ตอนที่1: MUSE
โรงเรียนมัธยมปลายชิคันไซ
ภายในโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่พากันมาเที่ยวชมงานเทศกาลประจำปีของโรงเรียนมัธยมปลายชิคันไซที่จะถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี
“นี่ๆ ฉันได้ข่าวมาว่าวันนี้พวกรุ่นพี่จากโรงเรียนมัธยมปลายโอเซกะจะมาร่วมเล่นดนตรีกับพวกรุ่นพี่เร็นด้วยล่ะ!”
“จริงเหรอ! มิน่าล่ะปีนี้ถึงได้มีคนมางานเทศกาลโรงเรียนเราเยอะกันขนาดนี้”
“อื้ม คงจะเป็นเพราะสาวๆจากชมรมนิตยาสารนั่นแหละที่เอาข่าวออกไปโฆษณา แต่ก็ดีนะ เพราะทำให้มีนักเรียนจากโรงเรียนอื่นๆได้เข้ามาเที่ยวชมและซื้อสินค้าของโรงเรียนเรามากขนาดนี้”
“ว่าแต่....พวกรุ่นพี่จะแสดงช่วงกี่โมงล่ะเนี่ย ฉันอดใจรอที่จะกรี๊ดรุ่นพี่เซย์จิไม่ไหวอยู่แล้วอ่ะ”
“นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาขึ้นแสดงละนะ ฉันว่าพวกเรารีบไปรอที่หน้าเวทีกันเลยดีมั้ย”
“ไปสิๆ ฉันว่าป่านนี้คงแทบจะไม่มีที่ให้พวกเรายืนแบบชิดติดขอบเวทีกันแล้วล่ะT T….”
.
.
“สวัสดีค่ะแขกผู้มีเกียรติทุกๆท่าน ในวันนี้พวกเรารู้สึกขอขอบคุณทุกท่านที่ได้ให้ความสนใจในการจัดงานเทศกาลประจำปีของโรงเรียนมัธยมปลายชิคันไซของเรานะคะ ดิฉัน อาซากิ มิวะ ประธานโรงเรียนและประธานจากชมรมดนตรีอยากจะขอเป็นตัวแทนในการกล่าวคำขอขอบคุณแขกทุกๆท่าน ที่ได้ให้เกียรติมาร่วมงานเทศกาลของพวกเราในครั้งนี้ค่ะ
ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงอยากจะขอตอบแทนทุกๆคนด้วยการแสดงดนตรีจากสมาชิกในชมรมของเราและแขกรับเชิญสุดพิเศษจากโรงเรียนมัธยมปลายโอเซกะ...เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอให้ทุกๆท่านมีความสุขและสนุกไปกับการแสดงของพวกเรานะคะ...ขอเชิญทุกท่าน…รับชมการแสดงดนตรีจากเหล่าสมาชิกวง MUSE ได้เลยค่า!”
สิ้นเสียงของอาซากิ ฉากผ้าใบสีขาวที่ถูกขึงตึงเอาไว้บนเวทีก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นว่าหลังฉากกั้นบนเวทีมีเครื่องดนตรีต่างๆ ถูกจัดวางเอาไว้ในแต่ละตำแหน่ง….
และแล้วพวกเขาทั้งหกคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวที การปรากฏตัวของพวกเขานั้นสามารถเรียกเสียงตอบรับจากผู้คนที่เข้ามาร่วมงานได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่ทันได้เริ่มเล่นดนตรีเลยก็ตาม...ทั้งหกคนก้มศีรษะเพื่อเป็นการเคารพการต้อนรับของเหล่าบรรดาผู้เข้าร่วมงานกันอย่างนอบน้อม ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มแยกตัวเพื่อไปยืนยังตามจุดประจำตำแหน่งของตัวเอง
ในจังหวะนั้นเองหญิงสาวเจ้าของเรือนผมยาวสลวยสีม่วงลูกพลัมในชุดยูนิฟอร์มลายสก็อตสีแดง ขาว ก็เริ่มขยับตัวเดินไปยังกลางเวทีพร้อมกับยกไมค์ออกจากขาตั้งไมค์
“สวัสดีค่ะ ฉัน ‘ยูอิ’ จากโรงเรียนมัธยมปลายโอเซกะค่ะ วันนี้พวกเราวง MUSE รู้สึกเป็นเกียรติมากๆที่ได้รับโอกาสมาทำการแสดงให้ทุกๆคนได้ชมกัน ในวันนี้พวกเราทั้งหกคนขอสัญญาค่ะ ว่าพวกเราจะมอบความสุข และความสนุกให้กับทุกๆคนตลอดจนงานเทศกาลในครั้งจบลง มาจดจำช่วงเวลาที่ดีเหล่านี้ไปด้วยกันนะคะ”
“กรี๊ดดดดดด!!!!!”
จังหวะของเสียงกลองได้เริ่มบรรเลงทำนองขึ้น เพื่อส่งเป็นสัญญาณว่าช่วงเวลาแห่งการแสดงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
การแสดงดนตรีถูกบรรเลงไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเสียงคึกคักจากผู้คนที่กำลังมีความสนุกและเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีที่พวกเขาทั้งหกคนได้มอบให้
เสียงอันไพเราะที่ดังกังวานของยูอิและ ‘เรียว’ ที่ขับเสียงร้องคู่กันในสไตล์เพลงป๊อบที่ผสมผสานกับแนวอาร์แอนด์บีทำให้เสียงของเขาทั้งสองคนเข้ากันได้อย่างลงตัวทุกท่วงทำนอง
และเสียงจังหวะกลองจาก ‘ฮารุ’ ที่เป็นคนคอนโทลความดุเดือดในครั้งนี้ ตามด้วยเสียงกีต้าร์ที่ ‘เร็น’ เป็นคนโซโล่ และเสียงเบสที่ ‘เซย์จิ’ เองก็กำลังโซโล่ตามจังหวะเสียงกีต้าร์ของเร็นด้วยเหมือนกัน
ตบท้ายด้วย ‘โฮชิ’ ในตำแหน่งมือเบสเสริมที่ตัวเขาเองก็กำลังเล่นอยู่ การบรรเลงดนตรีดุเดือดของพวกเขาทั้งหกคนในตอนนี้เหมือนจะยิ่งปลุกความสนุกของทุกๆคนให้ตื่นขึ้นอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้งานเทศกาลดูคึกคักจนหาทางที่สิ้นสุดจนแทบไม่เจอเลยสักนิด
“กรี๊ดดดดด รุ่นพี่ยูอิ รุ่นพี่สวยและเท่มากจริงๆค่ะ”
“รุ่นพี่เร็น! รุ่นพี่โฮชิ รุ่นพี่หล่อมากค่ะ กรี๊ดด!”
“รุ่นพี่เซย์จิปกติก็หล่อระเบิดอยู่แล้ว พอได้มาเห็นรุ่นพี่โซโล่เบสแบบนี้ก็ยิ่งหล่อขึ้นไปอีก FC นะคะรุ่นพี่!!”
“ฮารุนายตีกลองได้โคตรมันส์เลยเพื่อน สะใจโว๊ยยยย!!”
“รุ่นพี่เรียวแห่งโอเซกะนี่สมกับฉายาเจ้าชายเสียงนุ่นสุดๆ หล่อออร่าทะลุไมค์มาก”
“นี่..พวกเราสมาส่งเสียงเรียกชื่อวงของรุ่นพี่กันเถอะ ตะโกนออกไปให้สุดเสียงว่า MUSE!!”
“M! U! S! E! MUSE!!!”
“กรี๊ดดดด!!!”
.
.
และแล้วช่วงสุดท้ายของงานก็มาถึง การแสดงของพวกเขาทั้งหกคนได้จบลงอย่างสวยงามแม้ว่าผู้เข้าชมในบางส่วนจะอวดครวญเพราะยังไม่อยากให้การแสดงนั้นจบลงเลยก็ตาม
หลังจากที่การแสดงจบตอนนี้พวกเราทั้งหกคนก็กำลังช่วยกันแบกอุปกรณ์เครื่องดนตรีต่างๆไปเก็บที่ห้องชมรมดนตรีของโรงเรียน
“ยูอิ”
“ห๊ะ?”
“วันนี้ขอบใจมากนะที่มาช่วย”
“เรื่องแค่นี้เองเร็น ไม่เห็นต้องขอบจงขอบใจกันเลย”
“โห่ไรวะ นี่ฉันกับไอ้เรียวก็มาด้วยนะเว้ยไอ้เร็นขอบคุณแค่ยัยยูอิคนเดียวนี้เนี่ยนะ”
“เออ ขอบใจนายสองคนด้วยละกันที่มา”
“คำพูดโคตรสองมาตรฐานเลยว่ะ”
“ฮ่าๆ นี่พี่โฮชิยังไม่ชินกับพี่เร็นเขาอีกเหรอเนี่ย”
“ไอ้ชินน่ะมันก็ชินอยู่หรอก แต่ก็แค่อยากจะแหย่มันเล่นเฉยๆ ฮ่าฮ่า” โฮชิยืนหัวเราะเร็นด้วยท่าทางที่ดูสนุกชอบใจ หมอนี่น่ะสนุกทุกครั้งที่ได้แกล้งคนอื่นเขานั่นแหละ
“เลิกยืนหัวเราะแล้วมาช่วยกันยกกลองนี่สักทีได้มั้ยวะ”
เซย์จิที่ยืนมองอยู่นานคงจะรำคาญที่โฮชิเอาแต่ยืนหัวเราะงานการไม่ยอมทำ
“แกคงหมายถึงฉันสินะไอ้เซย์” เมื่อเจ้าตัวเจอคำพูดของเซย์จิเข้าไปโฮชิจึงรีบเดินเข้าไปช่วยเซย์จิและฮารุด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่อยากรับบุญสุดๆ
“นอกจากจะมาช่วยงานแล้วนี่ฉันยังต้องมาช่วยพวกแกขนของเก็บด้วยอีกเหรอเนี่ย โธ่ชีวิตฉันTT”
“สงบปากสงบคำแล้วทำๆ ไปเถอะ”
“ยูอิ ไอ้เซย์มันจะกินหัวฉันอีกแล้วเนี่ยดูดิ”
“นายก็อย่าบ่นให้มันมากนักสิ” ฉันพูดพร้อมกับแลบลิ้นใส่โฮชิอย่างหมั่นไส้
“เอ้อ ฉันมันหัวเดียวกระเทียมลีบนี่เนอะ เหอะ!”
“นี่แกคิดว่าไอ้ขาวๆเหมือนกระดาษเช็ดก้นของแกเวลางอนมันน่ารักนักรึไงวะโฮชิ”
“ไม่ต้องมาตบหัวละลูบหลังเลยนะไอ้เร็น (-_-)”
โฮชิทำหน้างอๆ พร้อมกับเบะปากใส่พวกเราเป็นเชิงบอกว่า ‘ฉันงอนพวกแกแล้วเว้ย’
เรียวที่เห็นท่าทางที่น่าหมั่นไส้ของโฮชิ ก็อดที่จะแกล้งไม่ได้จึงเดินเข้าไปเตะก้นโฮชิเบาๆเป็นเชิงหยอกล้อ
“นี่แกเดินมาเตะฉันทำไมวะไอ้เรียว”
“ก็แกมันน่าหมั่นเขี้ยวนี่หว่า”
“นี่คือเหตุผล?”
“อ่าฮะ”
“ไอ้....เวรนี่(-_-)”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ภายในห้องชมรมดนตรีถูกเสียงหัวเราะของพวกเราทั้งหกคนปลุกคลุมไปทั่วห้อง ถึงแม้ว่าในวันนี้พวกเราจะเหนื่อยกันมาก แต่พวกเราก็รู้สึกสนุกมากๆเช่นกันที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในรอบหลายเดือน หลังจากที่พวกเราต่างวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวสอบในช่วงปลายภาคที่กำลังจะมาถึงนี้
สำหรับฉันแล้วทุกคนใน MUSE เปรียบเสมือนครอบครัวแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงแค่เพื่อน แต่พวกเขาก็เปรียบเสหมือนหัวใจที่สำคัญสำหรับฉันมากๆ หากวันใดวันหนึ่ง MUSE ขาดใครไปสักคนมันก็คงไม่ใช่ MUSE ที่สมบูรณ์แบบอย่างที่พวกเราเป็นอยู่ในตอนนี้แน่นอน
.
.
หลังจากที่ช่วยกันเก็บของจนเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็ได้มานั่งรวมตัวกันที่หน้าตึกของชมรมเพราะเร็นบอกว่ามีเรื่องที่สำคัญจะคุยด้วย
“เรื่องสำคัญที่ว่าจะคุยด้วยนี่เรื่องอะไรเหรอ” เรียวเป็นคนเอ่ยปากถามขึ้นเป็นคนแรกหลังจากที่ทุกคนพากันนั่งเงียบและรอฟังมาได้สักพักนึงแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าเร็น”
“จำงาน Music X ที่เราส่งใบสมัครกันไปในช่วงต้นเดือนได้มั้ย”
“อื้อ จำได้”
“ทางนั้นตอบเมลกลับมาแล้วนะ”
“จริงเหรอ!แล้ว...ทางนั้นเขาตอบกลับมาว่าไงอ่ะ”
“พวกเรา…ติด 1 ใน 10 ของทีมที่ถูกคัดเลือก”
“ห๊ะ!” ฉันกับโฮชิส่งเสียงร้องอย่างตกใจออกมาพร้อมกัน
“การแข่งขันจะถูกจัดขึ้นอีกช่วงสามเดือนข้างหน้า ซึ่งก็เท่ากับว่าพวกเราทั้งหมดจะมีเวลาซ้อมกันแค่เดือนกว่าๆ หลังจากที่เรื่องการสอบปลายภาคนี้จบลง” เร็นเริ่มอธิบาย
“เดือนกว่านี้น้อยมากเลยนะพี่เร็นถ้าเทียบกับทีมอื่นๆ ที่เราจะต้องไปเจอโดยที่พวกเราเองก็ยังไม่รู้ว่าฝีไม้ลายมือพวกนั้นเป็นยังไงบ้าง” ฮารุพูดเสริมหลังจากที่นั่งฟังอย่างเงียบๆมานาน
“ถ้าพวกเราเริ่มซ้อมไปพร้อมๆกับเรื่องการเตรียมตัวสอบล่ะ” โฮชิเริ่มออกความคิดเห็นบ้าง
“เราทำอย่างนั้นกันไม่ได้หรอก อย่าลืมสิว่าตารางเรียนของพวกเรามันไม่ตรงกัน” เซย์จิอธิบายถึงเหตุผล
“แล้วเราจะเอาไงกันดี” ในขณะที่ทุกคนกำลังใช้ความคิดเพื่อช่วยกันหาทางออกสำหรับเรื่องนี้ แต่ทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงของเร็นที่พูดขึ้นมากลางวง
“เรื่องนี้ไว้ค่อยหาเวลานัดมาคุยกันที่หลังตอนนี้มันมืดมากแล้ว ยูอิเธอต้องรีบกลับบ้าน” เร็นหันมาพูดกับฉันด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง
“ไม่เป็นไรพวกเรามาคุยเรื่องนี้กันต่อให้จบเถอะ” ฉันรีบปฏิเสธทันที ฉันไม่อยากให้เพื่อนในทีมต้องล่าช้าไปเพียงเพราะเรื่องของฉัน
“ขอร้องล่ะยูอิ พวกเราไม่อยากให้เธอมีปัญหากับคนพวกนั้นหรอกนะ”
“แต่ว่าฉัน...” ในขณะที่ฉันกำลังจะงัดเอาเหตุผลร้อยแปดพันไล่ออกมาพูดกับพวกเขาทั้งห้าคน แต่ก็ต้องถูกเรียวพูดดักทางเอาไว้ด้วยอีกคน
“ฉันเห็นด้วยกับไอ้เร็นมันนะ วันนี้พวกเราเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว ต่อให้นั่งคุยนั่งปรึกษากันจนถึงพรุ่งนี้เช้าเราก็ยังหาคำตอบกันไม่ได้หรอก”
“เชื่อพวกเราเถอะพี่ยูอิ” ฮารุส่งสายตาอ้อนวอนเหมือนทุกทีที่เคยทำ
“ถึงขั้นงัดไม้แข็งออกมาใช้กันขนาดนี้แล้วฉันจะไปทำอะไรได้นอกจากต้องยอมกันล่ะยะ(-_-)”
“ที่พวกเราต้องงัดไม้แข็งออกมาใช้กับเธอก็เพราะว่าพวกเราเป็นห่วงเธอนะ”
“รู้แล้วน่า...ขอบใจพวกนายมากที่เป็นห่วง”
ฉันรู้และเข้าใจในความหวังดีของเพื่อนทุกคนเพราะพวกเขารู้ดีว่าคนที่บ้านของฉันเป็นยังไง...แล้วฉันกับแม่ต้องเจอกับความเลวร้ายอะไรบ้างในแต่ละวัน
.
.
“ขอบคุณนะเรียวที่อุตส่าห์เดินมาส่งถึงบ้าน”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าเพราะเป็นห่วงนั่นแหละถึงได้เดินมาส่ง”
“เป็นห่วง? เป็นห่วงเรื่องอะไร?”
“ไม่รู้สิ รู้แค่ว่าเป็นห่วงเฉยๆ”
“อะไรของนายเนี่ย เก่งจังนะไอ้เรื่องที่ชอบตอบคนอื่นเขาด้วยคำถามน่ะ”
“ฮ่าฮ่า ก็ห่วงเพราะเธอเป็นผู้หญิงแล้วอีกอย่างนี่มันก็มืดแล้วด้วยถ้าให้เธอกลับบ้านคนเดียวไอ้สี่ตัวที่เหลือมันก็ด่าฉันยับน่ะสิ”
“สรุปแล้ว? ที่อุตส่าห์ลงทุนเดินมาส่งก็เพราะกลัวว่าพวกนั้นจะด่าเอาสินะ”
“เปล่า ที่ฉันมาส่งเพราะฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ แล้วฉันก็อยากจะมีเวลาอยู่กับเธอให้มากที่สุด...ก่อนที่เราจะไม่ได้เจอกันอีก”
“ไม่ได้เจอกันอีก? หมายยความว่าไง? นี่นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไรน่ะเรียว”
“อ...อ๋อ ฉันหมายถึงแบบว่า...ถ้าพวกเรายุ่งๆกับเรื่องสอบเราจะไม่ค่อยได้เจอกันไง ก็เลยอยากหาเวลาที่จะได้อยู่กับเธอบ่อยๆแค่นั้นเอง”
“งั้นเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ...นี่เธอขมวดคิ้วซะจนมันจะผูกกันเป็นโบว์อยู่ละนะ ยิ้มหน่อยสิ เอ้ายิ้มมม”
“โอ๊ย!” ฉันส่งเสียงร้องทันทีที่เรียวใช้มือทั้งสองข้างยืดเนื้อแก้มของฉันให้ยิ้มไปตามแรงดึงของเขา
“ฮ่าฮ่า หน้าเธอเหมือนพวกขนมปังสกุชชี่เลยอ่ะยูอิ”
“ตลกมากรึไง!งั้นฉันขอดึงแก้มนายคืนบ้างละกัน มานี่เลย!”
ฉันรีบพุ่งตัวเข้าไปหาเรียวหวังจะดึงแก้มของหมอนั่นให้ยืดติดมือกลับมา แต่ทันทีที่ฉันพุ่งตัวเข้าไปก็ต้องรู้สึกแปลกใจ เพราะปกติหมอนี่จะต้องโยกตัวหลบแต่ครั้งนี้มันดูผิดสังเกตเพราะว่าเรียวไม่ได้หลบเหมือนอย่างทุกครั้งแต่เขากลับ...กอดฉันเอาไว้....
“ร..เรียว”
“ขอฉันกอดเธอแบบนี้ต่ออีกสักนิดนะยูอิ”
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงบ ทั้งฉันและเรียวต่างคนต่างไม่มีใครเปล่งคำพูดใดๆออกมา มีเพียงแค่เสียงลมหายใจหนักๆของเรียวและอ้อมกอดที่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร...
ไม่นานเรียวก็เริ่มคลายอ้อมกอดออกและปล่อยให้ฉันได้เป็นอิสระ
“ขอโทษนะที่ฉวยโอกาสกอดเธอแบบนั้น”
“นายเป็นอะไร...มีเรื่องที่ไม่สบายอะไรใจรึเปล่า?”
“เปล่าน่า ไม่มีอะไรหรอกไม่ต้องคิดมาก”
“แน่ใจนะ”
“แน่ใจสิ เธอน่ะรีบเข้าบ้านได้แล้วมันดึกมากแล้วนะ” เรียบพูดพร้อมกับยีผมฉันเบาๆ
“งั้น...ฉันเข้าบ้านละนะ”
“โอเค”
“บายเรียว”
“บายยูอิ”
ระหว่างที่กำลังจะเดินเข้าบ้านก็มีเสียงข้อความเด้งแจ้งเตือนเข้ามาในโทรศัพท์ของฉัน พอก้มมองดูที่หน้าจอ ก็ได้รู้ว่าคนที่ส่งมาคือเรียว ฉันจึงรีบหันกลับไปมองเขาอีกครั้งแต่ก็พบว่าเรียวไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว...
‘วันนี้ฉันสนุกมาก ขอบคุณนะที่ร้องเพลงด้วยกันมาโดยตลอด ฝันดีนะยูอิ’
ฉันนอนอ่านข้อความของเรียววนไปวนมาจนรู้สึกนอนไม่หลับ วันนี้ทุกอย่างของเรียวมันดูแปลกไปหมดทั้งคำพูดและอะไรอีกหลายๆอย่างรวมถึง...อ้อมกอดนั่นด้วย
“นายกำลังคิดอะไรอยู่...เรียว”
...*โปรดติดตามตอนต่อไป*...
...----------------...
ขอฝากนิยายเรื่องแรกของไรท์ไว้ในอ้อมอก อ้อมใจของ
นักอ่านทุกคนด้วยนะคะ
สุดท้ายนี้อย่าลืมกดติดตาม กดถูกใจ และเพิ่มนิยายเข้าชั้นหนังสือเพื่อเป็นกำลังใจในการอัพเดตแก่นักเขียนกันนะคะ🩷
🫧-อัพเดตทุกวัน อ,พ,พฤ,ส,อา-🫧
นักอ่านสามารถติดตามการอัพเดตนิยายก่อนใครได้ที่ช่องทางด้านล่างนี้เลยค่ะ
TIKTOK: ฉันคือนอขอที่ TIKTOKไม่รัก
FB: My.Sugar Brown
...ตอนที่2:คุณท่านผู้นั้น...
โรงเรียนมัธยมปลายโอเซกะ
โรงเรียนมัธยมปลายโอเซกะเป็นโรงเรียนเอกชนชั้นนำในญี่ปุ่น จึงไม่ค่อยเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสักเท่าไหร่หากจะมีชุดยูนิฟอร์มที่ดูหรูหรากว่าโรงเรียนอื่นๆ เพราะในโอเซกะมีแต่พวกลูกคุณหนูไฮโซ และพวกกระเป๋าหนักเท่านั้นที่จะสามารถเข้าเรียนที่นี่ได้ แต่ทว่า...ตัวฉันนั้นแตกต่างจากพวกเขาโดยสิ้นเชิง ฉันเป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดาที่เกิดมาจากสาวรับใช้กับลูกชายของบ้านตระกูลเศรษฐี
ใช่แล้วล่ะแม่ฉันตั้งท้องกับคุณพ่อทายาทคนโตของตระกูลอาคาชิ นามสกุลของผู้ลากมากดี คนทั่วไปอาจจะคิดว่าการที่ฉันได้เข้ามาเรียนยังโรงเรียนแห่งนี้คงเป็นเพราะว่าฉันกับแม่ได้รับการยกย่อง หรือยอมรับจากพวกเขาเหล่านั้นใช่มั้ยล่ะ...เปล่าเลย...ในความเป็นจริงแล้วชีวิตคนเรามันไม่ได้สวยงามเหมือนในหนังหรือละครหรอกนะ
ฉันกับแม่เราไม่เคยได้รับการยอมรับจากพวกเขาเลยสักนิด และการที่ฉันได้เข้ามาเรียนที่นี่ก็เป็นเพราะว่าก่อนที่คุณพ่อจะเสียชีวิต คุณพ่อได้สั่งเสียไว้กับคุณปู่ และขอร้องกับ ‘คุณท่าน’ เอาไว้ว่าขอฝากดูแลฉันกับแม่ด้วย ซึ่งคุณปู่ก็ได้รักษาสัญญานั้นมาโดยตลอดจนกระทั่งวันหนึ่งคุณปู่ก็ได้จากไป.....
พอไม่มีคุณปู่แล้วฉันกับแม่ก็ถูกปฏิบัติเยี่ยงทาสในบ้านหลังนั้น เราสองคนไม่เคยได้รับความเมตตาจากคุณท่านเลยสักนิดเดียว
คุณท่านที่ฉันกำลังพูดถึงอยู่ความจริงแล้วท่านก็คือ...คุณย่าของฉันเอง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคุณย่า แต่ฉันก็ไม่มีสิทธิไปเรียกท่านว่าย่าหรอกนะ เพราะท่านมักจะพูดเสมอว่าฉันน่ะไม่ใช่หลาน...ท่านเกลียดพวกเราเพียงเพราะแม่เป็นสาวรับใช้ที่ไปรักกับผู้ชายที่สูงส่งอย่างคุณพ่อก็เท่านั้นเอง....
“ยูอิ!”
“ห..ห๊ะ!”
“นี่เธอมัวแต่นั่งเหม่ออะไรเนี่ยฉันเรียกตั้งนานแล้วนะ”
“ขอโทษทีพอดีคิดอะไรเพลินไปหน่อย”
“มัวแต่คิดถึงไอ้เรียวมันรึไง นี่มันไม่มาโรงเรียนแค่วันเดียวเองนะ”
“จะบ้ารึไง! ฉันคิดเรื่องงานประกวดอยู่เถอะย่ะ”
“อ๋อเหรอ ฉันคิดว่าเธอกำลังนั่งคิดถึงมันอยู่ซะอีก”
“ช่างเรื่องนั้นเถอะ แล้วที่นายมายืนตะโกนเรียกฉันอยู่ข้างหูขนาดนี้เนี่ย....มีอะไรไม่ทราบ?”
“ฉันเห็นเธอนั่งเหม่อไม่ยอมลุกไปพักเที่ยงสักที คิดว่ามีเรื่องอะไรที่น่าคิดมากก็เลยเดินเข้ามาเรียก”
คิดมากเหรอ...เอาจริงๆมันก็มีเรื่องที่ให้ฉันคิดอยู่หรอกนะ โดยเฉพาะเรื่องของเรียวที่ส่งความแปลกๆมา ไหนจะอยู่ดีๆ ก็มาขาดเรียนในวันที่มีสอบย่อยแบบนี้อีกด้วย
“ไม่มีอะไรหรอกฉันแค่รู้สึกง่วงนิดหน่อย”
“แล้วเมื่อคืนนี้เธอโอเครึเปล่า”
“โอเคดี ไม่มีปัญหาอะไร”
“งั้นก็ดีแล้วล่ะ เรารีบลงไปพักกันเหอะไส้ฉันจะขาดละเนี่ย”
“แล้วทำไมนายไม่ลงไปพร้อมกลุ่มแฟนคลับสาวๆของนายก่อนล่ะ”
“ไม่เอาอ่ะฉันเบื่อแล้ววันนี้ของดเป็นหนุ่มฮอตหนึ่งวัน”
“จ้าพ่อคนหล่อพ่อทุกสถาบัน”
“ฉันล่ะเกลียดฉายานี้ที่สุด(-_-)”
“ทำไมล่ะ”
“มันทำให้ฉันดูเป็นคนเลวเจ้าชู้ตัวพ่อยังไงก็ไม่รู้(-_-)”
“ปกติแล้วก็ไม่ได้เป็นคนดีอะไรนี่นา อย่าคิดมากเลยนะ”
“ยัยบ้านี่(-_-)”
“ฮ่าฮ่า ฉันหยอกจ้า”
ในระหว่างที่ฉันกับโฮชิกำลังจะเดินออกจากห้องเรียนจู่ๆ ฉันก็ดันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเรียกและดึงชายเสื้อที่ด้านหลังของโฮชิเอาไว้
“นี่..โฮชิ”
“ว่าไง”
“เรียวได้บอกนายรึเปล่า ว่าทำไมถึงไม่มาเรียนวันนี้”
“ไม่ได้บอกนะ มีอะไรรึเปล่า”
“เปล่าหรอก แค่คิดว่าเรียวเขาจะบอกนายน่ะ”
“อาจจะป่วยล่ะมั้งเพราะเมื่อวานตอนที่แสดงบนเวทีเจ้านั่นก็ใส่สุดอยู่เหมือนกันนะ ทำอย่างกับว่าเหมือนจะขึ้นแสดงกับพวกเราเป็นครั้งสุดท้ายงั้นแหละบทจะบ้าปล่อยของก็บ้าสุดๆไปเลยไอ้หมอนี่”
จริงสิ ฉันลืมสังเกตตรงจุดนี้ไปได้ยังไงปกติเรียวเป็นคนที่ทำอะไรเขามักจะทำอย่างเต็มที่ก็จริง แต่เมื่อวานตอนที่พวกเราขึ้นแสดงเรียวกับปล่อยอารมณ์ และความสามารถของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ แบบที่ฉันเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน...มันเกิดอะไรขึ้นกับนายกันแน่เรียว นายกำลังมีเรื่องอะไรในใจที่ไม่กล้าบอกกับพวกเราอยู่รึเปล่า
.
.
ในช่วงบ่ายระหว่างที่พวกเรากำลังจะเปลี่ยนคาบเรียนเพื่อไปเรียนวิชาพละ ฉันเดินไปยังตู้ล็อคเกอร์เก็บของของนักเรียนระดับชั้นมอปลาย เพื่อที่จะเอาชุดพละไปเปลี่ยน
แต่ในจังหวะที่กำลังจะเดินไปยังห้องเปลี่ยนชุดก็ได้มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งเดินโผล่ออกมาจากซอกผนัง พวกเธอสามคนยืนเรียงกันเพื่อขวางทางเดิน และหนึ่งในสามคนนั้น มีคนที่ฉันรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีนั่นก็คือ ‘ไอริ’ เธอเป็นน้องสาวต่างมารดาของฉัน คุณพ่อถูกคุณท่านบีบบังคับให้แต่งงานกับแม่ของไอริเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนในการที่จะเก็บฉันเอาไว้ ไอริอายุห่างจากฉันสองปี ถึงแม้ว่าเราสองคนจะมีพ่อเดียวกัน แต่เราไม่เคยนับพี่นับน้องกัน....และแน่นอนยัยนี่น่ะเกลียดฉันซะยิ่งกว่าอะไร
“หลบไป”
ฉันเอ่ยปากบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน หรือฟังภาษามนุษย์ที่ฉันกำลังพูดอยู่ไม่ออกกันแน่เพราะดูจากท่าทางของพวกเธอทั้งสามคนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหลบทางให้ฉันเลยสักนิด
“นี่ ฉันพูดภาษาหมาไม่เป็นหรอกนะ”
“แกว่าใครเป็นหมาไม่ทราบ!” ไอริตะคอกใส่พร้อมกับสาวเท้าเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าฉัน
“อ้าว ก็ฟังภาษาคนออกนี่...คิดว่าจะฟังไม่รู้เรื่องซะอีก”
“เหอะ! คนที่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องน่ะมันคือแกต่างหาก ฉันกับคุณแม่บอกแกแล้วใช่มั้ยว่าให้ลาออกจากโรงเรียนนี้แล้วทำไมแกถึงไม่ออกไปสักที...นังหน้าด้าน!”
“เธอกับแม่ของเธอส่งเสียฉันรึไง? ก็เปล่านี่”
“หึ ก็จริงอยู่ที่ฉันกับคุณแม่ไม่ได้ส่งเสีย แต่การที่แกยังเสนอหน้ามาเรียนที่นี่อยู่อีกก็เพราะแกกำลังผลาญเงินของคุณย่าอยู่ยังไงล่ะ”
“ถ้าเธอมีปัญหามากนักเธอกับแม่ของเธอก็ไปเคลียร์กับคุณท่านกันเอาเองสิ อ่อ แต่ก็ระวังโดนท่านโมโหใส่แล้วไล่ตะเพิดออกมาเหมือนหมูเหมือนหมาอย่างทุกทีล่ะ”
“อีนังยูอิ!”
ไอริทำท่ายกฝ่ามือขึ้นหวังที่จะฟาดฝ่ามันลงมาที่แก้มของฉัน แต่มือของเธอก็ต้องหยุดชะงักทันทีพร้อมกับเสียงกรีดร้องของไอริที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ดังลั่นโถงทางเดิน
“โอ๊ย!!”
สาเหตุที่ทำให้ไอริต้องส่งเสียงร้องออกมาเป็นเพราะว่าข้อมือเรียวเล็กของเธอในตอนนี้ได้ถูกบีบแน่นด้วยฝ่ามือหนาของใครสักคนที่กำลังยืนอยู่ที่ด้านหลังของฉัน
“ที่นี่มันโรงเรียนไม่ใช่บ้านอาคาชินะครับ คุณอาคาชิ ไอริ”
“ร...รุ่นพี่โฮชิ” เพื่อนสาวอีกสองคนของไอริอุทานขึ้นเมื่อเห็นว่าบุคคลปริศนาที่เพิ่งโผล่เข้ามานั้นคือใคร
“เล่นแบบนี้ไม่รอบกัดไปหน่อยเหรอสาวๆ”
“ใครเป็นสาวๆ ของแกไม่ทราบ!”
“เอ้า! แล้วเธอจะเป็นอะไรดีล่ะ เป็นแม่ฉันเหรอ? แต่ไม่ดีกว่ามั้งเพราะแม่ฉันไม่ได้นิสัยเสีย...แบบเธอ”
“ไอ้บ้า!”
“ไปอาระวาดที่อื่นเถอะไอริพวกฉันต้องรีบไปเรียน”
“แกมีสิทธิอะไรมาสั่งฉันไม่ทราบ”
“ก็สิทธิของคนที่เป็นพี่สาวยังไงล่ะไอริ:)”
คำว่าพี่สาวสามารถกระตุกต่อมโมโหของยัยนี่ได้ดีเสมอ เพราะแค่ใช้นามสกุลอาคาชิร่วมกันแถมยังอยู่โรงเรียนเดียวกันก็ทำให้ยัยนี่แทบจะกระอักเลือดตายรายวันอยู่แล้ว
“ฉันไม่ใช่น้องของแก! อย่าสะเออะมานับญาติกับฉัน คนอย่างแกน่ะมันชั้นต่ำนังลูกเมียน้อย!”
“นี่” ฉันเดินเข้าไปประชิดตัวของไอริแล้วจับเข้าไปที่ต้นแขนของเธออย่างแผ่วเบาก่อนที่จะค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของยัยนี่
“เมียน้อยที่ว่าน่ะมันคือแม่ของเธอต่างหาก แล้วฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ยว่า...อย่า...พูดถึงแม่ฉันแบบนี้” ฉันเพิ่มแรงบีบที่ต้นแขนของไอริให้เพิ่มมากขึ้นจนไอริส่งเสียงร้องออกมา
“นังบ้า! ปล่อยฉันนะ!” ไอริผลักมือของฉันออกก่อนที่เพื่อนๆของเธอจะเดินมาดึงให้เธอไปยืนอยู่ห่างจากฉันและโฮชิพอสมควร
“ฉันไม่เข้าใจพี่เรียวเลยจริงๆว่าทำไมถึงต้องลดตัวลงมาคบทำตัวเป็นเพื่อนกับคนอย่างแก คนนึงก็ลูกอีเมียน้อย คนนึงก็ลูกเศรษฐีตกอับส่วนอีกสามคนก็ลูกกาฝากไม่มีพ่อไม่มีแม่!”
เพียะ!!!
ใบหน้าของไอริสะบัดไปตามแรงเหวี่ยงจากฝ่ามือของฉันที่ตบเข้าไปเต็มๆแก้มเธอ ไอริจับแก้มของตัวเองด้วยความตกใจ พอตั้งสติได้ยัยนั่นก็ทำท่าเหมือนว่าจะพุ่งตัวเข้ามาเอาเรื่องฉัน แต่ก่อนที่เธอจะเดินมาถึงตัวของฉัน ฉันก็ดันเป็นฝ่ายชิงเดินเข้าไปหาไอริก่อนทำให้เจ้าตัวถึงกับชะงัก
“เดินเข้ามาอีกสิฉันจะได้ตบแก้มเธออีกข้างให้มันได้บวมเท่าๆ กัน เข้ามาสิไอริ!” ฉันยืนจ้องหน้าไอริด้วยอารมณ์ที่โมโหสุดขีด ฉันรู้นะว่าไอริเป็นเด็กที่นิสัยเสียแต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะนิสัยเสียได้มากขนาดที่ว่าดูถูกคนอื่นเขาไปทั่วแบบนี้
“ไอริฉันว่าพวกเราแยกกันไปก่อนเถอะนะ ดูสิคนมองเต็มเลยนะแก”
“ไม่! แกก็เห็นอยู่ว่ามันตบหน้าฉันแล้วจะให้ฉันจบง่ายๆงั้นเหรอ ไม่มีทางซะหรอก!”
“โอ๊ย! งั้นก็เชิญแกยืนอยู่คนเดียวไปเถอะพวกฉันสองคนขอตัวก่อนล่ะ”
“นี่พวกแกจะไปไหน!! นี่!!! อีพวกบ้าสองคนนี้นี่รอฉันด้วย!!!” พอเห็นว่าเพื่อนทั้งสองคนของตัวเองเดินหนีไปไอริก็รีบวิ่งตามเพื่อนๆของเธอไปทันที
แปะ แปะ แปะ
โฮชิยืนปรบมือและยกนิ้วโป้งให้กับฉันหลังจากที่หมอนี่ยืนมองฉันกับไอริเล่นสงครามประสาทกันอยู่นานสองนาน
“โคตรเท่เลยว่ะยูอิเธอปราบยัยเด็กนั่นซะอยู่หมัดเลยอ่ะ”
“อย่าไปสนใจเลย รีบไปเรียนกันเถอะ”
“จะว่าไปน้องเธอรุ่นเดียวกันกับฮารุใช่มั้ย”
“อืม”
“วุฒิภาวะต่างกันลิบลับเลยแฮะ ไอ้ฮารุดูเป็นผู้ใหญ่กว่ายัยเด็กนี่เยอะเลยจริงๆ”
“อย่าเอาคนมีสมองกับคนไม่มีสมองไปเปรียบเทียบกันเลยโฮชิ”
“ยูอิ...เธอนี่มันแรงเอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย...เท่ว่ะ!เอาไปอีกสองนิ้วโป้ง!”
.
.
บ้านตระกูลอาคาชิ
“กลับมาแล้วค่ะ”
ยูอิที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนเมื่อมาถึงบ้านเธอก็ได้มอง และเรียกหาผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งก็คือแม่ของเธอนั่นเอง เด็กสาวได้แต่มองไปรอบๆบ้านหลังเล็กที่ถูกสร้างอยู่ในมุมหลืบหลังบ้านของตระกูลอาคาชิ เธออาศัยอยู่กับแม่เพียงแค่สองคนในบ้านหลังเล็กที่ซอมซ่อนี้ตั้งแต่ที่คุณพ่อ และคุณปู่ของเธอเสียไป
“แม่คะหนูกลับมาแล้ว....ไม่อยู่แฮะ...สงสัยจะออกไปข้างนอก”
พอคิดได้ว่าแม่อาจจะออกไปข้างนอกเหมือนอย่างทุกครั้ง ฉันก็ไม่ได้แปลกใจอะไรแต่ในจังหวะที่ฉันกำลังจะเดินเข้าไปในห้องของตัวเองเพื่อเก็บกระเป๋า และเปลี่ยนชุดนักเรียน ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายและเสียงร้องของผู้หญิงที่คุ้นหูที่ดังมาจากบ้านหลังใหญ่....นั่นมันเสียงแม่นี่
ยูอิที่ได้ยินเสียงของแม่กำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานเธอก็รีบวิ่งออกจากบ้านหลังเล็กที่ทรุดโทรมมุ่งตรงไปที่บ้านหลังใหญ่นั้นด้วยความรีบร้อนในทันที
เมื่อยูอิวิ่งไปถึงเธอก็เห็นว่าแม่ของเธอนั้นกำลังถูกภรรยาอีกคนของคุณพ่อของเธอที่ชื่อว่าเอโกะกำลังตบตีแม่ของเธออย่างโหดร้ายทารุณ
“หยุดนะ!”
ฉันตะโกนบอกอีกฝ่ายที่กำลังจะใช้ฝ่ามือตบลงมาที่แม่ ทำให้อีกฝ่ายชะงักมือไว้ได้ทันก่อนที่เธอจะฟาดมันลงมา ฉันรีบวิ่งเข้าไปประคองแม่ด้วยความเป็นห่วง
“ค่อยๆลุกนะแม่”
“ย..ยูอิ”
“มาแล้วงั้นเหรอนังตัวดี!”
“คุณแม่คะนังยูอิมันมาแล้วจัดการมันเลยค่ะ”
“วันนี้แกตบหน้าลูกฉันใช่มั้ยนังเด็กชั้นต่ำ”
“ใช่ ที่จริงอยากจะตบให้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“นี่แก!”
“ช่วยไม่ได้นี่คะลูกสาวของคุณอยากปากไม่ดีเอง”
“งั้นฉันก็ช่วยไม่ได้เหมือนกันที่แม่ของแม่ต้องมารับกรรมในส่วนของแกอย่างเช่นวันนี้!”
“คุณรู้ว่าตัวคุณเองไม่มีสิทธิสามารถทำอะไรฉันได้คุณก็เลยเอาไปลงที่แม่ใช่มั้ยล่ะคุณนี่มัน...นิสัยหมาลอบกัดจริงๆ”
“คุณแม่คะมันว่าคุณแม่เป็นหมา!”
“อีนี่! ได้แกบอกว่าฉันไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแกใช่มั้ยนังยูอิวันนี้แหละฉันจะทำให้แกได้รู้ว่าฉันมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์!!”
ในจังหวะที่คุณนายเอโกะกำลังจะใช้ฝ่ามือนั้นฟาดลงมานี่หน้าฉัน ทันใดนั้นเองก็มีเสียงปริศนาของหญิงสูงวัยดังขึ้นที่ด้านหลังของฉัน ฉันจำเสียงนี้ได้ดีเพราะมันคือเสียงที่คอยด่าทอฉันและแม่มาโดยตลอด...ใช่แล้วล่ะนี่คือเสียงของคุณท่าน...
“พอได้แล้ว!!”
“ค..คุณย่า!”
“ค...คุณแม่!”
“นี่มันเรื่องอะไร”
พอทุกคนที่รู้ว่าเสียงปริศนานั้นคือใครทุกอย่างในบ้านหลังนี้ก็ถูกความเงียบครอบงำได้แต่นิ่งเงียบไม่มีใครปริปากพูด หรืออธิบายอะไรใดๆออกมาจนทำให้หญิงสูงวัยผู้นี้เริ่มหมดความอดทนเธอจึงตะโกนถามทุกคนตรงหน้าขึ้นอีกครั้ง
“ฉันถามว่านี่มันเรื่องอะไร!!”
“เอ่อ..คุณ..คุณแม่คะคือว่า”
“ฉันเคยบอกเธอกี่รอบแล้วเอโกะว่าอย่ามาสร้างความวุ่นวายในบ้านของฉัน แล้วนี่มันอะไร!ฉันไม่อยู่บ้านแค่วันครึ่งวันเธอก็สร้างความวุ่นวายให้บ้านฉันแล้วงั้นเหรอ!!”
“คุณแม่คะแต่ว่าวันนี้น่ะนัง..เอ่อ ก็ยัยยูอิน่ะสิคะตบหน้ายัยไอริที่โรงเรียนหนูที่เป็นแม่จะไปยอมให้ลูกของตัวเองโดนทำร้ายได้ยังไงล่ะคะ”
“เธอก็เลยลงไม้ลงมือกับนังผู้หญิงคนนี้แทนงั้นสิ?”
“ม..ไม่ใช่นะคะคุณแม่ คือ คือว่าหนูแค่จะสั่งสอนยัยยูอินิดหน่อยค่ะแต่ใครจะไปรู้ว่ายามิจะเข้ามารับแทน...ก็เท่านั้นเองค่ะ..”
“โกหก!คุณตั้งใจทำร้ายแม่ชัดๆยังจะมีหน้ามาโกหกอีก”
“ยูอิ!”
คุณท่านหันมาตะคอกใส่ฉันก่อนที่ท่านจะเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าและมองฉันด้วยสายตาที่เย็นชาเหมือนในทุกๆครั้งที่เขามักจะมองฉันแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก
“เธอตบหน้าไอริจริงหรือเปล่า”
“จริงค่ะ”
“งั้นเหรอ”
เพี้ยะ! ! !
ทันทีที่คุณท่านฟาดฝ่ามือนั้นลงมาใบหน้าของฉันก็หันไปตามแรงส่งจากฝ่ามือของคุณท่าน ทั้งคุณนายเอโกะและไอริที่เห็นว่าฉันถูกคุณท่านตบทั้งสองคนก็ยืนยิ้มร่าอย่างสะใจ
“ยูอิ!” แม่ที่เห็นว่าฉันถูกคุณท่านตบก็รีบวิ่งเข้ามากอดและยกมือไหว้ขอโทษคุณท่านทั้งน้ำตา
“ฉันบอกแกกี่รอบแล้วว่าตราบใดที่ยังใช้นามสกุลอาคาชิอยู่อย่าก่อเรื่องทำให้ฉันต้องอับอายขายขี้หน้าห้ะ!!”
“ขอโทษค่ะคุณท่านที่หลังดิฉันจะกำชับยูอิให้ดีค่ะ ขอโทษนะคะขอโทษค่ะ” แม่ที่กำลังทำท่าจะก้มลงกราบแทบเท้าคุณท่านเพื่อขอร้องไม่ให้คุณท่านทำร้ายร่างกายหรือจิตใจของฉันอีก นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่แม่ต้องมาก้มหัวกราบเท้าคนในบ้านหลังนี้เพราะฉัน...
“แม่..พอเถอะ” ฉันที่ไม่สามารถทนเห็นแม่ที่จะต้องก้มหัวกราบคนอื่นได้อีกต่อไปก็ได้รีบคว้าแขนให้แม่ลุกขึ้นโดยที่แม่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“ยูอินี่ลูกจะทำอะไร!”
“ครั้งนี้เราไม่ผิด เราไม่ควรที่จะต้องมาก้มหัวกราบใครทั้งนั้น”
“นี่แก..”
“ที่หนูตบไอริในวันนี้ เพราะไอริเอาเรื่องของแม่ไปพูดที่โรงเรียนเธอทำกิริยามารยาทที่ไม่ดีใส่เพื่อนของหนู ทั้งดูถูกเหยียดหยามและไม่เกียรติมันผิดเหรอคะที่หนูจะปกป้องแม่ตัวเองและเพื่อนของหนู”
“ไม่จริงนะคะคุณย่ายูอิมันโกหก!”
“ไอริหยุดเดี๋ยวนี้”
“คุณย่าต้องเชื่อไอรินะคะ ไอริ...”
“ฉันบอกให้แกหยุด!!”
หญิงสูงวัยหันไปตะคอกใส่ไอริด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยพอใจนักก่อนที่เธอจะหันมาหาสองแม่ลูกที่ยืนประคองกันอยู่ เธอมองทั้งสองอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่ก็สุขุมเยือกเย็นราวกับคนไม่มีหัวใจ
“ส่วนเธอทั้งสองคนออกไปจากบ้านของฉันได้แล้ว เรื่องในวันนี้ฉันจะไม่เอาผิด ออกไปซะ”
ฉันกับแม่โค้งขอบคุณให้กับคุณท่านแล้วค่อยๆประคองนำแม่ออกมา ฉันกับแม่เดินออกจากบ้านอาคาชิมาได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ได้เจอเข้ากับคุณอาโทจิน้องชายเพียงคนเดียวของคุณพ่อเข้าพอดี คุณอาที่เห็นว่าฉันกำลังประคับประคองร่างของแม่อยู่คุณอาก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยประคองแม่ด้วยความตกใจพร้อมกับยิงคำถามใส่ฉันทันที
“เกิดอะไรขึ้นยูอิทำไมพี่ยามิถึงได้กลายเป็นแบบนี้”
“หนูขอพาแม่ไปพักที่บ้านก่อนได้มั้ยคะแล้วหนูจะเล่าทุกอย่างให้คุณอาฟัง”
“โอเคๆ”
ฉันกับคุณอาโทจิรีบช่วยกันพาคุณแม่กลับไปยังที่บ้าน เมื่อมาถึงบ้านฉันก็จัดการทำความสะอาดร่างกายรวมทั้งทายาตามรอยฟกช้ำบนตัวของแม่
“ยูอิ..แม่ขอโทษนะ”
“แม่จะขอโทษหนูเรื่องอะไรแม่ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
“ถ้าแม่ตัดสินใจพาลูกหนีไปซะตั้งแต่ตอนนั้นลูกก็คงไม่ต้องมาเจอเรื่องอะไรพวกนี้”
“แม่คะ เรื่องมันผ่านมาแล้วแล้วเราก็คุยกันแล้วว่าเราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีกไม่ใช่เหรอ”
“แต่แม่....”
“แม่คะ” ฉันจับมือของแม่ยกขึ้นมาแนบไว้ที่ข้างแก้ม แม่ที่เห็นฉันทำท่าทางแบบนั้นใส่ท่านก็ได้แต่นิ่งเงียบและมองฉันด้วยแววตาที่แสนเศร้าพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้น
“แม่เลิกโทษตัวเองได้แล้วนะมันไม่ใช่ความผิดของแม่เลย เรื่องในวันนี้น่ะหนูผิดเองที่จัดการกับอารมรณ์ของตัวเองได้ไม่ดีจนทำให้แม่ต้องเดือดร้อนไปด้วยหนูขอโทษนะ เพราะงั้นแม่อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะคะ”
“ยูอิ..”
เพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศฉันจึงเลี่ยงที่จะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ต่อด้วยข่าวดีที่ฉันตั้งใจที่จะบอกแม่เมื่อตอนเย็นก่อนที่จะเกิดเรื่อง
“อ่อ! จริงสิหนูมีข่าวดีจะบอกแม่ด้วยล่ะ”
“หื้ม? ข่าวดี”
“แม่จำได้มั้ยที่หนูเคยบอกแม่ว่าหนูกับเพื่อนๆจะไปแข่งดนตรีกันอีกสามเดือนข้างหน้านู้นน่ะ”
“งานนั้นน่ะเหรอ”
“อ่าหะ แม่รู้มั้ยว่าเขาเลื่อนการแข่งขันเข้ามาเป็นเดือนหน้าแล้วนะ”
“จริงเหรอลูก”
“จริงสิ”
“งั้นแม่ก็ขอพรให้ลูกชนะการแข่งขันนะยูอิ”
“เดี๋ยวสิ แม่จะรีบอวยพรให้หนูไปไหนหนูไปแข่งกันตั้งเดือนหน้าเชียวนะค่อยอวยพรในวันที่หนูไปแข่งก็ยังได้ด้วยซ้ำ”
“แม่แค่กลัว..กลัวว่าสักวันแม่จะไม่ได้อยู่บอกลูก”
“แม่...”
“อ..อ้อเปล่าหรอกจ้ะ แม่แค่กลัวว่าวันนั้นแม่อาจจะติดธุระหรือไม่ว่างที่จะบอกลูกน่ะ ว่าแต่คุณโทจิเขารอลูกอยู่ไม่ใช่เหรอยูอิ ปล่อยให้ผู้ใหญ่รอนานแบบนี้เสียมารยาทนะลูก”
“จริงสิหนูลืมไปเลย ถ้างั้นหนูออกไปคุยกับคุณอาโทจิก่อนนะคะ”
“จ้ะ”
แค่กๆ
ฉันที่หันหลังกลับและกำลังจะเดินออกไปก็ได้ยินแม่ส่งเสียงไออย่างรุนแรง เมื่อฉันหันกลับไปมองก็พบว่าสิ่งที่ออกมาพร้อมกับเสียงไอของแม่เมื่อครู่นี้มันคือของเหลวสีแดงหรือที่เราเรียกกันว่าเลือดนั่นเอง...
“แม่!”
...****************...
-โปรดติดตามตอนต่อไป-
อ่านนิยายจบแล้วอย่าลืมกดติดตาม กดถูกใจ เพื่อสร้างพลังและกำลังใจแก่นักเขียนกันนะคะ ❤
ตอนที่3: The Black Entertainment
“แม่!!”
ฉันรีบวิ่งเข้าไปหาแม่และรีบหันไปหยิบกระดาษทิชชูที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะของหัวเตียง ฉันรีบซับริมฝีปากของแม่ที่ตอนนี้กำลังเปรอะไปด้วยเลือดและของเหลวต่างๆ แม่ยังคงมีอาการไออย่างต่อเนื่องและรุนแรงโดยไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาเบาลงเลยสักนิด
“แค่กๆ!”
“แม่หนูว่าเราไปหาหมอกันเถอะนะ แม่ไอจนเป็นเลือดขนาดนี้มันไม่ปกติแล้วนะคะแม่”
“แม่ไม่เป็นอะไรหรอก แม่แค่รู้สึกคอแห้งมากไปหน่อยเลยไอออกมาแล้วเลือดติดมาด้วยน่ะ เดี๋ยวแม่จิบน้ำอุ่นๆ สักหน่อยก็คงจะดีขึ้นแล้วลูก”
“แม่...หนูขอร้องล่ะไปหาหมอเถอะนะ”
“ยูอิ..แม่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”
“แต่ก็ไปหาหมอตรวจดูสักหน่อยก็ได้นี่คะ”
“นี่ลูกไม่เชื่อแม่เหรอ...แม่ไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”
“แต่....”
“เดี๋ยวแม่กินยาแล้วนอนพักสักหน่อยก็คงจะดีขึ้นแล้ว ลูกไม่ต้องคิดมากนะเข้าใจมั้ย”
“ถ้างั้นแม่เอายาไว้ตรงไหนคะหนูจะได้ไปเตรียมยามาให้แม่ แม่จะได้ทานยาแล้วก็พักผ่อน”
“ม..ไม่...ไม่ต้องหรอกยูอิ เดี๋ยวแม่จัดการเองลูกรีบออกไปหาคุณโทจิเถอะนะ”
ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้นแต่แม่ยังพยายามที่จะดันให้ตัวของฉันลุกขึ้นทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยืนแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว แต่เพื่อความสบายใจของแม่ฉันจึงยอมและลุกออกมาจากห้องของแม่แต่โดยดี
ทันทีที่เดินออกมาจากบ้านฉันจึงรีบเดินไปพบคุณอาโทจิที่ตอนนี้กำลังนั่งรอฉันอยู่ที่สวนย่อมเล็กของบ้านอาคาชิ
เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นว่าลูกสาวของตัวเองได้เดินออกจากบ้านไปแล้วเธอจึงทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง และปล่อยโฮออกมาทันที....
เธอยังคงนั่งร้องไห้อย่างตัวโยนอยู่อย่างนั้น...พร้อมกับดวงตาที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา และในจังหวะเดียวกันสายตาคู่นั้นกำลังจ้องมองลงไปยังถุงพลาสติกที่ระบุชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่เธอนั้นกำลังถือเอาไว้ในมือของตัวเอง ภายในถุงพลาสติกสีขาวนั้นก็ถูกบรรจุเต็มไปด้วยยารักษาโรคร้ายที่เธอเองก็เพิ่งจะทราบด้วยเหมือนกันในวันนี้.....
‘นี่คือผลการตรวจและผลการทำ CT-Scan ของคนไข้นะครับ’
บุรุษหนุ่มที่อยู่ในชุดของเสื้อกาวน์สีขาวนั้นได้ยื่นแผ่นฟิล์มและกระดาษผลการตรวจให้กับแม่ของยูอิหลังจากที่เธอนั้นสงสัยถึงอาการเจ็บป่วยเรื้อรังของตัวเองมาอย่างยาวนาน
‘นี่มัน...คืออะไรเหรอคะคุณหมอ’
‘หลังจากที่หมอได้ทำการตรวจร่างกายของคนไข้อย่างถี่ถ้วนนั้นพบว่าคนไข้เป็นมะเร็งปอดระยะที่4 หรือ ระยะสุดท้ายนั่นเองครับ’
‘ม... มะเร็งเหรอคะ’
‘ครับ หากคนไข้ได้เข้ารับการรักษาและการบำบัดทางเคมีตั้งแต่ตอนนี้คนไข้ก็จะสามารถยืดระยะเวลาชีวิตออกไปได้อีกครับ หากคนไข้ต้องการรับการรักษาก็สามารถแจ้งกับหมอได้เลยนะครับเดี๋ยวทางโรงพยาบาลจะได้ทำการติดต่อเพื่อแจ้งไปยังญาติของคนไข้ให้เองครับ’
‘ไม่ค่ะ...ฉันขอปฏิเสธการเข้ารับการรักษาค่ะ’
‘หากคนไข้ปฏิเสธร่างกายคนไข้อาจจะมีโรคอื่นๆ เข้ามาแทรกซ้อนได้นะครับ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นคนไข้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน 2 เดือนนะครับหรืออาจจะน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ”
‘ค่ะ ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ขอปฏิเสธการรักษาค่ะ’
“คนไข้ไม่ลองคิดดูสักหน่อยเหรอครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นระยะที่4 แต่มันก็สามารถรักษาเพื่อยืดเวลาชีวิตออกไปได้อีกนะครับ ถ้าหากร่างกายของคนไข้ตอบสนองกับเคมีบำบัดได้ดีและได้รับกำลังดีๆ จากคนรอบข้าง’
บุรุษหนุ่มผู้เป็นหมอพยายามอธิบายและเกลี้ยกล่อมเพื่อหวังว่าคนไข้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานั้นอาจจะเปลี่ยนใจ แต่คำตอบที่บุรุษแพทย์คนนี้ได้รับคือการส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธข้อเสนอของเขาอีกครั้ง
‘โอเคครับในเมื่อคนไข้ตัดสินใจที่จะเลือกทางนี้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหมอจะจัดยาให้คนไข้ทานเพื่อระงับอาการไม่ให้มันรุนแรงมากขึ้นนะครับ’
‘ขอบคุณค่ะคุณหมอ’
หญิงวัยกลางคนที่กำลังนึกย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดของตัวเองที่ได้ตัดสินใจเลือกปฏิเสธการรักษาโรคร้ายนั้น เพราะเธอเชื่อว่าหากเธอได้ตายไปจากโลกนี้เธอจะสามารถทำให้ชีวิตลูกสาวของตนนั้นได้หลุดพ้น และเป็นอิสระสักที
“แม่ขอโทษนะยูอิ..แม่ขอโทษ...ฮือๆ”
.
.
สองสัปดาห์ต่อมา
ใจกลางเมืองคิโกเซน
“ฮัลโหลฮารุ...ร้านที่นายเอาไม้กลองไปซ่อมน่ะมันอยู่ตรงแถวไหนนะ”
[ร้านมันอยู่ในซอยงาคาตะพี่เร็นต้องเดินจากหน้าซอยเข้าไปสัก 4 เมตรแล้วเลี้ยวขวาพี่ก็จะเจอเข้ากับร้านที่มีกลองชุดสีแดงเก่าๆ ตั้งอยู่ที่หน้าร้าน นั่นแหละร้านที่ผมเอาไม้กลองไปซ่อมล่ะ]
“โอเค พี่เดินมาถึงซอยงาคาตะแล้วนายถือสายรอพี่แป๊ปนะ”
[ได้ฮะ]
เร็นเดินไปตามเส้นทางที่ถามจากฮารุเขาเดินเข้าไปในซอยเรื่อยๆ จนได้เจอเข้ากับร้านรับซ่อมอุปกรณ์ดนตรีแห่งหนึ่งที่มีกลองชุดสีแดงเก่าๆ ถูกตั้งเอาไว้ที่หน้าร้านทำให้ร้านนั้นดูมีกลิ่นอายที่คลาสสิค เมื่อเจ้าตัวได้รู้แล้วว่ามาถูกร้านเร็นจึงเดินเข้าไปจับที่กลอนลูกบิดของประตูร้านและหมุนมัน แต่ทว่า...
กึกๆ
เมื่อเจ้าตัวที่รู้ว่าลูกบิดนั้นถูกล็อคจากด้านในเร็นจึงถอยหลังออกมาและใช้สายตากวาดมองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาของเร็นจะไปสะดุดเข้ากับป้ายแผ่นหนึ่งที่ถูกตั้งวางเอาไว้อยู่ข้างกลองชุดสีแดงโดยที่ในป้ายมีคำที่ถูกระบุเอาไว้ว่านั้นว่า...CLOSE ปิด
“ฮารุ ดูเหมือนว่าร้านจะปิดนะ”
[จริงด้วย ผมลืมบอกพี่ไปเลยว่าร้านนั้นมันเปิดตอนช่วงบ่ายสองโมงอ่ะ โทษทีนะพี่เร็น”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพี่อยู่รอจนกว่าร้านจะเปิดให้นายก็ได้ นี่มันก็ใกล้จะบ่ายโมงแล้วด้วย”
[ไม่เป็นไรหรอกพี่เร็น ไว้เดี๋ยวผมแวะไปเอาที่ร้านนั้นเองก็ได้ฮะ พี่รีบกลับมาซ้อมเถอะตอนนี้พี่ยูอิมาถึงแล้วนะ]
“แล้วนายมีไม้กลองใช้เล่นเหรอ”
[มีสิผมซื้อมาใหม่แล้ว]
“อ้าว...แล้วนายจะเอาไม้ที่มันพังแล้วมาซ่อมทำไมวะฮารุ (-_-) ”
[ก็ไม้คู่นั้นมันเป็นของสำคัญของผมนี่นา พวกพี่อุตส่าห์ซื้อมาให้เป็นของขวัญวันเกิดทั้งที...ไม่ชอบคุยเรื่องอะไรที่มันซึ้งๆ เลย (-_-+) พี่น่ะรีบกลับมาได้แล้ว]
ฮารุที่กำลังจะวางสาย และเร็นที่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงได้เอ่ยเรียกชื่อของฮารุได้ทันก่อนที่อีกฝ่ายนั้นจะกดวาง
“เดี๋ยวก่อนฮารุ”
[ห๊ะ]
“วันนี้เรียวมันได้มาด้วยหรือเปล่า”
[ไม่มาอ่ะ พี่ยูอิกับพี่โฮชิโทรหาก็ไม่รับสาย เออพี่จะว่าไปตั้งแต่ที่พวกเราขึ้นแสดงโชว์ที่งานเทศกาลของโรงเรียนเมื่อตอนนั้น พักหลังมานี้พี่เรียวก็ไม่ค่อยได้มาซ้อมกับพวกเราเลยทั้งๆ ที่ตัวพี่เขาเองก็รู้ว่าจะต้องไปแข่งในเดือนหน้านี้แล้ว]
“ช่างมันเถอะ ถ้ามันไม่อยากมาซ้อมก็เรื่องของมันถึงวันแข่งจริงก็ตัดรายชื่อมันออกก็แค่นั้น”
[พี่ยูอิจะยอมเหรอ]
“นั่นสินะ”
[จะยังไงก็ช่างตอนเถอะ แต่ตอนนี้พี่รีบกลับมาสักทีเหอะพี่โฮชินั่งบ่นเป็นหมีกินผึ้งแล้วเนี่ย // ไอ้เร็นนนน!!! รีบกลับมาสักทีโว๊ย!!! (เสียงของโฮชิที่ดังแทรกเข้ามาในสาย) งั้นระหว่างที่พวกเรารอพี่เดี๋ยวผมกับพี่เซย์จะเซตวงไว้รอพี่เลยละกัน]
“เออๆ งั้นแค่นี้แหละไว้เจอกัน”
เร็นที่กดวางสายจากฮารุเรียบร้อยแล้วนั้นกำลังจะเดินกลับไปยังสถานีรถไฟแต่สายตาของเขาก็พลันไปเห็นใครสักคนที่เพิ่งเดินออกมาจากตึกที่สูงตระหง่านที่เป็นฝันของใครหลายๆ คนที่อยากจะมาเป็นศิลปินของตึกนี้อย่างค่าย TBE หรือก็คือ The Black Entertainment เร็นที่ยืนหลบอยู่ในมุมสายตาของเขาก็กำลังจับจ้องไปยังชายหนุ่มที่ดูคุ้นตากำลังยืนหันหลังคุยโทรศัพท์อยู่
แต่ในจังหวะนั้นเองชายหนุ่มคนนั้นก็ได้หันหน้ากลับมาจึงทำให้เร็นเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน และสิ่งที่เร็นกำลังสงสัยก็ได้ถูกเฉลยออกมาแล้วว่าผู้ชายที่ดูคุ้นตาคนนี้คือ...
“ไอ้เรียว”
เร็นที่เห็นว่าผู้ชายคนนั้นคือเรียวเพื่อนของเขา เร็นจึงแอบสะกดรอยตามเรียวไปยังร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านงาคาตะอย่างเงียบๆ การที่เร็นต้องแอบสะกดรอยตามเรียวมาแบบนี้ เพราะเขากำลังรู้สึกสงสัยว่าเรียวมาทำอะไรที่ TBE เพราะสาเหตุนี้รึเปล่าที่ทำให้เรียวเริ่มตีตัวออกห่างจากเพื่อนๆ ทุกคน
เร็นที่แอบตามเรียวมาได้สำเร็จเขาพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับผู้คนภายในร้านอาหารแห่งนี้ให้แนบเนียนที่สุด เร็นได้เลือกนั่งที่โต๊ะอาหารที่ห่างจากโต๊ะของเรียวถัดมาประมาณ 3 โต๊ะ ไม่นานนักก็ได้มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับผู้ติดตามของเขาอีกหนึ่งคน
พวกเขาได้เดินไปยังโต๊ะของเรียว เมื่อเรียวเห็นการปรากฏตัวของชายผู้นี้เขาก็ได้ลุกขึ้นและกล่าวคำทักทายตามมารยาท และพวกเขาทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยกัน
“สวัสดีครับท่านประธาน”
“สวัสดี ช่วงนี้เป็นยังไงบ้างล่ะการฝึกซ้อมโอเคดีมั้ย”
“เรียบร้อยดีครับท่านประธาน”
“อืม ดีแล้วล่ะเพราะจากการฝึกซ้อมที่หนักแน่นของเธอมันทำให้ฉันได้เห็นถึงความพยายามาว่าเธอจะสามารถไปได้ด้วยดีในเส้นทางของการเป็นศิลปิน เพราะงั้นฉันเลยอยากจะให้เธอได้ลองขึ้นไปแสดงบนเวทีเป็นครั้งแรกในฐานะศิลปินหน้าใหม่ของค่าย TBE”
“จ...จริงเหรอครับท่านประธาน!”
“จริงสิ แล้วถ้าหากเธอได้รับผลตอบรับที่ดีเกินความคาดหมายฉันก็จะประกาศเปิดตัวเธออย่างเป็นทางการภายในปีนี้เลย...ดีมั้ยล่ะ”
“ครับท่านประธาน”
“เพราะงั้นทำให้เต็มที่ล่ะ”
“ท่านประธานพอจะบอกให้ผมทราบได้มั้ยครับ ว่าเวทีที่จะให้ผมไปแสดงมันคืองานอะไรเหรอครับ”
“ไม่ใช่งานอะไรใหญ่โตนักหรอกก็แค่งานแข่งขันการประกวดวงดนตรี Music X ที่ทางค่าย TBE เป็นผู้จัดนั่นแหละ”
“อ...อะ...อะไรนะครับ!”
“ทำไม เธอไม่อยากขึ้นงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ...ไม่มีอะไรครับ”
“งั้นก็ดี เรื่องที่ฉันจะคุยกับเธอในวันนี้ก็มีเพียงเท่านี้แหละ อ่อ แล้วก็ขอโทษที่ต้องโทรนัดเธอออกมาคุยที่ร้านอาหารแบบนี้นะ”
“ครับ”
“ตั้งใจซ้อมเข้าล่ะ โอชิมะ เรียว”
ชายวัยกลางคนที่ดูสุขุมดูดีมีฐานะคนนั้นได้ลุกขึ้นยืน และตบบ่าของเรียวเบาๆ ก่อนที่เขากับผู้ติดตามของเขานั้นจะแยกตัวออกไปจากร้านอาหาร
ที่โต๊ะอาหารเหลือเพียงแค่เรียวเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่ไม่ลุกไปไหน เร็นที่นั่งมองดูอยู่ห่างๆ ก็กำลังข่มใจและอารมณ์ของตัวเองเอาไว้..ใช่เขาได้ยินหมดทุกอย่างแล้ว...
พอระงับความขุ่นเคืองในใจได้เรียบร้อยแล้วเร็นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดโทรหาใครสักคน ไม่นานปลายสายนั้นก็รับสายของเขา...และปลายสายที่รับนั้นก็คือเรียว...
[ฮัลโหล ว่าไงเร็น]
“ตอนนี้นายอยู่ไหน”
[ฮะ...อ๋อ พอดีฉันออกมาทำธุระกับแม่น่ะมีอะไรรึเปล่า]
“เปล่าหรอกเห็นยูอิบอกว่าติดต่อนายไม่ได้ ฉันก็เลยลองโทรหานายดู”
[สงสัยฉันคงจะปิดเสียงไว้อ่ะ ก็เลยไม่ได้ยินฝากขอโทษยูอิทีนะ]
“อืม ว่าแต่วันนี้พวกเรามีซ้อมกันนายจะมาด้วยมั้ย”
[โทษทีนะวันนี้ฉันไม่ค่อยสะดวกน่ะ]
“พักหลังมานี้นายไม่ค่อยมาซ้อมเลยแฮะ ไม่ได้มีอะไรปิดบังพวกเราอยู่ใช่รึเปล่า”
[บ้าน่า ฉันจะมีอะไรไปปิดบังพวกแกวะเอาเป็นว่าฉันจะพยายามหาเวลาว่างไปซ้อมกับพวกนายนะเร็น]
“เออ หวังว่านายคงจะไม่ลืมสัญญาที่เคยพูดไว้กับยูอิหรอกนะ”
[สำหรับยูอิฉันไม่มีทางลืมหรอกไม่ต้องห่วง]
“ก็ดี ไว้เจอกัน”
[บายเร็น]
หลังจากที่วางสายจากเรียว เร็นก็รีบปลีกตัวออกมาจากร้านอาหารนั้นทันทีเขารีบมุ่งตรงไปยังสถานี่รถไฟเพื่อเดินทางกลับไปยังสถานที่ที่ซ้อมดนตรีกับเพื่อนๆ ที่เขาได้นัดเอาไว้
“หวังว่านายจะเป็นคนบอกเธอเรื่องนี้ด้วยตัวของนายเองนะเรียว”
.
.
-โปรดติดตามตอนต่อไป-
อ่านนิยายจบแล้วอย่าลืมกดติดตาม กดถูกใจ เพื่อสร้างพลังและกำลังใจแก่นักเขียนกันนะคะ ❤
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!