บทนำ
มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ เมื่อก่อนนางไม่เคยเชื่อถือและเก็บมาจำใส่ใจ และยังเดินหน้าแย่งชิงวาสนาของผู้อื่นมาเป็นของตน คิดง่ายๆ เพียงแค่ว่าเมื่อได้สิ่งนั้นมาครอบครอง ตัวนางจะมีความสุขสมหวังอย่างที่ควรจะเป็น
แต่เปล่าเลย ทุกสิ่งล้วนไม่เป็นอย่างที่คิด กาลเวลามันพิสูจน์อะไรให้เห็นหลายๆ อย่าง ทำให้นางได้เข้าใจและเรียนรู้ว่า
มีรักก็ย่อมมีทุกข์ เพราะความรักมิได้สวยงามเสมอไป และมิใช่ทุกคนจะสุขสมหวังกับมัน เมื่อเตรียมใจที่จะรักก็ต้องเตรียมใจยอมรับกับความผิดหวังให้ได้ด้วย เพราะผู้ที่จะเผชิญหน้ากับคำว่าทุกข์ ก็คือตัวของเราเอง
แต่ทว่ากว่าที่นางจะสำนึกรู้ได้นั้น อะไรๆ มันก็สายไปเสียแล้ว
หยาดน้ำสีใสไหลอาบแก้มซูบซีด หยดแล้วหยดเล่า ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นสีแดงจางๆ และเข้มข้นขึ้นทีละน้อย เป็นผลพวงมาจากยาพิษ ที่ผู้เป็นสามีส่งมาให้ดื่มเมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา เนื่องด้วยความผิดในข้อหาคบชู้สู่ชายกับบ่าวชายในเรือน
ก่อนที่กลิ่นคาวเลือดจะโชยขึ้นจมูกโด่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของร่างสะดุ้งตกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะนางกำลังรอคอยความตายอย่างใจจดจ่อ กลับเป็นคนสนิทที่เป็นฝ่ายตกใจ จนต้องโผเข้ากอดร่างนายหญิงเอาไว้ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว
ร่างผอมแห้งยกมือขึ้นลูบศีรษะของสาวใช้ผู้ภักดีไปมาเบาๆ เอ่ยสั่งเสียอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง
“หากข้าตาย ช่วยบอกคนที่ไว้ใจได้ให้พาร่างของข้าไปฝังไว้ที่สงบด้วยเถิด ส่วนเจ้าก็รีบนำทรัพย์สินมีค่าไปแลกเป็นเงิน แล้วก็รีบหนีไปจากที่นี่ แม้ว่าข้าจะขอละเว้นโทษของเจ้า แต่ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าพวกเขาจะใจดีปล่อยเจ้าไป
จงหนีไปเริ่มต้นใหม่กับบุรุษที่ดีๆ สักคน และก็อย่าร้องไห้เสียใจ เพราะทุกอย่างที่ผ่านมาข้าเป็นคนเลือกเอง”
“ฮูหยิน ฮึก ทะ ทำไม เจ้าคะ ทะ..ท่าน ไม่ได้คบชู้ ทำไมนายท่านต้องมอบยาพิษ ให้ท่านด้วย ดูก็รู้ ฮึก.. ว่ามันเป็นการจัดฉาก ท่านไม่ผิด และ…และข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะตาม ฮึก ฮึก ไปรับใช้ท่านที่ปรโลก”
“เจ้ายังมีอนาคต” นางหลับตาลง ปล่อยให้หยาดโลหิตสีแดงฉานไหลรดไปตามร่างกาย เพื่อชะล้างความผิดบาปทั้งหมดที่เคยผ่านมา
“ไม่เจ้าค่ะ ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว ฮึก ฮึก ชีวิตของข้าเป็นของท่าน หากไม่มีท่าน แล้วข้าจะอยู่อย่างไร ข้าจะไม่ทิ้งท่าน อย่าไล่ข้าอีกเลย ฮืออออ”
“เจ้า..” นางพูดไม่ออกเพราะมีก้อนเลือดมาจุกอยู่ที่ลำคอ ก่อนจะดิ้นทุรนทุราย เมื่อเริ่มที่จะหายใจไม่ออก
“ฮูหยิน ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยิน”
ร่างทรุดโทรมดิ้นรนจนดวงตาที่ฉ่ำไปด้วยเลือด แทบถลนออกมานอกเบ้า เป็นเวลาหลายอึดใจที่ร่างอันน่าสงสารจะสงบลง พร้อมกับสัญญาณแห่งชีวิตก็ได้นิ่งสงบตามสังขารไปด้วย
***
บทที่๑ หวนคืนสู่อดีต
ปลายฤดูหนาว หิมะยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง สร้างความเดือดร้อนให้ราษฎรทุกหย่อมหญ้า ยิ่งเป็นชาวบ้านในถิ่นทุรกันดาร จะได้รับผลกระทบหนักหนามากที่สุด
ทางราชสำนักจึงได้ส่งเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่มไปแจกจ่ายยังพื้นที่ดังกล่าว โดยมอบหมายให้ใต้เท้าหวัง เสนาบดีกรมโยธา เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ เพราะนอกจากจะทำหน้าที่นำเสบียงไปแจกจ่ายแล้วนั้น ยังมีหน้าที่นำกำลังคนไปซ่อมแซมเส้นทาง และจุดที่เสียหายจากหิมะถล่มในครั้งนี้ด้วย
หวังฮูหยินเมื่อได้ทราบข่าวว่าสามีจะต้องเดินทางไปยังสถานที่อันห่างไกล ก็ให้รู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจยิ่งนัก เพราะยามนี้นอกจากปัญหาภัยธรรมชาติ ก็ยังมีเรื่องของบุตรสาวเพียงคนเดียว ที่ยังนอนซมไม่ได้สติเพราะพิษไข้มาหลายวันแล้ว สามีเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียว ที่นางอยากจะให้อยู่ด้วยในตอนนี้ แต่ก็ไม่อาจขัดพระประสงค์ของฝ่าบาทได้
ร่างสะโอดสะองซวนเซเล็กน้อย บ่าวหญิงที่ตามรับใช้ใกล้ชิด รีบเข้ามาช่วยประคองพาฮูหยินไปนั่งเอนหลังที่ตั่งมุกกลางห้องโถงรับรองแขก ก่อนจะนำตลับยาหอมยื่นไปจ่อที่จมูกโด่งได้รูป พร้อมกับใช้พัดโบกไปมาเบาๆ
หลังจากสูดดมไปหลายครั้ง อาการวิงเวียนหน้ามืดก็ดีขึ้น ความรู้สึกกดดันเริ่มผ่อนคลายลงหลายส่วน
“ขอบใจ ข้าดีขึ้นมากแล้ว”
“เจ้าค่ะฮูหยิน” บ่าวหญิงคนสนิทถอยออกมาโดยไม่ต้องพูดซ้ำ
“เย็นนี้อย่าลืมต้มยาเทียบใหม่ที่ท่านหมอเพิ่งจะให้มาด้วยเล่า บางทีเปลี่ยนเทียบยาแล้วอาการของนางจะดีขึ้น” คนเป็นมารดาของบุตรีที่กำลังนอนป่วย สั่งกำชับคนสนิทด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง และรู้สึกว่าวันนี้อ่อนเพลียง่ายกว่าทุกครั้ง
“เจ้าค่ะ”
“เจ้านั่งพักก่อนเถอะ ข้าจะหลับรอท่านพี่อยู่ตรงนี้สักครู่หนึ่ง อ้อ ถ้ามีอันใดเกี่ยวกับคุณหนู ให้รีบแจ้งข้าทันทีเล่า”
“เจ้าค่ะ”
ร่างบอบบางที่ผู้เป็นมารดากำลังเป็นห่วง เริ่มขยับตัวเล็กน้อยหลังจากที่นอนแน่นิ่งเป็นเวลาหลายวัน
เปลือกตาสีมุกขยุกขยิก ก่อนที่เจ้าของร่างจะลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ
ที่ไหนกัน คำถามแรกดังขึ้นภายในหัวของคนป่วย ก่อนจะใช้สายตาเศร้าซึมกวาดมองไปรอบๆ ห้อง พบว่าคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย
บ้านหรือ?
เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีทางที่นางจะได้กลับมาเห็นห้องนอนเดิมอีกครั้ง เพราะตั้งแต่ที่นางแต่งเข้าจวนแม่ทัพ ก็ไม่เคยได้กลับมาจวนสกุลหวัง เพราะถูกผู้เป็นสามีสั่งห้ามกลับไปเป็นอันขาด เหตุผลเท่าที่นางทราบ ก็เพราะไม่ต้องการให้นางและน้องสาวต่างมารดาต้องเจอกัน แท้จริงแล้วเขาเพียงกลัวว่านางจะไปพูดจาทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายต่างหาก จึงต้องกักขังนางให้อยู่แต่ในเรือนอันห่างไกลอย่างโดดเดี่ยว
รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนใบหน้าซีดเซียว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเหตุใดตนถึงยังมีชีวิตอยู่
ฝ่ามือขาวละเอียดละออถูกยกขึ้นมาพลิกดู ก็ถึงกับต้องทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง นี่มันมิใช่ฝ่ามือซูบผอมก่อนที่จะตายนี่น่า แต่ก่อนที่จะได้วิเคราะห์หาสาเหตุ ก็พลันเจ็บร้าวไปทั่วทั้งศีรษะ จู่ๆ ภาพความทรงจำมากมายสว่างวาบเข้ามาในหัว
“โอ๊ย..”
หวังเยว่อิง ยกสองมือจับประคองศีรษะ พร้อมกับแดดิ้นลงไปกับที่นอน เสียงที่ดังมาจากในเรือนนอน ทำให้สาวใช้หน้าห้องรีบผลักประตูเข้าไปดูอย่างร้อนรน
“คุณหนู เร็วเข้าใครก็ได้รีบไปเรียนฮูหยินให้ข้าที”
ผู้เสียสละรีบวิ่งฝ่าสายหิมะไปยังเรือนใหญ่ ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับขบวนของฮูหยินเอก สักพักท่านหมอก็ถูกตามตัวมาตรวจดูอาการของคนป่วย กว่าทุกอย่างจะเป็นปกติ ก็เล่นเอาบ่าวในเรือนใหญ่วุ่นวายกันไปตามๆ กัน
หวังเทียนชุน กลับมาจากวังหลวงก็ได้รับทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด หัวอกคนเป็นพ่อรุ่มร้อน เร่งสืบเท้าฝ่าหิมะไปยังเรือนนอนของบุตรีคนโตในทันที
“ท่านพี่” หวังฮูหยินเรียกหาสามีด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
“น้องหญิง อาการของลูกเป็นอย่างไรบ้าง” ชายวัย30กว่าปีรีบปราดเข้ามาช่วยประคองผู้เป็นภรรยา เมื่อเห็นว่านางลุกขึ้นเดินมาหาตนเอง แล้วออกอาการซวนเซเล็กน้อย
“ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงแล้วเจ้าค่ะ ท่านหมอทำการฝังเข็ม ตอนนี้นางหลับไปแล้ว”
“แล้วเจ้าเล่า ได้ให้หมอตรวจดูบ้างหรือยัง หมู่นี้ข้าสังเกตเห็นสีหน้าของเจ้าซีดเซียวยิ่งนัก”
นางเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะยิ้มน้อยๆ แล้วบอกให้อีกฝ่ายคลายกังวล “เป็นเรื่องน่ายินดีเจ้าค่ะ ท่านหมอบอกว่าข้าตั้งครรภ์ได้2เดือนแล้ว”
“จริงรึ ข้าดีใจยิ่งนัก” น้ำเสียงตื่นเต้นกล่าวกับคนพูด พร้อมกอดกระชับร่างนุ่มนิ่มแนบแน่น
วงแขนเล็กกอดตอบ ใบหน้าหวานซุกซบหน้าอกแกร่งด้วยความรักใคร่ พลางคิดในใจว่ามันคงจะดีกว่านี้ ถ้าหากเมื่อหลายปีก่อน แม่สามีไม่บังคับให้ท่านพี่ต้องแต่งเมียรองเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกัน ครอบครัวของนางก็คงจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่
หวังเทียนชุนไม่ใช่จะไม่รับรู้ถึงความคิดของผู้เป็นภรรยา อ้อมกอดแข็งแรงกระชับแน่นขึ้น หวังให้สัมผัสทางกายเป็นคำตอบของความรู้สึกทั้งหมด ที่ถูกกักเก็บไว้ภายใน
เขารักนางเพียงคนเดียว นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจมาโดยตลอด ส่วนหลานสาวของสหายมารดา ที่ได้กลายมาเป็นฮูหยินรองนั้น เขารับมาด้วยความจำเป็น เพราะถูกวางยาปลุกกำหนัด โดยมีมารดาแท้ๆ สมรู้ร่วมคิด และหลังจากนั้นเขาก็ถูกมารดาบีบบังคับให้รับผิดชอบ
แต่หลังจากที่แต่งนางเข้ามาเขาก็ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวอะไรเลยด้วย จนทราบว่านางตั้งครรภ์ ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกยินดี แต่ด้วยหน้าที่พ่อของบุตรก็ไม่ได้ปล่อยปละละเลย ยาบำรุงชั้นดีหรือแม้แต่เงินทองของมีค่ามากมาย ถูกส่งไปให้ไม่เคยขาด จนมารดาไม่สามารถท้วงติงอันใดได้
โชคดีที่ฮูหยินของเขาเป็นคนใจกว้าง และเข้าใจอะไรง่ายๆ ชีวิตของเขาจึงอยู่ได้อย่างสงบสุข
“เราเข้าไปดูลูกกันเถอะเจ้าค่ะ” เมื่อซึมซับความรู้สึกของกันและกันได้สักพักแล้ว นางจึงคลายวงแขนและเงยหน้าเอ่ยชวนสามีด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“อืม” ร่างสูงพยักหน้า โอบเอวคอดกิ่วเดินเข้าไปในห้องนอนของบุตรสาว ด้วยความระมัดระวัง
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรชายคนเล็กจะลำเอียงได้ถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เหมยเอ๋อร์หลานสาวคนโปรดของนาง ถูกหวังเยว่อิงกลั่นแกล้งให้ยืนตากหิมะ ก่อนที่จะล้มป่วยด้วยกันทั้งคู่ แต่ฝ่ายลูกชายตัวดีกลับไม่เคยมาเหลียวแล ไม่แม้แต่จะเชิญหมอมารักษา ใจดำอะไรถึงเพียงนี้กันนะ
สะใภ้รองรินชาเหลียนฮวาให้แม่สามีอย่างเอาใจ “ท่านแม่ดื่มชาอุ่นๆ ก่อนเจ้าค่ะ”
“ฮึ เจ้าดีถึงเพียงนี้ ไฉนเจ้าลูกบ้านั่นมองไม่เห็นกันนะ วันนี้ล่ะข้าจะไปพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่อง” หญิงชราพูดเสียงขึ้นจมูกด้วยความไม่พอใจ
“อย่าเลยเจ้าค่ะ เหมยเอ๋อร์ก็ไม่เป็นอันใดแล้วด้วย อย่าทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยนะเจ้าคะ” ฮูหยินรองกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หลายปีมานี้น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง เด็กๆ ทะเลาะกันนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้ร้ายแรงอันใด นางก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้สามีผู้นั้นชิงชังไปมากกว่านี้ ที่สำคัญความเป็นอยู่ก็ไม่ได้เลวร้าย นับว่าฮูหยินเอกไม่ได้มีจิตใจคับแคบ ส่งของกำนัลมาให้ไม่ขาด อีกทั้งไม่เคยบีบบังคับด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง นางจึงอยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี
“ได้อย่างไรกัน เจ้ายอมแต่ข้าไม่ยอมหรอก เจ้าวางใจเถิดเรื่องนี้ข้าจะเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง”
“แต่…”
“ไม่มีแต่ เจ้ากลับไปดูลูกเถิด”
“เจ้าค่ะ” นางถอนหายใจ ก่อนจะขานรับด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่อาการที่แสดงออกภายนอกเท่านั้น ส่วนภายในใครไหนเลยจะรู้ดีได้เท่านาง
เย็นวันนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้มาเยือนถึงเรือนใหญ่ การสนทนาเป็นไปอย่างเคร่งเครียด
หวังฮูหยินเป็นลมล้มพับเมื่อได้ฟังว่าแม่สามีจะขอเป็นผู้สำเร็จโทษบุตรสาวของตนเอง หลังจากที่นางหายป่วยดีแล้ว
“ท่านแม่ นางเป็นบุตรีของข้า ข้าย่อมต้องเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง และก็ไม่ใช่ว่าข้าจะละเลยเหมยเอ๋อร์ ยามนั้นข้าได้สั่งให้คนไปตามท่านหมอ แต่เป็นเพราะท่านบอกไม่จำเป็น ญาติทางฝั่งมารดาเหมยเอ๋อร์เป็นหมอมีฝีมือ แล้วข้าจะพูดอันใดได้อีก”
ได้ฟังคำกล่าวจากปากบุตรชาย ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับสะดุดลมหายใจ พูดแย้งสิ่งใดไม่ออก เพราะนางเป็นคนพูดคำนั้นจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตามเรื่องลงโทษคนผิด นางไม่อาจปล่อยผ่านไปได้ เด็กนั่นหากไม่สั่งสอนให้หลาบจำ ต่อไปจะกำเริบเสิบสานกันขนาดไหน เพราะมีบิดาให้ท้าย มีมารดาคอยตามอกตามใจ อีกหน่อยก็คงได้ถอนหงอกผู้มีศักดิ์เป็นย่าอย่างนางแน่ๆ
“เฮอะ รอพ่อของเจ้ากลับมาก่อนเถอะ อย่างไรเรื่องนี้ข้าจะไม่อ่อนข้อให้เด็ดขาด กลับ!!!”
“ข้าไม่ส่ง” หวังเทียนชุนตอบกลับเสียงเรียบ ใบหน้าคมคายฉายความตึงเครียดออกมาอย่างเด่นชัด
กว่าบิดาของเขาจะกลับมาจากต่างเมือง ยามนั้นเขาก็คงออกเดินทางไปแล้ว ภรรยาก็กำลังตั้งครรภ์ ไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นบ้าง เขาเป็นห่วงพวกนางจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น ร่างเล็กที่นอนหลับใหลไม่ได้สติ ก็เริ่มรู้สึกตัว สักพักความทรงจำรวมไปถึงความรู้สึกมากมายถาโถมกันเข้ามา ทำให้อาการปวดหัวอย่างเช่นเมื่อวานกลับมาอีกครั้ง
หวังเย่วอิงกัดฟันกรอด ข่มความเจ็บปวดด้วยการนอนนิ่งๆ พอทนไม่ไหวก็จิกเล็บลงบนที่นอน สลับกับดึงทึ้งจนผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่
แก้วขาวใสถูกหยาดน้ำตารินรดดั่งม่านน้ำตก จนสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ฮึก ฮึก”
กว่า 1ก้านธูปที่นางนอนอดทนอดกลั้น ทุกอย่างก็พลันบรรเทาเบาบาง และกลับมาเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ
แพขนตาดกดำชุ่มฉ่ำแวววาวกระพริบขึ้นลงปริบๆ ฝ่ามือเรียวเล็กที่เคยจับทึ้งผ้าปูที่นอน ก็ได้เลื่อนขึ้นมาเกาะกุมหน้าอกตรงตำแหน่งของหัวใจ
ไม่น่าเชื่อเลยสักนิดว่านางยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่นางได้ขาดใจตายไปแล้ว ทุกอย่างดูไม่คล้ายความฝัน เพราะในตอนนี้นางก็ยังรู้สึกได้ถึงความตาย และยังรับรู้ถึงความทุกข์ทรมานในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี
หากไม่ใช่สวรรค์ให้โอกาสย้อนคืนมาอีกครั้ง แล้วมันจะเรียกว่าอันใดได้
หวังเยว่อิงมองเหม่อไปบนม่านมุ้งด้านบน ปล่อยให้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าหลั่งรินอย่างต่อเนื่อง กว่าครึ่งชั่วยามที่นอนจมอยู่ในภวังค์ ก็เริ่มมีสติและใคร่ครวญลำดับเหตุการณ์ภายในใจเงียบๆ
นางย้อนกลับมาในวัย8หนาว เป็นช่วงเวลาก่อนที่มารดาจะเสียชีวิตไปพร้อมกับน้องชายในอีก2ปีข้างหน้า ด้วยอุบัติเหตุทางรถม้า
หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ฮูหยินรองก็ถูกยกย่องขึ้นเป็นฮูหยินเอก หวังเลี่ยงเหมยก็ไม่ใช่ลูกเมียน้อยอีกต่อไป
เด็กที่ไร้มารดาปกป้อง ย่อมไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขนัก จากที่เคยมีนิสัยเอาแต่ใจอยู่แล้ว ก็ยิ่งทวีความร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นก็เป็นเพราะต้องการปกป้องตนเอง และยืนหยัดเพื่อมิให้มีผู้ใดมารังแกเอาได้ง่ายๆ
ทว่าทุกคนกลับมองว่านางเลวร้าย กลั่นแกล้งรังแกน้องสาวต่างมารดาในทุกครั้งที่มีโอกาส จนคนรอบข้างพากันหวาดกลัวและถอยห่างไม่คบค้าสมาคมด้วย แม้กระทั่งท่านพ่อผู้ที่รักนางดุจดวงใจ ก็เย็นชาใส่แล้วหันไปเอ็นดูนังเด็กเลวนั่นแทนอยู่เสมอ
นางจึงคิดแค้นฝังใจมาตลอด สิ่งไหนที่เป็นของนางก็ย่อมต้องเป็นของนางไปจนตาย และสิ่งไหนที่หวังเลี่ยงเหมยอยากได้ นางก็จะยื้อแย่งให้ถึงที่สุด
คิดมาถึงตรงจุดนี้ ฝ่ามือขาวผ่องก็กำเข้าหากันแน่น เหตุการณ์เลวร้ายทุกอย่างมันเริ่มต้นจากตรงนี้สินะ แล้วถ้าหากว่านางเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ท่านแม่ของนางก็อาจจะไม่ตายหรือเปล่านะ
ถ้ามันใช่อย่างที่คิดชีวิตของนางนับแต่นี้ก็คงจะดีไม่น้อย…
หวังเยว่อิงรีบสลัดความคิดทุกอย่างทิ้ง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายดังใกล้เข้ามา หากเดาไม่ผิดคงจะเป็นท่านแม่กับพวกบ่าวรับใช้ในเรือน
จริงสิ พอคิดถึงบ่าวรับใช้ ทำให้นางนึกถึงเสี่ยวเอิน สาวใช้คนสนิทที่อยู่เคียงข้างกันจนลมหายใจสุดท้าย
หัวคิ้วดกดำย่นเข้าหากัน เมื่อจำได้เลือนรางว่า ในตอนนี้เสี่ยวเอินยังไม่ได้เข้ามาเป็นสาวใช้ของสกุลหวัง แต่อีก1ปีข้างหน้า เสี่ยวเอินก็จะถูกป้าสะใภ้ทุบตี และกระชากลากถูไปขายให้แก่หอนางโลม โชคดีที่ท่านแม่และนางไปเจอเข้าพอดีจึงซื้อตัวเอาไว้ได้ทัน
นับแต่นั้นเสี่ยวเอินก็ติดตามรับใช้นางมาโดยตลอด แม้กระทั่งทำเรื่องที่ไม่สมควร เสี่ยวเอินก็ออกหน้าจัดการให้ด้วยความเต็มใจ และก็เป็นผู้เดียวที่ไม่ทอดทิ้งนาง ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ย่ำแย่แค่ไหน
บ่าวภักดีเช่นนี้หากันไม่ได้ง่ายๆ นางคงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ได้เจอเสี่ยวเอินก่อนกำหนด บางทีหากนางได้เปลี่ยนชะตากรรมของคนสนิท ไม่แน่ว่าบางสิ่งบางอย่างก็อาจจะไม่กลับมาเป็นในรูปแบบเก่า
“อิงอิง” เสียงหวานร้องเรียกชื่อบุตรสาวด้วยน้ำเสียงปิติยินดี
“ทะ…ท่านแม่” ร่างเล็กลุกพรวดขึ้นจากที่นอน สลัดเท้าลงจากเตียงเพื่อจะวิ่งไปสวมกอดท่านแม่ให้หายคิดถึง
“อย่าวิ่ง แม่จะไปหาเจ้าเอง”
“ท่านแม่ ฮึก ฮึก” น้ำตาราวสั่งได้ไหลลงมาเป็นทาง ผู้เป็นมารดาเห็นแล้วหัวใจแทบสลาย อ้อมแขนอบอุ่นคว้าร่างของลูกน้อยเข้ามากอดแนบอก พรมจูบไปทั่วหน้าผากกลมมนด้วยความรักใคร่
“โอ๋ๆๆ ไม่ร้องๆ แม่อยู่นี่แล้วคนดี เจ้าปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัวๆ”
หลิวมามา บ่าวคนสนิทที่ติดตามฮูหยินเข้ามาด้านใน อดที่จะน้ำตาซึมไม่ได้ ผู้อื่นจะคิดอย่างไรต่อสองแม่ลูก แต่นางเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด
คุณหนูใหญ่เพียงเป็นเด็กเอาแต่ใจ ไปตามประสาเด็ก แต่ก็ไม่ไร้เหตุผลหรือขาดสติจนทำร้ายผู้อื่นได้ลงคอ เพียงแต่ว่าเหตุการณ์บางอย่างมันเอื้ออำนวยให้ใครต่อใครเข้าใจผิด เหมือนอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นจนทำให้คุณหนูล้มป่วยไม่ได้สติไปหลายวัน แท้จริงแล้วคุณหนูรองต่างหากเป็นผู้ริเริ่ม ยั่วโทสะคุณหนูของนาง จนทำให้เรื่องบานปลายอย่างที่เห็น
“ข้าคิดถึงท่านที่สุด” เสียงเล็กปนสะอื้นอู้อี้บอกกับอกของมารดาคนงาม
“แม่ก็คิดถึงเจ้า อิงอิงน้อยของแม่”
ต่อไปแม่จะปกป้องเจ้าให้ดีกว่านี้ แม่สัญญา
บทที่๒ คุณหนูใหญ่เปลี่ยนไป
3วันต่อมา เกวียนบรรทุกเสบียงอาหารและเครื่องนุ่งห่ม กว่า100เกวียน ได้เคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวง โดยมีเสนาบดีกรมโยธาหวังเทียนชุน เป็นผู้รับหน้าที่นำเสบียงไปแจกจ่าย และซ่อมแซมเส้นทางสัญจรที่เสียหาย
แม่ทัพเสิ่นห่าว เป็นแม่ทัพรักษาการณ์ประจำเมืองหลวง ได้รับคำสั่งให้นำกำลังทหารกว่าห้าพันนาย คุ้มกันความปลอดภัย พร้อมทั้งคอยให้ความช่วยเหลือใต้เท้าหวัง จัดการกับปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทาง
ตลอดทางมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อย ออกมายืนถือร่มท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย เพื่อรอส่งทุกคนที่ออกเดินทางกันในวันนี้
ขบวนอันยาวเหยียดเคลื่อนผ่านไปได้สักพัก หวังฮูหยินก็หันมากระชับผ้าคลุมขนสัตว์ให้กับบุตรสาว พร้อมกับช่วยเป่าลมใส่ฝ่ามือเล็กๆ ที่กำลังเย็นเฉียบ
บ่าวรับใช้ของฮูหยินช่วยกันประคองร่ม ระมัดระวังไม่ให้หิมะมาสัมผัสโดนผู้เป็นนาย
“หนาวมากหรือไม่อิงอิง” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความหนาวสั่น เอ่ยถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง หากไม่เพราะถูกใช้ลูกไม้ออดอ้อนออเซาะให้พาออกมา นางก็คงไม่นำลูกที่เพิ่งจะหายป่วย ออกมาต้องลมหนาวเช่นนี้แน่
หวังเยว่อิงมองการกระทำของมารดาตาแป๋ว พลางคิดในใจว่าถ้าหากในชาติที่แล้ว นางไม่แท้งลูกเสียก่อน บางทีนางก็อาจจะได้ทำเช่นนี้เหมือนกับมารดาก็เป็นได้
ผู้เป็นแม่ยามเห็นลูกน้อยมองมาด้วยแววตาใสซื่อ ที่รับกับใบหน้าขาวนวลเนียนน่ารักน่าเอ็นดูนั่นแล้ว ก็ทำให้หัวใจแทบละลายน้ำได้ จนอดใจไม่ไหวยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มหอมกรุ่นทั้งซ้ายทั้งขวา
ฟอด ฟอด
“ชื่นใจของแม่”
คนตัวเล็กทำตาโต หลังจากนั้นก็เม้มปากเข้าหากัน ก้มหน้าลงต่ำด้วยอาการขัดเขิน
ถึงจะอย่างไรนางก็เคยเติบโตเป็นผู้ใหญ่มาก่อน แม้จะได้กลับมาเป็นเด็กอายุ8หนาวอีกครั้ง ก็ย่อมต้องมีความเขินอายเป็นธรรมดา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการกระทำดังกล่าวทำให้รู้สึกดีอยู่ไม่น้อย
นานแค่ไหนแล้วนะที่นางไม่เคยได้สัมผัสกับมัน หากจำไม่ผิดก็คงเป็นตอนที่นางสูญเสียท่านแม่กับน้องชายไปตลอดกาล
เพราะแบบนี้ซินะ ที่ทำให้ส่วนลึกในใจโหยหาความรัก ความเอาใจใส่มาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยได้รับเลยสักครั้ง
ช่างเถอะเรื่องมันผ่านมาแล้ว และตอนนี้นางก็ได้สัมผัสกับมันอีกครั้ง ส่วนที่ขาดหายได้ถูกเติมเต็มแล้ว
ผิวแก้มขาวๆ เริ่มมีริ้วสีแดงๆ พาดผ่าน เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี
“รู้จักเขินอายเช่นนี้ ลูกแม่คงโตเป็นสาวแล้วสินะ”
หวังเยว่อิงพยักหน้าหงึกๆ หลบสายตาล้อเลียนของทุกคน
“เอาล่ะๆ แม่ไม่ล้อเจ้าแล้ว รีบกลับกันเถอะ หิมะเริ่มตกหนัก ไม่ควรอยู่นานนัก กลับไปถึงจวนแม่จะต้มนมอุ่นๆ ให้ดื่ม”
“เจ้าค่ะ ท่านแม่”
กลับมาถึงเรือนใหญ่ หวังเยว่อิงก็ถูกมารดาจับเช็ดเนื้อเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น ระหว่างรอให้สาวใช้ไปนำชุดใหม่มาให้ มารดาก็นำผ้าห่มผืนใหญ่ ที่ทั้งหนาและนุ่มมาห่อตัวนางเอาไว้ ดูคล้ายกับขนมบ๊ะจ่างอย่างไรอย่างนั้น
“จุดเตาเพิ่มอีกหน่อย อากาศเย็นนัก เดี๋ยวคุณหนูจะล้มป่วยไปอีกหน”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
หลังสั่งงานเสร็จ จางซือหรือหวังฮูหยินก็ได้ปลีกตัวไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านหลัง เพื่อที่จะต้มน้ำนมวัวให้บุตรสาวดื่ม
โดยปกติแล้วจวนแห่งนี้จะมีโรงครัวใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลนัก มีแม่ครัวและผู้ช่วยประจำอยู่ทั้งหมด5คน คอยผลัดกันทำอาหาร แล้วส่งไปยังเรือนต่างๆ แต่ทว่ารสชาติไม่ค่อยถูกปาก
ตั้งแต่นางแต่งเข้าสกุลหวังได้เพียงไม่กี่เดือน ก็แจ้งกับสามีว่าต้องการแยกครัวทำอาหารกินเอง
เมื่อแม่สามีรู้เข้าก็ออกอาการไม่พอใจ กระแหนะกระแหนว่าลูกสะใภ้เป็นสตรีเรื่องมาก และยังทำตัวแบ่งแยกไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่
ในคราวนั้นก็เลยไม่ได้ทำอาหารกินเอง จนกระทั่งพ่อสามียกตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหวังให้แก่บุตรชายคนโต ทว่าพี่สามีปฏิเสธเพราะต้องย้ายไปประจำอยู่ทางใต้กับภรรยา ส่วนพี่สามีคนรองก็ไม่ต้องการ หน้าที่นั้นเลยตกมาเป็นของบุตรชายคนเล็ก
เมื่อสามีได้ขึ้นเป็นนายท่านใหญ่ของสกุล ผู้เป็นภรรยาเอกก็มีศักดิ์ฐานะตามไปด้วย
จากที่เมื่อก่อนจะถูกเรียกขานว่าฮูหยินสาม ก็กลายมาเป็นหวังฮูหยิน
เมื่อได้ย้ายมาอยู่ที่เรือนใหญ่แทนพ่อและแม่สามี หลังจากนั้นนางจึงได้สั่งให้ช่างมาต่อเติมห้องครัวขึ้นทางด้านหลัง ในทุกๆ วันจะทำอาหารกินเอง โดยไม่แตะต้องอาหารที่โรงครัวแม้แต่มื้อเดียว
เหตุการณ์ในครั้งนั้น นับว่าสร้างความไม่พอใจให้แก่แม่สามีหรือฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ไม่น้อย แต่อีกฝ่ายก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะอำนาจดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ภายในจวน ถูกยกให้เป็นหน้าที่ของภรรยาผู้นำตระกูลคนต่อไป
หลายปีมานี้นางรู้ดีว่า ที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่กล้ายื่นมือเข้ามายุ่งวุ่นวาย นั่นเป็นเพราะเกรงกลัวต่อเหล่าผู้อาวุโสของสกุลหวัง ซึ่งคนเหล่านี้เคยเป็นคนสำคัญที่นำพาตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองทั้งสิ้น และยังมีอำนาจในการตัดสินโทษของผู้ที่กระทำผิดกฎ โดยที่ไม่ต้องรอถามความเห็นของผู้นำตระกูลแต่อย่างใด
แต่ยามนี้ค่อนข้างน่าหวั่นใจนัก เพราะผู้อาวุโสล้มหายตายจากไปทีละคน คนที่ยังมีชีวิตก็ไม่ได้พำนักอยู่ที่นี่ ส่วนพ่อสามีก็ยังไม่กลับมา ฮูหยินผู้เฒ่าอาจฉวยโอกาสนี้สร้างปัญหาให้นางก็เป็นได้
“ฮูหยินเจ้าคะ” เสียงเรียกจากทางด้านหลัง ทำให้คนที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ถึงกับสะดุ้ง
“ตายจริง ข้ามัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย เจ้าช่วยจุดเตาให้ข้าที แล้วเปิดถังไม้ตรงนั้น เทน้ำนมใส่ลงไปในหม้อดินเผา ที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน”
ผ่านไปไม่ถึง2เค่อ ร่างในอาภรณ์สีเขียวอ่อน ก็กลับออกมาพร้อมกับนมวัวต้มสุกแก้วใหญ่ แต่ในทันทีที่มาถึงห้องโถงรับรองแขก สายตาก็ปะทะเข้ากับร่างเล็กของหวังเยว่อิง ซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยอาการหนาวสั่น เมื่อเลื่อนสายตาไปมองอีกฝั่ง ใบหน้าอ่อนโยนก็เปลี่ยนเป็นเรียบเฉย
คนพวกนี้คงอยากให้นางร้ายกาจให้ได้เลยสินะ
มือขาวสะอาดซ่อนกำหมัดเอาไว้ภายใต้แขนเสื้อ พลางกวาดสายตามองคนของตัวเอง ที่กำลังถูกคนของอีกฝ่ายคุมเชิงอยู่ไม่ไกล ถึงว่า..ไม่มีใครไปรายงานให้นางทราบ
ดูเหมือนคนเรือนโน้นชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว
ร่างระหงเดินเข้าไปอย่างใจเย็น ก่อนจะทำความเคารพแม่สามีตามมารยาท “คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” คำนับพอเป็นพิธีเสร็จ ก็แสร้งเอ่ยถาม ราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย “ไม่ทราบว่ามีอันใดกันหรือเจ้าคะ” ในขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย มือก็ยื่นไปจับต้นแขนของบุตรี ฉุดดึงให้ลุกขึ้นมาจากพื้น รั้งร่างที่กำลังหนาวสั่นเข้าหาตัวเอง พร้อมกับใช้มือโอบบ่าน้อยๆ เอาไว้
“เฮอะ ยังจะมีหน้ามาถามอีก ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนตัดเบี้ยหวัดของลูกสะใภ้กับหลานข้าหรอกหรือ พอเทียนชุนไม่อยู่ก็ออกลายเป็นสตรีใจแคบ ไม่เห็นหัวหงอกเช่นข้าอยู่ในสายตาแล้วสิ”
จางซือฟังคำพูดแม่สามีแล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน หากมาเพียงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไยต้องให้หลานสาวคนโตไปคุกเข่ากับพื้นเย็นๆ ด้วยล่ะ รู้ทั้งรู้ว่าเด็กน้อยเพิ่งจะหายป่วย เสี่ยงต่อการกลับมาป่วยอีกรอบ
ในระหว่างที่ขบคิดอยู่นั้น เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้นเบาๆ “ท่านแม่ ข้าหนาว”
ฮูหยินผู้เฒ่าที่กำลังอ้าปากเพื่อที่จะสาดคำพูดแรงๆ ใส่สะใภ้ที่ตนไม่ปลื้ม มีอันต้องหุบปากฉับ
น้ำเสียงและสีหน้าซีดเซียวของหลานคนโตที่เกิดจากบุตรชายคนเล็ก ทำให้ใจของหญิงชราไหววูบ เกิดความรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ที่สั่งให้เด็กน้อยออกมานั่งคุกเข่ากับพื้น แต่พอหันไปมองเด็กหญิงอีกคน ที่กำลังนั่งซุกใบหน้าราวกับหวาดกลัวอยู่ในอ้อมอกของลูกสะใภ้คนโปรด ความรู้สึกไม่พอใจก็เข้ามาแทนที่
“เพียงคุกเข่าไม่นานเจ้าก็ออกอาการแล้วหรือ ทีแกล้งน้องให้ไปนั่งตากหิมะกว่า1ชั่วยาม ไม่คิดบ้างว่าเหมยเอ๋อร์จะหนาวเหน็บสักแค่ไหน” น้ำเสียงในตอนท้ายสั่นเครือ เพราะยังรู้สึกสะเทือนใจไม่หาย
หวังฮูหยินเตรียมอ้าปากจะแก้ต่างให้บุตรสาว ก็ถูกฝ่ามือเล็กกระตุกชายกระโปรงเข้าเสียก่อน ต่อจากนั้นหวังเยว่อิงก็ทำในสิ่งที่ใครหลายคนไม่คาดฝันมาก่อน
ร่างบอบบางราวกับตุ๊กตากระเบื้อง เดินหน้าขึ้นไปสามก้าว กระแทกหัวเข่าลงกับพื้นที่ค่อนข้างเย็นจัด โขกศีรษะสามครั้งเพื่อขอขมาญาติผู้ใหญ่
“หลานขออภัยเจ้าค่ะ ที่เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น”
จางซือเห็นรอยแดงบนหน้าผากของบุตรสาว หัวใจของคนเป็นมารดาแทบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ก็ต้องข่มใจไม่เข้าไปขวางในสิ่งที่อิงอิงน้อยกำลังจะทำ
“แต่ว่า..แต่ว่าวันนั้น เป็นน้องรองกับสาวใช้ เป็นฝ่ายมาหาหลาน แล้ว แล้วก็” หวังเย่วอิงพยายามกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เพื่อที่จะบอกเล่าความจริงให้ผู้เป็นท่านย่าฟัง
ฮูหยินผู้เฒ่ามองไปที่หลานวัย8ขวบ ด้วยความตระหนก ท่าทางอวดดีอวดเก่งและนิสัยดื้อดึงมันหายไปไหนเสียแล้ว เหตุใดวันนี้จึงเห็นเพียงดรุณีน้อยที่แสนจะบอบบางได้เล่า
“พวกเขาแอบพากันเข้าไปที่ศาลาส่วนตัวของหลาน ….” ถ้อยคำเจือสะอึกสะอื้น ทำให้หลายคนที่ได้ฟังไม่กล้าขยับตัว ต่างมองไปที่คุณหนูใหญ่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย
เด็กหญิงได้บอกเล่าถึงเรื่องราวในวันนั้น อย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่ที่ตนเองมาได้เห็นและได้ยินบทสนทนาของพวกนางทั้งสอง
“คุณหนูเจ้าขา เห็นหรือไม่ว่าศาลารับลมที่เรือนคุณหนูใหญ่ ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย”
“มีของเล่นเยอะเลยนี่น่า ข้าอยากได้ อ่านั่นไงตุ๊กตาตัวนั้น ข้าจำได้ว่าพี่ใหญ่ชอบพกติดตัวตลอด” ร่างเด็กหญิงในชุดสีขาวปักลายโบตั๋น วิ่งขึ้นไปคว้ามันมาถือเอาไว้ “แต่ข้าไม่ชอบหน้าตาของมัน ต้องเติมสีลงไปหน่อยนึง”
“นังเด็กบ้า อย่ามายุ่งกับตุ๊กตาของข้านะ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้” หวังเยว่อิงตะโกนบอกน้องสาวต่างแม่ ด้วยน้ำเสียงโกรธจัด ที่เห็นอีกฝ่ายกำลังใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกในถาดฝนหมึก ที่นางฝนหมึกทิ้งเอาไว้แล้วลืมสั่งให้คนมานำไปเก็บ ก่อนจะนำไปละเลงจนทั่วทั้งใบหน้าของตุ๊กตาตัวโปรด
“ข้าชอบ ให้ข้าเถอะนะ” เด็กหญิงกล่าวตาใส มือก็ยังไม่การกระทำดังกล่าว
“ข้าไม่ให้ เอามานี่มา” เด็กหญิงวิ่งเข้าไปยื้อยุดสิ่งของของตนเองกลับคืน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมปล่อย ออกตัววิ่งฝ่าหิมะที่กำลังโปรยลงมา
และต่อจากนั้นก็กลายเป็นเหตุการณ์ชุลมุนอย่างที่ทุกคนเห็น แล้วก็พากันเข้าใจไปต่างนานาว่านางกลั่นแกล้งน้องรอง
หลังเล่าความจริงให้ฟังจนจบ ผู้มีศักดิ์เป็นย่าถึงกับหันไปทางหวังเลี่ยงเหมย และสาดสายตามองไปยังพี่เลี้ยงของหลานรัก
“เป็นความจริงรึ”
“มะ..ไม่จริง ไม่จริง เจ้าค่ะ”
“เจ้ากำลังจะบอกว่าบุตรีของข้าโกหกรึ นางเป็นเพียงแค่เด็กวัยไม่ถึง10ขวบเองนะ”
คราวนี้เป็นจางซือที่ออกโรงปกป้องหวังเยว่อิง เป็นการบอกทุกคนเป็นนัยๆ ด้วยว่าลูกสาวของตนเองก็ยังเด็กนักเหมือนกัน ทำให้พี่เลี้ยงคนดังกล่าวถึงกับตกใจจนพูดสิ่งใดไม่ออก ได้แต่นั่งอ้ำๆ อึ้งๆ
ไม่ต่างกับคนอื่นๆ พอได้คิดตามคำพูดของหวังฮูหยิน ก็ได้เห็นความจริงว่าคุณหนูใหญ่เกิดก่อนคุณหนูรองเพียงแค่2ปีเอง ถือว่ายังเด็กด้วยกันทั้งคู่
หลายสิ่งที่ทำให้ทุกคนมองข้าม อาจเป็นเพราะว่านิสัยของคุณหนูใหญ่เอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ เย่อหยิ่งจนหลายคนเห็นเป็นภาพชินตา เทียบกับวันนี้แล้วนั้นดูต่างกันโดยสิ้นเชิง
คุณหนูใหญ่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ที่สำคัญนางก็เป็นแค่เด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!