NovelToon NovelToon

Throne Of Emptiness

"บัลลังก์โอกาสว่างเปล่า" 0 : ยินดีที่ได้พบกัน..

สายลมลูกใหญ่พัดผ่านจากท้องนภาสูง หอบลมหนาวตามฤดูกาลกระทบสรรพสิ่งใต้ท้องนภา ทุ่งหญ้าสีเขียวพริ้วไหวตามสายลมล้มลงคล้ายคลื่นทะเลตามชายหาดทะเล

ความหนาวเหน็บยังคงเพิ่มพูนตามลมหนาวที่พัดพา แม้จะมีอาทิตย์อัสดรมอบแสงแดดยามสุดท้ายทั่วท้องทุ่งหญ้าของมันให้เหล่าชีวิตใต้ธรณี

แต่หากไม่ใช่เพราะแสงสนธณายามฤดูหนาวนั้นอ่อนแอแต่แรกฤดูนี้คงไม่เกิดขึ้นมา

กระทั่งลมหนาวกระทบต้นไม้ใหญ่โดดเดียวบนเนินเขา กิ่งก้านเพียงแกว่งไปมาเล็กน้อย มอบความหนาวเย็นให้บริเวณนั้นแทบจะในทันที 

หากมีสิ่งมีชีวิตใดอยู่ใต้ต้นไม้นั้นพวกมันคงสั่นด้วยความหนาวเหน็บ แต่ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง กลับยังคงหลับตาอย่างสงบและฝ่ามือสองข้างพนมมือไว้บนหน้าอก

เขายังยืนอย่างสงบ ไม่ขยับไปไหนตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยามรุ่งสาง ดวงอาทิตย์กึ่งกลางศรีษะ และดวงอาทิตย์ยามสนธยา เปร่งแสงยามสุดท้ายของวันจนย้อมทุกสิ่งเป็นสีส้มแสด

จนกระทั่งสายลมลูกใหญ่พัดผ่านกระทบร่างในชุดสูทสีดำ ใต้เสื้อโค้ทตัวใหญ่ เปลือกตาสองชั้นขยับเปิดในตาสีฟ้าสดใส

ในตาดูพร่ามัวเล็กน้อย ก่อนเพ่งสายตาจ้องมองวัตถุเบื้องหน้า

เป็นก้อนหินสีขาวรูปลักษณ์สถานปัตยกรรมเป็นไปในรูปแบบประเทศแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นลักษณะคล้ายเจดีย์แต่มีความเป็นเหลี่ยมมากกว่า โดยสลักอักษรภาษาไทยหนึ่งก้อนและภาษาแถบชนชาติยุโรปอีกหนึ่ง โดยมีแปรงดอกไม้ดูแลอย่างดีหลากสีสันห้อมล้อม ลักษณะอาจแปลกประหลาด แต่หากทราบถึงตัวตนจะรู้ว่ามันคือ..

สุสาน!

สุสสนอันใส่อัฐิของผู้เป็นที่รักของตนไว้ ยามนี้คนทั้งสองที่เคยรักกัน ได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบ ดังความปรารถนาของสองคน ที่เคยให้ไว้ในยามชีวายังไม่มอดดับลง และคนทั้งสองคือผู้สำคัญคุณที่สุดในชีวิตของตนเช่นกัน

เขาเพียงจ้องมองอย่างสงบไปยังสุสานทั้งสองอันถูกย้อมด้วยแสงสนธณาสีส้ม ก่อนนั่งลงวางขาแนบชิดติดกัน ฝ่ามือคู่นั้นนำมาประกอบลงกันอีกครั้ง ก่อนก้มลงกราบด้วยท่วงท่าสง่างามสามครั้ง

"ขอบคุณที่ดูแลผมมาตลอดครับ"

เขากล่าวเสียงเรียบนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน ก่อนลุกขึ้นจากพื้นปูก้อนหิน หันสายตามองต่ำยังขั้นบันไดปูหิน ก่อนกล้าเดินไปตามทางปูหิน

ลมหนาวยังคงพัดผ่าน มันพัดผ่านจนทุกสิ่งพริ้วไหวตามแรงลม ความหนาวเย็นยามสนธณานับว่า เย็นเสียจนยามเที่ยงวันเทียบไม่ได้เลย แม้อาจยังน้อยกว่ายามรุ่งสางก็ตาม

แต่เขากลับยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สั่นคลอน ท่าทีอาจเป็นไปอย่างสบายๆ แต่เขายังคงเร่งความเร็วรีบกลับเข้าไปในบ้านของตนโดยเร็ว

ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกหนาวเย็นมากนัก แต่เพื่อเตรียมการสำหรับการมาถึงของแขกรับเชิญที่จะมาถึงในยามค่ำคืน จากสถานะปัจจุบันของบุคคลดังกล่าวเห็นทีการไม่เตรียมการสิ่งใดเลยคงเป็นสิ่งเสียมารยาท

เพียงจากการคาดคะเนในระยะสายตาของเขา การเตรียมการที่เขาคิดจะทำและความเร่งรีบในเวลานี้คงไม่จำเป็นอีกแล้ว

"อรุณสวัสดิ์ คุณวันเพ็ญ"

เสียงเรียกจากตัวตนที่เขาค้อนข้างรู้จักดีทั้งจากในสื่อสังคมออนไลน์ โทรทัศน์ โปรเตอร์ นิตยสาร หนังสือ ฯลฯ แม้จะไม่เคยเจอตัวเป็นๆ แต่รับรู้ตัวตนนั้นเป็นที่แน่ชัดของคนส่วนใหญ่ของสังคมอย่างชัดเจน เพราะเธอผู้นี้คือ..

"อรุณสวัสดิ์ยามเย็น มาดาม.ควีน - ลูนาเลีย"

เขาโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวเสียงเป็นมิตร โดยมีรูปลักษณ์ของสตรีคนดั่งกล่าวในดวงตาสีฟ้าคราม

สตรีผมเงินยาวสลวย เธองกงามแบบสง่างาม เธอมีใบหน้าเรียวบางผิวขาวน้ำนม ตาสีฟ้าใสเกินปกติราวกับทะเลสาบใสสะอาดบนที่ราบสูง จมูกโด่งเป็นทรงสวย ริมฝีปากไม่หนาหรือบางเกินไป รูปลักษณ์ของเธอโดดเด่นและสง่างาม มีลักษณะคมกริบแปลกประหลาด เป็นลักษณะของ..ของความขี้เล่นของเด็กสาว?

เธอยิ้มกระจ่างใส เหมือนตามสื่อที่มีภาพเด่นชัดของเธอ

"คุณไม่จำเป็นต้องโค้งคำนับฉันอย่างนั้นก็ได้ ในวันนี้ฝ่ายที่ดูเหมือนต้องมารบกวนดูท่าจะเป็นทางฝั่งนี้มากกว่า"

เขาพยักหน้ารับ ก่อนกล่าวถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจ

"ฉันไม่คิดว่าคุณจะมาถึงเร็วขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าคุณต้องการพูดคุยเกี่ยวกับรัฐบาลและอีกหลายฝ่าย สำหรับการขอทำการเปิดตัวสำหรับโครงการธุรกิจที่จะกระทำไม่ใช่หรือ? แถมหลังจากนั้นคงมีนัดกับอีกหลายฝ่าย การจะมาหาฉันหลังจากนี้ยามดึกหรืออีกวันก็ย่อมเป็นไปได้ไม่ใช่หรือ?"

ควีนยิ้มกว้างเผยลักยิ้ม ดวงตาคล้ายส่องประกายเล็กน้อยในความรู้สึกของเขา แม้ถูกเสียงสนธยาสีส้มเข้มปิดทับเป็นฉากหลัง

"อืม เรื่องนั้นฉันสามารถบอกได้ เพียงแต่.."

ลมหนาวลูกใหม่ซัดกระทบร่างของบุคคลทั้งสองผู้กำลังสนทนากัน มันสามารถสร้างการสั่นไหวบนร่างของสตรีผู้ร่ำรวยที่สุดบนโลกคนปัจจุบันได้ แม้สวมโค้ทตัวหนาแล้วก็ตาม

"เรามาคุยในสถานที่อื่นเถอะ"

ดวงตาคู่นั้นเพียงจดจ้องดอกไม้ ต้นหญ้า วัชพืช และต้นไม้อันสั่นไหวจากแรงลมหนาว โดยมีฉากหลังเป็นแสงสนธยา

เขาเองก็ต้องการให้เป็นแบบนั้นเช่นกัน เพียงกล่าวว่า "ตามผมมา" ก่อนเดินข้างควีนแล้วนำหน้า ให้เธอและเหล่าบอดี้การ์ดชุดดำตามเข้าบ้าน

....

"นี้ครับ" เขาวางแก้วกาแฟดำราคาแพงสุดๆ จากต่างประเทศที่ถูกนับว่าเป็นของชั้นยอด

แน่นอน ถ้าถามว่าความแพงกาแฟในประเทศไทยก็มีสิ่งที่นับว่าแพง แถมยังแพงที่สุดบนโลกนี้ด้วย เพียงแต่การให้ของแบบนั้นกับเธอมันอาจเป็นสิ่งไม่สมควรเท่าไหร่นัก จากวิธีการทำของมันก็..

"ขอบคุณ" เธอเพียงหยักหน้าก่อนถือเเก้วกาแฟไปดื่ม ท่าทางเป็นไปอย่างเงียบง่าย

ดวงตาสีฟ้าคู่นั้นจับจ้องไปที่สตรีเบื้องหน้าอย่างไม่กระพริบ แต่มิได้รู้สึกกดดันกับสิ่งใดมาก เพราะอย่างไรเสียการมานั่งคิดวิเคราะห์ถึงสาเหตุการนักพบตนอย่างผิดวิสัย คงเป็นที่เธอต้องบอกในธุระครั้งนี้ และถ้านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับข่าวลือที่ตนได้ยินมาตลอด ก็สามารถคาดเดาได้สาเหตุอย่างแน่ชัด แต่ถึงอย่างนั้นการได้ฟังมาจากปากโดยตรงแทนการได้ฟังจากข่าวลือ คำบอกเล่าของผู้อื่น หรือสิ่งที่ตนคิดไปเอง ย่อมเป็นการดีกว่าและเป้าหมายก็มิได้ยากเย็นอาจมากแค่รอฟังจากปากโดยตรง

แต่ผิดคาด การดื่มด่ำกับกาแฟของเธอกับยาวนาน ถ้าให้แน่ชัดคือไม่ได้มีเพียงแค่เขาที่นั่งแล้วแอบจับจ้องอีกฝ่าย เธอเองก็กำลังทำการดื่มกาแฟอย่างช้าๆ แล้วมองตนด้วยแผ่วตาครุ่นคิดเช่นกัน

แม้เขาจะรู้สึกว่าพฤติกรรมของควีนนั้นแปลกประหลาด เพราะฝ่ายที่ควรมานั่งพิจารณาถึงเป้าหมายของอีกฝ่ายนั้นคือ ตน ไม่ใช่! เธอ ระหว่างสงครามสายตาที่กำลังดำเนินไปเป็นเวลานานผิดปกติ

แก้วกาแฟถูกวางลงบนจานเล็กๆ ฝ่ามือสองข้างวางลงบนโต๊ะ ก่อนวางคางลงบนฝ่ามือที่ประสานกัน

"ขอบคุณสำหรับกาแฟ คุณวันเพ็ญ"

พริบตานั้นบรรยากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงไป หากก่อนหน้า ควีนคือสตรีผู้มีบรรยากาศรอบตัวดูอบอุ่นอ่อนโยน และเข้าถึงง่าย บรรยากาศของเธอปัจจุบันกลับดูเป็นหยิ่งผยอง ขี้เล่น และแสดงท่าทีเหนือกว่าเต็มประดา

แต่เขากลับเพียงเพ็งมองด้วยแผ่วตาและสีหน้าสงบ โดยยังคงยิ้มให้เธอ

"มาดามควีนผู้โด่งด่งมาทำอะไรที่นี้มิทราบ?"

เขาเพียงถามเข้าตรงประเด็น เหมือนดั่งหมัดเด็ดตรงประเด็นเข้าไปยังคางคู่ต่อสู้ ป้องกันไม่ให้ควีนทำเสียเวลาเรื่องใดเพิ่มเติม

"ฉันมาหาคุณ แค่นั้นแหละ" พริบตานั้นบรรยากาศตัดเข้าสู่ความเงียบงัน

วันเพ็ญมองควีน

....

ควีนมองวันเพ็ญ

....

ท่ามกลางบรรยากาศห้องรับแขก เวลาไหลผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์และเงียบงัน

เริ่มมีบุคคลทนไม่ไหวและเปิดปากพูดออกมา เป็นบุคคลที่สามที่ได้อยู่ในห้อง

เธอกระแอมสองหน หันหน้าจ้องมองสตรีผมเงินตรงเก้าอี้ไม้และกล่าว

"ท่านประธาน ดิฉันว่ามิสเตอร์วันเพ็ญ มีบ้างสิ่งที่ต้องการคำยืนยั่นจากคุณนะคะ"

ฟู่ว..วันเพ็ญถอนหายใจเงียบงัน

มันเองก็สงสัยเหตุผลที่ควีนทำเรื่องเสียเวลาแบบนี้ไปทำไม

ควีนเพียงหันสายตาไปมองยุนนาฮีน ก่อนพยักหน้า และกล่าวเสียงเรียบ

"ฉันคงทำเรื่องไร้สาระจริงๆ ละนะ ในมุมมองคุณ"

เธอเปล่งประโยคมีความหมายแฝง ก่อนชูกำปั้นข้างขวาขึ้นมา ก่อนชูนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งนิ้ว

"1.ฉันต้องการให้คุณกลับมาเร็วเกม VR ใหม่ที่กำลังจะเปิดตัวในอีกไม่ช้า 2.ฉันต้องการใครบ้างคนมาเล่นโค้ตเบต้าก่อนตัวเกมเปิดออกมา 3.ฉันต้องการให้บางคนมาโปรโมทเกมที่กำลังจะออกมาใหม่ ทั้งยังต้องมีชื่อเสียงโด่งดังมากพอ 4.ฉันแค่อยากมาให้คู่มือเกมบ้างอย่างกับคุณ ออ..ใช่และอย่างสุดท้ายสำคัญที่สุด.."

นิ้งแล้วนิ้วเหล้าถูกยกขึ้น ก่อนนิ้วโป้งถูกยกขึ้นกลายเป็นห้านิ้ว

"5.ฉันแค่อยากมาเจอคุณนะ"

จันทร์เพ็ญเหลือบมองควีนสองวิ ก่อนกล่าว

"ถ้าเป็นปัญหาในข้อ 1-3 ฉันพอเข้าใจ เพราะข่าวลือนับว่าหนาหูมากกับการเปิดตัวเกมใหม่ของพวกคุณ ทั้งการหาคนมาพรีเซ็นเตอร์ให้เหมาะสมกับงานก็นับเป็นตัวช่วยในการโปรโมทที่ยอดเยี่ยมหากปล่อยสู่สาธารณชน โดยเฉพาะการชักชวนอดีตโปรแกรมเมอร์อันดับ 1 ของโลกอย่างฉันมาแล้วด้วย เรื่องนั้นคงสามารถให้พวกสื่อเล่นตามได้ไม่ยาก เพียงแต่.."

เขาเว้นวรรค

"ข้อ 4 กับ 5 นี่มันอะไรของคุณ!" เขากล่าวเสียงดังด้วยน้ำเสียงสงบ

"ออ! เรื่องนั้น" เธอพูดจนมีนิ้วมือสองข้างกางออก ปกปิดปากที่เปิดออก ท่าทางเป็นไปอย่างเกินจริงไปมาก

"เรื่องนั้นฉันจะบอกให้แบบฟรีๆ เลยก็ได้ เพียงแต่อย่าเอาไปบอกใครต่อล่ะ"

ศอกซ้ายวางลงบนโต็ะ ก่อนใช้เป็นที่พิงศีรษะ ส่วนมือขวาขยับเล่นหมุนวนกลางอากาศ เธอกล่าว

"คู่มือเกมที่ว่ามันเป็นหนังสือที่ฉันได้รับมาจากตาแก่ดื้อรั้น เอาแต่ใจ และหัวหมอคนหนึ่ง โดยสิ่งนั้นมันกลับไม่ได้มีประโยชน์มากมายอะไรกับฉันแล้ว การเก็บไว้คงมีแต่วางไว้ตรงมุมห้องปล่อยให้ฝุ่นเกาะ ซึ้งพอคิดอย่างนั้นฉันก็เสียดายมากมากมากมากและมาก เพราะในอดีตก็เคยใช้งานมาอยู่เช่นกัน"

เธอเปร่งประโยคท้ายบทอย่างเสียงดัง

"โดยถ้าเป็นแบบนั้นฉันขอเอาไปให้คนอื่นเพื่อก่อประโยชน์จะไม่ดีกว่าเหรอ? ดั่งสำนวนที่ว่า 'ของไร้ประโยชน์สำหรับบางคน อาจจะมีประโยคยิ่งกว่าสิ่งมีค่าที่สุดที่บุคคลนั้นทิ้งมาก็ได้' เพราะฉะนั้นฉันเลยเลือกคุณยังไงล่ะ ถือเป็นของสินบนสำหรับการร่วมงานของพวกเรา"

ควีนเว้นวรรค

"โดยเหตุผลข้อที่ห้านั้นคือ..." เธอกล่าวพร้อมกับลากเสียงยาว วางมือสองข้างลงบนโต๊ะ พร้อมกับหันศีรษะมองตรงมาทางตน ทำให้ดวงตาสองคนนั้นสบกันอย่างมิอาจเลี่ยง

"ฉันแค่ชอบคุณ และเป็นแฟนคลับด้วย"

เธอรีบกลับประโยคหลังเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด

"อะแฮ่ม ว่าไงดีละ ถ้าจะให้พูดก็คงเป็น.."

วันเพ็ญจดจ่ออยู่กับประโยคถัดไป จากปากของควีน

"ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาในช่วงประวัติศาสตร์ มีสื่อบันเทิงมากมายหลากหลายเรื่อง และช่วงก่อนการทำลายล้างอารยธรรมจากภัยพิบัตินั้นด้วย เพียงแต่การได้เห็นคุณแสดงความนิยมชมชอบอย่างซื่อตรง ในสื่อบันเทิง อนิเมะ นิยาย หนัง ในช่วงเวลาที่คนอื่นอาจหาว่าโบราณและลืมเลือนไปแล้ว แต่คุณยังคงชอบมันต่อไป โดยแม้ฉันจะเสพสื่อมามากมาย แต่ความทรงจำนั้นยังคงเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของฉัน... คุณมีความชื่นชอบต่อสิ่งนั้นและการกระทำที่ผ่านมาทั้งหมดนั้นอีก ฉันจึงชอบคุณมากเลยละ"

ดวงตาของควีนหันเหออกไปเพียงก้มลงบนโต๊ะเบื้องล่าง

คนมีรสนิยมเดียวกันสินะ.. วันเพ็ญสรุปประโยคนั้นภายในใจ

ทันใดนั้นมันเข้าใจสาเหตุข้อที่ 5 กลับคำกล่าว 'ฉันแค่อยากมาเจอคุณน่ะ' ในทันที

ท่ามกลางความเงียบงันอันเปลี่ยนไปด้วยอารมณ์ยางแปลกประหลาด ควีนเป็นคนเปิดบทสนทนาต่อไป

"ด้วยเหตุฉะนี้ ฉันจึงอยากมอบหนังสืออันมีจำนวนเล่มเท่ากับ 'พระอภัยมณี' ของไทย แถมยังมีหน้าโดยเฉลี่ยพอๆ หนังสือที่ยาวที่สุดของแฮร์รี่ พอตเตอร์เลยทีเดียว"

ขนาดพูดเช่นนั้น เธอก็ตบมือเสียงดัง ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดปุ่ม

เหล่าบอดี้การ์ดชุดดำตัวใหญ่หลากหลายคน เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับวางกระเป๋าถือลงบนโต๊ะ

"มันมีชื่อหนังสือว่า 'ประสบการณ์ 500 ปี' ถือเป็นของขวัญสำหรับการพบกันระหว่างพวกเรา"

เธอกล่าวก่อนลุกขึ้นยืน ท่าทางคล้ายต้องการออกไปจากสถานที่แล้วนี้..

"ดี แล้วสัญญาละ?" เขาดักถาม

เธอเพียงจดจ้องตนด้วยท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนปรับท่าที

"ฉันเพียงให้ให้คู่มือเกมนั้นหวังว่าคุณจะได้ลองอ่านและทำความเข้าใจก่อนเริ่มต้นการทำสัญญาของเรา โดยคิดให้ดีเสียก่อน"

"...?"

เธอมอบด้วยสายตาและรอยยิ้มสง่างามคล้ายแฝงบางอย่างในรอยยิ้ม

"ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เพราะฉะนั้นฉันขอตัวก่อนละ"

ขนาดกล่าวเช่นนั้นยุนนาฮีนำเสื้อโค้ตตัวหนามาสวมทับชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์ วันเพ็ญพยักหน้าตอบลุกขึ้นมาส่งควีนที่หน้าประตูบ้าน

สายตาจับจ้องมองกลุ่มของควีนที่กำลังเดินห่างออกไป

"ออ ใช่แล้ว" ควีนกล่าวคล้ายนึกอะไรได้ ก่อนหันกลับมาโบกมือทักทาย กล่าวเสียงดัง

"ราตรีสวัสดิ์ วันเพ็ญ"

เขายกมุมปากก่อนตะโกนน้ำเสียงสงบ

"ราตรีสวัสดิ์เช่นกัน ควีน"

เมื่อเห็นอีกฝ่ายทักทายตอบ ควีนเผยรอยยิ้มกว้าง

"ยินดีที่ได้พบกัน.."

พวกเขาไม่กระทำสิ่งใดต่อ เพียงทำตามสิ่งที่ควรทำในเวลานี้ วันเพ็ญจ้องมองภาพของกลุ่มควีนหายลับตาไปจากการมองเห็น จึงปิดประตูล็อคกลอน กลับเข้ามายังตัวบ้าน

ขนาดกำลังเดินไปเก็บแก้วกาแฟถ้วยเปล่า แล้วมาศึกษากับหนังสือในกล่องจำนวนมากมาย แต่สิ่งที่สะดุดตากับเป็นซอกสีน้ำตาลวางบนโต๊ะ

เขาเพียงเดินเข้าไปใกล้ก่อนพบกับคำจ่าหน้าซอง 'ของขวัญอีกชิ้นนะ' เห็นเช่นนั้น เขาจึงเปิดมันออกมา สำรวจวัตถุภายใน หลังนั่งบนเก้าอี้

เป็นภาพถ่ายจำนวนมากมาย บางเป็นภาพประตูรั้วขนาดใหญ่ บางเป็นภาพของทุ่งโล่งจากภายในรถ บางเป็นภาพของตัวบ้านแบบโมเดิร์น บางเป็นภาพทางเดินหิน บางเป็นภาพทุ่งในยามเที่ยง ยามบ่าย และยามเย็น และสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด

เป็นภาพแผ่นหลังของบุคคลผู้ยืนอย่างสงบเป็นเวลานานหน้าต้นไม้ใหญ่บนเนิดเขา

ภาพเหล่านี้มีองค์ประกอบร่วมกันชัดเจน 2 อย่างคือ มันเป็นภาพปกติ และภาพที่มีควีนเป็นส่วนประกอบร่วมด้วย โดยมีภาพหนึ่งผิดแผกไปจากภาพอื่น

ภาพเด็กหนุ่มร่างสูง ผมสีดำยาวสลวยและดวงตาสีฟ้าสดใส รูปร่างล่ำสัน ผิวข้าวสาลี บรรยากาศรอบตัวสงบและอ่อนโยน แม้จะยังดูเด็กจากใบหน้าอ่อนเยาว์ ทั้งมีลักษณะของลูกครึ่งบนใบหน้าชัดเจน เป็นภาพเมื่อประมาณ 5 ปีก่อนตนเลิกเล่นเกม VR นั้น

เมื่อเห็นเช่นนั้น วันเพ็ญอดกั้นหัวเราะไม่ได้ เขายิ้มกว้าง ส่ายศีรษะไปมา

"เป็นผู้หญิงขี้เล่นตามข่าวลือจริงๆ"

วันเพ็ญนั่งมองภาพเป็นเวลานาน ก่อนลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ไม้ เดินไปทางประตูเลื่อนกระจกพร้อมเปิดมันออกไปข้างนอก หันศีรษะจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันเต็มไปด้วยดวงดาวพราวพายมากมาย โดยมีพระจันทร์เต็มดวงเป็นฉากหลังส่องสว่างต่อสรรพสิ่งอย่างอ่อนโยนงดงาม เป็นแบบนี้เสมอมาและเสมอไป

เฮ่อ

"พ่อครับแม่ครับ ดูท่าผมกลับมามีเป้าหมายในชีวิตอีกครั้งแล้วครับ"

วันเพ็ญจ้องมองบรรยากาศดั่งกล่าว

"อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไงนะ" เขาพึมพำเสียงแผ่ว

ดวงตาคู่นั้นปิดสนิทอย่างเชิงช้า พร้อมคิดถึงอนาคตเบื้องหน้าในทุกลมหายใจ

มันเป็นคำถามไร้คำตอบยังก้องอยู่ภายในหัวใจ เขาไม่อาจจินตนาการถึงอนาคตที่จะเผชิญได้ในอนาคต ภาพอนาคตเบื้องหน้าที่เขามองเห็นกลับยังไม่ปรากฏออกมากันนะ

เพราะสิ่งที่เขามองเห็นกลับดูมืดมิดอย่างไร้ที่สิ้นสุด

...

ลา! ลา! ลา! ลา!

เสียงพึมพำคล้ายเสียงร้องเพลงดังจากปากของวัยรุ่นผู้เริ่มมีลักษณะของสตรีวัยกลางคนอยู่หลายส่วน เป็นท่าทีไม่สมควรกับคนที่บ่งว่าหนาวเลยสักนิด

ยามนี้เธอกำลังเดินกลับโดยมีกลุ่มบอดี้การ์ดห้อมล้อม โดยบ้างทีเธอขยับไปซ้ายที! ขวาที! หมุนตัวที! ขยับในท่วงท่าที่ผู้อื่นไม่คิดว่าเธอจะกระทำ คล้ายเต้นรำแต่ห่วยแตกกว่ามาก

แต่ดูเหมือนกลุ่มคนโดยรอบกับชินชาในท่าทีดังกล่าว พวกเขาเพียงก้มหน้าก้มตาทำงานของตน ถึงอย่างนั้นก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าท่าทีของเธอวันนี้ดูคึกเป็นพิเศษ

"ท่านประธานของที่คุณให้กับมิสเตอร์วันเพ็ญ มันคือสิ่งใดหรือคะ"

ยุนนาฮีนถามสิ่งที่เธอสงสัย รวมถึงเหตุผลของการมาเสียเวลาที่นี้ไปถึงเกือบครึ่งวัน แม้อีกฝ่ายจะเป็นถึงสุดยอดตัวตนผู้เคยทำลายสถิติมากมาย และสร้างสถิติใหม่ที่ยังไม่มีผู้ใดทำรายได้ของเกมออน์ไลน์อันดับ 1 อย่าง 'วัฏจักรนิรันดร์ถึงจุดจบ' แต่ถึงอย่างนั้นท่าทีของควีนกลับเป็นการรออย่างสงบ ไม่ต้องการขัดขวางสิ่งที่วันเพ็ญกำลังทำ แม้สามารถทำได้ แม้มีเหล่าบอดี้การ์ดถึงตัวเธอเสนอ แต่สิ่งที่ทำกลับเป็นเพียงการรออย่างสงบจนกว่าอีกฝ่ายจะทำเป้าหมายของเขาให้สำเร็จ

"การขัดขวางคนที่มีเป้าหมายอันแน่วแน่และแน่นชัด เป็นสิ่งที่ไม่สมควรกระทำแม้ทำได้ก็ตาม เพราะผู้คนบนโลกนี้ล้วนแล้วแต่หย่อนยานกับสิ่งที่ตนทำ ไม่แน่วแน่กับสิ่งที่ตนสนใจ ฉะนั้นการเจอคนที่สนใจกับสิ่งที่ตนทำอย่างมุ่งมั่นจึงเป็นสิ่งพิเศษมากเลยละ... พิเศษสุดๆ"

เธอห้วนนึกถึงคำกล่าวของท่านประธานช่วงยามบ่าย มันคล้ายกับวลีที่เธอเคยได้เห็นจากสมุดโน้ม 'บทพูดสุดเท่' ของท่านประธาน บางทีเธออาจไปก็อปมาจากไหนอีกก็ได้

ก่อนเหลือบมองหัวหน้าบอดี้การ์ด ยาสซีน แต่เขาเพียงพยักหน้ากับตน

"เรื่องนั้น.." ควีนหันไปด้านซ้ายของตนก่อนยกยิ้มมุมปาก

"มันเป็นหนังสือชื่อ 'ประสบการณ์ 500 ปี' โดยเนื้อหาด้านใดไม่สมควรถูกเรียกว่าคู่มือเกม ถ้าเรียกให้ถูกมันคือ เนื้อหาเศษเสี้ยวของตัวเกม"

เหล่าบอดี้การ์ดโดยรอบพากันหยุดชะงัก บางคนถึงกับอ้างปากค้าง ทางด้านยุนนาฮีกรามของเธอแทบอ้าค้างจนเป็นต้นเหตุอาการปวดในอนาคต ไม่เข้ากับใบหน้างดงาม และท่าทีของเลขาประธานบริษัทยักษ์ใหญ่เสียเลย

เพราะเธอรู้.. รู้ว่าต่อให้เป็นเพียงเศษเสี้ยวข้อมูลเกมในอนาคตที่กำลังจะเปิดตัวมันย่อมมีมูลค่ามหาศาล ต่อให้นั้นเป็นจำพวกข้อมูลเบ็ดเตล็ดไร้ค่ามากมาย ที่แม้ในตัวเกมจะหาพบได้ง่ายดายแต่ถ้าหากมันหลุดออกไปสู่โลกภายนอกก่อนเวลาอันควร มูลค่าของมันย่อมมิอาจประเมินค่าได้ หรือต่อให้เก็บเอาไว้พร้อมเผยแพร่ทีละนิดหลังเริ่มเกม จนยืนยั่นความถูกต้องของเนื้อหามูลค่าก็ยิ่งมหาศาลไปอีก ไม่ว่าจะคิดทางใดเธอก็เพียงคิดได้แต่..หายนะ!

แบบนี้ไม่ดีสุดๆ ไปเลย เธอไม่ได้ผิดถึงเหตุการณ์ข้อมูลนั้นมันผิดได้ เพราะผู้ที่ยื่นให้โดยตรงคือ ประธานของตัวเกมเอง

"แบบนี้จะไม่เป็นอันตรายหรือคะ" เธอผุดถามตามสัญชาตญาณ

"ไม่!" ควีนตอบอย่างมั่นใจ

"ถ้ามิสเตอร์วัญเพ็ญ นำข้อมูลดังกล่าวไปหาประโยชน์ อุดมคติของบริษัทให้ผู้เล่นใช้ฝีมือของตนเองก็จะหายไป ลงเหลือแต่เพียงกลุ่มคนมีเงินเท่านั้นที่ได้ประโยชน์"

แม้กำลังร้อนรนแต่เธอก็อธิบายปัญหาทั้งหมดด้วยเหตุผลอันสมควร เพราะยังไงเสียตำแหน่งของเธอก็คือ เลขา ประธานบริษัทอันดับ 1 ของโลก การขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ย่อมมีความสามารถมากล้นเป็นธรรมดา

"ยุนนาฮีน" ควีนจ้องเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาล ด้วยมาดเข้มขรึมและเอาจริงเอาจัง

"ฉันเชื่อว่าการมองคนของฉันในครั้งนี้ของฉันไม่ได้ผิดพลาดอะไร? และปัญหาครั้งนี้ตาแก่ก็รับรู้แล้วเช่นกัน หรือต่อให้อีกฝ่ายนำข้อมูลในหนังสือออกไปเผยแพร่ ทางบริษัทก็ได้รับประโยชน์บ้างอย่าง"

"คุณพ่อของท่านประธานรับรู้หรือคะ"

"ถูกต้อง" ควีนพยักหน้ารับ

"ถึงอย่างนั้นการนำไปเผยแพร่นี้มันก็.." เธอเปร่งเสียงอ่อน

"ไม่ต้องห่วง" ควีนกล่าวตอบ

"ด้วยบุคลิกภาพของเขา การนำมันไปขายย่อมเป็นสิ่งที่ไม่กระทำ หรือต่อให้เขาทำมันจริงๆ เราก็มีวิธีจัดการปัญหาได้ไม่ยาก"

เมื่อคิดถึงความชื่นชอบที่ท่านประธานมีต่อวันเพ็ญ เธอไม่คิดใช้หัวข้อวัญเพ็ญเป็นประเด็นของปัญหา

"แล้วถ้าบุคคลภายในนี้นำข้อมูลไปเผยแพร่ละค่ะ ว่าท่านประธานนำข้อมูลตัวเกมไปให้แก่คนภายนอก มันจะไม่ก่อความเสียหายร้ายแรง"

นั่นคือประเด็นปัญหาที่เธอต้องการชี้ เพราะแม้ข้อมูลหลุดลอยออกไปสู่โลกภายนอก แต่วิธีการหลุดก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะปัญหาในคราวนี้..

"ออ เรื่องนั้น" ควีนกล่าวคล้ายฉุดคิดถึงบางอย่าง

"ประเด็นปัญหาอันแสนไม่สำคัญ ฉันไม่เคยคิดถึงมันเลย แต่ไม่ต้องเป็นห่วงมันคงไม่ยากนักหรอกแค่ปัดกวาดทิ้งไม่กี่ทีก็คงจบหมดแล้วละ"

ประโยคดังกล่าว แม้ควีนพูดด้วยเสียงอ่อนโยน ทั้งแสดงสีหน้าและท่าทีของเธอแสนผ่อนคลาย แต่กลับสร้างความหวาดหวั่นในใจเธอเป็นอย่างมาก เป็นความกลัวอันแปลกประหลาด

"สำหรับเขา บางทีสิ่งนี้อาจจะมีประโยชน์กับเขาในปัจจุบันอย่างมากหรืออาจไม่ใช่เลย ทั้งอาจจะเป็นเพียงสิ่งที่ไร้ประโยชน์สำหรับเขาอย่างมาก หลงเหลือเป็นเพียงสิ่งของที่มีความทรงจำร่วมกันบางอย่าง"

เธอมิอาจทำความเข้าใจคำกล่าวนั่นได้แน่ชัด มีเพียงหัวสมองที่ขาวโพลน

"เรารีบไปกันเถอะ ทางบริษัทตอนนี้คงกำลังเตรียมงานกันอยู่ มาเสียเวลาเพิ่มขึ้นแล้วจะได้ประโยชน์อะไร" ควีนเก้าเดินออกไปเป็นคนแรก

"ค่ะ" เธอตอบรับด้วยความคิดเลื่อนลอย

พยายามเดินตรงไปกลับไปพักผ่อนยังที่พัก แต่เพียงหยุดชะงักเพราะควีนหยุดอยู่กับที่ พร้อมหันหลังกลับไปมองขึ้นไปบนท้องฟัาอันเต็มไปด้วยดวงดาว เธอจ้องมองเป็นเวลาแสนนานมิได้ขยับเขยื้อน ก่อนโปร่งเสียงหัวเราะออกมา

"ฮ่าฮ่าฮ่า"

"มีอะไรหรือคะ" เธอถามด้วยความเป็นห่วง

"ไม่มีอะไร กลับกันเถอะ"

"ค่ะ"

รอยยิ้มนั้นยังคงประดับอยู่บนใบหน้าอย่างชัดเจน พวกเขาเพียงเดินจากทุ่งโล่งกว้างอันมีลมหนาวเหน็บพัดผ่าน แต่ถึงอย่างนั้น.. ดวงดารายังคงเปล่งแสงอันอ่อนโยน ส่องประกายอย่างเจิดจ้าเป็นฉากหลัง

คล้ายกับอำนวยอวยพร หรืออาจไม่ใช่กันนะ?

____

(จบปฐมบท-ตอนที่ 0)

"บัลลังก์อันแสนว่างเปล่า" 1 : เริ่มต้น

ความมืดมิดปกปิดบรรยากาศรอบข้างไร้แสงใด จะเปล่งประกาย มีเพียงความเงียบงันครอบงำบรรยากาศ เหล่าผู้คนใต้ความมืดนั้นกลับยังมิได้แสดงอาการใดเพียงรอคอยให้มันเริ่มต้นขึ้น

พริบตา! แสงเกิดการเรียงตัว ส่องแสงสว่างให้ม่านสีแดงฉาน ภาพม่านถูกดึงออกพร้อมกันเผยร่างหนึ่งยืนท่ามกลางความมืด บนเวทีไม้คล้ายเวทีละครคนแสดง แสงไฟสปอร์ตไลท์ฉายสาดส่องไปทางบุคคลดังกล่าว

เป็นสตรีผมเงินยาวสลวย เธองดงามและสง่างาม เธอมีใบหน้าเรียวบาง ผิวขาวน้ำนม ดวงตาสีฟ้าใสเกินปกติ สามารถสรุปรูปลักษณ์เธอว่าสง่างามและสูงส่งเกินเอื้อม เพียงสวมใส่ชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงยาวสตรีสีหม่นเทา และรองเท้าส้นสูงสีแดง เธอกุมมือสองข้างอย่างเรียบง่าย

เธอกล่าวเสียงเรียบแต่ดังไปถึงทั่วห้องโถงขนาดใหญ่ โดยมีภาพหน้าจอด้านหลังเป็นฉากหลังและโฮโลแกรมรอบเวที เป็นภาพประกอบพิศดารยากคาดเดาแต่แฝงความนัยบางอย่าง โดยเปลี่ยนแปลงไปตามการบรรยายของเธอ

สตรีคนดังกล่าวเริ่มกล่าวบรรยายเปิดโดยไม่แนะนำสิ่งใด เพียงคล้ายกำลังเล่านิทานบางอย่าง :

"ณ โลกใบนั้น.. คือความสมดุล เป็นสถานที่โดดเดี่ยวท่ามกลางจักรวาลอันเปี่ยมไปด้วยความโกลาหลทุกซอยมุม เปรียบเสมือนกับเรืออันอยู่ท่ามกลางคลื่นพายุซัดโถมตลอดเวลา แต่ยังคงอยู่ได้เสมอตลอดรอดฝั่งอย่างหน้าเหลือเชื่อคล้ายกับถูกบางสิ่งช่วยเอาไว้"

"ณ โลกใบนั้น.. ผ่านกระแสกาลเวลาที่ไหลพรากอย่างเกรี้ยวกราด มันไม่ปราณีต่อผู้ใด เพียงกระทำอย่างเที่ยงธรรม ไม่มีความสุขและความโศกเศร้า และอารมณ์ใดเข้ามาเกี่ยวข้อง เพียงเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่างตั้งแต่เริ่มแรกอย่างทั่วถึง ไม่เว้นแม้แต่ตัวตนผู้เปรียบได้กับสัญลักษณ์แห่ง 'นิรันดร์'"

"ณ โลกใบนั้น.. เปลี่ยนผ่านจากดินแดนหนึ่งไปเป็นอีกแบบหนึ่ง คล้ายกับการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาล มันมักเจ็บปวดอยู่เสมอในช่วงการเปลื่ยนผ่าน รวมถึงมีผู้คนที่เกลียดชังมันจนเข้ากระดูก แต่ผู้คนก็มักจะชินชากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รวมถึงตัวตนของผู้เกลียดชังมันด้วย"

"ณ โลกใบนั้น.. มีดินแดนกว่้างใหญ่เพราะถูกรังสรรค์โดยความตั้งใจอย่างหาที่สุดมิได้ของพระผู้สร้าง เพื่อต้องการให้เหล่าสรรพสัตว์ดำรงชีวิตอยู่ได้ ไม่ว่าจะมีสภาพอากาศจะเลวร้ายเพียงใด ธรรมชาติก็จะกลับมาให้เหล่าสรรพชีวิตดำรงอยู่ได้อีกครั้ง แต่โลกกลับเต็มไปด้วยสิ่งที่ผู้สร้างไม่ต้องการอย่างมากมายแทน"

สตรีบนเวทีมีแสงไฟสาดส่อง หยุดขยับร่างกายและการพูดลงครู่หนึ่ง ฝ่ามือนำมาประกอบกันอีกครั้ง พลางหันมองเหล่าผู้คนด้านล่างเวทีครั้งหนึ่ง ก่อนบรรยายต่อ :

"โลกที่ผู้เล่นจะเผชิญมีลักษณะพื้นฐานในแบบดาวเคราะห์ทรงกลม มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาล และเหล่าดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน"

"แต่นั้นมันก็แค่โลกในฉากหน้าเท่านั้น.. มันมีอะไรมากกว่านั้นมากมายเสียเหลือเกิน"

เธอเปร่งคำพูดมีความหมายบางอย่าง ด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

"แผ่นดินสำหรับการอยู่อาศัยมีขนาดกว้างใหญ่เกินกว่่าโลกที่พวกเราเหยียบย้ำอยู่มากมายมหาศาล"

"สวรรค์ นรก รังมังกร ดินแดนเซียน โลกวิญญาณ ดินแดนดารา อวกาศ โลกธาตุ รอยแยกมิติ ดินแดนใต้สมุทร ดินแดนใต้พิภพ โลกบนท้องฟ้า พระราชวังจักรพรรดิและราชาราชวงศ์ โบราณสถานเก่าแก่จากยุคสมัยที่ถูกลืม และยังมีอีกมากมายเกินกว่าที่จะบอกได้มากมายเปรียบดวงดาวบนท้องฟ้า"

เธอหยุดหนึ่งลมหายใจ ก่อนกล่าวบรรยายต่อ

"มีเหล่าผู้ปกครองสวรรค์และโลก เช่น เทพสวรรค์ , มีสิ่งมีชีวิตเก่าแก่เหนือจินตนาการหลับใหล เช่น มังกร , มีเหล่าผู้ปกครองนรกแต่ละขุม เช่น จอมอสูร , มีเหล่าผู้เร้นกายในธรรมชาติ เช่น ภูต , พราย และ เอลฟ์ , มีเหล่าสิ่งมีชีวิตอาศัยใต้สมุทร เช่น เผ่าพันธุ์สมุทร , มีเหล่าสิ่งมีชีวิตผู้ใช้ธรณีเป็นบ้าน เช่น คนแคระ และ เผ่าก้อนหิน , มีเหล่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่จำเป็นต้องลงมาเหยียบย่ำพื้นธรณี เช่น เผ่านภา , มีเหล่าเผ่าพันธุ์ที่พัฒนาทักษะของตน เช่น มนุษย์ , มีเหล่าสิ่งมีไม่รู้จักตายเดินเตร่ไปทั่วดินแดน เช่น อันเดธ และมีเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ก้าวข้ามขอบเขตของสิ่งมีชีวิตอีกมากมายหลบซ่อนตัวตนอยู่มากมายมหาศาล โดยสิ่งนั้นต้องให้เหล่าผู้เล่นไปเผชิญหน้ากับมันเอง"

เธอหยุดอยู่ตรงกลางเวที ฝ่ามือสองข้างจับกันวางอยู่กึ่งกลางท้อง เชิงหน้าตรงจ้องมอง ภาพโฮโลแกรมและหน้าจอปิดลงในวินาทีเดียวกัน

เหล่าภาพของผู้ที่กำลังหันจ้องมองตน เหล่านักข่าวที่ถ่ายภาพของตน เหล่ากล่องที่กำลังถ่ายภาพตนไปสู่สายตาชาวโลก ฯลฯ ต่างสะท้อนเข้ามาในดวงตาสีฟ้าคู่นั้น

"เหล่าผู้คนในโลกใบนั้นและเหล่าผู้เล่นที่กำลังจะเข้าไป ต่างดำลงชีวิตในวิถีที่แตกต่างกัน บางเป็นช่างตีเหล็กผลิตศาสตราวุธ บางเป็นเพียงชาวนาเกี่ยวจอบ-เสียม บางเป็นนักรบกวัดแกว่งอาวุธปะทะศัตรูของตน บางเป็นนักผจญภัยเดินทางไปทั่วพิภพ บางเป็นพ่อค้าค้าขายตามเมือง บางเป็นจอมเวทย์ร่ายมนต์คาถา บางเป็นคนธรรมดาใช้ชีวิตในแต่ละวัน เหล่าผู้คนต่างใช้ชีวิตอย่างแตกต่างแต่ปลายทางเดียวกัน ทุกคนมีเส้นทางเป็นของตนเอง ไม่มีทางเหมือนได้ โดยโลกใบนั้นมีจุดมุ่งหมายให้สำหรับจุดสูงสุดของการพัฒนา"

ภาพโฮโลแกรมและหน้าจอเกิดการกระตุก เตรียมสำหรับคำพูดต่อไปของเธอ เป็นชื่อของโลกใบนั้น :

"เพราะโลกใบนั้นคือโลกแห่ง---"

...

ในชายหาดแห่งหนึ่งในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ชายหนุ่มผมดำดวงตาสีฟ้า แขนสองข้างค้ำยันเอนกายบนฝื้นทราย นั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเต็มเปี่ยมด้วยเหล่าแสงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน มีเพียงลมจากทะเลยามค่ำคืนซัดมาปะทะร่างกาย โดยมีผมยาวประบ่าพริ้วไหว และพวงมาลัยที่ห้อยคอ

แม้จะเหล่าผู้คนจับจ้องเขาและเสียงเครื่องดนตรีจากด้านหลัง แต่ดวงตาของชายหนุ่มกลับไม่ขยับเลย เหมือนกับว่าเขากำลังจ้องมองไปยังทุกสิ่งบนท้องฟ้าแต่กลับไม่มีสิ่งใดเลย

เสื้อผ้าฮาวายสีแดงและกางเกงยีนยาวสีน้ำเงิน ด้วยเสื้อผ้าที่ไม่เข้ากับงานด้านหลังเข้าจึงออกมา ออกมา..ออกมาหาสิ่งที่ปรารถนา

วันเพ็ญถอนหายใจเสียงยาวกีอนสูดอากาศเข้าปอดยาวครั้งแล้วครั้งเหล่าที่เขากระทำแบบนั้น

ในความเงียบงันและความสงบร่มเย็นของบรรยากาศ ขายชราคนหนึ่งเข้ามาใกล้เขา

"ขอนั่งด้วยได้รึเปล่า?" เสียงชราถามไถ่

วันเพ็ญเพียงนิ่งเงียบหลับตาลง เปิดปากพูดเบาๆ โดยไม่ต้องหันไปมอง "ได้สิครับ"

ชายชราในชุดสูทมาดเข้มขรึมโดยมีไม้ค้ำหรูหราถือในมือซ้าย เพียงมานั่งด้านซ้ายชายหนุ่ม ไม่สนใจทรายหรือการเปื้อนของเสื้อผ้า

ชั่วขณะหนึ่ง มีเพียงความเงียบงันระหว่างพวกเขา มีเพียงสายลมพัดผ่าน แสงเสียงจากปาตี้ด้านหลัง และเหล่าบอดี้การ์ดด้านหลังที่คอยเฝ้ามอง เป็นการบ่งบอกว่ากาลเวลายังคงไหลผ่าน

ราวกับพอใจกับบรรยากาศมากพอแล้ว วันเพ็ญลืมตาขึ้น "คุณต้องการอะไรกันแน่"

ชายชราไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่ายและเพียงกล่าวตอบ :

"ฉันเชิญเธอมาเข้าร่วมในงานก่อนการเฉลิมฉลอง เพราะต้องการให้มีโอกาสในการพูดคุยกันนะ"

"โอกาสในการพูดคุยของพวกเรามีอยู่มากมายหลายครั้ง ตลอดระยะเวลาร่วมงานกันหนึ่งปีเต็ม แต่คุณกลับมาอยากพบผมในวันสุดท้ายที่ผู้เล่นทุกคนทั่วโลกต่างรอคอยเนี่ยนะ"

วันนี้คือวันที่ 15 ธันวาคม 2083 เวลา 00:13 เป็นทามโซนเวลาของประเทศไทย ไม่ใช่ทามโซนเวลาโลกเสียทีเดียว เพราะตัวเกม VR ออนไลน์แนว MMORPG ใหม่ล่าสุดของบริษัทลูนาเรียกรุ๊ป ถือเป็นผลงานตัวที่สามแนวนี้ของทางบริษัท

อันจะเปิดตัววันที่ 15 ธันวาคม 2083 เวลา 00:00 ตามทามโซนเวลาของจุดเริ่มแรกของโลก สหราชอาณาจักร โดยประเทศไทยนับว่าเร็วกว่า 6 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่ตัวเกมอนุญาตให้ผู้เล่น หรือก็คือต่อให้อยู่จุดไหนของโลก แต่เวลาในการล็อกอินจะเป็นเวลาเดียวกัน

โดยยังเป็นช่วงที่เหล่าผู้เล่นที่เล่น 'วัฎจักรแห่งนิรันดร์ถึงจุดจบ' ลดลงเป็นยอดประวัติการณ์ เพราะพวกเขาต่างซื้อเครื่องแคปซูล VR รอเวลากันเป็นซะส่วนใหญ่ แต่นั้นยังไม่ใช่ปัจจัยการลดลงของยอดคนเล่นมากนัก

เพราะในวันเดียวกันประธาณบริษัทลูนาเรียกรุ๊ปคนปัจจุบัน ควีน-ลูนาเรีย!

ได้มีการถ่ายทอดสด ถ่ายทอดรายละเอียดเกมและตอบคำถามข้อมูลนิดหน่อยของตัวเกม คล้ายเป็นการโปรโมตและชักชวนครั้งใหญ่

แน่นอน.. วันเพ็ญเองก็เหมือนกลับคนทั่วไป ต้องการนั่งพักอยู่ในบ้าน พลางดูถ่ายทอดสด ก่อนเข้านอนหลับ และตื่นมาเล่นเกมในยามเช้า

แต่เหตุผลที่ตนนั่งเครื่องบินของบริษัทลูนาเรียกรุ๊ปมานั่งเล่นชมวิวกับงานเฉลิมฉลองที่บนเกาะ เป็นเพราะตัวตนของผู้ชักชวนเขา นั้นคือ..

"คุณอเล็กซานเดอร์ ผมขอถามตามตรงนะ!"

ผู้ก่อตั้งบริษัทลูนาเรียกรุ๊ป อเล็กซานเดอร์- ลูนาเรีย! .

"ได้" อเล็กฯ พยักหน้าอย่างผ่อนคลาย

"คุณรู้เรื่องเกี่ยวหนังสือประสบการณ์ 500 ปี รึเปล่า?" เขาถามสิ่งที่สงสัยในทันที และป้องกันผลลัพธ์ทันเลวร้ายที่อาจเกิดขึ้นกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

"ออ หนังสือที่ฉันเคยมอบให้ควีนนั้นนะหรือ? ตอนนี้อยู่ที่เธอนี้เอง!"

ใบหน้าของเขาแข็งค้าง หัวใจหวั่นไหวเล็กน้อยแต่ก็สลายอย่างรวดเร็ว

"ฮ่าฮ่า ไม่ต้องห่วงฉันไม่คิดจะลงโทษหรือมาใช้เรื่องนั้นมาทำอะไรเธอหรอก ถือเป็นเรื่องดีแล้วที่หนังสือมาอยู่ในมือของเธอ เพราะดูท่าหน้าใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด" อเล็กซ์ตอบกลับอย่างเป็นกันเอง โดยไม่สนใจท่าทีวันเพ็ญ เขาเพียงเปลี่ยนเรื่องไปสู่หัวข้อถัดไป :

"หนังสือประสบการณ์ 500 ปีเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวมากมาย แต่มีข้อเสียนั้นคือ เนื้อหาไม่ประติดประต่อ เนื้อหายืดยาวเกินจำเป็น เนื้อหาเขียนวกวน และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นระดับที่ว่าถ้าเขียนเป็นนิยายคงอยู่อันดับท้ายของตารางอย่างไร้ข้อกังขา เพราะเนื้อหา 99 เปอร์เซ็นต์มันแถบเป็นไปในแนวนั้นทั้งหมด โดยมีเพียงแค่ไม่ถึงเปอร์เซ็นต์เดียวที่สามารถอ่านได้แบบปกติ นั้นยังไม่ใช่ปัญหาทั้งหมด เพราะเนื้อหาบางส่วนที่คุณได้อ่านไม่สามารถใช้อ้างอิงได้จากสถานการณ์ของโลกใบนั้น ณ ปัจจุบัน โดยคุณต้องพิจารณาอย่างดีที่สุด"

วันเพ็ญเพียงประมวลผลข้อมูลก่อน พยักหน้ารับถามสิ่งที่ค้างคาในใจ :

"เรื่องนั้น 'บาเอล' กับ 'ไกอา' จะเป็นหมวดหมู่ไม่สามารถอ้างอิงได้รึเปล่า?"

"โว้ย!" ชายชราเพียงส่งเสียงด้วยรอยยิ้ม แววตาแฝงความสุข

"ถึงฉันจะอยากช่วยเธอให้มากกว่านี้ แต่การมาถามถึงเนื้อหาในอนาคตจากผู้พัฒนาเกมมันก็เกินไปหน่อยนะ"

ก็จริง.. วันเพ็ญคิดตาม

"แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็สามารถบอกตามได้ว่าข้อมูลของหนึี่งในสองคนที่เธอกล่าวจะสามารถใช้อ้างอิงได้อย่างแน่นอน โดยไม่มีปัญหาใด เพียงแต่หนึ่งในสองคนนั้นกลับเป็นเพียงชื่อที่ไม่มีใครจดจำ โดยส่วนว่าใครแค่เข้าไปในเกมเธอจะรับรู้ด้วยตัวเอง"

"คงเป็นไกอาสินะ!" วันเพ็ญกลางขนาดลุกขึ้นยืน ฝ่ามือสองข้างกระทบกัน ก่อนปัดทรายรอบร่างกาย

"ต้องการจะกลับแล้วนั้นหรือ?" อเล็กถาม

"ถูกต้อง การกลับไปพักผ่อนที่บ้านย่อยดีกว่า และวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันสำคัญมากด้วย" เขากล่าวขนาดเดินผ่านอเล็กซานเดอร์

"นั้นหรือ?" อเล็กซานเดอร์ลุกขึ้นยืน มีบอดี้การ์ดชุดดำเข้ามาใกล้ ทั้งสองเพียงเริ่มเดินห่างกัน

"วันเพ็ญ!!" เสียงตะโกนดังมาจากด้านหลัง ดึงดูดสายความสนใจจากวัญเพ็ญ

เขาเพียงหันร่างจ้องมองชายชรา ดวงตาทั้งสองเพียงสบกัน

"เธอต้องการเข้าเล่นเป็นผู้เล่นจริงๆ รึเปล่า?" อเล็กตะโกนเสียงดัง

"ทำไมถึงถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้วละ

"บัลลังก์อันแสนว่างเปล่า" 2 : ฝาแฝด

คืนฝนตกในฤดูหนาวตกลงมาอย่างเงียบงัน บนที่ราบ 'มง-แซ็ง-มีแชล'

มันเป็นเวลาดึกแล้ว มีสายลมหนาวพัดผ่านเบาๆ พร้อมกับฝนปรอยปราย

ทว่าที่ราบมง-แซ็ง-มีแชลก็ไม่ได้ปกคลุมด้วยความมืดมิด ในบ้างส่วนของที่ราบกว้างใหญ่ยังมีอาคารบ้านเรือนอันรวมตัวเป็นเมืองหรือหมู่บ้านขนาดใหญ่-เล็กแตกต่างกัน

โดยถ้ามองจากฟากฟ้าอาจเล็กจนเห็นเป็นดวงดาราบนท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่หากเพ่งมองจะเห็น 3 สถานที่มีแสงเจิดจ้ากว่าจุดใด

โดยจุดแสงที่สว่างจ้าที่สุด มีเหล่าคนงานทำงานอยู่ตามทุกหัวมุมถนน พวกเขาเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องพกพาตะเกียงติดตัวมอบแสงสว่างไปทุกย่างเก้า หรือมีไฟฉายสาดส่องทางข้างหน้า เพราะมีเสาไฟข้างทางคอยมอบแสงสว่างเป็นระยะตามท้องถนน

แสงสว่างเหล่านี้ยังร่วมถึงในบ้างอาคารที่ยังคงมีไฟอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะอาคารบริเวณส่วนกลางของเมือง

กลางเมือง 'คาร์ลอส' มีแสงสว่างเรืองรองจากภายในอาคาร สามารถมองเห็นได้แม้อยู่บริเวณกำแพงแถบรอบนอกของเมือง

อาคารกลางหมู่บ้านคาร์ลอส ทั้งแสงรอบอาคารรูปลักษณ์จึงถูกเผยโฉมแม้ยามค่ำคืน เป็นโบสถ์สีขาวมียอดแหลมสองแหลมเด่นสง่า รูปลักษณ์จัดว่าดูเป็นระเบียบและงดงามตามแบบสถาปัตย์ ชื่อของมันคือ 'โบสถ์ซานเซบาสเตียน'

ภายในโบสถ์มีแสงไฟสว่างไสวยิ่งกว่ามองเห็นจากภายนอก เป็นประกายความรุ่งโรจน์

"บรรพบุรุษทั้งหลาย และทวยเทพบนสวนสวรรค์ โปรดอวยพรพวกเราด้วยเถิด! เราขอภาวนาให้พิธีกรรมนี้นำมาซึ่งบุตรหลานที่มีความสามารถ สติปัญญา และพรสวรรค์ที่โดดเด่นมากมาย นำสายเลือดและความหวังไว้มาสู่ตระกูลของพวกเรา เราหวังว่าเด็กทั้งสองจะเป็นผู้นำรุ่นต่อไปของตระกูล" หัวหน้าตระกูลคาร์ลอส มีรูปร่างเป็นสตรีวัยกลางคน ผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล แม้จะมีหงอกปรากฏออกมาบ้าง และสวมชุดพิธีกรรมสีขาว เผยรูปลักษณ์งดงามอ่อนโยน เธอกำลังนั่งคุกเข่าบนพื้นของโบสถ์ ด้วยสองมือยังประสานกันแน่น หลับตาปิดสนิท ขนาดที่เขาภาวนาอย่างจริงจัง

เธอกำลังหันศีรษะไปทางตราสัญลักษณ์ด้านบนของโบสถ์ อยู่ด้านล่างมีตู้สีดำกล่องสามชั้น ซึ่งทั้งหมดบรรจุกล่องใส่อัฐิของบรรพบุรุษ ทั้งอาหารและเครื่องดื่มเลิศรสวางตรงกลาง ทั้งด้านข้าง มีเทียนสว่างไสว กลิ่นเครื่องหอมที่เทพสวรรค์ชื่นชอบลอยคละคลุ้ง

ด้านหลังมีคนหลายสิบคนกำลังสวดภาวนาในลักษณะเดียวกับเธอ พวกเขาสอนชุดพิธีกรรมสีขาวหลวมๆ แล้วทั้งหมดล้วนเป็นผู้อาวุโสของตระกูล สมาชิกคนสำคัญ หัวหน้าองค์กร และเหล่าผู้มีอำนาจ

หลังจากสวดภาวนาเสร็จแล้ว หัวหน้าตระกูลคาร์ลอส 'ยูโล-คาร์ลอส' ก็ก้มเอวลงโดยเอาสองมือกดลงกับพื้นและก้มเอาหัวลง เมื่อหน้าผากกับพบกับพื้นของโบสถ์ เสียงอื่นก็ดังตามมา

ด้านหลังเธอ เหล่าผู้อาวุโสและสมาชิกในตระกูล ต่างลุกขึ้นยืนออกจากห้องสวดภาวนาอย่างเงียบๆ

ในโถงทางเดิน มีเสียงถอนหายใจโล่งอกจากหลากหลายบุคคล ได้บรรยากาศก็เริ่มผ่อนคลายลง เสียงพูดคุยได้เริ่มดังขึ้นอย่างช้าๆ

"เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน หลังจากรอคอยมาเกือบ 13 ปี"

"พิธีกรรมนี้ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ข้าสงสัยว่า หลังจากอดทนทำมันมาตลอดหลายปี โอกาสของพวกเราก็ใกล้มาถึง"

"พวกเจ้าพูดถูก.." เสียงดังกังวานไปทั่วโถงทางเดิน ผู้พูดดึงดูดสายตาจากเหล่าผู้คนโดยรอบทันที

"หลังจากรอคอยมาอย่างยาวนาน เหล่าสายเลือดใหม่ของผู้คนภายในตระกูลก็จะปรากฏ พรสวรรค์ของพวกเขาอาจสามารถเทียบเคียงได้กับ เซียน่า-เมริก้า หรือ เวเนเซีย-เวเนโต้ ได้"

หลังจากผู้นำตระกูล เป็นฝ่ายกล่าวถึงตัวตนของเวเนเซีย-เวเนโต้ สุดยอดพรสวรรค์ของตระกูลเวเนโต้

หลังจากได้ฟังคำพูดของผู้นำตระกูล ความกังวลของเหล่าบุคคลโดยรอบชัดเจนมากขึ้น เป็นเวลาหลายปีแล้วที่พวกตนรับรู้ได้ถึงสุดยอดพรสวรรค์คนนี้

คุณสมบัติการขึ้นสู่คลาสระดับ 3 ในช่วงเวลาสั้นๆ ของการฝึกฝนอมรบสองปีโดยไม่ได้จริงใจอะไรมาก

ในรุ่นปัจจุบันไม่มีใครเทียบติดได้แม้แต่คนเดียวในรุ่นของเขา แม้จะมีหลายคนคิดว่าทัดเทียม เช่น เซียน่า แต่หากได้รับข้อมูลเทียบเท่าพวกตน จะรับรู้ว่ามันไม่ใช่แม้แต่น้อย

คุณสมบัติมากเกินพอในการขึ้นสู่ผู้นำตระกูล หรือเหล่าผู้อาวุโส เขาจะกลายเป็นเสาหลักของตระกูล หรือบุคคลอันตรายที่ไม่มีใครอยากยุ่ง

"อย่ากังวลให้มาก อีก 15 วันจะเป็นวันครบรอบวันเกิดของลูกๆ ของข้า เด็กทั้งสองต่างแสดงพรสวรรค์อย่างโดดเด่นมาเสมอ และข้ามั่นใจเกินพอเกี่ยวกับเด็กทั้งสองว่า บางที! เวเนเซีย-เวเนโต้ ก็อาจเทียบไม่ติดเลยก็ได้"

สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อนึกถึงสองฝาแฝดสาวที่มักจะก่อปัญหามาตลอดหลายสิบปี บวกกับการเป็นลูกของผู้นำตระกูลคาร์ลอสคนปัจจุบัน แต่ถึงอย่างั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเธอมีพรสวรรค์ เหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันไปไกลมาก

เป็นความโดดเด่นทั้งในเชิงตัวปัญหาและอัจฉริยะประสมประสานกัน โดยทั้งสองต่างมีปัญหาในด้านนี้จะขึ้นอยู่ว่ามีมากหรือมีน้อยแค่นั้นเอง

ยูโล ยังคงรักษารอยยิ้มไว้ได้แม้จะเป็นสถานการณ์และความคิดของเหล่าผู้อาวุโสของตระกูล เหตุผลส่วนหนึ่งที่เธอเปรียบเทียบเวเนเซีย-เวเนโต้ เพื่อให้เหล่าผู้อาวุโสเก็บไปคิด หลังจากจบพิธีกรรมนี้ลงเป็นการสนับสนุนให้เลือกข้างในอนาคต

สีหน้าของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความคาดหวังและความวิตก แต่มีผู้อาวุโสคนหนึ่งเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจเหมือนกับผู้นำตระกูล เธอคือผู้อาวุโสห้องการแพทย์ - ฮันน่า

"เอาล่ะ พอกันแค่นี้ก่อน" ผู้นำตระกูล ยูโล กล่าวก่อนเดินไปปิดตระกูลห้องสวดภาวนา

ทุกคนต่างเดินกลับไปยังบ้านหรือที่พักของตน หวังพักผ่อนก่อนตื่นมาทำพิธีของวันพรุ่งขึ้น พิธีในวันนี้ยังคงเป็นวันแรกสำหรับพิธี <อ้อนวอนบรรพบุรุษ> อันต้องจำเป็นทำครบ 15 วัน โดยยังเหลืออีกประมาณ 14 วัน

...

"เฮ่อ"

เสียงถอนหายใจดังกังวานทั่วหลังคาโบสถ์กลางเมือง

ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องมองท้องฟ้าไร้แสงดาว จากเฆมฝนอันปกปิดดวงดาราอันแสนงดงามยามค่ำคืน เธอมักมองมันในีทุกโอกาสที่มาถึง โดยไฟจากภายอาคารด้านใต้เธอเองก็เริ่มถูกปิดลงบ้างแล้ว ถือเป็นการจำกัดตัวรบกวนการมองเห็นได้ดี

ทันใดนั้น เธอสูดอากาศชื้นสดชื่นจากสายฝนรู้สึกถึงความหนาวเห็บและชื่นแฉะจากมวลบรรยากาศ

ดวงตาคู่เพ่งมองไปยังทั้งเหล่าสถาปัตยกรรมล้อมรอบโบสถ์ ทั้งเหล่าแสงไฟข้างถนนจากโคมไฟ ทั้งเหล่าแสงไฟหน้าบ้าน ทั้งเหล่าผู้คนบ้างส่วนที่ยังคงใช้ชีวิตยามรัตติกาล ทั้งเหล่าเวรยามกลางดึก ทั้งเหล่าคนรับใช้ผู้กำลังเตรียมงานเทศกาลมรกมายในช่วงสิ้นสุดปี ทั้งเหล่าผู้อาวุโสที่กำลังออกมาจากโบสถ์หลังพิธีกรรม ทั้งจากผู้ติดตามที่แอบมองตนจากระยะไกล และทั้งจาก...

"เกียวโต!"

ในขณะนี้เสียงเรียกจากเหนือศีรษะ และมีวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้าหา

"ทำไมถึงมานอนตากฝนอยู่บนหลังคาล่ะ"

เด็กสาววัยรุ่นรูปร่างสูงเพรียว ผมแดงยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าที่นุ่มนวล และดวงตาสีแดงเพลิงสดใส คิ้วสีแดงเพลิงเข้มของเธอช่วยเสริมให้ดวงตาที่แสดงออกถึงความรู้สึกของเธอเปล่งประกายด้วยความสดใสของวัยเยาว์และสูงศักดิ์ของชนชั้นสูง และแก้มที่โค้งมนและโครงหน้าที่ดูอ่อนโยนบ่งบอกว่าเธอมีอายุน้อยมากเพียงใด

เหมือนทุกครั้งร่ำไป เธอยังคงสวมใส่ชุดฝึกซ่อมนักรบสำหรับสตรี เป็นตัวเดียวกับเมื่อหลายปีก่อนที่แม่มอบให้พวกตน

"มีอะไร มานิลา?"

เกียวโตหันศีรษะจ้องมองไปน้องสาวตน ในท่าฝ่ามือสองข้างรองเป็นหมอน ขาขวาวางพับขาซ้าย เธอสวมใส่เสื้อคลุมจอมเวทย์สีดำลายแดง

โดยแสดงกริยามารยาทแบบที่เธอมักแสดงมาเสมอ โดยไม่มีมาตรของกุลสตรีลูกสาวคนโตของผู้นำตระกูลเลยสักนิด

มาลินาเพียงมานั่งข้างซ้ายพี่สาวของตน ท่าทางเองก็ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด

เพียงหยิบสิ่งของในกระเป๋าสะพายก่อนก่างออกมา วางไว้ระหว่างคนทั้งสอง เป็นร่มขนาดใหญ่มากพอสำหรับให้ทั้งสองอยู่ใต้ล่มเงาได้สบาย

ก่อนจับโยนผ้าขนหนูผืนเล็กไปทางเกียวโต "รับไป" เธอเพียงใช้มือขวาคว้าจับไว้ก่อนนำมาเช็ด ใบหน้าและศีรษะตนอย่างชำนาญ

มาลินาเพียงก้มหน้ามองพี่สาวฝาแฝดของตน ท่าทางยังคงผ่อนคลายและไม่แยแสต่อสิ่งใดอยู่เสมอ รูปลักษณ์ภายนอกแทบจะเหมือนกันกับตนแต่มีบ้างอย่างแตกต่างกัน

เด็กสาววัยรุ่นรูปร่างจัดว่าสูงแม้นอนหงาย ดวงตาสีแดงเพลิงเผยความเบื่อหน่ายอยู่เสมอ คิ้วสีแดงเพลิงกรีดปลาย ผมเธอตัดสั่นและแสกข้างอย่างเรียบร้อย แก้มขวามีรูปหัวใจ ข้างแก้มซ้ายเป็นรูปดาวห้าแฉกกลับหัว ใบหน้าตกแต่งคล้ายตัวตลกในนิทาน และแม้ถูกน้ำฝนเครื่องสำอางก็ยังคงอยู่

ถึงอย่างนั้นรูปร่างพวกเธอก็ใกล้เคียงจนหากมองเพียงด้านหลัง หรือไม่มีการแต่งตัวหรือแตกต่างกัน คงเป็นไปได้ยากสำหรับการแยกแยะตัวตน แต่หากมองเพียงรูปลักษณ์ภายนอก โดยไม่มีการแต่งตัว มาลินามองยังหน้าอกของตนกับพี่สาวท้องเดียวกันด้วยสายตาพิจารณา

"เฮ้ย! มองอะไรอยู่ฟะ" เกียวโตมีท่าทีฉุนเฉียวเล็กน้อย

"ไม่มีอะไร" เธอรีบปฎิเสธทันใด ป้องกันความพิโรธที่อาจเกิดขึ้น แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยโกรธตนเลยสักครั้ง แต่ถ้าเคยเห็นการลงทัณฑ์จากพิโรธก็ควรระวังไว้ไม่ดีกว่าหรือ?

เธอเพียบขยับศีรษะขึ้นมองสายฝนที่หยุดโปรยปรายลงมาจากท้องนภา เหล่าเมฆเคลื่อนคล้อยไปตามสายลมบ้างทีค่ำคืนนี้พวกเธออาจสามารถเห็นดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนได้

ดวงตาเธอเหม่อลอย ก่อนขยับสายตามองไปยังทิศทางที่เกียวโตเพ่งมองอยู่ก่อนหน้า

เหล่าผู้คนใต้ราตรีรัตติกาลผู้กำลังเคลื่อนไหวโดยสามารถมองเห็นได้จากแสงสว่างริบหรี่ยามค่ำคืน

ในหมู่พวกนั้นมีผู้อาวุโสของตระกูล รวมถึงแม่ของพวกตนกำลังเดินทางกลับบ้าน

"นี้ มานิลามันใกล้ถึงเวลาแล้วนะ"

"อา~~" เธอตอบเสียงอ่อย

อีกเพียง 15 วันก็จะถึงวันครบรอบวันเกิดอายุ 15 ปีของพวกตนแล้วแน่นอน

สำหรับโลกใบนี้วันเกิดครบรอบ 15 มันหมายถึงหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเฉพาะเหล่าบุคคลหนุ่มสาวหรือชนชั้นสูงมันกลับยิ่งพิเศษ

ดังนั้นพิธี <อ้อนวอนบรรพบุรุษ> แม้จะเป็นงานที่มีเหมือนไว้สำหรับขอพรสำหรับเหล่าทายาทสายเลือดใหม่ตลอด 15 วัน เป็นพิธีสำคัญมุ่งหวังว่าบรรพบุรุษหรือทวยเทพส่งทายาทอันเต็มเปี่ยมพรสวรรค์

แต่เหตุผลมุมหนึ่งเพื่อเป็นการแสดงอำนาจในฐานะผู้นำตระกูลตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านคาร์ลอสจนกลายมาเป็นเมืองคาร์ลอส แถมเป็นการกำหนดวันเกิดของเหล่าทายาทผู้สืบทอดที่จะนำตระกูลต่อไปในอนาคตในทุกปี เพราะเป็นงานที่ไม่ว่าอย่างไงต้องจัดตั้งขึ้นมาทุกปี และเป็นการเลือกตัวผู้นำตระกูลล่วงหน้า ป้องกันไม่ให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งจนเป็นเหตุให้ตระกูลอ่อนแอลง เพราะเป็นการกำหนดตัวผู้สืบทอดล่วงหน้าแล้ว เป็นกฎที่ถูกก่อตั้งมาตั้งแต่เริ่มหมู่บ้าน

ทำให้ตัวตนของทายาทที่ถูกเลือกสามารถได้รับการสนับสนุนจากเหล่าผู้อาวุโสได้ง่ายมากขึ้น

นับว่าเป็นพิธีสำหรับการแสดงในเชิงพิธีกรรมและเชิงทางการเมือง

เป็นแบบนั้นทุกครั้งที่ตระกูลคาร์ลอสไม่เกิดปัญหาใดขึ้น เช่น ปัญหาความขัดเเย้งภายใน ถูกฝูงมอนสเตอร์โจมตี หรือมีเรื่องกับอีกสองหมู่บ้าน เพียงแต่มันถูกยกเลิกจนกระทั่ง..

"มาลินา หลังจากได้เป็นหัวหน้าตระกูลแล้วเธอคิดจะทำอย่างไรต่อไปหรือ?"

"อะ เรื่องนั้นหรือ?" ใบหน้าเฉยเมยที่มักแสดงหายไป มาลินาเผยสีหน้าสับสน

เป็นลักษณะทางอารมณ์ที่เธอมักแสดงยามอยู่กับครอบครัว ใบหน้าเฉยเมยเป็นเพียงหน้ากากปกปิดที่เธอสวมใส่เพื่อใช้ชีวิตตามปกติ ส่วนด้านทางอารมณ์มีเพียงสมาชิกในครอบครัว 2 คนบนโลกเท่านั้นที่เธอจะแสดงออกอย่างจริงใจ

"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน"

".."

บรรยากาศการสนทนาเข้าสู่ความติดขัดในทันใด ปัญหาจะเป็นเพราะเธอไม่เคยคิดถึงอนาคตส่วนนี้เลย การได้รับคำถามจากบุคคลที่เธอไม่เคยคิดฝันว่าจะสนใจเรื่องแบบนี้เข้า ทำเอาตกใจไม่น้อย

พริบตา เกียวโตลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว ด้วยท่านั่งขัดสมาธิยามเธอหาที่นั่งสมาธิเงียบๆ ดวงตาเพ่งมองไปยังท้องฟ้าที่ยังมีเหล่าเมฆดำปกคลุม

"ยังใช้ชีวิตโดยทำตามความต้องการของผู้อื่น โดยไม่สนใจแม้แต่ตัวเองอยู่อีกหรือ? มาลินา เธอนะบ้างที่ควรเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ เย่อหยิ่งมากกว่านี้ และไม่ต้องสนใจพวกผู้ใหญ่ให้มากนัก อา..รวมถึงไม่ต้องไปสนใจเสียงนกเสียงกาให้มาก เธอมีพรสวรรค์..ยิ่งกว่าพวกวายร้ายในนิทานที่แม่มักเหล่าให้ฟังบ่อยๆ มาก ต่อให้ทำตัวจมูกขึ้นฟ้าแบบเดียวกัน มันก็ไม่มีใครว่ากล่าวตักเตือนเธอได้หรอกนะ"

เมื่อเห็นสีหน้าของมาลินาเริ่มเปลี่ยนแปลง เกียวโตรับกล่าวเสริม

"โดยส่วนตัวฉันไม่ต้องการเป็นผู้นำตระกูลหรือผู้อาวุโสมากนักหรอก เพราะมันใช้สมาธิเยอะมาก ปวดหัวมากเลยละ ขนาดตอนนี้ยังปวดหัวมากๆ เลยละ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วจะได้รับงานที่ปวดหัวมากๆๆ แบบนั้นได้อย่างไร แต่.."

ดวงตาคู่หันเหมามองเธอโดยมีความนุ่มลึก คล้ายมีประสบการณ์อย่างยาวนานอัดแน่นอยู่

"มนุษย์มักตัดสินอย่างพลาดพลั้งอยู่เสมอ โดยฉันเป็นหนึ่งในนั้นแหละ ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะทำอะไรต่อไปในอนาคต บางทีโชคชะตาคงทำให้ฉันรู้ว่าจะตัดสินใจสินใดต่อไป... "

"ฉะนั้น.."

ฝ่ามือชี้ขึ้นไปยังท้องฟ้าอันมีเมฆดำปกคลุมเริ่มเลื่อนหาย

"มาลินา ในคืนวันเกิดวันปีที่ 15 ของพวกเรา วันนั้นฉันอยากได้ยินคำตอบของเธอสำหรับการตัดสินใจ โดยฉันตัดสินว่าถ้าเธอเลือกสินใจฉันก็จะตัดสินใจตาม"

"เกียวโต!"

ท้องฟ้าเริ่มเปิดดวงดาราส่องประกายเจิดจ้า ดวงเนตรสีแดงของเธอจ้องมองความงามจากธรรมชาติอันคงอยู่มาตั้งแต่มนุษย์ในยุคเริ่มต้นของโลกใบนี้

ดวงตาของเกียวโตเพ็งมองอยู่ชั่วครู่ อย่างผิดหวังแต่ก็แปลงเปลี่ยนเป็นดีใจ

"นับว่าเป็นวันเวลาที่ดี เข้าใจละว่าทำไมเหล่าตาแก่กับแม่ถึงได้บอกว่า ช่วงเวลาพิธี <อ้อนวอนบรรพบุรุษ> ของพวกเรานับว่ายอดเยี่ยม เพราะเริ่มต้นจากช่วงก่อนจันทร์ดับก่อนไปจบลงจันทร์เพ็ญในวันเกิดพวกเรา เป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ แหละนะ"

พริบตา เกียวโตลุกขึ้นกระโดดจากหลังคาอาคาร จนเธอต้องเดินตามไปดูตรงมุมอาคาร แต่อีกฝ่ายกลับลงบนพื้นอย่างง่ายดาย

"เพราะฉะนั้นตัดสินใจให้ดีละ"

เสียงดังกังวาลดังตามทั่วโบสถ์จนดึงดูดเหล่ายามอารักษ์ขา

มาลินาจ้องมองไปยังด้านล่างด้วยดวงตาเหม่อลอย

"เอ๋"

กระดาษสีเหลืองหยาบใบหนึ่งลอยปลิวมาทางเธอจากทิศทางที่โตเกียวนั่งลงเมื่อครู่ ฝ่ามือจับคว้าอย่างง่ายดาย ก่อนพลิกมาเพ็งดูเนื้อหาด้านใน

ไปนอนได้แล้ว การนอนดึกมันเสียสุขภาพเสมอเลยล่ะ

-เกียวโต

"พูดไม่ดูตัวเองเลย!" มาลินาพึมพำด้วยแววตาอ่อนโยน

สายลมพัดผ่านเสื้อผ้าและเส้นผมปลิวไสว เธอหันศีรษะจดจ้องดวงดาราบนท้องฟ้าไร้แสงจันทร์ทาใด ด้วยความไม่ระวังหรือเพราะเหตุผลอันใด

แผ่นกระดาษล่องลอยไปตามสายลม หลุดลอยไปจากฝ่ามือของเหนือมนุษย์อย่างง่ายดาย เพราะความสนใจของเธอทั้งหมดเล็งมองไปยังสิ่งที่ประดับประดาบนท้องฟ้าเป็นเวลานาน

สายลมยังคงพัดผ่านต่อไป พัดผ่านไปยังดินแดนไร้ซึ้งมนุษย์ พัดผ่านไปเหนือดินแดนเหนือมหาสมุทร สายลมไม่จำเป็นต้องมีใครควบคุมเพียงไหลผ่านอย่างเฉยชา แต่ถึงอย่างนั้นบนโลกใบนี้กลับมีพลังมากมายที่สามารถควบคุมสายลมอันไร้ผู้ควบคุม คล้ายกับโชคชะตาของโลกใบนี้ที่ไร้ผู้ควบคุมมาเนิ่นนาน

กระดาษแผ่นนั้นร่องรอยตามสายลม ไม่มีใครรู้ว่ามันจะล่องลอยไปถึงที่ใด มันถูกพัดผ่านไปตามทั่วท้องถนน พัดผ่านผ่านผู้ซึ้งยังไม่หลับใหลยามราตรี พัดผ่านไปสิ่งตกแต่งสำหรับงานฉลองที่กำลังจะเกิดขึ้น พัดผ่านสถานที่และเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น พัดผ่านข้ามกำแพงปราการเมือง พัดผ่านทุ่งราบเป็นเวลานาน ไม่มีใครรู้ว่ามันจะไปยังที่แห่งใด..

'เอิ่ม.. ขอโทษนะครับ ผมขอถามหน่อยนะครับ?'

'ว่ามาพ่อหนุ่มนักเวทย์อัจฉริยะ การที่ผู้ใช้ปัญญาอย่างเจ้าไม่เกิดความสงสัยขึ้นมาเลย คงเป็นสิ่งที่ความหน้าสงสัยมากกว่าถึงคุณสมบัติการเป็นจอมเวทย์ของเจ้า'

'สิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่มันมีประโยชน์ต่อสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือครับ?'

'ดิฉันเองก็เห็นด้วย'

'เจ้าเองก็ด้วยหรือถ้าเป็นแบบนั้นข้าคงต้องบอกจริงๆ สินะ เอาล่ะเหตุผลก็คือ-'

เสียงดังแผ่วล่องลอยตามสายลมแต่กลับมิอาจรับรู้แหล่งที่มาของเสียงได้แม้แต่น้อย

[กำลังสงสัยถึงเหตุที่พวกเจ้าต้องมาทำอะไรแบบนี้อยู่อีกหรอ?]

เสียงนั้นคล้ายดังก้องในใจของทั้งสองบุคคล เป็นเสียงที่ไม่ได้รับการตอบรับแม้เป็นระยะเวลาไม่นาน แต่มันกับคล้ายเนิ่นนาน คำหนึ่งปรากฏในใจทั้งสามในทันที..

-เอ็น

เขากล่าวเสริม โดยไม่แยแสบรรยากาศรอบข้าง กระดาษแผ่นนั้นถูกพัดผ่านไปถึงบุรุษและสตรี

[ผลกระทบจากการกระทำจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า และพวกเจ้าจะสัมผัสได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในอนาคต]

พวกเขาอยู่ท่ามกลางป่าหนาทึมใกล้ภูเขาห่างไกลจากตัวเมือง ซ่อนร่างไว้ใต้เงามืดโดยแทบไม่สามารถระบุรูปลักษณ์ลักษณะว่าเป็นอย่างไง

[ออ.. ใช่แล้ว มันคงใกล้มาถึงแล้วละ]

โดยทั้งสามสัมผัสได้ถึงตัวตนของกระดาษปริศนาแผ่นนั้นได้ จากประสาทสัมผัสเหนือมนุษย์ของพวกเขา

ฝ่ามือผอมแห้งหนังแทบติดกระดูกผิวสีแทน

ตริ้ง~~~!

[บริวารของท่าน 'ธากา' ได้รับของขวัญจากโชตชะตา]

[โชคชะตาเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย]

หน้าต่างแจ้งเตือนดังก้องหน้าร่างอันหลับใหลอยู่ใต้ความมืดมิด

[ยินดีด้วย พวกเจ้าได้รับของขวัญของโชคชะตาทั้ง ธากา วิลเลียม เมอร์เล่ และ..]

เสียงนั้นเว้นวรรคหนึ่งลมหายใจก่อนกล่าว

[อธีน่า]

...

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!