ตอนที่ 1: รอยจำในฤดูฝน
เสียงฝนที่ตกกระทบพื้นคอนกรีตและหลังคากระท่อมไม้ดังสะท้อนเข้ามาในความเงียบสงัด ราวกับเสียงเพลงเก่าที่เคยฟังแล้วหวนกลับมา “พิชญ์” นักดนตรีหนุ่มวัยยี่สิบห้าที่เพิ่งจบการศึกษาจากคณะดนตรีของมหาวิทยาลัยใหญ่ในกรุงเทพฯ เลือกจะหนีจากความวุ่นวาย มาปักหลักใช้ชีวิตที่หมู่บ้านเล็กๆ ในต่างจังหวัดที่อากาศเย็นสบายและมีธรรมชาติล้อมรอบ บ้านเก่าที่เขาเช่าตั้งอยู่ห่างจากถนนใหญ่เล็กน้อย เป็นบ้านไม้ที่อบอุ่นในความเรียบง่าย และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสงบสุข
การใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านนี้ให้ความรู้สึกอ้างว้างแต่ก็ปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน แม้เขาจะหนีมาจากความวุ่นวาย แต่หัวใจของพิชญ์ก็ยังคงเจ็บปวดและหลงเหลือบาดแผลจากอดีตที่ยังไม่เคยเลือนหายไป เขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในร้านกาแฟเล็กๆ ของหมู่บ้าน เพื่อเล่นดนตรีและแต่งเพลง ราวกับจะสื่อสารกับตัวเองและทบทวนถึงสิ่งที่เขาเคยผ่านพ้นมา
บ่ายวันหนึ่งในช่วงฤดูฝน เขานั่งเล่นกีตาร์อยู่มุมหนึ่งของร้านกาแฟ ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง บรรยากาศดูเย็นสบายแต่ก็มีความเหงาแฝงอยู่ ช่วงที่เขากำลังหลงอยู่ในทำนองเพลง เสียงประตูร้านเปิดออก และมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหลบฝน เด็กหนุ่มคนนั้นดูเด็กกว่าพิชญ์เล็กน้อย ท่าทางซื่อๆ สดใส ทันทีที่เขามองเห็นพิชญ์เล่นกีตาร์ สายตาเขาก็ส่องประกายด้วยความสนใจทันที
“พี่เล่นเพลงนี้เก่งจังเลย!” เด็กหนุ่มพูดอย่างไม่ลังเลหลังจากที่พิชญ์เล่นจบ
พิชญ์ยิ้มอ่อนๆ ด้วยความประหลาดใจ “รู้จักเพลงนี้ด้วยเหรอ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้า “ก็พี่เล่นทุกวันนี่ครับ ผมนั่งฟังอยู่ที่นี่บ่อยๆ แต่ไม่เคยมีโอกาสได้ทักทายเลย ผมชื่อ ‘กาย’ นะครับ พี่ชื่ออะไร?”
“พี่ชื่อพิชญ์” พิชญ์ตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้เอง กายล่ะ?”
กายยิ้มกว้าง “ผมอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิดแล้วครับ พ่อกับแม่เปิดร้านกาแฟนี้เอง”
บทสนทนาที่เริ่มต้นด้วยความเรียบง่ายกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกันมากขึ้น พวกเขาคุยกันถึงเรื่องทั่วไป แต่ทว่าในบทสนทนาเหล่านั้น พิชญ์เริ่มรู้สึกถึงความสดใสและไร้เดียงสาของกายที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนลืมความเหงาและบาดแผลในอดีตได้ชั่วคราว
วันเวลาผ่านไป ทั้งคู่เริ่มสนิทกันมากขึ้น กายมักจะมานั่งฟังพิชญ์เล่นเพลงอยู่ที่มุมร้านกาแฟแทบทุกวัน และมีครั้งหนึ่งที่พิชญ์เผลอแต่งเพลงออกมาโดยไม่ตั้งใจ ท่วงทำนองที่ออกมาเป็นเสียงเพลงที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่ไม่กล้าพูดออกมา ตลอดเวลาที่เล่นให้กายฟัง สายตาของกายจ้องมองเขาด้วยความอบอุ่น แม้กายจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ในสายตานั้นเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของเขาทั้งหมด
คืนหนึ่งในช่วงที่ฝนตกหนักที่สุด กายนั่งฟังพิชญ์เล่นเพลงเช่นเคย แต่คราวนี้มีความเงียบเกิดขึ้นหลังจากที่เพลงจบ กายมองพิชญ์ด้วยแววตาสงสัย และพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“พี่พิชญ์… พี่เคยกลัวไหมครับที่จะรักใครสักคน?”
พิชญ์ชะงักเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดว่ากายจะถามคำถามนี้ตรงๆ ออกมาได้ แต่ในที่สุดเขาก็ตอบออกไปตามที่รู้สึกจริงๆ “พี่กลัว เพราะถ้าเราเผลอไปรักใครโดยที่เรายังไม่มั่นใจในตัวเอง บางทีมันอาจจะเจ็บปวดกว่าที่คิด…”
กายยิ้มและพูดอย่างมีความหมาย “แต่ถ้าพี่ไม่กล้ารัก… พี่ก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าความรักนั้นมันมีค่าขนาดไหน จริงไหมครับ?”
คำพูดนั้นก้องอยู่ในใจพิชญ์ เขารู้ดีว่าความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขาต่อเด็กหนุ่มคนนี้ แต่ความกลัวและความไม่แน่ใจยังคงเป็นสิ่งที่ยากจะเอาชนะได้ เขากลับมาถามตัวเองว่า เขาพร้อมจะเสี่ยงเพื่อรักกายหรือยัง…
---
ตอนที่ 2: ระยะห่างในสายฝน
หลังจากคืนนั้นที่กายพูดถึงความกลัวในการรักใครสักคน พิชญ์ก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในใจ ไม่ว่าเขาจะพยายามเพิกเฉยสักแค่ไหน แต่ทุกครั้งที่เขาเจอกาย หัวใจของเขาก็สั่นไหวอยู่เสมอ
ช่วงนี้ฝนตกแทบทุกวัน บรรยากาศชื้นเย็นปกคลุมไปทั่วหมู่บ้าน ราวกับเป็นฉากหนึ่งที่ถูกขีดเขียนไว้ให้เป็นที่บ่มเพาะความรู้สึกของพวกเขา ร้านกาแฟยังคงเป็นสถานที่พบปะของทั้งสองเช่นเดิม กายยังคงมาเล่นที่ร้านทุกครั้งที่มีเวลา บางวันเขาเข้ามาพร้อมรอยยิ้มกว้างท่ามกลางหยาดฝน เปียกไปทั้งตัว แต่กลับสดใสเหมือนสายฝนทำให้เขามีความสุข
พิชญ์คอยมองดูทุกการกระทำของกาย และยิ่งเขาได้ใกล้ชิด เขาก็ยิ่งรับรู้ว่าตัวเองไม่อาจจะหักห้ามความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้อีกต่อไป
เย็นวันหนึ่ง กายเดินเข้ามาพร้อมกล่องขนมที่อบใหม่ กลิ่นหอมของขนมปังทำให้บรรยากาศในร้านดูอบอุ่นขึ้น กายนั่งลงข้างๆ พิชญ์ ก่อนจะยื่นขนมไปให้
“พี่พิชญ์ลองกินดูสิครับ ขนมปังที่ผมกับแม่ช่วยกันทำเมื่อเช้า” กายยิ้ม “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมลงมือทำจริงๆ”
พิชญ์รับขนมปังมาและลองกัดคำเล็กๆ รสชาติหวานนุ่มชวนให้อบอุ่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขายิ้มตอบ “อร่อยมากเลย เก่งนะเนี่ย”
กายหัวเราะอย่างเขินอายก่อนจะนั่งมองพิชญ์เล่นกีตาร์ต่อ เสียงกีตาร์คลอเบาๆ ไปกับเสียงฝนที่ตกกระทบหลังคาร้าน สายตาของทั้งสองสอดประสานกันในบางครั้ง ราวกับต่างคนต่างเข้าใจความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด
จนกระทั่งกายเงยหน้ามองพิชญ์อย่างจริงจัง และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่ชัดเจน
“พี่พิชญ์เคยมีใครที่รักมากๆ จนไม่กล้าจะบอกเขาไหมครับ?”
คำถามนั้นทำให้พิชญ์ชะงัก มือที่กำลังเล่นกีตาร์หยุดนิ่ง เขาหลบสายตาของกายไปทางหน้าต่าง มองเห็นเพียงหยาดฝนที่ไหลลงมาตามกระจก
“เคยนะ…” พิชญ์ตอบเสียงเบา “แต่ตอนนั้นพี่ไม่กล้าบอกเขา พี่กลัวว่าถ้าบอกไป แล้วเขาจะไม่รู้สึกแบบเดียวกัน พี่เลยเลือกที่จะเงียบไว้”
กายพยักหน้าเบาๆ ราวกับเข้าใจความรู้สึกนั้น “ผมเองก็เคยกลัวแบบนั้นเหมือนกัน แต่ผมก็คิดนะว่าบางครั้งเราควรจะกล้าเพื่อใครสักคน ถ้าเรารักเขาจริงๆ”
พิชญ์หันกลับมามองกายที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ แววตาของกายมีความหมายบางอย่างที่เขารู้สึกได้แต่ยังไม่กล้าแน่ใจ ความรู้สึกที่กำลังบ่มเพาะอยู่ในใจของทั้งสองเริ่มจะท่วมท้นขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่บทสนทนากำลังดำเนินไป เสียงโทรศัพท์ของกายดังขึ้น กายรับโทรศัพท์พร้อมสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
“แม่ต้องการให้ผมกลับไปช่วยงานที่บ้านตอนนี้ครับ ผมขอตัวก่อนนะพี่พิชญ์” เขาลุกขึ้นอย่างเร่งรีบ ทิ้งให้พิชญ์นั่งมองตามด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ยากจะอธิบายได้
ก่อนที่กายจะก้าวออกจากร้าน เขาหันมามองพิชญ์เป็นครั้งสุดท้าย รอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้า ทำให้พิชญ์ยิ้มตอบกลับไปเบาๆ แม้ในใจยังคงสับสนกับความรู้สึกที่ทับถมเข้ามา
เมื่อต้องอยู่คนเดียวในบรรยากาศเงียบสงบ พิชญ์กลับรู้สึกว่าความเหง
---
ตอนที่ 3: ความรู้สึกที่เริ่มชัดเจน
คืนวันนั้น พิชญ์กลับไปยังบ้านไม้หลังเก่าของเขา ท่ามกลางเสียงฝนที่ยังคงตกพรำๆ ภายในห้องที่เงียบสงัด ความคิดถึงใบหน้าและรอยยิ้มของกายกลับก้องอยู่ในใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าเขาจะพยายามข่มใจเท่าไร แต่หัวใจก็เต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่นึกถึงกาย เขารู้ตัวแล้วว่าความรู้สึกที่เขามีให้กายไม่ใช่แค่ความชื่นชมแบบเพื่อนธรรมดาอีกต่อไป
เช้าวันต่อมา ฝนหยุดตก และบรรยากาศสดใสขึ้นหลังจากคืนที่ฝนกระหน่ำ ร้านกาแฟยังคงคึกคักไปด้วยลูกค้าที่แวะมาพักผ่อน แต่วันนี้กายไม่ได้มาที่ร้านเหมือนทุกวัน พิชญ์รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย จึงตัดสินใจถามเจ้าของร้าน ซึ่งเป็นพ่อของกาย
“กายไม่ได้มาที่ร้านเหรอครับวันนี้?” พิชญ์ถามด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะฟังดูปกติ
“อ๋อ วันนี้กายต้องไปช่วยงานญาติที่ต่างหมู่บ้านนะ น่าจะกลับเย็นๆ เลยล่ะ” พ่อของกายตอบยิ้มๆ
พิชญ์พยักหน้ารับ แม้จะพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกผิดหวังไว้ แต่ในใจกลับรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง เขานั่งอยู่ที่มุมเดิมของร้าน หยิบกีตาร์ขึ้นมาและเริ่มเล่นเพลงที่เขาแต่งเอง เพลงที่มีทั้งความเหงาและความคิดถึงสะท้อนออกมาผ่านทำนองที่ชวนให้รู้สึกถึงการรอคอย
เย็นวันนั้นเมื่อร้านกาแฟปิด พิชญ์ยังคงอยู่ที่ร้านเพราะอยากรอเจอกาย ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นมาจากประตูร้าน เขาหันไปเห็นกายยืนอยู่ตรงนั้น แม้จะดูเหนื่อยล้า แต่ใบหน้ายังมีรอยยิ้มสดใสเหมือนเคย
“พี่พิชญ์ยังอยู่ที่นี่เหรอครับ?” กายถามอย่างแปลกใจเล็กน้อย
“พี่…อยากเจอกายน่ะ” พิชญ์ตอบเสียงแผ่ว แต่กลับเต็มไปด้วยความจริงใจ
กายยืนมองพิชญ์อย่างอึ้งๆ ก่อนจะยิ้มบางๆ และเดินเข้ามานั่งข้างๆ พิชญ์ “ผมก็คิดถึงพี่นะครับ ตอนที่ทำงานก็อดคิดไม่ได้เลยว่าพี่จะทำอะไรอยู่”
พวกเขานั่งคุยกันอยู่ที่มุมนั้นเป็นเวลานาน จนแสงไฟในร้านเริ่มสลัวลง บรรยากาศเงียบสงบและมีเพียงเสียงจิ้งหรีดที่ดังอยู่รอบตัว ทั้งสองสบตากัน ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาไม่ได้ทำให้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเติมเต็มด้วยความรู้สึกที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
หลังจากที่นั่งด้วยกันสักพัก กายพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เบาแต่มั่นคง “พี่พิชญ์… ถ้าวันหนึ่งผมบอกพี่ว่าผมรู้สึกกับพี่มากกว่าเพื่อน พี่จะรับมันได้ไหมครับ?”
พิชญ์เงียบไปชั่วครู่ เขารับรู้ถึงความรู้สึกที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจ แต่ก็ยังคงกลัวผลที่ตามมา เขามองกายด้วยสายตาที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความห่วงใย ก่อนจะตอบออกไปด้วยความมั่นใจ
“ถ้ากล้าพูด พี่ก็กล้ารับ…เพราะความรู้สึกของพี่เองก็คงไม่ต่างจากกาย”
กายยิ้มและยื่นมือไปจับมือของพิชญ์ ความอบอุ่นที่ส่งผ่านกันในค่ำคืนนั้นทำให้ทั้งสองคนรับรู้ว่า ระยะห่างที่เคยมีระหว่างพวกเขาเริ่มจางหายไป ทั้งคู่รู้แล้วว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเก็บซ่อนความรู้สึกนี้อีกต่อไป
ค่ำคืนนั้นจบลงด้วยเสียงฝนที่เริ่มโปรยปรายอีกครั้ง ทั้งสองเดินกลับบ้านไปด้วยกัน ท่ามกลางสายฝนที่เหมือนเป็นพยานแห่งคำสัญญาที่พวกเขาได้ให้แก่กัน ความรักที่เคยเป็นความลับในใจเริ่มเผยออกมาในที่สุด
---
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!