*นิยายเรื่องนี้มีความรุนแรง การบรรยายฉากการต่อสู้ การฆ่าคน ฆ่าสัตว์ เลือด
*ในบางตอนหากมีฉากที่ผู้อ่านที่เป็นโรคกลัวทะเล กลัวที่แคบ กลัวรู กลัวผี ฯลฯ จะมีคำเตือนเขียนกำกับเอาไว้ในย่อหน้าที่จะถึง และจะมีสรุปเนื้อหาในช่วงท้าย
ท่ามกลางพายุหิมะที่พัดโหมกระหน่ำยามดึก มีปราสาททรงญี่ปุ่นสูงหลายสิบเมตรแห่งหนึ่งชื่อ "ฟุยุมิ" ที่กำลังถูกเผาอยู่ เปลวไฟสีแดงฉานที่ลุกโชนจนสูงกว่าปราสาททำให้ในคืนนั้นปราสาทดูสว่างไสวราวกับว่าตะวันยังไม่ตกดิน เสียงโหยหวนจากความเจ็บปวดของเหล่าทหารในปราสาทที่ถูกฆ่าและถูกเผาทั้งเป็น ซามูไรแห่งฟุยุมินายหนึ่งรีบออกจากห้องห้องหนึ่งของปราสาทพร้อมกับสวมหน้ากากเหล็กสีดำเสริมด้วยสีทอง ริมฝีปากของหน้ากากแยกจากกันให้เห็นขบฟันสีเลือดและเขี้ยวสองคู่ที่โค้งยาวสีขาวสะอาด จมูกโด่งกว้าง ดวงตาของหน้ากากนั้นกลวงโบ๋ ผมของเขาสีดำยาวถึงกลางสะบักมัดรวบไว้เป็นทรงหางม้าสูง สวมผ้าคลุมสีน้ำเงินหม่นยาวถึงเข่า ด้านขวาถูกไฟไหม้เสียหายจนแหว่ง สูงเพียงร้อยเจ็ดสิบ กางเกงเป็นสีดำ สวมถุงมือเหล็กสีดำ เสื้อแขนยาวสีขาวทับด้วยเกราะที่ทำมาจากแผ่นเหล็กมีสีน้ำเงินเข้มสลับกับดำ รองเท้าเหล็กฐานหนาหุ้มข้อถึงต้นขา เขาวิ่งออกไปจากปราสาททางประตูหน้า ทางบริเวณนั้นเต็มไปด้วยศพของเหล่าซามูไรของทั้งสองฝ่าย เลือดสาดกระจายจนมองไปทางไหนก็เห็นเพียงแต่ของเหลวสีแดงชาดที่กลิ่นคาวโชยออกมาจนแทบจะอาเจียน มือซ้ายของเขานั้นอุ้มบางสิ่งบางอย่างไว้แนบอกพร้อมกับนำผ้าคลุมของเขาห่มมันไว้อย่างดี
แคว้นที่กำลังล่มสลายถูกไฟลุกลามเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ ข้างทางที่เขาวิ่งผ่านมีเพียงบ้านเรือนที่ถูกเปลวไฟท่วมจนมองไม่เห็นหลังคา เสียงร้องไห้ของเด็ก เสียงคร่ำครวญของชาวบ้านที่แสนวุ่นวายจนจับใจความไม่ได้ ภาพที่เพื่อนมนุษย์ฆ่ากันอย่างโหดร้ายทารุณ ไม่ว่าจะเป็นการจามขวานลงที่ใบหน้า สมองที่ไหลออกมาราวกับเนื้อบด ร่องรอยของการแทงกันจนเครื่องในหลุดกระจาย ลำไส้ที่ทะลักออกมาพันกันเป็นปมแสนน่าเวทนา การรุมทำร้ายเด็กตาดำ ๆ ที่อ่อนแอไร้ทางสู้ ถึงแม้ว่าภายในจิตใจของเขาจะอยากช่วยมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงวิ่งหนีเท่านั้น.....
ระหว่างทางมีศัตรูสวมผ้าคลุมแขนยาวสีดำหลายคนเข้ามาขวาง เนื่องจากผ้าคลุมของพวกเขายาวถึงเข่า คลุมหัวและสวมหน้ากากปิดปากทำให้ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ พวกเขาพยายามที่จะจับตัวซามูไรหนุ่มให้ได้ แต่ก่อนที่จะถึงตัว เขาใช้มือขวาดึงดาบออกมาจากฝักพร้อมกับหมุนตัวเป็นวงกลมราวกับพายุขนานไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเพียงอึดใจเดียวพวกศัตรูก็กระเด็นออกไปจากบริเวณ เขาไม่ปล่อยโอกาสนี้ไปและกระโจนเข้าหาฝ่ายศัตรูพร้อมกับท่าดาบเรียบ ๆ ที่ทรงพลังและต่อเนื่อง ระหว่างที่ออกท่าไปเรื่อย ๆ เปลวไฟที่อยู่รอบ ๆ ตัวก็พัดมารวมกันที่ใบดาบแล้วไหลเป็นทางตามทิศทางการโจมตีราวกับสายลม ซามูไรฟันไปที่กลางอก ตัดหัว ตัดแขน แม้กระทั่งตัดลำตัวของศัตรูที่กำลังเสียท่ากันอยู่ ทุกครั้งที่โจมตีไฟก็คลอกตัวคู่ต่อสู้ไปทีละคนสองคนจนสุดท้ายร่างของพวกเขาก็เหลือเพียงเถ้าถ่าน ไฟบนใบดาบที่ลุกไหม้ได้ดับลง เขายกดาบขึ้นมาดูในแนวขนานกับพื้น ใบดาบมีลวดลายของหญิงสาวสวมผ้าคลุมในท่าที่กำลังระบำอยู่สลักบนใบดาบสีเงินเข้มที่โค้งมนสวยงาม คมดาบมีด้านหน้าเพียงด้านเดียวแต่เพียงสัมผัสเบา ๆ ก็เกิดแผลได้ โกร่งดาบสีทองเป็นทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดที่ส่วนขอบหนาแต่ส่วนในเป็นตารางบาง ๆ ด้ามดาบพันด้วยผ้าสีดำและส่วนปลายด้ามห้อยกระดาษสีเหลืองที่มีลวดลายคล้ายกับยันต์และเขียนไว้บนกระดาษว่า “จิตใจ” หิมะที่พัดมาสัมผัสถูกใบดาบก็ได้กลายเป็นไอไปในทันที เขาเก็บดาบเข้าฝักสีดำแล้ววิ่งต่อไป
ระหว่างที่เขากำลังวิ่งอยู่ เขาก็กระซิบออกมาด้วยเสียงของชายหนุ่มที่ทุ้มต่ำและแตกเล็กน้อย
??? : “ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง….”
เมื่อออกจากแคว้นแล้วหนีเข้าป่าสนยักษ์ที่สูง เทียมปราสาทฟุยุมิ เสียงทุกอย่างก็ได้เงียบลง ไปราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้น มีเพียงเสียงย่ำพื้นที่ปกคลุมหิมะหนา ๆ และเสียงของพายุหิมะเท่านั้น หลังจากที่วิ่งไปสักพักก็เริ่มมีเสียงข้างหลังที่ค่อยๆ คืบคลานตามมา...
??? : (“เสียงฝีเท้า....มาแล้วหรือ”)
หลังจากที่เขาคิดได้ดังนั้นก็รีบเร่งฝีเท้า ศัตรูก็ตามอย่างไม่ลดละและพยายามจะจับเขา พร้อมกับสิ่งที่อยู่ในมือของเขาให้ได้ พวกเขาพยายามยิงธนู ปามีดสั้นและดาวกระจายใส่ แม้ว่าจะพยายามหลบ แต่ด้วยการโจมตีมีมากเกินกว่าที่ความสามารถของเขาในตอนนี้จะหลบมันได้หมด สุดท้ายก็ถูกมีดสั้นแทงไปที่ขาขวา ทำให้ความเร็วของเขาลดลงกระทันหัน แม้จะเป็นระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็มีเวลามากพอที่ให้ศัตรูเข้าล้อมไว้ได้ ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเสียงของพายุหิมะที่ดังอยู่เรื่อย ๆ ต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน
??? : (“ศัตรูที่ล้อม..มีสักหกคนเห็นจะได้...”)
ศัตรู : “ยอมจำนนแล้วส่ง.... ในมือเจ้ามาเสีย”
ศัตรู : “พวกข้าจะยอมไว้ชีวิตก็ได้ หากเจ้ามอบมันมาแต่โดยดี”
??? : “ขนาดชาวบ้านไร้ทางสู้ที่อ้อนวอนขอชีวิต พวกเจ้าก็ไม่สนใจ..นับประสาอะไรกับข้า”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็พุ่งทะยานเข้าไปตัดหัวของศัตรูหนึ่งคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เลือดของอีกฝ่ายพุ่งขึ้นฟ้าเป็นละอองคล้ายน้ำพุและหยดลงมาราวกับสายฝนสีชาด จากนั้นเขาก็กระโจนใส่อีกคนพร้อมกับม้วนตัวเป็นวงกลมแนวดิ่งฟันที่กลางใบหน้าของอีกฝ่ายจนสมองทะลักออกมา หลังจากที่จัดการไปสองคน อีกสามคนที่จะมาโจมตีที่ด้านหลังก็ได้วิ่งเข้าใส่เพื่อฆ่าเป้าหมาย เขากระโดดตีลังกากลางอากาศและปักดาบไปที่กลางหัวศัตรูหนึ่งคนแต่ก็ถูกหนึ่งคนฟันที่กลางหลังและอีกคนแทงที่อกขวาจนทะลุ เขาดึงดาบของตนที่ปักหัวศัตรูไว้ออกมา แล้วแทงไปที่คอของอีกฝ่ายตรงหน้า พร้อมกับจับคนข้างหลังทุ่มลงกับพื้นแล้วเหยียบใบหน้าของอีกฝ่ายจนเละ
ศัตรูอีกหนึ่งคนพุ่งเข้ามาประดาบอย่างแรงเขากระโดดถอยหลังแล้วไปหลบหลังต้นสนต้นหนึ่ง จากนั้นจึงวิ่งผ่านต้นสนใกล้ ๆ นับสิบที่อยู่รอบ ๆ ทำให้ศัตรูนั้นไม่สามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของเขาได้ เมื่อเห็นช่องโหว่ เขาก็พุ่งเข้าไปที่ด้านหลังและแทงเข้าไปที่หัวใจของศัตรูจนทะลุ หลังจากที่จัดการคนสุดท้ายได้แล้ว
??? : “..ไม่สิ..ยังเหลืออีกหนึ่ง....”
ถึงจะรู้ตัวแต่ก็ไม่ทันซะแล้ว คนสุดท้ายได้กระโดดลงมาอยู่เหนือหัวแล้วฟาดดาบลงมาที่ กลางลำตัวของเขา ถึงจะหลบเลี่ยงจุดตายได้ แต่ก็ถูกปลายดาบฟันที่ไหล่ขวาอยู่ดี อยู่ ๆ เขาก็เกิดภาพของคนบริสุทธิ์ที่ถูกฆ่าในแคว้นฟุยุมิ ความโกรธได้ถาโถมเข้ามา ทำให้เขาปล่อยมือที่อุ้มสิ่งนั้นไว้แล้วจับหัวอีกฝ่ายไปฟาดกับต้นสนนับสิบครั้ง ระหว่างนั้นเขาก็เห็นแต่ภาพของแคว้นที่ถูกเผาทำลายและทำให้เขาโกรธยิ่งขึ้นและฟาดแรงขึ้นเรื่อย ๆ ศัตรูที่ถูกจับฟาดก็ได้ขอร้องให้หยุดและกรีดร้องออกมา ด้วยความทรมาณ จนศีรษะของอีกฝ่ายก็ได้แตก ออกพร้อมกับชิ้นส่วนกระโหลกที่กระจายออกมา เมื่อเขารู้สึกตัว เขาก็ปล่อยมือที่จับศัตรูลงกับพื้น
??? : (“...มัน..ตายแล้ว...”)
หลังจากจบการต่อสู้ เขาก็ยืนมองร่างอีกฝ่าย ไม่สามารถรู้ได้ว่าเขากำลังแสดงสีหน้าอะไร เห็นได้เพียงหน้ากากที่ถูกเลือดสาดกระเซ็นใส่พร้อมกับมือของเขาที่สั่นระรัวราวกับว่าเพิ่งรู้ถึงสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป แต่นี่ไม่ใช่เวลามารู้สึกผิดแล้ว เสียงฝีเท้าอีกนับสิบก็เริ่มไล่ตามมาอีก เขาเก็บดาบเข้าฝักและรีบวิ่งต่อไปแม้ว่าจะบาดเจ็บหนักก็ตาม
(ครึ่งชั่วยามต่อมา)
แม้ว่าจะทิ้งห่างจากพวกนั้นไปแล้วก็ยังประมาทไม่ได้ ณ ตอนนี้ควรหาที่ที่พวกมันตามมาไม่ถึงหรือหาไม่เจอเพื่อพักรักษาตัวก่อน หลังจากนั้นสักพักก็เจอกับโกรกธารที่สองฝั่งขาดจากกันสิบกว่าเมตร ต้องกระโดดข้ามหน้าผาไปให้ได้ เขาวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับกระทืบเท้าขวาลงพื้นพร้อมกับออกแรงดันตัวพุ่งทะยานออกไปข้างหน้า แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บและอ่อนแรง ทำให้ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้
??? : “อีกนิดเดียว..ก็จะถึงแล้ว”
เขายื่นมือขวาไปเกาะที่ขอบของหน้าผา เมื่อมองลงไปก็เห็นเป็นผืนน้ำเชี่ยวที่อยู่ลึกลงไปกว่าสามสิบเมตร แม้จะพยายามดึงตัวเองขึ้นเท่าไร แต่เรี่ยวแรงก็แทบไม่เหลือแล้ว แถมปอดที่ฉีกก็แสนจะเจ็บปวดทรมาณ สุดท้ายก็ถึงขีดจำกัดและตกลงไปกลางผา
ก่อนที่จะถึงพื้นน้ำ เขารีบชู “สิ่งนั้น” ขึ้นเหนือหัวเพื่อไม่ให้ถูกน้ำเย็นจัดกระเด็นใส่ คงจะเป็นของที่สำคัญน่าดู เขาถูกน้ำพัดมาเรื่อย ๆ จนเมื่อถึงที่ที่กระแสน้ำเริ่มอ่อนลง เขาก็ได้คลานขึ้นตลิ่งเตี้ย ๆ แล้วยกเข่าขวานำเท้าดันพื้น พร้อมกับค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วเดินต่อไปอย่างโซซัดโซเซ
ข้างทางมีแต่ป่า มีแต่หิมะหนาวเหน็บ ไร้ซึ่งที่พักพิง อาการบาดเจ็บที่มากเกินเยียวยา ปอดขวาถูกแทง ขาอ่อนล้า ตาพร่ามัว สุดท้ายก็ถึงขีดจำกัด เขาล้มลงกลางกองหิมะ แต่มือซ้ายของเขายังคงอุ้มสิ่งที่อยู่บนอกของเขาไว้แน่นแล้วพยายามพลิกตัวนอนตะแคงข้างเพื่อไม่ให้ร่างของเขาทับมัน ระหว่างนั้นผ้าได้แง้มออกมา เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น มันคือเด็กทารกที่นอนหลับอย่างสงบ จากนั้นทุกอย่างก็ได้มืดลงไป...
...ฟุยุมิเป็นชื่อของปราสาทในแคว้นฟุยุมิที่มีชื่อเหมือนกัน...
เช้ามืด พายุสงบ ท้องฟ้าแจ่มใสพร้อมกับหิมะขาวโพลนที่ทับถมกันเต็มผืนป่า ซามูไรตื่นขึ้นมาในกระท่อมที่เงียบสงัด แม้ว่าเขาจะไม่ได้สวมหน้ากากอยู่ก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้เนื่องจากความมืด เห็นได้เพียงเงาราง ๆ เท่านั้น เขาใช้มือทั้งสองข้างดันพื้นขึ้นมาอย่างช้า ๆ แล้วมองไปทั่วห้องที่ทำจากไม้สนแก่ ๆ เพดานสูงราวสามเมตร มีเครื่องไม้เครื่องมือทำครัวและตัดไม้วางอยู่บนชั้นริมห้อง บาดแผลจากการต่อสู้เมื่อคืนได้หายไปเป็นปลิดทิ้งอย่างน่าฉงน ผ้าคลุม อุปกรณ์และอาวุธถูกวางไว้ที่มุมของห้องอย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่มีทารกอยู่ เขารีบดันตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สวมใส่หน้ากากและอุปกรณ์ เมื่อเปิดประตูออกมาก็ได้พบกับชายชราท่านหนึ่ง ดูภายนอกอายุราวแปดสิบปลาย ๆ ผิวของเขาเป็นสีน้ำผึ้ง ศีรษะของเขาโล่งเตียน ใบหน้าของเขาเหี่ยวย่น ดวงตาบอดสนิท แต่ยังคงมีฟันที่แทบจะสมบูรณ์อยู่ เขาสวมกิโมโนสีดำยาวทับกับชุดข้างในที่มีสีดำเหมือนกัน
ชายชรา : “อ้าวตื่นแล้วเหรอเจ้าหนู”
??? : “...”
เขาไม่ตอบและตั้งท่าเตรียมชักดาบในฝักทันที
??? : “ท่านคือใคร ?”
ชายชรา : “ข้าก็แค่หมอแก่ ๆ คนหนึ่งที่มาใช้ชีวิตบั้นปลายในป่าเท่านั้นแหละ”
??? : (“เขากำลังโกหกอยู่...”)
??? : “ท่านเป็นคนที่รักษาข้าหรือ แล้วเหตุใดจึงช่วยรักษาข้า ?”
เขาถามชายชราด้วยเสียงที่ไม่ว่าใครฟังก็รู้ว่า นี่คือเสียงที่มีเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน
ชายชรา : “ข้ารักษาเจ้าก็เพราะว่าเจ้ากำลังจะ ตายไง ฮ่า ๆ ...แต่การลากเจ้ามาที่นี่ก็เหนื่อยเอา เรื่องเหมือนกันแม้ว่าเจ้าจะอยู่ห่างจากบ้านข้าแค่นิดเดียวก็เถอะ”
ชายชราพูดออกมาด้วยเสียงที่ราวกับว่าไม่รู้ ร้อนรู้หนาวใด ๆ เลย
??? : “ดูเหมือนท่านจะลืมบางอย่างไปนะ..เด็ก ทารกที่ข้าพามาอยู่ไหน...”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ภายในกระท่อมเงียบสงัด แต่ชายชราก็ยังคงไม่แสดงสีหน้าออกมาให้เห็น
ชายชรา : “พูดอะไรของเจ้าน่ะ ข้าก็ใช้พลังฟื้นฟูให้เจ้าถูกจุดนะ ?”
??? : “ข้าสัมผัสถึงลมที่พัดออกมาจากใต้กิโมโนของท่าน เป็นลมหายใจของมนุษย์ที่แผ่วเบามาก นั่นเป็นลมหายใจของทารกใช่หรือไม่ ?”
ชายชรา : “เหอะ ๆๆ ...สัมผัสไม่เลวเลยนะเจ้าหนู”
ไม่ถึงพริบตา ชายชราก็ทุบพื้นกระท่อมที่ทำ จากไม้แล้วหยิบดาบของเขาออกมาจากใต้ถุน ดาบของเขาเป็นดาบประเภทเดียวกับที่ซามูไรหนุ่มมี แต่ไม่มีส่วนโค้งและตรงมาก พร้อมทั้งยังชักดาบออกมาจ่อที่คอของทารกที่ซ่อนอยู่ใต้กิโมโนของเขา
ชายชรา : "เจ้าหนู...ถ้าต้องการปกป้องเด็กคนนี้ก็จงมาดวลดาบกับข้าเสีย”
??? : “คำก็เจ้าหนูสองคำก็เจ้าหนูแล้วทำไมท่านถึงอยากสู้กับข้าจนขนาดที่นำเด็กมาเป็นตัวประกันด้วย”
เขาชักดาบออกมาแล้วชี้ดาบไปข้างหน้า เพื่อเป็นการเตือนว่าเขาตั้งใจจะฆ่าชายชราจริงๆ
ชายชรา : “หากเจ้าเอาชนะข้าได้ ข้าจะบอก เหตุผลพร้อมกับคืนเด็กให้ก็แล้วกัน”
ชายชราได้นําทารกไปวางไว้บนโต๊ะทานข้าวเพื่อไม่ให้โดนลูกหลงไปด้วย
ชายชรา : “ข้าว่าเราย้ายที่ไปด้านนอกก่อนเถอะ เด็กจะได้ไม่ต้องตื่นแล้วร้องไห้ด้วย”
ทั้งสองย้ายที่มาดวลข้างนอกกระท่อม เวลายังคงเป็นช่วงเช้ามืดที่แสงอาทิตย์ยังส่องมาไม่ถึง ชายชราชักดาบออกมาแล้วนําไปพาดไว้บนบ่าขวา ส่วนทางซามูไรหนุ่มก็ยืนจับดาบในฝักอย่างใจเย็น
ชายชรา : “น่าแปลกใจนะที่เจ้าไม่แย่งเด็กไป หลังจากที่ข้าวางลงบนโต๊ะ ทั้ง ๆ ที่เจ้าจะพาเด็กหนีไปเดี๋ยวนั้นเลยก็ได้”
??? : “ข้าเองก็แปลกใจเช่นกันที่ท่านไม่เอาชีวิตของข้าและเด็กไปตั้งแต่ครั้งแรก”
หลังจากที่พูดคุยเล็ก ๆ น้อย ๆ กันจบ ทั้งคู่ก็เริ่มตั้งท่าย่อเข่าลงและตั้งดาบไว้ด้านหน้าพร้อมต่อสู้
ชายชรา : “ข้าให้เจ้าเข้ามาก่อนเลย”
??? : “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะไม่เกรงใจแล้วนะ”
เขาได้พุ่งไปหาชายชราพร้อมกับชักดาบออกมาตัดศรีษะของอีกฝ่าย ขาซ้ายชายชราได้ถอยหลังหลบหนึ่งก้าว จากนั้นถอยเท้าขวากวาดไปทางซ้ายพร้อมหมุนตัวฟันสวนกลับอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกรับไว้ได้ ทั้งสองได้กระโดดถอยหลังทิ้งระยะออกมาเล็กน้อยแล้วพุ่งเข้าหากันอีกครั้งพร้อมกับรัวดาบใส่กันอย่างรุนแรงจนเสียงเหล็กกระทบกันกังวานป่า ประกายไฟจากการเสียดสีและกาะแทกกันของดาบกระจายออกมาอย่างเห็นได้ชัด ดาบที่ปะทะกันนั้นเร็วมากจนคนธรรมดามองตามแทบไม่ทัน
ชายชราได้งัดดาบขึ้น ทําลายกระบวนท่าของ อีกฝ่าย และฟาดดาบลงมาอย่างรุนแรง ซามูไรหนุ่มใช้ดาบรับการโจมตีที่ฟาดลงมาจนแทบคุกเข่าลงกับพื้น เมื่อชายชราเห็นว่าเขาเปิดเผยช่องโหว่ก็ได้เตะเขาที่ซี่โครงของคู่ต่อสู้อย่างจังจนกระเด็นถอยหลังกลิ้งไปกับพื้น ทำให้หิมะบนพื้นฟุ้งกระจายออกมาในอากาศราวกับหมอก บดบังทัศนวิสัย เมื่อตั้งตัวได้ก็รีบลุกขึ้นแล้วตั้งท่าเตรียมรับการโจมตี
ชายชรา : “ลองฟันข้าให้ถูกสิ...ถ้าหากทำได้น่ะนะ..เจ้าหนู..”
หลังจากชายชราพูดจบ อีกฝ่ายก็ได้เห็นเงา ภายในหมอกหิมะ เขาพุ่งไปแทงแต่เงาก็หายไป พร้อมกับเงาอีกหลาย ๆ ร่างที่ปรากฏออกมาอยูาล้อมรอบตัว ทำให้งุนงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะไล่โจมตีที่เป้าหมายเงาแล้ว เงาเล่า และอยู่ ๆ เงาเหล่านั้นก็ได้หายไปหมดพร้อมกับชายชราที่โผล่มายังด้านหลังของอีกฝ่ายและแทงดาบเข้าที่สีข้างด้านขวาจนทะลุออกมา ซามูไรรีบปักดาบลงพื้น ใช้มือขวาจับที่แขนของชายชราแล้วดึงตัวของชายชรามาทางด้านหน้า ใช้มือซ้ายจับดาบที่ปักอยู่บนพื้น ดึงขึ้นมาแล้วแทงเข้าไปที่กลางท้องของชายชราอย่างจัง
ทั้งคู่ได้ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ ซามูไรหนุ่มรีบควานหายาห้ามเลือดที่อยู่ในชุดของเขา ระหว่างนั้นชายชราคลานมาดึงดาบของเขาที่ปักออกแล้วสัมผัสที่แผลของอีกฝ่าย แล้วแผลนั้นก็ได้หายเป็นปลิดทิ้ง
??? : “นี่ท่าน...เป็นคนที่รักษาข้าจริง ๆ หรือ ? ที่ผ่านมาข้าไม่คิดเลยแม้แต่น้อยว่าท่านจะพูดสัตย์จริง ข้านึกว่าท่านเป็นคนที่ฆ่าหมอไปด้วยซ้ำ แล้วท่านมีเหตุผลอันใดถึงต้องมาต่อสู้กับข้าด้วย....”
ชายชรากระอักเลือดออกมาพร้อมกับยื่นดาบของเขาที่แทงท้องของชายชราให้
ชายชรา : “เหอะ....ๆ ข้าก็แค่ทหารฟุยุมิ...ที่ เกษียณตัวเองมา....แล้วใช้ชีวิตในป่าก็แค่นั้น...พลัง-ข้า...ยิ่งใช้..ก็จะยิ่ง..ลดอายุขัยของข้า....เจ้าเห็นข้าแก่ๆ แบบนี้ ข้าเพิ่งย่างเข้าสี่สิบเองนะ...ส่วนที่ท้าก็เพราะว่าข้า....ไม่ชอบคนผมยาว แต่เพราะความเป็นหมอ จะไม่รักษา..ก็ไม่ได้...ดาบของเจ้า.... และ ดาบนั่น (ชายชราชี้ไปที่ดาบของเขา) ข้ามอบมันให้เจ้าก็แล้วกัน..”
??? : “("ท่านหัวล้านเองนะ") เหตุใดท่านถึงไม่รักษาตัวเองล่ะ ท่านกำลังจะตายแล้วนะ...”
ชายชรา : “...พลังของข้า...คือการมอบชีวิต...ข้า ไม่สามารถมอบให้ตัวข้าเองได้...”
ชายชรา : “..ก่อนที่ข้าจะตาย...ข้าอยากจะถาม อย่างหนึ่ง...เจ้ามีนามว่าอะไร.....?”
??? : “...ข้า...นามของข้า...ไดอิจิมารุ แต่หลายคนมักจะเรียกข้าว่าไดอิจิ”
ชายชรา : “...ไดจิ....เสียง...ไม่ค่อยชัดเลย...ไดจิที่หมายความว่า..ลูกชายคนแรกน่ะหรือ ?”
ไดอิจิมารุ : “... ไม่ใช่ไดจิ..ได-อิ-จิ...ที่หมายความว่าแผ่นดินอันยิ่งใหญ่ต่างหาก...”
หลังจากที่ชายชราจากไป ไดอิจิมารุก็ฝังศพของชายชราและนำดาบที่ชายชรามอบให้เก็บไปด้วย
ระหว่างที่ไดอิจิกลับกระท่อมไปรับทารกคืน ก็พบกับผ้าคลุมสีดำที่มีลวดลายของควันวิญญาณสีขาวปักอยู่บนผ้า เขานำมันมาดูแล้วนำมาเปลี่ยนกับผ้าคลุมสีน้ำเงินหม่นของเขาที่ถูกไฟไหม้ไปแล้วนำไปใช้เป็นผ้าพันคอแทน และได้พบกับงอบทรงกระโจมคว่ำยอดแหลมที่สานจากไผ่ของชายชราที่วางทิ้งไว้บนชั้นไม้ผุ ๆ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยได้ใช้มันเลย ดูจากฝุ่นที่เกาะจนหนาเตอะ ไดอิจิใช้มือซ้ายหยิบมันขึ้นมาปัดแล้วนำไปเคาะเบา ๆ ที่กำแพงเพื่อนำฝุ่นออก
ไดอิจิมารุ : “งอบนี้ ข้าขอด้วยก็แล้วกันนะ”
ไดอิจินำงอบมาสวมบนหัว
ไดอิจิมารุ : “...”
ไดอิจิมารุ : “ใส่ไม่ได้แฮะ…”
ทรงผมของไดอิจิเป็นทรงหางม้าสูง ไม่แปลกใจเลยที่จะใส่งอบไม่ได้
...หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนทรงผมโดยการมัดตรงปลายผมแทนเพื่อที่จะได้ใส่งอบ...
แม่กับลูกชายคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในบ้านไม้ชั้นเดียวเล็ก ๆ กลางป่าสนบริเวณเขตชานเมืองของฟุยุมิ ทั้งสองอยู่อาศัยด้วยการเก็บของป่ามาทานและนำบางส่วนมาขาย พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แม้ว่าพ่อที่เป็นเสาหลักของบ้านจะป่วยตายไปนานแล้วก็ตาม
วันหนึ่งที่ทั้งสองมาเก็บของป่าตามปกติ แม้ว่าจะเป็นช่วงบ่ายแต่ก็ไม่สามารถมองใบหน้าของทั้งคู่ให้ชัด ๆ ได้
ลูกชาย : “ท่านแม่กลับไปพักที่บ้านก่อนเลยก็ได้นะขอรับ เดี๋ยวข้าจะตามท่านไปทีหลัง”
แม่ : “แล้วแบบนี้ลูกจะไม่เหนื่อยแย่หรือ ?”
ลูกชาย : “ข้าก็อายุย่างเข้าปีที่สิบแล้วนะขอรับ แค่นี้ข้าไม่เหนื่อยอยู่แล้ว”
แม่ : “เก่งจังเลยน้าลูกแม่ งั้นเดี๋ยวแม่กลับไปทำข้าวปั้นไข่ปลากับชาดอกเหล็กไหลที่ลูกชอบให้นะ”
ลูกชาย : “ไชโย! ข้ารักท่านแม่ที่สุดเลย!”
เสียงเริ่มเบาลง ภาพค่อย ๆ มัวลงอย่างช้า ๆ ไดอิจิมารุตื่นขึ้นบนกิ่งไม้สนขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่สูงจากพื้นราวสิบเมตรในอิริยาบถที่หลังพิงลำต้น ขาซ้ายเหยียดตรง ขาขวาพาดทับหน้าแข้งซ้ายและกอดอกอยู่ เขามองออกไปทางซ้ายเห็นดวงอาทิตย์สีแดงชาดที่กำลังขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า แสงทอดยาวมาตามผืนป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะปานสำลีสีนวล สายลมพัดจากทิศตะวันตกมาตะวันออก ต้นไม้ปลิวสไวสวยงาม เหล่าสรรพสัตว์น้อยใหญ่รูปร่างแปลกตาลืมตาตื่นออกมาหาอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกวางที่เขาส่องประกายสีฟ้าและมีไอเย็นลอยออกมา ตัวตุ่นที่มีเล็บเป็นเหล็ก ปลาที่แหวกว่ายอยู่ใต้ผืนน้ำแข็งหนาที่ปกคลุมทั้งลำธาร
(เสียงน้ำแข็งแตกเบา ๆ พร้อมกับเสียงแทงดาบ)
ไดอิจิแทงดาบของชายชราลงไปที่ตัวของปลาใต้ผืนน้ำแข็งอย่างแม่นยำ ทำให้น้ำแข็งโดยรอบแตกกระจายออก เขานำปลาที่ถูกแทงขึ้นมาดู
ไดอิจิมารุ : (“ดาบของคุณหมอนี่สุดยอดเลยนะเนี่ย แม้ว่าจะใช้ผิดจุดประสงค์ไปสักหน่อยก็เถอะนะ”)
ระหว่างที่รอปลาสุก เขาก็นำดาบของชายชราขึ้นมาดู ฝักดาบมีสีฟ้ามรกต โกร่งดาบเป็นวงกลมสีขาวลายทั่ว ๆ ไป ใบดาบมีคมแบบเดียวกับอีกเล่มแต่เล่มนี้มีใบดาบที่ตรงและมีสีเงินที่เมื่อถูกกับแสงอาทิตย์จะสะท้อนแสงออกมาเป็นสีน้ำทะเล โคนของใบดาบสลักไว้ว่า “แม่ทัพจัตวา”
ไดอิจิมารุ : (“แม่ทัพจัตวา...ถ้าเขายังไม่แก่และไม่ประมาทล่ะก็ ข้าคงจะตายไปแล้ว”)
ไดอิจิมารุ : (“จะว่าไป ดาบของพวกระดับสูงเป็นแบบนี้กันทุกคนเลยหรือ วัสดุแข็งแรงและเบามาก เล่มเก่าของข้าหนักกว่านี้ราวสองเท่าแถมเปราะบางราวกับดาบไม้”)
ไดอิจิหันกลับไปมองปลาที่เขาย่างไว้ พอเห็นว่าสุกเต็มที่แล้ว เขาก็ถอดหน้ากากส่วนล่างออกแล้วปล่อยให้อีกส่วนบังบริเวณหน้าผากลงมาถึงดั้งจมูก เมื่อทานเสร็จเขาก็ใช้หิมะฝังกลบกองไฟแล้วออกเดินทางต่อ
ไดอิจิมารุ : (“นี่มันก็ย่างเข้าวันที่ห้าแล้วหลังจากที่ฟุยุมิล่มสลาย แต่ยังไม่เห็นวี่แววว่าใครจะตามมาเลย คงเป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็นนี้ทำให้ต้องใช้เวลาเตรียมตัวเป็นพิเศษ โชคดีที่ข้าเดินมาคนเดียว…ไม่สิ มีเด็กด้วยนี่นะ”)
(ช่วงบ่าย)
รอบ ๆ แม้จะมีเพียงหิมะขาวโพลน แต่หากเงี่ยหูฟังดี ๆ จะได้ยินเสียงสรรพสัตว์เดินไปมา บ้างก็ดักซุ่มรอเหยื่อ บ้างก็นอนหลับพักผ่อนและรอตื่นตอนกลางคืน เมฆเริ่มก่อตัวอีกครั้งและส่งเสียงดังครืน ๆ พายุกำลังจะมา ไดอิจิจะต้องรีบหาโรงเตี๊ยมเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองหนาวตายไปเสียก่อน
(ช่วงหัวค่ำ)
พายุหิมะพัดโหมกระหน่ำ ไดอิจิพยายามวิ่งฝ่าพายุเพื่อหาหลบภัย ในที่สุดเขาก็ได้พบกับโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แต่เหตุใดถึงไม่มีแสงไฟเลยนะ ไดอิจิเดินเข้าไปดูหน้าโรงเตี๊ยมและเห็นว่าประตูคู่ขนาดใหญ่ของโรงเตี๊ยมนั้นไม่ได้ใส่กลอน ไม่แม้แต่จะปิดประตูให้สนิทดี
ด้วยความสงสัยเด็กน้อยจึงเรียกหาแม่อยู่หน้าบ้านพร้อมกับวางตะกร้าผลไม้ที่เขาแบกไว้บนหลังแล้วแง้มประตูเข้าไปดู
(เสียงเปิดประตูไม้เก่า ๆ)
ลูกชาย : “ท่านแม่ ?”
ภาพที่เขาเห็นคือมนุษย์ตัวผอมแห้งเห็นยันกระดูก สูงราวสองเมตรครึ่ง เล็บแหลมคมยาวเทียบแขนมนุษย์ กำลังแทะก้อนเนื้อขนาดเท่ากับกำปั้นอย่างมูมมาม ข้าง ๆ ตัวของมันมีร่างของแม่เด็กน้อยจมกองเลือดอยู่ ซึ่งกลางอกของนางเป็นรูเหวอะหวะ แม่ของเด็กน้อยตายแล้ว มันค่อย ๆ หันหน้ามามองเด็กน้อยทำให้เห็นลักษณะของมันโดยละเอียด ผิวสีขาวซีดและออกจะโปร่งใสจนพอจะเห็นอวัยวะภายในได้บ้าง หัวโกร๋นโล้นเกลี้ยง ดวงตาสีดำของมันกลมโตและไม่มีเปลือกตา ปากกว้างจนฉีกถึงที่กลางแก้ม ฟันแหลมคมเรียงถี่นับร้อยซี่ทำให้เหมือนว่ามันแสยะยิ้มตลอดเวลา เด็กน้อยยืนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก มือทั้งสองข้างสั่นระรัว มนุษย์ประหลาดได้พุ่งเข้ามาหาเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว และมือของมันก็กำลังที่จะจับไปที่ใบหน้าของเด็กน้อย
ทันใดนั้น เสียงแตกแหบห้าวของชายวัยกลางคนก็ดังออกมา...
??? : (ตะโกน) “เจ้าหน้ากากมัวทำอะไรอยู่น่ะ มันไปหาแกแล้วนะ !”
ไดอิจิสะดุ้งและชักดาบของชายชราออกมารับการโจมตีจนตัวกระเด็นไปด้านหลังไกลกว่าสามเมตร เขาแทงดาบลงพื้น มือขวาจับด้ามดาบแน่น มือซ้ายกดท้ายดาบลงพื้น ทันทีที่ตั้งสติได้ เขาก็รีบลุกขึ้นตั้งท่าเตรียมโจมตี กางขาแต่พอดีพร้อมกับย่อเข่าลงเล็กน้อย มือขวาจับดาบเหนือมือซ้ายและตั้งดาบตรงไปข้างหน้าแต่ดูเหมือนว่าดาบจะสั่นไม่เบาเลย
อสูรเข้ามาโจมตีไดอิจิอย่างรวดเร็วพร้อมกับง้างปากจะกัดเข้าไปที่หัวของเขา ไดอิจิรีบถอยหลังและปาดดาบเข้าไปที่ปากของมันจนปากของมันฉีกออกและกรามห้อยลง
ในพริบตา ปากอสูรตนนั้นก็สมานเป็นเหมือนเดิมก็พร้อมกับอสูรก็คำรามออกมาเป็นเสียงของมนุษย์ชายหญิงปะปนกันอย่างน่าขนลุก แล้ววิ่งตรงไปหาไดอิจิทันที เขาพยายามปัดป้องการโจมตีของอสูร ระหว่างนั้นก็ถอยหลังไปเรื่อย ๆ จนหลังของไดอิจิพิงกับต้นไม้ เมื่ออสูรเห็นว่าไดอิจิเผยช่องว่างก็ง้างแขนเตรียมข่วนเข้าไปที่หัวของเขา ไดอิจิย่อตัวหลบการโจมตีอย่างหวุดหวิดพร้อมกับปล่อยหมัดซ้ายชกเข้าไปที่ลิ้นปี่ของอสูร
ทันทีที่หมัดของเขาถึงตัวอสูรก็เกิดคลื่นลมอย่างรุนแรงพัดออกจากหลังของมัน ไดอิจิถีบเข้าไปที่ท้องของอสูรจนมันกระเด็นไปชนกับประตูของโรงเตี๊ยมที่เปิดอยู่จนปิดเสียงดังลั่น
อสูรที่เสียหลักค่อย ๆ ลุกขึ้น ผิวของมันเริ่มทึบขึ้นเปลี่ยนเป็นสีแดง มันคงกำลังโกรธอยู่
ไดอิจิใช้มือทั้งสองข้างกำดาบไว้แน่นี้ปลายดาบลงพื้น ลมพายุบางส่วนก็ค่อย ๆ มาหมุนวนรอบดาบและตัวของเขา
ไดอิจิมารุ : ("เคล็ดดาบวายุทลายอัมพร 'เข็มทะลวงจันทรา' ! ")
ไดอิจิเหยียดดาบตรงไปข้างหน้าและพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วจนมองตามไม่ทัน บริเวณโดยรอบที่เขาผ่านกลายเป็นสุญญากาศอยู่ชั่วขณะ ปลายดาบของเขาที่ชี้อยู่นั้นเป็นจุดที่ลมพัดหมุนวนรุนแรงมากจนแม้แต่ใบไม้ที่ผ่านเฉียด ๆ ยังขาดเป็นเศษเล็ก ๆ ไดอิจิแทงดาบเข้าไปที่กลางอกของอสูรอีกครั้ง เนื่องจากความเย็นจัดของดาบที่ใช้ลมของพายุหิมะ ทำให้บาดแผลของมันไม่สามารถรักษาได้ เขาดึงดาบออกและรีบถอยออกมา
ไดอิจิมารุ : (“มีเวลาอยู่หนึ่งนาทีก่อนที่แผลของมันจะสูญเสียความเย็นจนหมด ต้องรีบแล้ว”)
ไดอิจิจับดาบสองมือตั้งท่าให้ปลายดาบชี้ไปทางหลังซ้าย พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับกวาดดาบจากซ้ายไปขวาเข้าไปที่ใต้รักแร้ของอสูร ก่อนที่จะถูกตัว มันได้หลบการโจมตีและเตะไดอิจิกระเด็นไป มันวิ่งเข้าไปหาไดอิจิพร้อมกับกระหน่ำโจมตีใส่เขา ไดอิจิใช้ดาบโจมตีสวนกลับไปที่เล็บของมันจนเกิดประกายไฟ ทั้งคู่รัวการโจมตีนับสิบ ๆ ครั้งจนในที่สุดดาบของไดอิจิก็หลุดมือไปและกระเด็นไปทางซ้าย เขาเลื่อนตัวไปทางขวาพร้อมกับหมุนตัวและมาอยู่ที่ด้านหลังของอสูร
ไดอิจิมารุ : “ใช้หมัดนี่แหละ เหมาะกับพวกโจมตีระยะไกลและกว้างแบบแกที่สุดแล้ว”
เขาใช้มือขวาต่อยเข้าไปที่หลังของอสูรจนหลังแอ่นทำให้มันหันหน้ามาหาเขา ไดอิจิหลบไปที่อีกด้านล่อให้มันหันหน้ากลับมา เขาใช้มือซ้ายเสยคางของอสูรอย่างแรงจนตัวลอยขึ้นฟ้า ไดอิจิก้าวขาซ้ายไปด้านหน้าหนึ่งก้าวหันตัวไปด้านซ้ายเล็กน้อยพร้อมกับยกขาขวาขึ้นจนเหนือหัว เอนตัวไปด้านหลังจนแทบจะขนานกับพื้นทำให้ถีบถูกท้องของอสูรจนเกิดเสียงดังหนักแน่นและทำให้ตัวของมันลอยขึ้นสูงกว่าเดิม เขาถอยหลังสองก้าวอย่างรวดเร็ว ย่อตัวลงและกระโดดขึ้นเหนืออสูรกายที่ลอยอยู่ กำมือขวาและง้างสุดแรงพร้อมกับสายลมที่พัดหมุนวนรอบหมัดของเขา
ไดอิจิมารุ : ("เคล็ดหมัดพระพายหมื่นลี้ 'ทั่งเหล็ก' ! ")
ไดอิจิต่อยลงที่หัวของอสูรให้ลงมากระแทกกับพื้น ทำให้หิมะกระจายออกเป็นวงกว้าง เขาใช้มือซ้ายควักหัวใจของอสูรออกมาแบบเดียวกับที่มันทำกับมนุษย์คนอื่นและบีบมันจนแตกละเอียด
อสูรกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดและพยายามจะลุกขึ้น ไดอิจิชักดาบอีกเล่มขึ้นมากระหน่ำฟันที่กลางท้องของมันจนเครื่องในทะลักออกมา ทำให้มันสิ้นฤทธิ์และตายลงไปในที่สุด ไดอิจิยืนนิ่ง ๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะสะบัดดาบ มือซ้ายจับฝักดาบและค่อย ๆ รูดจากโคนดาบจนถึงปลายดาบและเก็บเข้าฝัก เขาเดินไปเก็บไปเก็บดาบอีกเล่มที่ทำตกไว้และนำเข้าฝัก
เขาหันกลับไปมองซากศพของอสูรอยู่สักพัก
ไดอิจิมารุ : (“จะว่าไป…เสียงเมื่อครู่นี้เป็นเสียงใครกันนะ”)
??? : (ตะโกน) “เฮ้ย ! ยืนคิดอะไรอยู่ รีบเข้ามาช่วยก่อน !”
ไดอิจิเดินกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมพร้อมกับหันหน้ามองซ้ายขวาเพื่อหาแหล่งที่มาของเสียง แต่ภาพที่เขาเห็นคือนักเดินทางชายสามคนและหญิงสองคนนอนตายกันเกลื่อนจนกลิ่นคาวเลือดโชยออกมา สภาพศพของชายสองคนถูกอสูรข่วนขาดเป็นท่อนไม่เหลือชิ้นดี ชายอีกคนถูกข่วนที่กลางหลังล้มลงไปกองกับพื้น ผมของเขาเป็นสีน้ำตาลสว่าง ผิวขาว สวมชุดผ้าธรรมดาสีเหลืองที่มีเกราะหนังทับบนไหล่และอก ดาบเป็นดาบตรงยาว มีคมทั้งสองด้าน ส่วนหญิงสองคนถูกควักหัวใจออกมา ศพอยู่ในท่านอนคว่ำ ทั้งคู่สวมผ้าคลุมสีน้ำตาลอ่อน ผมสีชมพูอ่อน สวมถุงมือและรองเท้าหนัง และถือไม้คทาขนาดใหญ่ของนักเวทดูท่าคงจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน รอบ ๆ ศพมีโต๊ะและอาหารกระจัดกระจาย อสูรคงจะเข้ามาโจมตีตอนพวกเขากำลังทานอาหารอยู่ ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แสดงว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นไวมาก
ไดอิจิมารุ : “เจ้าอยู่ที่ไหน ? ไม่ต้องตะโกนก็ได้ ข้าฟังอยู่”
??? : “ฉันอยู่นี่ !”
ไดอิจิมารุ : “("ฉัน" ? ใช้สรรพนามแทนตัวเองแปลกเหลือเกินนะ ไม่ใช่คนแถวนี้หรอกหรือ ?”
ไดอิจิเดินตามเสียงที่ได้ยินจนมาหยุดที่ศพของนักเดินทางหญิงคนหนึ่งที่เป็นนักเวท มือซ้ายของนางที่ไม่ได้ถือคทากำลังโอบกอดอะไรสักอย่าง ไดอิจิประนมมือขึ้นพร้อมกับนำสิ่งที่นางกอดอยู่ขึ้นมาดู มันเป็นกรงเหล็กรูปทรงสี่เหลี่ยมที่ข้างในมีกระรอกหางพวงสีน้ำตาล ท้องเป็นสีน้ำตาลอ่อน หลังมีเส้นสีขาวตัดผ่านที่กึ่งกลางลำตัว ดวงตาหนึ่งข้างเป็นสีเขียวมรกต อีกข้างเป็นสีฟ้าสดใสคล้ายน้ำทะเล มีหูสั้นกลมและในใบหูเป็นสีเนื้ออ่อน ๆ จมูกยาวสีดำ แก้มทั้งสองข้างมีหนวดบาง ๆ สีน้ำตาลเข้มข้างละห้าเส้น
ไดอิจิยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับพ่นลมหายใจสั้น ๆ เบา ๆ ออกมา กระรอกทำสีหน้าไม่พอใจและพ่นควันออกมาจากจมูก
กระรอก : “อะไร ?! กำลังหัวเราะเยาะชั้นหรอ ใส่หน้ากากแต่ชั้นรู้นะ !”
ไดอิจิมารุ : “ก็เสียงของเจ้าไม่เหมาะกับรูปร่างอันน่ารักน่าชังของเจ้าเลยน่ะสิ”
กระรอก : “นี่แกกล้ามาบอกว่าท่านโกโก้ผู้นี้น่ารักงั้นหรือ ฉันน่ะออกจะหล่อจะตาย แกมันคนตาไม่ถึง !"
ไดอิจิมารุ : “ระวังนะ”
หลังจากพูดจบ ไดอิจิก็หยิบมีดสั้นออกมาจากชุดใต้ผ้าคลุมของเขามาแทงเข้าไปที่ลูกกุญแจจนแตกกระจาย โกโก้ยกประตูกรงขึ้นแล้วปีนขึ้นไหลขวาของไดอิจิและหันหน้าไปมองไดอิจิพร้อมกับดมชุดของเขาอยู่สักพัก
ไดอิจิมารุ : “ไดอิจิมารุ จะเรียกว่าไดอิจิก็ได้”
โกโก้ : “นายมาจากไหนเหรอ ฉันไม่เคยเห็นนักเดินทางที่ใช้ดาบหรือเกราะลักษณะแบบนี้เลย”
ไดอิจิมารุ : “ฟุยุมิ”
โกโก้ : “ไม่รู้จักอะ นั่นมันบ้านนอกใช่มั้ย ?”
ไดอิจิมารุ : “เพราะว่าหิมะปกคลุมตลอดปีเลยไม่ค่อยได้ติดต่อกับอาณาจักรอื่น ๆ จะว่าบ้านนอกก็ใช่ แต่อาณาเขตก็กว้างขวางมากนะ ผืนหิมะในทวีปนี้แทบทั้งหมดเป็นของฟุยุมิเลยนะ ว่าแต่ เจ้ามาจากไหนรึ ?”
โกโก้ : “ฉันมาจากทวีปออสโทรมีย์ ทวีปเล็ก ๆ ตรงด้านตะวันออกเฉียงเหนือน่ะ จริง ๆ ฉันเป็นมนุษย์นะแต่ไม่รู้ทำไมถึงเป็นกระรอก ตื่นมาก็อยู่ในร่างนี้ ยังไม่ทันไรก็ถูกนักเดินทางพวกนี้ (ชี้ไปที่ศพของเหล่านักเดินทาง) จับใส่กรงเพราะเชื่อว่าเป็นตัวนำพาโชคลาภ แถมยังตั้งชื่อว่าโกโก้อีก เชยจริง ๆ….”
ไดอิจิมารุ : “("แล้วจะเรียกตัวเองด้วยชื่อนั้นทำไมกันล่ะ") ไกลมากเลยนะ ที่เขาว่าต้องข้ามมหาสมุทรด้วยสำเภานานเป็นเดือนกว่าจะมาถึงทวีปกลางใช่ไหม ถ้ามาไกลได้ขนาดนี้ พวกเขาก็น่าจะสู้กับอสูรตนนั้นได้สิ ?”
โกโก้ : “หัวหน้าที่เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของทีมน้ำมูกอุดตันในจมูกตอนนอนก็เลยหายใจไม่ออก แล้วพอหายใจทางปากก็สำลักน้ำมูกตายน่ะสิ แถมเจ้าพวกลูกน้องพอไม่มีหัวหน้าก็ทำอะไรไม่ถูกเลยมานั่งดื่มเหล้ากันในโรงเตี๊ยม เมาเละเทะเลย สภาพก็เป็นแบบที่นายเห็น”
ไดอิจิมารุ : “แล้วเดินทางมาฟุยุมิทำไมหรือ ?”
โกโก้ : “เปล่า ไม่ได้มาหาฟุยุมิอะไรนั่น เอาจริง ๆ คือ ไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำ พวกนั้นแค่ได้ยินมาว่าทางเหนือสุดของทวีปนี้มีปลากับปูน้ำจืดเขตหนาวที่อร่อยมาก ๆ ระดับที่ว่าพอได้ลิ้มรสก็ แม้ตายก็จะไม่รู้สึกเสียดายชีวิตเลย ก็เลยอยากมาลองชิมน่ะ”
ไดอิจิมารุ : “น่าเสียดายนะ ฟุยุมิตอนนี้ล่มสลายแล้วคงถูกเปลี่ยนเป็นแคว้นอื่นไปแล้วล่ะ คงไม่ให้ใครเข้าออกแคว้นไปสักพักใหญ่เลย”
โกโก้ : “ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วตัวนายออกมาได้ยังไงหรอ เกิดเรื่องขึ้นรึไง (ชี้ไปที่ทารกใต้ผ้าคลุมของไดอิจิ) แล้วเด็กนั่นเกี่ยวมั้ย ?”
ไดอิจิมารุ : “มันเป็นภารกิจน่ะ ก่อนที่แคว้นจะถูกยึด เจ้าปราสาทท่านมอบดาบของเขาแล้วฝากเด็กคนนี้ไว้ให้กับข้า ให้พาไปที่ทิศตะวันออกสุดน่ะ”
โกโก้ : “เด็กนี่มีอะไรพิเศษเหรอ แล้วหลับปุ๋ยเลยนะเนี่ย (ก้มลงไปมองที่เด็ก)”
ไดอิจิพูดไป พลางเก็บกวาดศพไปฝังข้าง ๆ โรงเตี๊ยมอย่างเรียบร้อย
ไดอิจิมารุ : “มารตะวันอยู่ในตัวเด็กคนนี้น่ะสิ เห็นเล่าขานกันว่าถ้ามันเป็นอิสระเมื่อไร วิญญาณของทุกชีวิตจะถูกมันดูดไปและแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง มนุษย์สมัยก่อนช่วยกันผนึกมันในกายหยาบของทารกคนนี้และผนึกซ้อนอีกทีเพื่อไม่ให้ทารกเติบโตแล้วก็เก็บรักษามานับพันปี พอแคว้นจะล่มสลายก็เลยต้องนำทารกออกมาจากผนึกแล้วพาหนีออกมาไม่ให้เป็นอันตราย งานของข้าก็คือนำเด็กคนนี้ไปประกอบพิธีที่ตะวันออกไกลเพื่อส่งให้เจ้าหญิงมารตะวันกลับสู่พระอาทิตย์”
โกโก้ : “โห อีกไกลโขเลยนะ นี่เป็นตะวันตกสุดเลยนี่”
ไดอิจิมารุ : “ใช่ จะข้ามมหาสมุทรอีกด้านก็ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป แถม "เจ้าพวกนั้น" ยังไล่ล่าข้าเพื่อชิงพลังมารของเด็กคนนี้มาใช้อีก”
โกโก้ : “มันใช้ไม่ได้เหรอ ?”
ไดอิจิมารุ : “มันใช้ได้หากใช้เป็น แต่ถึงจะใช้เป็น การฆ่าคนหนึ่งคนจะทำให้อีกหมื่นคนตายด้วย การใช้รักษาคนหนึ่งคนก็จะฆ่าอีกหมื่นคน มันอันตรายเกินไปที่จะใช้”
โกโก้ : “น่าสนใจแฮะ~ ฉันอยากตามไปด้วยจัง”
ไดอิจิฝังศพของเหล่านักเดินทางและอสูรให้อย่างดีพร้อมยืนประนมมืออยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งกางออกมาดู มันเป็นแผนที่ของนักเดินทางที่เขาเจอตอนเก็บกวาด
โกโก้ : "แผนที่นั่นมันไม่ได้สมบูรณ์ขนาดนั้นนะ หมู่เกาะเล็ก ๆ หลายที่ไม่ได้ถูกเขียนลงไปเพราะอะไรก็ไม่รู้"
ไดอิจิมารุ : “ยังไงข้าก็จะขอให้เจ้าตามข้ามาอยู่แล้ว ทวีปแห่งปัญญามันก็ไกลมาก เจ้าคงจะผ่านอะไรมาเยอะ แถมแผนที่ก็ไม่ได้ใส่รายละเอียดใด ๆ ไว้มาก มีเจ้าคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ระหว่างเดินทางคงจะดีไม่น้อย”
โกโก้ : “ฮ่าฮ่า ! ผจญภัย !”
ไดอิจิมารุ : “เจ้าก็เดินทางมาแล้วนี่นา เหตุใดถึงดูตื่นเต้นขนาดนั้นล่ะ ?”
โกโก้ : “เพราะเจ้าพวกนั้นเล่นลัดข้ามทะเลจากทวีปกลางมาที่นี่เลยน่ะสิ แถมทวีปกลางตรงที่ข้าผ่านมาก็ไม่มีอะไรน่าดูน่าชมเลยซักนิด”
โกโก้ : “แล้วไม่ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือหานมให้เด็กคนนี้หรอ ?”
ไดอิจิมารุ : “ข้าใช้อาหารเม็ดของทหารฟุยุมิน่ะ สารอาหารครบถ้วนและไม่มีกากไย ทำให้ไม่มีอะไรให้ถ่ายหนัก ส่วนถ่ายเบา ถ้าเด็กร้องไห้เมื่อไร ข้าก็แค่ถอดผ้าอ้อมออกและเด็กก็จะถ่ายเบาเอง”
โกโก้ : “ลำบากน่าดูเลยนะ”
ไดอิจิมารุ : “ยังมีให้ลำบากกว่านี้อีก”
โกโก้ : “แล้วตอนนี้เราอยู่ตรงไหนหรอ ?”
ไดอิจิมารุ : “ทวีปซ้ายสุด เหนือทะเลสาบความตายแห่งพระเจ้าไปสักพันห้าร้อยกิโลฯ’
โกโก้ : “ทะเลสาบยักษ์กลม ๆ นั่นน่ะหรอ….เราอยู่ทิศเหนือสุด ๆ เลยนี่ ?!”
ไดอิจิกลับเข้าโรงเตี๊ยมเพื่อพักผ่อน แต่รู้สึกเหมือนลืมบางอย่างไปเลยนะ
เถ้าแก่และลูกจ้างของโรงเตี๊ยมสี่คนกำลังหลบมาอยู่ในชั้นใต้ดินของโรงเตี๊ยมพร้อมกับกองทัพแมลงสาบนับหมื่น ๆ ตัวที่ล้อมรอบพวกเขา หนีเสือปะจระเข้ขนานแท้เลยนะ
...พวกเขาทนนั่งกอดเข่าอยู่กับแมลงสาบทั้งคืนไม่ได้หลับไม่ได้นอน และไดอิจิก็มาพบตัวของพวกเขาในเช้าวันต่อมา...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!