...บทที่ 1 ...
...เพลิงแห่งการแก้แค้น...
แสงจันทร์อ่อนโยนสาดส่องสว่างไปทั่วทั้งหุบเขา ให้ความรู้สึกเย็นย่ำลงมาอย่างเงียบสงบ แต่ในค่ำคืนที่ดูสงบเช่นนี้ กลับมีเงาร่างหนึ่งกำลังหลบซ่อนอยู่ในเงามืด เซี่ยหลัน หญิงสาวในชุดดำที่กลมกลืนไปกับความมืด กำลังซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ เธอจ้องมองไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความแค้นอันร้อนแรงที่ถูกสะกดไว้ในใจมานานหลายปี
เสียงกระซิบกระชากใจของอดีตดังก้องอยู่ในห้วงคำนึงของเธอ ภาพความทรงจำของคืนที่เธอถูกลอบสังหาร ความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยวที่เธอเคยประสบ ล้วนแต่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจ และเป็นแรงผลักดันให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อมา
ในคืนวันนั้น เธอถูกทรยศจากคนที่เธอไว้ใจ ถูกทำร้ายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ด้วยความโชคดีหรืออาจเป็นโชคชะตา เธอได้รับพลังจากบุปผาเพลิงที่แฝงอยู่ในร่าง ทำให้เธอรอดชีวิตมาได้ และได้รับพลังที่ไม่ธรรมดา พลังที่สามารถเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้ได้ในพริบตา
คืนนี้เป็นคืนที่เธอจะชำระแค้น เซี่ยหลันสูดลมหายใจเข้าลึก เธอรู้ดีว่าการกระทำของเธอในคืนนี้จะไม่มีทางย้อนกลับ เธอใช้เวลาเตรียมการและรอคอยโอกาสนี้มาเป็นเวลานาน ถึงเวลาที่เธอจะปลดปล่อยไฟแห่งความแค้นที่ร้อนแรงออกมา
ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเงียบเชียบ เซี่ยหลันกระโจนลงจากต้นไม้ ร่างกายของเธอพริ้วไหวเหมือนสายลมที่ผ่านไปเบื้องหน้าของเหล่าทหารที่ยืนเฝ้า เธอเคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่วไปยังบ้านที่มีแสงสว่างเล็กน้อยที่ส่องผ่านหน้าต่างออกมา
ภายในบ้านหลังนั้น ชายผู้ทรยศที่เคยทำร้ายเธอในอดีตยังคงนอนหลับใหลโดยไม่รู้ชะตากรรมที่กำลังจะมาถึง เซี่ยหลันแสยะยิ้ม มือของเธอยกขึ้นอย่างช้า ๆ เปลวไฟสีแดงลุกโชนขึ้นที่ปลายนิ้วของเธอ เพลิงบุปผากำเนิดฟ้าเริ่มทำงาน ปลดปล่อยพลังอำนาจที่เธอเก็บซ่อนไว้ในตัว
“ข้าจะทำให้เจ้ารับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ข้าเคยประสบ” เสียงของเธอกระซิบเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความแค้นที่มีอยู่เต็มอก เปลวไฟลุกลามไปทั่วทั้งบ้านอย่างรวดเร็ว เสียงร้องโหยหวนของชายผู้ทรยศดังก้องขึ้นกลางดึก เซี่ยหลันก้าวออกมาจากบ้านที่กำลังจะมอดไหม้ในไม่ช้า ราวกับเทพธิดาแห่งไฟที่ลงมาชำระล้างบาปในโลกมนุษย์
แต่ในระหว่างที่เธอกำลังรู้สึกความสะใจจากการแก้แค้นนั้น ความว่างเปล่ากลับค่อย ๆ กัดกินจิตใจของเธอ ความรู้สึกที่เคยทำให้เธอมีชีวิตต่อมา กลับกลายเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจทิ้งไปได้ เธอจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งนี้ต่อไป และหาคำตอบให้กับชีวิตที่เหลือของเธอ
เมื่อไฟมอดดับลง เศษซากของหมู่บ้านเหลือเพียงเถ้าถ่านและความเงียบงัน เซี่ยหลันเดินทางต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง หัวใจของเธอยังคงเต้นแรงด้วยความแค้นที่ยังไม่มอดไหม้ เซี่ยหลันหยุดพักริมธารน้ำเล็ก ๆ ในป่า เธอมองลงไปในน้ำใสที่สะท้อนใบหน้าของเธอกลับมา ใบหน้าที่เคยไร้เดียงสาและอ่อนโยน บัดนี้เต็มไปด้วยความเข้มแข็งและความเงียบเหงาที่ซ่อนอยู่ในดวงตา “มันจบแล้ว หรือข้ายังต้องทำอะไรอีก” เธอพึมพำกับตัวเอง มือข้างหนึ่งลูบผ่านปลายน้ำเย็นเฉียบ เหมือนจะชำระล้างความรู้สึกหนักอึ้งในใจ
ในขณะเดียวกันที่เซี่ยหลันกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ ปรากฏเป็นเงาร่างสูงใหญ่ปรากฏขึ้นจากความมืดรอบข้าง แต่เซี่ยหลันกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว ใครก็ตามที่คิดจะมาเล่นงานเธอ จะต้องรู้ว่ากำลังเจอกับอะไร “เจ้ามาทำอะไรที่นี่ สาวน้อย” เสียงเย็นยะเยือกถามขึ้น ชายหนุ่มในชุดสีขาวสะอาดตา ปรากฏตัวออกมาจากความมืด ใบหน้าของเขาหล่อเหลา ดวงตาคมกล้าแฝงด้วยความลึกลับ
เซี่ยหลันยืนขึ้น เธอรู้ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา ออร่าพลังรอบตัวเขาทำให้เธอรู้สึกได้ถึงอันตราย “เจ้าเป็นใคร” เธอถามกลับอย่างเยือกเย็น มือข้างหนึ่งเริ่มส่องประกายด้วยเปลวไฟอ่อน ๆ เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก “ข้าคือ ไป๋หาน ศิษย์จากสำนักเพลิงวิญญาณ ข้าได้ยินมาว่ามีผู้ใช้พลังไฟคนหนึ่งที่เผาหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเมื่อคืนนี้ เจ้าคงไม่ใช่คนที่ข้ากำลังตามหาอยู่หรอกนะ”
เซี่ยหลันมองเขาอย่างประม่า “แล้วถ้าเป็นข้าล่ะ เจ้าจะทำอะไร”
ไป๋หานหัวเราะเบา ๆ “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะต่อสู้กับเจ้า แต่ข้ามาที่นี่เพื่อถามว่าทำไม เจ้าเลือกที่จะเดินทางนี้ พลังที่เจ้าใช้ไม่ใช่พลังธรรมดา เจ้าอาจจะไม่รู้ตัว แต่เจ้าได้ปลุกบางสิ่งขึ้นมาพร้อมกับเพลิงบุปผาแล้ว” คำพูดของไป๋หานทำให้เซี่ยหลันชะงัก เธอไม่เคยคิดว่าพลังที่เธอได้รับมาจะมีผลกระทบมากมายขนาดนั้น “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“ข้าหมายความว่า พลังของเจ้าไม่ได้มีแค่การทำลายล้าง แต่มันยังดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่เชื่อมโยงกับไฟ เข้ามาหาเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะอยากหรือไม่ก็ตาม” ไป๋หานตอบเสียงเรียบ ดวงตาของเขาจ้องมองเธอราวกับจะมองลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเธอ
เซี่ยหลันรู้สึกถึงความหวาดกลัวเล็ก ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ แต่เธอไม่แสดงออกมาให้ไป๋หานรู้ “ถ้าข้าต้องรับผิดชอบ ข้าก็จะรับมัน”
ไป๋หานพยักหน้าอย่างพอใจ “เช่นนั้นก็ดี ข้าคิดว่าเราอาจจะได้พบกันอีก เจ้าอาจจะต้องการความช่วยเหลือในการควบคุมพลังนั้น และข้าอาจเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยเจ้าได้”
เซี่ยหลันไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแค่เฝ้ามองไป๋หานเดินหายไปในความมืด เธอรู้ว่าคืนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ความจริงที่เธอไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับพลังของเธอและชะตากรรมที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
เซี่ยหลันยืนอยู่ท่ามกลางป่าทึบ ความเงียบสงัดที่โอบล้อมกลับทำให้เธอรู้สึกถึงความเปลี่ยวเหงาที่ไม่เคยจางหายไปจากจิตใจ แม้ว่าเธอจะเผชิญกับความอันตรายหลายครั้งแล้วในชีวิต แต่การพบกับไป๋หานในคืนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกถึงบางสิ่งที่ลึกลับยิ่งกว่าความแค้นที่สุมอยู่ในใจของเธอเอง เธอหันไปมองเส้นทางที่ไป๋หานเพิ่งหายลับไป ความเงียบของเขาทำให้เธอต้องไตร่ตรองถึงคำพูดที่เขาทิ้งไว้
“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะต่อสู้กับเจ้า แต่ข้ามาที่นี่เพื่อถามว่าทำไม เจ้าเลือกที่จะเดินทางนี้” เสียงของไป๋หานยังดังก้องอยู่ในหัวเธอ “เพราะอะไรนะ ข้าเลือกทางนี้ เพราะอะไร” เซี่ยหลันกระซิบถามตัวเอง มือของเธอเริ่มสั่นเล็กน้อย ความคิดที่เคยมั่นคงกลับเริ่มสั่นคลอน เธอเคยคิดว่าการแก้แค้นคือสิ่งเดียวที่เธอต้องทำ แต่ตอนนี้เธอไม่แน่ใจอีกต่อไป “ข้าต้องทำสิ่งนี้ ข้าไม่มีทางเลือก” เซี่ยหลันพยายามปลอบตัวเอง แต่คำพูดเหล่านั้นฟังดูไร้ความหมายในหัวใจของเธอ
“จริงหรือที่เจ้าไม่มีทางเลือก” เสียงแผ่วเบาและเย็นยะเยือกดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ ทำให้เธอสะดุ้งเฮือก เซี่ยหลันหันกลับไปอย่างรวดเร็ว และพบว่าชายแก่ในชุดสีเทาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เขามีใบหน้าที่แห้งกร้านและตาเล็กแหลมคมเหมือนนกอินทรี
“เจ้า เจ้าคือใคร” เซี่ยหลันถามเสียงสั่น เธอไม่รู้ว่าเขาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างไร
“ข้าเป็นเพียงผู้เฝ้าดู” ชายแก่ตอบด้วยน้ำเสียงสงบ “ข้าเฝ้าดูเจ้ามาตั้งแต่วันที่เจ้าได้รับพลังนั้น ข้าเห็นความแค้นในหัวใจของเจ้า และเห็นเจ้าเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ข้าสงสัยว่าเจ้าจะสามารถทนรับผลที่ตามมาของการกระทำเหล่านั้นได้หรือไม่”
“ข้าไม่ต้องการคำสอนจากเจ้า” เซี่ยหลันสวนกลับ ดวงตาของเธอเริ่มส่องประกายด้วยความโกรธ “ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำอะไร และข้าจะรับผิดชอบต่อมันเอง!”
“ความโกรธของเจ้าเปรียบเสมือนเพลิงที่ลุกโชน” ชายแก่กล่าวช้า ๆ “แต่มันสามารถเผาผลาญตัวเจ้าเองได้หากเจ้าไม่รู้จักควบคุม ข้าขอถามเจ้าหนึ่งคำถาม ถ้าเจ้ามีพลังที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง เจ้าจะเลือกทำลายอะไร”
เซี่ยหลันชะงักไป คำถามนี้สะท้อนเข้ามาในใจของเธออย่างลึกซึ้ง “ข้าไม่รู้ บางทีข้าอาจจะทำลายทุกอย่างที่เคยทำร้ายข้า”
ชายแก่พยักหน้าเบา ๆ “แล้วหลังจากนั้นล่ะ เจ้าจะเหลืออะไรให้ตัวเอง”
เซี่ยหลันนิ่งเงียบ คำพูดของชายแก่ทำให้เธอรู้สึกถึงความว่างเปล่าที่ซ่อนอยู่ในหัวใจของเธอ แม้ว่าเธอจะพยายามผลักไสมันออกไป แต่ความจริงก็ยังคงอยู่ เธอไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนั้น “ข้าจะไปจากที่นี่” เซี่ยหลันพูดออกมาอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะหันหลังให้ชายแก่ เธอไม่อยากฟังคำพูดที่ทำให้เธอต้องคิดถึงสิ่งที่เธอไม่อยากเผชิญหน้า
“ข้าจะไป ทำไม” เสียงของชายแก่ดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่คำถาม แต่เป็นเสียงก้องในความคิดของเธอเอง
เซี่ยหลันเดินออกไปจากที่นั่น รู้สึกเหมือนทุกก้าวที่เธอเดินนั้นหนักขึ้น ความคิดที่เคยมั่นคงกลับกลายเป็นเมฆหมอกที่พยายามบดบังความจริง เธอเคยคิดว่าการแก้แค้นคือคำตอบสำหรับทุกอย่าง แต่ตอนนี้เธอไม่แน่ใจว่ามันคือสิ่งที่เธอ
ต้องการจริง ๆ หรือไม่ เมื่อเธอเดินมาได้ไกลพอสมควร เซี่ยหลันหยุดยืนท่ามกลางป่าทึบ ดวงจันทร์ยังคงส่องแสงลงมา แต่ครั้งนี้แสงจันทร์นั้นไม่สามารถปลอบประโลมเธอได้ เธอหันไปมองทางที่เธอเพิ่งจากมา แต่เธอรู้ว่าการกลับไปจะไม่ช่วยอะไร
ตอนนี้เธอต้องเดินทางต่อไป ค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพลังที่เธอมีอยู่ หรือชะตากรรมที่รอคอยเธออยู่ข้างหน้า เซี่ยหลันสูดหายใจลึก ก่อนจะเริ่มก้าวเดินต่อไปในเส้นทางที่ไม่รู้จบ และในใจของเธอมีแต่คำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ เธอจะใช้พลังที่ได้รับมาอย่างไร และท้ายที่สุดแล้วเธอจะเป็นคนเช่นไร
ในขณะที่เธอคิดถึงสิ่งเหล่านั้น เงาร่างของไป๋หานปรากฏขึ้นในความคิดของเธออีกครั้ง เขาเป็นใครกันแน่ และทำไมเขาถึงสนใจเธอมากขนาดนั้น “เราอาจจะได้พบกันอีก” คำพูดของเขาดังก้องอยู่ในหัวของเธอ เซี่ยหลันรู้ว่าการเดินทางของเธอจะไม่ง่ายดาย และเธอจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความลึกลับที่เธอยังไม่รู้ หรือการต่อสู้ที่เธอไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เซี่ยหลันเดินทางต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ในใจจะเต็มไปด้วยคำถามและความกังวลที่ถาโถมเข้ามา ความแค้นที่เคยเป็นดั่งไฟลุกโชนในหัวใจของเธอเริ่มค่อย ๆ มอดลง แต่ก็ไม่อาจดับสนิท เหมือนกับไฟที่คอยคุกรุ่นอยู่ใต้เถ้าถ่าน หลังจากที่เดินทางผ่านป่าทึบมาหลายวัน เซี่ยหลันก็ได้มาถึงเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในหุบเขา เมืองนี้มีชื่อว่า จิ้งเจา เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการค้า แต่สิ่งที่ทำให้เซี่ยหลันต้องมาที่นี่คือข่าวลือเกี่ยวกับ “พยัคฆ์วายุ” นักรบผู้ทรงอิทธิพลที่ครอบครองพลังแห่งสายลม เขาเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยเธอเข้าใจและควบคุมพลังของเธอได้มากขึ้น
เซี่ยหลันเดินเข้าไปในเมือง ผู้คนรอบข้างต่างพากันหลีกเลี่ยงเธอ พวกเขารู้สึกได้ถึงออร่าแห่งความน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากตัวเธอ แต่เซี่ยหลันไม่ได้สนใจ เธอมุ่งหน้าไปยังตลาดกลางเมือง ที่นั่นคือสถานที่ที่เธอได้ยินข่าวว่าพยัคฆ์วายุมักจะปรากฏตัว
ในขณะที่เธอกำลังเดินอยู่ในตลาด เธอก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่คอยจับจ้องมาที่เธอ สายตาที่ไม่ธรรมดา เหมือนกับว่าใครบางคนกำลังทดสอบหรือสำรวจเธอ “เจ้าคงเป็นคนที่มองหา พยัคฆ์วายุ อยู่ใช่ไหม” เสียงนุ่มนวลแต่แข็งแกร่งดังขึ้นจากข้างหลัง เซี่ยหลันหันกลับไปและพบกับชายหนุ่มในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อน เขามีใบหน้าคมคายและดวงตาที่แฝงไปด้วยความลึกลับ
...บทที่ 2...
...สายลมแห่งโชคชะตา...
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” เซี่ยหลันถามกลับ น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตอบ “ข้าเห็นเจ้าเข้ามาในเมืองนี้โดยไม่สนใจใครเลย เป้าหมายของเจ้าชัดเจนเกินไป และข้าก็พอจะรู้ว่าใครคือผู้ที่เจ้าต้องการพบ”
“แล้วเจ้าคือใคร” เซี่ยหลันถามอย่างระแวดระวัง เธอไม่เคยไว้ใจใครง่าย ๆ
“ข้าคือ เฟิงหลิว ข้าคือพยัคฆ์วายุที่เจ้าตามหา” เฟิงหลิวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยพลังอำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้
เซี่ยหลันเบิกตากว้างเล็กน้อย เธอไม่คาดคิดว่าจะเจอพยัคฆ์วายุได้ง่ายขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่สามารถระงับความสงสัยในใจได้ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามาหาเจ้า”
เฟิงหลิวหัวเราะเบา ๆ “พลังของเจ้าโดดเด่นเกินกว่าจะไม่ถูกสังเกตเห็น ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของเพลิงบุปผาที่แฝงอยู่ในตัวเจ้า แต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการอะไรจากข้า”
เซี่ยหลันสูดหายใจลึกก่อนจะตอบ “ข้าต้องการเรียนรู้วิธีควบคุมพลังของข้า และเจ้าอาจเป็นคนเดียวที่สามารถช่วยข้าได้”
เฟิงหลิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เจ้าต้องการควบคุมพลังของเจ้าเพื่ออะไร เพื่อแก้แค้น หรือเพื่อปกป้อง”
คำถามของเฟิงหลิวทำให้เซี่ยหลันชะงักอีกครั้ง คำถามนี้เป็นเหมือนคำถามที่ชายแก่เคยถามเธอในป่า “ข้า ข้ายังไม่แน่ใจ ข้าเคยคิดว่าการแก้แค้นคือคำตอบสำหรับทุกอย่าง แต่ตอนนี้ข้าไม่แน่ใจอีกต่อไป”
เฟิงหลิวมองเธอด้วยสายตาเข้าอกเข้าใจ “การแก้แค้นไม่เคยเป็นคำตอบที่แท้จริง มันเป็นเพียงการตอบโต้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น แต่เมื่อทุกอย่างจบลง เจ้าจะเหลือเพียงความว่างเปล่าในใจ”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าควรทำอย่างไร” เซี่ยหลันถามเสียงเบา เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังลอยอยู่ในทะเลที่ไม่มีจุดหมาย
“ข้าจะสอนเจ้า” เฟิงหลิวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าจะสอนเจ้าให้รู้จักควบคุมพลังของเจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ถูกพลังนั้นควบคุมแทน”
เซี่ยหลันรู้สึกถึงความหวังที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเธอ “เจ้าจะสอนข้าจริง ๆ หรือ”
เฟิงหลิวพยักหน้า “ใช่ ข้าจะสอนเจ้า แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะใช้พลังนั้นเพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อการทำลายล้าง”
เซี่ยหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ข้าสัญญา ข้าจะไม่ยอมให้พลังนี้ครอบงำข้า ข้าจะใช้มันปกป้อง”
เฟิงหลิวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะยื่นมือออกไปหาเซี่ยหลัน “ถ้าเช่นนั้น มาติดตามข้า ข้าจะพาเจ้าไปยังสถานที่ที่เจ้าจะได้เรียนรู้”
เซี่ยหลันมองมือที่ยื่นมาของเฟิงหลิวอย่างลังเล แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจยื่นมือของเธอออกไปจับมือเขา มันเป็นการตัดสินใจที่เธอไม่รู้ว่าถูกหรือผิด แต่เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องทำ และแล้วเฟิงหลิวก็นำทางเธอออกจากตลาด ผ่านตรอกซอกซอยที่ซับซ้อน จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเขตที่เงียบสงบในมุมหนึ่งของเมือง เป็นสถานที่ที่ดูราวกับถูกซ่อนจากสายตาของผู้คน
“นี่คือที่ซ่อนของข้า” เฟิงหลิวกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ที่นี่เจ้าไม่ต้องกลัวใคร และเจ้าจะได้เรียนรู้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการรู้”
เซี่ยหลันมองไปรอบ ๆ สถานที่นี้ดูเหมือนบ้านหลังเล็ก ๆ ที่สร้างด้วยไม้เก่า ๆ แต่บรรยากาศรอบข้างกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย “ขอบใจเจ้าที่ช่วยข้า"
“อย่าขอบใจข้าเลย” เฟิงหลิวตอบ “สิ่งที่ข้าทำก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ากลายเป็นภัยต่อโลก ข้ารู้ว่าเจ้ามีความสามารถ และข้าก็หวังว่าเจ้าจะใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น”
เซี่ยหลันพยักหน้าอย่างตั้งใจ “ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง”
เฟิงหลิวมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยน “ถ้าเช่นนั้น มาเริ่มการฝึกของเรากันเถอะ เจ้าจะต้องเรียนรู้วิธีควบคุมพลังของเจ้าให้ได้อย่างแท้จริง”
เซี่ยหลันพยักหน้า และก้าวตามเฟิงหลิวเข้าไปในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่ดูเรียบง่าย แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความรู้และพลังที่รอให้เธอค้นพบ
ภายในบ้านไม้ที่ดูเรียบง่ายนั้น เซี่ยหลันรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แผ่ซ่านอยู่รอบตัว ทุกครั้งที่เธอก้าวเดินไปข้างหน้า ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ เธอรู้สึกได้ถึงสายลมที่หายไปในอากาศ แต่กลับเคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวาราวกับตอบรับการมาถึงของเธอ
เฟิงหลิวพาเซี่ยหลันเดินลึกเข้าไปในบ้าน จนกระทั่งพวกเขามาถึงห้องกว้างห้องหนึ่งที่มีหน้าต่างเปิดกว้างให้สายลมพัดผ่าน มันเป็นสถานที่ที่เงียบสงบอย่างประหลาด ต่างจากตลาดที่วุ่นวายภายนอก เซี่ยหลันรับรู้ได้ถึงความสงบที่เริ่มแทรกซึมเข้าสู่จิตใจของเธอ
“นั่งลง” เฟิงหลิวเอ่ยเสียงเรียบ พลางชี้ไปยังเบาะรองนั่งที่วางอยู่กลางห้อง เซี่ยหลันทำตามโดยไม่ลังเล เธอนั่งลงอย่างสงบ พยายามทำใจให้สงบเหมือนกับบรรยากาศรอบตัว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพลังของเจ้าเกิดจากสิ่งใด” เฟิงหลิวถามขณะนั่งลงตรงข้ามกับเซี่ยหลัน
เซี่ยหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “ข้ารู้เพียงว่าพลังนี้มาจากความแค้นและความเจ็บปวดที่สุมอยู่ในใจของข้า”
เฟิงหลิวพยักหน้าเบา ๆ “ถูกต้อง พลังของเจ้าถูกกระตุ้นด้วยอารมณ์ที่รุนแรง แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าอารมณ์เหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าไม่สามารถควบคุมพลังของเจ้าได้อย่างแท้จริง”
เซี่ยหลันนิ่งเงียบไป เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน “ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น ข้าคิดว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นแหล่งพลังงานของข้า”
“อารมณ์เป็นสิ่งที่ทรงพลัง” เฟิงหลิวกล่าว “แต่มันก็สามารถทำลายเจ้าได้เช่นกัน หากเจ้าไม่รู้จักควบคุมมัน หากเจ้าต้องการควบคุมพลังของเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ของเจ้าให้ได้ก่อน”
เซี่ยหลันรู้สึกถึงความจริงที่อยู่ในคำพูดของเฟิงหลิว เธอรู้ว่าเขาพูดถูก แม้ว่าเธอจะไม่อยากยอมรับก็ตาม “แล้วข้าจะเริ่มอย่างไร”
เฟิงหลิวยิ้มบาง ๆ ก่อนจะตอบ “เริ่มจากการทำให้จิตใจสงบเสียก่อน เจ้าต้องทำความเข้าใจกับตัวตนของเจ้าเอง รู้ว่าอารมณ์ใดที่ครอบงำเจ้า และทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น เมื่อเจ้าเข้าใจมันได้แล้ว เจ้าก็จะสามารถควบคุมมันได้”
“แต่ข้า ข้ามีแต่ความแค้น ความเจ็บปวดในหัวใจ” เซี่ยหลันกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอ่อนแอ “ข้าไม่รู้ว่าข้าจะสามารถควบคุมมันได้อย่างไร”
“ความแค้นและความเจ็บปวดนั้นเป็นเหมือนเพลิงที่ร้อนแรง” เฟิงหลิวกล่าว “แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เจ้าต้องมองมันในมุมที่แตกต่าง มองว่ามันเป็นพลังที่เจ้าสามารถใช้เพื่อสร้างสิ่งที่ดีขึ้นแทนที่จะทำลายล้าง”
เซี่ยหลันพยักหน้าเบา ๆ เธอรู้สึกว่าคำพูดของเฟิงหลิวเริ่มทำให้เธอเข้าใจบางสิ่งที่เธอไม่เคยคิดถึงมาก่อน เธอต้องการที่จะเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพียงแค่ควบคุมพลังของเธอ แต่ยังต้องควบคุมอารมณ์ของเธอด้วย “ข้าเข้าใจแล้ว” เซี่ยหลันกล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าจะพยายามทำใจให้สงบและควบคุมอารมณ์ของข้า”
เฟิงหลิวพยักหน้า “ดีแล้ว เจ้าต้องฝึกฝนใจของเจ้าให้แข็งแกร่ง และเมื่อจิตใจของเจ้าสงบ เจ้าเองก็จะสามารถควบคุมพลังของเจ้าได้อย่างแท้จริง”
เซี่ยหลันหลับตาลง เธอเริ่มหายใจเข้าลึก ๆ และปล่อยความคิดที่วุ่นวายออกไปจากจิตใจ เธอพยายามจดจ่ออยู่กับลมหายใจของเธอ และในที่สุดเธอก็เริ่มรู้สึกถึงความสงบที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าสู่ใจของเธอ เธอรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดผ่านรอบตัวมันไม่ได้รุนแรง แต่มันกลับมีพลังที่แข็งแกร่งอยู่ในนั้น เธอเริ่มเข้าใจว่าเธอต้องปรับตัวให้เข้ากับพลังของธรรมชาติรอบตัว ไม่ใช่เพียงแต่พลังในตัวเธอ
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ เซี่ยหลันยังคงจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนจิตใจของเธอ เธอรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวเธอเอง มันไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากภายใน ในที่สุด เธอก็เปิดตาขึ้นอีกครั้ง เฟิงหลิวยังนั่งอยู่ตรงหน้าเธอด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ “เจ้าทำได้ดีมาก เซี่ยหลัน นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่เจ้ากำลังเดินไปในทางที่ถูกต้อง”
เซี่ยหลันรู้สึกถึงความภาคภูมิใจที่เธอสามารถก้าวข้ามผ่านความกลัวและความกังวลในใจของเธอได้ เธอยังมีหนทางอีกยาวไกล แต่เธอรู้ว่าเธอจะสามารถทำได้ “ขอบคุณเจ้าที่สอนข้า เฟิงหลิว” เซี่ยหลันกล่าวด้วยความซาบซึ้ง “ข้าจะฝึกฝนต่อไป และข้าจะไม่ยอมให้พลังนี้ควบคุมข้าได้อีก”
เฟิงหลิวยิ้ม “เจ้ามีศักยภาพมากกว่าที่เจ้าคิด ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้มันเพื่อสิ่งที่ดี”
เซี่ยหลันพยักหน้า “ข้าจะทำตามคำสอนของเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้พลังนี้ครอบงำข้า ข้าจะเป็นผู้ควบคุมมันเอง” และแล้วการฝึกฝนของเซี่ยหลันก็เริ่มขึ้น เธอต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เธอรู้ว่าการควบคุมพลังของเธอไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันเป็นสิ่งที่เธอต้องทำ เพื่อไม่ให้พลังนี้กลายเป็นภัยต่อตัวเธอเองและผู้อื่น
เวลาผ่านไป เซี่ยหลันเริ่มเรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ เธอเริ่มเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงของพลังที่เธอถือครอง และเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับมัน เธอไม่เพียงแต่เรียนรู้วิธีควบคุมพลัง แต่ยังได้เรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ของเธอเองด้วย
เช้าตรู่ในอีกไม่กี่วันต่อมา เสียงนกและสายลมที่แผ่วเบาในป่าล้อมรอบบ้านไม้ได้ปลุกเซี่ยหลันให้ตื่นจากการพักผ่อน หลังจากฝึกฝนจิตใจมาอย่างหนัก เธอเริ่มรู้สึกถึงพลังที่ผสานเข้ากับจิตใจของเธอได้ดีกว่าเดิม แต่นั่นเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น
เฟิงหลิวนั่งอยู่กลางห้องฝึก ในมือของเขาถือดาบยาวคมกริบ ดาบที่เงาสะท้อนของมันเผยให้เห็นถึงความตั้งใจและความทุ่มเทในการฝึกฝนทุกวัน
“วันนี้เราจะก้าวไปสู่การฝึกขั้นต่อไป” เฟิงหลิวเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น “การควบคุมจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าพลังของเจ้าไม่ได้มาจากเพียงจิตใจ แต่รวมถึงร่างกายด้วย เจ้าเคยจับดาบหรือไม่”
เซี่ยหลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่เคยจับดาบจริง ๆ มาก่อน มีเพียงความรู้สึกคุ้นเคยจากการฝึกซ้อมด้วยอาวุธจำลองเมื่อครั้งยังอยู่ที่สำนักเก่า “ไม่เคย” เธอตอบอย่างซื่อตรง น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง แต่ก็ยอมรับความจริงที่เธอยังขาดประสบการณ์ในเรื่องนี้
“ไม่เป็นไร” เฟิงหลิวยิ้ม “ทุกคนมีจุดเริ่มต้น และวันนี้เจ้าจะเริ่มต้นที่นี่” เฟิงหลิวลุกขึ้นจากที่นั่ง หยิบดาบอีกเล่มหนึ่งจากผนังบ้าน แล้วเดินไปที่เซี่ยหลัน เขายื่นดาบให้เธอ ดาบเล่มนั้นมีน้ำหนักพอสมควร แต่มันไม่ทำให้เซี่ยหลันรู้สึกกังวล เธอรับดาบด้วยสองมือ รู้สึกถึงความเย็นของโลหะที่สัมผัสผิวมือของเธอ “ดาบเป็นเพียงเครื่องมือ” เฟิงหลิวกล่าวขณะที่เขาเริ่มอธิบายท่าพื้นฐาน “มันขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะใช้มันอย่างไร เพื่อป้องกันตัวเอง เพื่อปกป้องผู้ที่รัก หรือเพื่อทำลายล้าง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้า”
เซี่ยหลันมองไปที่ดาบในมือของเธอ น้ำหนักของมันให้ความรู้สึกมั่นคง และเธอเริ่มรู้สึกถึงพลังที่แฝงอยู่ในอาวุธนี้ พลังที่รอให้เธอค้นพบ
เฟิงหลิวสอนท่าพื้นฐานให้กับเซี่ยหลัน ตั้งแต่การจับดาบ การยืน การเคลื่อนไหว ทุกอย่างล้วนต้องอาศัยความแม่นยำและความมุ่งมั่น ในช่วงแรกเซี่ยหลันรู้สึกถึงความยากลำบากในการควบคุมร่างกายของเธอ แต่ด้วยคำแนะนำที่มั่นคงของเฟิงหลิว เธอก็เริ่มเข้าใจและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว “จงให้ดาบเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า” เฟิงหลิวกล่าวขณะที่เขาสอนเซี่ยหลันถึงการโจมตีและการป้องกัน “อย่าให้มันเป็นเพียงเครื่องมือ แต่จงให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายและจิตใจของเจ้า”
...บทที่ 3...
...วิญญาณแห่งการต่อสู้...
เซี่ยหลันฝึกซ้อมท่าต่าง ๆ ที่เฟิงหลิวสอนอย่างตั้งใจ เธอรู้ว่าความสามารถในการต่อสู้เป็นสิ่งที่เธอต้องพัฒนา เพื่อให้ตัวเองมีความพร้อมเผชิญกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การฝึกซ้อมของเซี่ยหลันดำเนินไปอย่างไม่หยุดหย่อน เธอเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ทั้งในด้านจิตใจและร่างกาย เธอเริ่มมีความคล่องแคล่วในการใช้ดาบ การเคลื่อนไหวของเธอเริ่มกลมกลืนกับพลังที่เธอถือครอง
“เจ้าทำได้ดี” เฟิงหลิวกล่าวในที่สุด เมื่อเขาหยุดการฝึกซ้อม “ตอนนี้เจ้ามีความเข้าใจพื้นฐานของการใช้ดาบ แต่การฝึกฝนยังไม่จบ เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก”
เซี่ยหลันพยักหน้า รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแต่ก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเอง เธอรู้ว่าการฝึกฝนนี้จะช่วยให้เธอเข้มแข็งขึ้น และเธอจะสามารถเผชิญหน้ากับศัตรูใด ๆ ได้อย่างมั่นใจ
“เจ้ารู้จัก ‘พลังแห่งวิญญาณ’ หรือไม่” เฟิงหลิวถามพลางมองเข้าไปในดวงตาของเซี่ยหลัน ราวกับว่าเขากำลังตรวจสอบความตั้งใจของเธอ
เซี่ยหลันส่ายหัว “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เฟิงหลิวถอนหายใจเบา ๆ “มันเป็นพลังที่เชื่อมโยงระหว่างจิตใจและร่างกาย เป็นพลังที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับการโจมตีและการป้องกันได้ มันเป็นสิ่งที่เจ้าต้องฝึกฝน เพื่อให้เจ้าได้เป็นนักรบที่แท้จริง”
เซี่ยหลันรู้สึกถึงความท้าทายที่รอคอยเธออยู่ การฝึกฝนพลังแห่งวิญญาณฟังดูยากเย็น แต่เธอรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องทำ เพื่อให้เธอสามารถควบคุมพลังที่เธอถือครองได้อย่างสมบูรณ์ “ข้าพร้อมจะเรียนรู้” เซี่ยหลันตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
เฟิงหลิวยิ้ม “ดี งั้นเรามาเริ่มกันเถอะ เจ้าจะได้เรียนรู้วิธีการใช้พลังแห่งวิญญาณในการต่อสู้”
การฝึกฝนใหม่เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง เฟิงหลิวสอนเซี่ยหลันถึงวิธีการเชื่อมโยงจิตใจกับร่างกายของเธอ การใช้พลังแห่งวิญญาณในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการโจมตีและการป้องกัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต้องอาศัยสมาธิและความทุ่มเท เซี่ยหลันรู้สึกถึงความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น แต่เธอไม่ยอมแพ้
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน การฝึกฝนของเซี่ยหลันก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน เธอเริ่มรู้สึกถึงความแข็งแกร่งใหม่ที่เพิ่มขึ้นในตัวเอง พลังแห่งวิญญาณเริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของเธอ และเธอรู้สึกว่าตัวเองพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูใด ๆ ก็ตามที่จะมายังเส้นทางของเธอ
ในที่สุด เฟิงหลิวก็หยุดการฝึกซ้อมและมองไปที่เซี่ยหลันด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ “เจ้าได้ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคสำคัญแล้ว เซี่ยหลัน ตอนนี้เจ้ามีความสามารถในการควบคุมพลังของเจ้า และข้ารู้ว่าเจ้าจะใช้มันเพื่อปกป้องผู้อื่น”
เซี่ยหลันยิ้ม “ข้าขอบใจเจ้ามาก เฟิงหลิว ข้าจะไม่ลืมสิ่งที่เจ้าได้สอนข้า ข้าจะใช้พลังนี้เพื่อปกป้องผู้ที่ข้ารัก และเพื่อตัวข้าเอง”
เฟิงหลิวยิ้มกลับ “ข้าจะติดตามเจ้าในการเดินทางของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องเผชิญกับความท้าทายอีกมากมาย แต่ข้าก็มั่นใจว่าเจ้าจะสามารถก้าวข้ามผ่านมันไปได้”
เมื่อการฝึกฝนของเซี่ยหลันสำเร็จลุล่วงไปในระดับหนึ่ง เธอก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองต้องตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางที่เธอจะเดินต่อไป ความมุ่งมั่นในใจของเธอที่จะก้าวสู่การแก้แค้นยังคงคุกรุ่นอยู่ แต่ทว่าคำสอนของเฟิงหลิวก็ทำให้เธอต้องคิดทบทวน เธอควรใช้พลังของเธอเพื่อทำลายล้าง หรือเพื่อปกป้องสิ่งที่สำคัญ
วันหนึ่ง ขณะที่เซี่ยหลันนั่งอยู่คนเดียวในห้องพักของเธอ เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างเข้ามา มันเป็นสายลมที่อ่อนโยนและอบอุ่นราวกับต้องการปลอบประโลมจิตใจที่หนักอึ้งของเธอ เธอหลับตาลง หวนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผลักดันเธอมาถึงจุดนี้ ความเจ็บปวดและความแค้นที่สุมอยู่ในใจของเธอไม่ได้เลือนหายไปไหน แต่มันเริ่มถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกใหม่ๆ
“เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป” เสียงของเฟิงหลิวดังขึ้นจากด้านหลัง เซี่ยหลันหันไปมองเห็นเขายืนอยู่ที่ประตู ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
เซี่ยหลันหันกลับมามองสายลมที่พัดเข้ามาในห้องอีกครั้ง เธอสูดลมหายใจลึก ๆ พยายามทำให้ใจของเธอสงบ “ข้ายังไม่แน่ใจ” เธอตอบเสียงเบา “ข้าอยากแก้แค้น แต่ข้าก็ไม่อยากกลายเป็นคนที่ถูกความแค้นครอบงำ”
เฟิงหลิวนั่งลงข้าง ๆ เซี่ยหลัน “การแก้แค้นไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เจ้าพบความสุข เจ้าจะต้องอยู่กับความแค้นนั้นไปตลอดชีวิต และมันจะกัดกินใจของเจ้าเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะทำลายทุกสิ่งที่เจ้ามี”
เซี่ยหลันฟังคำพูดของเฟิงหลิวด้วยความเงียบ เธอรู้ว่าเขาพูดถูก ความแค้นเป็นเหมือนกับเปลวไฟที่ร้อนแรง แม้มันจะทำให้เธอมีพลัง แต่มันก็ทำให้เธอหมดแรงไปด้วยเช่นกัน “แล้วข้าควรทำอย่างไร” เธอถามอย่างอ่อนแอ
เฟิงหลิวพยักหน้าเล็กน้อย “เจ้าไม่จำเป็นต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้ จงให้เวลาตัวเองในการคิดทบทวน แต่ข้าขอให้เจ้าใคร่ครวญถึงสิ่งที่เจ้าต้องการจริงๆ ในชีวิต เจ้าอยากให้ชีวิตของเจ้าเป็นไปในทางไหน เจ้าต้องการความสุขหรือความเจ็บปวด พลังที่แท้จริงไม่ใช่การทำลายล้าง แต่เป็นการสร้างสรรค์และปกป้อง”
เซี่ยหลันพยักหน้าช้า ๆ “ข้าเข้าใจ ข้าจะคิดถึงเรื่องนี้ให้ดี ข้าจะไม่รีบร้อนในการตัดสินใจ”
“นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าทำได้ในตอนนี้” เฟิงหลิวกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน “ข้าเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไป เจ้าจะพบคำตอบของเจ้าด้วยตัวเอง”
หลังจากที่เฟิงหลิวจากไป เซี่ยหลันยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เธอหลับตาลง ปล่อยให้ลมที่พัดผ่านมากระทบใบหน้า เธอรู้สึกถึงความสงบที่ค่อย ๆ ซึมเข้ามาในใจ และในความสงบนั้น เธอเริ่มรู้สึกถึงแสงแห่งความหวังเล็ก ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้น
เวลาผ่านไป เซี่ยหลันเริ่มออกเดินทางเพื่อตามหาคำตอบของตัวเอง เธอเดินทางไปยังหมู่บ้านต่าง ๆ ทั่วทั้งแคว้น เธอพบเจอผู้คนมากมายที่ต่างมีความสุขและความทุกข์ของตัวเอง และการได้เห็นสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้เธอเริ่มเข้าใจว่าโลกนี้ไม่ได้มีเพียงความเจ็บปวดและความแค้น แต่ยังมีความสุขและความสงบที่เธอสามารถหาได้หากเธอเลือกที่จะเดินไปในเส้นทางนั้น
เซี่ยหลันพบว่าการเฝ้ามองผู้คนที่มีชีวิตอยู่ด้วยความสุขนั้นทำให้เธอรู้สึกมีความหวังมากขึ้น เธอเริ่มตระหนักว่าความแค้นในใจของเธอนั้น แม้มันจะมีความหมาย แต่ก็ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ
วันหนึ่งขณะที่เธอเดินทางผ่านป่าลึก เธอพบกับหญิงชราในกระท่อมเล็ก ๆ หญิงชรานั้นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ไม่ได้สนใจเรื่องราวของโลกภายนอกมากนัก เซี่ยหลันรู้สึกถึงความสงบที่เปล่งออกมาจากหญิงชรา เธอไม่สามารถห้ามตัวเองจากการถามคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจได้
“ท่านอาศัยอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ” เซี่ยหลันถามขณะที่เธอนั่งลงข้าง ๆ หญิงชรา
หญิงชรายิ้มอย่างใจดี “ใช่ ข้าอยู่คนเดียวมาหลายสิบปีแล้ว แต่ข้าก็ไม่เคยรู้สึกเหงาหรือเสียใจเลย”
“ทำไมท่านถึงเลือกที่จะอยู่ในป่าเพียงลำพัง” เซี่ยหลันถามด้วยความสงสัย
“ข้าเคยมีชีวิตที่วุ่นวายมาก่อน” หญิงชรากล่าวอย่างเรียบง่าย “แต่วันหนึ่งข้าก็ตระหนักว่าความสงบสุขที่แท้จริงนั้นไม่ได้มาจากสิ่งภายนอก แต่มาจากภายในตัวเราเอง ข้าจึงเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่นี่ และข้าก็พบความสุขที่แท้จริง”
เซี่ยหลันรู้สึกถึงคำพูดเหล่านั้นในใจของเธอ ความสงบที่แท้จริงมาจากภายในตัวเราเอง คำพูดนี้ทำให้เธอเริ่มเข้าใจว่าไม่ว่าเธอจะเลือกทำสิ่งใด ความสุขของเธอไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแก้แค้นหรือการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น แต่ขึ้นอยู่กับการที่เธอสามารถยอมรับและปล่อยวางสิ่งที่ทำให้เธอทุกข์ใจ
เธอกล่าวลาหญิงชราพร้อมกับขอบคุณสำหรับคำสอนที่มีค่า แล้วเธอก็เดินทางต่อไปอย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนขึ้น เธอไม่แน่ใจว่าจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้างในเส้นทางข้างหน้า แต่เธอรู้ว่าเธอจะไม่ปล่อยให้ความแค้นครอบงำตัวเองอีกต่อไป
เซี่ยหลันเดินทางกลับมาหาเฟิงหลิวที่บ้านไม้ในป่า เมื่อมาถึง เธอก็พบว่าเฟิงหลิวยืนรออยู่ที่ประตู เขายิ้มเมื่อเห็นเซี่ยหลันเดินเข้ามา
“ข้าเห็นในดวงตาของเจ้า” เฟิงหลิวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าพบคำตอบของเจ้าแล้วใช่ไหม”
เซี่ยหลันพยักหน้า “ข้าเลือกที่จะไม่ยอมให้ความแค้นครอบงำข้า ข้าจะใช้พลังของข้าเพื่อปกป้องผู้ที่ข้ารัก และเพื่อสร้างสิ่งที่ดีขึ้น ไม่ใช่เพื่อทำลายล้าง”
เฟิงหลิวยิ้มกว้างขึ้น “ดีมาก ข้ายินดีที่ได้เห็นเจ้าเติบโตขึ้นอย่างนี้ เจ้าได้พบเส้นทางของตัวเองแล้ว และข้ารู้ว่าเจ้าจะสามารถก้าวผ่านทุกอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้าได้”
การตัดสินใจของเซี่ยหลันไม่ได้ทำให้เส้นทางของเธอง่ายขึ้น แต่กลับทำให้เธอรู้สึกถึงภาระหน้าที่ที่ต้องทำอย่างหนักแน่นยิ่งขึ้น ความมุ่งมั่นที่จะใช้พลังของเธอเพื่อปกป้องและสร้างสรรค์สิ่งที่ดีเป็นเส้นทางใหม่ที่เธอได้เลือกเดิน และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น เซี่ยหลันรู้ว่าเธอต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้น
“เจ้าพร้อมจะเผชิญกับอดีตหรือยัง” เฟิงหลิวถามในเช้าวันหนึ่งขณะที่ทั้งสองยืนอยู่หน้าบ้านไม้ เขาสังเกตเห็นความเงียบสงบที่เปลี่ยนไปในดวงตาของเซี่ยหลัน
เซี่ยหลันพยักหน้า “ข้าพร้อมแล้ว ข้าต้องเผชิญหน้ากับมัน เพื่อที่จะปล่อยวางทุกอย่างและก้าวต่อไป”
เฟิงหลิวเห็นความแน่วแน่ในแววตาของเธอ เขายิ้มบาง ๆ “การเผชิญหน้ากับอดีตอาจเป็นสิ่งที่ยากที่สุด แต่ข้ารู้ว่าเจ้าจะสามารถทำได้ จำไว้ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้มาจากการต่อสู้เท่านั้น แต่มาจากการเผชิญหน้ากับความจริง”
ทั้งสองออกเดินทางกลับไปยังเมืองที่เซี่ยหลันเคยเรียกว่าบ้าน เมืองที่ครั้งหนึ่งเธอเคยมีความสุขและความเจ็บปวด เมืองที่เต็มไปด้วยความทรงจำและผู้คนที่เธอเคยรู้จัก แต่เมื่อกลับมาครั้งนี้ เซี่ยหลันรู้สึกว่าทุกสิ่งได้เปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กสาวที่อ่อนแออีกต่อไป เธอคือหญิงสาวที่เต็มไปด้วยพลังและความมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง
เมื่อมาถึงเมือง เซี่ยหลันและเฟิงหลิวพบว่าทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม อาคารสูงและถนนที่คดเคี้ยวไปตามเนินเขายังคงอยู่ในที่เดิม แต่ผู้คนที่เธอเคยรู้จักกลับกลายเป็นคนแปลกหน้า ทว่าเธอไม่รู้สึกหวั่นไหวอีกต่อไป เพราะเธอได้เติบโตและเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
“เจ้าคิดจะเริ่มจากที่ไหน” เฟิงหลิวถามขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน
เซี่ยหลันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้าจะไปหาพ่อกับแม่ของข้า ข้าอยากบอกลาพวกเขาอย่างที่ควรจะเป็น”
เฟิงหลิวพยักหน้า “ข้าจะอยู่ข้าง ๆ เจ้า ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน เจ้าจะไม่ต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง”
ทั้งสองเดินทางไปยังบ้านหลังเก่าของเซี่ยหลัน บ้านที่เคยอบอุ่นแต่บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความเงียบเหงา เซี่ยหลันยืนอยู่หน้าประตูบ้าน สัมผัสถึงความรู้สึกหลากหลายที่ถาโถมเข้ามา แต่เธอรวบรวมความกล้าและเปิดประตูเข้าไป
ภายในบ้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของเซี่ยหลันที่ดังชัดในห้องโถง เธอเดินไปยังห้องที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเธอ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เธอเห็นภาพอดีตของตัวเองนั่งเล่นอยู่บนพื้น กับพ่อและแม่ที่คอยดูแลเธออย่างอบอุ่น “พ่อ แม่” เซี่ยหลันพึมพำเรียกทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอรู้สึกถึงน้ำตาที่เริ่มไหลริน แต่เธอไม่ปล่อยให้มันพรากความเข้มแข็งของเธอไป
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!