ตอนที่ 1: สัมผัสแห่งกาลเวลา
ศิวา เด็กหนุ่มวัยยี่สิบห้าปี นักศึกษาปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์ เขาเป็นคนรักการศึกษาวัฒนธรรมและเรื่องราวในอดีตเป็นชีวิตจิตใจ ตั้งแต่ยังเล็ก เขามักใช้เวลาว่างอ่านตำราและบทความเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของไทย โดยเฉพาะช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของการต่อสู้ ความรัก และความซับซ้อนในราชสำนัก
เช้าวันนี้ อากาศในกรุงเทพฯ ร้อนระอุ แต่ภายในห้องเก็บโบราณวัตถุของพิพิธภัณฑ์เมืองเก่ากลับเงียบสงบและเย็นชื้น ศิวาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวพับขึ้นมาถึงข้อศอก กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มและรองเท้าผ้าใบสีเทา เขาก้าวเข้ามาในห้องเก็บโบราณวัตถุพร้อมกับกระเป๋าเป้สะพายหลังที่เต็มไปด้วยเอกสารและหนังสืออ้างอิง
รอบๆ ตัวเต็มไปด้วยสิ่งของเก่าแก่ที่ผ่านกาลเวลา ทั้งเครื่องถ้วยชามโบราณ ภาพเขียนเก่าที่เริ่มซีดจาง และสิ่งที่ดึงดูดสายตาของศิวาที่สุด คือจารึกหินเก่าแก่ที่ถูกวางไว้อย่างระมัดระวังบนแท่นหินอ่อน มีอักษรจารึกด้วยภาษาบาลีที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน และมีรูปลายสลักเป็นรูปดอกบัวที่ดูมีชีวิตชีวา
“หินจารึกนี้เป็นของสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย” เสียงของคุณดวงฤทธิ์ ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ดังขึ้น ทำให้ศิวาหันไปมอง ชายชราผู้มีผมหงอกแซมผมดำและแว่นตาทรงกลมอยู่บนจมูก กล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างใจดี “ว่ากันว่ามันเคยถูกใช้ในพิธีกรรมสำคัญของกษัตริย์ในราชสำนักยุคนั้น”
ศิวาสบตากับคุณดวงฤทธิ์ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “แล้วมันเป็นพิธีอะไรหรือครับ?” เขาถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีใครรู้แน่ชัด” คุณดวงฤทธิ์กล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “แต่เล่ากันว่ามันเกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงระหว่างโลกมนุษย์กับเทพเจ้า”
ศิวารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำบอกเล่านั้น เขายื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสหินจารึกอย่างเงียบๆ นิ้วมือของเขาสัมผัสไปตามลวดลายที่แกะสลักไว้ ความเย็นของหินนั้นแผ่ซ่านผ่านปลายนิ้ว ทันใดนั้นเอง แสงสีทองที่เจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว มันเป็นแสงที่สว่างจนเขาต้องหลับตา แต่ความร้อนที่กระจายออกมาจากหินจารึกนั้นทำให้ศิวาตกใจจนไม่ทันได้ถอยหลัง
เสียงลมหวีดหวิวพัดเข้าหู ราวกับมีพายุที่กำลังหอบเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปรอบตัวเขา ศิวารู้สึกได้ถึงแรงกระแทกที่ดึงเขาเข้าไปในห้วงมืดของการเดินทางที่ไม่คาดคิด หัวใจเขาเต้นรัวจนเกือบจะหลุดออกมานอกอก
เมื่อความสว่างค่อยๆ จางลง ศิวารู้สึกถึงความเย็นที่มากระทบผิวและกลิ่นหอมของดินที่ปนมากับกลิ่นไม้ที่สดชื่น เขาลืมตาขึ้นช้าๆ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เขาตกตะลึง
เขายืนอยู่บนทุ่งหญ้าที่เขียวขจี ต้นไม้สูงชะลูดที่มีใบหนาทึบเรียงรายอยู่รอบๆ ท่ามกลางแสงแดดที่ส่องสว่าง บ้านเรือนที่อยู่ไกลออกไปมีลักษณะแปลกตา สถาปัตยกรรมที่มีหลังคาจั่วสูง และเจดีย์ทองคำที่สะท้อนแสงอาทิตย์จนแทบแสบตา
"ที่นี่... ที่ไหนกัน?" ศิวาพึมพำพลางกวาดตามองรอบตัวด้วยความสับสน เสียงพูดคุยและเสียงม้ากระหึ่มดังขึ้น เขาหันไปมองทางซ้าย เห็นกลุ่มคนในชุดไทยโบราณเดินผ่านไป พวกเขามีเครื่องแต่งกายที่ประณีต ห่มผ้าโจงกระเบนสีสดใส ผมยาวม้วนเป็นปมที่ท้ายทอย
“เจ้าหนุ่ม! ทำไมเจ้าถึงแต่งกายประหลาดเช่นนี้?” เสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยและมีอำนาจดังก้องขึ้นจากด้านหลัง ศิวาสะดุ้งหันไปพบชายหนุ่มในชุดนักรบสีทองแดง มีดาบที่คาดอยู่ด้านข้าง ดวงตาคมปลาบของเขาสบตากับศิวา มันเป็นสายตาที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความเกรงขามและอำนาจที่ล้นเหลือ
---
ตอนที่ 2: ปริศนาที่คลี่คลายไม่ได้
“เจ้าคือใครกันแน่? และเหตุใดจึงแต่งกายประหลาดเช่นนี้?” เสียงเข้มของชายหนุ่มในชุดนักรบดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ศิวาสะดุ้งหลุดจากภวังค์ ชายคนนั้นมีใบหน้าที่ดูคมเข้ม ตัดกับดวงตาที่ฉายแววฉลาดและแน่วแน่ เขาเป็นชายหนุ่มที่มีลักษณะโดดเด่นเกินกว่าที่ศิวาจะคาดคิด
“ข้า...” ศิวาพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวที่ยังสับสน แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรได้มากไปกว่านั้น ชายหนุ่มในชุดนักรบก็ยื่นมือไปจับแขนเขาแน่น พร้อมดึงตัวให้ก้าวตามไปยังที่หนึ่ง
“เจ้าจะต้องไปพบท่านขุนก่อน ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเดินเพ่นพ่านโดยไม่มีคำอธิบาย” เสียงของเขาเฉียบขาดและไม่เปิดโอกาสให้ศิวาปฏิเสธ
ศิวาพยายามดึงแขนกลับ แต่กำลังของชายหนุ่มนั้นมากเกินไป “เดี๋ยวก่อน! ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าจำเป็นต้องไปที่อื่น!” ศิวาพยายามอธิบาย แม้เสียงของเขาจะเริ่มสั่นเครือ
ชายหนุ่มหันมาจ้องหน้าศิวาอย่างแน่วแน่ “เจ้ามาจากที่ใดกันแน่? เหตุใดจึงพูดจาประหลาดและแต่งกายเช่นนี้?” เขาถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย แต่ยังคงแฝงความระแวดระวัง
ศิวาสูดลมหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะตอบด้วยเสียงที่เบาแต่จริงใจ “ข้าไม่รู้ว่าข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ข้าเพียงแค่...สัมผัสหินจารึกในพิพิธภัณฑ์แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่คือที่ไหน”
ดวงตาของชายหนุ่มในชุดนักรบค่อยๆ หรี่ลงอย่างครุ่นคิดก่อนจะผ่อนมือที่จับแขนของศิวา “เจ้าอ้างว่าเจ้ามาจากอนาคตงั้นหรือ?”
คำถามนี้ทำให้ศิวาหยุดนิ่ง สายตาของเขาประสานกับชายหนุ่มตรงหน้าที่ยังคงจ้องเขาด้วยความสงสัยผสมกับความอยากรู้อยากเห็น
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่หากนี่คือกรุงศรีอยุธยาในยุคที่ข้าเคยอ่านและศึกษามาจริงๆ มันก็เป็นไปได้...”
คำตอบของศิวาทำให้ความเงียบครอบคลุมทั้งสองฝ่าย ชายหนุ่มในชุดนักรบหายใจลึกและหันไปมองรอบตัว ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้น “หากเจ้าพูดความจริง ข้าคือเจ้าชายชยาภพ ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านขุนเพื่อความปลอดภัย”
คำพูดนั้นทำให้ศิวารู้สึกถึงความไว้วางใจบางอย่างที่เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างเขากับเจ้าชายหนุ่ม เขาตัดสินใจเดินตามไปเงียบๆ ทั้งที่ในหัวของเขายังเต็มไปด้วยคำถามและความหวาดกลัวในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย
---
ตอนที่ 3: การพบปะที่ไม่คาดฝัน
ศิวาก้าวตามเจ้าชายชยาภพไปตามถนนดินที่ทอดยาว สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนไม้ที่สร้างด้วยความประณีต มีร่มเงาของต้นมะพร้าวและไม้ใหญ่ให้ความร่มเย็น เสียงพูดคุยของชาวบ้านที่เดินไปมาในชุดไทยโบราณทำให้เขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือความจริง ไม่ใช่ความฝันอย่างที่เขาคิดตอนแรก
ระหว่างที่เดินไป ศิวาสังเกตเห็นว่าทุกสายตาที่มองมาทางเขาเต็มไปด้วยความสงสัยและความระแวดระวัง ความแปลกแยกในเครื่องแต่งกายและท่าทางที่ไม่เหมือนใครของเขาดูจะเป็นที่สะดุดตา แต่เจ้าชายชยาภพกลับก้าวเดินอย่างมั่นคง ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจสายตาของผู้คน
“เจ้าชายชยาภพ ท่านพาใครมาด้วยหรือ?” ชายวัยกลางคนในชุดขุนนางสีน้ำตาลเข้มเข้ามาทักทายพร้อมโค้งตัวเคารพเล็กน้อย ศิวาสังเกตเห็นว่าชายคนนี้มีท่าทางที่เข้มงวดและสายตาที่คมกริบ
“ท่านขุนอเนก ข้าพบเด็กหนุ่มคนนี้แต่งกายแปลกประหลาดและพูดจาแปลกๆ ข้าเห็นควรนำตัวมาพบท่านเพื่อสอบถามที่มา” ชยาภพตอบเสียงนิ่ง สายตาเจ้าชายจับจ้องไปที่ศิวาราวกับรอคอยคำตอบอย่างชัดเจน
ศิวาเริ่มรู้สึกกดดัน หัวใจเขาเต้นรัว เขายกมือขึ้นไหว้ท่านขุนอเนกตามมารยาทที่เคยเรียนรู้มาก่อน “ข้า...ชื่อศิวา ข้ามาจากที่ไกลโพ้น” เขาพูดอย่างระมัดระวัง ท่านขุนหรี่ตามองเขาด้วยความสงสัย
“ที่ไกลโพ้นที่เจ้าว่า หมายถึงที่ใดกัน?” ท่านขุนถามด้วยน้ำเสียงที่ยังคงความเข้มงวด
ศิวาชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจบอกความจริง “ข้ามาจากอนาคต ที่ที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก้าวหน้า ที่ที่กรุงศรีอยุธยาเป็นเพียงเรื่องราวในหนังสือประวัติศาสตร์”
คำพูดของศิวาทำให้เกิดเสียงฮือฮาเล็กน้อยจากผู้คนที่ยืนอยู่รอบๆ ท่านขุนอเนกทำหน้าเครียดขึ้นทันที เขาหันไปมองเจ้าชายชยาภพที่ยังคงสงบนิ่งและยืนนิ่งฟังอยู่
“คำพูดของเจ้าเหลือเชื่อยิ่งนัก แต่ข้าไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เจ้าปรากฏตัวตรงหน้าเราในสภาพเช่นนี้ได้” ท่านขุนกล่าวขณะใช้สายตาครุ่นคิด “เจ้าชาย ข้าเห็นควรนำตัวเขาไปที่เรือนรับรองก่อนที่ใครจะสงสัยไปมากกว่านี้”
ชยาภพพยักหน้ารับคำ ท่าทางของเขาดูจะเป็นห่วงศิวาอย่างน่าแปลกใจ เขาหันมากล่าวกับศิวา “เจ้ามากับข้าเถิด ข้าจะคุ้มครองเจ้า จนกว่าเราจะหาคำตอบที่แน่ชัดได้”
แม้ว่าศิวาจะยังสับสนและหวาดกลัว แต่การได้ยินคำพูดนั้นทำให้เขารู้สึกอุ่นใจเล็กน้อย เขาตามชยาภพไปยังเรือนรับรอง ซึ่งเป็นอาคารไม้ที่มีระเบียงกว้าง ตกแต่งด้วยดอกไม้สดที่มีกลิ่นหอม ศิวารู้สึกถึงการผ่อนคลายเป็นครั้งแรกตั้งแต่มาถึงที่นี่
เมื่อเข้ามาถึงด้านใน ศิวาถูกเชิญให้นั่งลงบนเสื่อทอมือที่ปูไว้ ชยาภพนั่งลงตรงข้าม ดวงตาของเจ้าชายสังเกตเขาอย่างลึกซึ้ง ราวกับต้องการหาคำตอบในแววตาของเขา “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงมายังที่นี่ได้?”
ศิวาส่ายหัว “ข้าไม่รู้แน่ชัด ข้าเพียงสัมผัสหินจารึกในพิพิธภัณฑ์แล้วแสงสว่างก็กลืนกินข้าไป ข้ารู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”
ชยาภพถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวลขึ้น “เช่นนั้น ข้าจะช่วยเจ้าหาคำตอบ แต่เจ้าต้องปฏิบัติตามข้าอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง”
เสียงลมพัดผ่านประตูไม้เข้ามาเบาๆ ขณะที่ศิวามองเข้าไปในดวงตาของชยาภพ ความกังวลในใจเริ่มคลี่คลายไปเล็กน้อย เมื่อรู้ว่ามีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือเขาในโลกที่แปลกใหม่นี้
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!