NovelToon NovelToon

ทะเลรักหวานล้ำ

บทที่ 1: การพบกันครั้งแรก

ค่ำคืนค่อยๆ ปกคลุมเมืองใหญ่ แสงไฟที่ส่องสว่างทั่วทั้งเมืองเปรียบดังดวงดาวที่ระยิบระยับในท้องฟ้า หลินรั่วอี๋ยืนอยู่หน้าประตูโรงแรมสูงตระหง่าน ก้มลงจัดชุดเดรสสีดำของตนให้เรียบร้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับเชิญให้มาบรรเลงเปียโนในงานเช่นนี้ ความรู้สึกทั้งประหม่าและตื่นเต้นวิ่งวนอยู่ในหัวใจของเธอ

“สู้ๆ นะ รั่วอี๋” เธอกระซิบกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะสูดหายใจลึก แล้วเงยหน้าขึ้นเดินเข้าไปในห้องโถง

ภายในห้องโถงสวยงามโอ่อ่าตระการตา แขกที่แต่งตัวหรูหราเดินสวนกันไปมา เสียงพูดคุยและเสียงกระทบแก้วเครื่องดื่มก้องกังวาน หลินรั่วอี๋กวาดตามองไปรอบๆ สายตาของเธอหยุดอยู่ที่เปียโนแกรนด์สีขาวตัวหนึ่งที่วางอยู่กลางห้องโถง

เธอเดินไปที่เปียโน ตั้งใจจะนั่งลง แต่จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำดังมาจากข้างหลังเธอว่า “คุณคือคนที่จะเล่นดนตรีคืนนี้ใช่ไหม?”

หลินรั่วอี๋หันหลังกลับ พบชายในชุดสูทสีดำยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ ใบหน้าของเขาเย็นชาเหมือนน้ำแข็ง หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนจะพยักหน้าด้วยความสุภาพ “ใช่ค่ะ ฉันชื่อหลินรั่วอี๋”

ชายคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาของเขามองเธออย่างประเมิน ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป หลินรั่วอี๋ถอนหายใจโล่งอก แต่ในใจยังอดสงสัยไม่ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ทำไมสายตาของเขาถึงเย็นชาแต่กลับยากที่จะละเลยได้เช่นนั้น?

เธอไม่รู้เลยว่าชายผู้เย็นชาคนนั้นคือ ชูหลิงเซวียน เจ้าภาพของงานคืนนี้ และยังเป็นคนที่โชคชะตาจะพาให้เขากลายเป็นคนสำคัญของเธอในอนาคต

ปลายนิ้วของเธอสัมผัสลงบนคีย์ของเปียโน เสียงดนตรีเริ่มบรรเลง ห้องโถงเงียบลงเรื่อยๆ หลินรั่วอี๋ปิดตาลง ดื่มด่ำไปกับเสียงดนตรี ความกังวลและความประหม่าในใจของเธอคลายลง แปรเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะ เธอถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดผ่านดนตรี เสียงเพลงไหลรินอย่างงดงามและลึกซึ้ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเล่นไปได้ครึ่งทาง หลินรั่วอี๋กลับรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองเธออย่างแรงกล้า เธอเงยหน้าขึ้น และพบว่าชายผู้เย็นชาคนนั้นยืนอยู่ที่มุมห้องโถง สายตาของเขาจับจ้องมาที่เธออย่างไม่วางตา

นิ้วของเธอสั่นเล็กน้อย เกือบกดผิดคีย์ แต่เธอรีบตั้งสติและเล่นต่อไป แต่สายตาคู่นั้นกลับติดตรึงอยู่ในจิตใจของเธอเหมือนรอยประทับที่ยากจะลบเลือน

หลังจากการบรรเลงจบลง หลินรั่วอี๋ลุกขึ้น เตรียมจะเดินออกจากห้องโถงอย่างเงียบๆ เธอชินกับการทำตัวให้เงียบสงบ โดยเฉพาะในงานเลี้ยงสังคมชั้นสูงเช่นนี้ แต่ก่อนที่เธอจะถึงประตู ทางเดินของเธอกลับถูกขวางไว้โดยพนักงานบริการคนหนึ่ง

“คุณหลินครับ ท่านประธานชูขอเชิญคุณไปพบที่ระเบียงครับ”

“ท่านประธานชู?” หลินรั่วอี๋นิ่งงัน ภาพของชายผู้เย็นชาคนนั้นผุดขึ้นมาในหัวของเธอ เขาคือเจ้าภาพของงานคืนนี้งั้นหรือ? ทำไมเขาถึงต้องการพบเธอ?

“ใช่ครับ ท่านประธานกำลังรอคุณอยู่” พนักงานตอบอย่างสุภาพ

ความรู้สึกกังวลผ่านเข้ามาในใจของหลินรั่วอี๋ เธอรู้ดีว่าการปฏิเสธไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ไม่ว่าจะเพื่อโอกาสนี้หรืออาชีพในอนาคตของเธอ การทำให้บุคคลที่มีอำนาจไม่พอใจย่อมไม่เป็นผลดี

เธอพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน และเดินตามพนักงานไปยังระเบียง ลมเย็นพัดโชยเบาๆ ในยามค่ำคืน เธอเห็นชูหลิงเซวียนยืนอยู่ที่ริมระเบียง มือของเขาถือแก้วไวน์แดง ดูเหมือนเขากำลังชื่นชมวิวทิวทัศน์ของเมืองยามค่ำคืน

“ท่านประธานชู ท่านเรียกหาฉันใช่ไหมคะ?” หลินรั่วอี๋เอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง

ชูหลิงเซวียนหันกลับมามอง ดวงตาลึกซึ้งของเขาไม่มีแววอารมณ์ใดๆ เขามองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “คุณมีพรสวรรค์มาก”

คำชมที่มากะทันหันทำให้หลินรั่วอี๋ไม่รู้จะตอบอย่างไร เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างสุภาพ “ขอบคุณที่ท่านประธานชมค่ะ ฉันแค่ทำเต็มที่”

“คุณเรียนเปียโนแบบมืออาชีพหรือเปล่า?” ชูหลิงเซวียนถามต่อ น้ำเสียงของเขายังคงเรียบเฉย

“ตอนเด็กฉันเคยเรียนค่ะ แต่ครอบครัวมีปัญหาเรื่องเงิน ฉันเลยต้องฝึกเองหลังจากนั้น” เสียงของหลินรั่วอี๋แผ่วลง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของชูหลิงเซวียนฉายแววความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะจับได้ เขาเงียบไปชั่วครู่ คล้ายกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง จากนั้นเขาวางแก้วไวน์ลงบนราวระเบียง ก่อนจะมองเธอด้วยสายตาลึกล้ำ

“พรุ่งนี้เช้า มาที่บริษัทของผม ผมมีข้อเสนอที่คุณน่าจะสนใจ”

หลินรั่วอี๋ยืนนิ่งด้วยความประหลาดใจ เธอไม่เข้าใจว่าคำพูดของเขามีความหมายเช่นใด

“บริษัทของท่าน?” เธอถามด้วยความสงสัย

“บริษัทชู กรุ๊ป” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับกำลังพูดถึงเรื่องธรรมดาๆ เรื่องหนึ่ง

หัวใจของหลินรั่วอี๋เต้นแรงทันที บริษัทชู กรุ๊ปคือยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจ ซึ่งมีอำนาจมหาศาล และเขาคือผู้บริหารสูงสุดของบริษัท?

“ฉัน…ไม่ค่อยเข้าใจที่ท่านพูดค่ะ” เธอถามด้วยความไม่สบายใจ

ชูหลิงเซวียนมองเธออย่างพินิจพิเคราะห์ รอยยิ้มบางๆ ที่อ่านไม่ออกปรากฏบนใบหน้าของเขา “เดี๋ยวคุณก็จะเข้าใจเอง”

ไม่ทันที่เธอจะถามอะไรต่อ ชูหลิงเซวียนก็หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้หลินรั่วอี๋ยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางสายลมหนาวยามค่ำคืนอย่างสับสน

บทที่ 2: พรหมลิขิตที่ต่อเนื่อง

เช้าวันรุ่งขึ้น หลินรั่วอี๋ตื่นขึ้นมาจากการนอนที่ไม่สงบ ตลอดทั้งคืนหัวใจของเธอหมุนเวียนไปกับคำพูดของชูหลิงเซวียน “พรุ่งนี้เช้า มาที่บริษัทของผม ผมมีข้อเสนอที่คุณน่าจะสนใจ” คำพูดนี้วนเวียนในหัวของเธอ ทำให้เธอนอนไม่หลับ

เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าชีวิตของเธอจะเกี่ยวพันกับประธานบริษัทใหญ่โตอย่างชูกรุ๊ป และยิ่งไม่คาดคิดว่าเขาจะมีข้อเสนอให้กับเธอ เธอเต็มไปด้วยความสงสัยและความกังวล แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตที่เธอไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้

เมื่อคิดเช่นนั้น หลินรั่วอี๋จึงตัดสินใจที่จะไปที่บริษัทของเขา เธอตื่นเช้ากว่าปกติ เลือกชุดที่สุภาพเรียบร้อยที่สุดเพื่อให้ตัวเองดูดี ทว่าในใจก็ยังคงตื่นเต้นและกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

เช้านั้นอากาศเย็นสบาย แสงอาทิตย์ส่องอ่อน ๆ ผ่านต้นไม้ที่ริมถนน หลินรั่วอี๋ยืนอยู่หน้าอาคารสูงระฟ้าของชูกรุ๊ป บริษัทใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเธอเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของอำนาจและความสำเร็จ ดวงตาของเธอจับจ้องไปยังกระจกที่สะท้อนแสงอาทิตย์ เธอสูดหายใจลึกและเตรียมพร้อมก้าวสู่สถานที่ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน

เธอเดินเข้าไปในห้องโถงต้อนรับของบริษัท ซึ่งกว้างใหญ่และสวยงามจนเธอรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบหรูและมีระดับจนทำให้เธอยิ่งรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา

“สวัสดีค่ะ ฉันมาพบกับท่านประธานชู เมื่อคืนท่านนัดฉันไว้ค่ะ” หลินรั่วอี๋กล่าวกับพนักงานต้อนรับอย่างสุภาพ

พนักงานต้อนรับยิ้มอย่างเป็นมิตร เมื่อได้ยินชื่อของท่านประธาน พนักงานก็ยิ่งแสดงท่าทีที่นอบน้อม “คุณหลินใช่ไหมคะ ท่านประธานชูกำลังรอคุณอยู่ค่ะ ฉันจะพาคุณไปที่ห้องทำงานของท่าน”

หัวใจของหลินรั่วอี๋เต้นระรัว เธอรู้สึกตื่นเต้นจนมือเย็น พนักงานพาเธอขึ้นไปยังชั้นบนสุดของอาคาร โดยใช้ลิฟต์ส่วนตัวของผู้บริหาร ขณะที่ลิฟต์ขึ้นไป ความตึงเครียดในใจของเธอก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ที่นั่น ชั้นบนสุด คือที่ที่ชูหลิงเซวียนรอคอยเธออยู่

เสียง "ติ๊ง" ของลิฟต์ดังขึ้นเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก หลินรั่วอี๋เดินตามพนักงานไปยังประตูบานใหญ่ของห้องทำงานพิเศษของท่านประธาน พนักงานเคาะประตูเบา ๆ และผลักบานประตูให้เปิดออก

ภายในห้องทำงานใหญ่โตของชูหลิงเซวียน อากาศเย็นสดชื่นและเต็มไปด้วยแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่ ห้องทำงานถูกตกแต่งอย่างมีรสนิยม ข้างหนึ่งเต็มไปด้วยชั้นหนังสือและเอกสารมากมาย ส่วนอีกฝั่งเป็นโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่ดูเรียบง่ายแต่ทรงอำนาจ

ที่โต๊ะทำงาน ชูหลิงเซวียนนั่งอยู่ เขาเงยหน้ามองมาที่เธอ ดวงตานิ่งลึกอย่างเยือกเย็น เขายังคงมีลักษณะนิ่งขรึมแบบเมื่อคืน สวมสูทสีดำอย่างเรียบร้อย ร่างกายของเขาตรงแน่ว ราวกับว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่เขาด้วยความเคารพและเกรงขาม

"นั่งลงสิ" เขากล่าวสั้นๆ พลางชี้ไปที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน

หลินรั่วอี๋รู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่าง เธอค่อยๆ เดินไปนั่งที่เก้าอี้อย่างเรียบร้อย รู้สึกเหมือนว่าทุกการกระทำของเธอกำลังถูกจับตามอง เธอนั่งนิ่ง รอให้เขาพูดก่อน เพราะเธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคำพูดอย่างไร

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ชูหลิงเซวียนก็พูดขึ้น “คุณคงสงสัยว่าทำไมผมถึงเชิญคุณมาที่นี่”

หลินรั่วอี๋พยักหน้าเล็กน้อย เธอยังคงหลบตาไม่กล้าสบกับดวงตาที่เย็นชาแต่ทรงพลังของเขา ความสงสัยยังคงเต็มหัวใจ

“เมื่อคืนคุณเล่นดนตรีได้ดีมาก” ชูหลิงเซวียนกล่าวต่อ เสียงของเขาเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ “ผมมีโปรเจกต์หนึ่งที่ต้องการคนที่มีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีมาร่วมงาน และผมคิดว่าคุณเหมาะสม”

"โปรเจกต์?" หลินรั่วอี๋พูดเบาๆ ด้วยความสงสัย "โปรเจกต์อะไรคะ?"

ชูหลิงเซวียนยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววตาของเขามีความลึกลับ “เป็นโปรเจกต์แลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมด้านดนตรีระดับนานาชาติ ผมต้องการคนที่มีมุมมองและทักษะเฉพาะตัวมาช่วย ผมเห็นว่าคุณมีศักยภาพ”

คำพูดนั้นทำให้หลินรั่วอี๋อึ้งไปชั่วขณะ เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะมีโอกาสเข้าร่วมโครงการที่ใหญ่โตขนาดนี้ และยิ่งไม่นึกฝันว่าจะมีคนอย่างเขามองเห็นศักยภาพของเธอ

“ทำไมต้องเป็นฉัน?” เธอถามอย่างไม่มั่นใจ “ฉันรักดนตรีจริงค่ะ แต่ฉันไม่เคยมีผลงานที่โดดเด่นอะไรเลย”

ดวงตาของชูหลิงเซวียนเปล่งประกายเล็กน้อย ราวกับกำลังจับตามองเธออย่างละเอียด “บางครั้งคนที่ยังไม่ถูกค้นพบมีพื้นที่ในการพัฒนาและสร้างสรรค์มากกว่าคนที่เป็นที่รู้จักอยู่แล้ว ผมไม่ได้สนใจแค่ฝีมือของคุณเท่านั้น แต่ผมสนใจในความเข้าใจของคุณต่อดนตรี”

หลินรั่วอี๋นิ่งคิด โอกาสนี้มาเร็วเกินไป จนเธอแทบไม่ได้เตรียมตัว แต่ในใจเธอก็รู้ดีว่านี่อาจเป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล

“ฉันยินดีลองดูค่ะ” ในที่สุดเธอก็ตอบเสียงเบา

ชูหลิงเซวียนพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพอใจ “ดีมาก พรุ่งนี้คุณมาที่บริษัทอีกครั้งเพื่อเซ็นสัญญา หลังจากนั้น เราจะเริ่มเตรียมงาน”

หลินรั่วอี๋พยักหน้ารับ แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัยมากมายที่ไม่ได้รับคำตอบ เธอรวบรวมความกล้าถามคำถามหนึ่งที่วนเวียนในหัว “ท่านประธานชูคะ ทำไมท่านถึงเลือกที่จะดูแลโปรเจกต์นี้ด้วยตัวเอง?”

ดวงตาของชูหลิงเซวียนไหวเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะเข้าใจ เขาเงียบไปสักครู่ก่อนจะตอบด้วยเสียงต่ำ “เพราะโปรเจกต์นี้มีความหมายพิเศษสำหรับผม”

แม้คำตอบนี้จะทำให้เธอรู้สึกถึงความลึกลับบางอย่าง แต่หลินรั่วอี๋ก็ไม่ได้ถามต่อ เธอรู้ดีว่าชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะเปิดเผยความรู้สึกได้ง่ายๆ

หลังจากออกจากชูกรุ๊ป หลินรั่วอี๋ยืนอยู่หน้าอาคารที่สูงเสียดฟ้า มองขึ้นไปยังยอดตึกที่แตะขอบฟ้า ใจเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ความตื่นเต้นผสมผสานกับความกลัวและความสงสัย ทั้งหมดนี้แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเธออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

โอกาสนี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน แต่เธอรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่ไม่ชัดเจนในการที่ชูหลิงเซวียนเลือกเธอ ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการดนตรี

"ทำไมถึงต้องเป็นฉัน?" เธอพึมพำกับตัวเอง เดินไปตามถนนที่พลุกพล่านของเมือง เสียงของรถและผู้คนรายล้อม แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในความเงียบที่ล้อมรอบตัวเอง เธอไม่อาจปล่อยความคิดนั้นให้หลุดไปได้ง่ายๆ การที่ชูหลิงเซวียนพูดถึงโครงการที่มีความหมายพิเศษสำหรับเขา ทำให้เธอรู้สึกว่ามีเรื่องราวบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง

ไม่ใช่แค่โอกาสในงานที่มาถึงอย่างกะทันหัน แต่ความลึกลับในตัวชายคนนี้ต่างหากที่คอยกวนใจเธอ ชูหลิงเซวียนผู้ชายที่มีอำนาจและดูเย็นชาจนยากที่จะเข้าใจ ความเงียบสงบที่เขาแสดงออกนั้นดูเหมือนจะซ่อนความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่สามารถตีความได้ ความเฉยชาของเขาราวกับเป็นหน้ากากที่ใช้ปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเขาไว้

หลินรั่วอี๋ถอนหายใจ เธอตัดสินใจที่จะเดินเล่นสักครู่เพื่อลดความกังวลใจ ขณะที่เธอเดินผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ เธอก็หยุดลงข้างม้านั่ง สายลมเย็นๆ พัดผ่านมากระทบใบหน้า ร่างกายของเธอค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“ฉันจะทำได้ไหมนะ…” เธอพึมพำ พลางนึกถึงโปรเจกต์ที่ชูหลิงเซวียนพูดถึง การเข้าร่วมโครงการระดับนานาชาติไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย และเธอก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมหรือไม่ที่จะก้าวเข้าสู่โลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย

เธอวางมือลงบนกระเป๋าของเธออย่างเบา ๆ ราวกับสัมผัสกับโน้ตเพลงที่เธอเตรียมไว้เมื่อคืน ความรักที่เธอมีต่อดนตรีนั้นลึกซึ้ง แต่การที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้ อาจจะเป็นการทดสอบจิตใจของเธอมากกว่าแค่ทักษะทางดนตรี

ในขณะที่หลินรั่วอี๋คิดลึกลงไปในความกังวล เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าของเธอดังขึ้น เธอรีบดึงมันออกมาดู หน้าจอสว่างขึ้นพร้อมกับชื่อที่ทำให้เธอต้องหยุดหายใจครู่หนึ่ง ชูหลิงเซวียน

นิ้วของเธอสั่นเล็กน้อยขณะที่เธอกดรับสาย

“หลินรั่วอี๋,” เสียงทุ้มต่ำของชูหลิงเซวียนดังมาจากอีกฝั่งหนึ่ง “พรุ่งนี้ตอนเช้า เตรียมตัวให้พร้อม ผมจะส่งคนไปรับคุณเพื่อพาคุณไปดูสถานที่ที่จะใช้สำหรับโปรเจกต์ คุณพร้อมหรือยัง?”

เสียงของเขายังคงนิ่งและเยือกเย็น แต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด ซึ่งทำให้เธอรู้สึกถึงแรงกดดันทันที เธอหายใจเข้าลึกก่อนตอบ “ฉัน...ฉันพร้อมแล้วค่ะ”

“ดี” เขาตอบกลับสั้นๆ ก่อนวางสายอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เธอยืนอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

หัวใจของหลินรั่วอี๋ยังคงเต้นแรงหลังจากการสนทนาสั้นๆ เธอยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมชูหลิงเซวียนถึงดูเร่งรีบและมุ่งมั่นกับโปรเจกต์นี้ขนาดนั้น แต่เธอก็รู้สึกได้ว่ามันมีความสำคัญสำหรับเขามากกว่าที่เขาแสดงออกมา

คืนนั้น หลินรั่วอี๋กลับมาถึงบ้านแล้วนั่งลงที่เปียโนของเธอ เธอวางมือบนแป้นคีย์เบา ๆ ปล่อยให้เสียงดนตรีเบาๆ ผ่อนคลายความตึงเครียดในใจ เสียงดนตรีนั้นเป็นเหมือนการพูดคุยที่ไร้คำพูด ทำให้เธอได้กลับมาสู่ความสงบที่เธอคุ้นเคย

แต่ในขณะเดียวกัน ใจเธอยังคงเต็มไปด้วยคำถามมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง ความลึกลับของชูหลิงเซวียน ความกดดันที่เริ่มก่อตัว และเส้นทางใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะนำเธอไปสู่จุดไหน

คืนนี้เธอนอนไม่หลับอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความกลัวหรือกังวล หากแต่เป็นเพราะความตื่นเต้นที่ก่อตัวขึ้นในใจ

บทที่ 3: ความท้าทายใหม่

เช้าวันรุ่งขึ้น หลินรั่วอี๋ตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน แม้ว่าเธอจะพยายามทำให้ตัวเองรู้สึกตื่นเต้น แต่ความกดดันจากโอกาสใหม่ที่กำลังจะมาถึงกลับทำให้เธอรู้สึกตึงเครียดขึ้น

เธอเตรียมตัวให้พร้อม โดยเลือกใส่ชุดเรียบง่าย แต่ก็ดูดีและสุภาพ เธอรู้ดีว่าวันนี้เธอจะต้องพบกับความท้าทายที่สำคัญ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธอได้ตลอดไป

เมื่อถึงเวลานัดหมาย รถยนต์หรูของชูกรุ๊ปมาจอดที่หน้าบ้านของเธอ พนักงานขับรถเปิดประตูให้เธอเข้าไปในรถอย่างสุภาพ และเธอก็รู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องมาที่เธอเมื่อเธอเข้าสู่รถ ทั้งๆ ที่เธอเคยคิดว่าเธอจะไม่รู้สึกอึดอัดในสถานการณ์เช่นนี้ แต่วันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

ในระหว่างการเดินทาง หลินรั่วอี๋พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกผ่อนคลาย แต่ในใจกลับเต้นแรงยิ่งขึ้นเมื่อรถเข้าใกล้ชูกรุ๊ป เธอนึกถึงโครงการที่ชูหลิงเซวียนได้พูดถึง เมื่อคิดถึงมัน น้ำตาแห่งความตื่นเต้นก็แทบจะเปล่งออกมา

เมื่อถึงบริษัท เธอได้รับการต้อนรับจากพนักงานเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ในวันนี้ความรู้สึกของเธอแตกต่างออกไป ราวกับว่าทุกสายตาจับจ้องมาที่เธออย่างละเอียด

“คุณหลิน ประธานรอคุณอยู่ที่ห้องประชุมค่ะ” พนักงานพูดอย่างสุภาพ และพาเธอไปยังห้องประชุมที่กว้างขวาง

ภายในห้องประชุม หลินรั่วอี๋เห็นชูหลิงเซวียนนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ท่าทางของเขายังคงเยือกเย็น แต่ดวงตาของเขากลับฉายแสงที่แตกต่างออกไป ราวกับว่าเขากำลังรอคอยการมาถึงของเธอ

“มานั่งตรงนี้” เขาพูด พร้อมกับชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามเขา

หลินรั่วอี๋นั่งลงข้างๆ เขา ในใจเธอยังรู้สึกประหม่า แต่เธอก็พยายามที่จะตั้งสติ

“วันนี้เราจะพูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของโปรเจกต์” ชูหลิงเซวียนกล่าวเสียงเรียบ “เราได้กำหนดวันและสถานที่สำหรับการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมแล้ว”

หลินรั่วอี๋ตั้งใจฟัง เขาเริ่มอธิบายเกี่ยวกับโครงการที่จะจัดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งจะมีนักดนตรีและศิลปินจากหลากหลายประเทศเข้าร่วม เธอรู้สึกทึ่งกับขอบเขตและความสำคัญของโปรเจกต์นี้

“คุณหลิน คุณจะเป็นผู้ประสานงานหลักสำหรับการแลกเปลี่ยนทางดนตรีนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นี่ไม่ใช่แค่การแสดงดนตรี แต่ยังเป็นโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับศิลปินจากทั่วโลก”

คำพูดของเขาทำให้หลินรั่วอี๋รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบอยู่ในมือของเธอ และความกดดันที่มากขึ้นก็ทำให้หัวใจของเธอเต้นรัว แต่เธอก็รู้ว่าความรับผิดชอบนี้มีความสำคัญมาก

“ฉันจะทำให้ดีที่สุดค่ะ” เธอตอบด้วยเสียงที่มั่นใจ แม้ว่าภายในใจจะเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ

“ดีมาก” ชูหลิงเซวียนตอบกลับ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ความเยือกเย็นในสายตาของเขาเริ่มลดลง “เราจะเริ่มทำงานกันตั้งแต่วันนี้เลย”

หลังจากการประชุมที่เข้มข้น หลินรั่วอี๋รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกใหม่ที่แตกต่างออกไป ในขณะที่เธอเริ่มต้นทำงานอย่างจริงจัง ชูหลิงเซวียนก็มอบหมายงานให้เธออย่างชัดเจน ทำให้เธอเริ่มรู้สึกถึงความสำคัญของบทบาทที่เธอต้องทำ

แต่ระหว่างที่ทำงานนั้น หลินรั่วอี๋ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงความคิดเกี่ยวกับชูหลิงเซวียน เขายังคงมีความลึกลับที่น่าสนใจ และทุกการกระทำของเขาทำให้เธอรู้สึกอยากทำความเข้าใจเขาให้มากขึ้น

“ท่านประธานคะ” หลินรั่วอี๋ตัดสินใจถามหลังจากการประชุมเสร็จสิ้น “ท่านมีเหตุผลอะไรที่ต้องการทำโปรเจกต์นี้เป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?”

ชูหลิงเซวียนหยุดคิดไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบ “เป็นโอกาสในการแสดงให้คนอื่นเห็นถึงความสำคัญของดนตรีและวัฒนธรรมครับ” เขาหันมามองเธอ ดวงตาของเขาส่องแสงออกมาด้วยความจริงจัง “และอีกอย่าง… ผมเชื่อว่าดนตรีสามารถเชื่อมโยงผู้คนได้”

คำพูดของเขาทำให้หลินรั่วอี๋รู้สึกตื่นเต้น เธอเริ่มเห็นแสงสว่างในใจว่าโปรเจกต์นี้มีความหมายมากกว่าที่เธอคิด มันอาจเป็นวิธีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ระหว่างการทำงาน หลินรั่วอี๋ได้มีโอกาสพบปะกับนักดนตรีและศิลปินต่างชาติหลายคน ซึ่งเธอรู้สึกยินดีและตื่นเต้นที่ได้เรียนรู้จากพวกเขา แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกถึงความกดดันในการต้องทำให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ

“ทำไมฉันถึงต้องกลัว?” หลินรั่วอี๋คิดในใจ ขณะที่เธอเริ่มฝึกซ้อมบทเพลงที่จะใช้ในโปรเจกต์ “นี่คือโอกาสของฉัน ฉันจะไม่ปล่อยให้ความกลัวมาหยุดฉัน”

และในทุกๆ วัน เมื่อเธอฝึกซ้อมและทำงานหนักขึ้นเรื่อย ๆ เธอเริ่มเห็นว่าไม่เพียงแต่ความสามารถด้านดนตรีของเธอเท่านั้นที่ได้รับการพัฒนา แต่ความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ๆ ก็เติบโตขึ้นตามไปด้วย

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อโปรเจกต์ใกล้เข้ามา หลินรั่วอี๋เริ่มรู้สึกถึงความสำเร็จในงานที่เธอทำ ถึงแม้ว่าเธอจะยังมีความกังวลอยู่บ้าง แต่ความมั่นใจในตัวเองก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

และในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชูหลิงเซวียนก็ดูเหมือนจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยที่เธอสังเกตเห็นถึงความอบอุ่นในสายตาของเขาเมื่อมองมายังเธอ แต่เธอยังไม่สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขาได้

หลินรั่วอี๋รู้ดีว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายนี้ด้วยความเข้มแข็ง และด้วยความช่วยเหลือจากชูหลิงเซวียน เธอรู้สึกว่าตัวเองเริ่มก้าวเข้าสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้และความฝันที่กำลังจะกลายเป็นจริง

ในขณะที่การเตรียมงานดำเนินไปอย่างเข้มข้น หลินรั่วอี๋ก็เริ่มรู้จักกับทีมงานของโปรเจกต์นี้มากขึ้น โดยเฉพาะนักดนตรีจากต่างประเทศที่เธอได้มีโอกาสทำความรู้จักและทำงานร่วมกัน สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นและกระตือรือร้นมากขึ้นในการทำงาน

วันหนึ่ง ขณะที่เธอเข้าร่วมการประชุมทีม หลินรั่วอี๋นั่งอยู่ข้างๆ นักเปียโนจากเยอรมนี ชื่อว่าไลล่า เขามีสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์และมักจะแบ่งปันแนวคิดทางดนตรีที่แปลกใหม่กับเธอ

“เราต้องผสมผสานเสียงดนตรีให้เข้ากันนะ” ไลล่าพูดขณะที่เขาลองเล่นเมโลดี้ที่เธอได้แต่งขึ้น “ดนตรีที่ดีมาจากความร่วมมือและความเข้าใจซึ่งกันและกัน”

หลินรั่วอี๋รู้สึกได้รับแรงบันดาลใจจากคำพูดของเขา และเธอก็พยายามที่จะเปิดใจรับความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงานทุกคน ไม่เพียงแต่เพื่อพัฒนาทักษะทางดนตรีของตัวเอง แต่ยังเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าให้กับโปรเจกต์นี้

ในช่วงเวลาที่พวกเขาฝึกซ้อมกัน ชูหลิงเซวียนก็จะเข้ามาสังเกตการณ์บ่อยๆ เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้บริหารโปรเจกต์ แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาที่สำคัญ ช่วยชี้แนะในทุก ๆ ขั้นตอน

“ฟังนะ หลินรั่วอี๋” เขาพูดขณะยืนมองการซ้อม “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสื่อสารระหว่างดนตรี อย่ากลัวที่จะลองสิ่งใหม่ๆ”

ในขณะนั้น หลินรั่วอี๋รู้สึกว่าคำแนะนำของเขามีความหมายมากกว่าแค่เรื่องดนตรี มันเป็นการกระตุ้นให้เธอได้ค้นพบความสามารถในตัวเอง และเธอรู้สึกขอบคุณที่เขาเชื่อมั่นในตัวเธอ

“ขอบคุณค่ะ” หลินรั่วอี๋ตอบกลับ พร้อมกับรู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจ

แม้ว่าเธอจะทำงานร่วมกับทีมได้อย่างดี แต่ความรู้สึกที่เธอมีต่อชูหลิงเซวียนกลับยังคงเป็นปริศนา เขามีเสน่ห์ที่ทำให้เธอรู้สึกดึงดูด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำให้เธอรู้สึกกลัวเพราะเขามักจะมีท่าทีที่เย็นชาและเป็นทางการ

ในคืนหนึ่ง ขณะที่เธอทำงานอย่างหนักอยู่ในสตูดิโอ เธอได้รับข้อความจากชูหลิงเซวียน “จะไปที่ร้านกาแฟใกล้ๆ มั้ย? ผมอยากพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางในการทำงานของคุณ”

หัวใจของหลินรั่วอี๋เต้นแรงอีกครั้ง เธอไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไร แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจตอบตกลง

เมื่อถึงร้านกาแฟ เธอพบว่าชูหลิงเซวียนนั่งอยู่ที่มุมเงียบ ๆ ของร้าน เขาดูมีสมาธิและสงบมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นในที่ทำงาน

“นั่งเถอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเมื่อเห็นเธอเข้ามา

หลินรั่วอี๋นั่งลงข้างๆ และสั่งเครื่องดื่มด้วยความประหม่า

“คุณทำงานได้ดีมากในช่วงนี้” เขาเริ่มพูด “แต่ผมรู้สึกว่าคุณยังมีอะไรที่คุณกลัวอยู่”

“กลัว?” หลินรั่วอี๋ถามด้วยความงุนงง “ฉันไม่กลัวนะคะ”

“ทุกคนมีความกลัวในตัวเอง” เขาพูดอย่างมั่นใจ “คุณต้องกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับมัน”

หลินรั่วอี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง เธอรู้สึกเหมือนว่าชูหลิงเซวียนเห็นอะไรบางอย่างในตัวเธอที่เธอไม่สามารถมองเห็นได้ เขากำลังพูดถึงความไม่มั่นใจในตัวเองที่ยังคงอยู่ในใจเธอ และมันทำให้เธอรู้สึกว่านี่คือการเปิดเผยที่ไม่คาดคิด

“คุณรู้ไหม… ฉันเคยกลัวที่จะต้องขึ้นแสดงต่อหน้าคนเยอะๆ” หลินรั่วอี๋ยอมรับในที่สุด “มันทำให้ฉันรู้สึกอ่อนแอ”

ชูหลิงเซวียนยิ้มเล็กน้อย “แต่คุณก็ยังทำมันอยู่ใช่ไหม? นั่นแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญในตัวคุณ”

คำพูดนี้ทำให้หลินรั่วอี๋รู้สึกดีขึ้นในทันที เธอรู้ว่าความกลัวเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่การที่เธอสามารถเผชิญหน้ากับมันได้ก็ถือว่าเป็นชัยชนะอย่างหนึ่ง

“ขอบคุณค่ะ ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด” เธอพูดด้วยความมุ่งมั่น

ขณะที่การสนทนากำลังดำเนินไป ชูหลิงเซวียนเริ่มเปิดใจให้เธอเห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในวงการดนตรี ความยากลำบากที่เขาเคยเผชิญ และความหลงใหลที่เขามีต่อดนตรี

หลินรั่วอี๋รู้สึกเหมือนว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ผู้บริหาร แต่เป็นคนที่มีความฝันและแรงผลักดันเช่นเดียวกับเธอ

“ดนตรีคือชีวิตของผม” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และผมเชื่อว่ามันสามารถทำให้ผู้คนเชื่อมโยงกันได้”

ในขณะนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป ความกดดันและความเครียดที่พวกเขาร่วมกันเผชิญทำให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น

เมื่อค่ำคืนเริ่มล่วงเลย หลินรั่วอี๋รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง เธอเริ่มตระหนักว่าเธอไม่เพียงแต่ทำงานเพื่อสร้างสรรค์ผลงาน แต่ยังเรียนรู้เกี่ยวกับความเข้มแข็งและความสามารถในตัวเอง

ในขณะที่เธอและชูหลิงเซวียนยิ้มให้กัน พวกเขารู้ว่าการเดินทางนี้ยังไม่สิ้นสุด และในอนาคตยังมีความท้าทายและโอกาสรออยู่ข้างหน้า

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!