NovelToon NovelToon

ห้องเช่าหมายเลข 27

ตอนที่ 1 - หาหอใหม่

กลางเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและเสียงจอแจ มีอพาร์ทเม้นต์เก่าแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในมุมมืดของถนนเส้นเล็กๆ ตึกนี้มีชื่อว่า "มณีรัตน์ " 

มิ้นสาวนักศึกษามหาวิทยาลัย กำลังหาที่พักใหม่เพราะหอพักของเธอเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เธอพบประกาศห้องเช่าราคาถูกที่อพาร์ทเม้นต์ มณีรัตน์ นั่นทำให้เธอรู้สึกดีใจเพราะราคาถูกและใกล้มหาวิทยาลัยด้วย 

มิ้น : "ทำไมที่นี่ถึงราคาถูกจัง ?"

มิ้นถามตัวเองขณะเดินเข้ามาในตึก บรรยากาศรอบๆ ดูเก่าและเงียบสงัดเกินกว่าที่เธอคาดหวังไว้ เดินดูได้ไม่นาน มิ้นได้พบกับชายวัยกลางคน ลุงชัยผู้ดูแลตึก ลุงชัยต้อนรับมิ้นอย่างดีและมีท่าทีเป็นมิตร

ลุงชัย : “สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่ที่พักที่นี่นะครับ”

มิ้น : “สวัสดีค่ะ มาติดต่อขอดูห้องเช่ารายเดือนค่ะ”

ลุงชัย : “ได้ครับ แต่ตอนนี้เหลือห้องเช่าเพียงห้องเดียวนะครับ ลองเข้าไปดูได้ครับ"

ลุงชัยพามิ้นเดินขึ้นบันไดไปยังชั้น 3 และหยุดอยู่หน้าห้อง ห้องหนึ่ง "ห้องหมายเลข 27" มิ้นรู้สึกว่ามีบางอย่างน่าสงสัยหน้าห้อง แสงไฟส่วนใหญ่มีลักษณะอ่อนแสงและบางที่มืดมิดอย่างที่ไม่ควรจะเป็น บรรยากาศที่เงียบสงบของตึก ทำให้มิ้นรู้สึกว่ามีความเย็นแปลกๆที่แขนของเธอ และเหมือนว่ามีเสียงเบาๆ ของการหัวเราะสะท้านหูเธอมาจากที่ใดที่มองไม่เห็น เธอหันมองรอบๆเพื่อหาแหล่งกำเนิดเสียง แต่ไม่เห็นอะไร 

ลุงชัยเปิดประตู ให้มิ้นเดินเข้าไปในห้อง และลุงชัยตามหลังเข้าไปด้วย เมื่อมิ้นเริ่มก้าวเข้าไปในห้อง เธอรู้สึกเหมือนว่ามีลมหนาวที่บังเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ แต่ไม่มีเสียงหรือสิ่งใดเลยที่เกิดขึ้น มิ้นหันมามองลุงชัยที่ยังยิ้มแย้ม และเธอตัดสินใจที่จะเข้าไปดูห้องต่อไป

ภายในห้องมีขนาดกว้างขวางพอที่จะให้ความรู้สึกสะดวกสบาย แต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศที่ยากจะอธิบาย ห้องนี้มีเพดานสูงและผนังสีเทาอ่อนถูกปกคลุมด้วยวอลเปเปอร์ลายดอกไม้ที่ดูเก่าและซีดจางจากกาลเวลา

เฟอร์นิเจอร์ในห้องถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สมดุล เตียงขนาดควีนไซส์ตั้งอยู่กลางห้อง ปูด้วยผ้าปูเตียงสีขาวที่มีลวดลายดอกไม้เล็กๆ ซึ่งในบางครั้งดูเหมือนจะเคลื่อนไหวเล็กน้อย 

โต๊ะเขียนหนังสือไม้เก่าๆ ตั้งอยู่ริมหน้าต่างที่มีม่านสีเข้มปิดอยู่มุมหนึ่งของห้อง มีเก้าอี้โยกเก่าที่ดูเหมือนจะเคยมีคนใช้งานบ่อย แต่ตอนนี้กลับถูกทิ้งร้าง ในห้องมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้โอ๊ค สะท้อนให้เห็นถึงความหรูหราในอดีต แต่เมื่อเปิดตู้ก็จะพบกับกระจกเงาที่ตั้งอยู่ด้านใน ซึ่งเมื่อมองดูนานๆ เงาสะท้อนในกระจกนั้นกลับดูเหมือนจะไม่ตรงกับความเป็นจริงที่อยู่เบื้องหน้า

บรรยากาศในห้องมีความเงียบสงบ ลมเย็นๆ ที่พัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในบางครั้งทำให้รู้สึกหนาวสะท้านไปถึงกระดูก ทั้งที่หน้าต่างนั้นถูกปิดแน่น แสงไฟจากหลอดไฟบนเพดานมีลักษณะอ่อนแรง ทำให้ทุกอย่างในห้องดูเหมือนจะมีเงาที่ไม่แน่นอน ทุกอย่างในห้องนี้ดูเหมือนจะมีเรื่องราวของตัวเอง ทำให้รู้สึกว่ามีสายตาจับจ้องอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่มีใครอื่นอยู่ในห้องเลยก็ตาม

ลุงชัย : เป็นยังไงบ้างครับ สนใจเช่าห้องนี้มั้ยครับ”

มิ้นสะดุ้งเล็กน้อย ตื่นจากภวังค์ เมื่อได้ยินลุงชัยถาม

มิ้น : "ว้าว ห้องนี้กว้างขวางและสะอาดดีจริงๆ และราคาก็ไม่แพงเลย"

ลุงชัย : "ใช่ครับ ห้องนี้เป็นห้องที่คนเคยเช่าอยู่มาก่อน ก็มีความพอใจมากเสมอเหมือนกัน

ด้วยความตื่นเต้นที่เห็นห้องกว้างขวางแถมราคาไม่แพง ทำให้มิ้นลืมความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อีกทั้งความเร่งรีบและงบประมาณที่จำกัด เธอจึงตัดสินใจเช่าห้องนี้

ลุงชัย : "น้องมิ้นตัดสินใจได้แล้วใช่ไหม?" ลุงชัยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

"ค่ะลุงชัย ห้องนี้กว้างขวางดี ราคาก็ไม่แพงเกินไป" มิ้นตอบพลางยิ้มบางๆ

ลุงชัยยิ้มตอบ "ดีแล้วล่ะ ถ้าน้องมิ้นพร้อมก็ทำสัญญาเช่าได้เลย แต่มีข้อแม้นิดหน่อยนะ"

"ข้อแม้เหรอคะ?" มิ้นยกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

"ใช่ ตอนกลางคืนหลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว ห้ามออกจากห้องเด็ดขาด และห้ามเปิดหน้าต่าง ถ้าได้ยินเสียงแปลกๆ ก็ให้ทำเป็นไม่ได้ยิน เข้าใจไหม ?" ลุงชัยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

มิ้นรู้สึกแปลกใจแต่ก็พยักหน้า "เข้าใจค่ะลุงชัย จะพยายามทำตามค่ะ"

"ดีแล้ว ถ้ามีอะไรสงสัยหรือต้องการความช่วยเหลือ ก็บอกลุงได้ตลอดเวลา" ลุงชัยยิ้มอ่อนๆ แต่ในใจของมิ้นกลับรู้สึกถึงความลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้

หลังจากทำสัญญาและจ่ายค่าเช่า มิ้นก็ย้ายเข้าห้องทันที เธอจัดของเล็กๆ น้อยๆ ให้เข้าที่เข้าทาง แต่ในใจกลับค่อยๆ เกิดความสงสัยและความไม่สบายใจเกี่ยวกับคำเตือนของลุงชัย.....

ตอนที่ 2 - ห้องใหม่

เมื่อจัดของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว มิ้นตัดสินใจออกไปเดินสำรวจรอบตึก เธอเดินผ่านทางเดินยาวที่มีแสงไฟสลัวๆ บางส่วนของตึกดูเก่าและมีคราบรอยของเวลา แต่ก็ยังมีความอบอุ่นในบรรยากาศ

ผนังทางเดินมีรอยแตกร้าวและคราบน้ำที่เป็นรอยแผ่นบางๆ สีของผนังที่เคยขาวสะอาดกลับกลายเป็นสีเหลืองหม่น ประตูบางบานมีรอยขีดข่วนและดูเหมือนจะมีอายุหลายสิบปี หน้าต่างบางบานถูกปิดทึบด้วยม่านหนาๆ ที่ซีดจางและมีรอยขาด

พื้นกระเบื้องที่เคยเป็นเงางามตอนนี้มีรอยแตกร้าวและสกปรก บางจุดมีกระเบื้องหลุดออกและถูกแทนที่ด้วยไม้แผ่นบางๆ ที่ปิดทับไว้อย่างไม่เรียบร้อย ในบางมุมของทางเดินมีฝุ่นเกาะหนาจนเห็นได้ชัดและมีใยแมงมุมปกคลุม

มิ้นเดินผ่านห้องที่มีประตูปิดแน่น แต่เธอรู้สึกเหมือนมีสายตาคอยมองตาม ทุกครั้งที่เธอเดินผ่านทางเดินแคบๆ และยาวนั้น ความรู้สึกหนาวเย็นก็ปะทะเข้ามา บางครั้งเธอได้ยินเสียงแผ่วเบาที่เหมือนเสียงกระซิบหรือเสียงเท้ากระทบพื้น แม้จะไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

บรรยากาศรอบตัวให้ความรู้สึกเหมือนตึกนี้มีความลับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ตึกที่เคยเป็นที่พักอาศัยของหลายๆ คน ตอนนี้กลับกลายเป็นที่ที่ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและน่ากลัว แม้จะมีความอบอุ่นจากแสงไฟ แต่เงาที่สะท้อนบนผนังกลับทำให้มิ้นรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในมุมมืดของตึกนี้

ขณะที่มิ้นเดินต่อไปตามทางเดินยาว เธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดอยู่ แม่บ้านคนนี้ดูเคร่งขรึม ไม่ค่อยพูดและดูเหมือนจะไม่สนใจรอบตัวมากนัก

"สวัสดีค่ะ" มิ้นทักทายด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร

แม่บ้านหันมามองด้วยสายตานิ่งๆ แล้วพยักหน้าเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบอะไร เธอกลับไปทำงานต่อ โดยใช้ไม้ถูพื้นถูไปมาตามพื้นทางเดินที่ดูเก่าและสกปรก

มิ้นรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามทำความรู้จัก "พี่ทำงานที่นี่นานหรือยังคะ ?"

แม่บ้านหยุดมือและหันมามองมิ้นอีกครั้ง ก่อนจะตอบเสียงเบา "นานแล้วค่ะ"

"แล้วพี่ชื่ออะไรคะ?" มิ้นพยายามต่อบทสนทนา

"ชื่อพิมพ์ค่ะ" แม่บ้านตอบสั้นๆ แล้วกลับไปทำงานต่อ

มิ้นพยายามหาคำถามที่น่าสนใจ "พี่พิมพ์เคยเจออะไรแปลกๆ ในตึกนี้บ้างไหมคะ ?"

พิมพ์หยุดมือและเงยหน้ามองมิ้น พร้อมถอนหายใจเบาๆ "ตึกนี้มีความลับมากมาย บางคนบอกว่าเคยได้ยินเสียงแปลกๆ บางครั้งก็มีคนเห็นเงามืดที่เดินผ่านไปมาในตอนกลางคืน ถ้าหนูไม่กลัว ก็คงอยู่ได้"

คำตอบของพิมพ์ทำให้มิ้นรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งตัว แต่เธอก็พยายามยิ้มและขอบคุณพิมพ์สำหรับข้อมูล 

พิมพ์พยักหน้าแล้วกลับไปทำงานต่อ มิ้นเดินกลับไปที่ห้องของเธอด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นและตื่นเต้น เรื่องราวที่ได้ยินทำให้เธอรู้ว่าตึกนี้ยังคงมีความลับที่ต้องค้นหา และเธอจะต้องเผชิญหน้ากับมันในค่ำคืนที่เงียบสงบและวังเวงนี้

คืนแรกมาถึงอย่างรวดเร็ว มิ้นรู้สึกเหนื่อยล้าจากการย้ายห้อง ทำให้เธอหลับแต่หัววัน หลังจากเที่ยงคืนไปแล้ว ห้องเงียบสงัดและมืดมิด ทันใดนั้นเอง เธอสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเคาะประตูปริศนาที่ไม่คาดคิด

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก" "ก๊อก ก๊อก ก๊อก"

เสียงเคาะประตูนั้นไม่ใช่เสียงที่มาจากเพื่อนหรือคนรู้จัก เป็นเสียงที่ไม่สมควรเกิดขึ้นในเวลาดังกล่าว มิ้นรู้สึกหวาดหวั่นขณะลุกขึ้นมาจากที่นอน เธอมองหาเวลาในนาฬิกาข้างเตียง บางทีเธอคิดว่าเสียงนั้นอาจเป็นเพียงฝันร้าย แต่ความรู้สึกของเธอรู้สึกว่ามันไม่ใช่ 

เธอลงจากเตียง มุ่งหน้าไปหน้าประตูด้วยความกังวล เธอก้าวเข้าหาประตูช้าๆ โดยการเตือนตัวเองว่าเสียงนั้นอาจมาจากบางสิ่งที่ผิดปกติ แต่เธอก็รู้สึกสงสัยและความหวาดกลัวเริ่มเพิ่มขึ้นในใจ

เธอค่อยๆยื่นหน้าเข้าใกล้ประตู "ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก" หัวใจเธอเต้นเร็วด้วยความตื่นเต้น เธอส่องดูหน้าห้องผ่านตาแมวประตู

แต่เธอไม่พบอะไร ไม่มีแมว ไม่มีสิ่งที่อาจก่อให้เกิดเสียงเคาะประตู มิ้นรู้สึกว่าความกลัวและความกังวลในใจเริ่มคลายลง เธอรู้สึกว่าอาจเป็นเพียงฝันร้ายหรือจินตนาการเท่านั้น เธอจึงกลับไปนอนต่อกับความสงบสุขของห้องนอนใหม่ของเธอ

เช้าวันใหม่....🌄

เช้าวันใหม่มาถึง แสงแดดอ่อนๆ ส่องความสดใสผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องของมิ้น เธอรู้สึกตื่นเต้นและกระตือรือร้นที่จะเริ่มต้นวันใหม่ จึงรีบลุกขึ้น อาบน้ำ และแต่งชุดนักศึกษาอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกอย่างพร้อม เธอเก็บของใช้ที่จำเป็นใส่กระเป๋าแล้วออกจากห้องเช่า

ระหว่างเดินลงบันไดจากชั้นสาม เธอได้พบกับผู้หญิงที่พักอยู่ชั้นสอง ซึ่งกำลังจะเดินลงบันไดเหมือนกัน ผู้หญิงคนนั้นมีท่าทางเงียบขรึม มิ้นยิ้มทักทาย

มิ้น: "สวัสดีค่ะ !! เพิ่งมาใหม่ชื่อมิ้นค่ะ"

แต่ผู้หญิงคนนั้นเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยและรีบเดินผ่านไป

มิ้นรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ใส่ใจมากนัก เธอเดินต่อไปยังป้ายรถเมล์เพื่อรอรถที่จะพาเธอไปมหาวิทยาลัย ขณะที่ยืนรอรถเมล์ ความคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงวนเวียนอยู่ในหัว แต่เธอพยายามจะลืมและจดจ่อกับการเรียนในวันนี้

เมื่อถึงมหาวิทยาลัย มิ้นตรงไปยังห้องเรียนทันที วันนี้มีการบรรยายที่สำคัญเกี่ยวกับวิชาที่เธอโปรดปราน หลังจากที่เรียนจนถึงเย็น มิ้นรู้สึกหิวจึงตัดสินใจแวะร้านสะดวกซื้อเพื่อหาของว่าง

"กริ๊ง กริ๊ง" เสียงกริ่งที่ดังขึ้นเมื่อเธอเปิดประตูทำให้เธอสะดุ้งเล็กน้อย บรรยากาศในร้านนั้นเงียบสงัดเกินไป แม้ว่าจะเป็นเวลาเย็นที่ควรจะมีคนมาซื้อของกันมากขึ้น

เธอเดินไปตามทางเดินแคบๆ ที่เต็มไปด้วยชั้นวางสินค้าสูงเสียดเพดาน ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นเมื่อเธอรู้สึกว่ามีสายตาจับจ้องมาที่เธอแต่ไม่สามารถหาต้นตอได้ เธอพยายามทำใจให้สงบและเดินไปหยิบน้ำเปล่าและขนมปังที่ตั้งใจจะซื้อ

ขณะที่มิ้นกำลังเลือกขนมอยู่ เธอสังเกตเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ เขาสูงโปร่ง ผิวขาวเนียน ใบหน้าตี๋และหล่อเหลา อายุราวๆ 30 ต้นๆ ดวงตาของเขาดูสงบนิ่งแต่ก็แฝงไปด้วยความอบอุ่นที่ทำให้มิ้นรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย

เมื่อได้ของที่ต้องการครบแล้ว มิ้นจึงเดินไปที่แคชเชียร์เพื่อชำระเงิน เมื่อเธอเข้าใกล้ ผู้ชายคนนั้นยิ้มอย่างสุภาพ

พนักงานชาย : "สวัสดีครับ ต้องการอะไรเพิ่มไหมครับ?"

มิ้น: "ไม่ค่ะ แค่นี้ค่ะ ขอบคุณค่ะ"

เสียงของพนักงานทำให้มิ้นรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอีกเล็กน้อย เขาเคลื่อนไหวอย่างสง่างามและดูเป็นมืออาชีพ ทำให้เธอลืมความหวาดกลัวไปชั่วขณะ

พนักงานชาย: "มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ?"

มิ้น: "เอ่อ...ไม่มีค่ะ ขอบคุณค่ะ"

มิ้นรีบชำระเงินและออกจากร้านไป แต่ความรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้องก็ยังคงติดอยู่ในใจของเธอ ขณะที่เธอกำลังเดินกลับไปยังห้องเช่า เธอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังตามเธออยู่ เธอเร่งฝีเท้าและพยายามไม่หันกลับไปมอง แต่ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยังไม่จางหายไป

เมื่อถึงหอพัก มิ้นเดินเข้าตึกและรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดเกินไป ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติแต่ก็ให้ความรู้สึกวังเวง เธอพยายามทำใจให้สงบและเดินขึ้นบันไดที่มีแสงไฟสลัวๆ ทุกขั้นที่เธอเดินขึ้นไป เสียงฝีเท้าของเธอสะท้อนกลับมา ทำให้ความกลัวในใจเริ่มเพิ่มขึ้น

ขณะที่มิ้นเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสาม เธอพบกับคู่รักคู่หนึ่ง ยืนอยู่หน้าห้องหมายเลข 23 ผู้หญิงมีผมยาวและดูหน้าตาสวย แต่ท่าทางของเธอเย็นชา ส่วนผู้ชายมีรูปร่างสูงและใบหน้าคมคาย แต่ดูไม่ค่อยเป็นมิตร

มิ้นพยายามส่งยิ้มและกล่าวทักทายเบาๆ "สวัสดีค่ะ"

ผู้หญิงเหลือบมองเธอด้วยสายตาที่ดูเหินห่างก่อนจะหันไปคุยกับผู้ชายต่อ ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นมิตรเช่นกัน เขาแค่พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร มิ้นรู้สึกอึดอัดและรีบเดินผ่านคู่รักนั้นไป

เมื่อถึงห้องตัวเอง มิ้นรีบเปิดประตูและปิดล็อกทันที เธอพยายามหายใจลึกๆ เพื่อทำใจให้สงบ แต่เสียงฝีเท้าที่ตามหลังมาตลอดทางยังคงดังก้องอยู่ในหู

มิ้นนั่งลงบนเตียง พยายามไม่ให้ความหวาดกลัวครอบงำเธอ แต่ความรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ปกติในตึกนี้ยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่ เธอเปิดไฟทุกดวงในห้อง และเปิดเพลงเบาๆ เพื่อทำลายความเงียบงันและความกลัว

หลังจากนั้นเธอไปอาบน้ำเพื่อผ่อนคลายตัวเอง เมื่อเปิดฝักบัว น้ำเย็นฉ่ำพุ่งออกมา กระทบกับผิวที่อุ่นร้อนจากการเรียนมาตลอดทั้งวัน ความเย็นของน้ำทำให้เธอรู้สึกสะท้านเล็กน้อยในตอนแรก แต่ในไม่ช้าความเย็นนั้นก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ทำให้ความเหนื่อยล้าหายไปชั่วขณะ

เธอหลับตาและยืนใต้สายน้ำ ปล่อยให้น้ำเย็นไหลผ่านเส้นผม ลงมาตามแผ่นหลังและแขน ความเย็นของน้ำทำให้เธอรู้สึกสดชื่นและเบาสบาย ทุกหยดน้ำที่ไหลผ่านผิวกายเหมือนกับล้างความกังวลและความกลัวที่เธอแบกรับอยู่

เสียงน้ำที่กระทบพื้นห้องน้ำสร้างบรรยากาศที่สงบ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ รับความเย็นของน้ำที่กระตุ้นให้เธอรู้สึกตื่นตัวและผ่อนคลายในเวลาเดียวกัน ความเย็นนั้นช่วยบรรเทาความตึงเครียดในกล้ามเนื้อ และทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าได้ล้างความเหนื่อยล้าและความวุ่นวายทั้งหมดออกไป

หลังจากที่เธออาบน้ำเสร็จ มิ้นรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายขึ้นมาก เธอห่อผ้าขนหนูรอบตัว เดินออกจากห้องน้ำ แต่งตัวด้วยชุดนอนซาตินขายาวสีม่วงอ่อน ซึ่งเป็นชุดโปรดของเธอ แล้วเดินไปที่โต๊ะทำงานเพื่อทำงานต่อจนถึงเวลาห้าทุ่ม

ความเหนื่อยล้าจากการเรียนทั้งวันและการทำงานจนดึกทำให้มิ้นรู้สึกหิว เธอจึงแกะขนมปังที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อออกมากิน ความเงียบสงัดในห้องทำให้เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แม้จะมีเสียงเพลงเบาๆ ที่เปิดคลออยู่

ขณะที่เธอกำลังเคี้ยวขนมปัง ความรู้สึกวังเวงเริ่มก่อตัวขึ้น เธอหันไปมองนาฬิกาที่วางอยู่ข้างเตียงนอน มันเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว เสียงลมที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ม่านกระพือเบาๆ เงาที่ม่านทิ้งลงบนผนังดูเหมือนจะมีชีวิตชีวาและเคลื่อนไหวตามจังหวะของลม

มิ้นรู้สึกง่วงนอนและเหนื่อยล้า จึงล้มตัวลงบนเตียงและหลับไปในที่สุด แต่ไม่นานนัก เธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น

"ก๊อก ก๊อก ก๊อก" "ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆ"

เสียงเคาะดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เริ่มจากเบาๆ แล้วค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ

หัวใจของมิ้นเต้นระรัว เธอพยายามทำใจให้สงบและตั้งสติ เสียงเคาะยังคงดำเนินต่อไป เธอหันไปมองที่หน้าต่าง และเห็นเงาดำๆ เคลื่อนไหวอยู่ข้างนอก เธอรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น แต่พยายามทำใจให้สงบ

เธอลุกจากเตียงอย่างช้าๆ และเดินไปยังประตู พยายามไม่ทำเสียงดัง มิ้นหยุดอยู่ที่หน้าประตูและมองผ่านตาแมว แต่กลับไม่พบอะไรนอกจากความมืดมิดของทางเดินภายนอก เธอหันกลับมามองที่หน้าต่าง และเห็นเงาดำนั้นเคลื่อนหายไป

"ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดังขึ้นและถี่ขึ้น ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างต้องการเข้ามาในห้องของเธอ มิ้นรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นด้วยความกลัว เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ใจหนึ่งอยากจะเปิดประตูออกไปดู แต่อีกใจก็เตือนว่าอย่าทำเช่นนั้น

ในขณะที่เธอกำลังสับสนและหวาดกลัว เสียงเคาะก็หยุดลงทันที ความเงียบงันกลับมาเยือนห้องอีกครั้ง แต่แล้วเสียงดังแกรกๆ ที่หน้าต่างก็ทำให้เธอสะดุ้งอีกครั้ง

"ครูดคราด ครูดคราด" "เเกรก แกรก แกรก"

เธอเดินไปที่หน้าต่างและดึงม่านเปิดออกอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความว่างเปล่าและความมืดมิดของภายนอก

มิ้นกลับมานั่งที่เตียง หัวใจยังคงเต้นระรัว "ตึกตักๆ ตึกตักๆ" เธอพยายามคิดว่าเสียงที่ได้ยินนั้นอาจเป็นเพียงความฝันหรือจินตนาการของเธอเอง แต่ความรู้สึกหวาดกลัวก็ยังคงตามหลอกหลอนเธออยู่

คืนนี้จะเป็นคืนที่ยาวนานและน่ากลัวอีกคืนหนึ่งสำหรับมิ้น ความมืดและความเงียบงันในห้องดูเหมือนจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้

มิ้นพยายามหลับตาและหันหลังให้กับความกลัว ความเหนื่อยล้าจากการเรียนและทำงานทั้งวัน ช่วยให้เธอสามารถดิ่งลงสู่ห้วงนิทราได้ในที่สุด แม้จะมีเสียงเคาะประตูและเสียงแกรกๆ ที่หน้าต่างหลอนอยู่ในใจ แต่ความอ่อนล้าก็ครอบงำจนเธอหลับไปอย่างรวดเร็ว

ในห้วงความฝัน เธอเห็นภาพความวังเวงของห้องเช่า เสียงเคาะประตูที่ดังซ้ำๆ ราวกับมีอะไรบางอย่างพยายามเข้ามา เงามืดที่เคลื่อนไหวรอบตัว ความรู้สึกหนาวเย็นที่แทรกซึมเข้ามาในใจ ทำให้เธอตื่นตัวทุกขณะ....

ตอนที่ 3 - เธอคือใคร

แสงอาทิตย์อ่อนๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านผ้าที่สั่นไหวเบาๆ ตามแรงลมทำให้ห้องดูมีชีวิตชีวาขึ้นเล็กน้อย เสียงนกร้องเพลงเพราะพริ้งดังแว่วเข้ามาจากด้านนอก เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่

มิ้นตื่นเช้าด้วยความอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ดวงตาอิดโรย เธอยืดเส้นยืดสายพยายามจะปลุกตัวเองให้ตื่นเต็มตา

“วันนี้ต้องดีขึ้นกว่านี้แน่” เธอพูดกับตัวเองเบาๆ พลางเดินไปที่ห้องน้ำ น้ำเย็นจากก๊อกทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย แต่เงาที่สะท้อนในกระจกยังคงบอกถึงความเหนื่อยล้าของเธอ

หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน มิ้นก็เปิดหน้าต่างห้องเช่าเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ แสงแดดที่ส่องลงมากระทบใบหน้าทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นบ้าง เธอมองออกไปเห็นผู้คนที่เริ่มเคลื่อนไหวในหอพัก เพื่อนบ้านกำลังรดน้ำต้นไม้ เด็กๆ วิ่งเล่นกันที่สนามหญ้า บรรยากาศยามเช้าดูสงบสุข

มิ้นเดินออกจากห้องไปที่ร้านกาแฟเล็กๆ ใกล้ๆ หอพัก กลิ่นหอมของกาแฟคั่วสดๆ ลอยมาแตะจมูกทันทีที่เธอเข้าไปในร้าน เสียงเครื่องบดกาแฟดังขึ้นเบาๆ คลอไปกับเสียงเพลงแจ๊สที่เปิดคลอในร้าน

“กาแฟลาเต้หนึ่งแก้วค่ะ” มิ้นสั่งกับบาริสต้าด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ หวังว่ากาแฟอุ่นๆ จะช่วยให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้น

ในขณะที่นั่งรอ มิ้นหยิบสมุดโน้ตขึ้นมาเขียนเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่ในหัว ข้อความบนกระดาษเผยถึงความสับสนและความกลัวที่เธอเผชิญในคืนที่ผ่านมา

“กาแฟลาเต้ได้แล้วค่ะ” บาริสต้าเรียก มิ้นยิ้มรับกาแฟก่อนจะเดินไปนั่งที่มุมสงบของร้าน เธอมองออกไปที่ถนน เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา ชีวิตที่ดูเหมือนจะเป็นปกติและสงบสุข

หลังจากดื่มกาแฟเสร็จแล้ว มิ้นกลับหอพักเพื่อเตรียมตัวไปเรียนในรอบบ่าย เสียงนกร้องเพลงยังคงดังก้องในบรรยากาศยามเช้า เธอเดินผ่านสวนเล็กๆ ที่มีดอกไม้หลากสีสันเบ่งบาน ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย

ขณะที่เดินเข้าตึกหอพัก มิ้นสังเกตเห็นหญิงชราคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าทางเข้า ท่าทางของหญิงชราดูหลงๆ ลืมๆ เธอหันซ้ายหันขวาอย่างไม่แน่ใจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มิ้นรู้สึกสงสารจึงตัดสินใจเข้าไปสอบถาม

"คุณยายคะ มีอะไรให้หนูช่วยไหมคะ?" มิ้นถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

หญิงชราหันมามองเธอด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความสับสน "หนูจ๋า ยายจำไม่ได้ว่ายายมาที่นี่ทำไม ยายหลงทางหรือเปล่าไม่รู้"

มิ้นยิ้มอ่อนๆ และพยายามพูดคุยเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม "ยายชื่ออะไรคะ?หรือคุณยายพอจะจำเบอร์โทรศัพท์ของใครได้ไหมคะ?"

หญิงชราพยายามนึก แต่ดูเหมือนว่าความทรงจำจะไม่ค่อยชัดเจน "ยายชื่อสมศรี แต่เบอร์โทรของลูกชาย ยายจำไม่ได้เลย"

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน มิ้นก็ได้ยินเสียงคนวิ่งเข้ามา เป็นชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบปลายๆ ที่ดูค่อนข้างเหนื่อยและวิตกกังวล เมื่อเขาเห็นหญิงชรา เขาก็รีบตรงเข้ามา

"แม่ครับ! ผมตามหาแม่นานมาก แม่เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?" ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย

หญิงชราหันมามองลูกชายด้วยความโล่งใจ "อ้อ แม่จำได้แล้ว ลูกชายของแม่"

ชายหนุ่มหันมาขอบคุณมิ้นด้วยรอยยิ้ม "ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยดูแลแม่ผม ถ้าคุณไม่ช่วย ผมคงหาท่านไม่เจอ"

"ไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่เห็นคุณยายดูหลงๆ ลืมๆ เลยอยากช่วย" มิ้นตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

ชายหนุ่มพยุงแม่ของเขาและหันกลับมามองมิ้นอีกครั้ง "ผมชื่อธนูครับ แล้วคุณล่ะครับ?"

"ฉันชื่อมิ้นค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ" เธอตอบพร้อมกับยิ้มแย้ม

ธนูพยักหน้าและยิ้มตอบ "ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ คุณพักอยู่ห้องไหนหรือครับ? เผื่อว่าผมจะมาขอบคุณอย่างเป็นทางการอีกที"

มิ้นชี้ไปที่ชั้นบน "ฉันอยู่ห้อง 27 ค่ะ แล้วคุณธนูอยู่ห้องไหนคะ?"

ธนูชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่ามิ้นอยู่ห้องหมายเลข 27 ความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสีหน้าของเขาไม่รอดพ้นสายตาของมิ้น เขาพยายามเก็บความรู้สึก แต่แววตาของเขาบ่งบอกถึงความกังวลและความไม่สบายใจที่ปกปิดไม่มิด

ธนูหันไปมองแม่ของเขาที่ดูเริ่มผ่อนคลายมากขึ้นแล้วจึงหันกลับมาตอบ "เราอยู่ห้อง 14 ครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยหรืออยากได้เพื่อนคุยก็มาหาเราได้นะครับ"

มิ้นรู้สึกดีใจที่ได้เจอคนรู้จักใหม่ "ขอบคุณค่ะคุณธนู ถ้ามีอะไรที่ฉันพอช่วยได้ก็บอกได้นะคะ"

ธนูยิ้มและกล่าวลา "แล้วเจอกันนะครับ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับน้ำใจของคุณ"

มิ้นยิ้มตอบและดูธนูกับแม่ของเขาเดินเข้าไปในตึก ก่อนที่จะเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง หัวใจของเธอรู้สึกอุ่นขึ้นที่ได้ทำสิ่งดีๆ และได้รู้จักเพื่อนใหม่ในวันนี้

หลังจากเหตุการณ์นั้น มิ้นรู้สึกผ่อนคลายและมีกำลังใจมากขึ้น เธอเตรียมตัวไปเรียนในรอบบ่ายด้วยความรู้สึกที่ดี เมื่อกลับถึงห้อง มิ้นเลือกเสื้อผ้าที่สบายๆ และเหมาะสมสำหรับการเรียน พอแต่งตัวเสร็จ เธอก็หยิบกระเป๋าและตรวจสอบเอกสารที่ต้องใช้ในการเรียนวันนี้ให้ครบถ้วน

ก่อนออกจากห้อง มิ้นหันมองสำรวจตัวเองอีกครั้งว่าหลงลืมอะไรหรือไม่ มิ้นล็อกประตูห้องและเดินออกจากหอพัก เพื่อไปขึ้นรถเมย์มุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัย

เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย เสียงนักศึกษาและอาจารย์ที่พูดคุยกันอยู่ในทางเดินทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

ในช่วงบ่าย การเรียนการสอนทำให้มิ้นลืมเรื่องฝันร้ายไปชั่วขณะ อาจารย์พูดถึงทฤษฎีและแนวคิดที่น่าสนใจ ซึ่งดึงดูดความสนใจของเธอและเพื่อนร่วมชั้น การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายและเป็นตัวของตัวเอง

หลังจากเลิกเรียน มิ้นรู้สึกไม่อยากกลับห้องไปเผชิญหน้ากับความกังวลและความกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ เธอตัดสินใจไปเที่ยวกับเพื่อนๆ เพื่อผ่อนคลายและลืมเรื่องราวเหล่านั้นไปสักพัก

"จูน เราไม่อยากกลับห้องตอนนี้น่ะ อยากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ สักหน่อย เธอไปด้วยกันไหม?" มิ้นถามเพื่อนสนิทของเธอ

จูนยิ้มกว้าง "แน่นอนสิ! เราไปหาที่นั่งชิลล์ๆ กินขนมกันเถอะ ฉันรู้จักร้านเค้กที่น่ารักมากๆ อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเลย"

ทั้งสองเดินไปชวนเพื่อนๆ อีกสองคนคือ แอนและเบล ทั้งหมดตกลงไปด้วยกันอย่างสนุกสนาน พวกเธอเดินมาถึงร้านเค้กที่มีบรรยากาศอบอุ่นและน่ารัก กลิ่นหอมหวานของเค้กและขนมต่างๆ ทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลาย

"โอ๊ย เค้กที่นี่น่ากินทุกอย่างเลย!" แอนพูดพร้อมกับตาลุกวาวเมื่อเห็นเมนู

"งั้นเราสั่งมาหลายๆ แบบแล้วแบ่งกันกินดีกว่า จะได้ลองหลายๆ รสชาติ" เบลเสนอ

ทุกคนเห็นด้วยและสั่งเค้กหลายชิ้นมานั่งกินพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นๆ มิ้นรู้สึกสบายใจมากขึ้นเมื่อได้พูดคุยและหัวเราะกับเพื่อนๆ เรื่องราวที่น่ากลัวและความกังวลในใจเริ่มเบาบางลง

ทุกคนพูดคุยเรื่องราวสนุกสนานต่างๆ แบ่งปันเรื่องราวในชีวิตและหัวเราะกันอย่างมีความสุข จนเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเธอตัดสินใจเดินเล่นต่อในสวนสาธารณะใกล้ๆ เพื่อย่อยอาหาร เมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน

มิ้นกลับมาถึงหอพักด้วยความรู้สึกเข้มแข็งและมีพลัง คืนนั้นมิ้นนอนลงบนเตียงด้วยความรู้สึกสงบและมั่นใจว่าเธอจะผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ แม้ว่าในใจลึกๆ ยังมีความกังวลเล็กน้อย

กลางดึกมิ้นรู้สึกตัวเพราะได้ยินเสียงบางอย่าง เมื่อลืมตามองพบว่าไฟถูกเปิดสว่างจ้า และมีผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดนอนเดรสสีขาว กำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกที่ตู้เสื้อผ้า

มิ้นตกใจลุกขึ้นนั่งบนเตียง และกวาดสายตามองไปรอบๆห้อง พบว่าห้องของมิ้นดูแปลกไปจากเดิม ห้องดูใหม่เอี่ยมและสะอาดหมดจด เพดานห้องสีขาวบริสุทธิ์ไม่มีรอยด่างพร้อย ผนังห้องที่ทาด้วยสีอ่อนดูสดใสและอบอุ่น เฟอร์นิเจอร์ในห้องถูกจัดเรียงอย่างลงตัว โต๊ะเขียนหนังสือและชั้นวางหนังสือดูเหมือนใหม่ พื้นไม้ปาร์เกต์สะท้อนแสงไฟจากโคมเพดานสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่าอยู่

หญิงสาวคนนั้นยังคงทำกิจกรรมของเธอต่อไปอย่างไม่สนใจว่ามิ้นอยู่ในห้อง เธอยืนอยู่หน้ากระจก มือหยิบหวีขึ้นมาหวีผมยาวดำทมิฬของเธออย่างช้าๆ และระมัดระวัง แสงจากโคมไฟที่สะท้อนในกระจกทำให้เห็นใบหน้าขาวซีดและดวงตาที่เต็มไปด้วยความเศร้า

มิ้นพยายามทำใจให้สงบ เธอไม่แน่ใจว่าควรจะทำอย่างไรในสถานการณ์นี้ เธอขยับตัวเล็กน้อย เพื่อดูว่าหญิงสาวคนนั้นจะสังเกตเห็นหรือไม่ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงหวีผมและมองตนเองในกระจกเหมือนมิ้นไม่มีตัวตน

หัวใจของมิ้นเต้นรัวในอก ขณะที่เธอมองดูหญิงสาวคนนั้นทำกิจกรรมของเธอ

หญิงสาวหยิบแปรงสีฟันและยาสีฟันจากลิ้นชักเล็กๆ ข้างกระจก เดินเข้าห้องน้ำ และเริ่มแปรงฟัน ท่าทางของเธอดูเป็นธรรมชาติเหมือนกับคนปกติที่กำลังเตรียมตัวเข้านอน

มิ้นรู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอพยายามหายใจเข้าลึกๆ เพื่อควบคุมความกลัวในใจ แต่เสียงหัวใจเต้นดังก้องในหูทำให้เธอยากที่จะสงบสติได้

ทันใดนั้นเอง ผู้หญิงคนนั้นก็หยุดทำกิจกรรม หันหน้ามามองตรงไปที่มิ้น แต่ดวงตาของเธอว่างเปล่า ราวกับเธอมองทะลุผ่านมิ้นไปยังอีกที่หนึ่ง

"ทำไมถึงมาที่นี่..." เสียงแผ่วเบาของผู้หญิงคนนั้นดังขึ้นเบาๆ ในความเงียบของห้อง เสียงที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดทำให้มิ้นรู้สึกหนาวสะท้าน

"ผู้หญิงคนนั้นพูดกับใคร" "ใครกันที่อยู่ในห้องนี้กับเธอ..." ความสงสัยอยากรู้ ทำให้มิ้นค่อยๆหันไปมองข้างเตียงนอน ด้วยหัวใจที่เต้นรัว.....

.

เฮือก!!!   มิ้นสะดุ้งแรงเหมือนถูกกระชากให้ตกจากที่สูง สายตามองเห็นเพดานห้องสีขาว ดวงตาเหลือบมองซ้ายขวาอย่างหวาดระแวง เธอพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง เหงื่อกาฬผุดซึมทั้งดวงหน้า มิ้นยันร่างลุกขึ้นพิงหัวเตียง มือทาบอก หัวใจเต้นกระหน่ำโครมครามเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมานอกอก ลำคอแห้งผาก ขณะสายตากวาดมองโดยรอบเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง

เธอพึมพำกับตนเอง รวบรวมสติและพึงระลึกได้ว่าเมื่อครู่เป็นเพียงความฝันเท่านั้น...

“เมื่อกี้...ฝันใช่ไหม” เสียงเครือแผ่วเบาหลุดจากลำคอ มือยังทาบกับหน้าอก มิ้นกลืนน้ำลายเหนียวฝืดลงคออย่างยากเย็น ยังไม่หายตกใจเท่าไหร่

เธอพยายามทบทวนเหตุการณ์ในฝัน ภาพของหญิงสาวในชุดนอนเดรสสีขาวที่ปรากฏตัวในห้องของเธอยังคงชัดเจนในความทรงจำ

มิ้นรู้สึกถึงความชื้นของเหงื่อที่ส่งผ่านจากผิวหนังสู่เสื้อผ้า

“ฝันนั่น...”

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!