NovelToon NovelToon

Warsword Conquest

การพบพาน

ฟุ้บๆ เป้งๆ - - -

เสียงการกระทบกันของดาบขวานและโล่ดังก้องไปทั่ว มันเป็นการปะทะกันของขบวนรถม้าของมนุษย์กับเหล่าอสุรกายตัวเขียว พวกออร์คและก็อบลิ้น มนุษย์ที่ตัวเล็กกว่านั้นถูกบดขยี้อย่างง่ายดาย แต่ในทันใดนั้นเองกลับมีเสียงดังดุจสายฟ้าฟาดดังขึ้น ปั้งๆ ฟุ้บๆ

“ฆ่าพวกมันให้หมด ไปคุ้มกันขบวนเกวียนด้วย”

กองกำลังลาดตระเวนของเหล่าคนแคระก็ปรากฏตัวออกมาช้วยขบวนรถม้าของมนุษย์ และขับไล่และสังหารพวกมันด้วยคมขวานและค้อนสงคราม เมื่อสิ้นสุดการปะทะกันนั้น มีเรื่องน่าแปลกใจเกิดขึ้น คือ ภายในกองกำลังของเหล่าคนแคระนั้นกลับมีมนุษย์อยู่ด้วยเค้าดูเหมือนเป็นผู้นำ และ เป็นผู้ออกคำสั่งกับเหล่าคนแคระคนอื่นๆ ชายคนนั้นมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา และ มีร่างกายสูงใหญ่ดังวีรบุรุษ ภายใต้หนังหมีที่ห่มไว้นั้นคือร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยสักอักษรรูน

“ท่านนายกอง ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”

ทหารคนหนึ่งมารายงานให้ชายคนนั้น ชายชราที่แต่งตัวด้วยชุดที่ดูภูมิฐานก็ได้เข้าไปกล่าวขอบคุณชายผู้นั้น

“เอ่อขอบพระคุณมากน่ะครับที่ช้วยพวกเราไว้ ถ้าไม่ได้พวกคุณพวกเราคงไม่รอด”

พ่อบ้านของขบวนเกวียนนั้นกล่าวขอบคุณ พร้อมด้วยความสงสัยว่าชายผู้นี้เป็นเเละเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นยังไงกันเเน้

“กระผมขอทราบชื่อของท่านได้รึเปล่าขอรับ”

“ข้าคือ เครซัส อิคดราซิล น้องชายของ   บาดิน ไออ้อนบลัด และยัง บุตรชาย ของราชาบาราดิ ไออ้อนบลัด และ ราชินีเฟรดิส ไออ้อนบลัด”

พ่อบ้านตกตะลึงในสิ่งที่ได้ยินและยิ่งสับสนยิ่งขึ้น

  “ขอประทานอภัยน่ะครับ แต่ท่านเป็นมนุษย์ไม่ใช้เหรอครับ”

“ ก็ใช้...เอาเถอะไม่จำเป็นต้องรู้หลอก เพราะข้าเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมข้าถึงมาอยู่ทีนี้ แต่ช่างมันเถอะเสียงตะโกนดังออกเดินทางกันต่อดีกว่า”

เอี้ยด - - - ทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดประตูรถม้า หญิงสาวสูงศักดิ์ก้าวเท้าลงมาจากรถม้า หญิงสาวที่มีผมขาวราวกับหิมะ และ ผิวที่ขาวซีดเหมือนคนตาย นางจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เย็นชา สายตาของทั้งคู่ประสานกัน ชายหนุ่มตกตะลึงในใบหน้านั้นและบังเกิดความรู้สึกหลายอย่างที่ตัวเขาเองไม่เคยรู้สึกมาก่อน

“ขอบคุณที่ช้วยพวกเรานะคะ ถึงจะช้าไปหน่อย ฉันชื่อไอรีชฟีล วอน อีเดนส์ เจ้าหญิงแห่งอาณาจักรเพนโดเรียค่ะ”

“ข้า เครซัส อิคดราซิล พวกท่านคงจะเหนื่อยกับการเดินทางมามากและยังมีคนเจ็บและบาดเจ็บมาด้วย ข้าว่าเรารีบเดินทางต่อดีกว่าอีกไม่ไกรก็จะถึงนครเบอณ์เกนย์แล้ว”

“ฉันเห็นด้วยค่ะ แบรนด้อนไปบอกคนอื่นให้เตรียมตัวออกเดินทางต่อได้”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

เจ้าหญิงกลับขึ้นไปบนรถม้าพร้อมหันมายิ้มให้ชายหนุ่ม ชายหนุ่มพยักหน้าและยิ้มตอบ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจทั้งที่ขบวนคุ้มกันแน่นหนาพร้อมด้วยทหารที่ใส่เกราะหนักกลับถูกโจมตี และ พ่ายแพ้ให้กับพวกออร์คโดยง่าย เครซัสคิดในใจทำไมพวกที่อ่อนแบบนี้ถึงรอดมาได้ทั้งที่ทางขึ้นภูเขานี้เต็มไปด้วยอันตรายต่างๆ นา เค้ามีความสงสัยขึ้นมาแล้วว่าที่โลกมิดการ์ดด้านล่างนั้นมันมีภัยอันตรายหรือไม่ทำไมพวกที่อ่อนแอนี้ยังดำรงเผ่าพันธุ์มาได้

จากนั้นกองกำลังของชาวหุบเขาก็ได้คุ้มกันคณะทูตจากแเดนเบื้องล้างไปสูนครใต้ขุนเขา

ไม่กี่ชั่วโมงจากนั้นก็มีเสียงตะโกนจากทหารทหารชาวหุบเขานายหนึ่ง

“ถึงแล้ว นั้นนครเบอณ์เกนย์”

เบอณ์เกนย์ คืออาณาจักรใต้ขุนเขาเป็นเมืองหลวงของอาณาจักคนแคระในดินแดนนิดาเวลลีร์ เหล่าชาวหุบเขานั้นนับถือใน ออล์ฟาเทอร์ โอดิน เป็นเทพสูงสุดของพวกเค้าทั้งนี้พวกเค้ายังเชื่อในคำมั่นสัญญา และ คำสัตย์สาบาน บุญคุณต้องทดแทน จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำำให้พวกเค้าไม่เคยเข่นฆ่ากันเอง

มื้อคณะทูตเดินทางเข้าสู่ นครสเบอณ์เกนย์แล้วสาวใช้ของเจ้าหญิงก็ได้เอื่อยขึ้น

“ว้าว.....ดูสิเพคะองค์หญิงในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงแล้วเพคะองค์ มันค่อนข้างต่างจากที่หม่อมฉันคิดไว้มากเลยนะเพคะ”

“ อืม ช่างมันเถอะเมลเราไม่ได้มาที่นี้เพื่อมาเที่ยวเล่นนะ เรามีหน้าที่ๆจะต้องทำ”

“เพคะองค์หญิง q_^_q ”

ขบวนรถม้ามุ่งหน้าเข้าสู่นครเบอณ์เกนย์อันยิ่งใหญ่ เมื่อผ่านเข้าสู่เมืองแล้วผู้คนต่างก็พากันมุงดูเหล่าผู้มาเยือนจากเบื้องล่างด้วยความประหลาดใจ เพราะไม่บ่อยนักที่มนุษย์จะขึ้นมาที่นิดาเวลลีร์

หลังจากที่คณะทูตเดินทางได้เขาสู้นครใต้หุบเขาแล้วก็ได้ทหารชาวหุบเขานายหนึ่งวิ่งกระหึดกระหอบมาและได้โกนขึ้น

“เปิดทางหน่อยเปิดทาง ท่านนายพลมา”

ก็ได้ปลากฎร่างของชาวหุบเขานายหนึ่งขึ้น เขานั้นก็ดูไม่ต่างจากชาวหุบเขาคนอื่นมากนัก เพียงแค่สีของผมและเคราของชายผู้นั้นเป็นสีเงิน ร่างกายของเขานุ่งหมด้วยเกราะชั้นดีจากฝีมือชาวหุบเขา และประดับพร้อมด้วยกะโหลกของตัวอะไรซักอย่างคล้ายจะเป็นกระโหลกของกระทิงขนาดใหญ่สพายไว้ที่ไหล่ด้านขวา

เมื่อชาวหุบเขาคนนั้นเดินมาถึงคณะทูตก็ได้กล่าวทักทายตามมารยาท

“ยินดีต้อนรับสหายจากเบื่องล่าง ข้าคือ บาดิน ไออ้อนบลัด ลูกชายขององค์ราชาบาราดิน ไออ้อนบลัด เดี่ยวข้าจะให้คนของข้านำทางพวกเจ้าไปยังห้องเพื่อพักผ่อนก่อนที่จะเริ่มประชุม”

จากนั้นสายตาของเขาก็ได้มองมาที่ เครซัสพร้อมกับทำหน้าดุ

“นี้ไอน้องชาย เจ้าไปก่อปัญหาอะไรไว้ ท่านแม่ตามหาเจ้าตั้งแต่เช้าแล้ว”

“ข้าเปล่านะ แล้วไม่มีใครบอกท่านแม่สักคนเลยเหรอว่าข้าออกไปลาดตระเวน”

“ใครจะกล้า เจ้าก็รู้ถ้าเกิดบอกไปแล้วผิดหูท่านขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น”

“ยังไงก็เถอะเจ้าไปหาท่านก่อนที่การประชุมจะเริ่มก็แล้วกัน ข้าว่าท่านหน้าจะมีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้าแน่”

“คร้าบๆ รับทราบ แล้วท่านแม่อยู่ไหนหละ”

“น่าจะห้องวิจัยของเจ้านั่นแหละ รีบีบหน่อยก็แล้วกันอีกไม่การประชุมจะเริ่มแล้ว”

“เอาหละเราไปกันเถอะข้าพาพวกท่านไปที่ห้องโถงและพักผ่อนกัน ก่อนที่การประชุมจะเริ่ม”

บาดินและเหล่าคณะทูตก็ได้แยกตัวเดินทางไปที่ห้องโถง และ เครซัสเองก็ไปที่ห้องวิจัยเพื่อพบกับผู้เป็นแม่พร้อมกับคำถามในใจที่เกิดขึ้นว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่ แต่เค้ากลับไม่รู้ตัวเลยว่าหลังจากที่หันหลังเดินออกไป สายตาขององหญิงที่มองยังแผ่นหลังของเค้านั้นมีแต่ความฉงน และ สงสัยอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับชายผู้นี้เธอมองเเผ่นหลังของชายผู้นี้จนกระทั้งลับตา

ต๊อกๆ ต๊อกๆ เอี้ยด

เครซัสเดินมายังห้องวิจัยและลำลึกถึงความหลัง ที่ๆเค้าเกิดที่ๆเค้าเติบโต “เอี้ยด” เสียงเปิดประตูดังขึ้น

“เอ่อ ท่านเเม่ ”

       “ไปไหนมาไอ้ตัวแสบ”

“ข้า...ข้าไปลาดตระเวน”

“เเม่บอกเจ้ากี่ครั้งเเล้วเครซัส”

“เเต่ท่านพวกเค้ายังใหม่ท่านเเม่ ในหน่วยลาดตระเวนนั้นส่วนมากไม่มีประสบการณ์ต่อสู้จริงด้วยซ้ำ ท่านจะให้...”

ชายหนุ่มได้เงียบไปพร้อมกับทำหน้าสลดลงเล็กน้อย

“เครซัส พวกเค้าเป็นนักรบ”

“เเม่รู้ว่าลูกเป็นห่วงพวกเค้า เเต่ลูกต้องเข้าใจ ลูกปกป้องพวกเค้าตลอดไปไม่ได้”

ไร้ซึ่งเสียงใดๆจากชายหนุ่ม เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร จากนั้นราชินีแห่งขุนเขาก็ได้อธิบายให้เขาฟัง

“ในสนามรบประสบการณ์จะหล่อหลอมพวกเค้าเถอะ นี้เป็นวิถีของเราลูกชายแม่ เจ้าเองก็รู้เรื่องนี้ดีมิใช้รึ ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีเถอะ”

ชายหนุ่มไม่พูดอันใดออกมาอีกถ่ามกลางความเงียบนั้นราชินีแห่งขุนเขาก็ได้ทำลาความเงียบขึ้น

“คณะทูตจากมิดการ์ด พวกเค้าต้องการเจรทำการค้ากับพวกเรา น่าแปลกใจน่ะที่พวกเรากับพวกเค้าไม่ได้มีการติดต่อระหว่างกันมานานนับตั้งเเต่สิ้นสุดยุคของจักรพรรดิโครินท์ กลามเหล็ก จักพรรดิองค์แรกของจักรวรรดิวาเนียร์”

“แล้วทำไมถึงไม่มีการติอต่อกันอีกจักรพรรดิล่ะครับ หรือเพราะสิ้นสุดผู้นำ ความก็จะสัมพันธ์ก็สิ้นสุดลงเหมือนกัน”

“หลังจากการสวรรคตของจักรพรรดิโครินท์ ก็ได้มีจักพรรดิพระองค์ใหม่ถูกแต่งตั้งขึ้น          จักพรรดิครีสตอฟ ผู้พิชิต เค้าเป็นคนที่ทะเยอทะยาน เค้าต้องการตะครองครองดินเเดนนิฟเฟลไฮม์ ดินแดนของพวกโทน ซึ่งเป็นพันมิตรทางการค้ากับพวกเรามายาวนาน ราชาของชาวหุบเขาในตอนนั้นคือ ราชาทอร์ดิส ไออ้อนคราว ก็ได้ตัดความสัมพันธ์กับจักรวรรดิวาเนียร์โดยทันที เพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง”

“ อ้าาาา...การเมือง ยุ้งยากเสียจริง ว่าเเต่ท่านเเม่ท่านคิดว่าพวกเค้าต้องการอะไรกันเเน่ ถึงได้ดั้นด้นขึ้นมาถึงที่นี่ มั้นไม่เรื่องง่ายเลยน่ะ”

ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกจากทหารชาวหุบเขามาเรียกตัวทั้งสองคน

“องค์ราชินี มีรับสั่งให้ไปร่วมประชุมขอรับ”

ความลับที่ซ่อนเล้น

ตึกๆ ตึกๆ เอี้ยด (เสียงเดินด้วยความเร่งรีบ) - - -

เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมการประกฏตตัวของราชินีของดินแดนหุบเจาพร้อมด้วยลูกชายของนาง รูปร่างของนางต่างจากชาวหุบเขาคนอื่นค่อนข้างมาก ล่างกายนั้นกำยำพอๆกับชาวหุบเขาผู้ชาย หน้าตาที่สวยงามต่างจากผู้อื่น เป็นที่หน้าแปลกใจราชินีผู้นี้ใส่เครื่องประดับน้อยชิ้นมาก แค่กลับพกขวานหนึ่งด้ามไว้ที่เอวแทน

ภายในห้องโถงนั้นนั่นเหล่าคณะทูตและเหล่าข้าราชบริพารชาวหุบเขาอยู่ภายใน้นั้นรออยู่แล้ว

“ราชินีเฟรดิส ไออ้อนบลัด เเละบุตรชาย เครซัส อิคดราซิลย์ เข้าร่วมประชุม”

หลังจากการมาถึงของราชินีและลูกชายของนาง จากนั่นราชาแห่งหุบก็ได้ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูพร้อมกับองครักษ์ ลักษณะของเขามีรูปร่างใหญ่โตกว่าชาวหุบเขาคนอื่น สวมเกราะที่ทำมาจากทองคำสง่า และสวมมงกุฎที่สืบทอดมาจากยุคบรรพการ มงกุฎเหล็กรูปขุนเขาที่แซมด้วยทองคำเป็นงานฝีมือที่ปรานีตที่สุด

“มากันครบเเล้วสิน่ะ ข้าคือ บาราดิน ไออ้อนบลัด”

“เฟลดิส นี่คือคณะทูตจากอาณาจักรเพนโดเนีย เจ้าหญิงไอรีชฟิล วอน อีเดนส์ เเละ ราชทูตคนอื่นๆ”

“ยินดีที่ได้พบเพค่ะองค์ราชินี หม่อมฉันคือ ไอรีชฟีล วอน อีเดนส์ เพค่ะ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาเยือนนครที่ยิ่งใหญ่เเห่งนี้ ฉันหวังว่าต่อไปเราจะมีความสำพันธุ์อันดีต่อกันไปตลอดนะค่ะ”

องค์ราชินีพยักหน้าตอมรับการทักทายเเละยิ้มออกมาอย่างเป็นมิตร กลับกันสายตาขององค์หญิงนั้นกลับมองไปที่ชายผู้นั้นด้วยความฉงน นั้นชายคนนั้นมนุษย์ ผู้เดียวที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเเคระ ในใจขององค์หญิงส่งสัยในตัวตนของชายผู้นี้เขาเป็นใคร เค้าเป็นลูกของราชินีจริงหรือ คนแคระที่มีลูกเป็นมนุษย์มนุษย์มันเป็นไปได้จริงหรือ เธอได้เเต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจพร้อมกับคำถามอีกมากมาย

“บาราดิน” เอาหล่ะมาเริ่มหารือกันเกี่ยวกับการค้าขายของพวกเรากันดีกว่า ข้าขอบอกไว้ก่อนเผื่อพวกเจ้าจะไม่รู้ เป็นที่รู้กันดีว่างานฝีมือของเราชาวหุบเขานั้นเป็นเลิศ ยากที่จะหาผู้ใดเทียบในมหาทวีป ดีเบลรอสเเห่งนี่ พวกเจ้ามั่นใจเเล้วหรือว่าจะจ่ายไหว

“องค์ราชา สิ่งที่เราต้องการที่สุดคือวิทยาการของพวกท่าน”

“วิทยาการ? วิทยาการใด”

“วิทยาการอักษรรูนเพค่ะฝ่าบาท มีบันทึกเขียนไว้ กล่าวถึงกับกองทัพ ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี...ด้วยเวทมนตร์ กองทัพอมตะเเห่งดินเดนหุบเขาผู้สมชุดเกราะที่สลักด้วยอักษรเรืองเเสงสีฟ้า”

เหล่าชาวหุบตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เสียงพูดคนกันด้วยความแตกตื่นตื่นค่อยๆดังขึ้น

“พวกเจ้ารู้เรื่องนี้มานานเเค่ไหนเเล้ว เเล้วมีผู้ใดที่รู้เรื่องนี้อีกบ้าง”

“มีเเค่ข้าหลวงของเพนโดเนียเพค่ะ เพราะหนังสือเล่มนั้นมันถูกซ้อนไว้ใต้บัลลังก์ของจักรพรรดิ โครินท์ ผู้ล่วงลับ”

ทันใดนั้นก็บัง้กิดความเงียบขึ้น เหล่าคณะทูตไม่รู้เลยว่าราชาแห่งดินเดนหุบเขานั้นคิดอะไรอยู่กันแน่

“ ....ข้าขายมันให้พวกเจ้าไม่ได้หลอก”

“ทำไมเหรอเพคะ พระองค์ทรงคิดว่าพวกเราจะจ่ายไม่ไหวเหรอเพคะ หรือเพราะอะไร”

“วิทยาการนี้มันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะเรียนรู้ได้ จิตรใจของพวกเจ้านั้นอ่อนเเอเกินกว่าที่จะเข้าใจในศาสตร์การตีเหล็กของพวกเรา หากฝืนเรียนพวกเจ้าจะทำให้ชุดเกราะนั้นเกิดคำสาป มันจะคอยกัดกินจิตใจของผู้ที่สวบใส่ทีละน้อย จนกระทั่งคนผู้นั่นสูญเสียทุกอย่าง ทั้งสติปัญญา ความรู้สึก และกลายเป็นศพในที่สุด”

“เเล้วถ้าเป็นการขายชุดเกราะเเบบสั่งทำหล่ะเพคะ ชุดเกราะที่ทำมาเพื่อให้มนุษย์ใส่โดยเฉพาะ”

“ถ้าเเบบนั้นก็ย่อมได้ เเต่เจ้าจะแลกกับอะไรหล่ะ ข้าได้ข่าวมาว่าอาณาจักรเจ้ากำลังทำสงครามกับอาณาจักรโบโรเมียอยู่ คงมิมีทองมากพอจะจ่ายเพื่อสร้างให้ทหารจำนวนมาก... หรือ เจ้าจะเเลกด้วยอย่างอื่นเเทนหล่ะ”

“เพคะ หากท่านต้องการ ท่านประสงสิ่งใดในดินเเดนมิดการ์ดเหรอเพคะฝาบาท”

“อาหาร 10 เกวียน ไม้ใหญ่เนื้อเเข็ง 10 เกีวยน หนังสัตว์ 10 เกวียน ถ่านชั้นดี 20 เกวียน เเลกกับชุดเกราะอักษรรูนเเบบเต็มชุด 10 ชุดพร้อมด้วยโล่เเละหอกอีก 10 คู่”

 “ตัดโล่ เเละ หอกออกได้มั้ยเพค่ะเเล้วเพิ่มเป็นเกราะเเขนเเละขา 10 คู่เเทนได้มั้ยเพคะ เดิมทีกองทหารเรามีพลหอกจำนวนน้อยเป็นทุนเดิมอยู่เเล้วจึงไม่จำเป็นต้องใช้พวกมัน”

“ได้ ตกลงตามนั้น นายกองกลิทเนอร์ พาพวกเค้าไปที่โลงตีเหล็กไปวัดตัว”

นายกองกลิทเนอร์ได้นำทหารชาวพื้นดินส่วนหนึ่งออกไป

“หม่อมฉันมีเรื่องสงสัยเพคะ อาวุธที่มีเสียงเหมือนสายฟ้าฟาดนั้นคืออะไรเพคะ ท่านจะขายมันให้พวกเราได้หรือไม่เพค่ะ”

“มันคือเหล็กกัมปนาท มันยิงกระเป็นลูกเหล็กกลมปลายเเหลมออกมาด้วยความเร็วสูง อำนาจการเจาะทลวงของมันเหนือกว่าธนูหรือหน้าไม้สะอีก เเต่ราคามันค่อนข้างสูงน่ะ พอๆ กับชุดเกราะอักษรรูนเลยหล่ะ ทางที่ดีข้าว่าพวกเจ้าทุ่มงบไปกับอย่างอื่นไม่ดีกว่ารึ”

“แล้วถ้าเป็นการเเต่งงานหล่ะเพคะ แลกกับอาวุธพวกนั้น”

ทุกคนตกตลึงกับคำพูดนั้น ท่ามกลางความเงียบนั้นราชาแห่งหุบเขาก็ได้ทำลายความเงียบนั้นด้วยคำถาม

“เเต่งงานรึกับใครหล่ะ ที่นี้มิมีชาวหุบเขาคนใดที่ชอบและหลงไหลในเผ่าพันธ์เจ้าที่พอจะยอมแต่งงานด้วยหลอกน่ะ”

“กับเค้าเพคะ (พร้อมกับชี้นิ้วไปที่เครซัส)”

สายตาทุกคู่จ้องมองไปทางเดียวกัน ชายผู้นั้น เหล่าคนแคระพากันตกใจเเละมึนงงเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นจากคำพูดนั่น คณะทูตราวมนุษย์เองก็ตกตะลึงไม่ต่างกัน เพราะอะไรกันถึงทำให้เกิดความสับสนอลหม่านนี้

“ลูกชายข้าเลอะ เจ้ากับเค้าไปรักกันตั้งเเต่เมื่อไหร่”

“รักเหรอเพคะ...ทำไม”

องราชินีของชาวหุบเขาก็ได้ตัดบทการสนทนานั้นโดยการอธิบายสิ่งที่ชาวเบื้องล่างไม่เคยรู้เกียวกับวัฒนธรรมของพวกเค้า

“ตามธรรมเนียมของเราชาวหุบเขา คนที่จะเเต่งงานกันก็ต้องรักกัน ฝ่ายชายและหญิงจะทำการเฉือนหลังมือของฝ่ายตรงข้าม เราเรียกมันว่าการแลกแผลเป็น มันจะเป็นพันธะผูกพันทั้งสองคนไปชั่วชีวิต       ไม่เหมือนกับพวกเจ้าที่จะเเต่งกับใครก็ได้ขอเเค่ตัวเองได้ผลประโยชน์”

“นี้เจ้าหญิง ข้ารู้ว่าเจ้าหน่ะฉลาด เเต่วัฒนธรรมของเราต่างกัน เจ้าจะเอาความเข้าใจของเจ้ามาใช้กับพวกเราไม่ได้”

“เพคะ หม่อมฉันเข้าใจเเล้ว...”

ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงันด้วยคำถามนั้น มิมีผู้ใดกล่าวคำใดอีกเลย

“งั้นเลิกประชุมเเต่เพียงเท่านี้ ทหารพรคณะทูตไปส่งที่ห้องที่จัดเตรียมไว้ด้วย ดูแลพวกเค้าให้ดีอย่าให้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”

“ทหารคนแคระ” พ่ะย่ะค่ะองค์ราชา

และแล้ววันเวลาก็ล่วงเลยไปจนถึงพรบค่ำ งานเลี้ยงเเสนยิ่งใหญ่ได้ถูกจัดขึ้นที่ห้องโถงใหญ่ภายใต้ขุนเขา ผู้คนต่างสนุกสนานไปกับงานเลี้ยง เเต่กลับมีคนผู้หนึ่งที่ตกอยู่ในความอืมครืม เค้าชักเริ่มสงสัยเกี่ยวกับจุดกำเนิดของตัวเอง

“ท่านเเม่...ข้ามีเรื่องสงสัยอย่างหนึ่ง ถ้าข้าถามท่านจะตอบคำถามข้ามั้ย”

“ฮืม (เสียงถอนหายใจ) ....ตามเเม่ไปที่ห้องโถงหน้าบันลัง เเม่จะเล่าทุกอย่างให้เจ้าฟัง”

ทั้งสองคนลุกออกจากที่นั่งเเละมุ่งสู่ห้องโถง ราชาคนแคระเองก็รู้สึกได้ถึงความสงสัยที่มีอยู่ในตัวลูกกชาย วันนี้ทุกอย่างที่พวกเค้าพยามปกปิดมันมานานจะถูกเปิดเผย เรื่องเกี่ยวกับโลกเบื้องล่างที่เครซัสไม่เคยได้รับรู้มาก่อน

ต็อกๆ ....องค์ราชินีเดินไปที่หน้าบัลลังก์พร้อมกับชี้นิ้ว     ไปที่เเผนที่ของมาหาทวิปดีเบลรอสอันกว้างใหญ่

“ลูกคงสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงมาอยู่ที่นี้ใช้มั้ย เป็นมนุษย์คนเดียวท่ามกลางเหล่าชาวหุบเขา”

“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อนานมาเเล้วในครั้งที่ข้าเเละองค์ราชาลงไปยังโลกเบื้องล่างเพื่อเดินทางไปทำพิธีศพของราชากริมเน้อ ไฟร์เเฮร์ เพื่อนของพ่อเจ้าเราเดินทางกันอยู่หลายวันกว่าจะถึงเทือกเขากรงเล็บที่ตั้งของอาณาจักร คาลักดูนย์ เราทำพิธีอยู่4วัน4คืน เเละในขณะที่เราฝังศพลงใต้ต้นอิคดราซิลย์ ต้นไม้ที่เราใช้ฝังศพของราชาคนแคระทั้งหลายเพื่อนำพาพวกเค้าสู่ห้องโถงเเห่งวัลฮาล่า”

“ในขณะที่เรากำลังทำพิธีอยู่นั้นก็มีคนได้ยินเสียงเด็กร้อง เมื่อเราตามหาก็พบกับเด็กน้อยคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ของต้นอิคดราซิลย์ เด็กน้อยที่น่าสงสาร เมื่อข้าอุ้มเจ้าขึ้นมาเจ้ากลับไม่ส่งเสียงใดๆ หึๆ เด็กน้อยคนนั้นทำให้ข้านึกถึงตอนลูกชายข้าเกิด ข้าจึงตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กคนนั้น ถึงเค้าจะไม่ใช้คนแคระเเต่ข้าตัดสินใจว่าข้าจะสอนให้เค้าเป็นเหมือนพวกเราวิถีของเรา”

“อืม..แปลกจริงทำไมข้าถึงไปอยู่หลังต้นอิคดราซิลย์หล่ะ”

“ลูกดูไม่ตกใจเลยน่ะ หรือพ่อเจ้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าเเล้ว”

“ไม่มีใครบอกข้าหรอกเเต่ข้าสงสัยมานานแล้วหล่ะ....ท่านเเม่ข้าอยากลงไปที่โลกเบื้องล่าง ข้าอยากเห็นสิ่งต่างๆ ในโลกใบนี้...ท่านเเม่ข้าขอไปกับพวกเค้าได้มั้ย”

.....

บทเสริม โลกแห่งโลหิตและเหล็กกล้า

...(เนื่องจากมีเนื้อเรื่องเสริมภายในเรื่อง)...

ในโลกที่ถูกสร้างด้วยโลหิตและเหล็กกล้า บุตรชายของราชาเเห่งหุบเขาได้ออกเดินทางตามหาตัวตนของตนเองท่ามกลางโลกที่กว้างใหญ่ และเต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่เขาไม่รู้ 

...แผนที่:มหาทวีปดีเบลรอส...

มิดการ์ด:ดินแดนเบื้องล่างที่เหล่ามนุษย์และสัตว์ประหลาดกระจายอยู่ทั่วดินแดน มีจักรวรรดิ วาเนียร์เป็นผู้ปกครองดินแดนตอนบนของทวีป และมี จักรวรรดิอาเคมิเป็นผู้ปกครองดินเเดนตะวันออกแถวเทือกเขา Grief Mountain

นิฟเฟลไฮม์:ดินแดนป่าทึบที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย มันเป็นดินแดนที่อำนาจของจักรวรรดิวาเนียร์เข้าไม่ถึง แต่ยังคงมีอาณาจักรเก่าแก่ตั้งอยู่นะที่ใดที่หนึ่งของดินแดนนี้ พวกโทน อาณาจักรของเหล่าตาย 

นิดาเวลลีร์:ดินแดนเทือกเขามันตั้งอยู่บนภูเขาAwakening mountains ถูกปกคลองโดยเหล่าชาวหุบเขา พวกเค้าเรียกตัวเองว่า Valley แต่พวกเค้าถูกมนุษย์เรียกว่าคนแคระ

โยทันไฮม์:ดินแดนทางตอนเหนือสุดดินแดนนี้ถูกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งที่ยาวนานพืชพันธุ์ขาดแคลน แต่ในรฤดูใบไม้ผลินั้นพืชพันธุ์กลับเติบโตได้เร็วอย่างหน้าเหลือเชื่อ ดินแดนนี้มีถูกเรียกว่าดินแดนแห่งยักษ์เพราะผู้อาศัยหลักของดินแดนนี้คือพวกเคนนอร์ฟดินแดนนี้มีถูกเรียกว่าดินแดนแห่งยักษ์เพราะผู้อาศัยหลักของดินแดนนี้คือพวกเคนนอร์ฟ พวกมันมีลักษณะคล้ายวานรที่ยืนสองขาเหมือนมนุษย์มีร่างกายสูงใหญ่คร้ายลิงมีขนปกครุ่มทั่วร่างกายเเละเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ 

สวาตัลฟ์ไฮล์ม:และอัลฟ์ไฮล์ม:เป็นดินแดนลึกลับที่ยังไม่ถูกสำรวจ จากบันทึกเก่าแก่ของราชาเบลิน ผู้บุกเบิก กล่าวว่ามีการพบเห็นกองเรือใหญ่ของเหล่าเอลฟ์มุ่งหน้าไปยังทวิปเล็กนั้น พระองค์กล่าวว่า ในหลายร้อยปีหลังจากนี้ทวิปเล็ก2ทวีปนี้จะกลายเป็นดินแดนใหม่ของเหล่าเอลฟ์ หลังจากที่พวกมันถูกไล่ล่าหลังจบสงครามการปลดเเอก

วานาไฮล์ม:เป็นทวิปขนาดกลางอยู่ทางตอนใต้ของมหาทวีปดีเบลรอส มันเป็นทวีปที่ยังไม่มีการสำรวจจึงไม่มีข้อมูลใดๆ

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!