กลุ่มเพื่อนนักศึกษาที่ประกอบด้วยนัท อาร์ต อิง ตูน โชค และแป้งต่างตกลงกันว่าจะไปตั้งแคมป์ช่วงปิดเทอมเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
นัท เด็กหนุ่มผู้รักธรรมชาติ มีความเป็นผู้นำและเป็นคนที่มักจะรับหน้าที่ดูแลและตัดสินใจให้กลุ่มเสมอ เขามีท่าทางสุขุม ใจเย็น และชอบสำรวจโลกภายนอก แม้ป่าลึกจะดูน่ากลัวในสายตาคนอื่น แต่นัทกลับมองว่ามันคือความท้าทายและธรรมชาติที่เขาหลงใหล
อาร์ต เป็นคนอารมณ์ร้อนและใจร้อน แต่ก็รักเพื่อนสุด ๆ ใครกล้ามาแกล้งเพื่อนของเขาเขาจะปกป้องอย่างเต็มที่ อาร์ตมีนิสัยหุนหันพลันแล่น ไม่ชอบอะไรที่อืดอาด แต่ในความใจร้อนนั้นก็มีจิตใจที่อ่อนโยนและจริงใจ เมื่อมีเรื่องตื่นเต้นหรือเสี่ยง ๆ อาร์ตจะเป็นคนแรกที่ท้าให้ทุกคนลอง
อิง สาวที่เชื่อเรื่องผีเป็นชีวิตจิตใจ ตั้งแต่เด็กเธอชอบฟังเรื่องผีและดูหนังสยองขวัญ แม้จะรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะค้นหาและเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ อิงมักจะเล่าเรื่องผีหรือเรื่องลึกลับให้เพื่อนฟัง และชวนเพื่อน ๆ เล่นเกมเสี่ยง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอเชื่อ
ตูน เด็กหนุ่มขี้เล่นและเจ้าของเสียงหัวเราะที่ดังและสดใส ตูนมีความมั่นใจในตัวเองสูงและไม่กลัวสิ่งใด เป็นคนที่ชอบสร้างเสียงหัวเราะให้กับเพื่อน ๆ และมักจะทำตัวเป็นตัวป่วนในกลุ่ม ตูนชอบแหย่เพื่อนโดยเฉพาะคนที่กลัวผีและมองว่าเรื่องพวกนี้เป็นแค่ความเชื่อที่ไร้สาระ
โชค หนุ่มผู้ใจดีและอ่อนโยน มีจิตใจที่ใสซื่อและมองโลกในแง่ดี แต่ขณะเดียวกันก็กลัวเรื่องผีมากที่สุดในกลุ่ม ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อเรื่องเหล่านี้ แต่เขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกเมื่อได้ยินเรื่องลึกลับ โชคเป็นคนที่มีสัญชาตญาณไวต่อความผิดปกติรอบตัว และมักจะรับรู้ถึงบางอย่างที่เพื่อนคนอื่นไม่รู้สึก
แป้ง สาวน้อยเงียบ ๆ ขี้อายแต่มีความชอบในเรื่องสยองขวัญ เธอมักจะนั่งอยู่เงียบ ๆ อ่านหนังสือเรื่องผีและสืบสวนลี้ลับ เป็นคนรอบคอบและชอบสังเกตรายละเอียด แป้งไม่ค่อยพูดมากแต่มีความคิดลึกซึ้ง เธอเชื่อว่าบางครั้งความเงียบสามารถบอกอะไรบางอย่างได้มากกว่าคำพูด
พวกเขารวมตัวกันที่ห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เปิดแล็ปท็อปเพื่อค้นหาสถานที่แคมป์ปิ้งที่เหมาะสม หลังจากเลือกดูหลายเว็บ จู่ ๆ อิงก็พบข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจมาก
เว็บไซต์ที่อิงเจอนั้นมีเพียงหน้าเว็บเรียบง่าย ไม่มีข้อมูลอะไรเยอะนัก แต่กลับมีรูปภาพของพื้นที่แคมป์ที่ดูสวยงามอย่างน่าเหลือเชื่อ
ท่ามกลางธรรมชาติที่เขียวขจี ต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ร่มเงา และบรรยากาศที่ดูสงบเงียบ ทำให้ทุกคนตื่นเต้นที่จะได้ไปสัมผัสบรรยากาศแบบนี้
เมื่อเลื่อนลงมาที่รายละเอียดของแคมป์ ก็พบกับข้อมูลที่ดูเหมือนจะทำให้พวกเขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ราคาค่าเช่าที่ตั้งแคมป์นั้นถูกกว่าที่อื่นมากจนน่าแปลกใจ
แม้สถานที่ตั้งจะอยู่ในป่าลึกและเดินทางลำบากเล็กน้อย แต่เพื่อน ๆ ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่านี่น่าจะเป็นทริปที่คุ้มค่ากับการลองออกไปผจญภัยสักครั้ง
พวกเขาติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่แปะไว้ในหน้าเว็บ เมื่อมีคนรับสาย ปลายสายเป็นเสียงผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่งพูดเสียงเย็น ๆ แนะนำว่าถ้าพวกเขาเลือกมาพักที่นี่ ควรเตรียมเสบียงมาให้พอและควรอยู่ด้วยกันเสมอ
"สถานที่ที่นี่จะเงียบหน่อย ถ้าพวกหนูชอบความสงบ สถานที่นี้เหมาะมาก"
เสียงผู้หญิงพูดทิ้งท้ายก่อนจะวางสายไปอย่างรวดเร็ว
ตูนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดกับเพื่อน ๆ ว่า
“ดูจะหลอน ๆ นะ แต่ก็ดี แบบนี้น่าตื่นเต้นดี”
เพื่อน ๆ ก็หัวเราะไปกับเขา บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสธรรมชาติกลางป่าลึก
วันออกเดินทางมาถึง พวกเขาขับรถไปตามเส้นทางที่ผู้ดูแลแนะนำ ซึ่งเป็นถนนลูกรังแคบ ๆ ที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อและโค้งคดเคี้ยว
สองข้างทางเริ่มเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ บางครั้งเหมือนเงาของต้นไม้โน้มเข้าหากันจนแทบจะปกคลุมเส้นทางไว้หมด มันเป็นเส้นทางที่เปลี่ยวมาก ไม่มีรถสัญจรผ่านเลยตลอดทาง และยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความเงียบงันที่ชวนให้รู้สึกวังเวง
หลังจากขับมานานจนทุกคนเริ่มสงสัยว่าตัวเองมาผิดทางหรือไม่ ในที่สุดก็เจอกับป้ายไม้เก่า ๆ ที่เขียนไว้ว่า "ที่ตั้งแคมป์สวนลับ"
ป้ายที่ดูผุพังเหมือนถูกทิ้งไว้ในป่านานนับปี แต่สิ่งนี้กลับทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นอีก พวกเขาจอดรถแล้วนำสัมภาระลงมา เตรียมตัวเข้าป่าตามเส้นทางเดินเล็ก ๆ ที่อยู่หลังป้าย
เมื่อเดินเข้าไปตามทางลึกลงไปเรื่อย ๆ ความเงียบและกลิ่นดินชื้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น พวกเขาเดินกันมาเป็นเวลานาน
จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ และพบสำนักงานเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่และดอกไม้หลากสีที่ล้อมรอบ สำนักงานนั้นตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และกระถางต้นไม้เล็ก ๆ ที่วางเรียงอยู่ตามมุมห้อง
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้อบอวลไปทั่ว ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวาและอบอุ่นอย่างน่าประหลาด แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา ทำให้ห้องดูสว่างสดใสกว่าที่คิด
พนักงานต้อนรับเป็นหญิงวัยกลางคน ใบหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร เธอต้อนรับพวกเขาอย่างใจดี แนะนำรายละเอียดต่าง ๆ ของแคมป์และถามไถ่ทุกคนอย่างใส่ใจ
ข้าง ๆ กันนั้นเป็นชายชราผู้ดูแลพื้นที่ในชุดเสื้อเชิ้ตเก่า ๆ ที่ดวงตาฉายแววใจดีและเต็มไปด้วยความอบอุ่น เขาพยักหน้าให้พวกเขาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่แสดงออกถึงความเอ็นดู
เด็กหนุ่มวัยรุ่นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชายชราดูจะมีหน้าที่เป็นผู้นำทาง เขาสวมเสื้อกันหนาวสีเข้ม ดูเป็นคนสุขุมและค่อนข้างเงียบ แต่ก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในการทำงาน
เด็กหนุ่ม "สวัสดีครับ ผมชื่อเติ้ล จะพาพวกคุณไปยังจุดกางเต็นท์นะครับ"
เขาแนะนำตัวและกล่าวว่าจะพาพวกเขาไปยังจุดกางเต็นท์ ทั้งกลุ่มรู้สึกสบายใจขึ้นทันทีเมื่อได้เห็นความสดชื่นของที่นี่ บรรยากาศโดยรอบเหมือนจะต้อนรับพวกเขาเข้าสู่ทริปที่เต็มไปด้วยความผ่อนคลายและความสุข
เติ้ลพาพวกเขาเดินตามทางเดินเล็ก ๆ ที่ปูด้วยหินและทราย ผ่านใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่าน เมื่อพวกเขาไปถึงลานกางเต็นท์ กลุ่มนักศึกษาถึงกับหยุดมองอย่างตื่นเต้น
ที่ตรงหน้าเป็นพื้นที่กว้างขวาง มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านกลางลาน น้ำใสแจ๋วที่ไหลไปตามโขดหินก่อให้เกิดเสียงดังพริ้วไหว สร้างความสดชื่นและชีวิตชีวาให้กับบรรยากาศ
ลานกางเต็นท์เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่สนุกสนาน เด็ก ๆ วิ่งเล่นและหัวเราะเสียงดัง ขณะที่ผู้ใหญ่บางคนกำลังตั้งเต็นท์ บางกลุ่มกำลังนั่งอยู่ริมลำธาร จิบเครื่องดื่มและสนทนาอย่างร่าเริง
สายลมพัดผ่านเบา ๆ พัดพาความรู้สึกสดชื่นมาถึงทุกคนในกลุ่ม สภาพแวดล้อมรอบข้างทำให้พวกเขารู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาที่ไม่ได้คาดหวัง
“นี่มันเยอะกว่าที่คิดไว้มาก!” อาร์ตพูดขึ้นด้วยเสียงตื่นเต้น ขณะที่เขามองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาที่อย่างร่าเริง ตาเป็นประกาย
“ใช่! ดูเหมือนว่าจะมีกิจกรรมให้เราทำเยอะมาก” แป้งเสริมอย่างร่าเริง ตาเป็นประกายจากการเห็นนักท่องเที่ยวที่สนุกสนานรอบตัว
“น่าจะเป็นช่วงที่ดีสำหรับการตั้งแคมป์” นัทกล่าวด้วยรอยยิ้ม ท่าทางเขาดูมีความสุขเมื่อเห็นบรรยากาศคึกคักเช่นนี้
“จริงด้วย!” ตูนตอบรับพร้อมกับยิ้มกว้าง “เราน่าจะสนุกกันมากแน่!”
เติ้ลพาชี้จุดที่เหมาะสมสำหรับการตั้งเต็นท์ ซึ่งอยู่ใกล้กับลำธารและมีพื้นที่กว้างพอให้พวกเขาทำกิจกรรมได้มากมาย เขาอธิบายเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ และบอกให้พวกเขารู้ว่ามีกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การตกปลาและการเล่นน้ำ ที่พวกเขาสามารถเข้าร่วมได้
ทั้งหกคนเริ่มช่วยกันตั้งเต็นท์ โดยนัททำหน้าที่เป็นผู้นำ พวกเขาแบ่งหน้าที่กันอย่างมีระเบียบ
อาร์ตและโชคช่วยกันยึดเสาเต็นท์ให้มั่นคง ขณะที่อิงและแป้งจัดการคลุมเต็นท์ด้วยผ้าใบ ขณะที่ตูนวิ่งไปวิ่งมา สร้างเสียงหัวเราะและความสนุกสนานอยู่ไม่ไกล โดยการแหย่เพื่อน ๆ ที่กำลังทำงานอยู่
“เร็วเข้า ๆ ต้องทำให้เสร็จก่อนที่จะเล่นน้ำ!" ตูนพูดพลางทำท่าเล่นน้ำ โดยเอามือแกล้งสาดน้ำใส่โชคที่กำลังตั้งใจทำงานอยู่
“เฮ้ย! อย่าให้เปียก!” โชคร้องขึ้น แต่ก็ยิ้มออกมาในขณะที่เขาพยายามหลบหลีก
ไม่นานนัก เต็นท์ก็เสร็จเรียบร้อยและตั้งอยู่ตรงจุดที่เหมาะสม ลมเย็นพัดผ่านมาเบา ๆ ทำให้บรรยากาศสดชื่นยิ่งขึ้น หลังจากนั้น พวกเขาก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พร้อมสำหรับการเล่นน้ำในลำธาร
เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว พวกเขารีบวิ่งไปยังลำธารที่ใสสะอาด น้ำเย็นฉ่ำกระเซ็นขึ้นเมื่อทุกคนกระโดดลงไปในน้ำ
เสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วบริเวณ ทุกคนสนุกสนานอย่างเต็มที่ น้ำที่เย็นสบายทำให้รู้สึกสดชื่น แม้จะมีเสียงน้ำไหลเบา ๆ เป็นพื้นหลัง แต่ความสนุกสนานของพวกเขากลับกลบเสียงนั้นจนหมดสิ้น
อิงและแป้งกระโดดลงไปอย่างสนุกสนานก่อนที่จะเริ่มเล่นน้ำกับอาร์ต
ขณะที่โชคและนัทอยู่ที่ริมฝั่ง พยายามตกปลาเล็ก ๆ ด้วยความหวังว่าอาจจะได้ปลากลับไปทำอาหารในมื้อค่ำ
ตูนว่ายน้ำไปหาพวกเขา ก่อนที่จะมีการเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน ทุกคนต่างหัวเราะเสียงดัง แบ่งปันช่วงเวลาอันมีค่าและน่าจดจำร่วมกัน
บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุขและความสดใส เป็นภาพที่สวยงามของมิตรภาพในช่วงเวลาที่ไม่อาจลืมเลือนนี้
เมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า สาดแสงสีส้มทองลงมาบนผืนน้ำในลำธาร ทุกคนในกลุ่มค่อย ๆ ขึ้นจากน้ำ โดยมีเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยกันไปตลอดทางขึ้นฝั่ง นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยขึ้นจากน้ำเช่นกัน ทำให้บรรยากาศคึกคักขึ้นมาก
“ดูพระอาทิตย์สิ! สวยมาก!” แป้งกล่าวด้วยความตื่นเต้น ขณะที่เธอมองไปที่ท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี
“ใช่! มันเหมือนกับว่าทุกอย่างอยู่ในภาพวาด” อิงเสริมด้วยรอยยิ้มที่สดใส
“ไปเถอะ เราควรเริ่มทำอาหารกันได้แล้ว” นัทพูดขึ้น โดยชี้ไปยังเต็นท์ที่มีอุปกรณ์ทำอาหารวางอยู่
ทุกคนเริ่มช่วยกันจัดเตรียมอาหารที่นำมาจากบ้าน เช่น ข้าว สัตว์ปีก และผักสด พวกเขาตั้งเตาไฟและเริ่มทำอาหารด้วยกันอย่างสนุกสนาน
“ทำอาหารในป่านี่มันทำให้รู้สึกดีจริงๆนะ!” ตูนพูดพลางหยิบไม้เสียบลูกชิ้นขึ้นมา เขาแกล้งชูไม้ขึ้นอย่างเป็นพิธี โดยทำเสียงแปลก ๆ
“ขอเชิญทุกคนมาร่วมสรรค์สร้างเมนูพิเศษของพวกเราครับ!”
“เฮ้! ระวังไฟไหม้!” โชคร้องขึ้นด้วยความกลัว ขณะที่เขายิ้มออกมา
“ถ้ากูเป็นคนทำอาหาร มันต้องไหม้แน่ ๆ”
“ไม่ต้องห่วง! กูอยู่ที่นี่แล้ว” อาร์ตพูดพลางยิ้มให้กับโชค “แต่ถ้าหมายถึงการไหม้ให้ได้ใจ ก็คงเป็นเรื่องจริง”
หลังจากที่อาหารเสร็จเรียบร้อย ทุกคนเริ่มนั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟที่ลุกโชติช่วง บรรยากาศเป็นไปอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยดังอยู่รอบ ๆ ในขณะที่พวกเขากินอาหารที่ร่วมกันทำ
“เฮ้! มีใครเคยเจอเรื่องผี ๆ มาบ้างไหม?” ตูนถามอย่างขี้เล่น ขณะที่เขาเคี้ยวอาหารไปด้วย “ถ้าเกิดเจอผีขึ้นมาจริง ๆ เราจะทำยังไงกัน?”
“ไม่ต้องพูดเรื่องนั้นเลย!” โชคตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงตกใจ “เราแค่ต้องมีสติ และพยายามไม่ทำให้ผีโมโหก็พอ”
“หรือไม่ก็ควรตั้งใจให้เขาเข้ามาเล่นกับเราด้วย!” อิงพูดพลางหัวเราะ “เอาเป็นว่า ถ้ามีใครเห็นผี มันต้องไม่ใช่ฉันแน่ ๆ”
“ถ้ากูเห็นผีจริง ๆ กูจะเป็นคนแรกที่วิ่งหนี!” อาร์ตพูดเสียงดัง ขณะที่ทุกคนหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
ในขณะที่พวกเขานั่งคุยกันนั้น ความเงียบสงบของป่ากลับถูกเสียงหัวเราะของกลุ่มนักศึกษาขับไล่ไปชั่วคราว บางครั้ง เสียงของธรรมชาติก็เริ่มส่งเสียงเบา ๆ ราวกับมีบางสิ่งที่คอยเฝ้ามองอยู่ในความมืด แต่ในความสนุกสนานนั้น ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น…
ทั้งหกคนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จนเวลาล่วงเลยถึงห้าทุ่ม อากาศเริ่มเย็นเยือกขึ้น ชวนให้รู้สึกถึงความลึกลับของป่า
อิง: (ยิ้มๆ) “เพื่อนๆ! ทำไมเราไม่ลองเล่นผีถ้วยแก้วกันล่ะ? มันสนุกมากเลยนะ!”
อาร์ต: (เลิกคิ้ว) “ผีถ้วยแก้ว? กูไม่อยากให้เรานึกถึงเรื่องน่ากลัวในคืนนี้หรอกนะ”
นัท: (เป็นผู้นำ) “แต่ก็น่าสนใจนะ อิง ถ้าทุกคนโอเค เราลองดูก็ได้”
ตูน: (หัวเราะ) “กูไม่เชื่อเรื่องผีอยู่แล้ว ถ้าจะให้เล่น ผีถ้วยแก้วมันก็แค่เกม ไม่มีอะไรจริงจังหรอก”
โชค: (ตาโต) “แต่ถ้าเกิดว่ามันจริงล่ะ? กูไม่อยากเจออะไรแปลกๆ นะเว้ย”
แป้ง: (นั่งอ่านหนังสือที่ถืออยู่) “มันเป็นแค่การตั้งคำถามกับสิ่งที่เราไม่เข้าใจ แต่ถ้าทุกคนเห็นพ้องกัน เราก็ยินดีที่จะลอง”
อิง: (ยิ้มกว้าง) “ดีมาก! งั้นเราจัดโต๊ะกลางกองไฟกันเถอะ”
กลุ่มเพื่อนเริ่มจัดเตรียมโต๊ะด้วยแก้วน้ำสี่ใบ และตั้งมันท่ามกลางความมืด เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยเริ่มสงบลง เมื่อทุกคนตั้งใจฟังอิงอธิบายวิธีการเล่น
อิง: “เราจะวางนิ้วชี้ไว้บนแก้ว แล้วถามคำถาม เมื่อคำถามถูกถาม แก้วจะเคลื่อนที่ถ้า...”
ตูน: (ขัดขึ้น) “ถ้าผีมีอยู่จริงไง? เอาสิ ถ้าแก้วไม่เคลื่อนก็พิสูจน์ได้ว่ามันไม่มีจริง!”
นัท: “ก็ลองดูนะ ถ้ามันไม่เคลื่อนก็ถือว่าเราไม่ต้องกลัวกัน!”
เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จ อิงเริ่มถามคำถามแรกอย่างตื่นเต้น ในขณะที่ทุกคนจับมือกันรอบแก้วด้วยสีหน้าจริงจัง แม้ว่าอาร์ตจะยังรู้สึกไม่แน่ใจเกี่ยวกับการเล่นในคืนที่มืดมิดนี้
อิง: “ถ้ามีใครอยู่ที่นี่ โปรดแสดงตัว!”
ในช่วงแรก แก้วไม่เคลื่อนที่ แต่ทันใดนั้น เสียงลมพัดผ่านทำให้ไฟในกองไฟสั่นไหว ทั้งหกคนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ขณะที่ตูนยังคงทำเป็นไม่เชื่อ แต่ก็เริ่มมีอาการกระวนกระวายใจ
โชค: (เสียงสั่น) “หวังว่าวันนี้มันจะไม่เกิดอะไรแปลกๆ นะ?”
นัท: “เรามาที่นี่เพื่อผจญภัย และนี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของมัน!”
ความเงียบปกคลุมรอบกองไฟ ทุกคนยังคงจับมือกันไว้บนแก้วอย่างตั้งใจ จ้องมองแก้วน้ำที่วางอยู่ตรงกลางโต๊ะด้วยความคาดหวัง แต่เวลาเคลื่อนผ่านไปก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แก้วยังคงนิ่งสนิท
ตูน: (ยิ้มมุมปาก) “หรือว่าผีเขาไม่รู้ว่าเราเชิญเขาน่ะสิ? ถ้างั้นเรามาระบุตัวกันไปเลยดีกว่า....เชิญผีที่เคยตายในป่าแห่งนี้มาแทนสิ!”
โชค: (ตาโตทันที) “เฮ้ย! อย่าเล่นแบบนี้สิ มันอาจจะเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ก็ได้นะ!”
แป้ง: (พูดเบาๆ) “บางทีตูนอาจจะพูดถูกนะ บางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้ว่าเรากำลังติดต่ออยู่”
อิง: (ตื่นเต้น) “ดีเลย ถ้าอย่างนั้นเราจะลองเจาะจงถามนะ”
ทุกคนพยักหน้าและก้มหน้าลง ใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความกังวลเล็กน้อย พวกเขาค่อยๆ หลับตาเพื่อสร้างสมาธิขณะที่อิงเริ่มตั้งจิตและถามอีกครั้งด้วยเสียงอันจริงจัง
อิง: (เสียงแผ่วเบา) “ถ้าผู้ใดที่เคยล่วงลับในป่าแห่งนี้ยังคงอยู่ โปรดแสดงตัว”
ทันใดนั้น สายลมเย็นยะเยือกพลันพัดมาวูบหนึ่ง ใบไม้ไหวกรอบแกรบอย่างน่าขนลุก ทำให้หลายคนรู้สึกถึงความผิดปกติในทันที และแม้แต่ตูนที่เคยยิ้มล้อเลียนก็ดูเงียบลง
นัท: (เสียงสั่นเล็กน้อย) “หรือว่า…มันอาจจะมีอะไรจริงๆ?”
อาร์ต: (ทำหน้าจริงจัง) “ถ้ามีอะไรอยู่จริง ก็อย่าเพิ่งเข้ามาหลอกพวกเราได้ไหม?”
บรรยากาศรอบตัวพวกเขายิ่งเงียบลง เหมือนทุกเสียงได้หายไปจากรอบกองไฟ ทันใดนั้น แก้วที่ทุกคนวางนิ้วลงค่อยๆ เคลื่อนไปทางด้านขวาช้าๆ ทุกคนเบิกตาโตด้วยความตกใจ ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร ทุกสายตามองตามการเคลื่อนที่ของแก้วที่ดูเหมือนจะถูกบางสิ่งบังคับให้ขยับไป
โชค: (กระซิบด้วยเสียงสั่น) “ตะ…แต่พวกเรายังไม่ถามอะไรเลยนะ…”
ตูน: (ตื่นตระหนกเล็กน้อยแต่พยายามทำใจกล้า) “หรือว่าเขา…ตอบรับคำเชิญของเราแล้ว?”
ทันใดนั้น อิงเอ่ยคำถามต่อด้วยเสียงแผ่วเบา ขณะที่มือยังจับแก้วไว้แน่น
อิง: “คุณเป็นใคร? คุณต้องการอะไรจากพวกเราหรือเปล่า?”
แก้วนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนไปช้าๆ เป็นวงกลม เหมือนกับว่ามันกำลังสร้างแรงสะกดให้ทุกคนจดจ่อมองอย่างไม่สามารถละสายตาได้
มือของทั้งหกคนยังคงแตะที่แก้วอย่างไม่ลดละ ขณะที่แก้วเริ่มเคลื่อนไปทีละน้อย ผ่านตัวอักษรทีละตัว แต่ละตัวอักษรที่ถูกเลือกปรากฏเป็นคำราวกับมีใครบางคนกำลังสะกดข้อความให้พวกเขาอ่าน
แป้ง: (กระซิบเบาๆ) “มัน…มันเขียนว่าอะไรน่ะ?”
ทุกคนค่อยๆ อ่านตัวอักษรที่แก้วเลื่อนไป สะกดจนได้คำว่า “พ-ว-ก-มึ-ง-ต้-อ-ง-อ-ยู่-ที่-นี่”
ทันทีที่ข้อความชัดเจน จบลงด้วยคำว่า “ที่นี่” ทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เสียงลมพัดกรอบแกรบในป่าดังขึ้นอีกครั้ง สร้างบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นไปอีก
ตูน: (โวยวาย) “ใครสักคนในพวกเราขยับแก้วแน่ๆ กุไม่เล่นแล้ว มันไม่ตลกเลยนะทำแบบนี้!”
อาร์ต: (ตอบกลับด้วยเสียงแข็ง) “ไม่มีใครขยับแก้วหรอก กูรู้สึกได้ว่ามันเคลื่อนเอง กูก็แค่จับเบาๆ เท่านั้น”
นัท: (พยายามปลอบใจ) “ใจเย็นๆ ตูน เราไม่มีใครคิดจะเล่นตลกแน่”
โชค: (เสียงสั่น) “ถ้ามันไม่ใช่พวกเราที่ขยับ แล้วมันคืออะไรล่ะ?”
แป้ง: (กระซิบเสียงแผ่ว) “นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว…”
ท่ามกลางความเงียบที่ชวนให้ขนลุก อิงหันไปมองตูนด้วยสีหน้าจริงจัง สายตาเธอเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและเตือนเขาเสียงสั่น
อิง: “ตูน! มึงห้ามปล่อยมือออกจากแก้วเด็ดขาดจนกว่าเราจะเชิญวิญญาณออกจากแก้ว ไม่งั้นเราอาจจะทิ้งอะไรไว้ในนี้ก็ได้!”
ตูน: (โวยวาย) “กูไม่เชื่อเรื่องพวกนี้! นี่มันแค่เกมไร้สาระ และกูไม่อยากเล่นต่อแล้ว!”
นัท: (พยายามเกลี้ยกล่อม) “ใจเย็นๆ ตูน เรามาเล่นกันแล้วก็ต้องเล่นให้จบ ถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมาจริงๆ เราทุกคนจะเดือดร้อนกันหมดนะ”
ตูนถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด และจำใจวางนิ้วบนแก้วอย่างไม่เต็มใจ ระหว่างที่มือของทุกคนแตะอยู่ที่แก้ว แก้วนั้นค่อยๆ เคลื่อนที่ไปอีกครั้ง ช้าๆ และแน่นอน…มันสะกดตัวอักษรทีละตัวเหมือนเดิม
แป้ง: (กระซิบ) “มัน…มันกำลังสะกดคำว่าอะไรอีกแล้ว…”
ทุกสายตาจ้องมองแก้วที่ขยับไปตามตัวอักษรทีละตัว โดยไม่ละสายตา ความตึงเครียดในบรรยากาศยิ่งเข้มข้นขึ้น เมื่อคำที่ถูกสะกดออกมาค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนสามารถอ่านได้เต็มคำว่า “พ-ว-ก-มึ-ง-ต้-อ-ง-อ-ยู่-ที่-นี่”
โชค: (เสียงสั่น) “มันเขียนเหมือนเดิมเลย…เหมือนมันกำลังย้ำกับเรา!”
อาร์ต: (เริ่มรู้สึกหวาดกลัว) “พวกเราต้องอยู่ที่นี่งั้นเหรอ? นี่มันหมายความว่ายังไง?”
ทันใดนั้น เสียงแปลกๆ ดังขึ้นจากรอบข้าง เหมือนเสียงกระซิบเบาๆ ที่ลอยมาตามสายลม ทุกคนต่างหันไปมองรอบๆ แต่สิ่งที่เห็นมีเพียงความมืดมิดและเงาอันน่าหวาดกลัวของต้นไม้รอบตัว ทำให้บรรยากาศเริ่มน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
อิง: (กระซิบเสียงแผ่ว) “หรือว่านี่คือคำเตือน…ให้พวกเราอย่าออกจากที่นี่?”
ความเงียบและความกลัวปกคลุมอยู่รอบกองไฟ ทุกคนยังคงมองดูแก้วที่ขยับไปมาบนโต๊ะอย่างเงียบงัน ใจของพวกเขาเต้นแรง และรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเฝ้ามองอยู่จากเงามืด ทันใดนั้น ตูนที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดและไม่อาจทนต่อไปได้ ก็ถอนมือออกจากแก้วอย่างฉับพลัน
ตูน: (โวยวาย) “พอแล้ว! กูทนไม่ไหวแล้ว เรื่องพวกนี้มันไร้สาระ! แค่แก้วที่ขยับไปตามแรงมือพวกเราเองนั่นแหละ!”
ทุกคนต่างตกใจและหวาดกลัวในสิ่งที่ตูนทำ แต่ละคนพยายามกล่อมให้เขาใจเย็นลง
อิง: (เสียงสั่น) “ตูน! มึงห้ามปล่อยมือออกจากแก้วแบบนี้นะ มันจะทำให้เราไม่สามารถเชิญวิญญาณออกไปได้!”
นัท: (พยายามเกลี้ยกล่อม) “อย่าทำแบบนี้เลยตูน ถ้ามึงไม่เชื่อก็ปล่อยให้พวกเราจบเกมก่อนดีกว่า…”
แต่ตูนกลับยิ่งโกรธมากขึ้น เขายืนขึ้นและตะโกนเสียงดังท้าทายออกไปในป่ามืดรอบตัว ขณะที่เพื่อนๆ จ้องมองด้วยความตกใจและหวาดกลัว
ตูน: “ถ้าผีมันมีอยู่จริง ก็มาเลยสิ! กูจะรอดูว่ามันจะทำอะไรได้บ้าง! ถ้ามาได้ กูจะตบมันให้ดู ให้รู้ว่าไม่ได้กลัวมันหรอก!”
คำพูดท้าทายของตูนทำให้บรรยากาศรอบกองไฟเงียบงันอย่างน่ากลัว ทุกคนต่างจ้องมองไปในความมืดลึกของป่าด้วยความตื่นตระหนก สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านราวกับมีใครบางคนตอบรับคำท้าทายของเขา เงาของต้นไม้ไหวตามลม ทำให้รอบๆ เต็นท์มืดลงจนดูเหมือนเป็นเงาร่างบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหว
โชค: (เสียงสั่น) “ตูน…อย่าพูดแบบนี้เลยนะ เราไม่รู้หรอกว่ามีอะไรอยู่ในป่าจริงๆ หรือเปล่า…”
แป้ง: (กระซิบด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว) “ตูน…คำพูดของมึงอาจทำให้เราต้องเจออะไรบางอย่างที่เราไม่อยากเจอก็ได้นะ…”
แต่ตูนยังคงทำเป็นไม่เชื่อเรื่องผี เขายิ้มเยาะและเดินออกไปจากวงของเพื่อนๆ ที่กำลังนั่งอยู่รอบกองไฟ
อาร์ต: (มองตามตูน) “ตูน! อย่าเดินไปไหนไกลนะ มึงไม่รู้หรอกว่าป่านี้น่ากลัวแค่ไหนในตอนกลางคืน”
ตูนเดินออกจากวงเพื่อนด้วยท่าทางหงุดหงิดและไม่เชื่อในสิ่งที่เพื่อนๆ ทำ เขาส่ายหัวกับความเชื่อเรื่องผีและสิ่งลี้ลับที่เขามองว่าเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ ขณะเดินไปยังห้องน้ำที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร ความเงียบของป่ารอบตัวเริ่มทำให้เขารู้สึกแปลกๆ แต่เขายังคงพยายามไม่ใส่ใจ
ระหว่างทาง ตูนสังเกตเห็นว่าบรรยากาศรอบๆ แคมป์เงียบผิดปกติ เต็นท์ของนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ต่างปิดไฟและเข้านอนกันหมดแล้ว เหลือเพียงเต็นท์ของเขาและเพื่อนๆ ที่ยังคงนั่งล้อมวงข้างกองไฟอยู่ท่ามกลางความมืด เขาคิดในใจว่าพวกนั้นคงกำลังนั่งตัวสั่นด้วยความกลัวในสิ่งที่ไม่มีจริง
เมื่อมาถึงห้องน้ำ ตูนรู้สึกโล่งใจที่เห็นห้องสุดท้ายมีคนเข้าอยู่ ภายในห้องนั้นมีเสียงเปิดน้ำดังออกมาเบาๆ ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นที่รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในห้องน้ำนี้ เขาหัวเราะเล็กน้อยกับความคิดของตัวเอง รู้สึกว่าคืนนี้มีแต่ความคิดบ้าๆ เต็มไปหมด
ตูน: (พูดกับตัวเองเบาๆ) “นี่แหละนะ…คนเราพอมาอยู่ในที่มืดๆ ก็พากันคิดอะไรเพ้อเจ้อไปเรื่อย”
เขาเดินไปเลือกห้องน้ำห้องที่สองจากซ้าย ปิดประตูและจัดแจงทำธุระ ขณะนั้น เสียงเปิดน้ำจากห้องสุดท้ายยังคงดังอยู่ สร้างความรู้สึกสบายใจให้เขา อย่างน้อยก็รู้ว่ายังมีใครสักคนอยู่ใกล้ๆ กัน
ตูนนั่งทำธุระในห้องน้ำด้วยความสบายใจ แถมยังรู้สึกขำกับตัวเองที่เพื่อนๆ กลัวเรื่องไร้สาระพวกนั้น จนกระทั่งผ่านไปสักพัก เขาได้ยินเสียงเรียกแผ่วๆ มาจากหน้าห้องน้ำ เสียงนั้นเบาแต่ชัดเจน เป็นเสียงของเพื่อนสนิทอย่างอาร์ตที่เรียกชื่อเขา
เสียง: “ตูน… ตูน…”
เสียงเรียกดังขึ้นแค่สองครั้ง ก่อนจะเงียบหายไปในความเงียบ ตูนฟังแล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าอาร์ตคงตามมาเข้าห้องน้ำด้วย เขายิ้มมุมปาก ขยับตัวเล็กน้อยแล้วพูดกับตัวเอง
ตูน: “สงสัยจะทนกลัวไม่ไหว ถึงตามมานี่ซะเอง”
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป คิดว่าเดี๋ยวอาร์ตคงเข้ามาเอง จึงทำธุระต่ออย่างไม่เร่งรีบ แต่แล้วความเงียบก็ค่อยๆ กลับมาเยือนอีกครั้ง ไม่มีเสียงฝีเท้าของอาร์ต ไม่มีเสียงเปิดปิดประตูห้องน้ำอื่นๆ มีเพียงเสียงน้ำจากห้องสุดท้ายที่ยังคงเปิดอยู่
เวลาผ่านไปสักครู่ เขาเริ่มรู้สึกว่ามันเงียบเกินไป ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว ตูนจึงตัดสินใจรีบทำธุระให้เสร็จเพื่อจะออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ตูน: (พูดกับตัวเอง) “หรือจะกลับกันไปหมดแล้ว…”
เขานั่งนิ่งอีกครู่หนึ่ง รอฟังว่าจะมีเสียงอะไรหรือเปล่า แต่ไม่มีแม้กระทั่งเสียงของอาร์ตที่ควรจะอยู่หน้าห้องน้ำ...
เมื่อตูนทำธุระเสร็จและเปิดประตูออกจากห้องน้ำ เขากวาดตามองห้องน้ำข้างๆ ทันทีเพื่อดูว่าอาร์ตอยู่ไหน แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นห้องน้ำที่ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำเหล่านั้นเลย
แม้กระทั่งห้องสุดท้ายที่เมื่อครู่เขายังได้ยินเสียงน้ำเปิดอยู่ ตอนนี้กลับเงียบสนิท ราวกับไม่เคยมีใครอยู่ที่นั่นมาก่อน
ตูนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย แต่พยายามไล่ความคิดไร้สาระออกไปจากหัว เขาเดินกลับไปที่เต็นท์อย่างไม่สนใจและบอกตัวเองว่า เพื่อนๆ คงกลับไปกันหมดแล้ว หลังจากเดินผ่านป่ามืดๆ เพียงลำพังจนกลับมาถึงเต็นท์ ตูนเห็นทุกคนนั่งอยู่รอบกองไฟอย่างเงียบๆ
เขาตรงเข้าไปหาอาร์ตและถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ตูน: “เฮ้ย! อาร์ต ทำไมไม่รอกูที่ห้องน้ำล่ะ? เรียกกูไว้แป๊บเดียวก็หายไปเลย”
อาร์ตเงยหน้ามองตูนด้วยสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด
อาร์ต: “มึงพูดถึงอะไร? กูนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดไม่ได้ไปไหน”
ตูน: (ทำหน้างง) “อะไรกัน? กูได้ยินเสียงมึงเรียกกูอยู่หน้าห้องน้ำแน่ๆ เรียกสองครั้งแล้วก็เงียบไปเลย”
อาร์ตขมวดคิ้วและหันไปมองเพื่อนๆ ที่นั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟ ทุกคนต่างทำหน้าสงสัยและมองหน้ากัน
อิง: (เสียงสั่นเล็กน้อย) “ไม่มีใครตามมึงไปหรอกนะตูน…พวกเรานั่งอยู่ที่นี่กันหมดตั้งแต่ที่มึงเดินไปห้องน้ำแล้ว”
แป้ง: (กระซิบ) “หรือว่าอาร์ตจะได้ยิน…อะไรที่ไม่ใช่พวกเรา?”
บรรยากาศรอบกองไฟเงียบลงอย่างน่ากลัว ตูนยืนอึ้ง รู้สึกเหมือนหัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขามองหน้าทุกคนด้วยความรู้สึกสับสน แต่ลึกๆ แล้วเริ่มรู้สึกได้ว่าบางอย่างไม่ปกติเกิดขึ้นกับเขาและเพื่อนๆ ในค่ำคืนนี้
หลังจากเหตุการณ์ที่ตูนเล่าถึงเสียงเรียกปริศนาที่ไม่มีใครอธิบายได้ ทุกคนก็เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากความมืดรอบตัว อากาศเริ่มเย็นลงจนพวกเขารู้สึกได้ ราวกับความหนาวเย็นนั้นกำลังบอกใบ้ถึงบางสิ่งที่มองไม่เห็นในป่ารอบตัว ทำให้ทุกคนไม่สบายใจที่จะนั่งอยู่นอกเต็นท์อีกต่อไป
นัท: (พูดขึ้นเพื่อคลายบรรยากาศ) “มันดึกแล้ว พวกเราควรเก็บของแล้วไปนอนกันดีกว่า”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างเงียบๆ ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดและดับกองไฟ บรรจุสิ่งของให้เรียบร้อยโดยไม่พูดอะไรมากนัก ความรู้สึกหวาดกลัวที่ค่อยๆ ก่อตัวในใจทำให้พวกเขาตกลงใจนอนรวมกันในเต็นท์เดียวกัน แม้จะเบียดเสียดไปบ้าง แต่ความอุ่นใจจากการได้อยู่ด้วยกันทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยขึ้น
เมื่อทุกคนเข้าไปนอนในเต็นท์ เสียงหายใจและเสียงกระซิบเบาๆ สะท้อนในความเงียบของค่ำคืน พวกเขานอนเรียงกันจนแน่นเต็มพื้นที่เล็กๆ ในเต็นท์ ความเงียบปกคลุมไปทั่ว เหลือเพียงเสียงลมพัดผ่านต้นไม้และเสียงใบไม้เสียดสีกันเบาๆ รอบๆ บริเวณ
โชค: (กระซิบเบาๆ) “คืนนี้…มีใครรู้สึกแปลกๆ บ้างไหม?”
แป้ง: (ตอบด้วยเสียงแผ่ว) “เราก็รู้สึกนะ…เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่รอบๆ เรา”
อาร์ต: (พูดเบาๆ ให้เพื่อนๆ ได้ยิน) “อย่าคิดมากน่า มันก็แค่บรรยากาศของป่า คงไม่มีอะไรหรอก”
อิง: (เสียงสั่น) “แต่เราเล่นผีถ้วยแก้วไปแล้ว…ถ้าเกิดเราเชิญอะไรเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจล่ะ?”
ทุกคนเงียบลงอีกครั้ง คำพูดของอิงทำให้ใจพวกเขากระตุก ราวกับความมืดภายนอกกำลังโอบล้อมและจับจ้องพวกเขาอยู่ ในที่สุด ด้วยความเหนื่อยล้าและอากาศเย็น ทุกคนค่อยๆ เคลิ้มหลับไปทีละคน
เมื่อเวลาผ่านไป หลายชั่วโมงในยามค่ำคืนที่เงียบสงัดและมืดมิด ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างหยุดนิ่ง เสียงลมหยุดพัด มีเพียงความเงียบกริบที่ชวนให้รู้สึกไม่สบายใจ จนกระทั่ง...
เสียงกรอบแกรบของใบไม้ที่ถูกเหยียบเบาๆ ดังมาจากนอกเต็นท์ เสียงนั้นค่อยๆ ขยับใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แต่ละก้าวที่ดังแว่วๆ มา ราวกับมีใครบางคนกำลังเดินวนรอบเต็นท์ของพวกเขา เสียงดังเป็นจังหวะเบาๆ เหมือนจะเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ แล้วก็หายไป ก่อนจะกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง
ตูนซึ่งนอนอยู่ใกล้ขอบเต็นท์พลิกตัวและลืมตาขึ้นช้าๆ เขาจ้องมองไปในความมืด ด้วยความรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เสียงฝีเท้าหนักๆ ยังคงวนอยู่รอบๆ เต็นท์ แต่ในขณะที่เขาพยายามตั้งใจฟัง เสียงนั้นก็หายไปอย่างกระทันหัน
ตูน: (กระซิบเบาๆ) “ใครอยู่ข้างนอก…?”
ไม่มีเสียงตอบกลับ ตูนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นแปลกๆ ที่แผ่ซ่านเข้ามาจนเขาขนลุก ไม่ทันไร อิงซึ่งนอนอยู่ด้านในขยับตัวแล้วพึมพำออกมาเบาๆ ท่าทางเหมือนเธอกำลังฝันร้าย
อิง: (เสียงแผ่วสั่น) “ใคร…อยู่ตรงนั้น…”
เสียงพึมพำของอิงทำให้เพื่อนๆ ที่นอนอยู่ใกล้ๆ ขยับตัวตาม พวกเขาลืมตาขึ้นในความมืด และจ้องมองไปยังหน้าของอิงที่ซีดขาว เธอหายใจถี่และแสดงสีหน้าหวาดกลัว จนทุกคนเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ทันใดนั้น เสียงขูดขีดเบาๆ ดังขึ้นที่ผ้าเต็นท์จากด้านนอก ราวกับมีบางอย่างกำลังลากกรงเล็บแหลมไปตามผืนผ้า จนเกิดเสียงที่ทำให้ทุกคนขนลุก
แป้ง: (เสียงสั่น) “ทุกคน…ได้ยินเสียงนั้นมั้ย?”
โชค: (กระซิบด้วยความหวาดกลัว) “มันคืออะไร…ใครกำลังเล่นอะไรกับเรากันแน่?”
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความกลัว ไม่มีใครกล้าขยับออกไปดูด้านนอกเต็นท์ เพราะรู้ดีว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้อยู่ตรงนั้น เงามืดนอกเต็นท์ดูเหมือนจะเคลื่อนเข้าใกล้ทีละน้อย ราวกับกำลังแทรกซึมเข้ามาในอากาศรอบตัวของพวกเขา
นัท: (พยายามกลบเกลื่อนความกลัว) “เราต้องนิ่งไว้ อาจเป็นแค่สัตว์อะไรบางอย่างก็ได้…”
แต่เสียงนั้นกลับค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ราวกับสิ่งที่อยู่นอกเต็นท์กำลังยืนอยู่ใกล้ๆ พวกเขา และค่อยๆ กดน้ำหนักลงบนเต็นท์ด้านหนึ่งจนผ้าเต็นท์เบี้ยวเข้ามา
ความเงียบที่กดดันและเสียงขูดขีดจากด้านนอกเต็นท์ทำให้ทุกคนจมอยู่ในความหวาดกลัว พวกเขานอนนิ่งราวกับไม่กล้าหายใจ เสียงฝีเท้าปริศนาเดินวนรอบเต็นท์ช้าๆ ราวกับว่ามันกำลังค้นหาทางเข้ามาใกล้พวกเขา ทุกคนต่างลืมหายใจ ความกลัวทวีขึ้นราวกับถูกพันธนาการด้วยความมืดมิดของป่า
จู่ๆ เสียงขูดขีดที่เคยลากกรงเล็บแหลมไปตามผ้าเต็นท์ก็หยุดลง เหลือเพียงความเงียบที่หนาวเหน็บ เมื่อทุกคนเริ่มรู้สึกโล่งใจ เสียงกระซิบแผ่วเบา เสียงเหมือนใครสักคนกำลังกระซิบเรียกชื่อพวกเขาทีละคนช้าๆ
เสียงกระซิบ: “นัท…อาร์ต…โชค…”
เสียงนั้นแผ่วเบาราวกับมาจากที่ไกลๆ แต่ก็ชัดเจนพอที่จะได้ยิน แม้แต่เสียงหายใจของตูนก็สั่นสะท้านจากความกลัวที่กำลังบีบคั้นหัวใจ ทุกคนต่างรู้ว่าไม่มีใครในกลุ่มเล่นตลกกัน แต่พวกเขาไม่อาจหยุดเสียงกระซิบปริศนานี้ได้
อิง: (กระซิบเสียงสั่น) “เสียงนั้น…มันเรียกชื่อเราได้ยังไง…”
ความหวาดกลัวค่อยๆ กัดกินจิตใจของทุกคน ราวกับมีบางสิ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขา และเฝ้าจับจ้องอยู่ไม่ให้พวกเขาหนีไปไหน ทุกคนพยายามข่มใจและกุมมือกันไว้อย่างแน่น ความอบอุ่นจากการจับมือช่วยให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจขึ้นเล็กน้อย แต่เสียงกระซิบปริศนานั้นยังคงลอยวนอยู่รอบๆ เต็นท์ ไม่หายไป
ในที่สุด นัทที่เป็นคนใจแข็งที่สุดในกลุ่มตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิดไฟฉาย พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยู่ข้างนอก แต่ทันทีที่แสงไฟฉายสาดส่องออกไปนอกเต็นท์ ทุกอย่างกลับเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดอยู่ตรงนั้น ความมืดนอกเต็นท์เงียบสนิทราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความสับสนและกลัว เสียงหัวใจเต้นแรงและเสียงหายใจที่เริ่มสงบลงเมื่อพบว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้นจริงๆ
ความเงียบสงบกลับมาอีกครั้งหลังจากเสียงกระซิบปริศนาและความหวาดกลัวที่ทำให้ทุกคนเครียดจนแทบไม่หลับตา แต่ในที่สุด พวกเขาก็ค่อยๆ ข่มตาหลับไปอีกครั้ง บางคนหลับไปอย่างหมดแรง บางคนยังคงรู้สึกถึงความกังวลที่สะสมอยู่ในใจ...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!