NovelToon NovelToon

มิติรักบัลลังก์หงษ์ (อ่านฟรี)

ตอนที่ 1 องค์หญิงน้อยผู้หายสาบสูญ

มิติรักบัลลังก์หงษ์

ตอนที่ 1 องค์หญิงน้อยผู้หายสาบสูญ

'ฝูงหงษ์ขาวนับหมื่นตัวบินโฉบผ่านม่านฟ้าเหนือแคว้นฉางอิ๋น ผู้คนตื่นตากับปรากฎการณ์ที่หาดูได้ยากเช่นนี้ และนี่คือนิมิตหมายที่ดีของแคว้นที่มั่งคั่ง ในวันประสูติการขององค์หญิงน้อยผู้มากด้วยบารมี นางกำเนิดเกิดมาพร้อมดวงตาสีครามดุจน้ำทะเล

คำทำทายของ 6 โหราจารย์ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่านางนั้นเกิดมาเพื่อเป็นกษัตรีองค์แรกแห่งแคว้นฉางอิ๋น เมื่อครั้งมเหสีแห่งแคว้นเจ็บท้องใกล้คลอดก็เกิดเรื่องราวประหลาดมากมาย ท้องฟ้าทอแสงสีทองอร่าม ก้อนเมฆก่อตัวเป็นรูปหงษ์สะบัดปีก หิมะและฝนตกในคราวเดียวกัน ร่วมทั้งหงษ์งามนับหมื่นตัวที่ลอยอยู่เหนือเมืองนั้นด้วย ผู้คนต่างโจษขานว่านี่คืออภินิหารย์ขององค์น้อยผู้ที่พึ่งเกิดมา..

แต่ความชื่นชมยินดีนั้นก็มีได้เพียงไม่นาน เพราะกษัตย์แห่งแคว้นฉางอิ๋นมีบุตรชายถึง 7 คน และมีบุตรสาวอีก 4 คน บุตรทั้ง 11 คนนั้นเกิดจากอนุภรรยาทั้ง 3 ซึ่งแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด อนุภรรยาผู้อิจฉาตาร้อนต่างยอมไม่ได้จริงๆเมื่อรู้ถึงคำทำนายของโหราจารย์ เด็กที่พึ่งลืมตาดูโลกนี่นะหรือจะได้เป็นกษัตรีแห่งแคว้นที่ยิ่งใหญ่ แล้วบุตรชายของพวกนางเล่าจะเอาไปไว้ที่ไหน...

เมื่อนึกถึงจุดนี้นางทั้งสามจึงยุติความบาดหมางและวางแผนรวมกัน พวกนางส่งคนไปลักพาตัวองค์หญิงน้อยเพื่อนำไปฆ่าทิ้งเสียเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม นางกำนัลที่ถูกว่าจ้างนำตัวองค์หญิงน้อยออกจากจวนในเวลากลางดึกก่อนจะส่งมอบให้มือสังหารที่ถูกว่าจ้างมาอีกที เมื่อได้ตัวองค์หญิงมือสังหารก็รีบพานางออกจากเขตพระราชฐานมุ่งหน้าสู่แม่น้ำซานซี เขาขึ้นเรือและล่องไปตามลำน้ำ ก่อนจะเปิดผ้าที่คลุมตะกร้าออก เผยให้เห็นเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาหน้าตาจิ้มลิ้ม

มือสังหารกำมีดในมือแน่น หมายจะให้ปลายมีดแทงทะลุหัวใจเด็กน้อย แต่แล้วอยู่ๆดวงตาสีครามคู่ใสก็ฉายแววอาฆาตออกมา แววตาคู่นั้นไม่ได้ไร้เดียงสาอีกต่อไป หากแต่เป็นจิตสังหารที่สามารถควบคุมจิตใจมนุษย์ ปลายมีดเปลี่ยนทิศทางหันคมเข้าหาผู้เป็นเจ้าของ มือสังหารเป็นชายฉกรรจ์ตัวสั่นเหมือนเจ้าเข้าเพราะเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนได้ กระแสจิตอันแรงกล้าทำให้ชายผู้นั้นปักปลายมีดเข้าที่กลางอกของตน 

--ฉึก--

เมื่อจัดการผู้ปองร้ายได้สำเร็จจิตสังหารก็หายกลับเข้าไปใต้แก่นของดวงจิตเช่นเดิม องค์หญิงน้อยฉายแววนัยน์ตาสดใสอีกครั้งนางยิ้มอย่างไม่ประสีประสา ท่ามกลางลำน้ำที่มืดมิด หิ่งห้อยน้อยสีเหลืองทองก็ลอยล่องเข้ามาใกล้เรือ มันบินมาเกาะที่ตะกร้าตัวแล้วตัวเล่า จนทั่วบริเวณนั้นสว่างไสว่เหมือนดวงไฟจากตะเกียง

ด้วยพลังที่มีมาแต่กำเนิดนางได้สร้างเกราะคุ้มภัยให้กับตนเอง ก่อนที่องค์หญิงน้อยจะส่งร่างของตนไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยเพื่อรอเวลา...

แคว้นฉางอิ๋นโศกเศร้าอาลัยกับการหายตัวไปขององค์หญิงน้อย มเหสีผู้เป็นมารดาก็ตรอมใจจนล้มป่วย นางอาลัยจนอยากจะตายตามลูกไปเสียให้ได้ แต่เมื่อโหราจารย์พยากรณ์คำทำนายอีกครั้งนางก็เหมือนจะมีหวังขึ้นมา 

~องค์หญิงน้อยยังไม่ตายเพียงแต่รอเวลาที่สมควร เมื่อครบ 18 ชันษาองค์หญิงผู้หายสาบสูญจะหวนคืนสู่บัลลังก์~

คำพยากรณ์นั่นแผร่สะพัดออกไปทั่วหล้า ผู้คนตั้งตารอการกลับมาของนาง แต่ถึงอย่างนั้นผู้ที่หวังปองร้ายก็เตรียมท่ารับมือ อนุภรรยาทั้งสามส่งคนออกตามหาเด็กสาวที่มีนัยน์สีครามดุจน้ำทะเล หวังกำจัดนางให้พ้นทางเช่นเดิม แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาตัวไม่พบ...

เพราะที่ที่นางอยู่นั้นไกลเกินกว่าที่คนธรรมดาจะไปถึง..มาจนบัดนี้นางได้เติบโตเป็นสาวสะพรั่งในวัย 18 ปีและมีนามว่า.........'

"เสี่ยวเฟิ่ง! ลงมากินข้าวได้แล้ว"

"ค่าาาา จะไปเดี๋ยวนี้"

จ้าวเสี่ยวเฟิ่งวางหนังสือนิยายเล่มเก่าเคอะในมือแล้วลงไปทานข้าวตามเสียงเรียกของแม่ เด็กสาวหน้าตาสะสวยเดินลงบันไดมาอย่างอารมณ์ดี เธอสวมแว่วสายตาหนาเตอะที่สั่งตัดเป็นพิเศษเพราะสายตาของเธอนั้นสั้นกว่าคนปกติถึงสิบเท่า ผมยาวถึงกลางแผ่นหลังถูกถักเปียแกะทั้งสองข้าง เธอใส่เสื้อยืดสีขาวตัวใหญ่โคลงเคลงพร้อมทั้งกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวขายาวถึงตาตุ่ม เมื่อลงมาถึงโต๊ะอาหารแม่ของเธอก็ค้อนสายตาเคืองใส่..

"ทำอะไรอยู่แม่เรียกตั้งนานแล้ว"

"อ่านหนังสือค่ะ"

"หนังสืออะไร อย่าบอกนะว่าอ่านหนังสือนิยายที่คุณตาให้มาอีกแล้ว"   แม่พูดอย่างรู้ทันลูกสาวจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ

"ใช่ค่ะ แฮ่ๆ"

"แม่บอกแล้วใช่มั๊ยว่าอย่าอ่านนิยายพวกนั้นมากเกินไป ตั้งใจอ่านหนังสือเรียนดีกว่า"

"หนูก็ตั้งใจอ่านอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่บางทีมันก็น่าเบื่อ หนูก็อ่านแก้เซงไปงั้นๆ ว่าแต่คุณพ่อละคะ?"   เธอพูดพร้อมกวาดสายตามองไปรอบๆ

"คุณพ่อยังไม่กลับ ที่บริษัทมีงานด่วนก็เลยต้องอยู่ต่อ...คุณพ่อจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จพรุ่งนี้จะได้ไปเยี่ยมคุณตากัน"

"เย้ ดีใจจังเลยค่ะ หนูคิดถึงคุณตาจะแย่แล้ว ในที่สุดก็จะได้ไปหาสักที"     เสี่ยวเฟิ่งดีใจจนออกนอกหน้า

"จ้าาาา ตาหลานเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ขนหนังสืออะไรก็ไม่รู้มาให้อ่านตั้งเยอะแยะ แล้วไอ้เล่มที่ลูกอ่านอยู่เนี่ยยิ่งเก่ามาก หน้าปกเลอะเลือนหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเก็บไว้ตั้งแต่สมัยไหน"

"ถึงปกจะเก่าแต่เนื้อหาข้างในยังชัดอยู่นะคะแถมยังสนุกด้วย..หนูชอบหนังสือของคุณตาทุกเล่มเลยค่ะ"

เสี่ยวเฟิ่งพูดแล้วยิ้มก่อนจะตักข้าวเข้าปาก..

"จ้ะ รีบกินเถอะจะได้ไปเตรียมข้าวของ เราจะค้างบ้านคุณตา2คืนนะรู้มั๊ย"

"ค่ะแม่"     เสี่ยวเฟิ่งรีบกินข้าวแล้วขึ้นไปจัดเตรียมข้าวของที่จำเป็นโดยเธอไม่ลืมที่จะเอาหนังสือนิยายเก่าๆเล่มนั้นติดกระเป๋าไปด้วย เช้าวันต่อมาสามพ่อแม่ลูกก็ออกเดินทางมาถึงบ้านของคุณตาที่อยู่ต่างจังหวัดในเวลาพลบค่ำ..

บ้านของคุณตาหลิวเป็นบ้านหลังใหญ่ทรงจีนโบราณแบบดั่งเดิม มีรั้วกำแพงอิฐสูงท่วมหัวกั้นรอบนอก ประตูทางเข้าเป็นประตูไม้เก่าแก่ มีป้ายอักษรจีนโบราณติดอยู่ด้านบนสุดแต่ก็เลือนลางไปบ้างแล้วตามกาลเวลา และเมื่อเดินเข้ามาด้านในสิ่งแรกที่เห็นคือสระน้ำที่กว้างอยู่พอสมควร น้ำในสระใสสะอาดมีดอกบัวสีขาวเบ่งบานอยู่บนผิวน้ำ และใต้น้ำก็มีปลาคราฟสีทองและสีขาวปนแดงแหวกว่ายอยู่เต็มไปหมด เป็นสัวต์เลี้ยงที่คุณตาโปรดปรานมากที่สุด

เมื่อเจ้าของเรือนรู้ว่าบุตรสาวและหลานสาวของตนมาถึง ก็รีบเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม เด็กชายสองคนอายุไล่ๆกับเสี่ยวเฟิ่งออกมาช่วยยกของเข้าไปด้านในพวกเขาเป็นลูกศิลษ์ของคุณตา

"คุณตา..."   เสี่ยงเฟิ่งวิ่งเข้าไปกอดคุณตาทันที ชายแก่หัวขาวโพลนกระชุ่มกระชวยเมื่อหลานสาวเพียงคนเดียวแวะมาเยี่ยมเยือน

"เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั๊ยหลาน"

"สบายดีค่ะ แต่คิดถึงคุณมากๆเลย หนูมีเรื่องจะคุยกับคุณตาเยอะแยะไปหมด เราเข้าไปข้างกันเถอะนะคะ"

เสี่ยวเฟิ่งจูงแขนคุณตาเข้ามาในบ้าน พ่อกับแม่ที่ดูอยู่ได้แต่อมยิ้มเมื่อเห็นหลานสาวและคุณตาคุยกันอย่างออกรส...

"คุณตาคะ หนูอ่านนิยายเล่มนั้นแล้วนะคะ สนุกมากเลย"   เสี่ยวเฟิ่งบอก

"งั้นรึ หลานอ่านถึงไหนแล้ว?"

"อ่านถึงตอนที่ องค์หญิงน้อยหายสาบสูบค่ะ "

คุณตายิ้มก่อนจะตีสีหน้านิ่งพร้อมกับเอ่ยถามต่อ

"แล้วอ่านบทต่อไปรึยัง?"

"ยังเลยค่ะ คุณแม่เรียกซะก่อนก็เลยหยุดถึงแค่ตรงนั้น..แต่นิยายเล่มนี้สนุกมากเลยนะคะ หนูชอบมากเลยค่ะ อ่านไปขนลูกไปไม่รู้ทำไม แล้วอีกอย่างตอนนี้หนูอยากรู้มากว่าองค์หญิงน้อยหายไปไหน..แล้วจะกลับไปทวงบัลลังก์ได้ยังไง..."    เสี่ยวเฟิ่งบอกแล้วยิ้มอีกคุณตาจึงพูดขึ้นว่า..

"องค์หญิงน้อยเติบโตเป็นสาวงาม และหวนคืนไปช่วงชิงบัลลังก์จากผู้หวังปองร้าย อนุภรรยาทั้งสามวางแผนรัดกุมทั้งองค์ชายทั้ง 7 ก็หมายครองบัลลังก์ ชะตาลิขิตชีวิตพลิกผัน องค์หญิงน้อยต้องผ่าฟันอุปสรรค์มากมายเพื่อพิสูจน์ตนเอง..และที่สำคัญองค์หญิงน้อยต้องเข็มแข็ง มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว และต้องเปี่ยยมไปด้วยความมตตา.."

เสี่ยวเฟิ่งทำตาพริบๆเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูจริงจังของคุณตา คุณตาจึงถามต่ออีกว่า

"วิชาฟันดาบกับกระบองที่ตาเคยสอนได้ฝึกบ้างมั๊ย"

"ฝึกค่ะ แต่แอบฝึกเดี๋ยวคุณแม่จะด่าเอา ตอนนี้หนูควงกระบองมือเดียวไปแบบสบายๆเลยค่ะ ส่วนฟันดาบก็เริ่มคล่องกว่าเดิมมาก"

"งั้นเรอะ ดีแล้วฝึกต่อไปนะภายภาคหน้าหลานอาจจะได้ใช้"

"คะ?"     เสี่ยวเฟิ่งเอียงคอถามอย่างสงสัย แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จากนั้นคุณแม่ของเธอก็เดินเข้ามา..

"เสี่ยวเฟิ่งไปอาบน้ำอาบท่าได้แล้ว จะได้ลงมาทานข้าว"    คุณแม่บอกเสี่ยวเฟิ่งก่อนจะหันไปหาคุณตา  "คุณพ่อคะ รอสักครู่นะคะหนูกำลังเตรียมโต๊ะอาหารอยู่ค่ะ"

คุณตาหลิวพยักหน้าส่วนเสี่ยวเฟิ่งก็รีบขึ้นไปอาบน้ำพร้อมเก็บสัมภาระให้เข้าที่ จากนั้นก็ลงมาทานข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แม้นานๆทีจะมาหาสักครั้ง แต่คุณตาหลิวก็สนิทสนมกับกับลูกสาวลูกเขยและหลานสาวมาก ลูกเขยพ่อตาคุยกันถูกคอรินเหล้าไหที่คุณตาหมักเองให้กันดื่ม เมื่อดื่มไปได้สักพักจนเหล้าเกือบจะหมดคุณพ่อก็น็อคหลับไปเพราะเหล้าที่หมักเองนั้นแรงมาก คุณแม่จึงพาคุณพ่อขึ้นไปพักผ่อน ปล่อยให้หลานสาวและคุณตาคุยกันให้หายคิดถึง..

ระหว่างที่เสี่ยวเฟิ่งและคุณตาหลิวนั่งอยู่หน้าเตาผิงคุณตาก็เอ่ยถามหลานสาวขึ้นว่า

"หนังสือเล่มนั้น หลานรู้มั๊ยใครเป็นคนเขียน?"

"ใครคะ?"

คุณตายิ้มพร้อมจิบชาในจอกใบเล็ก...

"ก็คุณยายของหลานน่ะสิ ยายของหลานเขียนหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาก่อนที่หลานจะเกิด..นี่ก็ผ่านไป18ปีแล้ว 18 ปีที่ยายของหลานขึ้นไปอยู่บนสวรรค์"

คุณยายของเสี่ยวเฟิ่งเป็นนักเขียนที่เคยเลื่องชื่อผลงานของเธอเป็นที่ถูกอกถูกใจของใครหลายคน แต่สุดท้ายเธอก็จากโลกนี้ไปด้วยโรคหัวใจ ส่วนคุณตานั่นเป็นจิตรกรสร้างสรรค์ผลงานภาพวาดมากมายมีลูกศิลษ์ลูกหาแวะเวียนมาร่ำเรียนอยู่ไม่ขาดแต่น้อยคนที่คุณตาจะรับเป็นศิลษ์และฝึกสอนให้อย่างจริงจัง เสี่ยวเฟิ่งเองก็ได้เรียนวาดภาพและฝึกคัดตัวอักษรจากคุณตาฝีมือเข้าขั้นเลยทีเดียว

"คิดถึงคุณยายจังเลยค่ะ แม้จะไม่เคยเจอตัวเป็นๆแต่หนูก็รู้สึกผูกพันกับคุณยายมากๆเลย "

คุณตาได้ฟังอย่างนั้นก็อมยิ้มก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อหยิบของบางสิ่งออกมา

"อะไรคะ?"   เสี่ยงเฟิ่งถามเมื่อคุณตายื่นของสิ่งนั้นมาให้

"กำไลหยกขาว มันเคยเป็นของคุณยาย ตาให้"

เสี่ยวเฟิ่งรับกำไลหยกนั่นมาใส่ไว้ที่ข้อมือ เธอมองมันด้วยดวงตาที่เป็นประกาย 

"สวยจังเลยขอบคุณมากนะคะ หนูจะดูแลรักษาอย่างดีเลยค่ะ"     เสี่ยวเฟิ่งยิ้มคุณตาจึงเอามือลูบหัวเธอเบาๆก่อนจะบอกให้เธอขึ้นไปนอน

"ดึกแล้ว ขึ้นไปนอนเถอะ"

"ค่ะ คุณตา"

เสี่ยวเฟิ่งลุกขึ้นและกำลังจะเดินไป แต่เสียงของคุณตาก็เรียกเธอเอาไว้อีก..

"เสี่ยวเฟิ่ง"

"คะ?"

".....อย่ายอมแพ้ต่อโชคชะตานะหลาน สู้ให้ถึงที่สุดและใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความดี หลานต้องมีสติ ต้องมีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และต้องรู้จักวางแผนชีวิตให้รอบครอบ ส่วนเรื่องฟันดาบและกระบองหากมีเวลาก็หมั่นฝึกฝนให้เก่งชำนาญ หลานจะได้ใช้ป้องกันตัว"

คำพูดของคุณตาฟังดูลึกซึ้งเหมือนมีความหมายเป็นนัยน์ซ่อนอยู่ เสี่ยวเฟิ่งขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรอีก เพราะคิดว่าเป็นเพียงคำพูดทั่วไปที่คนเป็นตาพึงสั่งสอนหลาน เธอจึงยิ้มแล้วพยักหน้า

"ค่ะ คุณตา"

จากนั้นเธอจึงเดินขึ้นห้องไป เมื่อเข้ามาในห้องเสี่ยวเฟิ่งไม่ได้นอนหลับในทันที เธอนั่งลงบนเตียงแล้วดังผ้าห่มขึ้นมาคลุมขาก่อนจะหยิบหนังสือนิยายเก่าๆเล่มเดิมขึ้นมาเพื่อจะเปิดอ่านหน้าต่อไป 

"ไหนดูสิ ถึงไหนแล้ว"

เธอพำพึมเบาๆพร้อมเปิดหน้าหนังสือที่อ่านค้างไว้

----

'เพราะที่ที่นางอยู่นั้นไกลเกินกว่าที่คนธรรมดาจะไปถึง..มาจนบัดนี้นางได้เติบโตเป็นสาวสะพรั่งในวัย 18 ปีและมีนามว่า.........'

----

บทนี้เป็นบรรทัดสุดท้ายของหน้าดระดาษเธอจึงพลิกเปิดหน้าถัดไป แต่ทว่าบนหน้ากระดาษนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีตัวหนังสือเลยสักตัว เสี่ยวเฟิ่งมุ่นเรียวคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัยเหตุใดจึงไม่มีตัวอักษรให้อ่าน เธอเปิดไปยังหน้าอื่นๆก็มีเพียงแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่าเท่านั้นนิยายเรื่องนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้หรือ? เธอเปิดหน้าหนังสือทิ้งไว้บนเตียงด้วยความผิดหวัง เธออยากจะไปถามคุณตาว่าทำไมหนังสือถึงเป็นเช่นนี้แต่มันดึกมากแล้วจึงจำต้องอดทนรอให้ถึงพรุ่งนี้เสียก่อน เธอเอนหลังพิงขอบเตียงโดยไม่ได้ถอดแว่วตาก่อนที่จะเผลอหลับไป..

จากนั้นเพียงไม่นานภายในห้องของเธอก็มีบางอย่างเกิดขึ้นเพราะมีแสงสว่างจ้าสาดออกมาจากทางหน้าต่างและเมื่อเธอตื่นจากการหลับไหลในครั้งนี้

ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..

-

-

-

ตอนที่ 2 ชนเผ่าหลานอี้ .1

มิติรักบัลลังก์หงษ์

ตอนที่ 2 ชนเผ่าหลานอี้ .1

พื้นหญ้าเขียวชอุ่มปกคลุมไปด้วยหยาดน้ำค้างกลางคืนที่หนาวเย็นได้เลื่อนเลยผ่านไปดวงตะวันทอแสงแดดอุ่นรับรุ่งอรุณวันใหม่ หญิงสาวร่างบางนอนเอนหลังพิงโขดหินขนาดใหญ่ใจกลางป่าสนดิบชื่น นางนั่งสัปหรกอยู่หลายครั้งก่อนจะกลิ้งตกลงมาพลันปลุกให้ตื่น นางโอดครวญเมื่อร่างกายกระแทกอย่างแรง จากนั้นนางจึงลุกขึ้นด้วยความงัวเงียก่อนจะถอดแว่นตาออกแล้วใช้หลังมือขยี้ตาเบาๆ เมื่อครั้งรู้สึกตัวนางก็หาวหวอดๆอยู่สองสามทีก่อนจะสวมแว่วตากลับเข้าไปที่เดิม นางลืมตาขึ้นอีกครั้งพลางมองไปรอบๆ พงไพรที่อุดมสมบรูณ์แห่งนี้คือที่แห่งใดกัน นางใช้มือเก่าหัวที่ยุ่งเหยิงก่อนจะเพ่งสายตามองให้ชัดอีกครา...

ที่บ้านของคุณตามีสวนแบบนี้ด้วยหรอ?

ในใจยังคิดว่านี้คือบ้านที่ตนนอนพักและหลับไป ด้วยความที่พึ่งตื่นนางจึงไม่ได้เอะใจหรือตื่นตระหนกมากนัก นางก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้เหลียวมองหนทางเป็นเหตุให้นางลื่นและพลัดตกลงไปในแอ่งน้ำขนาดเล็ก ร่างกายของนางเปียกปอนและตอนนั้นเองนางถึงได้ตาสว่างเพราะน้ำในแอ่งน้อยๆนั้นเย็นเฉียบ นางลุกขึ้นพร้อมกับย่นคิ้วเข้ามากันพลางคิดทบทวนว่านางมาทำอะไรที่นี่ เมื่อคืนนางยังนอนหลับบนเตียงอยู่เลยมิใช่หรือ แล้วเหตุไฉนถึงได้มาอยู่กลางป่าเขาลำเนาไพรเช่นนี้เมื่อฟื้นคืนสตินางก็รู้สึกใจหายวูบ นางปีนขึ้นมาจากแอ่งน้ำแล้วมองเคว้งไปรอบๆอีกครา

"นี่มันอะไรกัน!?"

นางครางคำพูดในลำคอเพราะเริ่มรับรู้ถึงความผิดแผกแปลกไป หัวใจของนางกระตูกวูบเมื่อทุกสิ่งที่เห็นไม่ชินตาเลยสักอย่าง นางเหยียบย่างไปบนพื้นหญ้าเขียวขจีด้วยเท้าที่เปลือยเปล่า ความเย็นจากพื้นหญ้าทำให้นางรู้ว่านี้มิใช่ความฝัน จ้าวเสี่ยวเฟิ่งเริ่มหายใจไม่ทั่วท้องพลางมองหาคนที่ตนรู้จัก แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีผู้ใดปรากฎตัว

"พ่อคะ? แม่คะ? อยู่ไหนกันได้ยินเสียงหนูรึเปล่า? คุณตา.."

เสียงใสๆเอื้อนเอ่ยอย่างสั่นเครือจ้าวเสี่ยวเฟิ่งเดินไปข้างหน้าโดยไม่รู้จุดหมาย นางมองไปรอบๆครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่รู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ มันเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่ เมื่อนางเดินมาได้สักพักก็พลันได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าหลายตัวกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ สติที่พยายามประคองเอาไว้ก็เตลิดเปิดเปิงไปคนละทิศคนละทาง นางออกตัววิ่งโดยไม่รู้ว่ามีสิ่งใดตามมาด้านหลัง เท้าเปล่าๆเหยียบย่ำไปบนพื้นหญ้าหินและโคลน แต่ถึงนางจะวิ่งเร็วปานใดเสียงฝีเท้าเหล่านั้นก็ยังดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ นางมุ่งตรงไปยังโขดหินใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าหวังจะได้ซ่อนตัวหลบภัย แต่แล้วกลับมีกวางตัวหนึ่งวิ่งตัดหน้านางไปพร้อมลูกดอกธนูที่พุ่งตามมาเฉียดใบหูของนางเพียงเส้นใยแดงผ่าแปด เสี่ยวเฟิ่งสะดุดล้มลงกับดินโคลนก่อนจะถูกฝูงอาชาล้อมหน้าล้อมหลัง

จ้าวเสี่ยวเฟิ่งเงยหน้าขึ้นมองบุรุษเกือบสิบคนบนหลังม้า คนเหล่านั้นแต่งตัวประหลาดราวกับชนเผ่าพื้นเมืองแต่นั้นยังไม่พอเพราะทุกคนบนหลังม้าต่างง้างคันธนูแล้วเลงลูกดอกมาที่นาง

"นี่มันตัวอะไรกัน ข้ามิเคยเห็นมาก่อน?"   ชายร่างใหญ่หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้น

"ใช่ มันเป็นสัวต์ป่าหายากงั้นรึ? "    ชายอีกคนจึงเอ่ยขึ้นอีก ในตอนนั้นเสี่ยวเฟิ่งคิดว่าตนคงไม่รอดแล้วแน่ๆคงต้องตายเพราะลูกดอกธนูปักอก นางยกมือป้องศีรษะของตนทำใจยอมรับกับความเจ็บปวด จนกระทั้งมีเสียงของสตรีนางหนึ่งดังขึ้น

"หลีกไป..."

เสียงนั้นฟังดูหนักแน่น เมื่อนางมาถึงทุกคนก็พลันพลีกทางให้นาง เสี่ยวเฟิ่งทำใจเงยหน้าขึ้นมามอง นางเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวยสีผิวออกน้ำผึ้งนิดหน่อย แต่งตัวเหมือนชนพื้นเมืองเช่นกันแต่แลดูมีความโดดเด่นกว่าเพราะเครื่องประดับและที่สำคัญทุกคนดูยำเกรงนางมาก นางผู้นั้นจ้องเสี่ยวเฟิ่งอย่างพินิจก่อนจะเอ่ยถามพร้อมกับง้างคันธนูใส่

"เจ้าเป็นใคร เป็นคนหรือเป็นสัวต์?"    คำถามนั้นทำเอาเสี่ยวเฟิ่งตัวหดลีบ นางก้มมองร่างกายของตนที่ยังสวมชุดนอนหลายหมีพูทั้งยังสวมที่คาดผมมีหูของมิกกี้เม้าไหนจะแว่วตาหนาๆที่นางใส่อีก มันช่างดูแปลกประหลาดต่อผู้ที่พบเห็น เสี่ยวเฟิ่งยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหนือหัวเพื่อบอกให้รู้ว่านางไม่มีอาวุธก่อนจะตอบกลับไปว่า

"ปะ เป็นคน ฉันเป็นคน"

-

-

ชนเผ่าหลานอี้

จ้าวเสี่ยวเฟิ่งถูกพาตัวกลับมาที่หมู่บ้านของชนเผ่าหลานอี้โดยคุณหนูอี้เฟยลูกสาวของหัวหน้าเผ่า เมื่อได้พูดคุยกันสถานการณ์จึงเริ่มดีขึ้น อี้เฟยต้อนรับเสี่ยวเฟิ่งเป็นอย่างดี หาที่พักพร้อมข้าวและน้ำให้นางดื่มกิน ก่อนที่จะพาเสี่ยวเฟิ่งไปแนะนำกับท่านหัวหน้าเผ่าผู้ซึ่งเป็นบิดาของนาง

กองไฟขนาดใหญ่ถูกจุดขึ้นกลางลานของหมู่บ้านผู้คนมากมายต่างมารอดูนางผู้แปลกประหลาด เสี่ยวเฟิ่งยังใส่ชุดเดิมแต่ตอนนี้มีผ้าห่าคลุมตัวเอาไว้ สายตาของคนในชนเผ่าจับจ้องมาที่นางราวกับว่าเป็นสัวต์หายากที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน สาวน้อยเดินตามอี้เฟยไปอย่างกล้าๆกลัวๆจนกระทั้งมาถึงเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ที่มีท่านหัวหน้าเผ่านั่งอยู่ 

ชายแก่ที่นั่งอยู่ตรงหน้ามีรูปร่างค่อนไปทางท้วมและมีสีผิวที่เข้มเหมือนผงกาแฟ ใบหน้าของเขามีสีแต่งแต้มพร้อมทั้งเขี้ยวเสือที่ห้อยประดับอยู่บนคอ ท่าทีที่เห็นนั้นน่าเกรงขามสมกับที่เป็นถึงท่านหัวหน้า เมื่อเสี่ยวเฟิ่งเดินเข้ามาใกล้และหยุดอยู่เบื้องหน้านางก็โค้งหัวคำนับทันที

"คำนับท่านหัวหน้าเผ่า"

"เจ้าเป็นใครมาจากไหน เหตุใดจึงหลุดเข้ามาในเขตแดนของข้า"     เสียงทุ่มๆของท่านหัวหน้าเอ่ยถาม เสี่ยวเฟิ่งยังระแวดระวังและตื่นกลัวนางถอนหายใจแผ่วเบาก่อนจะตอบออกไป

"ขะ ข้าชื่อจ้าวเสี่ยวเฟิ่ง เป็นคนธรรมดาทั่วไปนี้แหละ แต่เพราะเหตุบางอย่างทำให้ข้าพลัดหลงกับครอบครัว จนได้มาพบกับอี้เฟยบุตรสาวของท่าน.."

"แล้วเจ้าจำได้รึไม่ ว่าเผ่าของเจ้าอยู่ที่ใด"   ท่านหัวหน้าถามต่ออีก

"จำไม่ได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ข้าอยากกลับบ้านแต่ไม่รู้ว่าต้องไปทางไหน..."   เสี่ยวเฟิ่งบอกเสียงเศร้านางกลัวและคิดถึงคนที่บ้านใจจะขาดอยู่แล้ว 

"งั้นรึ...เอาล่ะ ถ้าหากเจ้าไม่มีที่ไปจริงๆเจ้าก็อยู่ที่เผ่าของข้าไปก่อน อยู่จนกว่าเจ้าจะหาทางกลับบ้านของเจ้าได้"

เสี่ยวเฟิ่งได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อยเป็นโชคดีของนางจริงๆ

"ข้าขอบคุณท่านหัวหน้าเผ่า" 

 นางบอกแล้วโค้งคำนับอีกครั้งก่อนที่จะมีหญิงชราหลังค่อมเดินถือไม้เท้าเข้ามาร่วมวงสนทนา และนางชราผู้นั้นก็คือแม่เฒ่าผู้มีญาณทิพย์ของชนเผ่าแห่งนี้ เพียงครั้งแรกที่หญิงชราเห็นเสี่ยวเฟิ่ง นางก็รู้ได้ในทันทีว่าเด็กสาวคนนี้มาจากที่ที่ไกลเพียงใด แต่หญิงชราก็ไม่ได้เอ่ยปากทักท้วง คุณหนูอี้เฟยเดินเข้าไปประครองท่านแม่เฒ่าให้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของจ้าวเสี่ยวเฟิ่ง หญิงชราจ้องเด็กสาวก่อนจะพูดเสียงสั่นว่า

"เดินทางมาไกลมากเลยสินะ พักผ่อนเสียเกิดหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล.."

เมื่อพูดจบท่านแม่เฒ่าก็เดินจากไปทิ้งไว้เพียงความสงสัยที่อยู่ในใจของจ้าวเสี่ยวเฟิ่ง ท่านแม่เฒ่าผู้นี้เหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ เสี่ยวเฟิ่งได้แต่เก็บงำความสงสัยนั้นไว้ พร้อมกับใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพื่อรอหาหนทางกลับบ้าน...

-

-

-

ตอนที่ 3 ชนเผ่าหลานอี้ .2

มิติรักบัลลังก์หงษ์

ตอนที่ 3 ชนเผ่าหลานอี้ .2

เสี่ยวเฟิ่งได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวชนเผ่าหลานอี้จนเริ่มคุ้นชินกับการเป็นอยู่ ผู้คนในชนเผ่าไม่ได้น่ากลัวเหมือนเช่นที่นางคิดเอาไว้แต่แรก ทุกคนล้วนเป็นมิตรยิ้มแย้มแจ่มใสและยังชอบช่วยเหลือนางสาระพัด ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้เอ็นดูนางเหมือนเด็กน้อยพึ่งหัดเดินไม่ว่าจะทำอะไรจะมีคนคอยช่วยประคบประคองอยู่เสมอ ร่วมทั้งอี้เฟยก็เอ็นดูเสี่ยวเฟิ่งดั่งน้องสาวในอุทร เพราะแบบนี้นางจึงสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจ เป็นเวลาเดือนเศษๆแล้วที่เสี่ยวเฟิ่งเรียนรู้ทุกอย่างจากคนที่นี่ แม้จะไม่รู้ว่าตนนั้นพลัดหลงมาอยู่ที่ไหนแต่สถานที่แห่งนี้ก็ทำให้นางรู้สึกว่า นี่คือบ้านอีกหลังที่นางเริ่มมีความผูกพันแน่นแฟ้น อี้เฟยสอนเสี่ยวเฟิ่งยิงธนูและสอนขี่ม้าจนชำนาญนางเรียนรู้ทุกอย่างที่อี้เฟยถ่ายทอดให้ แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวเฟิ่งก็มีดี เพราะนางมีวิชาฟันดาบและกระบองติดตัวมา นางควงกระบองอย่างชำนาญให้ชาวชนเผ่าได้ชมพร้อมกับสอนการฟันดาบให้คนในเผ่าเช่นกัน เพราะส่วนมากคนที่นี่จะใช้แค่หอกและธนูเท่านั้นการฟันดาบและกระบองจึงถือเป็นเรื่ องใหม่ เสี่ยวเฟิ่งฝึกฝนทุกวันจนชำนาญทั้งกระบี่และกระบอง และเริ่มจะกลายเป็นชาวชนเผ่าหลานอี้อย่างเต็มตัว

ในขณะที่เสี่ยวเฟิ่งและอี้เฟยกำลังพูดคุยกันเรื่องฟันดาบอยู่นั่นก็มีกลุ่มคนบนหลังม้ามุ่งหน้าเข้ามายังหมู่บ้าน อี้เฟยหันไปยิ้มด้วยความดีใจก่อนจะรุดเข้าไปหากลุ่มชายฉกรร์

"ท่านพี่กลับมาแล้ว"  อี้เฟยพูดด้วยรอยยิ้มที่เปื้อนเต็มใบหน้าก่อนที่ชายผู้นั้นจะกระโดดลงจากหลังม้าแล้วสวมกอดนางเอาไว้ เสี่ยวเฟิ่งค่อยๆเดินเข้าไปหาเพราะอยากรู้ว่าผู้มาเยือนนั้นเป็นใคร

"เสี่ยวเฟิ่ง..นี่พี่ชายข้าเองหลานอี้หลง.."

ชายที่พึ่งดึงผ้าโพกหัวออกนั้นหล่อเหลาราวกับรูปปั้นแกะสลักผมเผ้าของเขายุ่งเหยิงเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสง่างามลดน้อยลงเลย จ้าวเสี่ยวเฟิ่งเดินเข้ามาพร้อมโค้งคำนับด้วยรอยยิ้ม เพียงชั่วครูที่บุรุษหนุ่มได้ยลโฉมใบหน้านวลของหญิงสาวผู้พลัดถิ่น ก็พลันตกหลุมรักในทันใดดวงตาคมจ้องนางมิวางตาจนอี้เฟยต้องใช้ข้อศอกกระทุ้งเอวของพี่ชายเบาๆ..

"ไปหาท่านพ่อเถิด ท่านพ่อรออยู่"   อี้เฟยพูดแล้วยิ้มส่วนอี้หลงนั้นได้เพียงพยักหน้าแต่สายตายังจับจ้องที่เสี่ยวเฟิ่งอยู่ จากนั้นเขาจึงเข้าไปรายงานตัวกับท่านพ่อ หลังจากที่อี้หลงนำชายหนุ่มที่แข็งแกร่งของหมู่บ้านออกลาดตระเวนยังเขตแดนของตน เขาก็นำเรื่องที่พบเห็นมารายงานให้ผู้เป็นบิดาได้รับฟัง บุรุษหนุ่มผู้มีท่าทีองอาจเดินเข้ามาทำความเคารพแล้วเอ่ยขึ้น

"ข้าคำนับท่านพ่อ..."

"เจ้าออกไปลาดตระเวนครั้งนี้เป็นเช่นไรบ้าง?"   ผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม

"เขตแดนของเรายังไม่มีผู้ใดกล้าลุกล้ำ แต่หมู่บ้านข้างเคียงนั้นถูกโจรป่าบุกปล้นสะดมและเข่นฆ่าผู้คนในเผ่าจนสิ้นชื่อ เหลือเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตและกำลังจะย้ายถิ่นฐานไปที่อื่น.."

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นผู้เป็นบิดาจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะนับวันไอ้โจรภูป่าพวกนี้มันยิ่งเก่งกาจและแข็งข้อขึ้นเรื่อยๆ มันบุกปล้นชนเผ่าต่างๆจนต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น เห็นทีจะมีเพียงชนเผ่าหลานอี้กระมังที่ยังลงหลักปักฐานไม่ยอมไปไหน..เมื่อรับรู้ถึงความเป็นไปท่านหัวหน้าเผ่าก็มีคำสั้งให้ทุกคนระแวดระวังตัว เพราะชนเผ่าโดยรอบนั้นย้ายหนีกันไปหมดแล้ว เหลือเพียงเผ่าของตนที่ยังอยู่และเหมือนจะเป็นเป้าหมายการปล้นในครั้งต่อไป แต่ทว่าเผ่าหลานอี้นั้นค่อนข้างมีชื่อเรื่องการต่อสู้ทั้งเหล่าชายฉกรรจ์ล้วนมีพละกำลังที่แข็งแกร่งจนพวกโจรยังหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อยจึงไม่ง่ายเลยที่จะบุกปล้นชนเผ่าแห่งนี้...

หลังจากนั้นหลายวันอี้หลงผู้มีความพึงใจต่อเสี่ยวเฟิ่งก็พยายามทำตัวใกล้ชิดสนิทสนม แม้ฝ่ายหญิงจะไม่มีท่าทีตอบรับแต่ชายหนุ่มก็ยังหลงไหลได้ปลื้มอยู่เพียงลำพัง เพราะความยังเด็กของเสี่ยวเฟิ่งนางจึงไม่รู้ว่าว่าหลานอี้หลงนั้นรักใคร่ชอบพอนางเพียงใด นางพูดคุยกับเขาและนับถือเขาดั่งพี่ชายเหมือนเช่นที่นางนับถืออี้เฟยดั่งพี่สาว แต่บุรุษผู้ที่งามทั้งกายและใจก็ยอมทำตามทุกอย่างที่เสี่ยวเฟิ่งต้องการ แม้เขาจะอยากได้นางมาไว้เชยชมแต่เมื่อนางมองเขาเป็นแค่พี่ชายเขาก็เต็มใจที่จะเป็นพี่ชายให้กับนาง แต่ถึงอย่างนั้นอี้หลงก็ดูแลเสี่ยวเฟิ่งเป็นอย่างดีเพราะนางเป็นดั่งดอกไม้งามกลางทุ่งกระทิงที่ต้องคอยประคบประหงมมิได้ให้เหล่ากระทิงถึกมาเหยียบย่ำให้บอบช้ำ

หลายวันต่อมาเสี่ยวเฟิ่งเกิดเศร้าใจเพราะคิดถึงบ้าน นางไม่รู้ว่าต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหนแล้วคนที่บ้านเล่าจะเป็นห่วงนางมากเพียงใด นางนั่งเหม่ออยู่ที่ริมแม่น้ำก่อนที่อี้หลงและอี้เฟยจะเดินเข้ามาหา

"เสี่ยวเฟิ่งเจ้าอยู่นี่นี่เอง พวกข้าเป็นห่วงแทบแย่"   อี้เฟยพูดแล้วนั่งลงข้างๆส่วนอี้หลงนั้นยืนเอนหลังพิงโขดหินอยู่ เมื่อทั้งคู่มองใบหน้าที่แลดูเศร้าสร้อยของเสี่ยวเฟิ่งก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ

"เสี่ยวเฟิ่ง เจ้ามีสิ่งใดไม่สบายใจงั้นรึ?"     อี้หลงเอ่ยถาม

"เปล่า ข้าแค่คิดถึงบ้าน ไม่รู้ว่าคนที่บ้านจะเป็นห่วงมากแค่ไหน ข้าไม่รู้จริงๆว่าหนทางกลับบ้านต้องไปยังไง"     เสี่ยวเฟิ่งบอกเสียงเศร้า อี้เฟยจึงโอบไหล่นางเอาไว้

"อย่าวิตกไปเลย ข้าเชื่อว่าสักวันเจ้าต้องเจอหนทางกลับบ้านของเจ้าอย่างแน่นอน แต่เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าการที่เจ้าพลัดหลงมาเจอพวกข้า อาจเป็นโชคชะตาที่เรามีร่วมกัน  "

เมื่อเสี่ยวเฟิ่งได้ฟังอี้เฟยพูดเช่นนั้น คำพูดของคุณตาก็ดังแว่วเข้ามาในหู คุณตาเคยบอกเอาไว้ว่าอย่ายอมแพ้ต่อโชคชะตานางต้องมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว นางต้องไม่ยอมแพ้หรือถอดใจอะไรง่ายๆ และนางจะต้องหาหนทางกลับบ้านให้ได้ในที่สุด เสี่ยวเฟิ่งหันไปยิ้มให้อี้เฟยพร้อมกล่าวคำขอบคุณ

"ขอบคุณท่านพี่ทั้งสอง การได้มาเจอพวกท่านถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตข้า"   นางยิ้มด้วยความจริงใจ จากนั้นเพียงชั่วครู่นางก็เหลือบไปเห็นกลุ่มแม่บ้านของชนเผ่ากำลังย้อมสีผ้าอยู่ นางจึงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นางอยากจะตอบแทนที่พวกเขาดีกับนางมากขนาดนี้ เสี่ยวเฟิ่งจึงขอให้อี้หลงนำผ้าขาวและสีย้อมผ้าทุกสีมาให้นางก่อนจะลงมือวาดภาพโดยมีอี้หลงและอี้เฟยเป็นแบบให้ สองพี่น้องตระกูลหลานอี้ไม่รู้ว่าเสี่ยวเฟิ่งกำลังจะทำอะไร แต่เมื่อนางบอกให้นั่งเฉยๆก็ยอมทำตามอย่างว่าง่าย ผ่านไปไม่กี่ชั่วยามงานศิลปะของเสี่ยวเฟิ่งก็เสร็จสิ้น นางใช้ผ้าอีกผืนปิดภาพวาดเอาไว้ก่อนจะเรียกให้สองพี่น้องนั่นมาดู

"เสร็จแล้วพวกท่านทั้งสองมาทางนี้เร็วเข้า"

"เจ้าทำอะไรงั้นรึ?"   ทั้งอี้เฟยและอี้หลงต่างฉงนสงสัย เสี่ยวเฟิ่งจึงยื่นภาพวาดให้กับทั้งคู่ และภาพวาดบนผ้าขาวสองผืนนั้นคืออี้หลงและอี้เฟยนั่นเอง ทั้งคู่ตกตลึงกับการแต่งแต้มสีบนผืนผ้าของนาง ภาพที่นางวาดราวกับมีชีวิตจิตใจ ทั้งคู่ชอบของขวัญที่เสี่ยวเฟิ่งมอบให้เป็นอย่างมาก หลังจากนั้นสองพี่น้องก็นำภาพวาดที่แสนวิจิตรไปให้ท่านพ่อของตนได้ดูและท่านหัวหน้าเผ่าก็เอ่ยปากชมไม่หยุด เสี่ยวเฟิ่งจึงขอวาดรูปท่านหัวหน้าเผ่าเพิ่มอีกรูป และเมื่อวาดเสร็จก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของท่านหัวหน้าเผ่าเป็นอย่างมาก

ข่าวการวาดภาพของนางนั้นเลื่องลือไปทั่วหมู่บ้าน ผู้คนไม่น้อยต้องการอยากจะได้ภาพเหมือนของตนไว้เชยชม แต่เสี่ยวเฟิ่งก็ไม่ขัดข้องนางยินดีวาดให้ทุกคนเพื่อเป็นการตอบแทนที่คนในเผ่าแห่งนี้รักและเอ็นดูนาง ต่อให้มือที่จับภู่กันจะพองจนเจ็บแสบแต่รอยยิ้มที่นางได้รับกลับมามันคุ้มค่ายิ่งกว่า สิ่งเล็กๆน้อยๆที่พอจะตอบแทนได้ นางยินดีอย่างยิ่งที่จะทำ...

ภาพรอยยิ้มเหล่านั้นเป็นสิ่งที่น่าจดจำที่สุด เสี่ยวเฟิ่งมองทุกคนด้วยความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง เพราะเมื่อใดที่นางหาทางกลับบ้านได้นางจะไม่ลืมผู้คนเหล่านี้โดยเด็ดขาด แต่ทว่านางไม่รู้เลยว่านี้อาจจะเป็นรอยยิ้มสุดท้ายที่นางจะได้เห็น...

-

-

-

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!