"คุณฟ้าช่วยคีย์ข้อมูลที่จะต้องนำไปประชุมทีครับ เอ่อ..ขอโทษที่มอบหมายงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่โดยตรง แต่ตอนนี้ทุกแผนกวุ่นวายกันไปหมดแล้วจริงๆ " น้ำเสียงร้อนรนของหัวหน้าสิ้นสุดลง พร้อมกับภาระหน้าที่ที่เพิ่มขึ้นมา ฉันยิ้มอ่อนให้ชายหนุ่มผู้เป็นถึงหัวหน้า พลางรับปากว่าจะทำให้เสร็จทันก่อนเที่ยงวันเพราะมีประชุมในรอบบ่าย มันเป็นประชุมใหญ่ที่พนักงานปรายแถวอย่างฉันไม่เคยได้มีส่วนร่วม แต่ก็นะ ตอนนี้ฉันค่อนข้างพอใจกับงานเดิมๆ ที่ทำ ฉันชื่อฟ้าใหม่.. ฉันรู้น่าว่ามันฟังดูเป็นชื่อที่โหลสุดๆ แต่ก็ไม่น่าจะโหลเท่าพลอยหรอกฮ่าๆๆ (ขอโทษคนชื่อพลอยด้วยนะคะ)ตอนนี้ฉันอายุยี่สิบเจ็ด ยังโสดยังซิงและไม่เคยมีแฟนเพราะไปตาบอดหลงรักคนๆ หนึ่งเป็นระยะเวลายาวนานกว่าสิบห้าปี
สิบห้าปีเลยนะเฮ้ย.. แต่ก็ยังดีกว่าสิบหกปีแหละว่ะ.. ฮื่อปลอบใจตัวเอง เพราะอีกฝ่ายจำเป็นต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ เราสองคนที่อยู่ในสถานะเพื่อนสนิ๊ทสนิทเลยห่างหายกันไป ตอนนี้อิตาบ้าที่ขโมยหัวใจฉันไปก็หายไปสองปีกว่าๆ แล้ว น่าแปลกที่ไม่มีการติดต่อกันเลยราวกับอิตานั่นก็รอเวลานี้มานาน ส่วนฉันที่พยายามจะตัดใจใช้สถานการณ์นี้เป็นโอกาส แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ชอบใครใหม่ โดยเฉพาะกับพวกผู้ชายในออฟฟิศนะ ฉันน่ะโคตรจะอี๋เลย บางทีก็แอบคิดว่าพวกผู้ชายเองก็มองว่าฉันอี๋เหมือนกันหรือเปล่า จะว่าไงดีล่ะ.. ฉันไม่ได้สวยแบบบิ้วตี้สแตนดาร์ด หรือมีใบหน้าตามค่านิยมของคนส่วนใหญ่ แต่ฉันก็ชอบหน้าตาของฉันนะ คนอื่นไม่ชอบก็เรื่องของเขา ที่อี๋น่ะฉันหมายถึงนิสัยต่างหาก
คิดได้ดังนั้นฉันก็หยุดมือที่คีย์งานยิกๆ ก่อนจะหยิบกระจกในลิ้นชักโต๊ะขึ้นมาส่อง พอเห็นว่าลิปสติกจางลงไปเยอะก็แต้มใหม่อย่างตั้งใจ แม้จะแอบเห็นสายตาน่าหมั่นไส้ที่เหลือบมองมาทางฉันก็ตาม ผมของฉันเป็นสีดำยาวประมาณไหล่ มันถูกผูกเป็นหางม้าทรงสูง เข้ากันกับชุดพนักงานออฟฟิศสีฟ้าอ่อนที่ใส่อยู่ทุกวัน บางคนสงสัยว่าทำไมฉันไม่เปลี่ยนสีเสื้อบ้าง ฉันตอบไปขำๆ ว่ามีตัวเดียวทั้งบ้าน แต่จริงๆ แล้วแค่อยากประหยัดพลังงานสมองในการเลือกเสื้อผ้าในแต่ละเช้า เพราะงั้นเสื้อสำหรับใส่ทำงานของฉันจึงมีแต่สีฟ้าอ่อนทั้งตู้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือฉันขี้เกียจจะแต่งตัวนั่นแหละ หลังจากทำงานโดยไม่สนเวลา นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ไม่ให้ฉันลืมเวลาเลิกงานก็ดังขึ้น ฉันกดปิดมันและเก็บข้าวของบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้นทันที
ได้เวลาไปทำงานพิเศษแล้ว
ชีวิตฉันไม่ได้มีอะไรหวือหวาเลยสักนิด เพราะตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน สิ่งเดียวที่ช่วยคลายเหงาได้คือการทำงาน ฉันมีสองงานในวันปกติ และหนึ่งงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ เงินที่ได้มาก็เก็บไว้เป็นค่าเช่าบ้านพักคนชรา น่าเศร้าชะมัดที่ฉันไม่รู้อนาคตแท้ๆ แต่มีเซนส์ว่าคงไปไม่ได้ไกลเกินที่นั่น อย่างน้อยๆ ที่นั่นก็น่าจะมีคนที่แก่พอๆ กันคอยโอบอุ้มกันและกันล่ะนะ เอาเป็นว่านอกจากการทำงานชีวิตฉันก็แทบไม่มีอะไรอีก แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นเลยหรอกนะ เพราะแม้ชีวิตวัยเด็กของฉันจะฟังดูน่าหดหู่ขนาดไหน แต่พอโตได้ประมาณหนึ่งอิตาบ้านั่นก็เข้ามาในชีวิต ราวกับโชคชะตานำพาเขามาให้ฉันรู้จักที่จะมีความสุขบ้าง เพราะงั้นเมื่อนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้นรอยยิ้มจึงปรากฎขึ้นมาบนใบหน้าทุกครั้ง ทว่าเมื่อปล่อยให้ความทรงจำเหล่านั้นผ่านไปสักพัก ความหมองหม่นก็มักจะเข้ามาแทนที่เสมอ... นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้วนะ ฉันเศร้าใจนักเมื่อรู้ว่าไม่มีวันย้อมกลับไปในช่วงเวลานั้นได้อีก
"พี่ฟ้าลูกค้าฝั่งนั้นเรียกน่ะค่ะ ถือธงสีฟ้าระบุสาวเมดที่ต้องการชัดเจนขนาดนั้น" ฉันมองตามรุ่นน้องที่อยู่ในชุดเมดน่ารักเหมือนกัน จำที่ฉันบอกได้ไหมว่าฉันหน้าตาไม่ค่อยดีน่ะ แต่น่าแปลกนะที่เมื่อมาสมัครงานพิเศษที่นี่เล่นๆ ผู้จัดการก็รับฉันเข้าทำงานทันที สงสัยจะขาดคนมากๆ ฉันยกยิ้มอ่อนหวานพลางเดินไปหากลุ่มลูกค้าชายที่อยู่ในชุดนักเรียน ม.ปลาย พวกเด็กๆ นั่งหน้าแดงในขณะที่ฉันย้ำอีกครั้ง
"นายท่านต้องพูดว่า 'เนียนเนี๊ยน' เพื่อเรียกกันสิคะ ไหนลองพูดให้ดิฉันได้ยินหน่อย"
"น..เนียนเนี๊ยน?" เด็กหนุ่มหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นอย่างเอียงอาย ทว่าเรียกเสียงหัวเราะจากกลุ่มเพื่อนได้เป็นอย่างดี ฉันกลั้นขำแล้วรับออเดอร์มาด้วยท่าทางสดใสร่าเริง ทั้งบทพูดและการแสดงออกอาจทำให้รู้สึกกระดากปากไปบ้างแต่เพราะมันทำแล้วได้เงินและสนุกดี ฉันจึงไม่เกลียดงานนี้เลยแม้แต่น้อย ระหว่างที่กำลังจะหันหลังกลับออกมา ข้อมือก็ถูกรั้งโดยหนึ่งในนั้น เรียกกันดีๆ ก็ได้ทำงานต้องดึงแขนด้วยเนี่ย
"ข..ขอโทษครับ คือผมอยากรู้ว่าพี่สาวพอจะให้เบอร์โทรหรือไอบี้ได้หรือเปล่า"
ไม่ทันคิด ฉันก็ปฏิเสธไปทันทีพร้อมกับการบริการพิเศษอีกเล็กๆ น้อยๆ เพื่อไม่ได้ลูกค้ารู้สึกขุ่นเคืองใจ ฉันขยับตัวเต้นโดยให้ทั้งกลุ่มร้องเพลงคนอื่นๆ ในร้านให้ความสนใจกันเป็นปกติ แต่ไม่รู้ว่าฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่าเด็กนี่มันไม่จอยเลยสักนิด ดวงตาคู่นั้นคล้ายจะขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ กระทั่งเลิกงานฉันก็ตรงกลับที่พักทันที เพราะต้องการประหยัดเงิน ฉันจึงเลือกที่จะไม่เช่าคอนโดและมาอยู่อพาร์ทเม้นที่ขนาดความกว้างใกล้เคียงกันแต่จ่ายถูกกว่า เดินเข้าไปตรงประตูทางเดิน สิ่งแรกที่เจอก็คือต้นไม้ตกแต่งห้องที่บางครั้งมันก็เริ่มจะเยอะเกินพอดี อีกนิดก็อาจจะเป็นป่าอเมซอนได้แล้ว แต่ก็นะ ฉันชอบที่จะปลูกมันและตกแต่งระเบียงด้วยดอกไม้
ฉันนั่งลงบนโซฟาและกดเปิดแอพพลิเคชั่นไอบี้ที่มีไว้ติดต่อสื่อสารกันในยุคนี้ รายชื่อเพิ่มเพื่อนรายชื่อแรกของฉันก็คือหมดนั่น ติดต่อกันครั้งสุดท้ายเมื่อสองปีก่อนทำให้รายชื่อในช่องทางติดต่อของเขาเป็นรายชื่อที่อยู่ลึกลงไปเป็นรายชื่อสุดท้าย ก็ดี..ฉันจะได้ไม่เห็นหรือรับรู้ว่าเขากำลังใช้งานมันอยู่หรือเปล่า อีกอย่างเราอยู่คนละทวีปโลก ป่านนี้เขาคงจะกำลังใช้ชีวิตที่สนุกสุดเหวี่ยงอยู่ที่ไหนสักทีล่ะมั้ง เอาจริงๆ ฉันเองก็เคยมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในตอนที่มองเงินในบัญชี ว่าอยากจะบินไปเจอหมอนั่นที่นั่นสักครั้ง... ฉันรู้ว่ามันฟังดูน่าสมเพชที่คิดถึงอิตาบ้านั่นอยู่ฝ่ายเดียวหนักขนาดนี้ อาจเพราะฉันอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีเขานานเกินไปแล้ว ฉันเอนตัวลงบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง เพราะงี้ไงฉันถึงไม่อยากหยุดทำงาน เพราะเมื่อฉันหยุด ฉันจะรู้ว่าจริงๆ แล้วหัวใจข้างในของฉันมันเปล่าเปลี่ยวขนาดไหน
ฉันควรจะเลี้ยงแมวหรือไม่ก็หมาอย่างที่ถูกแนะนำมา..
ขณะที่เรียวนิ้วเลื่อนหน้าจอในแอพไอบี้ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เลื่อนลงไปเรื่อยๆ กระทั้งรู้สึกตัวอีกทีก็กดเข้าไปในช่องแชทนั้นแล้ว ฉันเด้งตัวลุกขึ้นทันทีขณะที่ใบหน้ายังจ้องลงไปยังบทสนทนาของเราสองคน หยาดน้ำตาไหลลงแอบแก้มอย่างน่าสมเพช
ทว่า..
วินาทีถัดมา..
น้ำตาก็หยดไปลงหน้าจอบนปุ่มกดโทรออก
ไม่นานเกินรอ ฉันก็ได้ยินเสียงของคนที่ได้แต่ฝันหามาตลอดสองปี
(...ฮัลโหล)
เสียงทุ้มนุ่มของเขาทำให้หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง เรียวนิ้วมือสั่งให้ฉันกดวางสายเขาทิ้งแต่ยามนี้กลับทำได้เพียงสะอื้นไห้ออกมา
(ยัยฟ้าเกิดอะไรขึ้น?)
น้ำเสียงที่ฟังดูร้อนรนอยู่เล็กน้อยไม่ทำให้ฉันอยากจะเอ่ยตอบ ฉับพลันเสียงออดหน้าห้องที่ดังติดๆ กันก็เรียกความสนใจให้ฉันหันไปมอง ก่อนจะเดินไปเปิดประตูโดยที่คนปลายสายยังแสดงความกังวลใจออกมาผ่านทางน้ำเสียง นัยน์ตาพลันกระตุกวูบเมื่อสัมผัสปลายแหลมและเย็นยะเยือกปักลงมาตรงกลางหน้าอก
"ขอช่องทางติดต่อแค่นี้ไม่ได้ก็ตายไปซะ! ใช่แล้ว ตายซะ! ตาย!"
บัดซบชะมัดเลย อุตส่าห์จะได้คุยกับหมอนั้นทั้งทีแต่เสือกเป็นตอนที่มีมีดปักอยู่กลางอกซะได้ ถ้าจำไม่ผิด ไอ้เด็กโรคจิตที่ทำร้ายฉันคือเด็กคนเดียวกันกับที่นั่งอยู่ในกลุ่มเด็กม.ปลาย ให้มันได้อย่างนี้สิ ฉันล้มตัวลงแม้มือจะยังกำมือถือไว้แน่น ยามนี้หูมันอื้อไปหมดขณะที่ความรู้สึกหนาวชาแทรกไปทั่วทั้งกาย แผนที่วางไว้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านพักคนชราจบลงแล้ว ดีนะที่ไม่เลี้ยงตัวอะไรไว้ ไม่งั้นฉันคงรู้สึกผิดแย่ที่ทิ้งมันไว้ ถ้ารู้ว่าจะตายแบบนี้.. อย่างน้อยๆ ฉันก็น่าจะสารภาพรักไปให้รู้แล้วรู้รอด มานอนจมกองเลือดและเสียดายอยู่อย่างนี้มันน่าเจ็บใจชะมัด พี่ๆ กับพ่อเองจะรู้ข่าวเรื่องฉันไหมนะ.. คงไม่รู้หรอก ขนาดตอนที่ยังใช้นานสกุลเดียวกันคนพวกนั้นยังไม่ใส่ใจฉันเลย จะว่าไป.. ทำไมหมอนั้นถึงได้ทิ้งฉันไปในวันที่ฉันไม่เหลือใครด้วยนะ
ความมืดค่อยๆ สะท้อนเข้ามาในแววตา
ฉัน.. ฟ้าใหม่
ตายอย่างน่าอนาถในวัยเพียง 27 ปี
ฉันลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตัวเองได้โอกาสจากพระเจ้า.. ความสับสนมึนงงกับสถานการณ์ไม่เกิดขึ้นในใจราวกับถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ฉันอ้าปากหาวจนน้ำตาเล็ดขณะที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า เหม่อมองป้ายหลุมศพของผู้หญิงที่ได้ให้กำเนิดฉันมา ฉันกับแม่ไม่สนิทกันเท่าไหร่เหมือนที่พวกพี่ๆ ของฉันก็ไม่สนิท การที่ฉันเพิ่งโดนแทงตายและลืมตาขึ้นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่ควรเป็นเรื่องน่าตื่นตระหนก ทว่าฉันในวัยสามขวบกลับกำลังนั่งอยู่ข้างๆ ร่างสูงใหญ่น่าเกรงขามของคนเป็นพ่อ
พ่อยืนมองป้ายหลุมศพด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ถึงจะไม่ได้มีความรักให้กันก็มีลูกด้วยกันถึงสี่คน แน่นอนว่าฉันเป็นลูกหลงคนที่ 4 ซึ่งมีอายุห่างกับพี่ๆ ถึง 10 ปี ซึ่งหลายคนเชื่อว่าแม่คบชู้ถึงได้มีฉัน และเพราะนิสัยและใบหน้าที่ไม่ได้คล้ายคลึงกับคนในครอบครัวทำให้ความคิดนั้นดูน่าเชื่อเข้าไปกันใหญ่ ถึงแม้ว่าพ่อจะไม่ตรวจดีเอ็นเอเพราะให้เกียรติภรรยา แต่ก็ไม่สามารถทำให้คนอื่นๆ รวมถึงตัวเขาเองเชื่อว่าฉันเป็นลูกของเขา เพราะขนาดตัวฉันเองก็ยังไม่คิดแบบนั้นเลย
แต่ยังไงก็เถอะนะ.. สักวันฉันก็จะไปจากตละกูลนี้อยู่แล้ว ฉันไม่เข้าใจเลยว่าการย้อนกลับมาในวัยนี้จะมีประโยชน์อะไร นอกจากนั่งกินนอนกิน ฉันก็ทำอะไรมากไม่ค่อยได้เพราะอยู่ในร่างเด็กสามขวบ รู้งี้ฉันน่าจะโน้ตเลขลอตเตอร์รี่รางวัลที่หนึ่งไว้ในหัว จำให้ขึ้นใจทุกงวดแล้วเป็นคนรวยได้โดยไม่ต้องทำงาน ลองนึกๆ ดูแล้วชีวิตครั้งก่อนฉันก็ได้แต่เก็บตัวเงียบๆ พยายามไม่ทำตัวเด่นสะดุดตาหรือเป็นที่เดือดร้อนให้ใคร ก็สงบสุขดีถึงจะตัวคนเดียวก็เถอะนะ.. ไม่เข้าใจเลยว่าพระเจ้าจะส่งฉันมาในช่วงเวลานี้ทำไม แต่จะบ่นมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะหาว่าเนรคุณ เอาเป็นว่าขอบคุณที่ท่านทำให้ฉันได้กลับมาใช้ชีวิตอีกครั้งดีกว่า
ระหว่างที่นั่งอยู่ในความสงบ จู่ๆ ก็มีแมวดำตัวอ้วนเดินต้วมเตี๊ยมผ่านหน้าครอบครัวเราไป ถึงตอนนั้นฉันก็ลุกขึ้นเดินพร้อมกับเมินนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ทั้งสี่คู่ที่จ้องมองมา เพราะพวกคนใช้ไม่อยู่ก็เลยไม่รู้จะใช้ใครอุ้มฉันสินะ เหอะๆ ทำอย่างกับว่ายัยฟ้าใหม่คนนี้อยากโดนอุ้มตายละ ฉันเดินตามแมวไปด้วยขาสั้นๆ โชคดีที่จู่ๆ มันก็หยุดเดินฉันจึงอุ้มมันทัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะตัวมันอ้วนเกินไปหรืออะไร ฉันจึงยกได้เพียงท่อนบนลำตัวขณะที่ขาหลังทั้งสองข้างของมันแตะอยู่บนพื่น ฉันมีแรงไม่มากพอจะอุ้มแมวด้วยซ้ำ บัดซบจริงๆ
"บอกให้น้องปล่อยมันไป แมวจรสกปรก"
น้ำเสียงทุ้มต่ำเป็นเอกลักษ์เอ่ยสั่ง ฉันช้อนสายตาขึ้นมองใบหน้าที่ยังดูไม่แก่ของคนเป็นพ่อนิ่งๆ แม้จะมีลูกมาถึงสี่คนแต่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่ได้ดูแก่ลงเลย ท่าทางเหมือนพวกนักธุรกิจผู้สุขุม อยากรู้จังว่าสีหน้ายามที่อีกฝ่ายตกใจเป็นอย่างไร คิดได้ดังนั้นฉันก็ก้มหน้ายกยิ้มเจ้าเล่ห์ ขอโทษนะเจ้าดำ ทันใดนั้นฉันก็อ้าปากงับหัวแมวที่เขาหาว่ามันสกปรกนักสกปรกหนา ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของพี่ทั้งสาม ก็ทำไมฉันจะงับหัวแมวไม่ได้ละ ฉันเป็นเด็กอายุสามขวบเองนะจำได้ไหม ฉันช้อนสายตาขึ้นมองดูสีหน้าของคนเป็นพ่ออย่างสนใจ ทว่าก็ต้องผิดหวังที่เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้ทำเพียงขมวคเรียวคิ้วเล็กน้อย และคนที่เข้ามาห้ามฉันไว้ก็คือพี่ชายคนที่สาม ปั้นหนึ่งในวัยสิบสามปีดึงแมวออกจากฉัน พลางเอาเสื้อตัวนอกของตัวเองเช็ดปากที่ติดขนแมวของฉัน
"ฟ้าอยากหม่ำๆ แล้วเหรอ แต่แมวมันกินไม่ได้นะรู้ไหม"
ปั้นหนึ่งว่าอย่างขบขัน ก่อนที่พี่สาวคนที่สองและพี่ชายคนโตสุดจะมองฉันด้วยสีหน้าขยะแขยง ฉันไม่ได้จะกินแมวสักหน่อย
"กลับกันเถอะ"
คำนี้ทำให้พวกพี่ๆ มีสีหน้าดีขึ้น ราวกับว่าอยากจะออกไปจากสุสานตั้งนานแล้วแต่ไม่กล้าพูด ฉันเดินไปหาเจ้าแมวตัวที่ตัวงับหัวอีกครั้ง ตั้งใจจะเอามันกลับไปด้วย ทว่ามีคนปากไม่นิ่งเอ่ยฟ้องขึ้นทันที
"คุณพ่อคะยัยฟ้าเอาแมวมาอีกแล้วค่ะ"
ณรินทร์หรือก็คือพี่สาวของฉันที่ตอนนี้อายุสิบเจ็ดปี เธอเป็นประเภทที่หากไม่พอใจก็จะเอ่ยพูดขึ้นมาทันที เพื่อนส่วนมากที่คบหาด้วยก็มีแต่พวกไม่จริงใจ ต้องการเพียงผลประโยชน์จากเธอทั้งนั้น ก่อนที่ภายหลังจะไม่ได้โง่แถมยังประสบความสำเร็จในงานด้านแฟชั่นที่ตัวเองชื่นชอบและหลงไหล จากอายุที่ห่างกันมากเกินไป ทำให้แม้จะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้สนิทขึ้นมาเลยสักนิด เสื้อผ้าที่ใส่วันนี้แม้จะต้องเป็นสีดำล้วน แต่อีกฝ่ายก็สามารถทำให้มันดูโดดเด่นและสวยงามราวกับพร้อมที่จะถ่ายแบบ
"หม่ำๆ "
ฉันพูดออกมาเป็นคำแรก
"จาหม่ำๆ "
"พ่อครับเหมือนน้องจะหิวนะครับ ไม่ใช่ว่าพี่เลี้ยงให้อาหารเธอไปแล้วก่อนออกมาเหรอ" เอ๊ะ.. พอพูดถึงอาหาร ฉันก็เพิ่งสังเกตว่าทำไมตัวเองถึงได้รู้สึกหิวขนาดนี้ พี่ธันในปีนี้อายุย่างเข้ายี่สิบ ยิ่งโตมากขึ้นเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาเหมือนพ่อ ฉันแกล้งพูดว่าหม่ำๆ แต่คราวนี้เริ่มอยากจะหม่ำๆ จริงๆ ขึ้นมาแล้ว และไม่รู้ว่าเป็นเด็กหรือเปล่าฉันถึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกได้ จึงร้องไห้ออกมาด้วยความหิว ฉับพลันตัวฉันก็ลอยขึ้นจากพื้น คนที่อุ้มฉันก็ไม่ใช่ใครแต่เป็นร่างสูงใหญ่ของคนเป็นพ่อ เขามองฉันด้วยสายตาประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่เอ่ยพูดอะไรออกมา ทันทีที่เขาหันหลัง ฉันก็โวยวายพร้อมกับชี้ไปที่แมว
ปั้นหนึ่งที่เห็นดังนั้นหลุดหัวเราะเสียงดังขึ้นทันที
"พี่บอกแล้วไงว่าแมวมันกินไม่ได้น่ะ!"
"ถึงนายพูดแบบนั้นแล้วยัยฟ้าจะเข้าใจหรือไง!"
"ทุกคนที่นี่มันสุสานนะช่วยอยู่ในความสงบด้วย!" แต่ตัวเองก็ตะโกนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง ฉันหยุดร้องไห้และกระพริบตาปริบๆ ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าคล้ายจะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพวกพี่ๆ พูดคุยกันมากขนาดนี้ ปกติแล้วทั้งสามพี่น้องสงบปากสงบคำกันจะตาย ฉับพลันเสียงถอนลมหายใจก็ดังขึ้น ฉันเบิกตากว้างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน
"เอาแมวตัวนั้นกลับไปด้วย"
ตลอดทางพี่รินบ่นจนหูแทบเปื่อยว่าแมวจรน่ะสกปรกและสามารถเป็นอันตรายกับเราได้มากขนาดไหน แต่แทนที่เธอจะให้คนใช้อุ้มมัน เธอกลับอุ้มและให้มันนั่งบนตักของเธอไปตลอดทางจนถึงบ้าน บ้านหรือก็คือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ฉันอาศัยมาครึ่งค่อนชีวิต ทันทีที่ลงจากรถฉันก็ถูกส่งให้พี่เลี้ยงทันที
"เธอหิวแล้ว"
แหม.. ไม่ต้องบอกให้หรอก เพราะยังไงฉันก็พูดคำว่าหม่ำๆ เองได้อยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าดำของฉันล่ะ อาจเป็นเพราะฉันแทบจะหมุนคอมองหาแมวแบบ 360 องค์ศาล่ะมั้ง คนเป็นพ่อถึงได้ตอบกลับมาแบบนี้
"เราต้องเอามันไปทำความสะอาดและตรวจหาโรคก่อน"
เพราะขี้เกียจจะพูดคำอื่นที่พูดไปก็คงจะไม่ชัด ฉันจึงยกยิ้มให้เห็นฟันซี่เล็กๆ แทน ในที่สุดฉันก็จะได้เลี้ยงแมวแล้ว คนเป็นพ่อมองหน้าของฉันค้างอยู่สักพัก ก่อนจะเบือนไปทางอื่นแล้วเดินจากไป จริงสินะ วันนี้เป็นวันครบรอบการจากไปของแม่.. บางทีเขาอาจจะรู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา เมื่อมาถึงห้องส่วนตัว พี่เลี้ยงก็อุ้มฉันมาวางไว้บนเตียง ความหิวทำให้ท้องร้องจ๊อกๆ ฉันเฝ้ารอเวลาที่พี่เลี้ยงที่นั่งอ่านนิตยสารแฟชั่นตรงมุมห้องจะลุกไปหาของกินมาให้ ทว่าก็ไม่มีวี่แววว่าเธอคนนั้นจะลุกขึ้น ฉันในวัยสามขวบเมื่อชีวิตก่อนจำไม่ได้หรอกว่าถูกใครเลี้ยงดูมายังไง กว่าจะจำความได้ก็เป็นตอนที่อายุเริ่มย่างเข้าเจ็ดขวบ จริงสินะ.. นี่ฉันลืมเรื่องที่เหล่าคนใช้ปฏิบัติกับฉันไม่ค่อยดีได้ยังไง
เอาล่ะ.. มาลองทำอะไรดูสักตั้งดีกว่า
ฉันเดินไปหาสาวใช้ซึ่งรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงของฉัน ตอนอยู่ต่อหน้าพ่อของฉัน เธอก็ดูเป็นพี่เลี้ยงใจดี ตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่แน่ใจกับนิสัยของเธอ เพราะงั้นต้องลองทดสอบดูก่อน มือเล็กๆ ของฉันเอื้อมไปกระตุกดึงชายกระโปรงของเธอเบาๆ อีกฝ่ายปรายตาลงมามองเล็กน้อยก่อนจะกลับไปอ่านนิตยสารในมือต่อ
"จาหม่ำๆ "
"...."
โอเค ยัยนี่ไม่ผ่านบททดสอบของฉัน นี่อย่าบอกนะว่าฉันโดนปฏิบัติแบบนี้มาตั้งแต่สามขวบแล้วน่ะ ก็ว่าทำไมถึงได้ตัวเล็กกว่าเด็กในรุ่นเดียวกันนัก ฉับพลันความรู้สึกน้อยใจก็แทรกเข้ามาและเกือบจะแปรเปลี่ยนเป็นน้ำตา อย่าร้องไห้นะฟ้าใหม่ อย่าลืมสิว่าตอนนี้เธอคือผู้หญิงที่ใช้ชีวิตมาจนอายุยี่สิบเจ็ด เพราะงั้นเธอไม่ใช่เด็กสามขวบธรรมดา
ฉันรอจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน เป็นไปตามคาดว่าตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง อาการแสบร้อนกลางอกคล้ายจะเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร นี่เธอคนนี้ละเลยเด็กสามขวบมากขนาดไหนกันเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีคนเลวๆ แบบนี้อยู่ด้วย ยัยพี่เลี้ยงออกไปแล้ว และไม่ได้ล็อคประตูห้องด้วย ฉันรอเวลาอีกสักเล็กน้อยก่อนจะเอาหนังสือนิทานเล่มหนามาต่อกันเป็นขั้นบันไดแล้วเปิดประตู เมื่อเปิดสำเร็จฉันก็วิ่งสุดฝีตีนเพื่อไปห้องที่อยู่ฝั่งตะวันตก เวลานี้คนเป็นพ่อคงจะกำลังทำงานอยู่ในห้องทำงาน ฉันเดินขึ้นลงบันไดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหนื่อยล้าและร้อนๆ หนาวๆ เหมือนไข้จะขึ้น แต่เพราะเดินไปอีกนิดก็จะถึงห้องทำงานของเขาแล้ว ฉันจึงกัดฟันทน
มือเล็กๆ เคาะประตูสองสามครั้ง
ได้ยินคนข้างในบอกให้เข้ามา ฉันก็อยากทำนะแต่แบบว่า.. มือฉันเอื้อมไม่ถึงลูกบิดประตู ฉันจึงลงมือเคาะอีกครั้ง อยากเคาะเป็นจังหวะสามช่าประชดชีวิตจริงเลย ไม่นานเกินรอประตูก็เปิดออก ฉันเงยหน้าขึ้นสบสายตาที่อ่านไม่ออก ดวงตาพร่ามัวไปหมดราวกับถูกพิษไข้ครอบงำ
"หม่ำ.. หม่ำ"
ฉับพลัน โลกเบื้องหน้าก็ดับวูบไปเลย
กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงพยาบาลแตะจมูกเป็นอย่างแรก ฉันพยายามปรือตาขึ้นตื่น แม้จะรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งตัว น้ำตาไหลออกมาขณะที่ฉันเริ่มสะอึกสะอื้นอย่างเด็กไม่สบายอีกครั้ง วินาทีถัดมาก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออุ่นของใครบางคนที่ลูบใบหน้าและศีรษะให้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่ฉันจะเข้าสู่ภวังค์และหลับไหลไปอีกครั้ง
เมื่อตื่นขึ้นมาด้วยอาการที่ดีขึ้น ก็พบว่าตัวเองอยู่คนเดียวในห้องพิเศษของโรงพยาบาล บนแขนมีรอยเจาะน้ำเกลือด้วย ดูเหมือนว่าการอดข้าวและขึ้นลงบันไดจะทำให้ฉันถึงกับป่วย เฮ้อ..สมกับเป็นร่างกายของเด็กสามขวบจริงๆ เลย จะว่าไปบรรยากาศตอนนี้ก็เหมือนในตอนนั้นแฮะ ช่วงที่ฉันป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลตลอดสามวันเมื่อตอนอายุสิบเก้า และนอกจากหมอนั่นแล้วก็ไม่มีใครโผล่มาเยี่ยมฉันเลยสักคนเดียว..
เป็นความทรงจำที่แย่จริงๆ ต่อให้จะนึกน้อยใจทุกครั้งที่ต้องนอนป่วยอยู่คนเดียว แต่เอาเข้าจริงฉันก็เริ่มจะชินขึ้นมานิดหน่อย อยากเข้าห้องน้ำจัง ฉันค่อยๆ ขยับร่างกายที่รู้สึกเบาสบายลงจากเตียงที่รู้สึกสูงมากๆ รอให้โตกว่านี้อะไรๆ ก็จะดีขึ้นเองแหละ ตอนนี้ฉันคงต้องทำใจไปก่อน พอลงมาได้สำเร็จฉันก็พลักประตูห้องน้ำที่ไม่ได้ล็อกอยู่ออก ทำธุระเสร็จก็รู้สึกหิวขึ้นมาจึงลากเก้าอี้มาเปิดประตูและออกจากห้องไป อยากรู้จังว่าโรงอาหารของโรงพยาบาลนี้จะมีข้าวไข่เจียวกุ้งสับขายหรือเปล่า รองเท้าที่สวมอยู่เป็นรองเท้า Slipper หรือก็คือรองเท้าสำหรับใส่ในบ้าน มันใหญ่กว่าเท้าเล็กๆ ของฉันหลายเท่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ดีกว่าเดินเท้าเปล่าล่ะนะ ข้อดีของการเป็นเด็กคือการทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรู้สึกกระดากอายยังไงล่ะ
ฉันใช้เวลาอยู่สักพักก็รู้ทางไปโรงอาหาร คนที่อยู่ในลิฟท์ยินดีจะกดปุ่มลิฟท์ให้กับฉัน ฉันเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม โรงพยาบาลนี้คนน้อยมากๆ ระหว่างทางที่เดินผ่านตรงนั้นตรงนี้ ฉันก็แทบไม่เจอใครเลย ก็นะ..ที่นี้ไม่ใช่โรงพยาบาลที่ฉันเข้าอยู่ตลอดตอนเปลี่ยนนามสกุลแล้ว พอถึงโรงอาหารฉันก็ต้องผิดหวังเพราะมันยังไม่เปิด ฉันตัดสินใจไปเดินเล่นที่สวนแทน น้ำค้างบนใบหญ้าและอากาศที่เย็นกว่าปกติทำให้รู้ว่าเวลานี้ยังเช้าอยู่ หลังจากเดินเล่นพร้อมกับคิดเรื่องเรื่อยเปื่อย ฉันก็กลับมาที่ห้องเดิม ปีนขึ้นไปนอนเองบนเตียงแล้วก็หลับตานอนอีกครั้งเพื่อรอพยาบาลเอาอาหารเช้ามาให้ จะว่าไปตั้งแต่ย้อนกลับมา ฉันได้กินอะไรบ้างหรือยังนะ ฉับพลันก็ต้องสะดุ้งเมื่อจู่ๆ ประตูก็เปิดโพล่งออก คนมาใหม่คือปั้นหนึ่งที่หอบหายใจและมีเหงื่อชื่นเต็มใบหน้าราวกับวิ่งตรงมาที่นี่ด้วยความเร็วสูง นัยน์ตาสีน้ำตาลไหม้สบตากับฉันราวกับประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปหาใครบางคนข้างนอกนั่น
"ผมเจอเธอแล้วครับ"
"?" ฉันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน หมายความว่ายังไงเจอฉันแล้ว ฉันก็ไม่ได้หายไปไหนนานสักหน่อย ไม่นานนักคนเป็นพ่อก็เดินเข้ามาพร้อมกับความน่าเกรงขามที่ทำเอาบรรยากาศอึมครึม ถ้าไม่ติดว่าฉันไม่ใช่เด็กละก็ มีหวังได้ร้องไห้ลั่นห้องแน่
"หนู.."
ทั้งห้องเงียบกริบยิ่งกว่าเก่าราวกับต้องการจะฟังคำพูดแต่ละคำของฉัน
"หนู.. หนูหิว"
เยี่ยม! ออกเสียงได้ดี! โดยปกติแล้วเด็กวัยนี้ก็ต้องพูดได้หลายคำแล้วแหละ แต่เพราะฉันพัฒนาการช้ากว่าพี่ๆ หรือยังไงเนี่ยแหละ เหมือนเคยได้ยินใครนินทาว่าแววๆ อีกอย่างจะให้พูดออกมาเป็นประโยคเหมือนกับแร๊ปก็กลัวจะดูมีพิรุจ อย่างไรก็ตามตอนนี้ยัยฟ้าใหม่คนนี้หิวจนท้องจะขาดแล้วเว้ยยย คนเป็นพ่อยังคงขมวดคิ้วติดกันเป็นโบว์ราวกับเครียด ก่อนจะใช้ให้คนใช้ผู้ชายที่เดินเข้ามาไปเอาอาหารมา
ฉันได้ยินดังนั้นจึงยกยิ้มกว้างโชว์ฟันน้ำนมเรียงสวย
ปั้นหนึ่งเหลือบมองไปทางพ่อเล็กน้อยราวกับอยากรู้ว่าจะทำสีหน้ายังไง ก็ทำหน้านิ่งขรึมเหมือนเดิมน่ะสิ
"ไม่ค่อยได้กินข้าวทำไมไม่บอกฉัน"
'ฉัน' คำที่แทนตัวเองว่าฉัน แทนที่จะเป็นคำว่าพ่อนั้นทำให้รอยยิ้มร่าเริงของฉันเลือนหายไปจากหน้า เหมือนกับพวกพี่ๆ พ่อจะแทนตัวเองว่า 'พ่อ' นะ แล้วทำไมกับฉันถึงได้กลายเป็นคำๆ นี้ไปได้ล่ะ ความทรงจำที่ผ่านมาเราแทบจะไม่ค่อยได้พูดคุยกันก็จริง แต่ฉันเรียกเขาว่าพ่อ.. และเขาคนนี้ก็แทนตัวเองว่าพ่อเหมือนกัน
"เอ่อ.. ผมคิดว่าน้องจะฟังไม่เข้าใจหรอกครับ"
"ต้องเข้าใจสิ เด็กสามขวบต่อให้จะพัฒนาการช้าแค่ไหนก็ต้องเข้าใจ ฉันถามว่าไม่ได้กินข้าวแล้วทำไมไม่บอกฉัน" น้ำเสียงที่ใช้เค้นถามเด็กสามขวบนั้นไม่อ่อนโยนเอาเสียเลย ขณะที่ปั้นหนึ่งทำสีหน้าไม่ถูก ฉันก็ได้แต่จ้องมองคนใจร้ายไม่วางตา ก่อนจะเอ่ยตอบให้ไม่ถูกมองว่าเป็นเด็กพัฒนาการช้า
"ป้อจ๋า.. ไม่เคยถามอะไยหนูเย้ย"
ไม่ว่าจะเป็นตอนอายุเท่าไหร่ ก็ไม่เคยมีคำถามเป็นห่วงเป็นใยหลุดมาจากปากของคนๆ นี้ นั่นอาจเพราะ.. อีกฝ่ายรู้และแน่ใจว่าเธอเป็นลูกชู้ก็ได้ คำถามนั้นทำให้เกิดความเงียบขึ้นในอากาศ ฉันหลุบตาลงมองมือตัวเอง และภาวนาให้เขาเดินออกไปแล้วให้อาหารมาเสิร์ฟเร็วๆ สักที
กระทั่งอาหารมาเสิร์ฟอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาของฉันก็แทบจะเปร่งประกายออกมาเป็นกลิตเตอร์ พลางรีบตักข้าวผัดไข่เข้าปากประหนึ่งคนเพิ่งออกจากป่าหลังจากติดอยู่ในนั้นสามวัน เพราะหิวมากก็เลยไม่สนใจสายตาที่มองมา แม่เจ้าโว้ยยยนี่มันเป็นข้าวผัดไข่ที่อร่อยที่สุดในชีวิตตั้งแต่ได้กินมา แต่จะสุดยอดกว่านี้อีกนะถ้าเพิ่มไส้กรอกแดงเข้าไปอีก ปั้นหนึ่งยื่นน้ำเปล่าในแก้วเล็กมาให้อย่างใจดี จะว่าไปในชีวิตที่แล้วถึงจะไม่ได้คุยกันมากมาย แต่ปั้นหนึ่งก็เป็นพี่ที่นิสัยอ่อนโยนที่สุดในบ้าน ทั้งยังร่าเริงที่สุดในบรรดาพี่น้อง
จะว่าไปทำไมพ่อยังไม่ออกไปอีกล่ะเนี่ย ฉับพลัน หมอก็เข้ามาตรวจดูอาการ
"สวัสดีครับคุณนิธิศ มาดูอาการลูกสาวสินะครับ" คนเป็นหมอยกมือไหว้พ่อของฉัน มองแวบเดียวก็รู้ว่าอยากเอาใจ ก่อนเขาจะบอกให้หมอรีบๆ บอกอาการของฉันมา
"นอกจากอาการไข้อ่อนๆ กับภาวะขาดสารอาหารที่แจ้งไปก่อนหน้านั้น ก็ไม่มีอะไรแล้วครับ ตอนนี้เหลือแค่กินอาหารให้ครบห้าหมู่และนอนหลับพักผ่อนให้มากๆ เพียงเท่านี้คุณหนูก็ดีขึ้นแล้วครับ ส่วนวันนี้ก็สามารถกลับบ้านได้แล้วครับ"
ฉันไม่ได้ยินเสียงที่หมอพูดอีกตั้งแต่ได้ยินคำว่าภาวะขาดสารอาหาร นี่ตัวฉันถูกละเลยจนถึงขั้นนี้เลยงั้นเหรอ.. ขณะที่นิ่งอึ้งคนใช้ผู้หญิงอายุน่าจะวัยกลางคนก็อุ้มฉันเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ เธอเช็ดเม็ดข้าวที่ติดแก้มอยู่ออกให้ หัวใจของฉันเจ็บแปลบด้วยความรู้สึกสงสารตัวเอง ที่ผ่านมาฉันโตมาได้ยังไงกันล่ะเนี่ย ระหว่างเดินไปที่รถฉันไม่ยอมให้ใครอุ้ม เพราะต้องการให้ได้อยู่ที่นี่ต่ออีกสักหน่อย หากกลับไปครั้งนี้ไม่รู้จะโดนพวกคนใช้กลั่นแกล้งอะไรอีกบ้าง แต่ยังกลัวอะไรวะคะ ฉันมีปากนะเว้ย ถึงไอ้มนุษย์พ่อของฉันจะห่วยแตกแค่ไหน แต่ใครกล้าเข้ามาแหยมอีกแม่จะฟ้องให้หมดเลยคอยดู!
"ฟ้าใหม่วิ่งแบบนั้นเดี๋ยวก็หกล้มหรอก"
พูดได้ทันขาดคำ ฉันก็สะดุดขาตัวเองแทบจะทันที ทว่าคนที่เข้ามารับเอาไว้ได้ทันก็คือคนที่อยู่ห่างจากฉันมากที่สุด(แต่มาทันได้ไง) และเพราะนัยน์ตาคมสีน้ำตาลไหม้ที่จ้องเขม็ง(น่ากลัวชิบหายเลยจ้า) ฉันจึงยอมให้เขาอุ้มแต่โดยดี ขณะที่ปั้นหนึ่งพี่ชายอายุสิบสามของฉัน คลายสีหน้ากังวล ดูจะตกใจยิ่งกว่าฉันที่เป็นคนจะหกล้มซะอีก กระทั่งถึงบ้าน ฉันก็ได้เป็นอิสระจากตักแข็งๆ นั่นสักที จริงๆ ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอกแต่เพราะในรถไม่มีคาร์ซีท ฉันเลยใช้พ่อเป็นคาร์ซีทแทน
ตอนนี้ฉันกำลังมองหาพี่เลี้ยงของฉันที่ปกติต้องออกมารับตอนลงจากรถ ก่อนเสียงทุ้มต่ำอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณนิธิศ หรือก็คือพ่อของฉันจะเอ่ยขึ้น
"ตอนนี้พี่เลี้ยงคนนั้นไม่อยู่ที่นี่แล้ว"
อ๋อ.. ไล่ออกไปแล้วสินะก็สมควร เดี๋ยวมาดูกันว่ามีใครให้ต้องไล่ออกอีกบ้าง จะว่าไปเจ้าดำของฉันล่ะ พ่อบอกว่าเอามันไปอาบน้ำแล้วก็หาหมอนี่ใช่ไหม แต่ไม่ทันได้ถามหาร่างบางของคนเป็นพี่สาว ก็เดินลงจากรถอีกคันที่มาจอดหยุดอยู่ตรงทางเข้า ดูเป็นพี่รินจะเพิ่งกลับจากเรียนพิเศษ เสื้อผ้าหน้าผมก็ยังอลังการเหมือนเดิม
"เอ้า.. ยัยฟ้ากลับมาจากโรงพยาบาลแล้วเหรอคะ"
ไม่ใช่มั้ง ฉันก็ยืนหัวโด่อยู่นี่ยังจะถามอีก ฉันกวักมือเรียกสาวใช้ที่ดูเด็กสุดให้มาหา เธอคนนั้นทำสีหน้าเหรอหรากับการเป็นผู้ถูกเลือก
"อุ้มหนูหน่อย.."
"ค่ะคุณหนู"
เธอก้มลงอุ้มฉันขึ้นท่ามกลางคนใช้คนอื่นๆ และสามพ่อลูก
"ไปอ้องนอน" โอ๊ยอีลิ้นเชี้ยนี้ ตัดทิ้งซะเลยดีไหม สาวใช้คนนี้ทำตามคำสั่งของฉันอย่างง่ายดาย ฉันแอบเหลือบพ่อที่ยังยืนอยู่ที่เดิมเล็กน้อย ขณะที่รินกับปั้นหนึ่งเดินเข้ามาในบ้านแล้ว ทำสีหน้าเหมือนอึ้งที่ฉันใช้คนอื่นเป็น ชีวิตก่อนฉันโง่มามากพอแล้ว ชีวิตนี้ฉันจะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากทำบนกองเงินกองทองนี้ จนกว่าจะถูกถีบออกมาจากตระกูลเอง!!
ฉันนี่แหละจะผลาญเงินพ่อให้หมดเลย!
แต่ก่อนหน้านั้น..
โตให้ได้ก่อนดีกว่า
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!