NovelToon NovelToon

เเม่มดเเห่งปฏิหาริย์เอเรเซีย

เเม่มดผู้มีชีวิตยาวนาน

[บทที่1 ความทรงจำ]

ในค่ำคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงส่องแสงสีนวลเหนือผืนป่าอั

นเงียบสงัด มีตำนานเล่าขานถึงเด็กสาวผู้หนึ่ง ผู้มีชีวิตที่ไม่เคยสิ้นสุด บางคนเรียกเธอว่าแม่มดผู้เป็นอมตะ ผู้แอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของกาลเวลา รอคอยชะตากรรมอันไม่แน่นอนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เธอคงอยู่เช่นนี้มานานนับศตวรรษ นานพอที่เมืองทั้งเมืองจะผุพัง ผู้คนจะผ่านไป และโลกจะเปลี่ยนแปลงไปจนแทบจำไม่ได้

ดวงตาของเธอแฝงความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยที่ลึกล้ำ ราวกับมันซ่อนความลับของโลกทั้งใบ แต่ถึงแม้เธอจะอ่อนล้าและเห็นความเจ็บปวดของมนุษยชาติ เธอกลับคงอยู่เพื่อคอยปกป้องและรักษาความสงบของป่า และคอยให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กล้าพอจะเดินทางเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเธอ

เสียงกระซิบของลมและเงาของต้นไม้จะนำทางไปสู่บ้านของแม่มดผู้เป็นอมตะผู้ไม่ยอมแก่ชรา บางคนเข้ามาหาเธอเพื่อขอพร บางคนเพื่อหลบหนีจากความจริง แต่ทุกคนล้วนต้องแลกสิ่งมีค่าของพวกเขากับคำตอบที่ตนปรารถนา

บ้านของเธอตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่า เป็นกระท่อมเก่าแก่

แม่มดสาวนามว่า “เอเรเซีย” เธอมีรูปลักษณ์เหมือนเด็กสาวอายุเพียงสิบเจ็ด ผิวขาวดั่งหิมะ ผมสีเงินยาวสยายราวกับกลุ่มแสงจันทร์ และดวงตาสีเเดงเข้มที่ดูลึกลับเหมือนห้วงอวกาศ เธอคงอยู่เช่นนี้ตั้งแต่ครั้งที่ดินแดนแห่งนี้ยังไร้ชื่อ เธอจดจำเรื่องราวเก่าแก่ได้หมดจด ทุกเรื่องราวถูกบันทึกไว้ในใจของเธอ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความสูญเสีย หรือความแค้นของผู้คนที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ

ผู้คนที่เข้ามาหาเอเรเซีย ต้องการทำให้ปราถนาเป็นจริง เธอได้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาเพียงเล็กน้อย บางคนขอความรัก บางคนขอความมั่งคั่ง แต่ไม่ว่าใครจะขออะไร ทุกคำขอของพวกเขาย่อมมีผลที่ตามมาเสมอ

คืนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ลมหนาวเริ่มพัดเข้ามา หญิงสาวลึกลับคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้ากระท่อมของเอเรเซีย เธอมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาและดวงตาที่สั่นระริกเอเรเซียจับที่หน้าเธอเบาๆพร้อมเช็ดน้ำตาให้ เธอขอร้องให้เอเรเซียช่วยนำคนรักของเธอกลับมาจากความตาย เอเร

เซียมองหญิงสาวด้วยสายตาเศร้าหมอง นางรู้ว่าคำขอนี้คือคำขอที่ไม่ควรจะให้ได้ แต่หญิงสาวคนนั้นอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง เอเรเซียจึงยื่นข้อเสนอ

"เจ้าจะได้คนรักกลับมา แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่เจ้ารักที่สุด"

หญิงสาวนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะยอมรับข้อเสนอโดยไม่ลังเล เพราะในใจของเธอ สิ่งใดจะมีค่ามากไปกว่าความรักที่เธอมีให้กับคนที่จากไป เอเรเซียมองตามรอยน้ำตาของหญิงสาวอย่างสงบนิ่ง ราวกับเธอรู้ดีถึงชะตากรรมที่จะเกิดขึ้น แล้วในค่ำคืนนั้น ปาฏิหาริย์ที่ถูกขอร้องก็กำลังจะเป็นจริง

เมื่อหญิงสาวหายลับไปพร้อมกับคำตอบที่เธอปรารถนา เสียงกระซิบจากป่าก็ดังขึ้นราวกับคำเตือน เอเรเซียรู้ว่าชีวิตอมตะของเธอคือคำสาปที่บังคับให้เธอต้องเป็นพยานต่อการสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า และแม้เธอจะช่วยผู้คนได้ แต่เธอไม่อาจป้องกันไม่ให้หัวใจของตนกลายเป็นน้ำแข็งไปทีละน้อย...

เอเรเซียนั่งอยู่ในความเงียบสงบของค่ำคืน คำอ้อนวอนและเสียงคร่ำครวญของผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอแต่ละคนยังคงก้องอยู่ในห้วงความทรงจำ ความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขาหลายครั้งกลายเป็นความทุกข์ยากที่ตามมาทีหลัง และในขณะที่เธออาจให้พลังวิเศษกับพวกเขา สิ่งที่เธอไม่อาจให้ได้คือความเข้าใจในบทเรียนที่ชีวิตมอบให้

ในคืนเดียวกันนั้นเอง เอเรเซียมองขึ้นไปยังดวงจันทร์ที่แขวนอยู่กลางฟ้า แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในใจเธอ มันเป็นเสียงที่เธอคุ้นเคยและอ่อนโยน ราวกับเสียงจากกาลเวลาอันไกลโพ้น เสียงนั้นรำพึงถึงชีวิตที่เธอเคยมีในอดีตก่อนที่เธอจะกลายเป็นอมตะ มันคือช่วงเวลาที่เธอเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา มีหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะ มีความฝันและความหวังเฉกเช่นผู้คนที่เธอเคยช่วยเหลือ

เอเรเซียรู้สึกได้ว่าหัวใจของเธอกำลังถูกดึงกลับไปสู่อดีต เธอหลับตาลง ภาพแห่งวันวานกลับมาอีกครั้ง ภาพของเด็กสาวผู้แสนสดใส ที่เคยหัวเราะเคียงข้างคนรักของเธอ ภาพความทรงจำแสนหวานที่ค่อย ๆ จางหายไปตามกาลเวลา เธอสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเพื่อพลังและปัญญาที่เหนือกว่าผู้คนทั่วไป แต่ทุกครั้งที่เธอช่วยเหลือใครสักคน มันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกห่างไกลจากความเป็นมนุษย์ไปอีก

เอเรเซียถอนหายใจเบา ๆ เธอรู้ดีว่าเธอไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองได้ แต่เธอก็เลือกที่จะเผชิญหน้ากับมันในแบบของเธอ ด้วยความสงบนิ่งและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง

คืนต่อมา มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินทางมายังกระท่อมของเอเรเซีย เขาเดินทางผ่านป่าและหมอกมาด้วยความตั้งใจ ดวงตาของเขามุ่งมั่นแต่แฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด เขามาหาเพื่อขอคำปรึกษา แต่เมื่อเขาได้พบกับเอเรเซียและมองเข้าไปในดวงตาของเธอ มันเป็นความเศร้าอันลึกล้ำที่เธอซ่อนเอาไว้ภายใต้ท่าทางที่นิ่งเงียบ

ชายหนุ่มเอ่ยถามถึงความปรารถนา

"เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อได้สิ่งหนึ่งมา เจ้าจะต้องสูญเสียสิ่งอื่นไปเสมอ"

 ชายหนุ่มพยักหน้า แต่ในสายตาเขายังเต็มไปด้วยความตั้งใจ เอเรเซียมองดูเขา ราวกับมองเห็นตัวเองในอดีต ชายหนุ่มผู้พร้อมจะยอมแลกทุกสิ่งเพียงเพื่อได้สิ่งที่หัวใจเขาปรารถนา

แม้ว่าเธอจะรู้ดีว่าคำขอของเขาจะนำพาความเจ็บปวดมาสู่เขาในอนาคต แต่เธอก็เลือกที่จะมอบสิ่งที่เขาต้องการ ในชั่วขณะที่เธอร่ายเวทมนตร์นั้น

แล้วเมื่อชายหนุ่มจากไป เอเรเซียจึงเหลือเพียงตัวเธอกับความเงียบสงบของค่ำคืนอีกครั้ง เธอรู้ดีว่าเธอจะยังคงอยู่ต่อไป คอยเป็นผู้เฝ้าดูผู้คนที่ผ่านเข้ามาและจากไป นานเท่าใดก็ตามที่กงล้อแห่งโชคชะตายังคงหมุนต่อไป และเธอเองก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในวัฏจักรของเวลา

เอเรเซียในอดีตไม่ได้เกิดมาเป็นแม่มดที่มีพลังวิเศษหรือเป็นผู้ที่ใครต่างเกรงขาม เธอเกิดมาในครอบครัวทาส ถูกเลี้ยงดูมาในโลกที่แสนโหดร้ายและไร้ความเมตตา เมื่อยังเด็ก เธอรู้จักแต่เพียงความทุกข์ทรมานและความสิ้นหวัง ความอดอยากและแรงงานหนักในคฤหาสน์หินสีเทาที่เย็นเฉียบคอยเตือนเธอเสมอว่า เธอคือสิ่งมีชีวิตที่ถูกกักขัง และไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะฝันถึงอิสรภาพ

แต่ความฝันนั้นยังคงแฝงอยู่ในใจเด็กสาว เธอเฝ้ามองท้องฟ้าผ่านกรงหน้าต่างเล็ก ๆ ในห้องพักของทาส เวลาที่ได้เห็นท้องฟ้ากว้าง

คืนหนึ่ง โอกาสที่เธอรอคอยก็มาถึง คฤหาสน์ตกอยู่ในความวุ่นวายหลังจากเกิดการจลาจล เอเรเซียตัดสินใจใช้โอกาสนั้นหลบหนี เธอวิ่งฝ่าความมืดผ่านป่า และไม่กล้าหันหลังกลับไปมอง ขาของเธอเต็มไปด้วยบาดแผล หัวใจเต้นรัวในอก ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหวังผสมกับความหวาดกลัว หากถูกจับได้ เธอรู้ดีว่าการลงโทษจะเป็นเช่นไร แต่เธอพร้อมจะเสี่ยงเพื่อโอกาสในอิสรภาพเพียงครั้งเดียว

เมื่อวิ่งไปไกลจนหมดแรง เธอทรุดตัวลงข้างลำธารเล็ก ๆ ในป่าลึก ร่างกายอ่อนล้าจนแทบจะขยับไม่ได้ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เอเรเซียเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ส่องประกายด้วยดวงดาว เหมือนกับว่าท้องฟ้ากำลังต้อนรับเธอเข้าสู่โลกใหม่ โลกที่ไร้โซ่ตรวนและการบังคับ

แต่การเป็นทาสหลบหนีนั้นหมายถึงการไร้ซึ่งที่พักพิง เธอต้องเร่ร่อนใช้ชีวิตในป่า หลบซ่อนตัวจากผู้ที่ออกตามล่า หลายวันผ่านไปด้วยความหิวโหยและเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะกำลังหาทางหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เธอพบหญิงชราผู้หนึ่ง หญิงชราผู้นั้นมีแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้และความเมตตา เธอถามเอเรเซียด้วยเสียงอ่อนโยนว่า

“เจ้ากำลังหลบหนีจากชะตากรรมของตนเองหรือ?”

เอเรเซียพยักหน้าอย่างหวาดระแวง แต่หญิงชรากลับยิ้มอย่างเข้าใจ

“ข้ามีบางสิ่งที่สามารถช่วยเจ้าได้ แต่เจ้าอาจต้องสูญเสียสิ่งที่เคยเป็นตัวตนของเจ้า”

 หญิงชราบอก และในคืนนั้นเอง เอเรเซียได้รู้ว่าหญิงชราคนนั้นคือแม่มดผู้เร้นกายในป่าลึก ผู้ที่สามารถให้พลังแก่ผู้ที่เธอเลือก

ด้วยความปรารถนาในอิสรภาพ เอเรเซียยอมรับข้อเสนอ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าการแลกเปลี่ยนจะเป็นอย่างไร หญิงชราได้ถ่ายทอดพลังวิเศษและเวทมนตร์ให้กับเธอ และพาเธอผ่านการร่ายเวทย์ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวตนของเธอตลอดไป

เอเรเซียเปลี่ยนจากทาสหลบหนีมาเป็นผู้มีพลังที่ไม่ธรรมดา แต่การแลกเปลี่ยนนั้นก็พรากความเป็นมนุษย์ของเธอไปทีละน้อย อิสรภาพที่เธอได้รับนั้นมีราคา—เธอจะไม่มีวันแก่เฒ่า ไม่มีวันได้สัมผัสกับความรักหรือมิตรภาพที่แท้จริง แต่ในใจของเธอ เธอยังคงระลึกถึงชีวิตในคฤหาสน์ที่ไร้ความสุข และรู้ว่าชะตากรรมนี้ยังคงเป็นสิ่งที่เธอเลือก เพื่อหลุดพ้นจากอดีตที่ขื่นขม

เช้าวันหนึ่งขณะที่แสงอาทิตย์อ่อน ๆ สาดส่องผ่านป่าลึก เอเรเซียเดินอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ มือของเธอลูบไล้ผ่านใบไม้และดอกไม้ที่ขึ้นตามทาง เมื่อถึงบริเวณลำธารสายเล็ก ๆ ที่เธอมักใช้เก็บน้ำสำหรับปรุงยาและเวทมนตร์ เสียงหนึ่งดึงความสนใจของเธอ หญิงสาวหยุดนิ่งแล้วมองไปยังที่มาของเสียง

เด็กสาวคนหนึ่งในชุดเรียบง่ายนั่งคุกเข่าข้างลำธาร เธอกำลังเก็บดอกไม้และสมุนไพรหลากชนิดด้วยท่าทางที่ระมัดระวัง ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะไม่สังเกตเห็นว่ามีใครกำลังจ้องมองอยู่ ใบหน้าของเธอสดใสร่าเริง แววตาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและใสซื่อ เมื่อเอเรเซียยืนมองนานขึ้น เธอรู้สึกได้ถึงบางอย่างในตัวเด็กคนนี้—เป็นบางอย่างที่เธอเคยสัมผัสได้ในตัวเองเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ เป็นความหวังและความฝันที่ยังไม่ได้ถูกกัดกร่อน

เอเรเซียลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากเงามืดของต้นไม้ที่บดบังตัวเธอไว้ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นและตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเอเรเซียยืนอยู่ตรงนั้น ร่างของเอเรเซียดูงดงามและลึกลับ เธอสวมชุดคลุมยาวที่ประดับด้วย เอเรเซียจ้องมองเด็กสาวด้วยแววตาที่สงบนิ่ง

"เจ้ามาทำอะไรที่นี่"

เอเรเซียถามด้วยเสียงที่เย็นชา แต่แฝงไว้ด้วยความงดงาม

"ข้ามาเก็บสมุนไพรให้แม่ของข้า แม่ป่วย ข้าจึงออกมาหาสมุนไพรที่นี่ ข้าเคยได้ยินว่าที่ลำธารนี้มีสมุนไพรดี ๆ ขึ้นอยู่"

เอเรเซียรู้สึกสะกิดใจเมื่อได้ยินเรื่องราวของเด็กสาว สิ่งที่เธอเองเคยสูญเสียไปนานแล้ว ความทรงจำที่เลือนรางและคลุมเครือเริ่มกลับมาในใจของเธอ ทำให้เธอหวนนึกถึงช่วงเวลาที่เธอเคยรัก

"เจ้ารู้หรือไม่ว่าสมุนไพรเหล่านี้มีพลังที่ลึกล้ำ?"

เอเรเซียพูดพร้อมกับโน้มตัวลงไป หยิบดอกไม้สีฟ้าขึ้นมา

"หากใช้ไม่ถูกต้อง มันอาจจะไร้ประโยชน์ หรือแม้กระทั่งเป็นอันตราย"

"ข้าไม่รู้หรอก ข้ารู้แค่ว่าสมุนไพรบางชนิดสามารถช่วยคนป่วยได้ ข้าอยากให้แม่หายป่วย ข้าเลยพยายามเรียนรู้ด้วยตัวเอง"

เอเรเซียยิ้มบาง เธอเอื้อมมือไปที่ช่อดอกไม้ในมือของเด็กสาว แล้วพูดว่า

 “เจ้าจงเก็บดอกนี้ไว้ มันมีสรรพคุณในการรักษา แต่จำไว้ว่าความรักและความห่วงใยที่เจ้ามีต่อแม่ของเจ้า นั่นคือยาที่ดีที่สุด”

เด็กสาวฟังคำของเอเรเซียด้วยความตั้งใจ แล้วพยักหน้ารับ

 "ขอบคุณมากค่ะ ข้าจะจำคำของท่านไว้ เดี้ยวข้าจะกลับมาอีกค่ะ"

จากนั้น เอเรเซียมองดูเด็กสาวเดินจากไปพร้อมกับสมุนไพรในมือ รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นแปลก ๆ ที่ไม่ได้สัมผัสมานานแสนนาน บางทีเด็กสาวคนนี้อาจจะเป็นเสมือนตัวแทนของและเต็มไปด้วยจิตใจดีงาม อันนาบอกว่าแม้หมู่บ้านของเธอจะไม่ใหญ่โตนัก แต่ทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้จักกันและพร้อมจะช่วยเหลือกันในยามยากลำบากเสียเเล้ว

เเต่เอเรเซียก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อของเธอ

[บทที่ 2 กาลเวลาที่หายไป]

เมื่อเวลาผ่านไป ข่าวลือเกี่ยวกับแม่มดลึกลับผู้มีดวงตาสี

เเดงก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านใกล้เคียง ผู้คนพูดถึงเธอด้วยความกลัวและความไม่เข้าใจ ว่ากันว่าเธอคือผู้ที่ครอบครองเวทมนตร์ที่สามารถเรียกวิญญาณและเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของผู้คนได้ หลายคนกล่าวว่าเธอคือแม่มดผู้ทรงอำนาจที่จะนำพาหายนะมาสู่ทุกคน หากใครเข้าใกล้เธอ หายนะและความวิบัติก็จะมาเยือนชีวิตของเขา

วันหนึ่ง ชาวบ้านรวมตัวกันหน้ากระท่อมของเอเรเซีย เสียงตะโกนกล่าวหาดังไปทั่วป่า พวกเขาเรียกเธอว่าแม่มดชั่วร้ายที่ใช้พลังในทางที่ผิดและล่อลวงผู้คนให้อับปาง ชายคนหนึ่งก้าวออกมาพร้อมไม้คบเพลิงในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เขากล่าวว่า

 “เราไม่ต้องการปีศาจในพื้นที่ของเราอีกต่อไป แม่มดคนนี้จะต้องถูกกำจัด!”

เอเรเซียยืนมองกลุ่มคนที่มารุมล้อมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แม้ว่าจะช่วยเหลือผู้คนมากมาย แต่เธอกลับได้รับการตอบแทนด้วยความหวาดกลัวและเกลียดชัง

ด้วยความเหนื่อยล้าและยอมรับในโชคชะตาของตนเอง เอเรเซียจึงตัดสินใจที่จะผนึกตนเองไว้ในป่าลึก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายและความเสียหายต่อผู้คน เธอใช้พลังเวทย์ที่หลงเหลืออยู่สร้างค่ายกลเวทมนตร์รอบตัวเธอ เสียงกระซิบจากป่าเริ่มดังขึ้นขณะที่เธอร่ายเวทย์ลึกลับ ผนึกนี้จะทำให้เธอหลับใหลไปชั่วนิรันดร์ ร่างของเธอจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ราวกับว่าเธอไม่เคยมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

ก่อนที่เวทย์จะสำเร็จสมบูรณ์ เอเรเซียเหลือบมองท้องฟ้าครั้งสุดท้าย ดวงดาวที่ส่องสว่างดูเหมือนเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของเธอในค่ำคืนนี้ เธอปิดตาลง รู้สึกถึงความหนาวเย็นของอากาศที่โอบล้อมร่างกาย และเสียงกระซิบสุดท้ายของเธอผสานไปกับสายลม

"หากสักวันหนึ่ง... มีผู้ที่เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ข้าเป็น ขอให้เขาปลุกข้าขึ้นมาอีกครั้ง แต่จนกว่าจะถึงวันนั้น ข้าจะอยู่ในความเงียบสงบเช่นนี้"

เมื่อคำพูดสุดท้ายสิ้นสุดลง ร่างของเอเรเซียก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงจาง ๆ ก่อนจะค่อย ๆ จางหายไปกระท่อมเล็ก ๆ ของเธอถูกทิ้งร้าง และไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้อีกต่อไป

นับจากวันนั้น ตำนานของแม่มดลึกลับผู้ผนึกตนเองในป่าลึกก็กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าในหมู่บ้าน ผู้คนยังคงพูดถึงเธอด้วยความกลัวและความระแวดระวัง แต่ในขณะเดียวกัน บางคนก็เริ่มตั้งคำถามว่าเธอเป็นแม่มดที่ชั่วร้ายจริงหรือไม่ หรือเธอเป็นเพียงผู้ที่ถูกเข้าใจผิด

วันเวลาผ่านไป... เรื่องราวของเอเรเซียกลายเป็นเพียงตำนานเก่าแก่ แต่ท่ามกลางความเงียบสงบในป่าลึก ร่างของแม่มดอมตะยังคงหลับใหล รอคอยวันที่ใครบางคนจะเข้ามาและค้นพบความจริง

หลายปีผ่านไปจนหมู่บ้านลืมเลือนเรื่องราวของแม่มดในป่าลึก ตำนานของเธอกลายเป็นเพียงนิทานก่อนนอนที่เล่าขานกันมา ผู้คนต่างเชื่อว่าแม่มดผู้นั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าของคนรุ่นเก่าเพื่อขู่เด็ก ๆ ไม่ให้หลงเข้าไปในป่า แต่บางคนยังคงแอบสงสัยถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในตำนานนั้น

กระทั่งเช้าวันหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งชื่ออันนา ซึ่งเป็นเด็กสาวผู้รักการสำรวจธรรมชาติและมักจะออกไปเก็บสมุนไพรในป่ามาใช้รักษาผู้คนในหมู่บ้าน บังเอิญเดินลึกเข้าไปในป่ามากกว่าที่เคย จนกระทั่งเธอพบกระท่อมเล็ก ๆ ที่ถูกปกคลุมด้วยเถาวัลย์และมอสเกาะตามกำแพง เมื่อเห็นกระท่อมลึกลับนี้ อันนารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่แตกต่างออกไป

เธอค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้กระท่อม และเมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องมีเพียงแสงอ่อน ๆ ส่องลอดผ่านรอยแตกของกำแพงไม้ เธอเห็นร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่กลางห้อง รอบตัวเธอรายล้อมไปด้วยวงเวทย์ที่มีลวดลายแปลกตา ร่างนั้นมีผิวขาวซีดราวกับหิมะ ดวงตาปิดสนิทและไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว แต่ดูงดงามและลึกลับราวกับภาพวาด

อันนารู้สึกได้ถึงบางสิ่งในใจ เหมือนกับเสียงกระซิบที่บอกให้เธอลองเอื้อมมือไปสัมผัสร่างนั้น ความสงสัยและความเมตตาทำให้เธอไม่อาจละสายตาได้ เธอค่อย ๆ วางมือลงบนมือของหญิงสาวที่เย็นเฉียบ ร่างของหญิงสาวนั้นเริ่มสั่นไหวเบา ๆ วงเวทย์รอบตัวเธอค่อย ๆ สว่างขึ้นอย่างน่าพิศวง

ทันใดนั้น ดวงตาสีเเดงอมม่วง ของเอเรเซียก็เปิดขึ้น แสงสว่างวาบออกมารอบตัวเธอ อันนาถอยหลังไปด้วยความตกใจแต่ยังคงจ้องมองอย่างหลงใหล ร่างของเอเรเซียค่อย ๆ ขยับตัว และเมื่อเธอหันมามองอันนา แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและความอ่อนโยน

"เจ้า…เป็นผู้ปลุกข้าขึ้นมา" เอเรเซียกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่แฝงด้วยพลังบางอย่าง

อันนาพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ และถามด้วยเสียงสั่น "ท่านคือ…แม่มดในตำนานใช่ไหม?"

เอเรเซียมองใบหน้านั้น ที่เหมือนจะคุ้นเคยเเต่กลับไม่ใช่เเละพูดออกไป

"ข้าเคยเป็นเช่นนั้น และข้าถูกผนึกไว้ที่นี่เป็นเวลานาน แต่เจ้า…เจ้าเป็นผู้ที่ทำให้ข้าตื่นจากการหลับใหล"

 เอเรเซียสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์และความเมตตาในดวงตาของเด็กสาว ความรักและความหวังที่อันนามีต่อชีวิตและคนรอบข้างทำให้เอเรเซียรู้สึกอบอุ่น เป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมานานแสนนาน

อันนาจึงเริ่มถามถึงเรื่องราวของเอเรเซีย และในขณะที่เอเรเซียเล่าให้ฟังถึงอดีตที่เธอเคยเป็นทาสและถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดชั่ว

"ข้าเพียงอยากช่วยผู้คน"

เอเรเซียกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมหลับตาลง

 "แต่ความกลัวและความไม่เข้าใจทำให้ข้าถูกตีตราว่าเป็นแม่มดชั่วร้าย ข้าจึงเลือกที่จะผนึกตัวเองไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขาต้องหวาดกลัวอีกต่อไป"

อันนาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า

"ท่านไม่ใช่คนชั่วร้าย ท่านเพียงแต่ถูกเข้าใจผิด ข้าจะช่วยท่านให้มีชีวิตใหม่ในโลกที่เข้าใจและยอมรับในตัวท่านมากขึ้น"

คำพูดของอันนาเป็นดั่งแสงสว่างที่ส่องผ่านความมืดที่เอเรเซียเคยดำเนินชีวิตอยู่ มันทำให้เธอเกิดความหวังขึ้นอีกครั้ง ว่าอาจมีคนที่พร้อมจะเข้าใจและเห็นคุณค่าของเธอในโลกใบนี้

จากวันนั้น เอเรเซียจึงตัดสินใจออกจากป่าพร้อมกับอันนา เธอสัญญากับตนเองว่า จะใช้พลังเวทมนตร์ของเธอช่วยเหลือผู้คนอีก

หลังจากที่เอเรเซียตัดสินใจออกจากป่ามาพร้อมกับอันนา ความคิดหนึ่งที่เธอเก็บไว้ลึกในใจเริ่มชัดเจนขึ้น นั่นคือความปรารถนาที่จะตามหาเด็กสาวอีกคน—เด็กสาวที่เคยมาเก็บสมุนไพรในป่าเมื่อหลายสิบปีก่อนและเป็นผู้ที่ทำให้เธอเชื่อในความดีงามและความเมตตาในมนุษย์อีกครั้ง เด็กสาวคนนั้นเป็นเหมือนแสงแรกที่ปลอบโยนใจของเธอในช่วงเวลาที่เธอรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง

เอเรเซียหันมาหาอันนา ผู้ซึ่งรับฟังเรื่องราวของเธอทุกคำและกลายเป็นเพื่อนคนสำคัญในการเดินทางครั้งใหม่

 "อันนา ข้ามีคำขออย่างหนึ่ง"

 เอเรเซียพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือด้วยความหวัง

 "ข้าอยากตามหาเด็กสาวอีกคนที่เคยมาที่นี่เมื่อนานมาแล้ว เธอคงเติบโตและกลายเป็นหญิงสาวหรืออาจมีครอบครัวไปแล้ว แต่ข้าอยากรู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง"

อันนายิ้มอย่างอบอุ่นก่อนจะตอบว่า

 "ท่านมีเบาะแสอะไรบ้างเกี่ยวกับเธอไหมคะ?"

เอเรเซียครุ่นคิดก่อนจะบอกสิ่งที่เธอจำได้

 "ข้าไม่รู้ชื่อเธอ จำได้แค่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน และความมุ่งมั่นในดวงตา เธอบอกว่ามาเก็บสมุนไพรให้แม่ที่ป่วย มีผมสีน้ำตาล...ดวงตาสีเขียวดั่งผืนหญ้า มีหน้าตาคล้ายกับเจ้า"

อันนาหยุดเดินพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเเปลกๆว่า

"ถ้าตามลักษณะที่พูดมาข้าอาจจะรู้จักบางคนที่ตรงตามที่ท่านพูดมาก็ได้เขาอยู่ที่บ้านเกิดของข้า"

การเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของอันนาเป็นการเดินทางที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่น่าสนใจ สถานที่ที่เธอเติบโตขึ้นมา หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่อบอุ่น

"ที่บ้านเกิดของข้า มีผู้คนที่คอยดูแลกันเสมอ ทุกคนมีความรักและความเมตตา ซึ่งมันทำให้ข้ารู้สึกถึงความหมายของการมีคนที่เข้าใจและคอยสนับสนุนเสมอ"

 อันนาเล่าไปพร้อมกับรอยยิ้มบาง ๆ

เอเรเซียฟังอย่างตั้งใจ รู้สึกอบอุ่นในใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น

"ข้าเข้าใจดี ความเมตตาและการช่วยเหลือกันคือสิ่งที่โลกนี้ต้องการ"

 เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความคิดถึงในอดีต

ไม่นานนัก พวกเธอก็มาถึงหมู่บ้านที่อันนาเติบโตขึ้น บรรยากาศของหมู่บ้านเต็มไปด้วยความเรียบง่าย อันนาได้นำเอเรเซียไปยังบ้านของเธอ ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจี

เมื่อพวกเธอเดินเข้าไปในบ้าน ทุกคนในหมู่บ้านต่างทักทายอันนาและให้ความสนใจกับผู้หญิงที่เดินมาด้วย ร่างสูงสง่าของเอเรเซียทำให้ทุกคนรู้สึกถึงบางสิ่งที่พิเศษในตัวเธอ แต่ไม่มีใครถามอะไรมากนัก นอกจากการทักทายอย่างอบอุ่น

"แม่! พ่อ!"

 อันนาร้องทักทายด้วยเสียงสดใส ก่อนจะหันไปแนะนำเอเรเซียให้ครอบครัวของเธอรู้จัก

"ข้าขอนำเอเรเซียมาแนะนำ ท่านคือผู้ที่ช่วยข้าและเปลี่ยนชีวิตข้าในหลาย ๆ ด้าน ข้าคิดว่าเธอเป็นคนที่ควรจะได้รับการต้อนรับที่ดีจากพวกท่าน"

พ่อแม่ของอันนาเดินเข้ามาทักทาย เอเรเซียรู้สึกถึงความอบอุ่นในท่าทางของทั้งคู่ แม้พวกเขาจะยังไม่รู้ถึงอดีตของเอเรเซีย แต่พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความสง่างามและความเมตตาที่ซ่อนอยู่ในตัวเธอ

"ยินดีที่ได้พบกันค่ะ"

 เอเรเซียกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอรู้สึกถึงความพิเศษของบ้านนี้ แม้จะไม่เคยเป็นที่ที่เธอเคยอาศัย แต่ที่นี่ทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เธอเคยสูญเสียไปนานแล้ว

หลังจากมื้ออาหาร เอเรเซียเดินออกมาที่ลานบ้าน มองดูดวงดาวที่ส่องสว่างบนท้องฟ้าคราม ร่างของเธอสะท้อนแสงจันทร์ที่สวยงามราวกับภาพวาด ท่ามกลางคืนอันเงียบสงบนี้ เอเรเซียรู้สึกเหมือนตัวเองได้กลับมามีที่ทางในโลกนี้อีกครั้ง

เธอกล่าวกับตัวเองในใจ

"ที่นี่... ข้าจะสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ข้าจะช่วยเหลือผู้คนที่นี่ ไม่ว่าอุปสรรคใด ๆ ข้าจะไม่ยอมแพ้"

วันใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น และเอเรเซียก็พร้อมที่จะเดินทางไปข้างหน้า ร่วมกับอันนาและครอบครัวของเธอเพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าให้กับทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือ

เมื่อรุ่งอรุณ เอเรเซียถามถึงสาวน้อยที่ตนตามหา อันนาให้เธอเดินตามมาอย่างเงียบๆที่บ้านของอันนานั้นมีสองชั้นเเต่เอเรเซียยังไม่เคยขึ้นไปดูเมื่อเข้าไป ก็พบหญิงชราดวงตาสีเขียวนั่งอยู่บนเก้าอี้

"อันนางั้นรึเดี้ยวนี้ยายมองไม่ค่อยเห็นเเล้ว เเล้วอีกคนเป็นเพื่อนของเจ้ารึอันนา"

เสียงที่คุ้นเคยเเม้จะเเผวเบา เเละ สั่นเครือเเต่กลับเป็นเสียงที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาดเสียงของหญิงชราดังก้องไปในหัวใจของเอเรเซีย

"คุณยายไอน่า..นี้เพื่อนของหนูชื่อ-""

เอเรเซียวิ่งเข้าไปจับมือของไอน่าน้ำตาที่เอ่อล้นออกมากับความรู้สึกที่ไม่ได้สัมผัสมานานราวกับว่ากำลังกัดกินไปจนถึงกระดูก

"พบตัวเเล้วนะ สาวน้อยที่มาเก็บสมุนไพรหน้าบ้านของเเม่มด ในที่สุดก็รู้ชื่อเสียทีไอน่า"

หญิงชรานั้นได้เเต่นั่งนิ่งไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ราวกับความหลังกำลังหวนคืนกลับมา

"ท่านเเม่มดเองงั้นรึ ข้าขอโทษที่ไม่สามารถกลับไปเจอท่านได้ตามสัญญา นับตั้งเเต่ท่านผนึกตนเองข้าก็ได้เพียงกลับไปทำความสะอาดบริเวณบ้านท่านเป็นครั้งคราว เเต่ตอนนี้ข้ากลายเป็นหญิงชราไปเสียเเล้ว"

เอเรเซียเอ่ยคำเดียวออกมาเเต่กลับเเฝงไปด้วยความรู้สึกที่อ่อนล้า เศร้า ความรู้สึกผิด

"ข้าขอโทษ"

ไอน่ายิ้มด้วยความเศร้า เหมือนรู้ชะตากรรมของตนที่กำลังจะหยุดลง เเละ จับไปที่หัวของเอเรเซียพร้อมกระซิบกล่าวคำที่เอเรเซียอยากได้ยินมากที่สุด

"ข้าขอบคุณท่านเเม่มดได้โปรดเเสดงปฏิหาริย์ให้ข้าดูอีกเสียทีเถิด ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงนอนตายตาหลับลงได้"

เอเรเซียเช็ดน้ำตาของตน เเละรีบเร่งร่ายเวทมนต์วงเวทย์ขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นในห้องไม่นานก็มีภาพใหญ่โผล่ขึ้นมา

กลางอากาศ ภาพที่ลอยตัวอยู่นั้นคือความทรงจำของ

เอเรเซียสมัยที่ยังอยู่ในป่าลึก เเละกำลังช่วยไอน่าเก็บสมุนไพร หรือเเม้จะเป็นตอนพบกันครั้งเเรก ภาพของทั้งสองฉายขึ้น ตั้งเเต่ไอน่ายังเด็กจนโต

"ข้านั้นลืมไปเเล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีรอยยิ้มเเบบนั้น"

ไอน่ากล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ค่อยๆเบาลงไปตาของไอน่าที่กำลังปิดลงพร้อมทั้งรอยยิ้มที่กำลังโผล่ขึ้นมา ไม่นานไอน่าก็เข้าสู่ห้วงนิทราตลอดไป

เสียงของฝนที่ตกลงมา ราวกำลังกลบเสียงที่ดังอยู่ภายในใจของเอเรเซีย

ในยามเช้าตรู่ที่หมู่บ้านยังคงหลับใหลใต้แสงจันทร์อ่อนๆ เอเรเซียเดินออกจากบ้านของอันนาอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครรู้เธอออกไปจากหมู่บ้าน ครอบครัวของอันนาคงไม่รู้สึกถึงการจากไปของเธอ จนกว่าพวกเขาจะตื่นขึ้นในตอนเช้า แต่เอเรเซียรู้ดีว่าเธอไม่สามารถอยู่ในที่นี้ได้นานอีกต่อไป

แม้จะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นจากทุกคนในหมู่บ้าน อันนาและครอบครัวของเธอ แต่ในใจของเอเรเซียกลับเต็มไปด้วยความสับสนและความเจ็บปวด เธอรู้สึกว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป เธอจะทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า ความกลัวที่เธอมีในตัวเองยังคงไม่หายไป แม้ว่าเธอจะได้พบกับความเมตตาและการยอมรับจากผู้อื่นก็ตาม

เอเรเซียไม่ต้องการให้ใครมองเห็นเธอเป็นเพียง

"แม่มด" หรือ "คนที่มีพลัง"

เธอไม่ต้องการที่จะเป็นภาระหรือแหล่งความหวาดกลัวของใคร เธอต้องการความสงบสุข ความเงียบสงัดในหัวใจของเธอเอง แม้ว่าโลกข้างนอกจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่เธอกลับอยากให้ตัวเองกลับไปสู่ความเป็นตัวของตัวเองในที่ซึ่งไม่มีใครมารบกวน

เมื่อออกมาไกลพอจากหมู่บ้านแล้ว เอเรเซียหยุดอยู่ที่ริมป่า ลมหายใจของเธอหนักหน่วง เธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากว้างที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ดวงดาวดูเหมือนจะสะท้อนภาพความเหงาของเธอ ทั้งเงียบและไกลลิบ ทุกสิ่งในโลกนี้ดูเหมือนจะห่างไกลจากเธอ

"ข้าไม่ควรอยู่ที่นี่… ข้าไม่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ได้"

 เอเรเซียพูดเบา ๆ กับตัวเอง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และเธอก็รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่เริ่มรินไหลลงมาอย่างเงียบ ๆ

เอเรเซียตัดสินใจแล้วว่า เธอจะเดินทางไปสู่ที่ที่ไม่มีใครรู้จักเธอ ไม่ว่าจะเป็นป่า เผื่อว่าในที่นั้นเธอจะได้หาคำตอบให้กับคำถามที่ไม่มีวันสิ้นสุดในใจของเธอ ไม่ว่าโลกจะยอมรับหรือไม่ เธอไม่สนใจอีกต่อไป

เธอเดินต่อไปอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืดมิดของคืนที่ไม่มีใครตามหา เอเรเซียรู้ว่าเธอต้องการให้ตัวเองหายไปจากการรับรู้ของผู้คน ทั้งยังไม่อยากพบใครอีกแล้ว เธอไม่อยากจะเป็นภาระของใคร เธอไม่อยากให้ความกลัวของตัวเองไปกระทบชีวิตของคนอื่น

เอเรเซียไม่คิดที่จะหันหลังกลับอีกแล้ว เธอก้าวเดินลึกเข้าไปในความมืด ซึ่งมันไม่ต่างจากความมืดที่เธอรู้สึกในใจ

"บางทีการหลบหนีอาจเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับข้า"

เอเรเซียคิดในใจเมื่อความมืดเริ่มกลืนกินทุกอย่างรอบตัว และทิ้งให้เธอได้อยู่กับตัวเองในโลกที่เงียบสงัด.

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!