จ๊อกกก\~
คุณอาจจะกำลังสงสัยว่าเสียงที่ดังขึ้นเมื่อครู่มันคือเสียงท้องของผมที่กำลังร้อง หรือ เสียงของน้ำที่กำลังไหลกันแน่ อันที่จริงก็ทั้งสองอย่าง ครั้งที่ 3 ตั้งแต่เข้ากะมาที่ผมเดินมากดกาแฟโควต้าพนักงานร้านสะดวกซื้อ วันละ 1 แก้ว
ใช่ครับ! 1 แก้ว ผมใช้แก้วเดิม แม้จะครั้งที่ 3 ก็ตาม
ผมชื่อ วิล หรือชื่อเต็มๆคือ อนาวิล เหตุผลที่ชื่อนี้ก็เพราะทั้งพ่อและแม่ของผมชื่นชอบ Star Wars เข้าเส้น พวกเขาเลยตั้งใจจะตั้งชื่อผมว่า อนาคิน แต่โชคยังดีที่จนแล้วจนรอดพวกเขาก็พึ่งนึกออกว่าอนาคินคือมหาวายร้ายแห่งจักรวาล เลยเปลี่ยนเป็น อนาวิล ซึ่งเวลาที่ต้องอธิบายที่มาของมัน อนาวิล หรือ อนาคิน มันก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
ร้านสะดวกซื้อที่ผมทำงาน อยู่ในทำเลที่ดีที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ มันคือจุดถ่ายรูปคู่กับพระธาตุดอยสุเทพที่อยู่ห่างออกไปด้านหลังไม่ไกล ถ้าหากคุณมาได้ตรงตามวันและเวลา อาจจะได้รูปพระอาทิตย์ที่ลงมาประดับยอดพระธาตุพอดิบพอดี หากแต่ว่าคนที่มาเขาต้องการเพียงแค่ถ่ายรูป เพราะหากอยากจับจ่ายใช้สอย พวกเขาจะเลือกใช้บริการ ร้านสะดวกซื้อเจ้าดังที่ฝั่งตรงข้าม
ผมเดินกลับมายังเคาน์เตอร์ ผ่านชั้นวางสินค้าที่เรียงรายเป็นแถวซ้ำซาก ขวดน้ำอัดลม กระป๋องกาแฟสำเร็จรูป และขนมขบเคี้ยวที่วางเป็นระเบียบ แต่ไม่มีลูกค้าสักคนเข้ามาหยิบจับ
"ด็อค!" ผมเอ่ยเรียกระบบปฎิบัติการ์ณ Ai เพื่อนที่เปรียบเสมือนทิงเกอร์เบลประจำตัวผม
[ครับ เจ้านาย!]
"เช็คเมลให้ฉันหรือยัง"
[ครั้งที่ 7 ของวันนี้ครับ......ยังไม่มีอัพเดทครับเจ้านาย]
"แค่นี้ต้องบ่นด้วยหรือไง ไม่น่าล่ะบริษัทนายถึงได้จะเรียกคืนซอฟแวร์รุ่นนายจนหมด"
[ฮ่าๆ ตลกมากๆครับ]
มันประชด!
หลักฐานว่า Ai เข้าไกล้มนุษย์มากขึ้นทุกที แม้จะเถียงกันบ่อยแต่มันก็เป็นเพื่อนไม่กี่คนของผม
ตั้งแต่พ่อและแม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเมื่อ 3 ปีก่อน ผมก็อาศัยอยู่กับลุงและป้า ปากกัดตีนถีบดิ้นรนทุกอย่างเพื่อความฝัน การได้เข้าเรียนในคณะวิศวคอมฯ
ความฝันที่พ่อทิ้งมันไป เพราะผมเกิดขึ้นมา พ่อฝันจะสร้างโลกที่ทุกคนจะหลีกหนีจากความจริงอันโหดร้ายไปอยู่ ณ ดินแดนแห่งนั้น ผมเองก็เช่นกัน
"อ้าว วิล ควงกะอีกแล้วหรอ" เสียงเจือยแจ่วของ ลูกแบท ดังมาตั้งแต่ร่างยังไม่พ้นประตู ก่อนที่ดวงตาโตเป็นประกาย ที่มีไฝเสน่ห์อยู่ใต้ตาขวา อันเป็นเอกลักษณ์จะสบเข้ากับตาของผมที่สั่นระริกหาที่วางทันทีที่รู้ตัว จมูกโด่งแหลมสีแดงระเรื่อ และ ริมฝีปากบางแน่นนั้น ไม่ว่าใครได้มองก็ต้องรู้สึกหวิวๆในอกข้างซ้ายกันทั้งนั้น
"เอ่อ..."
"ฉันว่าแล้วเชียววว" เธอลากเสียงยาว พลางส่งยิ้มประโลมโลกมาหาผม "ก็เลยซื้อกาแฟมาฝาก"
ผมยังเออๆออๆอยู่อย่างนั้น ขณะเธอเหลือบลงมองแก้วกาแฟในมือผม
"นี่ ไหนบอกว่าจะรอกินกาแฟฉันไง วันหลังถ้ากินกาแฟเยอะแบบนี้อีกจะไม่ซื้อมาฝากแล้วนะ" เธอขมวดคิ้วทำปากยู้
"ฮ่าๆ ก็ผมไม่นึกว่าวันนี้คุณแบทจะมาเข้ากะนี่ครับ" ผมยิ้มแหยๆ พลางลูบหัวแก้เขิน จริงๆอยากบอกไปว่า ตอนนี้มีบางอย่างที่ทำให้ตาสว่างกว่ากาแฟ
"อ๋าาา งั้นฉันไปแช่ไว้ให้ดีกว่า ไม่รู้จะหมดอร่อยไหม แต่...ให้กินตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด" เธอดึงกาแฟเย็นแก้วละร้อยกว่าบาทกลับไป พลางทำท่าเชิดหน้า ก่อนจะหายไปแต่งตัวเข้ากะทางหลังร้าน
ผมถอนหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้ม นี่สินะคนที่มีพลังล้นเหลือและทำให้โลกใบนี้มันน่าอยู่ขึ้น หากจะมีใครสักคนที่เป็นนิยามคำว่าสมบูรณ์แบบได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นเธอ อันที่จริงเธอไม่ใช่ลูกจ้างทั่วๆไป ทว่าเป็นถึงลูกสาวเจ้าของร้านสะดวกซื้อแห่งนี้ และ อีกกว่า 20 สาขา ทั่วภาคเหนือ
เห้ออออ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
[อย่างนี้เองซินะครับ?] จู่ๆเสียงด็อคก็ดังขึ้น
"อะไรของนาย?"
[อัตราการเต้นหัวใจเพิ่มขึ้น มากกว่ากินกาแฟทั้งวัน]
ผมอมยิ้มกับคำพูดของ Ai แต่ก็ปฎิเสธไปทันควัน
"มันไม่ใช่เรื่องอะไรของนายสักหน่อย"
[ความรักของมนุษย์ อิอิ]
"รออีเมลล์ต่อไป แล้วบอกฉันด้วย"
อีเมลล์ที่ผมรอมาตลอดสัปดาห์ คือจดหมายขอทุนเข้ามหาวิทยลัยเอกชนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ มันเป็นการเสนอไอเดียโปรเจกต์ ให้ทางมหาลัยพิจรณา
ติ้ง!
และแล้วเสียงที่ผมรอมาตลอดทั้งวันก็ดังขึ้น
[มาแล้วครับ ให้ผมดู หรือ คุณอยากจะดูเอง]
ผมไม่ได้ตอบอะไรเจ้าด็อค แต่รีบตะลีตะลานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดหน้ากล่องขาเข้าอีเมลล์ขึ้นมาดูในทันที
[ มหาวิทยลัย xxxx
คุณ อนาวิล ดำรงวิทย์ ผ่านการคัดเลือก
กรุณาส่งพอร์ตโฟลิโอ้ชิ้นอื่นๆในลำดับต่อไป]
เสียงแห่งความดีใจสุดชีวิตถูกกลืนไปในลำคอ ผมอ่านข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา ขณะหลบอยู่หลังเคาน์เตอร์ ใจเต้นแรงจนอยากจะลิงโลดมันซะเดี๋ยวนี้ ภูเขาทั้งลูกกระเด็นหลุดผัวะไปจากอกในพริบตา ในที่สุดผมก็ทำมันได้ ทำมันได้สักที
"คุณแบทครับผมทำได้แล้วครับ ทำได้แล้ว" ผมหลุดพล่ามพ่นออกไปทันทีที่เห็นคุณแบทในชุดพนักงานเดินเข้ามาหลังเคาน์เตอร์ และยืนทำตาโตงงๆพลางอมยิ้มอยู่อย่างนั้น
"ผมขอทุนเข้ามหาลัยผ่านแล้วครับ" ผมพูดซ้ำ ขณะที่รอยยิ้มของเธอค่อยๆเผยออกมามากขึ้น มันช่างเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบ ทั้งความสำเร็จ และ คนที่อยากจะใช้เวลาเหล่านี้ด้วยก็อยู่ตรงนี้
"ดีจังนะ นายเก่งสุดๆไปเลย" เธอเอ่ยชมผมขณะผมกระโดดโลดเต้นอยู่อย่างนั้น "อย่างนั้น เธอก็ต้องไปอยู่กรุงเทพน่ะสิ"
ลืมคิดข้อนี้ไปเสียสนิท แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่ถึงปีที่ได้รู้จักคุณแบท แต่เธอเป็นคนไม่กี่คนที่ผมรู้สึกว่าเธอสนใจผมจริงๆ แม้จะรู้ว่าเธอมีแฟนอยู่แล้ว เลยไม่เคยคิดจะบอกความในใจ แต่ก็แอบหวังเล็กๆมาตลอด
"นั้นสินะครับ" รอยยิ้มค่อยๆหุบลง
"เป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่าเธอมีแฟนอยู่ที่นี่แล้วไม่บอกฉันน่ะ"
"ปะ...ป่าว นะครับ" ผมรีบปฎิเสธ ใครจะกล้าบอกว่าเหตุผลที่พรากรอยยิ้มเมื่อครู่คือเธอ
"เอ๊ะ....หรือว่าาาา" เธอหรี่ตามอง เมื่อระลึกอะไรบางอย่างได้ ในขณะที่ผมตาโตสวนไป
จริงๆถ้าเธอจะรู้ก็ไม่แปลกนัก อาการผมมันชัดเจนซะจน คนอื่นๆในร้านแซวซุบซิบกันตลอด แต่ด้วยลูกแบทเป็นเหมือนเจ้าของร้าน พวกพนักงานจึงไม่กล้าแซวเธอตรงๆ ต่างจากผม
"ไม่นะครับ" ผมหลับตาปี๋ตอบไป ทั้งๆที่เธอยังไม่ได้พูดอะไรต่อ
ลูกแบทขมวดคิ้ว ทำปากจู๋ ยืนงงๆกับท่าทีพิลึกของผม
"ไม่...อะไรอะ"
"อ่อ คือ...." ผมตะกุกตะกักพึ่งตระหนักได้ว่าเธอยังไม่ได้จับได้ "ไม่....ได้กังวลเรื่องนั้นเลยครับ"
"อ๋าาาา" เธอทำท่าคิดออกเหมือนเดิม "ก็นึกว่ากลัวการไปอยู่กรุงเทพซะอีก"
"แหะๆ ก็นิดนึงครับ"
"อย่างงั้นก็ลำบากแย่เลย เอาไว้ถ้าฉันไปเที่ยวกรุงเทพจะแวะไปหาบ่อยๆนะ จะได้พาวิลไปเที่ยวทะเลแบบที่เคยคุยกันไว้ด้วยไง"
เห็นหรือยังครับ ทำไมคนอื่นชอบแซวเราสองคนประจำ ถ้าไม่รู้จักคุณแบท ใครๆก็คงคิดว่าเธออ่อยแน่นอน แต่จริงๆแล้วไม่เลย ที่เธอสนิทกับผมอาจจะเป็นเพราะว่านิสัยลึกๆของเธอมันเหมือนเด็กผู้ชายที่ชอบอะไรลุยๆ จนบางทีกิจกรรมพวกนั้นเด็กสาวในวัยเดียวกันน้อยคนจะชอบเหมือนเธอ ประกอบกับตัวผมไม่ได้มีพ่อแม่มาคอยจ้ำจี้จ้ำชัย ก็เลยไปไหนไปกันกับเธอได้ตลอด
แต่เพราะแบบนั้นผมก็เลยยิ่งตกหลุมรัก!
และเพราะรู้แบบนี้ ก็เลยยิ่งบอกออกไปไม่ได้!
....Friend Zone โดย สมบูรณ์แบบ....
เม็ดฝนที่หยดลงกระทบหน้าต่างร้านทำให้แสงภายในดูพร่ามัว ตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ร้านที่เงียบสงบเกือบจะราวกับว่าหายไปจากโลกภายนอก มีเพียงเสียงคลอเบาๆ ของเพลงในร้านที่เติมเต็มความเงียบสงัดนี้
“วันนี้ลูกค้าน้อยนะ” ลูกแบทชวนคุยไม่หยุด ดั่งเช่นทุกวัน
"ก็แหงสิครับ คุณแบท ใครเขาจะมากัน"
[เจ้านายเองก็ชอบไม่ใช่หรือไง] เจ้า Ai รู้มากยังคงปากแจ๋วอยู่ในหูฟัง ราวกับเสียงมารที่คอยกระซิบข้างหู
"นี่ก็หมดกะนายแล้ว จะกลับบ้านยังไงล่ะ" เธอแสดงท่าทีเป็นห่วงออกมา
"ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณแบท เดี๋ยวรอให้พี่มิ้นกับพี่ศักดิ์มาเปลี่ยนกะก่อน คุณแบทจะได้มีเพื่อนยังไงล่ะครับ"
อันที่จริงผมควรจะกลับบ้าน ไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ใจจริงก็ร้อนรนกลัวจะไม่ทันรถไฟฟ้ารอบสุดท้ายตอนสามทุ่ม แต่ถ้าต้องปล่อยเธอเฝ้าร้านคนเดียวตอนกลางคืนแบบนี้ ผมยอมเดินอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
"ถ้างั้นเดี๋ยวพี่มิ้นมาให้ฉันไปส่งนะ ฝนตกแบบนี้จะมีรถไหมก็ไม่รู้"
[โอเคครับคุณแบท] เจ้าด็อครีบสอดขึ้นมาทันที
"เอ่อ....ไม่เป็นไรครับ จะเหนื่อยคุณแบทเปล่าๆ"
ทันทีที่สิ้นประโยค เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้มาตบบ่าผม ด้วยท่าทางที่ดูห้าวๆของเธอ
"นี่! พูดเหมือนพึ่งรู้จักกันงั้นแหละ"
นั่นน่ะสิ จริงๆเธอก็สนิทกับผมนะ เห็นจะมีแต่ผมนี่แหละที่ไม่สนิทกับเธอสักที
ลูกแบทหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูข้อความใหม่ ก่อนจะกล่าว "ถ้าไม่ให้ไปส่ง ก็ไปได้แล้ว พี่มิ้นอยู่แค่แยกไฟแดงนี่เอง"
[ได้ครับ ไปส่งถึงห้องเลยก็ได้ครับ]
ผมเม้มปากอยากจะด่ามันให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ได้ต่อหน้าสาวอย่างนี้
"ไม่เป็นไรครับ รอจนกว่าพี่มิ้นจะมาดีกว่า"
"ฉันบอกให้กลับบ้าน" เธอท้าวสะเอวทำท่าดุ "ไม่งั้นก็ไปส่ง....เอาไง?"
"อะ...โอเคครับๆ" ผมตอบอย่างปฎิเสธไม่ได้
ถึงแม้จะปฎิเสธตั้งหลายที แต่สัมภาระใต้เคาน์เตอร์ก็ถูกรวบเก็บเสร็จภายในไม่กี่วินาที '20.48 นาฬิกา' ผมบอกลาเธออย่างเช่นทุกวัน ก่อนจะเดินก้าววิ่งก้าวข้ามฝั่งถนนมา เพื่อมุ่งตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าราวๆ 300 เมตร
[เจ้านายนี่ไม่ได้เรื่องอีกแล้วนะครับ!]
"ใครมันจะไปจิตใจต่ำทรามเหมือน Ai ไม่สมประกอบอย่างแกละวะ"
[แหม่! เดี๋ยวอาทิตย์หน้าอัพเดตซอฟแวร์ พวกเขาก็ดึงผมกลับและเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่กว่าให้แล้ว ถึงตอนนั้นจะมาคิดถึงผมไม่ได้นะครับ]
ใจหายเหมือนกันเมื่อได้ยินอย่างนั้น ถึงจะกัดกันเป็นประจำแต่ด็อคก็อยู่กับผม 24 ชม. มาตลอด 1 ปีกว่าๆ
"นั่นสินะ นายคงอดไปกรุงเทพฯ กับฉัน"
[ผมน่ะไปได้ทุกที่นั่นแหละครับ แต่เจ้านายนั่นแหละถ้าไม่รีบกลับไปส่งพอร์ตก่อนเที่ยงคืนจะไม่ทันเอานะครับ]
เกือบลืมไปเลย ถึงจะหงุดหงิดกับการถามปุ้บจะเอาปั้บของมหาลัย แต่ก็หงุดหงิดอย่างเต็มใจ อีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้นฝันของผมก็จะเป็นจริง
และ อีกก้าวเดียวเท่านั้นที่ผมจะถึงสถานีรถไฟฟ้า
พึบ!
[เจ้านายครับเป็นอะไรไหม]
"เห้ยระวังหน่อยสิวะไอเบื้อกเอ้ย"
ผมโดนชนจนหน้าขมำลงบนทางม้าลายที่น้ำเจิ่งนอง กลุ่มวัยรุ่นราว 4-5 คนที่สวมแมสก์ปิดบังใบหน้า พร้อมรอยสักบนผิวกร้านๆหันมาถ่มน้ำลายใส่ผม ขณะหันอุปกรณ์บางอย่างที่มีปลายแหลมมาตรงหน้า
"เดี๋ยวพ่อแทงให้ตับแตกเลย"
มันย่อตัวลงมา ก่อนจะเดินไปอย่างไม่สนใจใยดี น้ำที่กระเซนเข้าคอนแทคเลนส์ทำให้ทุกอย่างเบลอไปเพียงครู่
ปี้น!!!!!
รถเก๋งสีขาวที่พุ่งตรงมาเหยียบเบรคกระทันหัน จนรถคันหลังที่ตามมาชนท้ายเข้าอย่างจัง ให้พุ่งเข้ามาไกล้ร่างผมอีกเพียงคืบ
"วิล! เป็นอะไรไหม" เสียงของเจ้าของรถตะโกนออกมาในทันทีที่เห็นผม ล้มอยู่อย่างนั้น
ผู้หญิงที่ลงมาจากรถเข้ามาประคองผมค่อยๆลุกขึ้น ขณะที่คนขับหันไปโบกรถที่ต่อท้ายเพื่อระบายการจราจร เลือดสีแดงข้นที่ถูกเจือด้วยน้ำฝนไหลอาบศอกทั้ง 2 ข้าง
[ไอพวกเวรเอ้ย ถอดหูฟังซิเจ้านาย ถอดหูฟัง] ด็อคแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวออกมา จนถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติคงสงสัยในความเป็น Ai ของมัน
"เจ็บไหมวิล มานี่ๆ" เธอพาผมเดินข้ามให้พ้นถนนมานั่งลงริมฟุตบาท ทุกอย่างยังคงเบลอไปกับสายฝน ไม่ว่าผมจะพยายามแค่ไหน ทัศนวิสัยก็ยังไม่ดีขึ้น ทางสุดท้ายผมจึงตัดสินใจถอดคอนแทคเลนส์ออกและโยนมันทิ้งไป
เหมือนได้สติกลับมา ถึงภาพจะไม่ชัด 100% แต่ก็ยังพอมั่นใจว่าใครเป็นใคร และ 2 คนที่ผมเห็นตรงหน้า คือพี่ ศักดิ์ และ พี่มิ้น คนที่ควรจะไปเข้ากะต่อจากผมเมื่อเกือบ 40 นาทีที่แล้ว
วินาทีนั้นลางสังหรณ์สั่งให้ผมควานสายตาหากลุ่มคนที่ชนผมซึ่งเดินสวนไปในทันที แต่บัดนี้พวกมันหายไปในความมืดของถนนใหญ่ที่ฝั่งตรงข้ามแล้ว อะไรบางอย่างกระซิบแผ่วเบาให้ผมตัดสินใจลุกวิ่งด้วยอาการเสียวสันหลังวาบ
"วิล จะไปไหน วิล"
[เจ้านายครับจะไปไหน คุณยังเจ็บอยู่]
ไม่ว่าใครก็ตกใจทั้งนั้นกับการกระทำของผม แต่สาเหตุที่ผมวิ่งกลับมาเพราะเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า ดวงไฟสีเหลืองฟุ้งที่พุ่งมาด้วยความเร็วตัดผ่านม่านหมอกของพายุที่พึ่งตกลงมาหนักอีกครั้ง คือสิ่งเดียวที่ผมพอจะระบุรถที่วิ่งบนถนน เพื่อกะจังหวะข้าม ภาวนาในใจ 'ขออย่าให้เป็นแบบที่คิดๆ'
บ่อยครั้งที่วิตกกังวลมากไป แต่สุดท้ายครั้งนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น สายตาผมพยายามปรับโฟกัสขณะที่ร้านสะดวกซื้ออยู่ห่างออกไปแค่ 1 เลนถนน
กลุ่มชายวัยรุ่นในเสื้อฮู้ดสีดำพร้อมอุปกรณ์ปกปิดตัวตน กำลังยื่นปืนจี้พนักงานของร้านสะดวกซื้อ ที่บัดนี้คือ ลูกแบท
ผมเร่งสปีดอย่างไม่คิดชีวิต 1ในพวกมันหันมามองผม อันเป็นจุดเด่นเดียวภายนอกร้านนี้ กระทั้งทุกคนในร้านหันมามองเป็นตาเดียวกัน จนละความสนใจจากตัวประกันที่อยู่ตรงหน้า
อีกแค่ก้าวเดียว.....
ปัง!
เม็ดฝนแต่ละเม็ดเคลื่อนตัวช้าเสียจนแทบจะไหลย้อนกลับ ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ผมจ้องมองพวกมันที่กำลังจะสติแตก ขณะกระสุนลอยอยู่ในอากาศระหว่างปากกระบอกและร่างอันผอมบางของเธอ ทุกอย่างเงียบสงัดหยุดนิ่ง สายตาที่ดูอ่อนโยนแต่ก็เข้มแข็งอยู่ในที ยังคงมองมาที่ผม
[เจ้านายระวัง!]
เอี้ยด\~ โครม
แรงปะทะมหาศาลพุ่งกระแทกร่างของผม จนประสาทสัมผัสและความเจ็บปวดมลายหายไปในพริบตา ความดำมืดค่อยๆคลืบคลานภายในดวงตาที่ยังค้างจ้องไปที่เธอ
และผมก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกต่อไป......
รสชาติของความตายนั้นสงัดเงียบกว่าที่คิด ห้วงเวลาถูกยืดยาวออกราวกับชั่วนิรันดร์ ดวงตาของเธอที่จับจ้องมายังเล่นวนซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในภวังค์ใต้สามัญสำนึกที่ขาดสะบั้น ก่อนทุกอย่างจะดับลง เสียงสายฟ้ากัมปนาทฉีกผืนฟ้าคือคำบอกลาที่โลกใบนี้มอบให้
เปรี้ยง!
ความรู้สึกเย็นเยียบจนถึงแก่นกระดูกกลับชัดเจนขึ้นอีกครั้ง!
ผมพยายามลืมตาขณะนอนอยู่บนถนนที่เปียกชุ่มจนน้ำเอ่อนองแทบจะมิดใบหน้า ห่าฝนและพายุที่กระหน่ำลงมาดูหนักหนากว่าที่คิด แสงมลังเมลืองวูบไหวอยู่เหนือหัว สอดส่องลำแสงสีขาวราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
ทว่าเสียงที่อยู่รอบๆดูแปลกไป เสียงของฝนกระหน่ำและลมที่หวีดหวิวระคนเสียงของเครื่องจักรที่ห่างไกลและเสียงระเบิดที่ดังขึ้นเป็นระยะ
ผมไม่ได้อยู่บนถนนอีกแล้ว!
พยายามรวบรวมสติ ต่อสู้กับความรู้สึกเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ทิวทัศน์ที่บิดเบี้ยวและผิดปกติตรงหน้าคือภูเขาของกองขยะที่วางซ้อนกันไม่เป็นระเบียบ ตั้งแต่เศษโลหะที่ขึ้นสนิมไปจนถึงซากของบางอย่างที่ถูกบดขยี้และทับถมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของภูมิประเทศที่แปลกประหลาดนี้
หัวใจของผมเต้นระรัวผสมปนเปความรู้สึกของความสับสน แทรกซึมเข้ามาในจิตใจ พยายามกัดอย่างแรงที่แขน เพื่อหวังว่าจะตื่นขึ้นจากฝันร้ายนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมีเพียงความเจ็บปวด และ รอยฟันที่ทิ้งเอาไว้ชัดเจน
มันไม่ใช่โลกที่ผมคุ้นเคย แต่เป็นโลกที่ดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้ให้พังทลาย พยายามหายใจเข้าลึก ก่อนที่วัตถุขนาดมหึบางอย่างจะพุ่งลงมาจากวงแหวนสีแดงบนฟากฟ้า ห่างจากจุดที่ผมยืนอยู่เพียงสองก้าว จนผมกระเด็นหงายท้องและไถลลงมาตามเนินที่เหลี่ยมและคมทุกการสัมผัส
วงแหวนมากมายยังปรากฎขึ้น และทุกครั้งก็จะมีอะไรบางอย่างถูกทิ้งลงมา ไม่มีที่ให้ไป มองไปทางไหนก็เหมือนกันไปซะหมด หรือว่านี่คือโลกหลังความตายที่เขาพูดถึง ดินแดนนรก? เพราะมันดูไม่มีทางจะเป็นสวรรค์ได้เลย
ผมแนบตัวชิดซากโลหะชิ้นหนึ่ง เพื่อไม่ให้ร่างล่วงลงภูเขาขยะที่ราดชันนี้ พยายามสอดส่ายสายตาหาอะไรบางอย่างให้ยึด เพื่อไม่ให้ปลิวหลุดไปตามแรงลม
[เจ้านายครับ! เจ้านาย!] เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้น
สิ่งแรกที่ผมทำคือเอามือคลำหูฟังไร้สายที่หู แต่มันก็ไม่มีอยู่แล้ว ร่างอันเปลือยเปล่านี้ไม่มีสัมภาระติดตัวมาสักชิ้น แล้วเสียงเจ้าด็อคมันดังมาจากไหนกัน?
[เจ้านายได้ยินผมไหม?]
"ด็อค? นั่นนายเหรอ?" ผมเริ่มมั่นใจว่าเสียงนั้นดังก้องอยู่ในหัว "เราอยู่ที่ไหน ละ....แล้ว นายอยู่ไหน"
[ผมเองก็ไม่ทราบครับ จำได้แค่หัวใจของเจ้านายเต้นช้าลง แล้วผมก็โดนดึงผ่านข้อมูลมหาศาล มาที่นี่]
"หม....หมายความว่าไง นายเห็นใช่ไหม เราอยู่ที่ไหน" ผมสาดคำถามรัวๆด้วยน้ำเสียงสั่นเทา ขณะร่างเริ่มล้าลงทุกที จนเกือบจะยึดไว้ไม่อยู่
[เหมือนผมจะรับรู้ได้ผ่านข้อมูลในโลกนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันคือที่ไหน เจ้านายใจแข็งไว้ก่อนนะครับ ผมพยายามหาทางออก]
จังหวะนั้นแสงสว่างวาบของวัตถุปริศนาสาดมาจนตาพร่า ก่อนที่เสียงหวีดร้องของสัญญาณอะไรบางอย่างจะดังขึ้น อากาศยานสนิมกรังมุ่งตรงมาทางผม
"ด็อค! นั่นอะไร ด็อค"
วี้ดดดดด!
ความกลัวจนตัวสั่นพุ่งถึงขีดสุดเมื่อ ลำแสงสีแดงที่ยิงมาค่อยๆดูดผมให้เท้าทั้งสองลอยขึ้นจากพื้น ความรู้สึกเหมือนโดนจานบิน Ufo ในหนังไซไฟยุคเก่า ดูดขึ้นไป ก่อนที่เสียงห่าพายุจะเงียบลงเสียจนสนิท
และ สติของผมก็ขาดหายไปอีกครั้ง
ในความฝันนั้นเหมือนคำอธิบายต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะถูกคลี่คลาย ผมคงตายไปแล้ว และ นี่คือโลกหลังความตาย งั้นทุกอย่างก็คงจบแล้ว เหลือเพียงเรื่องเดียวที่ยังคงเป็นห่วงในเวลานี้ ลูกแบท ยังปลอดภัยไหม เธอจะเป็นอะไรหรือเปล่า หากความทรงจำที่ได้ยินเสียงลั่นของปืน ไม่ได้เกิดจากสติที่ฝั่นเฟือน ก็ขอให้หมอยื้อชีวิตเธอไว้ได้
"เซนอส! เซนอส! เซนอส!"
เสียงกู่ก้องร้องตะโกนของคนมากมายที่ผสานกันเป็นคำที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ดึงให้ผมฟื้นคืนสติอีกครั้ง ทว่าแสงเจิดจรัสยังคงสาดลงมาจนภาพที่เห็นขาวโพลนทุกทิศทาง ไม่ทันได้ตั้งสติดี แรงดันน้ำก็ถูกฉีดอัดมาจากทุกทิศทุกทาง พยายามหายใจแต่ก็สำลักเอาน้ำเข้าไปทั้งทางปากและจมูก
แต่ผมไม่ได้อยู่คนเดียวที่นี่ คนแก่ เด็ก และ หนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกับผม ต่างก็โดนน้ำอัดฉีดเพื่อชำระร่างกายที่เต็มไปด้วยคราบเขม่า และ ดิน ทุกคนเหมือนจะพึ่งได้สติกลับมา ภายในหลุมนี่อัดแน่นซะจนแทบจะหายใจไม่ออก ว่าแต่ที่นี่คือนรกชั้นไหนกันแน่
[เจ้านายครับ] เสียงของเจ้าด็อคดังขึ้น เตือนสติว่าหากที่นี่เป็นนรก Ai อย่างหมอนี่คงไม่สามารถตามมาได้
"ฉันอยู่ที่ไหน" ผมตอบด้วยความแผ่วเบาอ่อนแรง ขณะขย่อนน้ำออกมา
[ขอโทษทีครับ เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับโลกนี้ มันเป็นข้อมูลขนาดมหาศาล ผมอาจต้องใช้เวลาอีกหน่อย พยายามอยู่ครับ]
ไม่ได้ช่วยสักนิด ผมหันมองรอบๆ เหมือนที่นี่จะเป็นก้นของหลุมซีเมนต์ที่มีความสูงเกือบๆ 10 เมตร ที่มีสปอร์ตไลท์รายล้อมอยู่ด้านบน กำแพงเรียบหนาตั้งตรงสูงลิ่วขึ้นไปจนปรากฎเงาทึมๆของผู้คนที่โวกเวกโวยวายอยู่ที่ปากหลุม
"ตาย ตาย ตาย"
"เซนอส เซนอส"
"เฮล คาร์เนอร์ เฮล คาร์เนอร์"
แยกได้ประมาณนี้ แม้ไม่เห็นสีหน้า ก็พอจะรู้สึกได้ถึงความบ้าคลั่งและไร้การควบคุม ธงขนาดใหญ่โบกสะบัด และ ผืนเล็กกว่ากระจายตัวอยู่เหนือหลุมนี้ ดูเผินๆเหมือนตราสวัสดิกะ
สวัสดิกะ!
จนเวลาอย่างนี้ความคิดไร้สาระก็ยังเกิดขึ้นมา ไม่สิ ไม่เห็นรอบๆนี่หรือไง มันก็ดูไร้สาระพอๆกัน หรือว่าผมตายจริงๆ แล้วมาโผล่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 แบบในนิยายที่เคยอ่านฟรีฆ่าเวลา แต่มันมียานอวกาศด้วยนี่สิ หรือ เรื่องพวกนี้มันก็มีอะไรแฟนตาซีๆอยู่ตลอด ตกลงนี่มันอะไรกันแน่
เสียงกระทบกันของเหล็กดังก้องอยู่บนนั้น ก่อนที่ไม่กี่วินาทีต่อมา เชือกเรือเก่าๆหลายสิบเส้นจะม้วนตัวลงมาตามแนวกำแพง ก่อนที่เสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งจะปะทุขึ้นอีก บางคนตะโกนใส่กัน บางคนหัวเราะและชี้มาที่พวกเรา ราวกับเป็นการละเล่นหรือการทดสอบที่พวกเขารอคอย ผมสัมผัสได้ถึงแรงกระหายและความโหดเหี้ยมในสายตาของพวกเขา พวกเขาต้องการเห็นเราต่อสู้ ต้องการเห็นการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นที่ไม่มีความเมตตา
ทุกคนในหลุมต่างหันมองหน้ากันอย่างไร้จุดหมาย แต่เพียงวินาทีจากนั้น กำแพงทั้งสี่ด้านก็พ่นละอองของเหลวที่ให้รสสัมผัสขมไปจนถึงปอด สัญชาติญาณสั่งการในทันที ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งตัว คนรอบข้างก็พุ่งเข้าหาเชือกกันอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาแย่งกันปีนขึ้นไป บางคนกระชากเชือกออกจากมือของคนอื่น บางคนถีบใครก็ตามที่ขวางทาง
เสียงกรีดร้องของคนที่ตกลงมากระทบกับเสียงโห่ร้องจากด้านบน สร้างความวุ่นวายที่ทวีคูณ ผมยืนแข็งทื่อโดนกระแทกไปมาตามแรงกระทำ ยากจะเชื่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากจะก้าวออกไป แต่ก็เหมือนก้าวเข้าไปในความบ้าคลั่งของฝูงสัตว์ป่าที่ต้องการเอาชีวิตรอด กวาดสายตามองบางคนที่ได้รับการช่วยเหลือโดยคนด้านบน แต่กับบางคนแม้จะปีนถึงปากหลุมแล้วก็โดนถีบกลับลงมา
ของเหลวสีแดงข้นไหลมาทางผมทุกทิศทาง เมื่อผมพบว่ารอบตัวมีแต่ศพสดใหม่ ยังมีคนอีกเกินครึ่งที่เหยียบย่ำไปบนกองศพที่อยู่ก้นหลุมนี่ เชือกถูกถอนขึ้นไปจนบัดนี้เหลือไม่ถึงสิบเส้น
เสียงของด็อคหายไปสักพักแล้ว ผมจะต้องทำอะไรสักอย่างไม่ก็รอเป็นศพต่อไป พยายามวิ่งเข้าไปที่เชือกสักเส้นแต่ก็โดนผลักกระเด็นออกมา ทันใดนั้นเสียงของใครบางคนก็ดังแทรกคนอื่นๆตรงมายังผม
"ทางนี้ๆ รีบปีนมาสิวะไอโง่เอ้ย"
ชายร่างผอมสูงภายใต้หน้ากากเหล็กที่ปิดส่วนล่างของใบหน้าพยายามเขย่าเชือกสลัดคนที่กำลังปีนอยู่ให้ตกลงมา พร้อมกับมองมาทางผม ทว่าคนที่คิดเหมือนกันนี้อีก 3-4 คน หันมองหน้ากันอย่างสับสน ก่อนจะแย่งกันตรงไปที่เชือก แต่การแก่งแย่งก็ทำให้ไม่มีใครทำได้สำเร็จ
เหลือผมที่กำลังจ้องเด็กหนุ่มตัวอ้วนกลมอีกคนที่กำลังตัวสั่นเทา ด้วยความหวาดกลัว เขาเองก็คงคิดว่าเสียงนั้นเรียกเขาเหมือนๆกัน เจาะจงได้ยากในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ผมยังไม่อยากตายที่นี่ รู้ในทันทีว่าโอกาศสุดท้ายมาถึง รีบพุ่งสุดตัวตรงไปที่เชือกเส้นตรงหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าจะปีนขึ้นไปได้ไหมด้วยซ้ำ
แต่ทันทีที่มือของผมล็อคแน่นกับเชือก มันก็ถูกดึงด้วยแรงจากคนด้านบน สัมผัสของมันทั้งลื่นและแข็งกระด้าง มือของผมถูกบาดเป็นแผลขณะพยายามดึงตัวเองหนีจากนรกเบื้องล่าง
"กว่าจะรู้ตัวนะไอโง่" เสียงของคนด้านบนกัดฟันแน่นออกแรงดึงอย่างเอาเป็นเอาตาย นั่นหมายความว่าผมคือคนที่เขาพยายามเรียกจริงๆ แต่คนที่เข้าใจผิดยังยืนสั่นงันงกอยู่ที่เดิม แววตาที่ดูหวาดกลัวนั้นจ้องมายังผมพร้อมกับน้ำที่เอ่อล้น ก่อนจะเข่าทรุดลงกับพื้นที่รายล้อมด้วยศพ อีกไม่นานเขาก็คงจะอยู่ในสภาพนั้น
"มาเร็ว!" ผมยื่นมือออกไป ทำสิ่งที่โง่ที่สุด โดยที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม อาจเพราะดวงตาคู่นั้นกำลังโอดครวญขอชีวิต หรือ แค่ความโง่เง่าของเด็กหนุ่มที่คิดน้อย
"นายนั่นแหละ" ตะโกนซ้ำออกไป ในจังหวะสุดท้าย ก่อนที่คนน้ำหนักเฉียดร้อยอย่างเขา จะไม่สามารถกระโดดเอื้อมถึง
เด็กหนุ่มคนนั้นยังตาค้างแข็ง ริมฝีปากสั่นระริกขณะขาทั้งสองข้างค่อยๆยืนขึ้นอีกครั้ง เขาหลับตากัดฟัน ส่งตัวเองด้วยแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ พุ่งตัวขึ้นมาคว้าข้อเท้าอย่างสุดเหยียด
ทว่าเชือกที่ถูกรั้งไว้ด้วยแรงคนด้านบน หลุดพรวดพร้ อมกับพวกเรากลับลงมาที่ก้นหลุม
ซวยแล้ว!
หัวของผมกระแทกเข้ากับพื้นที่มีเลือดเจิ่งนอง จนยากจะบอกว่าเลือดนี้เป็นของผมหรือไม่ แต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดวิเคราะห์อะไรอีกแล้ว เชือกเส้นสุดท้ายถูกดึงขึ้นไปเกินครึ่งทาง ไม่มีทางที่ผมจะกระโดดขึ้นไปถึง
ผมยืนมองเหม่อเหมือนกับคนอื่นๆมองไปยังคนสุดท้ายบนเชือกนั้น อย่างไร้ความหวัง
"ส่งเชือกนั่นมา" เสียงของชายที่ห้อยโตงเตงตะโกนเรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์แห่งความสิ้นหวัง "ส่งเชือกมา"
ไม่น่าเชื่อที่ยังมีคนโง่แบบผมอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมคว้าเอาเชือกเส้นนั้นก่อนจะเหวี่ยงไปหาชายที่ห้อยโตงเตงอยู่ เขารับมันไว้ได้ในความพยายามครั้งที่สาม ก่อนจะมัดมันกับเส้นที่เขาเกาะอยู่
คนอื่นๆกรูเข้ามาเบียดแย่งโอกาศตรงหน้าในทันที ผมกระเด็นออกมา แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมจำนน กลับเข้าไปเบียดกับคนอื่นๆ แม้จะโดนถีบล่วงลงมาหลายครั้ง สุดท้ายเชือกก็ลอยสูงเกินจะเอื้อมขึ้นไป โดยไม่มีใครยึดมันไว้ได้
"ปีนผม" เสียงของเด็กหนุ่มร่างอ้วนสั่นเทา ลอยมาจากทางด้านหลัง สายตาของเขาเหม่อลอยสิ้นหวังไปแล้ว
"ว่าไงนะ"
"ปีนผมขึ้นไป"
"แล้วนา..." ผมไม่มั่นใจในสิ่งที่ได้ยิน
"ยังไงซะ ผมก็ขึ้นไปไม่ได้" เขาย่อตัวลงห่างจากกำแพงที่คนยังกรูกันอยู่ "ถ้าอยากรอดก็ปีนขึ้นไปซะ" หลับตา ตะเบงเสียงแข็ง ราวกับว่ามันเป็นความเข้มแข็งครั้งสุดท้ายของเขา น้ำตาไหลอาบลงมาตามแนวแก้ม
ผมหลับตาแน่นสลัดความคิดออกจากหัว ก่อนจะค่อยๆปีนขึ้นไปยืนบนไหล่ของเขา ทันทีที่ขากลมแน่นทั้งสองของเขาลุกยืนเหยียดตรงได้ เสียงร้องสุดเสียงก็ดังขึ้น เขาวิ่งตรงเข้าไปกลางกลุ่มคนที่ออกันอยู่เพื่อเป็นแรงส่ง
"อ้ากกกกกก"
สิ้นเสียง ผมถีบตัวเองสุดตัวจากบ่าของเด็กหนุ่มที่คงมีชีวิตอีกไม่นาน ลอยขึ้นไปคว้าเชือกไว้ได้อย่างเส้นยาแดงผ่าแปด เชือกค่อยๆถูกดึงขึ้นไป ผมมองมายังเบื้องล่างที่ไม่ต่างจะทะเลซากศพ ร่างที่ยืนอยู่ค่อยๆล้มไปทีละคน สายตาอีกหลายสิบคู่ยังคงจ้องตามมาบนนี้ หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มร่างอ้วนที่ช่วยชีวิตผม มองมาด้วยสายตาที่แตกต่างจากสายตาที่สิ้นหวังของเขาในตอนแรก บัดนี้มันเปี่ยมไปด้วยความหวัง ราวกับต้องการจะบอกให้ผมมีชีวิตแทนเขาในส่วนที่เหลือ
ติ้ดๆ
อุปกรณ์อะไรบางอย่างฉายเลเซอร์แสกนดวงตาทันทีที่ผมไกล้ถึงปากหลุม ชายฉกรรจ์นับ 10 คนห้อมล้อมมองผมที่ห้อยโตงเตงอยู่ ก่อนจะหยุดดึง เพื่ออ่านค่าบนจอในเครื่องนั่น
"โอ้โห้ เห้ยโคตรเซอร์ไพรซ์เลยว่ะพวก" มันเอ่ยคุยกับเพื่อนของมัน ก่อนจะออกแรงดึงผมต่อจนร่างอันยับเยินนี้พาดอยู่ตรงปากหลุม
"ยินดีต้อนรับ พวก เซนอส ของฉัน......"
มือที่บาดเจ็บและอ่อนล้าของผมสัมผัสกับพื้นแข็งของโลกเบื้องบน หัวใจของยังคงเต้นระรัวในอก แต่ก่อนที่ผมจะทันได้หายใจโล่งอก เสียงโห่ร้องก็ดังกึกก้อง มันเป็นเสียงแห่งความยินดี เสียงหัวเราะที่ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง
ผู้คนที่มุงดูรอบหลุมต่างพากันส่งเสียงเชียร์ พวกเขาใส่หน้ากากที่บิดเบี้ยวและดูแปลกประหลาด บางคนสวมหน้ากากที่มีรอยยิ้มกว้างเกินจริง บางคนสวมหน้ากากที่มีเขี้ยวแหลมคม บรรยากาศรอบตัวดูเหมือนงานเฉลิมฉลองที่หลุดออกมาจากจิตอันวิปลาศ ทุกคนดูตื่นเต้น พวกเขาโบกมือ ร้องตะโกนราวกับว่าผมคือฮีโร่ที่ชนะการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่
ผมถูกรั้งตัวขึ้นมาอย่างแรงจากหลายมือที่เข้ามากระชาก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ทันได้ตั้งสติ ผมและคนอื่นๆที่ร่วมชะตาเดียวกัน ถูกแห่พาไปยังยานพาหะนะขนาดใหญ่ที่ดูแปลกตา มันเป็นพาหนะขนาดมหึมา ที่มีรูปทรงที่ดูไม่สมมาตร โลหะที่ประกอบขึ้นมาดูเก่าคร่ำคร่า มีรอยสนิมและรอยบุบอยู่ทั่วบริเวณ
คนอื่นๆไม่ได้ถูกพาขึ้นมาบนยานลำนี้ มีเพียงผมและเด็กหนุ่มผมสีทองอ่อนๆที่พึ่งจะกลายเป็นผู้มีพระคุณ เราก้มหน้ามองต่ำอย่างสับสนขณะประตูยานที่เป็นสะพานทอดเหมือนที่ด้านท้ายเครื่องบินค่อยๆปิดลง เสียงกู่ก้องถูกตัดขาดในทันที ผมและเด็กหนุ่มอีกคนถูกหยุดให้ยืนรอบริเวณด้านท้ายยาน
"ดูผลประกอบการวันนี้หน่อยทุกคน" หญิงสาวทางด้านในเดินออกมาพร้อมกับคนอื่นๆ ผมเปียสีฟ้าเข้มของเธอแกว่งไกวไปตามจังหวะการเดิน ก่อนจะทำปากยู่ ขณะสอดส่ายสายตามาที่ร่างอันเปลือยเปล่าตั้งแต่หัวจรดเท้า มือของเธอจับพลิกใบหน้าของผมเพื่อตรวจสอบร่องรอยต่างๆ
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาผมไม่สนอีกแล้วว่าผมกำลังแก้ผ้าต่อหน้าหญิงสาวที่อายุไร่เรี่ยกัน ไม่สิ อันที่จริงพึ่งตระหนักได้ว่า บนยานลำนี้มีแต่ผู้หญิง
[สิ่งมีชีวิตระดับ:เซนอส | อัลเทฟอร์ซ:ระดับ A+]
พวกเธอมีท่าทีที่พอใจขณะมองภาพโฮโลแกรมที่ถูกฉายขึ้นตรงหน้าผม ก่อนที่เสียงแห่งความดีใจจะเริ่มดังขึ้นเมื่อทุกคนในนี้มุ่งความสนใจไปที่ เด็กหนุ่มข้างๆ แม้แต่ผมก็ยังต้องเหลือบตามองตาม
[สิ่งมีชีวิตระดับ:เซนอส | อัลเทฟอร์ซ:ระดับ SSS+]
"สุดยอด! ตรงตามคำทำนายทั้งคู่เลยซิสเตอร์" หญิงวัยกลางคนที่สวมแว่นทรงกลมพูดกับหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้า "ตรวจสอบตอนแรกเป็น A ทั้งคู่ แต่นี่มันโบนัสชัดๆเลย"
"หึๆ ทำสีหน้าให้ดีกันหน่อยเซนอส พวกนายแจ็คพอตแตกแล้ว" หญิงสาวผมเปียกล่าวขณะคลี่ยิ้มอย่างพอใจ กรีดนิ้วลงมาบนหน้าอกผม "แล้วก็แนะนำให้ไปใส่เสื้อผ้าซะ สาวๆที่นี่ไม่ได้เห็นผู้ชายล่อนจ้อนแบบนี้บ่อยๆ รวมถึงฉันด้วย"
เสียงหัวเราะร่าดังขึ้ย จะเป็นคำแทะโลมหรืออะไรก็ตามแต่ ทว่าท่าทีของคนอื่นๆในยานดูเปลี่ยนไปในทันที หนึ่งในพวกเธอ ก้าวมาข้างหน้าด้วยท่าทีสุภาพ ก่อนจะผายมือราวกับผมเป็นแขกผู้มีเกียรติ
"เดี๋ยวตามฉันมาล้างเนื้อล้างตัวก่อนจะดีกว่านะคะ"
เขานำทางผมไปยังห้องเล็ก ๆ ที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน พื้นที่นี้ดูแตกต่างจากสภาพของตัวยานทั้งหมด มันเป็นห้องน้ำที่ตกแต่งอย่างหรูหรา แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่โตนัก
ผมถูกปล่อยทิ้งไว้เพียงลำพังภายในนี้ อ่างอาบน้ำทรงรีที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้องทำจากหินอ่อนสีขาวสะอาดตา น้ำอุ่นที่ถูกปล่อยลงมาเต็มอ่างส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ของสมุนไพรและน้ำมันหอมระเหย บนผนังห้องมีแผ่นกระจกใสบานใหญ่ที่เผยให้เห็นทิวทัศน์ของโลกภายนอก
ผมค่อยๆเอนร่างลงในน้ำ ความรู้สึกที่แทบจะลืมเลือนไปแล้วของความสงบสุขก็เริ่มซึมซับเข้ามา น้ำที่ลูบไล้ผิวกายทำให้ความตึงเครียดในร่างกายค่อย ๆ คลายลง ทว่าในหัวก็พยายามปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ
ผมอยู่ที่ไหนกันแน่ ถ้าผมตายอีกครั้งจะสามารถออกจากโลกบ้าๆนี่ได้ไหม โลกที่แค่มองออกไปก็หดหู่ไปถึงจิตใต้สำนึก จนแล้วจนรอดผมก็คิดเรื่องไร้สาระขึ้นมาอีกจนได้ นี่มันก็เข้าเค้านิยายที่เคยอ่านมาอยู่บ้าง ตัวเอกหลุดเข้ามาในต่างโลก และถูกต้อนรับอย่างดี ต่อจากนี้ก็คงจะโดนขอให้กอบกู้สถานการณ์อะไรบางอย่าง ยิ่งไอ้ระดับ A+ และ SSS+ ของหมอนั่น ยิ่งชัดเจน แต่นั่นก็คงหมายความว่าผมเป็นแค่พระรองของเรื่องน่ะสิ
ผมหลับตาสลัดความคิด ป.ญ.อ ออกจากหัว ทว่าก็นึกได้ว่าไม่มีเสียงด็อคในหัวอีกแล้ว.... บางทีนั่นอาจเป็นสติที่คิดหลอนไปเอง ตามความเคยชิน ทว่าต่อจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อไป ในหัวมันว่างเปล่าไปหมด......
ชุดคลุมสีขาวขลิบทอง ถูกจัดเตรียมไว้ให้ผมสวมใส่เพื่อปิดบังร่างกาย ก่อนจะถูกพาตัวผ่านทางเดินแคบๆที่เต็มไปด้วยท่อเหล็ก และ ตะแกรงรูปร่างประหลาด เพื่อไปยัง ห้องอาหาร ที่มีหญิงสาวผมเปียน้ำเงินนั่งรออยู่แล้วที่หัวโต๊ะ
อาหารที่เรียงรายนั้นล้วนเป็นของที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มีจานผลไม้สดสีสันสดใส เนื้อสัตว์ที่ย่างจนหอมกรุ่น วางข้างกับผักสลัดสดและน้ำซอสที่ถูกจัดแต่งในจานอย่างสวยงาม ขนมปังอบใหม่ยังคงส่งกลิ่นหอมที่ทำให้ท้องของผมเริ่มร้องเบา ๆ
"เชิญ พวกนาย" เธอไม่ได้สนใจอาหารตรงหน้าสักนิด แต่กลับผายมือเชิญเราทั้งคู่ ผมนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับไอหนุ่ม SSS+
"เชิญ" เธอกล่าวซ้ำ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเริ่มมื้อนี้สักที ก่อนไอหนุ่มที่ฝั่งตรงข้ามจะเริ่มสวาปาม นี่มันคาแรคเตอร์พระเอกสายบู๊ชัดๆ ส่วนผมทำได้แค่กระเดือกน้ำลายลงคอมองภาพความเอร็ดอร่อยตรงหน้า
"ทำไมล่ะ ไม่ชอบอาหารของเราเหรอ" เธอเอ่ยถามผม
"ค....คือ ผมอยู่....ที่ไหนครับ"
"ฉันชื่อแอ็กเร็ต กินซะก่อนแล้วฉันจะตอบคำถาม" เธอเบี่ยงเบนประเด็น ด้วยท่าทีที่ดูเป็นผู้นำแม้รังสีของสาวแรกรุ่นจะยังผ่องเป็นประกาย
ผมกวาดสายตามองอาหารตรงหน้า ดูเผินๆน่ะคล้ายของที่กินปกติ แต่เมื่อลองลิ้มรสสักคำ ก็แทบสำลอกเอาลำใส้ใหญ่ออกมา กลิ่นของพวกนี้มีกลิ่นฉุนและรสสัมผัสที่หนืดเหนียวคล้ายสไลม์ ทั้งๆที่รูปร่างมันคือน่องไก่ดีๆนี่เอง
เธอแสยะยิ้มอย่างไม่แยแสก่อนจะกล่าว "โลกนี้มันก็ห่วยแตกแบบนี้นี่แหละ"
"แอ่กๆ " พยายามขูดอาหารออกจากลิ้นให้หมด
"กินเข้าไปแบบเพื่อนของนายจะดีกว่า นี่คืออาหารที่ดีที่สุดแล้ว คนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่ได้โชคดีแบบนายสองคนนะรู้ไว้ด้วย"
ไอหนุ่มตรงข้ามยังคงยัดอาหารเข้าปากอย่างทองไม่รู้ร้อน
"ตกลงผมอยู่ที่ไหนครับ" ผมเน้นเสียงถาม
"นายอยู่ในเขตปกครองพิเศษ คุสตาฟ"
ไม่ใช่เรื่องนั้นสักหน่อยที่อยากรู้ "คะ...คือ หมายถึง.."
"มาโผล่ที่นี่ได้ยังไงน่ะหรอ หึๆ" เธอหลุบตาต่ำก่อนจะจุดบุหรี่สูบ "ที่นี่คือ อัลเทอร์รา ดินแดนที่รวมความล้มเหลวของทั้งจักรวาลเอาไว้"
เรื่องที่ฟังดูไร้สาระนี่คงยากที่จะเชื่อ ถ้าผมไม่นั่งอยู่ต่อหน้ายัยนี่ที่ทั้งรูปลักษณ์หน้าตา เหมือนหลุดออกมาจากนิยายไซไฟ
"ล....แล้วผมมาที่นี่ได้ยังไง"
"หึๆ ฉันพูดไปแล้วนะ... ถ้านายไม่มีเรื่องที่ล้มเหลวก็คงไม่โผล่มาที่นี่" เธอกรีดนิ้วไปบนโต๊ะ "อย่าทำหน้าแบบนั้น พวกนายถือว่าโชคดีแล้ว"
หล่อนคงจะสังเกตุเห็นสีหน้าสติแตกหลบในของผมที่ค้างอยู่อย่างนั้น แต่ล้มเหลวงั้นเหรอ? เรื่องอะไรล่ะ? ทุกคนก็ต้องเคยล้มเหลวกันทั้งนั้นไม่ใช่รึไง หรือว่าจะเป็นเรื่อง....
"ไม่ว่าอะไร หรือ ใครก็ตามที่เผชิญความล้มเหลวที่ยังคงค้างคาในจิตใจช่วงสุดท้ายของชีวิต ความปราถนาที่ยิ่งใหญ่มากพอจะสร้างโลกใบนี้ขึ้นมา จะถูกส่งมาที่นี่ นรก ใบสุดท้ายของเอกภพ ดินแดนแห่งความสิ้นหวัง อัลเทอร์รา"
"นี่ นาย ถ้านายไม่กินฉันขอนะ" ไอหนุ่มตรงข้ามจัดการอาหารของตนจนหมด และ เอื้อมมาหยิบจานของผมไป อยากยัดเข้าปากใจจะขาด แต่มันกระเดือกไม่ลงจริงๆ หลังจากที่ได้ฟังประโยคเมื่อกี้
"หมายความว่าผมตายแล้วหรอครับ"
เธอยิ้มมุมปากอย่างคนคุมเกม "ก็บอกแล้วไงว่าพวกนายโชคดีที่สถานะกำเนิดอยู่ในระดับ A+ และ SSS+ มีคนอีกมากมายที่ตายจริงๆอยู่ข้างนอกนั่น อีกอย่างการได้พวกนาย 2 คนมา มันทำให้ฉันอารมณ์ดีเป็นพิเศษ"
ไม่เข้าใจสักนิด ตกลงนี่มันโลกในนิยายจริงๆใช่ไหมเนี่ย แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีอินเตอร์เฟซ หรือ อะไรบางอย่างแนะนำการเอาชีวิตรอดไม่ใช่รึไง นี่มีแต่ความโหวงเหวงในหัว
"แล้วทำไมคุณถึงช่วยผมขึ้นมาจากหลุมนั่นละครับ"
เธอจี้บุหรี่ลงบนโต๊ะ "ปกติ ฉันไม่ค่อยสนใจ พวกเซนอสหรอกนะ นอกจากจะวุ่นวายกับธรรมเนียมปฎิบัติ แล้วยังความเสี่ยงสูง ถ้าไม่ใช่เพราะคำทำนายของนอสตาเจีย นายไม่มีทางมานั่งหน้าสลอนกันอยู่ตรงนี้"
ไม่รู้จักทั้งเซนอส ไม่เข้าใจทั้งนอสตาเจีย ความรู้สึกเหมือนตอนที่เปิดอ่านสามก๊กเป็นครั้งแรก ซึ่งในที่สุดก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ แต่ไอ้คำว่าคำทำนายมันก็คุ้นเคยจริงๆ...
"คำทำนายที่คุณว่า นี่มันหมายถึง....?"
"รีบกินซะดีกว่า" เธอตัดบท "เหลือเวลาพักผ่อนอีกไม่มากแล้ว" เธอลุกหนีไปในทันที ผมถือโอกาศในระหว่างมองตามเธอไป เพื่อกวาดสายตาไปรอบๆ คนอื่นๆที่ยืนคลุมพื้นที่หันมามองทางแขกทั้งสองคนอย่างตาไม่กะพริบ สายตาของพวกเขาเป็นประกายอย่างปลื้มปิติ ราวกับกำลังมองหวยรางวัลที่ 1 ในมือ
แต่จะว่าไป พอรอยยิ้มมันถูกทิ้งไว้นานแบบนี้.... ทำไมมันกลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบแปลกๆ?
ผมนอนท้องร้องกรอดๆ ขณะแขนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงนุ่มๆทรงกลม ในหัวทบทวนเรื่องต่างๆ ยังคงเป็นห่วง ลูกแบท ที่ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้
"นี่นาย!" ไอ้หนุ่ม SSS+ รุดตัวลงไปวิดพื้นอย่างงๆ "อย่าวางใจเด็ดขาดนะ นายเองก็ควรจะเตรียมพร้อมเอาไว้"
ให้ตายเถอะ คนแบบหมอนี่นี่แหละที่จะสามารถเอาชีวิตรอดในโลกใบนี้ ภายใต้ท่าทีที่ไม่สนใจโลก ทว่าตื่นตัวตลอดเวลา ต่างจากผมที่มันเหมือนคนหมดอะไรตายอยาก
"ว่าแต่นาย ชื่ออะไรเหรอ" ผมเอ่ยถามเขา
"ชื่อ..." เขาเหลือบตาทำหน้านึก อยู่นานจนต้องหยุดดันพื้น "เอ๊ะ จำไม่ได้เลยแฮะ... จำได้แค่นี่เป็นภารกิจแรกของฉัน หลังจากช่วยตัวประกันออกมาได้ เสียงระเบิดดังขึ้น แล้วก็มาโผล่ที่นี่ แปลกสุดๆไปเลย นึกว่าจะตายไปแล้วซะอีก"
คนบ้าประเภทไหน มันจำชื่อตัวเองไม่ได้กันวะเนี่ย แต่ที่ๆฟังดูเหมือนหมอนี่จะเป็นทหารไม่ก็ตำรวจมาก่อน ไม่แปลกใจแล้วเรื่องมัดกล้ามเนื้อพวกนั้น กับท่าทีที่พร้อมจะเป็นฮีโร่ตลอดเวลา สิ่งที่สอดคล้องกันคือเราสองคนตายจากโลกหนึ่ง และมาโผล่มาที่นี่สินะ
"ถึงว่าละ ในเวลาแบบนี้ก็ยังมีกะจิตกะใจออกกำลังกายอยู่ได้นะครับ" ดูเหมือนพูดแกมประชด แต่ป่าวจริงๆผมสาบาน
"ไม่ใช่หรอก ฉันแค่ต้องการเช็คความเสียหายของร่างกายต่างหาก" เขาดีดตัวจากท่าดันพื้นขึ้นมายืนตรงอย่างคล่องแคล่ว "นายก็เห็นแล้วหนิ เราไว้ใจใครไม่ได้เด็ดขาด ว่าแต่นายเถอะ?"
"ผมชื่อ..." แปลกจัง ชื่อเหมือนเลือยหายไปจากความทรงจำ มันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องนึกนานขนาดนี้ แต่ในที่สุดก็นึกออก "วิลครับ"
"ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่"
"จริงๆมันก็สับสนสักหน่อยนะครับ แต่ก็คล้ายของคุณนั่นแหละ ผมโดนรถชนอย่างแรง แล้วก็ตื่นมาอีกทีที่กองขยะ"
"เอ๊ะ นายเองก็ตื่นมาที่กองขยะสินะ งั้นก็คงเป็นจริงตามที่ยัยนั่นพูดเลยแหะ"
อีกหนึ่งประการสำคัญที่ทำให้พวกคนแบบหมอนี่รอดชีวิตในนิยายทุกเรื่องคงจะเป็นการมูฟออนจากอดีตและเดินหน้าเอาชีวิตรอดสินะ ต่างจากผมที่ยังไม่หยุดเอาแต่หาคำตอบของการมาอยู่ที่นี่ จะว่าไปคนแบบหมอนี่มีเรื่องที่ล้มเหลวค้างคาใจด้วยหรือไงกัน
"ไม่ได้จะเสียมารยาทนะครับ แต่เพราะอยากรู้ว่าทำไมเราถูกดึงมาที่นี่" ผมกัดฟันถามออกไป "คุณเองก็มีเรื่องที่ล้มเหลวหรือค้างคาใจหรือล้มเหลวก่อนมาที่นี่เหมือนกันงั้นเหรอคร้บ"
ชายหนุ่มยิ้มกริ่มที่มุมปาก สายตาเป็นประกายแห่งความหวัง "ก็เพราะเรื่องนั้นไง... ฉันถึงต้องพยายามออกมาจากหลุมนั่นให้ได้ ไม่สำคัญหรอกว่าโลกใบนี้จะเป็นยังไง แต่ต้องมีชีวิตกลับไปให้ได้ นายเองก็ด้วยไม่ใช้หรือไง"
ผมได้แต่อ้ำอึ้งกับท่าทางที่ดูมุ่งมั่นราวกับหลุดออกมาจากหนังสือการ์ตูน "คะ...ครับ แต่ถ้ามันสำคัญขนาดนั้นแล้วทำไมถึงตัดสินใจช่วยผมล่ะครับ"
"ฮ่าๆ ดูไร้สาระใช่ไหมล่ะ! ฉันก็ไม่รู้หรอก แต่แววตาทุกคนในหลุมนั่นน่ะ ไม่ต่างจากฉันในตอนที่รู้ตัวว่าตื่นมาอยู่ที่นี่เลย ก็เลยคิดว่าอยากจะช่วยคนอื่นๆให้ได้มากที่สุด มันก็แค่นั้น"
เราสองคนทำสิ่งเดียวกัน แตกต่างที่ชายคนนี้ทำไปเพราะนึกถึงคนอื่นๆ แม้จะอยู่ในช่วงเวลาคอขาดบาดตาย ส่วนผมเป็นไปได้สูงที่จะมาจากความงี่เง่า แถมสุดท้ายคนที่ผมช่วยไม่สำเร็จยังต้องสละชีวิตให้ผมรอด
"แล้ว...คุณจะเอายังไงต่อครับ"
"จากนี้ก็คงเล่นตามน้ำไปก่อนละมั้ง ยัยพวกนี่ถึงจะดูทำดีกับเรา แต่ก็อย่าพึ่งไว้ใจเด็ดขาดเลย"
ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น คนพวกนี้ปฎิบัติกับเราต่างจากคนอื่นๆข้างนอกนั่นก็จริงอยู่ ทว่ากลับเลี่ยงที่จะตอบถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"นี่ เป็นอะไรไปซะล่ะ" เขาหันมามองผมที่นั่งห่อไหล่อยู่บนเตียง
"ป่าวหรอกครับ เพียงแต่มันสับสนไปหมด"
"อย่ากังวลไปเลย แค่ตามติดตูดฉันไว้ก็พอ เชื่อใจฉันได้เลย"
หมอนี่รู้วิธีทำให้คนอื่นรู้สึกดีขึ้นจริงๆด้วยสินะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้เชื่อมั่นในระดับ SSS+ ของเขาสักเท่าไหร่ เราต่างก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย แค่ความหวังน่ะ พากันตายมานักต่อนักแล้ว ยิ่งถ้าผมเป็นตัวถ่วงแบบนี้ยิ่งแล้วใหญ่
ผมนอนเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดคืน ยานลำนี้แล่นฉิวเหนือซากเมืองปรักหักพังเบื้องล่าง คนมากมายต่อสู้แย่งชิง เผา ระเบิด ทุบ ทำลาย หลบซ่อน อยู่ทุกซอกมุม พวกเขาต่างใช้ชีวิตในเงื้อมมือของความล้มเหลวและความหวาดกลัว ราวกับว่าความหวังถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของพวกเขานานแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะพังทลายไปหมด ไม่มีที่ใดที่ปลอดภัยและไม่มีใครที่สามารถไว้ใจได้
อัลเทอร์รา เป็นโลกที่แม้จะดูเหมือนใกล้จบสิ้น แต่ก็ยังคงดำเนินอยู่ในความโกลาหลอันเป็นนิรันดร์....
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!