้าฉันนิ่ง แต่ยักคิ้วกวนประสาท

“หนึ่ง…”

“เดี๋ยวๆ รอเจ้าของก่อนไหม เอามาให้ฉันช่วยหา เดี๋ยวก็เจอ”

“สอง…”

“นายๆ มันแพงนะเฟ้ย! ถ้าเจ้าของมาเจอ นายแย่แน่”

“สะ…”

กัปตันยกขึ้นเหมือนจะปาลงพื้นจริงๆ

“อ๊าย! โอเคๆ ฉันยอมแล้ว ของฉันเอง ฮือ… อย่าโยนน้า…”

ฉันรีบยกมือสารภาพ ทำน้ำเสียงน่าสงสาร หวังว่าเขาจะเห็นใจ

“เธอนี่มันลื่นจริงๆ เลย เห็นๆ อยู่ว่าภาพล็อกหน้าจอเป็นรูปเธอยังจะมาแถ…”

กัปตันใช้นิ้วโป้งกดปุ่มทำให้หน้าจอโทรศัพท์สว่างจ้าขึ้นมา แล้วก็เห็นเป็นหน้าฉันชูของนิ้วอย่างที่เขาว่าจริงๆ อ๋อย… หมองูตายเพราะงูฉันใด ยัยอันอันก็ตายเพราะรูปหน้าจอฉันนั้น

“แหะๆ งั้นขอคืนนะ จะได้แยกย้ายกันกลับบ้าน”

ฉันเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์อีกรอบ แต่เขาก็ดึงมันหนีอีกครั้ง

“คิดว่าที่เธอใส่ร้ายฉันมันจะจบง่ายๆ เหรอ”

“ฉันยอมรับว่าโทรศัพท์เป็นของฉัน แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นนางสาวไก่เขี่ยนี่ เสียงโทรศัพท์ที่นายได้ยินมันอาจจะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ใช้ก็ได้”

“อ๋อเหรอ…” กัปตันลากเสียงประชด แล้วเขาดึงมือฉันไป บังคับให้กางนิ้วชี้ออกแล้วทาบลงที่ปุ่มด้านล่างหน้าจอ หมอนั่นไม่ปล่อยจนกระทั่งสามารถปลดล็อกโทรศัพท์ของฉันได้สำเร็จ

“ทำอะไรของนายเนี่ย!!”

“เงียบ! ก่อนที่ฉันจะบอกคนทั้งโรงเรียนว่านางสาวไก่เขี่ยคือใคร”

หมอนั่นชี้นิ้วห้ามพร้อมดุด้วยน้ำเสียงดังที่ฟังดูจริงจัง ฉันก็เลยได้แต่ปิดปากเงียบ นั่งสลดอยู่ฝั่งตรงข้าม

“…”

เขาจิ้มลงบนหน้าจออยู่สองสามทีแล้วก็วางมันลงบนโต๊ะ

“นี่ไงรูปฉันที่เธอแอบถ่าย มันอยู่ในโทรศัพท์เธอ แล้วยังจะบอกว่าไม่ใช่อีก!”

เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตรงนี้… จำเลยจำนนต่อหลักฐานค่ะ แหะๆ

“โอเคๆ ฉันเองแหละ ฉันคือนางสาวไก่เขี่ย แต่นายจะมาโกรธฉันไม่ได้นะ มันเป็นเรื่องจริง”

ฉันบุ้ยปาก โยนความผิดให้เป็นของนายกัปตันเสียเอง จริงๆ การที่เขาจะจู๋จี๋กับแฟนไม่ว่าจะเพศใดก็ไม่ผิด แต่ไม่ใช่ที่ในโรงเรียนเฟ้ย!

“ที่ฉันโกรธเพราะมันไม่ใช่เรื่องจริงเนี่ยแหละ ฉันไม่ได้กอดกับมันโว้ย! มีคนแกล้งเอาหมามุ่ยไปใส่เสื้อไอ้เปี๊ยก ฉันถึงต้องไปดูให้มัน นี่ไม่สงสัยหรือไงที่ตอนนั้นมันหายหน้าไปตั้งสองสามวัน มันไปนอนโรงพยาบาลมาเฟ้ย!”

อ้าว… เรื่องมันไม่ได้เป็นแบบที่ฉันเห็นนี่นา

“แต่ๆๆ ฉันก็ไม่ได้เขียนชื่อนายตรงๆ นี่ ฉันเขียนชื่อย่อ หนังสือนินทาดาราใครๆ เขาก็ทำกัน ใครจะไปรู้ว่าทุกคนจะรู้ว่าเป็นนาย คนชื่อกอไก่มีตั้งเยอะแยะ”

“คงจะมีแต่ยัยโง่อย่างเธอล่ะมั้งที่ไม่รู้ ‘หลังแป้นบาส’ นักกีฬาว่ายน้ำเขาไปว่ายกันที่สนามบาสมั้ง แล้วนี่อะไร เบลอรูปหน้าฉัน แต่ยังเห็นกระเป๋าที่วางอยู่เนี่ย มันเป็นของฉันชัดๆ เธอรู้ไหมว่าตอนแรกๆ มีแต่คนมาถามจนตอบไม่ไหว แถมสาวๆ ก็ยังหนีไปหมด โชคดีที่ยังมีคนเชื่อฉันอยู่บ้าง”

ฉันได้แต่อ้าปากค้าง หมดคำพูด ไม่รู้จะเถียงกับเขาได้อย่างไรเลยจริงๆ ผู้ชายอะไรด่าฉอดๆ มาเป็นชุด ฉันว่าฉันไม่ได้เข้าใจผิดนะ

“เธอต้องไปห้องปกครองกับฉัน!”

ห้องปกครอง!

“อ๊าย~ อย่า! อย่าเลยนะ มันจำเป็นจริงๆ ชมรมของฉันกำลังจะถูกปิด ถ้าไม่ทำแบบนั้นชมรมฉันแย่แน่ ยกโทษให้ฉันเถอะน้า… จะให้ฉันทำอะไรก็ได้”

ฉันยกมือไหว้ อ้อนวอน แทบจะกราบนายนี่พร้อมดอกไม้ธูปเทียนอยู่แล้ว

“ก็ได้ๆ” เขาเงียบไปครู่หนึ่งจึงยอม “ถ้าเธอเขียนแก้ข่าวให้ฉัน”

เอ๋… เขายอมง่ายๆ ผิดคาดแฮะ แต่นั่นมันก็ดีแล้วไม่ใช่หรือไง

“หา… จริงเหรอ ขอบคุณนะ เย่! นายใจดีที่สุดเลย”

ฉันกระโดดโลดเต้นจนเผลอจะโผเข้ากอดกัปตัน เพราะลืมตัวยังเผลอคิดว่าเขาชอบผู้ชาย แต่นายนั่นรีบดันตัวออกมาก่อนพร้อมกับเมินหน้าหนี

“พอเลย… ส่งมาให้ฉันอ่านก่อนด้วย ถ้าฉันอนุมัติ เธอถึงจะเอาไปลงได้”

 

 

สาบานเถอะว่าหมอนั่นให้อภัยฉันแล้วจริงๆ เขาแกล้งให้ฉันแก้ตั้งสิบกว่ารอบ แทบไม่ได้นอนเลยทั้งคืน แต่ว่า… โฮะๆ หมอนั่นคงไม่ได้นอนเหมือนกัน เพราะต้องคอยอ่านและอนุมัติ

ปรากฏว่าเปล่าเลย… วันนี้เขาไม่ได้มาโรงเรียน ได้ยินว่าจะมีแข่งรอบคัดเลือกเร็วๆ นี้จึงลาหยุดไปเก็บตัวก่อนซ้อมใหญ่ได้ ป่านนี้คงนอนตีพุงหัวเราะเยาะฉันอยู่ล่ะมั้ง

ช่างเถอะ… เอาเป็นว่าฉันมีงานส่งให้พี่มิกกี้สำหรับตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์โรงเรียนฉบับต่อไป ซึ่งเราทั้งสองก็ประเมินกันแล้วว่าจะช่วยลดความเกลียดชังที่มีต่อชมรมลงไปได้บ้าง เพราะบทกลอนขอโทษขอโพยที่กัปตันบังคับให้ฉันเขียนเพื่อเป็นตัวตลกในสายตาชาวโรงเรียน ไหนจะบทความเยินยอตัวเองเลี่ยนๆ ที่ฉันต้องฝืนใจแต่งตามใบสั่งของเขาอีก

ส่วนปลาดาวก็เปิดคอลัมน์ใหม่ สัมภาษณ์นักเรียนชายหนุ่มฮ็อตของโรงเรียน ยัยนั่นจริงจังถึงขั้นออกเงินจ้างตากล้องมืออาชีพมาถ่ายเหล่าบรรดาชายหนุ่มรูปหล่อในสตูดิโอชื่อดัง พร้อมกับชูจุดขายว่าจะไม่มีใครเห็นภาพแบบนี้ที่ไหนแน่ๆ คาดการณ์กันว่านั่นจะช่วยเพิ่มยอดคนอ่านให้กับเราได้อีก ตอนแรกพวกเราก็คัดค้านกันเพราะเห็นว่างบประมาณไม่พอ เจ้าหล่อนก็เลยสวนกลับมาสองคำว่า

‘ฉันรวย’

เป็นอันว่ารู้เรื่อง

“เยี่ยมมาก ต้นฉบับรายปักษ์นี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี เดี๋ยวเหลือแค่ส่งไฟล์ให้ทางโรงพิมพ์” พี่มิกกี้ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะเอ่ยสรุปการประชุม

ฉันและปลาดาวสมาชิกเพียงสองคนช่วยกันปรบมือ ประหนึ่งว่านี่คือความสำเร็จขั้นสุดยอด ทั้งๆ ที่ต่างคนต่างรู้ดีว่าต้องทำงานหนักแบบนี้ต่อไปทุกสองอาทิตย์ โดยลืมไปอีกเช่นเคยว่าพวกเรากำลังนั่งอยู่ที่โรงอาหารท่ามกลางเหล่านักเรียน

ยังไงก็ช่างเถอะ ชมรมของเรารอดตายเป็นครั้งที่สอง

ตอนที่ 3 มันคือการใส่ร้ายต่างหาก

3

ความแปลกประหลาดของโรงเรียนคีตวิทย์มีอยู่มากมายหลายอย่าง อย่างแรกที่เห็นเด่นชัดก็คือยูนิฟอร์มซึ่งดูเผินๆ มันก็คือเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกระโปรงสีดำระดับเข่า หรือกางเกงสีดำขายาวเหมือนโรงเรียนเอกชนทั่วไป ทว่าเรามีเนกไทสีดำที่มีแถบคาดสีขาวตามจำนวนชั้นปี ทางฝ่ายปกครองเข้มงวดมากเรื่องให้นักเรียนใช้ให้ถูกต้องตามระดับชั้น แต่พวกเขากลับไม่ว่าอะไรถ้านักเรียนไม่ได้ผูกเนกไทมา ย้อนแย้งเสียไม่มี

เพราะอย่างนั้นจึงเห็นแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวโล่ง เดินร่อนไปร่อนมาเต็มไปหมด ปลาดาวในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะบัดนี้เจ้าหล่อนกำลังง่วนอยู่กับการขุดดินเพื่อปลูกต้นทานตะวันจึงถอดเจ้าเนกไทตัวเกะกะออกไป

ความประหลาดอย่างที่สองก็คงเป็นชั่วโมงกิจกรรมที่มีมากกว่าชั่วโมงเรียนวิชาการเกือบเท่าตัว แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณภาพของการเรียนลดลงไปแม้แต่น้อย การที่พวกเรานักเรียนชั้นมอห้าทับสองกำลังช่วยกันพัฒนาสวนหย่อมข้างสนามกีฬาอยู่นี้ก็ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมจิตอาสา

ดา ดา ด๊า~

ระหว่างที่ฉันกำลังกลบดิน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ถึงเริ่มรู้ตัวว่ามันดังมาจากโทรศัพท์ของฉันเอง แน่นอนล่ะว่าหลังจากเกิดเรื่อง ฉันก็เปลี่ยนไปใช้เสียงเรียกเข้าแบบธรรมดาไม่แปลกพิสดารเหมือนแต่ก่อน

[สายัณห์สวัสดิ์คุณตีนไก่] เสียงผู้ชายคุ้นๆ ดังเจื้อยแจ้วออกมา

“ใครพูดคะ”

[จำเสียงฉันไม่ได้หรือไง แหมๆ นึกว่าจะเป็นแฟนคลับตัวจริงเสียงจริงเสียอีก วันก่อนนู้นยังมาแอบตามถ่ายฉันอยู่เลยนี่]

ตรงนี้แหละฉันถึงรู้ว่าหมอนี่คือใคร

“กัปตัน! ”

ความจริงฉันน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว มีเขาแค่คนเดียวที่เรียกฉัน เอ๊ย… นางสาวไก่เขี่ยว่าคุณตีนไก่

“เอาเบอร์ฉันมาจากไหน” ฉันตอกกลับไปด้วยน้ำโหเล็กน้อย ทำให้ปลาดาวถึงกับเงยหน้าขึ้นมามอง ฉันขยับปากแบบไม่มีเสียงให้เจ้าหล่อนรู้ว่าปลายสายคือใคร

‘กัปตัน…’

ปลาดาวตาโตตอบ

[ก็เอามาจากน้องสาวฉันน่ะสิ แต่เดี๋ยวก่อนเลยนะ ไม่ต้องคิดล่ะว่าฉันพิศวาสอะไรเธอถึงขั้นอยากได้เบอร์]

“ไม่เคยคิดเลยย่ะ อย่าหลงตัวเองให้มาก”

[ให้มันน้อยๆ หน่อย สาวๆ ที่ไหนก็อยากไปเดทกับฉันทั้งนั้น]

เว้นฉันไว้คนหนึ่งแล้วกัน!

“งั้นนายต้องการอะไร” ฉันตัดบท

[คุยดีๆ ตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง ฉันไม่กัดเสียหน่อย] เสียงถอนหายใจดังลอดออกมา [ก่อนกลับบ้านมาหาฉันที่แป้นบาสด้วย]

“ทำไมต้องไปด้วยมิทราบ”

[เรามีธุระต้องคุยกันหน่อย]

“ธุระอะไร เราหมดเรื่องกันแล้วนี่” พอถึงประโยคหลังฉันก็กระซิบ “ไม่ไปล่ะ เสียเวลา”

[ไม่มาก็ได้ งั้นฉันจะเดินไปหาเธอเดี๋ยวนี้แหละ แล้วเพื่อนทั้งห้องจะได้รู้ว่าคนใสๆ ซื่อๆ แอ๊บรักธรรมชาติอย่างเธอความจริงแล้วเป็นยัยงูพิษ]

“รักธรรมชาติบ้าบออะไรของนาย ฉันเคยไปพูดตอนไหนว่า…” ฉันเถียงกลับพลางขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แล้วพลันสายตาก็เหลือบลงมาเห็นพลั่วที่ตัวเองกำอยู่ในมือถึงได้รู้ว่ากัปตันหมายถึงอะไร

ฉันรีบโยนพลั่วทิ้งแล้วลุกยืนขึ้น สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ แล้วถึงเห็นว่าเขายืนอยู่ที่ทางเข้าสนามกีฬาห่างออกไปไม่ไกล มือหนึ่งแนบโทรศัพท์เข้าที่หู ส่วนอีกมือก็โบกทักทาย ยิ้มกวนๆ ส่งมาให้ฉันทางนี้

หน็อย… เขายืนดูฉันอยู่ตั้งนานแล้ว

 

 

“มีอะไรก็ว่ามา”

นั่นคือประโยคแรกที่ฉันใช้ทักทายบุรุษที่บัดนี้อยู่ในชุดกีฬาสีส้ม เขายืนกอดอกพิงกับเสาแป้นบาสรอฉันอยู่ก่อนแล้ว ขณะที่นักกีฬาคนอื่นในชุดสีเดียวกันกำลังซ้อมอยู่ที่แป้นบาสอีกฝั่งของสนาม บริเวณนี้จึงมีแค่ฉันกับเขา

“พอดีว่าเมื่อกี้ฉันออกไปเจอเธอกับพวกเพื่อนๆ ข้างนอก สมองก็เลยแล่น นึกอะไรดีๆ ขึ้นมาได้”

อะไรดีๆ งั้นเหรอ คงไม่ใช่ว่า…

“เสียใจด้วย ฉันไม่รับซองกฐินผ้าป่าอะไรทั้งนั้น จะเอาไปแจกทั้งห้องคงไม่ไหวหรอก”

“ไม่ใช่” กัปตันรีบร้อง

อ้าว! ไม่ใช่ซองผ้าป่า แล้วเรื่องดีๆ ที่ว่าคืออะไรกัน

“อย่าเพิ่งทำหน้างง ฟังให้จบก่อนสิ ฉันมีงานให้เธอทำ รับรองว่าไอ้ชมรมตามติดดาราอะไรของเธอนี่ดังเป็นพลุแตกแน่”

“ชมรมนักข่าวย่ะ” ฉันแก้

จะว่าไปชมรมเราก็ดังแล้วนะ แต่เป็นในทางที่ไม่ดีเนี่ยสิ แง…

“นั่นแหละ ฉันเห็นมันก็มีแต่ข่าวผู้ชายหล่อๆ กับดาวโรงเรียนเบาสมอง” กัปตันพูดหน้าตาเฉย

“หน็อย! ตกลงว่าเรียกฉันมาด่าสินะ”

“นี่เธอฟังให้จบก่อนได้ไหม” เขาส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ “ไอ้เรื่องที่ว่าก็คือ… ฉันจะให้เธอทำข่าวฉาวของคนๆ หนึ่งต่างหาก”

ฟังเลยจ้า หูฉันผึ่งขึ้นมาทันที

“นายรู้อะไรดีๆ มางั้นหรอ แป๊บนะ ฉันหาอะไรจดก่อน”

แย่จริง! ไม่ได้เอากระเป๋ามา ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันก็มีแค่โทรศัพท์ พอนึกได้ก็เลยก้มหน้าล้วงหามันในกระเป๋ากระโปรง นายกัปตันจึงพูดต่อ

“ไอ้คนที่ว่าก็คือน้ำเย็น ห้องเดียวกับเธอ คงรู้จักใช่ไหม”

ฉันถึงกับรีบเงยหน้าขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด แล้วเขาก็พยักหน้ายืนยัน

น้ำเย็นย้ายเข้ามาตอนมอสี่ และตั้งแต่เรียนด้วยกันมาฉันไม่เคยคุยกับเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว อย่าว่าแต่คุยเลย หน้าก็แทบจะไม่ค่อยได้เห็น รู้สึกว่าหมอนั่นจะไปขลุกตัวอยู่ที่ห้องชมรมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง จะว่าไปเมื่อกี้ตอนทำสวน ฉันก็มีโอกาสได้คุยกับเขา เพราะเขาถือฝักบัวอยู่

‘น้ำเย็น ขอน้ำล้างมือหน่อย’

แล้วหมอนั่นก็ตอบกลับมาเพียงว่า…

‘อืม…’

“เอ ไม่ยักรู้แฮะว่าน้ำเย็นมีเรื่องเสียหายด้วย” ฉันเริ่มวิเคราะห์ “เขาก็เงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครในห้อง ดูโอเคดีออก แต่ใครจะไปรู้ใช่ไหมล่ะ ไหนนายลองเล่ามาสิ”

ฉันประคองโทรศัพท์มือถือ เตรียมพิมพ์ตามที่กัปตันบอก

“ฉันไม่มีเรื่องจะเล่าหรอก คนที่ทำหน้าที่เขียนคือเธอต่างหาก”

หา…

“นายหมายความว่ายังไง”

กัปตันกระตุกยิ้มแล้วก็เผยความต้องการที่แท้จริงออกมา

“ฉันอยากเห็นข่าวบนหนังสือพิมพ์โรงเรียนว่าไอ้คนเพอร์เฟคอย่างมัน ทำเรื่องเสียๆ หายๆ มีเรื่องต่อยตีกับเด็กโรงเรียนอื่น หรือเรื่องอะไรก็ได้ตามแต่เธอจะนึกออก เธอพอจะเขียนให้ฉันได้ไหม”

“นายจะให้ฉันนั่งเทียนเขียนว่างั้นเถอะ” ฉันสรุป

“จะพูดสั้นๆ แบบนั้นก็ได้”

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันฟะ กัปตันจะให้ฉันเขียนข่าวใส่ร้ายน้ำเย็นเนี่ยนะ!

“ไม่มีทางย่ะ ฉันมีจรรยาบรรณของนักข่าว”

“จรรยาบรรณอะไรของเธอ แล้วที่เธอใส่ร้ายฉันล่ะ”

“เปล่าใส่ร้าย อันนั้นฉันเข้าใจผิดต่างหากเล่า! ” ฉันเถียงเสียงอ่อย จะบอกว่าฉันไม่ผิดก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก

“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเธอไม่ทำ ฉันจะแฉว่าเธอคือนังคุณตีนไก่”

ว่าไงนะ!

“เราตกลงกันแล้วนี่ ฉันลงประกาศขอโทษนายแล้ว แถมไอ้กลอนบ้าๆ นั่นยังทำให้ฉันเป็นตัวตลกในสายตาคนทั้งโรงเรียนอีก”

“ตกลงอะไร ฉันบอกว่าจะไม่ลากเธอเข้าห้องปกครอง ไม่ได้บอกว่าจะไม่แฉ” เขายื่นหน้าเข้ามาพูดอย่างหน้าตาเฉย

“ขี้โกง”

“เธอทำฉันก่อนนะ แถมข้อตกลงของเธอมันไม่รอบคอบเอง เอาเป็นว่าถ้าฉบับหน้าไม่เห็นข่าวมัน เธอคงจะรู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้น บาย… กลับบ้านดีๆ ล่ะ”

หมอนั่นตบไหล่ฉันที่กำลังยืนอึ้งแล้ววิ่งไปรวมกับนักกีฬาที่อีกฝั่งของสนาม ทิ้งให้ฉันยืนอ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น

อันอันนะอันอัน ซวยอีกแล้ว…

 

 

“นี่เขาแบล็กเมลแกอยู่นะเนี่ย” ยัยปลาดาวร้องขณะที่พวกเรากำลังเดินกลับบ้าน ด้วยความที่บ้านของพวกเราอยู่ห่างจากโรงเรียนในระยะเดินเพียงสิบห้านาที ปลาดาวอยู่ซอยสิบเก้า ส่วนฉันอยู่ซอยยี่สิบสาม

“ฉันรู้แล้ว จะย้ำให้ได้อะไร ฮือ... ทำไมกัปตันของแกถึงได้ใจร้ายแบบนี้”

“ก็แกไปทำเขาก่อนนี่ นี่แหละ เวรกรรมติดจรวด”

“พูดเหมือนกันเด๊ะเลยนะ แกเป็นเพื่อนฉันไม่ใช่หรือไง” คำพูดของปลาดาวทำให้ฉันนึกถึงที่ตานั่นพูดเลย

“ก็ข่าวแกมันมั่วนี่นา บอกแล้วว่ากัปตันไม่มีทางกิ๊กกับเพื่อนของตัวเอง”

“ไม่ได้กิ๊กอะไรล่ะ ฉันเห็นแกคอยเชียร์เขาไม่ใช่เหรอ”

“แต่ไม่ใช่กับใครก็ได้เสียหน่อย กัปตันต้องจิ้นกับพี่สามภพเท่านั้น”

ฉันงงหนัก แล้วมันต่างกันยังไง ถึงอย่างไรยัยนี่ก็เชียร์ให้เขาชอบผู้ชายไม่ใช่เหรอ

“ไม่รู้ล่ะ แกต้องช่วยฉันคิด เพราะถ้าเขาแฉฉัน แกกับชมรมก็จะโดนร่างแหไปด้วย”

“สรุปคือแกมาแบล็กเมลฉันอีกทีสินะ…” ปลาดาวว่า “จริงๆ มันก็ไม่ยาก มีสองทางเลือก ทำกับไม่ทำ แกต้องเลือกว่าจะแฉหรือจะโดนแฉ”

“ไม่ใช่แฉเฟ้ย! มันคือการใส่ร้าย และถ้าฉันเลือกที่จะทำแบบนั้น นายน้ำเย็นก็จะกลายเป็นศัตรูของฉันอีกคนหนึ่ง แถมหมอนั่นก็เป็นนักดนตรี คงมีคนชอบอยู่ ถึงไม่เท่ากับกัปตันก็เถอะ เห็นนิ่งๆ แบบนั้น หมอนั่นเอาฉันตายแน่”

น้ำเย็นย้ายเข้ามาในฐานะนักเรียนทุนดนตรี เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งดนตรีบ่อยๆ หน้าตาเขาก็ดีใช่เล่น แต่เป็นเพราะเขาชอบทำหน้านิ่งๆ จนดูเหมือนขี้เก๊ก บางคนก็ว่าน่ากลัว สาวๆ ที่คอยตามกรี๊ดเขาจึงไม่กล้าตามติดเหมือนแฟนคลับของกัปตัน

“นั่นสิ ถ้าแกไม่ใส่ร้ายน้ำเย็น แกตายแน่”

“แต่ฉันไม่อยากใส่ร้ายเขา…”

ถึงอย่างนั้นคำว่า แกตายแน่… แกตายแน่… ของปลาดาวก็ยังคงดังก้องอยู่ในหัว

“จริงสิ! แกไม่ต้องใส่ร้ายเขาก็ได้นี่”

อะไรของเจ้าหล่อน เมื่อกี้ยังบอกว่าถ้าไม่ทำ ฉันตายแหงอยู่เลย

ฉันกำลังจะอ้าปากเถียงยัยนั่นก็รีบยกมือห้าม

“ก็อย่างที่ฉันพูดไปตอนแรกไง ‘แฉ’ ไม่ใช่ใส่ร้าย แกก็แค่หาเรื่องจริงของเขามาเขียนไง ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว กัปตันก็ยังได้ข่าวฉาวอย่างที่เขาต้องการ ส่วนหนังสือพิมพ์เราก็จะมีข่าวลง ย้ำว่าเป็นข่าวจริงด้วย ไม่ใช่ข่าวมั่วอย่างของแก”

จริงด้วยสิ แบบนี้ก็เท่ากับว่าฉันไม่ได้ใส่ร้ายเขา แต่ยัยปลาดาวก็ยังไม่วายแขวะฉัน นี่ถ้าไม่ติดว่าเจ้าหล่อนปิ๊งไอเดียนี้ขึ้นมาได้ ฉันกระโดดกัดคอไปแล้ว

“แต่ที่ฉันสงสัยก็คือกัปตันไปมีความแค้นกับน้ำเย็นตอนไหนต่างหาก”

ก็จริงอย่างที่ปลาดาวว่า… แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมากังวลเรื่องนั้น!

 

 

ภารกิจสืบหาความลับของน้ำเย็นก็เริ่มต้นขึ้น โดยพวกเราอาศัยช่วงพักกลางวันขณะที่เพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ลงไปรับประทานอาหารกลางวัน ปลาดาวรับหน้าที่ดูต้นทางอยู่ที่หน้าห้อง ส่วนฉันก็กำลังง่วนอยู่กับการรื้อค้นลิ้นชักใต้โต๊ะเรียนของน้ำเย็น มันไม่ได้ง่ายเลยเพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมองหาอะไรอยู่

“อันอัน ทำไมแกยังหาไม่เจออีก โต๊ะก็ไม่ได้ใหญ่เลยนะ” ปลาดาวกึ่งกระซิบ

“จะไปหาเจอได้ยังไงเล่า! ใต้โต๊ะหมอนี่มีแต่หนังสือเรียน ใครจะไปเหมือนแกล่ะที่มีนิยายวายอยู่ในกระเป๋า” ฉันตะโกนกลับ

“จะเสียงดังทำไมเล่า!”

ฮ่าๆ พนันได้เลยว่าปลาดาวไม่ได้กลัวว่าจะมีคนมาเห็นเรากำลังรื้อใต้โต๊ะเพื่อนอยู่ แต่เป็นเรื่องนิยายวายเรตยี่สิบห้าบวกของเจ้าหล่อนต่างหาก

จะว่าไปนอกจากจะมีแต่หนังสือเรียนที่ถูกจัดเป็นระเบียบแล้ว ใต้โต๊ะหมอนี่ก็ไม่มีอะไรที่น่าสงสัยเลย แค่เจอบุหรี่หรือไฟแช็กก็น่าจะเป็นข่าวดังได้แล้วสำหรับนักเรียนตัวอย่างอย่างน้ำเย็น

น่าผิดหวังยิ่งนัก…

พอเห็นว่าไม่มีอะไรน่าสงสัย ฉันจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นกระเป๋าของเขาแทน มันเป็นกระเป๋าเป้สะพายหลังแบบธรรมดา วางนิ่งอยู่บนเก้าอี้ของเจ้าของ ฉันตัดสินใจเปิดมันออกอย่างไม่ลังเลด้วยกลัวว่าจะมีใครมาเห็นก่อน

ฉันถือวิสาสะล้วงมือลงไปควานหา อย่าโกรธฉันเลยนะน้ำเย็น ฉันโดนขู่มาให้ทำแบบนี้!

ด้านในก็คงความเป็นระเบียบไว้อีกเช่นเคย ฉันไม่แปลกใจเลย ในนั้นมีหนังสือการ์ตูนอยู่หนึ่งเล่ม โชคร้ายที่ไม่ใช่การ์ตูนวาย ไม่อย่างนั้นคงได้เรื่องไปเขียนแบบง่ายๆ แล้ว นอกจากนั้นมีแค่สมุดโน้ตธรรมดาไม่กี่เล่ม หนังสือ แล้วก็สมุดบันทึกหนาๆ เล่มหนึ่ง ฉันเกือบได้หยิบเจ้าสมุดนั่นมาดูแล้ว ถ้าสายตาไม่เหลือบไปเห็นอะไรเสียก่อน

กระเป๋าตังค์…

น้ำเย็นลงไปกินข้าวเที่ยง ทำไมถึงไม่เอากระเป๋าตังค์ไปด้วยล่ะ…

แย่ล่ะ! เขาลืมมันไว้ อีกไม่นานเขาต้องขึ้นมาเจอเราแน่!

“ยัยอันอัน น้ำเย็นขึ้นบันไดมาแล้ว” ปลาดาวตอกย้ำลางสังหรณ์ของฉันด้วยการรีบวิ่งกลับเข้ามาในห้อง

ฉันลนลานรีบจัดทุกอย่างเข้าที่เดิมแล้วรูดซิปปิดกระเป๋า แต่ว่ามันกลับรูดไม่ขึ้น

ไอ้ซิปบ้า! มาติดอะไรตอนนี้ฟะ!

“เร็วๆ ดิอันอัน เดี๋ยวก็ซวยกันหมดนี่หรอก” ปลาดาวเร่ง

“มันรูดไม่ขึ้น” ฉันร้อง

“มานี่” แล้วเจ้าหล่อนก็รีบพุ่งเข้ามาช่วยฉันออกแรงดึง ทว่าซิปเจ้ากรรมก็ยังไม่ยอมเขยื้อน “ออกแรงหน่อยดิ ถ้าน้ำเย็นมาเห็น เราตายแน่”

ก็ออกแรงอยู่นี่ไงฟะ หน็อย… เป็นแค่ซิปแท้ๆ คิดจะต่อกรกับมนุษย์อย่างฉันเหรอ ไม่มีปัญหาไหนที่แก้ไม่ได้ด้วยกำลัง!

“แกจับกระเป๋าไว้ให้แน่นๆ เดี๋ยวฉันดึงเอง” ฉันออกคำสั่ง

ปลาดาวทำตามอย่างว่าง่ายเพราะไม่มีเวลาให้มาเถียงกัน แล้วฉันก็เลยจับเจ้าตัวที่รูดซิปไว้ให้มั่นทั้งสองมือแล้วออกแรงดึงสุดฤทธิ์

กึก!

“พวกเธอทำอะไรกันน่ะ!”

ซิปถูกรูดขึ้นไปปิดสนิทในจังหวะเดียวกับที่เสียงนั้นดังขึ้น

เฮือก…

ฉันกับปลาดาวรีบถอยห่างออกจากโต๊ะของเขา โล่งใจที่ปิดมันได้สำเร็จ

เจ้าของเสียงเป็นชายร่างสูง ผมสั้น ใส่เนกไทเรียบร้อยตามระเบียบ แน่นอนว่านั่นคือนายน้ำเย็น เขายืนจังก้าอยู่ที่หน้าประตูห้อง เขาดูประหลาดใจปนตกใจถึงได้มองฉันและปลาดาวสลับกับโต๊ะของเขาอยู่สองสามรอบ

คาดว่าน้ำเย็นไม่น่าจะทันได้เห็นจะจะ ถึงอย่างนั้นฉันก็รู้สึกถึงอะไรแปลกๆ บางอย่าง

“เปล่านี่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” ปลาดาวรีบโพล่งขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีอะไรผิดปกติสักนิด ผิดกับฉันที่หลบตาเขาพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง

ขอคารวะเจ้าแม่การละครตัวจริง…

“ก็เมื่อกี้พวกเธอมายืนทำอะไรที่โต๊ะฉัน…” น้ำเย็นเดินปราดเข้ามาที่โต๊ะ ทำให้พวกเราต้องถอยห่างออกไปอีก

“เรากำลังจะไปกินข้าวกันต่างหาก แค่เดินผ่านโต๊ะนาย” ปลาดาวแก้ตัว

“โต๊ะเธอมันอยู่ฝั่งนู้น ใกล้ประตูกว่าตั้งเยอะ เธอจะมาเดินอ้อมผ่านทางนี้ทำไม”

ซวยแล้ว… เสร็จเขาแน่ๆ

“ก็เมื่อกี้เราไปยืนดูวิวแถวๆ หน้าต่างไง มันก็ต้องผ่านโต๊ะนายสิ” หล่อนแถต่อ

สะ… สุดยอด

“ชะ…ใช่ๆ” ฉันรีบเออออด้วย “ถ้านายไม่มีอะไรแล้วพวกฉันไปนะ”

สีหน้าน้ำเย็นยังดูมีความสงสัยเจือปนอยู่ แต่คงเป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นมันกับตาตัวเอง เขาจึงถอนหายใจแล้วพยักหน้าส่งๆ

“อืม”

แล้วไป… หมอนี่ไม่คิดจะคาดคั้นอะไรอีก พวกเราจึงแอบถอนหายใจตอนที่สบตากันแล้วพากันรีบตรงไปที่ประตู

รู้สึกแปลกๆ อีกแล้ว แม้ว่าพวกเราจะรอดแต่บางสิ่งบางอย่างมันไม่ถูกต้อง มือข้างหนึ่งของฉันกำแน่นตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ทำไมกันนะ

ฉันยกมือข้างขวาขึ้นมาดูก่อนจะค่อยๆ แบมันออก แล้วสิ่งที่อยู่ด้านในก็ทำให้รู้ว่าชะตาชีวิตของฉันได้มาสิ้นสุดลงแล้ว ก่อนที่จะได้ยินเสียงน้ำเย็นตะโกนตามหลังมาเสียอีก

“หยุดก่อนเลยพวกเธอ!”

ไอ้เจ้าโลหะเล็กๆ ชิ้นนั้นก็คือหัวซิป… ฉันดันดึงมันหลุดติดออกมาด้วยซะได้!

น้ำเย็นคงรู้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับกระเป๋าของเขา และเขาก็คงจะรู้แล้วว่าไม่ใครก็ใครคนหนึ่งในพวกเราเป็นคนทำ และถ้าเขามาเห็นไอ้เจ้าหัวซิปในมือฉันนี้ เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าคนคนนั้นคือฉันเอง

“มีอะไรเหรอ” ปลาดาวหันกลับไป ฉันไม่เห็นสีหน้าของหล่อนแต่เดาได้เลยว่าคงเล่นละครได้เนียนสุดๆ อีกตามเคย

ส่วนฉันน่ะเหรอ ได้แต่หันหลังให้เขาพลางกุมมือตัวเองแน่น

“หัวซิปกระเป๋าฉันมันหายไปไหน” เสียงของเขาดังใกล้เข้ามามากขึ้น

“พูดเรื่องอะไรของนาย”

“ก่อนที่ฉันจะออกไป ซิปกระเป๋าฉันยังไม่พัง”

“ก็เลยมาถามฉันเนี่ยนะ ฉันจะไปรู้เหรอ”

“เธออาจจะไม่รู้ แต่เพื่อนเธอรู้แน่ๆ”

“…”

เฮือก… เขาไม่ได้หมายถึงฉันใช่ไหม เขาคงหมายถึงคนอื่นแน่ๆ แง… แล้วคนอื่นที่ว่านี่มันใคร ตรงนี้ก็มีแค่ฉันกับปลาดาว

“ว่าไง… เธอจะไม่หันมาจริงๆ อ่ะ อัญชลี”

ฮือ… นั่นชื่อจริงฉันเอง เขาหมายถึงฉันเนี่ยแหละ ทำไมนะทำไม หมอนี่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่กลับน่ากลัวกว่ากัปตันเป็นร้อยเท่า

ฉันจำใจฝืนยิ้ม แล้วค่อยๆ หมุนตัวหันไปทางเขา พลางซ่อนมือทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง ภาวนาให้เขาไม่สังเกต

“แหะๆ เรียกฉันว่าอันอันก็ได้ เราเป็นเพื่อนห้องเดียวกันนี่” ฉันแถเปลี่ยนเรื่อง

“เธอไปยุ่งกับกระเป๋าฉันทำไม” แต่เขาก็ตัดฉับกลับเข้าเรื่องทันควัน

“เปล๊า…”

ทำไมฉันถึงควบคุมเสียงตัวเองแบบปลาดาวไม่ได้ฟะ

“เธอขโมยอะไรไป”

“หา… เปล่านะ”

เรื่องมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ฉันไม่ได้ขโมยอะไรเลยเสียหน่อย

“ถ้าอย่างนั้นเธอซ่อนอะไรไว้ข้างหลัง”

“มะ… ไม่ได้ซ่อน”

น้ำเย็นไม่ฟัง เขาตรงเข้ามาจนหน้าแทบจะชนกับฉันแล้วถ้าหากว่าเขาไม่สูงกว่า หมอนั่นเอื้อมมืออ้อมมาที่ด้านหลังฉันเพื่อจะคว้าข้อมือฉัน แต่ฉันก็เบี่ยงตัวหลบพัลวัน

“เฮ้ย นายทำอะไร” ปลาดาวพยายามช่วยแยกเขาออกไป ทว่าไม่เป็นผล

“ถอยไปนะเฟ้ย!”

และแล้วสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุดก็เกิดขึ้น น้ำเย็นคว้าข้อมือข้างขวาฉันไว้ได้ เขาดึงมันไปแล้วบีบให้ฉันแบมือออก

วินาทีที่เจ้าวัตถุโลหะวงรีในมือฉันกำลังค่อยๆ เปิดเผยตัวต่อหน้าธารกำนัล ฉันก็รู้แล้วว่าไม่รอดแน่ แต่สมองก็สั่งให้ฉันทำอะไรที่บ้าสุดๆ ลงไป

น้ำเย็นคงรู้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับกระเป๋าของเขา และเขาก็คงจะรู้แล้วว่าไม่ใครก็ใครคนหนึ่งในพวกเราเป็นคนทำ และถ้าเขามาเห็นไอ้เจ้าหัวซิปในมือฉันนี้ เขาต้องรู้แน่ๆ ว่าคนคนนั้นคือฉันเอง

“เฮ้ย!” กลายเป็นว่าน้ำเย็นก็ตกใจ สีหน้าเขาเหวออย่างเห็นได้ชัด “เธอกลืนมันลงไปได้ยังไง”

“ได้สิ ก็นั่นมันเป็นยา ฉันต้องกินก่อนกินข้าว” ฉันพูดหน้าตายบ้าง เลียนแบบปลาดาว ตอนนั้นฉันก็หันไปมองเจ้าหล่อนด้วย เธออึ้งไม่แพ้น้ำเย็น

“เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้ขโมยอะไร” ฉันแถต่อเมื่อเห็นว่าทั้งสองยังอ้าปากค้าง “ทีนี้นายจะปล่อยมือฉันได้ยัง”

น้ำเย็นรีบปล่อยข้อมือฉันทันที

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันไปนะ”

ฉันรีบวิ่งออกจากห้อง ไม่ได้คิดจะหนีเขา ไม่ได้รีบไปที่โรงอาหาร แต่จุดหมายของฉันคือห้องน้ำ…

เมื่อกี้ฉันทำบ้าอะไรลงไปเนี่ย…

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!