NovelToon NovelToon

ทีมปล้นขมังเวทย์ : วันดียึดนรก A Good Day To HellJacking

บทนำ : อสูรบรรพกาล และ นามบัตรปริศนา

เมื่อกาลนานไกล ครั้งที่กลางวันและกลางคืน ผืนดินและผืนฟ้ายังรวมเป็นหนึ่ง ก่อนที่เสียงพระบัญชากัมปนาทกึกก้องจะร้องลั่นสั่นสะเทือนแผ่รัศมีเกิดขึ้นเป็นเอกภพอย่างที่มันเป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าชั่วกัลป์ชั่วกัล วินาทีแรกที่ทุกอย่างก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่า มันได้สร้างสภาวะอันเป็นเอกภาพจากทุกสิ่ง

สภาวะหนึ่งเดียวที่ขับเคลื่อนจักรวาลให้อยู่ใต้อาณัติของมันมาช้านาน สภาวะอันทรงพลัง งดงาม หดหู่ และ น่าสยดสยอง สภาวะที่หยิบยื่นความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบให้จักรวาล และ  หนึ่งในนั้น คือ มนุษย์ สิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา ที่เต็มไปด้วย ความโลภ กิเลศ และ ตัณหา แต่ก็ยังเต็มเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตา และ ความดีงาม สิ่งที่เป็นดั่งภาพสะท้อนของเอกภาวะนี้อย่างตรงไปตรงมา

ความจริงมีเพียงสิ่งนี้ หากแต่มนุษย์ซึ่งเปรียบเสมือนนายช่าง อันมีความเชื่อเป็นเบ้าหลอม และ มีความศรัทธาเป็นค้อนตี ลงมือสรรสร้างปรุงแต่งวัตถุดิบจากบรรพกาล นับตั้งแต่เปลวไฟดวงแรกถูกจุดขึ้นด้วยสติปัญญา และเมื่อมันเย็นตัวลง โลกใบนี้ก็ปรากฎสิ่งประดิษฐ์ที่ไร้เทียมทานที่สุดในจักรวาล

บ้างใช้มันเพื่อสร้างความรัก บ้างใช้มันเพื่อก่อความสันติสุข บ้างใช้มันเพื่อลงดาบประหาร บ้างใช้มันในการทำสงครามและการปกครอง ในขณะที่มนุษย์ผู้เย่อหยิ่งทนงในสติปัญญาอันต่ำต้อย ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นไปด้วยแรงดลบัลดาลของเอกภาวะบรรพกาล

มนุษย์เอ่ยขานถึงตำนานมากมายที่เชื่อมโยงถึงสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัว นับตั้งแต่เทพเจ้า จอมปีศาจ ผี ไปจนถึง คำสาปนานับประการ

ในยุคสมัยของมัน โลกอาบข้นไปด้วยพลังของเวทย์มนต์อันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เอกลักษณ์ของมันที่สัมผัสได้ด้วยผัสสะของมนุษย์ มันคลืบคลานอยู่ทุกซอกลืบ ซ่อนเร้นโยงใยดั่งเครือข่ายที่มองไม่เห็น ปกครองโลกด้วยกิเลศเป็นตัวขับเคลื่อน

จนกระทั่ง 2600 ปีก่อน การมาถึงของอีกสภาวะแห่งจักรวาลก็อุบัติขึ้นในร่างของมนุษย์ ชายผู้ทรงสติปัญญาเหนือคนทั้งมวล ชายผู้เป็นอีก หนึ่งความเป็นไปได้ที่จักรวาลมอบให้ มนุษย์รู้จักชายคนนี้ในชื่อ 'พระสัมมาสัมพุทธเจ้า' ผู้ที่จะนำเหล่าสัตว์ทั้งมวล ให้หลุดพ้นจากเงื้อมมือของมัน ผู้ที่เห็นตัวตนของมันอย่างแท้จริง และนามของมันก็ถูกกำหนดอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นครั้งแรกในครานั้น

अम्पक (อัมพะกะ) คือชื่อแรกที่ปรากฎขึ้นเพื่อระบุการมีอยู่ของสิ่งนี้ อานุภาพของมันยิ่งใหญ่จนแม้แต่ องค์ศาสดา ก็อยู่ภายใต้อำนาจของมันอย่างเลี่ยงไม่ได้ พระองค์รู้ดีถึงฤทธิ์เดชของอสูรตนนี้เป็นอย่างดี ตลอดระยะเวลาก่อนการตรัสรู้ พระองค์จึงมุ่งเน้นหาวิธีที่จะหลุดจากอำนาจของมัน

และเมื่อ เช้ามืดวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปาฎิหาร์ยก็เกิดขึ้น พระองค์ค้นพบหนทางที่จะหลุดพ้นจากจอมอสูรตนนี้ และเผยแพร่มันออกไปยังผู้คนที่ศรัทธา แต่ทว่าก็ไม่ใช้เรื่องง่ายเลยสำหรับปุถุชน ที่อยู่ในโลกอันเข้มข้นไปด้วยเวทย์มนต์ ไสยศาสตร์ และ ความโลภ อันไม่สิ้นสุด

พระพุทธเจ้า จึงจำต้องใช้ฤทธิ์ของพระองค์ในการจองจำปีศาจตนนี้ไว้ในศิลาแก้ว และตรัสรับสั่งกับเหล่าสาวกว่า หากพระองค์ยังอยู่ ปีศาจตนนี้จะมีพละกำลังที่อ่อนลงไป ความโลภ และ ไสยเวทย์ จะเสื่อมลง จนแทบมลายสิ้น เมื่อถึงวันที่พระพุทธองค์เสด็จปรินิพาน เพื่อกดพลังชั่วร้ายนี้เอาไว้ ให้เก็บมันไว้เคียงคู่กับ พระผาสุกัฐิ (กระดูกซี่โครง) ของพระองค์ ในดินแดนที่พุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองที่สุด และด้วยบารมีของพระองค์จะดึงผู้ศรัทธา มาสวดพุทธคุณเพื่อกดพลังนี้เอาไว้ไม่ให้ขาดแม้แต่ยามเดียว

นับตั้งแต่วันนั้นพระองค์ได้ตรัสสั่งสาวก ไม่ให้ส่งต่อนามของจอมมารให้ผู้ศรัทธาคนใดอีก ลบจากการบันทึก และตีแผ่ออกไปราวกับว่าไม่เคยมีจอมมารตนนี้ เพราะเพียงมีบุรษสตรีคนใดที่นึกถึง เอ่ยถึง โดยมีจุดประสงค์ถึงอัมพะกะ แม้เพียงชั่วขณะจิต เสี้ยวลมหายใจ นั่นเท่ากับว่าได้มอบพลังให้มันอย่างมหาศาล

‘ดูกรอานนท์ อัมพะกะ เป็นส่วนหนึ่งของสังสารวัฎ อันไม่จบสิ้น การจะกำจัด อัมพะกะ นั้น เปรียบเสมือนบุรุษคว้ามีดหมายเอาเพียงด้านคมมาเถือเนื้อที่ตากอยู่ โดยไม่หมายเอาด้านสันมีดติดมาด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น เมือภพชาติเกิดขึ้นแล้ว อัมพะกะ ย่อมมีขึ้นจากความไม่มี หนทางเดียวในการเอาชนะ อัมพะกะ คือการวางภพชาติไว้ด้วยธรรมของเรา’

’ดูกรอานนท์ จงอย่าวางใจเชื่อ ว่าการจองจำที่เราทำอันเกิดเป็นกรรมของเรา จะหมายจองจำปีศาจไปชั่วกัลป์ชั่วกัล เมือใดที่มนุษย์มีที่พึ่งเป็นความโลภ มีกิเลศเป็นสรณะ เมื่อนั้นจอมปีศาจจะหลุดพ้น อันเป็นธรรมชาติของเขา’

‘ดูกรอานนท์ จากนี้จนสิ้นพุทธกาล เพียงมีธรรมเราเป็นที่พึ่ง มีธรรมเราเป็นสรณะ ก็เพียงพอแล้วที่จะเอาชนะจอมปีศาจ โดยไม่ต้องรู้ถึงการมีอยู่ของมัน’

นับแต่วินาทีนั้น ชื่อของ อัมพะกะ ก็ค่อยๆ เลือนหายไป จากหน้าประวัติศาสตร์ หลักฐานของการมีอยู่มีเพียง ร่องรอยกิเลศที่ฟูมฟักในจิตใจมนุษย์ นำมาซึ่งอำนาจ ปัญญา ศาสตราวุท เข้าห่ำหั่นกันเยี่ยงสัตว์ป่า แม้ว่าต้นเหตุของความชั่วร้ายจะถูกจองจำก็ตาม

ศิลาแก้วถูกส่งต่อไปหลายที่ในประวัติศาสตร์ ทุกที่ที่มันไป หากไม่ใช่สถานที่ที่ผู้คนยึดมั่นในศีลธรรม และ พระธรรมของพุทธองค์ ขาดการสวด การปฎิบัติ อย่างต่อเนื่อง สถานที่นั้นก็จะเกิดเหตุอาเพศ สงคราม ไสย์เวทย์ มนต์ดำจะเจริญรุ่งเรือง ผู้คนจะมีจิตเสื่อมถอย และ ลางร้ายนานับประการ

จนกระทั่งมันเดินทางมาถึงดินแดนสุวรรณภูมิ ขณะที่พุทธศาสนากำลังแผ่ขยายมาถึงอาณาจักรฟูนัน กษัตริย์องค์ที่สามแห่งอาณาจักรได้สร้างเจดีย์หินครอบพระธาตุ และ ศิลาแก้วไว้ เจดีย์ขนาดใหญ่ที่ถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในช่วงเวลานั้น คาถาอาคม คำสาป เวทย์มนต์ ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอุปสรรคไม่ให้ใครเข้าถึงศิลาแก้วโดยง่าย และยึดเจดีย์นี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิคู่บ้านคู่เมือง ในการสักการะ พระผาสุกัฐิ (กระดูกซี่โครง) ของพุทธองค์

แต่แม้กระนั้นก็มิอาจต้านทานฤทธิ์ของจอมปีศาจ มันได้สร้างสงคราม การล่มสลาย ครั้งแล้วครั้งเล่า ดินแดนแถบนั้นเจริญรุ่งเรืองในเรื่องไสยเวทย์ มนต์ดำ ยาวไปจนสุดฝั่งตะวันออก ประชาชนตกเป็นทาส และ อยู่อย่างทุกข์ทรมาน หากแต่ว่าด้วยพลังอำนาจ มันได้ดลบัลดาลให้ขุมทรัพย์จากผู้คนทั่วทุกสารทิศ มารอยู่ภายในเจดีย์แห่งนี้โดยอาศัยความศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างหน้ามืดตามัวของผู้คน เพื่อหมายให้ ผู้ที่มีกิเลศตัณหาครอบงำจิตใจ หาทางพิชิตขุมทรัพย์นี้ และ ปลดปล่อยมันอย่างไม่ตั้งใจ และ

ตำนานเหล่านี้ค่อยๆเลือนไปจากประวัติศาสตร์ แต่ทว่าชื่อของอัมพะกะมิได้หายไปโดยสิ้นเชิง มันถูกส่งต่อโดยผู้นอกรีต นักเล่นแร่แปรธาตุ ในภาพลักษณ์และประวัติที่แตกต่างกันออกไป แต่ทั้งหมดจะสื่อถึงเทพเจ้าที่มอบสติปัญญา ความยิ่งใหญ่ สิ่งประดิษฐ์ เวทย์มนต์ และ ธรรมชาติในอีกมุมมองที่ต่างออกไปจากพุทธศาสนา ชื่อของมันถูกแปลไปในหลายภาษา เช่น གདྨ་ཕ་ (ดรัคฟา) ในภาษาทิเบต และ שַׁדוּר (ชาดูร์) ในภาษาฮีบรู

เมื่อถึงครานั้น โลกบรรพกาลจะกลับมาอีกครั้ง.........

———————————————————————

ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า

ท่านผู้เจริญทั้งหลายนี่จักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อเขาเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่

ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว

เขาจึงเกิดความอยากขึ้น

พระไตรปิฎกไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๑๑ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้า ๖๕ [๕๕]

...ปัจจุบัน...

“จะเห็นได้ว่า จากแผ่นจารึกเหล่านี้มีความแตกต่างเกิดขึ้นอย่างชัดเจน “

หญิงสาววัย 30 ต้นๆ โบกสะบัดเลเซอร์ในมือขณะชี้มันไปบนโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ที่ปรากฎรูปส่วนที่แตกออกของแผ่นหินสีแดงอมเทา รอยสลักบนนั้นถูกเรียบเรียงคล้ายตัวหนังสือ ที่ผ่านกาลเวลามานับหลายร้อยปีจากร่องรอยการสึกกร่อนแตกร้าว

ท่าทีของเธอเต็มไปด้วยความมั่นใจ ผิวขาวนวลที่ดูละมุนของเธอส่งผลให้เธอดูอ่อนกว่าวัยอยู่มาก หากแต่ดวงตาที่มีประกายแห่งความจริงจังขึงขังและอริยาบถต่างๆ เป็นสิ่งที่น้อยคนนักจะมีในวัยนี้ ผมสั้นดัดเป็นลอนอย่างหลวมๆ ถูกย้อมด้วยสีเทาอ่อนเพิ่มวอลลุ่มความน่าค้นหาได้เป็นอย่างดี

ท่ามกลางห้องสีเหลี่ยมจัตตุรัสขนาดใหญ่ที่มีที่นั่งคล้ายอัฒจรรย์รายล้อมขึ้นไปเป็นขั้นบันได นักศึกษาราว 50คน กำลังจดจ่อกับสิ่งที่ถูกแสดงอยู่เบื้องหน้า การค้นพบในจังหวัดบุรีรัมย์ที่อาจเปลี่ยนความเข้าใจแบบเดิมๆ และ มุมมองที่มีต่อศาสนาพุทธ

” ในคำสอนแบบดั้งเดิม เราเคยเข้าใจว่า เมื่อพรหม เกิดความอยากที่จะลองลิ้มรสของง้วนดิน และ ตอบสนองต่อความอยากนั้น นั่นคือครั้งแรกที่กิเลสเกิดขึ้น และค่อยๆ เปลี่ยนสถานะของพรหมมาเป็นสัตว์ซึ่งอาจเป็นต้นกำเนิดมนุษย์ในคติพุทธ “

หญิงสาวกดเลื่อนสไลด์

” แต่การค้นพบครั้งนี้บอกเราว่า มีคนบางกลุ่มที่เชื่อว่ากิเลศนั้นไม่สมเหตุผลที่จะเกิดในพรหม จะต้องมีตัวแปรบางอย่างที่หยิบยื่นความต้องการเหล่านี้ให้ “

” เหมือนงูในสวน เอเดน “นักศึกษาคนหนึ่งที่แถวหน้าสุดยกมือขึ้นแทรก หญิงสาวหันมามองหน้าเขาขณะหยุดพูด

” อื้ม…ก็ไม่เชิง “ หญิงสาววางเลเซอร์ในมือลงบนโต๊ะ “แต่ก็น่าสนใจมากๆ” เธอเหลือบตามองภาพแผ่นหินบนโปรเจคเตอร์และค้างอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จนทุกอย่างเงียบสงบหยุดนิ่ง

กริ้ง!!!!!

เสียงแหลมแหบอันเป็นสัญญาณการหมดเวลาดังขึ้น ดึงให้หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะหันมาทางนักศึกษาที่กำลังเก็บโน๊ตบุ๊ค และ อุปกรณ์การเรียนลงกระเป๋าอย่างคล่องแคล่ว เสียงกระดาษที่ถูกพลิกและกล่องดินสอที่ปิดยิ่งเพิ่มความมีชีวิตชีวาหลังจากห้องนี้เงียบอยู่นานนับชั่วโมง

“อย่าลืมรายงานเรื่องนี้ด้วย ไอเดีย แนวคิด ที่พวกเธอมี เราจะมาวิเคราะห์กันในครั้งหน้า” หญิงสาวรีบกล่าวในขณะที่นักศึกษาเริ่มเดินออกจากห้อง ก่อนจะหันไปเก็บสัมภาระบนโต๊ะ

“ผมได้คำตอบแล้ว ว่าระหว่างงานวิจัยกับการสอนคุณชอบอะไรกันแน่”

ชายหนุ่มในชุดสูทที่ดูมีเสน่ห์ เดินเข้ามาโดยที่เธอไม่ทันรู้ตัว ความภูมิฐานคือสิ่งแรกที่ปรากฎออกมาจากชายวัย 40 ต้นๆ พร้อมท่าทีที่แสดงถึงความมั่นใจและประสบการณ์ สูทสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างดีเขากันก้บเนคไทสีแดงเข้ม เสริมด้วยนาฬิกาข้อมือหรูหราและรองเท้าหนังที่เงาวับ

หญิงสาวหันมามองที่มาของเสียงผ่านไหล่ของเธอ ก่อนจะเม้มปาก เหลือบตามองบน ให้ชายที่เธอคุ้นเคย

“พวกเขาเป็นเครื่องมือในงานวิจัยของคุณสินะ” ชายหนุ่มผายมือไปทางนักศึกษา

หญิงสาวไม่ได้สนใจนัก ขณะเก็บสัมภาระของเธอต่อไป “ฉันแค่อยากให้พวกเขาได้คิดวิเคราะห์ คนหนุ่มสาวพวกนี้มีมุมมองที่แตกต่างเสมอ” เธออุ้มโน็ตบุ๊คไว้บนแขนข้างหนึ่ง ก่อนจะหันมาเห็นชายหนุ่มยืนเงยหน้ามองภาพที่แสดงอยู่บนโปรเจ็คเตอร์

“ไม่อยากจะเชื่อ ว่าที่นี่ยังใช้โปรเจคเตอร์”

“คงเป็นเพราะ….คนแบบพวกคุณ เข้าใจว่าคนที่เลือกเรียนคณะนี้ จะชอบของเก่าไปซะหมด “ เธอยิ้มแค่นๆ

“ไม่เอาน่าคุณรฐา อย่ามองผมแบบนั้น พวกเขาอยากให้ผมมาคุยกับคุณ เกี่ยวกับงานนี้ “

” ยังไม่มีอะไรคืบหน้า เดี๋ยวฉันจะติดต่อไปละกันนะ “ หญิงสาวเบือนหน้าหนี ตอบสวนไปแทบจะทันที

” มันเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ ให้ผมเลี้ยงข้าวคุณระหว่างที่เราคุยกันดีไหม “ เขาพยายามยื้อ

” ไม่เป็นไร ขอบคุณ ฉันมีสอนต่อช่วงบ่าย “ เธอเดินสวนออกไป อย่างไม่สนใจ จนชายหนุ่มต้องเบี่ยงตัวหลบ

” เซนโช! เป็นไง? “เสียงของชายหนุ่มดึงให้รฐาหยุดกึก ก่อนจะก้าวลับออกไปที่มุมประตูห้องเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด หญิงสาวนิ่งครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ถึงแม้จะเลิกลากันไปนานแล้ว แต่ด้วยสายงานทำให้ทั้งคู่ต้องพบกันอยู่บ่อยๆ เขาเป็นคนที่รู้จักเธอดีที่สุด รู้จักจุดอ่อนของเธอ อย่างน้อยที่สุดก็ดีที่สุดในกรมศิลป์ ท่ามกลางพวกงี่เง้าที่ต้องการผลาญงบไปวันๆ พัฒน์ คือไม้เด็ดที่พวกนั้นใช้ให้มาเจรจากับเธอเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน

หญิงสาวหันมามองชายหนุ่มที่เผยยิ้มแห่งความพอใจออกมา ขณะผายมือสองข้างและเอียงหัวเล็กน้อย เธอเป่าปากถอนหายใจอย่างผู้แพ้ "ชั่วโมงเดียว แค่ชั่วโมงเดียว"

แสงไฟอ่อนๆ จากโคมไฟที่แขวนอยู่เหนือบาร์ไม้เนื้อดีให้ความรู้สึกอบอุ่นและเป็นกันเอง เสียงกรุ๊งกริ๊งของจานชามที่ถูกวางลงอย่างระมัดระวังผสมผสานกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์จากวัตถุดิบ และสาเกที่หมักอย่างพิถีพิถัน ภายในร้านอาหารญี่ปุ่นที่ซ่อนตัวอย่างสงบนิ่งอยู่บนตึกสูงระฟ้าที่ขวักไขว่ไปด้วยผู้คนตลอดทั้งวัน

คุณลุงในชุดยูคาตะสีขาวแสดงรอยยิ้มที่ดูอบอุ่นออกมา ขณะแนะนำอาหารจานแรก เนื้อปลาทะเลน้ำลึกย่างที่มีผิวกรอบเป็นสีน้ำตาลทองวางอยู่บนเตียงของข้าวซูชิที่เรียงเป็นชั้นๆ นุ่มละมุน ท็อปปิ้งด้วยครีมวาซาบิที่เนียนละเอียดม้วนลายเส้นคล้ายกลีบดอกไม้ขนาดเล็กให้ความรู้สึกสดชื่น เพียงแค่สัมผัสทางตาก็รู้สึกได้ถึงรสชาติที่เกิดขึ้นบนปลายลิ้น

รฐา มองภาพอาหารตรงหน้าด้วยสายตาที่เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แต่ก็แฝงด้วยความรู้สึกสงบนิ่งและผ่อนคลาย

” ตั้งแต่พ่อไม่อยู่ ฉันก็ไม่ได้มาที่นี่อีกเลย “ เธอกล่าว

ชายหนุ่มคีบอาหารคำแรกเข้าปาก และแสดงสีหน้าพึงพอใจพร้อมเสียงถอนหายใจที่ดูผ่อนคลายออกมา “ผมแน่ใจว่าถ้าร้านนี้ยังเป็นของพ่อคุณ ทุกอย่างคงน่าประทับใจกว่านี้”

“ไม่หรอก” เธอคีบอาหารเข้าปากและค่อยๆ สัมผัสรสชาติอย่างช้าๆ จนเผลอหลับตาไปโดยไม่รู้ตัว เธอลืมตาขึ้นและส่งยิ้มให้เชฟที่รอการแสดงออกต่ออาหารของเขา “ทุกสิ่งทุกอย่างดีที่สุดอย่างที่มันควรจะเป็น” เธอกล่าว เชฟก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินไปทำอย่างอื่นต่อ

พัฒน์ ยู้ปากเล็กน้อยขณะผยักหน้าขึ้นลงเบา เขาพับกระดาษทิชชู่เช็ดปาก ก่อนจะกล่าวต่อ "จริงๆ แล้ว ที่ผมอยากคุยกับคุณ…" เขาหันมองหญิงสาวที่มองเขาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปทันที "ไม่ๆ ผมอยากให้คุณได้มาที่นี่จริงๆ ….เพียงแต่ผมต้องคุยเรื่องนี้ด้วย" เค้าส่ายหัวเบาๆ

” เอาล่ะ ว่ามาเถอะ “

"คุณรู้เรื่องในทิเบตแล้วใช่ไหม" เขากล่าว หญิงสาวขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางส่ายหัวเบาๆ ” ยังหรอ ผมคิดว่าพวกเขาเคยบอกคุณ “

หญิงสาวหันมามองหน้าพร้อมส่ายหัวอีกครั้ง เธอถอนหายใจออกมา กรมศิลป์มักจะมองข้ามหัวเธอ แม้งานนี้จะเป็นงานที่เธอรับผิดชอบโดยตรงก็ตาม

” ผมไม่แก้ตัวแทนพวกเขาแต่ หลังจากที่คุณถอดรหัสอักษร ปัลละโว้ พวกนั้นได้ “

“ปัลละวะ” เธอเน้นเสียง “แค่อักษรที่มีรากมาจาก สันสกฤต และ คล้ายปัลละวะ*๑”

“โอเค “ ชายหนุ่มยกไหล่เล็กน้อย อย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “เราพบว่าความหมายของพวกมันสอดคล้องกับแผ่นศิลาที่พึ่งค้นพบในทิเบต ไม่นานมานี้” เขายื่นซองเอกสารให้เธอ

เธอเปิดดูรายงานต่างๆ ในกระดาษ สีหน้าของรฐาดูจริงจังขึ้น หญิงสาวเหมือนตกอยู่ในภวังค์แห่งความไคร่รู้ ข้อมูลและรายงานเกี่ยวกับการค้นพบในทิเบตถูกพลิกไปหน้าแล้วหน้าเล่าในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที คิ้วของเธอขมวดเข้าหากันแน่นขณะกวาดสายตาอย่างคร่าวๆ

"มันมหัศจรรย์มาก “เธอพูดลอยๆ ” เราจะขอตัวอย่างมันมาได้ไหม"

ชายหนุ่มที่เห็นท่าทีของเธอจึงกล่าวขึ้น “ทำไมคุณถึงหลงไหลในเรื่องราวพวกนี้ขนาดนั้น ผมไม่เข้าใจ”

หญิงสาวหยุดการกระทำ พลางหันหน้ามองชายหนุ่มในทันที

"คุณรู้ไหมว่าเราพบอะไร"

ชายหนุ่มคิดขณะส่ายหัวเล็กน้อย” สำหรับใครล่ะ ถ้าผมก็หลักฐานทางประวัติศาสตร์ กับ เรื่องเล่าอีกเรื่อง “

” ให้ตายซิ ไม่น่าเชื่อว่ากรมศิลป์ เต็มไปด้วยคนอย่างคุณ “หญิงสาวถอนหายใจออกมา ” นี่ไม่ใช่แค่หลักฐานที่แสดงถึงอาณาจักรฟูนัน*๒อย่างเดียว แต่มันอาจเป็นการค้นพบที่จะเปลี่ยนการตีความคำสอนของพระพุทธเจ้าไปโดยสิ้นเชิง"

” ผมรู้ๆ “ ชายหนุ่มพยายามแก้ตัว ” แต่ที่ผมพยายามจะบอกคุณ….ตอนนี้ งานนี้ คนที่สนใจมันจริงๆ มีแค่คุณกับทีมของคุณ ส่วนพวกนั้นต้องการแค่ใช้งบให้น้อยที่สุด และถ้าผลงานออกมาดี มันก็จะกลายเป็นงานของพวกเขา “

เธอนิ่งคิดขณะสงบสติอารมณ์ไม่ให้ระเบิดออกมา แต่ยังคงความนิ่งอย่าวผู้มีวุฒิภาวะ จนไม่ได้สังเกตุเมนูถัดไปที่ยกมาวางเบื้องหน้าของเธอ

“ผมรู้ว่างานนี้สำคัญกับคุณ แต่มันอาจจะ…” พัฒน์เหลือบตามองเธอ “ไม่เหมาะกับเรา”

ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง ขณะรอปฎิกริยาจากเธอ หญิงสาวหลับตาเพื่อสลัดความคิดออกจากหัว พลางเสยผมที่ปรกลงมาจากการก้มเมื่อครู่  “คุณจะบอกอะไรฉัน”

ชายหนุ่มยื่นแฟ้มอะไรบางอย่างให้กับเธอ บนแฟ้มระบุข้อความ

‘H.E.

Heritage Explorers co., ltd.

Institute of Archaeology and Heritage Research’

“คณะกรรมการมีมติจะให้ หน่วยงานเอกชนต่างชาติที่เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลโปรเจกต์นี้แทน พวกเขาอยากได้ข้อมูลทั้งหมดที่เรามี”

สายตาของเธอจ้องมองแฟ้มเอกสารสีดำที่พัฒน์เพิ่งวางลงตรงหน้า ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัยและกังวล ก่อนที่ความไม่พอใจของเธอจะไม่อาจซ่อนไว้ได้อีกเธอรีบเก็บของทั้งหมดลงในกระเป๋าสะพาย

เก้าอี้เลื่อนออกจากโต๊ะด้วยเสียงกระทบที่คมชัด ดึงดูดสายตาของคนในร้านทั้งหมดให้หันมามอง เธอยืนมองพัฒน์ด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างที่สุด

“คุณเลือกสถานที่ได้แย่มาก”  เธอพูดออดมาอย่างเรียบนิ่งแต่ทว่าเต็มไปด้วยอารมณ์เมื่อมันไปถึงคู่สนทนา

รฐาเดินออกจากร้านขณะพัฒน์พยายามอธิบาย แต่คำพูดของเขาถูกกลืนไปในความเงียบงันของความตึงเครียดที่เกิดขึ้น จนหญิงสาวเดินพ้นประตูไป

ผิวเนียนละมุน เปล่งประกาย สะท้อนแสงอ่อนๆ จากหลอดไฟที่ฝังบนเพดานเหนือหัว ขณะที่เธอเคลื่อนไหวผ่านส่ายน้ำ พลางครุ่นคิดทบทวนเรื่องราวในวันนี้ ดวงตาของเธอหลับพริ้มและใบหน้าที่แสดงถึงความผ่อนคลาย โค้งเว้าของช่วงเอวและสะโพกถูกน้ำที่ไหลรินจากฝักบัวเผยให้เห็นในความละเอียดและความสมบูรณ์แบ

ไม่บ่อยครั้งที่บทสนทนาของเธอและเขาจะจบลงได้ด้วยดี แต่ไม่ใช่ครั้งนี้ เธอพยายามแล้ว พยายามมากกว่าทุกครั้ง ถ้ากรมศิลป์ไม่ใช้พัฒน์เป็นเครื่องมือและหลบอยู่ข้างหลังเขา บางทีความสัมพันธ์ในฐานะเพื่อนอาจจะดีขึ้นกว่านี้ พวกเขาใช้ความหลงไหลเดียวของเธอเพื่อโยนงานที่ไม่มีใครสนใจมาให้เธอ และเมื่อเธอทำให้ทุกคนเข้าใจถึงความสำคัญของงานแบบที่เธอเข้าใจได้ พวกเขาก็จะกีดกันเธอออกจากงานเหล่านั้น มันเป็นแบบนี้มาเสมอ

เสียงฟ้าร้องและเสียงฝนที่กระหน่ำตกกระทบกระจกหน้าต่างสร้างบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายภายนอก แต่ภายในกระจกบานใหญ่บริเวณโถงกลางของคอนโดชั้นบนสุดกลับยังคงสงบเงียบ คอนโดหรูใจกลางเมืองที่บ่งบอกถึงฐานะของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี แต่ทว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นในกรณีของ รฐา นี่คือสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อผู้ล่วงลับของเธอทิ้งไว้ให้ ก่อนที่ทรัพย์สินทั้งหมดจะโดนธนาคารยึดไป งานสอน และ งานวิจัย ที่ทำอยู่ นอกจากเงินจะแค่พอสร้างสภาพคล่องให้พอประทังชีวิตแล้ว ยังมีบ่อยครั้งที่เธอต้องควักกระเป๋าเอง ด้วยรองบที่จะเบิกไม่ไหว ไม่ต้องพูดถึงการได้กินอาหารระดับ โอมากาเสะ เช่นวันนี้ที่ราคาเฉียดแสน  ในเมืองกรุงฯที่ค่าครองชีพสูงลิ่บนี้ เธอเป็นเพียงชนชั้นกลางที่มีคุณภาพชีวิตดีก็เท่านั้น

รฐา เดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีไอน้ำบางเบาลอยล่องตามตัว ผมของเธอยังคงเปียกชื้นไหลลงมาตามแนวเส้นผมลงบนชุดคลุมอาบน้ำสีขาวเนื้อนุ่มและอบอุ่น ที่รัดไว้ด้วยสายคาดเอวอย่างกระชับพอดี

เธอยืนอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งที่มีครีมและเซรั่มเรียงรายอย่างเป็นระเบียบดังเช่นทุกวัน ครีมเนื้อเนียนนุ่มถูกบีบลงเป็นจุดเล็กๆ บนใบหน้าของหญิงสาว นิ้วเรียวเล็กของเธอเกลี่ยมันให้ทั่วใบหน้าอย่างบรรจง

ซองเอกสารสีดำที่เธอไม่ได้คิดจะเปิดมันดูปรากฎขึ้นในกระจก มันกระจัดกระจายอยู่บนเตียง จากการโยนอย่างไม่ใส่ใจของเธอตอนมาถึง หญิงสาวหยุดชะงักไปเพียงครู่เมื่อเห็นนามบัตรสีดำที่เผยตัวออกมาจากซองเพียงเล็กน้อย

เธอหยุดการกระทำต่างๆ ในทันที ก่อนจะค่อยๆ หันไปเอื้อมหยิบ นามบัตรสีดำนั้นขึ้นมาดู

นามบัตรธรรมดาที่ระบุชื่อของใครบางคนพร้อมช่องทางการติดต่อ หากแต่สิ่งที่คุ้นชินเป็นอย่างยิ่งกลับอยู่ที่มุมขวาล่างของมัน ‘สัญลักษณ์ต้นไม้ที่มีดวงตาโอบล้อมด้วยปีกอยู่ตรงกลาง’

หญิงสาวนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะละสายตาจากมันไปสู่พายุฝนภายนอกหน้าต่าง เส้นแสงสีขาวฉีกผ่านความมืดยามค่ำคืนให้สว่างวาบสาดเข้ามาบนผิวสีครีมอ่อนของเธอ เผยให้เห็นรอยสักสัญลักษณ์แบบเดียวกันที่ด้านหลังไหล่ ก่อนที่เสียงคำรามกัมปนาทของพลังงานจะกังวาลลั่นตามมาติดๆ

สัญลักษณ์ของลัทธิลึกลับ ลัทธิที่เคยมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอ ลัทธิที่เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกมาเนิ่นนาน………

๑.อักษรปัลละวะ (Pallava script) เป็นระบบการเขียนที่ใช้ในอินเดียในช่วงศตวรรษที่ 4 ถึง 9 โดยเฉพาะในภูมิภาคทางตอนใต้ของอินเดียและบางส่วนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อักษรปัลละวะมีความสำคัญในประวัติศาสตร์การเขียนเนื่องจากเป็นบรรพบุรุษของอักษรหลายชนิด เช่น อักษรธมิล (Tamil) , อักษรฮินดี (Grantha) , และอักษรสิงหล (Sinhala) อักษรนี้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาจนกลายเป็นระบบการเขียนที่ใช้ในภาษาและวรรณกรรมต่าง ๆ ในภูมิภาคดังกล่าว

๒.ฟูนัน (Funan) เป็นอาณาจักรโบราณที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่เป็นส่วนหนึ่งของกัมพูชาและเวียดนามในปัจจุบัน อาณาจักรนี้มีความเจริญรุ่งเรืองในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ถึง 6 และเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บทที่ 1 สุขสันต์วันโสด

แสงเหลืองนวลจากโคมระย้าตัดผ่านไอบางๆ ที่ลอยขึ้นจากสำรับอาหารบนโต๊ะไม้ตัวกลม สีของไม้แก่ที่ถูกเคลือบจนเงางามขับให้ร่องรอยแกะสลักรูปมังกรชันเจนสง่างาม ตระหง่านอยู่บนบานประตูทั้งสองที่ปิดสนิทจนเสียงจอแจที่อยู่ภายนอกไม่อาจเล็ดรอดเข้ามาได้ ผนังทั้งสี่ด้านทำจากไม้เนื้อดีที่ถูกเซาะร่องเป็นลาย ลูกฟัก*๑ จรดคิ้วไม้ทั้งด้านบนและล่าง ที่ด้านหนึ่งถูกเจาะเป็นช่องขนาดใหญ่ สำหรับแขวนรูปเทพเจ้ากวนอูทรงม้า อยู่ทางด้านลึกสุดของห้อง

“เอ้า! ยืนทำไรกันอยู่ เจี้ยๆๆ” ชายมีอายุร่างท้วมที่มีผมล้านไปถึงกลางหัวแกว่งตะเกียบเรียกบอดี้การ์ด 2 คนที่ยืนสงบนิ่งอยู่ทางด้านหนึ่งของห้อง ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะแสดงท่าทีเก้ๆ กังๆ ด้วยไม่แน่ใจกับคำสั่งของผู้เป็นเจ้านาย

" อั้วบอกให้มากิน" เขาเน้นเสียงเรียกซ้ำ ก่อนจะหันไปหัวเราะโพล่งอย่างโล่งอกออกมา กับชายหนุ่มในชุดสูทอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ "ขอโทษนะครับอาจาร์ย ไอพวกนี้มันไม่รู้เรื่องอะไรเลย" เขาวางท่าทีอย่างคนมีอันจะกิน ก่อนจะขยับนาฬิกาข้อมือให้แน่นขึ้นด้วยกลัวว่ามันจะเลอะอาหารตรงหน้า

ชายหนุ่มเพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยออกมาด้วยท่าทีที่สุภาพ ทั้งใบหน้าและอายุของเขาอยู่ในวัยที่พอเหมาะพอควรในการสร้างความน่าเชื่อถือ หนวดและเคราสีเข้มประดับใบหน้าเสริมโหงวเห้งของความเด็ดเดี่ยวและเฉียบแหลม เสื้อเชิ้ตตัวในถูกปลดกระดุมออก 1 เม็ด ให้เปิดเผยช่วงอกเล็กน้อย เพื่อแสดงถึงความผ่อนคลาย แต่ยังคงความมืออาชีพอยู่ในที ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเอาเนื้อที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ และปรุงรสด้วยซอสเปรี้ยวหวาน ชิ้นที่เล็กที่สุดในจานมาไว้ในจานของตัวเอง ขณะบอดี้การ์ดทั้งสองย่องดอดเข้ามาเลื่อนเก้าอี้ที่ฝั่งตรงข้ามอย่างเบามือที่สุด

"อาจาร์ยณภัทรครับ อั๊วต้องขอบคุณอีกครั้งจริงๆ นะครับ ถ้าไม่ได้อาจาร์ย ไองูเห่าในสภา พวกนั้นคงเล่นงานอั๊วกับลูกชายไปแล้ว" สำเนียงไทยจีนถูกกล่าวออกมาอีกครั้งอย่างปลื้มปิติ

"ไม่เป็นไรหรอกครับท่านเรวัช มันเป็นหน้าที่ของผม” ณภัทรกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่แฝงอยู่ "แต่ท่านอย่าลืมเรื่องสุขภาพนะครับ ยังไงซะก็ยังวางใจไม่ได้จนกว่าดาวอังคารจะเคลื่อนออกจากเรือนอริ ระหว่างนี้ผมได้ให้ข้อมูลแนวทางกับเลขาท่านไปแล้ว คงจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย”

"ไอหยา"ชายแก่อุทาน "เรื่องนั้นให้เป็นหน้าที่ของหมอเถอะอาจาร์ย แค่อั๊วได้ตำแหน่งก็เหลือเชื่อแล้ว"เขายังคงคีบอาหารเข้าปาก ขณะที่มือข้างหนึ่งถือถ้วยข้าวรองไว้ใต้คาง

ณภัทรเหลือบตามองชายแก่อีกครั้ง ใบหน้าของเขาแสดงถึงความเข้าใจในความดื้อรั้นของท่านเรวัช แต่เขาก็ไม่สามารถกล่าวอะไรได้มากกว่านี้

"เอาล่ะครับ ถ้าท่านว่ามาอย่างนั้น ขอแค่ให้ระวังไว้บ้าง ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล" ณภัทรตอบพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยและคีบอาหารเข้าปาก

บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง มีเพียงเสียงเคี้ยวอาหารและเสียงตะเกียบกระทบกับจานเบา ๆ เท่านั้นที่แทรกผ่านความเงียบ

"อาจารย์ณภัทร" เรวัชเริ่มพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เคี้ยวอาหารเสร็จ "อั๊วสงสัยเรื่องหนึ่งนะ ทำไมดวงดาวถึงมีอิทธิพลกับชีวิตคนเราได้มากขนาดนี้"

ณภัทรวางตะเกียบลงและหันมามองเรวัชอย่างตั้งใจ เขาทิ้งระยะไว้ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว "ดวงชะตาเป็นเรื่องของการพยากรณ์ที่สะท้อนถึงแนวโน้มและสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในชีวิต มันไม่ได้บอกว่าชะตาชีวิตเราจะเป็นอย่างไรโดยแน่นอน แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราเตรียมตัวและปรับตัวได้ดีขึ้น"

เรวัชพยักหน้าเบา ๆ "อั๊วเข้าใจ แต่บางครั้งมันก็เหมือนกับว่ามันมีอิทธิพลจนน่ากลัว"

ณภัทรยิ้ม “นั่นเป็นความเข้าใจที่พบบ่อย แต่จริง ๆ แล้ว ชีวิตของเรายังอยู่ในมือของเรา การกระทำและการตัดสินใจของเรายังมีความสำคัญที่สุด"

ท่านเรวัชเบ้ปากพลางพยักหน้าเบาๆ อย่างคนเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจในเวลาเดียวกัน ระหว่างคิดทบทวนคำพูดของณภัทร ขณะนั้นบอดี้การ์ดทั้งสองคนที่นั่งตรงข้ามก็หันมามองหน้าเจ้านายของตนอย่างเงียบ ๆ

” ส่วนเรื่อง…. “ ณภัทรกล่าวขึ้นและหยุดชะงักไปกลางอากาศแบบกระทันหันจนทุกคนในห้องสังเกตุได้

” …..ส่วนเรื่องเทสล่าตัวใหม่ ที่ท่านเรวัชเคยบอกว่าจะให้เป็นโบนัสหากได้รับตำแหน่ง ให้ผมไปรับที่ไหนดีครับ “  เสียงเบาๆ ดังเข้ามาผ่านหูฟังไร้สายของณภัทร เสียงที่คอยบอกข้อมูลให้ชายหนุ่มพูดมาตลอดการสนทนา

“เรื่องอะไรหรอครับ” ท่านเรวัชชะงักตาม ขณะมองหน้าชายหนุ่ม ในห้วงสูญญากาศที่เกิดขึ้นในห้องนี้ เขาค้างอยู่อย่างนั้นเพื่อรอคำตอบจากชายหนุ่ม

ณภัทรส่งยิ้มอย่างไม่มั่นใจ พลางเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำขึ้นดื่มเพื่อยื้อเวลาในการตัดสินใจ สายตาของเขากวัดแกว่งหาราวกับหาอะไรบางอย่าง ความกดดันค่อยๆคุกรุ่น จนเหงื่อเริ่มซึมออกมาบนหน้าผากในช่วงไม่กี่วินาที

 เสียงในหูฟังยังคงต่อเนื่อง “พูดไปเถอะน่า เขาเป็นคนสัญญากับเราเองนะ”

ณภัทรสูดหายใจลึก พยายามกลบความกังวลที่เกิดขึ้น ก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกไป “เรื่องดวงดาวทั้งหมด….ขอให้วางใจผมก็พอครับ” ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างโล่งอก ขณะเหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมาบนฝ่ามือ

เสียงหัวเราะคิกคักดังออกมาจากปลายสายที่บัญชาการเขาเมื่อครู่ กฤต ชายหนุ่มวัย 24 ปี นอนกลิ้งอยู่บนโซฟาก่อนจะกดตัดสายจากณภัทรไปอย่างไม่ใยดี

นับตั้งแต่ฟื้นจากอุบัติเหตุเมื่อ 4 ปีก่อน ณภัทรคือคนที่เปรียบเสมือนญาติคนเดียวที่เขามี ความทรงจำของเขาส่วนใหญ่ถูกทำลายในเหตุการ์ณครั้งนั้น วิชาความรู้ทางด้านโหราศาสตร์คือหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างชัดเจน จากเด็กวัดจนๆจากเมืองกาญที่เดินทางเข้ามากรุงเทพฯ และ สูญเสียความทรงจำไปจนเกือบหมด ในเมืองพุทธเช่นนี้เค้าใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีในการสร้างเม็ดเงินจำนวนมหาศาลจากการเป็นที่ปรึกษาด้านโหราศาสตร์ให้กับชนชั้นสูง เศรษฐี นักธุรกิจ และ นักการเมือง

ทั้งสองผสานงานกันได้อย่างดีเยี่ยม ถีงแม้ กฤต จะทำอะไรช็อตฟีลอยู่หลายครั้ง แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าความรู้ทางโหราศาสตร์ของเขานั้นมีมุมมองที่ค่อนข้างแตกต่างจากคนอื่นๆ ในท้องตลาด แต่ด้วยอายุที่น้อย กับทักษะในการเข้าสังคมที่มีอาจไม่เหมาะกับงานที่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ หน้าที่นี้และการสร้างความประทับใจ จึงเป็นหน้าที่ของ ณภัทร โดยเฉพาะในชนชั้นสูงด้วยแล้ว ณภัทรเป็นคนที่มีทักษะที่น่าทึ่ง เมื่อส่วนผสมสองอย่างนี้รวมกัน จึงออกมาเป็นธุรกิจที่ยากจะหาใครมาเทียบ

กฤต นั่งเอนตัวบนโซฟาหนังสีขาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง เขาเหยียดขาออกและเอนหลังพิงพนัก มือข้างหนึ่งถือลูกแอ๊ปเปิ้ลที่ถูกกัดจนแหว่ง ส่วนอีกข้างกำลังเคาะปากกาเล่นเบาๆ บนตัก ดวงตาของเขาเหม่อลอยมองเพดานสูงสีขาวที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่าย พลางวาดสายตาไปบนราศีจักรที่ปรากฎอยู่ด้วยเครื่องฉายภาพโฮโลแกรม ราวกับกำลังนอนดูดาวในยามราตรี

ความผ่อนคลายแสดงออกมาผ่านดวงตาที่มีประกายแห่งความหลงไหลอย่างเต็มเปี่ยม แสงแดดอ่อนๆ พาดตัวลงบนใบหน้าของชายหนุ่มผ่านบานหน้าต่างเกิดเป็นริ้วลายที่เคลื่อนไหวช้าๆ ตามหมู่เมฆด้านนอก เขาขยับตัวเบาๆ ขณะสมาธิหลุดไปในห้วงภวังค์แห่งการวิเคราะห์ การดำเนินไปของเวลาหยุดลงอย่างช้าๆเมื่อดวงดาวในจานราศีจักรเริ่มขยับและพร่างพราวตามจินตนาการของเขา ราวกับมีชีวิตขึ้นมา และเมื่อทุกอย่างหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ ดวงตาเรียวกลมของเค้าก็กระพริบเป็นครั้งแรกในรอบหลายนาที

กฤต ยกแอ๊ปเปิ้ลขึ้นมากัด โดยที่ยังเงยหน้าค้างอยู่อย่างนั้น เค้ายกปากกาสีเงินที่ทำจากโลหะขึ้นมาระดับอก ก่อนจะจรดมันลงไปบนอากาศธาตุ ที่เพียงวินาทีต่อมาก็กลายเป็นภาพโฮโลแกรมสีเหลี่ยม และค่อยๆ เผยข้อความที่เขาจดลงไปตามปลายปากกา

 

เสียงเปิดประตูดังขึ้นทำลายความเงียบสงบในห้องโดยสิ้นเชิง ก่อนจะตามมาติดๆ ด้วยคำทักทายจากผู้มาเยือน

 

"มึงรู้ได้…." ณภัทรพูดเสียงดัง ก่อนจะลดระดับเสียงจนหายไปแทบจะในทันทีที่ประตูเปิดออกมากพอให้เห็น กฤต ที่กำลังชี้มาที่เขาพลางทำเสียงชู่เบาๆ เป็นสัญญาณให้เขาเงียบ ขณะที่ยังค้างอยู่ในท่าเดิม

เขาค่อยๆปิดประตูอย่างเบามือที่สุด ขณะถอดเสื้อสูทตัวนอกอย่างระมัดระวัง

วูบ!

กฤตใช้มืดปัดภาพโฮโลแกรมตรงหน้า ก่อนที่ข้อความ ’ บันทึกแล้ว ‘ จะเด้งขึ้นมา ชายหนุ่มดีดตัวขึ้นจากโซฟาอย่างคล่องแคล่ว แล้วหันไปมองพี่ชายต่างสายเลือด ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์หินอ่อน ชายหนุ่มแบมือเป็นการขออะไรบางอย่าง

“มึงรู้ได้ไงวะ ว่าเจ๊กขี้งกนั่นมันจะให้จริงๆ” ณภัทรยิ้มด้วยสีหน้างงๆ เป็นอีกครั้งที่เค้าไม่ทันเกมของผู้เป็นน้องชาย ก่อนจะโยนวัตถุบางอย่างให้ กฤต “กูยังไม่ได้ทวงสักคำ อยู่ดีๆ มันก็พูดขึ้นมาเอง”

กุญแจรถหรูยี่ห้อดังตกลงในมือ กฤต อย่างพอดิบพอดี ชายหนุ่มเบ้ปากพลางยกไหล่อย่างพอใจขณะมองมัน ก่อนจะหันไปหาพี่ชายและใช้นิ้วชี้เคาะไปบนขมับด้วยท่าทีเย้ยหยัน อย่างผู้ชนะ “ไม่มีอะไร ก็เขาเคยพูดไว้“ กฤตกล่าว

”แล้วไอบ้าที่ไหน มันจะไปกล้าทวงให้มึงวะ“ ณภัทรยกน้ำขึ้นจิบอย่างสบายใจเพียงครู่ก่อนที่หางตาจะเห็นวัตถุบางอย่างลอยพุ่งตรงมาหาเขา ชายหนุ่มปล่อยมือจากขวดน้ำจนหกกระจายเต็มเคาน์เตอร์ เพื่อรับกุญแจรถที่ถูกโยนกลับมา “ไอเวร…”

“อย่างแรกไม่เกี่ยวกับผมเลย” กฤต เดินอ้อมมาที่เคาน์เตอร์ “ที่นัดให้พี่ไปคุยวันนี้ เพราะดวงพี่กับมันสมพงษ์กัน ก็เลยคิดว่าต้องใช่แน่ๆ อย่างที่สองพี่เอามันไปขาย แล้วเอาเงินมาแบ่งกันน่าจะเวิร์คกว่า เราไม่มีที่จอดอีกแล้ว”

ชายหนุ่มหยิบถุงกระดาษหลังเคาน์เตอร์ ก่อนจะส่งมันให้พี่ชายที่ทำหน้างงๆ อยู่ๆ “อย่างที่สาม” เค้าพลิกถุงกระดาษให้เห็นข้อความบนนั้น “สุขสันต์วันโสด”

ณภัทรส่ายหัว ขณะสลับสายตาระหว่างน้องชายกับถุงนั่นด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ “ได้ไงวะ” เขาผายมือออกสองข้างด้วยความช็อค

กฤต ชี้ไปที่แท็บเล็ตที่วางอยู่สุดขอบเคาน์เตอร์ที่ด้านหนึ่ง “ปกติมันดังทั้งวันจนน่ารำคาญ”

“ก็กูปิดเสียงมันไว้”

“ใช่ และมันสั่นรัวๆ เหมือนกับว่ายัยนั่นจะกระโดดออกมา”

สายตาทั้งคู่สบกันในขณะที่แววตาคนนึงไม่อยากจะเชื่อ ส่วนอีกคนนึงมองอย่างผู้ชนะ ณภัทรเป่าปากออกมา

“แต่มันก็ไม่น่าเป๊ะขนาดนี้” ณภัทรผายมือไปที่กฤต “มึงยังใส่ชุดนอนอยู่เลย ออกไปซื้อไอนี้มาตอนไหนวะ” เค้าชี้ไปที่ถุงกระดาษ

กฤต คลี่ยิ้มออกมา “พี่ไม่ต้องห่วง ผมไม่ใช่พ่อมดหรอก” เขาดึงถุงกระดาษมา ก่อนจะแกะมันออกเพื่อหยิบของข้างใน

“จริงๆผมซื้อไว้ตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว" กฤตยื่นกระดาษสีชมพูขนาดเท่านามบัตรให้พี่ชาย “ราหูอยู่ในเรือนปุตตะ" ชายหนุ่มเหลือบตามองบน  ”บอกเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ว่ายังไงก็เจ๊ง รอจังหวะจะเอาให้อยู่พอดี แต่บังเอิญวันนี้แท็บเล็ตพี่เต้นระบำซะก่อน ก็เลยคิดว่ายายนั่นน่าจะกำลังแก้ตัวอยู่”

ณภัทรยังค้งอ้าปากข้างอยู่อย่างนั้น ขณะรับการ์ดมา บนนั้นมีโลโก้ที่ดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง และข้อความภาษาอังกฤษ ‘Tinder GiftCard เค้าพลิกมันไปอยู่เกือบนาที

"เชื่อเถอะว่า ผมเดาจากนิสัยของยัยนั่นมากกว่า ดวงดาวด้วยซ้ำ" กฤต ย้ำ พยามใช้คำพูดที่ไม่ซ้ำเติมในแบบของเขา หลังจากที่เขาพยายามเตือนพี่ชายมาตลอดเกี่ยวกับหญิงสาวที่เจอในบาร์ แม้มันจะดูเป็นไปได้ดีในช่วงแรก แต่ในที่สุด ณภัทร ก็โดนนอกใจตามที่ กฤต คิดไว้

"เออๆ" ณภัทรคอตกด้วยยอมจำนน "กำลังคิดอยู่ว่าจะบอกมึงยังไงพอดี"

"แล้ววันนี้เป็นไงมั่ง" กฤต เปลี่ยนเรื่อง

ณภัทรยกมือทั้งสองขึ้นลูบหน้าเพื่อเปลี่ยนความคิด พลางถอนหายใจออกมาเหือกใหญ่ 

"ก็ดี" ณภัทรตอบด้วยเสียงเอื่อยๆ "เขาบูชาเราอย่างกับพระเจ้า"

กฤต ยิ้มอย่างพอใจขณะหันไปเปิดตู้เย็น หยิบนมแกลลอนใหญ่ออกมารินใส่แก้ว

"เขาดวงดีเนอะ" ชายหนุ่มยกนมขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะลดแก้วลง เหลือไว้เพียงคราบเหนือริมฝีปาก

"ดีกับผีน่ะสิ ถ้าไม่เจอเราคงไม่ได้มานั่งยิ้มแป้นอย่างวันนี้" ณภัทรปลดกระดุมแขนเสื้อสองข้างออก ให้สบายมากขึ้น ก่อนจะขยับเนคไทให้คลายอย่างหลวมๆ

"พี่เข้าใจผิดแล้ว" กฤตหันมองพี่ชาย "การมีงูเห่าอยู่ในพรรคของเขาคือหนทางเดียวที่เขาจะได้ตำแหน่งต่างหาก"

"ยังไงวะ?" เค้าฟุบหน้าลงบนเคานท์เตอร์ อย่างไม่สนใจนัก 

"ก็ถ้าเขาไม่มีหลักฐาน ว่าพรรคไทยร่วมไทย พยายามซื้อตัวงูเห่า พรรคไทยร่วมไทยคงไม่โดนยุบ และรับรองว่าคงไม่มีใครยกมือให้เขามากมายขนาดนี้ เพราะคะแนนที่เทมาคือลูกพรรคที่เหลืออยู่"

"มองจากมุมมึงมันง่ายเสมอหรือไง"

"งูเห่าคือบันไดสู่อำนาจ แม้จะเป็นงูเห่าที่จ้องจะกัดตัวเขาเอง ขอแค่เรารู้ทันดวงดาวก็พอ" กฤต นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามพี่ ก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหล่พี่ชาย "งั้นอะไรที่มันแย่ๆ ก็อาจจะเป็นบันไดให้พี่เจอเรื่องราวดีๆก็ได้  เพราะมีโหราธิบดีอันดับ 1 อยู่ตรงนี้ทั้งคน" เขาหยุดคิดไปแปปนึงก่อนจะกล่าวต่อ "เช่นเรื่องยัยนั่น" พลางเบะปากเล็กน้อย

ณภัทรเงยหน้าขึ้น เหมือนนึกอะไรได้ "มึงนี่มันโชคร้ายจริงๆเนอะ หลวงตาอุส่าให้วิชามาขนาดนี้ เสือกดูดวงตัวเองไม่ได้อยู่คนเดียว" เขาหัวเราะในลำคอด้วยสีหน้าที่ต้องการหยอกล้อน้องชายกลับ

มันแทบจะเป็นเรื่องเดียวที่ค้างอยู่ในใจ กฤต คำพูดนั่นทำให้เขามีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ไม่ว่าจะลองยังไง ศาสตร์ไหน วิชาใด วันเกิดของเขาที่แสดงอยู่บนบัตรประชาชน เมื่อเอามาคำนวนทางโหรศาสตร์ เป็นดวงเดียวที่ผลออกมาราวกับเป็นคนละคน ทั้งบุกคลิกนิสัย พื้นดวง ไม่มีอะไรตรงตามลักษณะของเขาสักอย่าง แม้จะคำนวนดาวจร เพื่อดูดวงในอนาคตก็ให้ผลที่ตรงเพียงแค่ 10% จากสถิติที่เขาจดไว้

แม้เขาจะช่วยผู้คน และ สร้างเงินได้มากมาย แต่ตัวเขาเป็นเพียงคนเดียว ที่ไม่สามารถล่วงรู้ถึงอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ไม่ว่าจะเป็นการคาดการ์ณตามหลักโหรศาสตร์หรือความทรงจำก็ตามแต่ ทุกสิ่งทุกอย่างมันหายวับไปอย่างไร้ตรรกะและเหตุผล......

"แล้วเรื่องสมัครเรียนเป็นยังไงบ้าง" ณภัทรก้มดูนาฬิกาข้อมือ ก่อนจะเงยหน้ามองน้องที่นั่งเหม่อลอยไปเมื่อครู่ เขาดีดนิ้วดัง เป๊าะ! สองสามครั้งเพื่อเรียกสติน้องชาย

ทันทีที่เสียงดีดนิ้วพุ่งตรงสู่โสตประสาท กฤต ก็หันมาทางพี่ชายในทันทึ "ว่าไงนะ" ชายหนุ่มทำหน้างงๆ

"เรื่องเรียน?" ณภัทรถามซ้ำ

กฤตเหลือบตาทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะลากเสียงยาว "อ่าาา....ผมคงเป็นนักเรียนมัธยมต้นที่แก่ที่สุด" 

"ไม่ใช่เรื่องนั้นโว้ย" ณภัทรถอนหายใจ "สมัครหรือยัง" ชายหนุ่มย้ำ หลังจากที่เคี่ยวเข็ญให้น้องชาย ลงสมัคร การศึกษานอกโรงเรียนมาแรมปี ด้วยความที่ทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้าที่โตมาโดยอาศัยข้าวก้นบาตร  ทำให้การศึกษาส่วนใหญ่มาจากลูกพระในวัด และจบเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็อยู่ที่ใครจะขวนขวายตามมีตามเกิด ด้วยความที่ณภัทร เข้ามาในกรุงเทพฯก่อนหน้า กฤต หลายปี จึงเห็นความสำคัญของวุฒิการศึกษา และ ต้องการให้เขามีติดตัวไว้ ในโลกที่ไม่มีอะไรแน่นอนใบนี้

กฤต เบือนหน้าอย่างเซงๆ "โอเค จะสมัครเดี๋ยวนี้ครับ" ผายมือเปิดจอโฮโลแกรมขึ้นมาในอากาศ ก่อนที่จะเปิดหน้าสมัครเรียนที่เขาเปิดค้างไว้บนแท็บที่ซ่อนอยู่ 

'ประวัติส่วนตัว' หัวข้อใหญ่แสดงขึ้นมาในทันที หัวข้อที่ฉุกให้เขามีความคิดเคลือบแคลงอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในหัว จนบางทีละสายตาจากมันไม่ได้นานนับนาที

ถ้าคิดดูดีๆความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ความรู้สึกที่สูญเสียความมั่นใจในตัวตน ความทรงจำที่มีมันเลือนลางเกินไป ทุกครั้งที่พยายามค้นเข้าไปแต่กลับรู้สึกเหมือนทำได้เพียงมองความทรงจำที่เหลืออยู่ ผ่านรูเล็กๆที่ปลายเข็ม ไม่มีเบื้องตน เบื้องกลาง หรือ ตอนจบ และนับตั้งแต่วันนั้นที่เขาได้ชีวิตกลับมา เขาก็ไม่แน่ใจอีกเลย ว่านี่ คือชีวิตของเขา หรือ ชีวิตที่ใครบางคนต้องการให้เขาเป็น........

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 2 ดวงดาวที่หายไป

แสงอ่อนๆ จากจอโฮโลแกรมที่ปรากฎขึ้นท่ามกลางความมืด เปล่งรัศมีตกกระทบใบหน้าของกฤตที่บัดนี้คิ้วทั้งสองขมวดกันแน่นขณะกวาดสายตาไปบนข่าวอุบัติเหตุครั้งใหญ่ในอดีตบนหน้าจอ

‘สังเวย 200 ศพ รถไฟความเร็วสูงพลิกคว่ำ’

เขาค่อยๆ กวาดสายตาลงมาตามเนื้อหาข่าวอย่างใจจดใจจ่อ

‘พบผู้รอดชีวิตเพียง คนเดียว เป็นชายวัย 19 ปี ขณะนี้อยู่ในอาการโคม่า ตำรวจเร่งสอบปากคำเจ้าหน้าที่รถไฟ….”

ชายหนุ่มเอียงหัวเล็กน้อยๆ ก่อนจะเลื่อนสกอร์บาร์กลับขึ้นไปด้านบนสุด

‘22 พฤศจิกายน 2577’

เขาลากเคอร์เซอร์ก็อปปี้วันที่ที่ปรากฎขึ้น ก่อนจะใส่ลงไปในช่องค้นหา

‘ยังไม่พบผู้รอดชีวิต รถไฟความเร็วสูงพลิกคว่ำ’

‘ด่วน! รถไฟความเร็วสูง ตกรางยังไม่ทราบผู้เสียชีวิต’

สกอร์บาร์ถูกเลื่อนลงเรื่อยๆ ผ่านข่าวต่างๆ ที่ชายหนุ่มรู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา ก่อนจะทิ้งสายตาออกจากหน้าจอ ความล้าของดวงตาแสดงออกมาหลังจากจ้องจอมาเป็นเวลานาน

‘ข่าวอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง’

ตัวหนังสือสีดำปรากฎที่ด้านล่างสุดของหน้า แสดงถึงส่วนที่เขาไม่เคยกดเข้าไป ชายหนุ่มคลิกในทันที ก่อนที่ข้อมูลต่างๆ จะไล่เรียงขึ้นมา

‘สุริยุปราคาก่อน 1 วัน! ชาวเน็ตโยงอุบัติเหตุรถไฟพลิกคว่ำ เชื่อลางร้าย เอี่ยวลัทธิประหลาด’

กฤต หยุดสกอร์บาร์ในทันที ก่อนจะกดเข้าไปอ่านเนื้อข่าวด้านในเกี่ยวกับสุริยุปราคาที่เกิดขึ้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มๆ ค่อยวาดไปบนหน้าจออย่างช้าๆ ทว่าสิ่งที่ได้ กลับเป็นเพียงข่าวทฤษฎีสมคบคิด ที่หลอกให้คนคลิกเข้าไปอ่านเสียมากกว่า

ชายหนุ่มอ่านอย่างคร่าวๆ ก่อนจะสะดุดตากับสัญลักษณ์ประหลาดที่มีรูปดวงตาอยู่ตรงกลาง เขาจ้องมันค้างอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว มีบางอย่างอยู่ในนั้น ภายใต้ความทรงจำอันมืดมน สิ่งนี้อยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ยิ่งค้นเท่าไหร่ มันกลับยิ่งว่างเปล่า ความคิดปรุงแต่งเริ่มแทรกเข้ามาอย่างช้าๆ บางทีเขาอาจจะเคยเห็นมันจากอินเทอร์เน็ต หรือ สื่อต่างๆ ….

เปรี้ยง!

เสียงสายฟ้าฟาดดังคลอเสียงพายุฝนที่เกิดขึ้นด้านนอก มันดึงให้กฤตหลุดออกจากภวังค์ เค้าสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะจดบันทีกอะไรบางอย่างในหน้าต่างด้านข้าง

‘21 พ.ย. 77 12:32’

‘22 พ.ย.77 - -:- -”

“ขอข้อมูลวันที่ 21 พ.ย. 2577 เวลา 12:32 สถานที่กรุงเทพมหานคร” กฤต พูดลอยๆ ขณะยังจ้องอยู่ที่หน้าจดบันทึก

“รับทราบค่ะ" เสียงระบบปฎิบัติการ์ณ Ai ตอบกลับ ก่อนที่จอโฮโลแกรมอีก 1 จอจะปรากฎขึ้นแสดงข้อมูลจานราศีจักรและตำแหน่งดาวในช่วงเวลาที่เกิดสุริยุปราคา

กฤต หรี่ตาลงขณะจดจ้องไปยังข้อมูลตรงหน้า

ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ อยู่ร่วมกันในภพ มรณะ หมายถึง การสิ้นสุดของอะไรบางอย่าง อย่างไม่คาดคิด

ดาวเสาร์ อยู่ในภพ วินาศ หมายถึง การสูญเสีย การทำลายล้าง และ ความลับ

ดาวอังคาร อยู่ในภพ อริ การเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมาน การต่อสู้

ดาวพฤหัสบดี อยู่ในภพ ตนุ หมายถึง การเริ่มต้นใหม่

และตำแหน่งดาวอื่นๆ ที่ปรากฎในแนวทางคล้ายๆ กัน กฤต ค้างอยู่หน้านี้นานนับนาที ขณะที่ความวิตกกังวลค่อยๆ เผยออกมาให้เห็น ก่อนจะสลับสายตาไปมองที่ตัวเลขอีกชุด ที่ยังขาดในส่วนของเวลาไป

‘22 พ.ย. 77 —:— น.’

สายตาของชายหนุ่มค่อยๆ โฟกัสอีกครั้งไปที่สัญลักษณ์รูปดวงตาที่ยังเปิดค้างอยู่อย่างนั้น

——————————————————

เสียงจอแจของผู้คนเงียบไปผิดปกติ โดยปกติขบวนรถไฟความเร็วสูงช่วงบ่ายแบบนี้หากจะนอนหลับสักงีบ คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก หรือ จะคิดเสียว่าผู้คนกำลังชื่นชมกับทัศนียภาพภายนอกที่กำลังวิ่งผ่านภูมิทัศน์อันสลับซ้อนของหุบเขาทางภาคเหนือ

‘แม่ฮ่องสอน อีก 16 สถานี ‘

ชายหนุ่มนั่งจ้องข้อความนี้ บนหน้าจอโฮโลแกรมเหนือหัวมาซักพักนึงแล้ว ท่าทีที่ดูสุขุมนิ่งเงียบของเขาซ่อนความร้อนรนไว้ภายใน หมวกแก็ปสีดำปกปิดใบหน้าช่วงบนได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งที่พอจะสังเกตุได้มีเพียงหนวดสีดำที่โค้งเป็นทรงสวยงาม

ขาและมือของเขากระดิกเบาๆ ขณะที่เหลือบมองโดยรอบอยู่เป็นระยะจากด้านท้ายสุดของขบวน จากจุดที่เขานั่งสามารถสังเกตุความเป็นไปบนขบวนรถได้เป็นอย่างดี สายตาของวาริชจับจ้องทุกการกระทำภายในขบวนรถไฟ 11 คน คือจำนวนคนที่ขึ้นมาและลงไปในชั่วโมงที่ผ่านมา

วาริช หัวหน้าทีมปล้นที่กำลังโด่งดังอยู่ในข่าวตอนนี้จากวีรกรรมบุกปล้นธนาคารกลางโดยรอดจากด่านรักษาความปลอดภัยไปได้ทั้งหมด เขาควรจะใช้เงินอย่างสะดวกสบายอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลก หากไม่พลาดในขั้นตอนสุดท้ายระหว่างการขนเงินออกมาจากที่นั่น ถึงตอนนี้เขาเป็นคนเดียวที่ยังลอยนวลกับเงินที่หยิบฉวยติดตัวมาได้นิดหน่อย แต่มันก็มากพอที่จะข้ามไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ประเทศเพื่อนบ้าน

สาวผมบลอนด์ในชุดเดรสสีแดงเจิดจรัสเป็นจุดรวมสายตาในทันทีที่เธอปรากฎตัวเข้ามาทางประตูเชื่อมโบกี้ วาริช หลบสายตาในทันทีที่พบว่าเธอกำลังจ้องมาทางเขา ขยับตัวเล็กน้อยพลางกระแอมส่งสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างปกติที่สุด มือทั้งสองกอดกระเป๋าเอกสารสีดำไว้บนตัก

เธอ เดินมานั่งหันหน้าหาเขาที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างมีเป้าหมายชัดเจน ชายหนุ่มพยายามไม่สนใจแต่ทว่ามือปริศนาก็เผยกายออกมาใต้เสื้อคลุมพร้อมปืนแม็กกาซีนที่ชี้ไปทางหล่อน ขณะที่แขนปลอมข้างนึงของเขายังคงกอดกระเป๋าอยู่อย่างนั้น

แต่สีหน้าของเธอกลับไม่ได้มีการหวั่ตวิตกปรากฎออกมา หากแต่เพียงคลี่ยิ้มที่คาดเดาไม่ได้ขณะจ้องมายังเขา เธอปัดผมสีบลอนด์ไปทางด้านหลัง เผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มที่ถูกรัดโดยชุดเดรสเนื้อมันเงา

“ถ้าจะมาชี้ตัวผม ขอร้องล่ะ ผมไม่อยากฆ่าใครเพิ่มอีกแล้ว” วาริชกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาขณะที่เธอยังสู้ตาอยู่อย่างนั้น

"หึๆ" หญิงสาวหัวเราะในลำคอ “คุณรู้ว่าฉันไม่ใช่”

วาริช ขมวดคิ้วแน่น กัดฟันเกรงอย่างระแวดระวัง เขามองหล่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเห็นรอยสักสัญลักษณ์ต้นไม้ที่มีดวงตาอยู่ตรงกลาง มันปรากฎออกมาบริเวณส่วนเว้าของชุดช่วงเอว

“มีอะไร?” สายตาของชายหนุ่มยิ่งระแวงกว่าเก่า

“มีตำรวจ 13 คน อยู่ที่สถานีต่อไป ในขบวนนี้อีก 3" เธอมีท่าทีที่ผ่อนคลาย “และวิธีรอดมีแค่วิธีเดียวคือตอบตกลง”

วาริช ชะโงกดูชายที่เค้าสงสัยกำลังยืนพิงประตูระหว่างตู้มาราวๆ 20 นาที ก่อนจะหันกลับมาหาหญิงสาวปริศนา

"แล้วเธอต้องการอะไร"

” มีคนอยากให้คุณมาทำงานให้ “

'สถานีต่อไป 1 นาที' ข้อความบนจอโฮโลแกรมวิ่งขึ้นมาดึงความสนใจของวาริช เขาลุกขึ้นทันทีอย่างคุมตัวเองไม่ได้

”ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังหนี" ชายหนุ่มเริ่มลุกลี้ลุกลน

” นั่งลง “

” มีอะไรก็รีบๆ พูดมาสิวะ “

”นั่งลงค่ะ“ หญิงสาวไม่ได้มีท่าทีที่ร้อนรนตามวาริช ก่อนที่ชายหนุ่มจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อีกครั้งอย่างจำยอม

” ถึงเวลาที่คุณต้องตอบแทนเราแล้ว บียอนเดอร์ ต้องการให้คุณและลูกทีมไปเอาของสำคัญบางอย่าง “

"นี่เธอ ไม่ได้แหกตาดูข่าวหรือไง พวกมันโดนจับไปกันหมดแล้ว" ชายหนุ่มกัดฟันพูดขณะที่ปืนยังจ่อหญิงสาวตรงหน้า

"เรื่องนั้นเราจะจัดการเอง แต่ถ้าคุณอยากรอด มีแต่ต้องตอบตกลงตอนนี้เท่านั้น" หญิงสาวกดดัน

วาริชสังเกตุการเคลื่อนไหวในตู้โบกี้หน้า ก่อนจะมองรอดออกไปนอกหน้าต่างที่บัดนี้ชานชลาต่อไป ปรากฎกลุ่มตำรวจนอกเครื่องแบบเฝ้ารอให้รถไฟไปถึง

“ตกลงๆ” เขาร้อนรนตอบอย่าวคนเสียสติ "อะไรก็ได้ พากูออกไปเดี๋ยวนี้”

หญิงสาวเพียงส่งยิ้มอ่อนให้ๆ อย่างผู้ชนะ

สถานีรถไฟที่พลุกพล่านจอแจบัดนี้ ผู้โดยสารโดนเกณฑ์ออกไปจนหมด ตำรวจนอกเครื่องแบบส่งสัญญาณกันผ่านหูฟังเมื่อเห็นรถไฟค่อยๆ ชะลอความเร็วเข้าสู่สถานี ปืนนับ 10 กระบอกถูกปลดเซฟเตรียมพร้อมบุกจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ

ทันทีที่รถไฟลดความเร็วถึงระดับหนึ่ง นายตำรวจที่ยืนเฝ้าขวางประตูไว้มาหลายสถานีก็เผยตัว ปืนแม็กกาซีนถูกดึงออกมาจังหวะเดียวกับที่ ประตูทุกบานของรถไฟเปิดออกพร้อมกัน ตำรวจนับ 10 นาย กรูสวนผู้โดยสารเข้ามาภายในขบวน

“หยุด ก้มลงกับพื้น” เสียงตะโกนดังขึ้น ก่อนที่นายตำรวจคนแรกที่เข้ามาจะค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าแทบจะในทันที

เก้าอี้ที่ท้ายสุดของขบวน อันเป็นเป้าหมาย บัดนี้เหลือเพียงเก้าอี้ที่ว่างเปล่า……..

วาริชประมวลผลเหตุการ์ณต่างๆ ระหว่างนั่งหอบแหกๆ อยู่บนเบาะหนังอัลคันทาร่าที่ถูกตัดเย็บอย่างละเมียดละไมภายในรถหรูที่เบาะด้านหลังชายปริศนาในชุดสูทที่กำลังควบคุมรถคันนี้ ด้านข้างของเขาคือหญิงสาวชุดแดงที่ยังคงความเปล่งประกาย และเยือกเย็น ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

วาริช ดึงหนวดปลอมที่ติดไว้ออก เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาตั้งสติได้พอดี "อย่าขับบนทางหลวงนะ ป่านนี้ข่าวคงกระจายออกไปแล้ว" เขาพูดลอยๆ บอกคนขับรถ "ตกลงนี่มันเรื่องบ้าอะไร “

หญิงสาวหันมายิ้ม ก่อนที่รถจะค่อยๆ เบรคจนหยุดลง ด้วยความเร่งรีบก่อนหน้านี้ วาริช ไม่ทันสังเกตุเลยว่าบัดนี้รถจอดอยู่บนถนนกลางเขาที่รายล้อมไปด้วยป่าดิบชื้น เนื่องจากเป็นทางสายรองที่แคบ จึงไม่ค่อยมีรถใช้เส้นทางนี้ รถจอดนิ่งสนิทอยู่กลางถนน

” บียอนเดอร์ อยากให้คุณทำงานนี้โดยสมัครใจ” หญิงสาวกล่าว

“ก็เออสิ ฉันเลือกอะไรได้รึไงวะ” ชายหนุ่มเริ่มระแวงขณะหันมองรอบๆ รถ

“อย่ามองฉันแบบนั้นเลย ไอเงินแค่นั้น ถามจริงๆ ว่าถ้าคุณข้ามประเทศไปได้จะอยู่ได้สักกี่เดือน” หญิงสาวขำออกมาอย่างเย้ยหยัน

“จะให้ฉันทำอะไรก็พูดมาดีกว่าน่ะ”

หญิงสาวยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งให้เขา มันเป็นรูปของพระธาตุเจดีย์ชื่อดังในจังหวัดสุรินทร์ สร้างจากหินคล้ายศิลปะขอมโบราณ ความสูงราวๆ ตึก 10 ชั้น ถือเป็นพระธาตุที่สูงที่สุดแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิที่มีผู้คนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำพิธี สวดมนต์ ปฎิบัติธรรม ตลอด 24 ชม. อย่างไม่เคยขาด

“บ้าอะไรวะเนี้ย พวกแกจะให้ฉันปล้นวัดหรือไง” วาริช ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ

“มีของสำคัญที่เราอยากได้ อยู่ที่ชั้นบนสุดของพระธาตุนี้”

“โอเค เดี๋ยวฉันจะลองเขียนจดหมายไปหาเจ้าอาวาสให้ ว่าผู้นำลัทธิของพวกแกอยากได้กระดูกพระพุทธเจ้าไปบูชา”

หญิงสาวเพียงแต่ยิ้มเล็กๆ อย่างผู้เหนือกว่า ขณะมองชายหนุ่ม

“เราถึงต้องการให้คุณทำไง”

“แล้วไง เผื่อไอบียอนเดอร์ของเธอมันไม่ได้ดูข่าว บอกมันด้วยล่ะว่าลูกน้องฉันโดนจับไปหมดแล้ว”

วูบ!

หญิงสาวผายมือไปในอากาศ ก่อนจอโฮโลแกรมจะปรากฎขึ้นภายในรถ เธอปัดอีกทีเพื่อให้จอสไลด์ไปอยู่ด้านหน้าวาริช สิ่งที่แสดงอยู่บนหน้าจอคือ ภาพข่าวการบุกปล้นธนาคารกลางที่อุกอาจที่สุดเท่าที่เคยมีมา

วาริชกวาดสายตามองตาม แต่ทว่าก็ต้องตาเบิกกว้างเมื่อภาพผู้ต้องหาที่ถูกจับได้แต่ละคนที่ปรากฎนั้น ไม่ใช่ลูกน้องของเขาเลยแม้แต่คนเดียว ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อกับภาพตรงหน้า จนต้องหันไปถามหญิงสาว

“นี้มันบ้าไปแล้วหรือไง”

หญิงสาวหัวเราะในลำคอก่อนจะเบือนหน้าหนีออกไปด้านนอก

” ข้อมูลทั้งหมดคร่าวๆ ถูกส่งให้แล้ว ลองดูซะก่อนซิ “

วาริชค่อยๆ หันกล้บมาด้วยความสับสน เขาเคยเป็นสมาชิกลัทธิประหลาดนี้แต่ก็เป็นเพียงระดับหางแถว ถีงจะรู้ถึงความมีอิทธิพลในแวดวงชั้นสูงของลัทธินี้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าจะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ในขนาดนี้

เขาปัดมือไปบนหน้าจอก่อนที่รูปของใครบางคนที่เขาไม่คุ้นตาจะเลื่อนขึ้นมา

” พวกนี้มันใครกัน “

จอถูกเลื่อนภาพของบุคคล 5 คนให้แสดงขึ้นมา 1 ในนั้นคือ กฤตกวิน คนที่มีวงเล็บท้ายชื่อว่า ‘นักโหราศาสตร์ ‘

” พวกคน…" หญิงสาวหันมาพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเงียบ” ที่เป็นคีย์แมนในภารกิจยังไงล่ะ “

——————————————————

ชีสเบอร์เกอร์ที่ถูกใส่แฮชบราวน์ซ้อนเข้าไปอีกชั้นถูกกัดคำโต ระหว่างที่กฤตนั่งอยู่ในโรงพยาบาลรัฐช่วงบ่ายแก่ๆ ผู้คนที่ขวักไขว่จอแจทั้งวันเริ่มซาลงไปบ้างแล้ว ชายหนุ่มสอดส่ายสายตาดูความเป็นไปของโรงพยาบาลที่เขาฟื้นขึ้นมา สถานที่ที่เขาอยู่ที่นี่มาแรมปี ก่อนที่แพทย์จะลงความเห็นว่าสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ด้วยตัวเอง

รถเข็นมากมายผ่านไป และคนไข้ใหม่ที่ยังมีทะยอยเข้ามาเรื่อยๆอย่างบางตา ในที่สุดเสียงที่กฤตรอคอยก็ดังขึ้น

"กฤตกวิน คงสวัสดิ์ เชิญที่ช่อง6ค่ะ"

เขารีบลุกตรงไปที่ห้องที่มีกระจกใสกั้นระหว่างด้านในและด้านนอก ก่อนจะก้มหน้ามองผ่านช่องเล็กๆด้านล่าง ตะกร้าสีฟ้าถูกเลื่อนสวนออกมาพร้อมแฟ้มเอกสารด้านใน

"อ้าว น้องกฤตเองหรอ ป้าก็ว่าชื่อคุ้นๆ" พนักงานห้องเวชระเบียนวัยกลางคนกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง

กฤตยิ้มบางๆก้มหัวให้ขณะเซ็นเอกสาร ที่พนักงานยื่นให้"ครับผม"

"เป็นยังไงบ้างลูก ไม่ได้เจอซะนาน ดูดีขึ้นเยอะเลยนะ"  พนักงานยังคงซักไซร้อย่างคนสนิทสนม

"ก็...โอเคครับ"

"มาเอาประวัติการรักษาไป รพ.เอกชนล่ะสิ ดีแล้ว รพ.รัฐน่ะมันห่วย ช้าก็ช้า"

ชายหนุ่มยิ้มๆ ขณะเลื่อนแผ่นกระดาษคืนให้ป้า

"เสียดายนะ วันนี้หมอวราไม่เข้าเวร อดเจอเลย" ป้ายังคงพูดต่อไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปเรียกคนอื่นๆในห้อง "นี่ๆ กฤตไงจำได้ไหม ที่รถไฟตอนนั้น"

ทุกคนหันมาทักทายอย่างคุ้นเคย กฤตรับซองเอกสารประวัติการรักษามา ก่อนจะกล่าวลาเหล่าป้าๆในห้องทะเบียนอย่างเป็นกันเอง

หลังจากได้ประวัติการรักษามาแล้ว แผนบางอย่างในหัวเร่งรีบให้เขารีบเปิดดู ชายหนุ่มเลือกที่นั่งเงียบระหว่างทางเดินข้ามตึกวอด ที่คิดว่ามีผู้คนน้อยที่สุดแล้วในโรงพยาบาลในเวลานี้ มันเป็นโถงทางเดินทึมๆ ที่มีแสงสว่างจากหลอดไฟยาวตลอดแนว

เขาดึงเอกสารออกมาจากซองจนหมด ค้นหาอะไรบางอย่างในผลการรายงาน ตัวเลขที่ขาดไปจากที่เค้าต้องการ เวลาที่เค้าตามหา และไม่เคยนึกถึงมันเลยสักครั้ง

การค้นหาดำเนินไปอย่างนั้นราว 10 นาที ถึงแม้จะเช็คอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไล่ทีละบรรทัด ก็ยังไม่มีปรากฎ ตัวเลขสี่หลักที่เขาต้องการในทางโหรศาสตร์ เวลาที่เขาลืมตากลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง เวลาที่เขาได้รับชีวิตใหม่.....

"สามทุ่ม สี่สิบเจ็ดนาที"

เสียงของชายปริศนาดังขึ้นไม่ไกลจากเขา กฤต เงยหน้าขึ้นมองไปยังที่มาของเสียงนั้นทันที

ชายในชุดสูทสีดำ ถอดแว่นตาออกเผยให้เห็นแผลเป็ยที่พาดผ่านดวงตาข้างซ้าย เขาเสียบมันที่กระเป๋าเสื้อ และ ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น

นานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้แน่ชัดที่กฤตก้มไปหาเวลาดังกล่าว แต่บัดนี้เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนในทางเดินนี้ก็หายไปจนสิ้น พร้อมๆกับเสียงจอแจที่ตอนนี้คงอยู่เพียงความเงียบสงัด เหลือเพียงเขาและชายปริศนาที่กำลังเผชิญหน้ากัน

"สามทุ่ม สี่สิบเจ็ดนาที หลังจากพบร่างของคุณ 6 ชั่วโมง คือเวลาที่คุณลืมตาขึ้นมาเป็นครั้งแรก" ชายปริศนากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

กฤต จ้องชายตรงหน้า แม้จะสับสนแต่ก็ควบคุมการแสดงออกไว้ได้อย่างดีเยี่ยม

"คุณเป็นใคร" เขาเอ่ยถาม

"จะพูดว่าเป็นคนที่รู้จักคุณ ดีซะยิ่งกว่าตัวคุณเอง ก็ไม่ผิดนัก" ชายปริศนาเดินเข้ามาไกล้ขึ้น กฤต รวบซองเอกสารบนตัก ก่อนจะยืนขึ้นอย่างช้าๆ

"คุณสับสนใช่ไหม? รู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกไปใช่ไหมล่ะ? มีคำถามมากมายที่เกิดขึ้นแต่กลับตอบตัวเองไม่ได้ รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ใช่ของคุณใช่รึเปล่า?" เค้าย้ำขณะเดินเข้ามาอย่างองอาจ อย่างคนคุมเกม เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นดังก้องโถงทางเดิน กฤต ยังคงนิ่งขณะประมวลผลเหตุการ์ณต่างๆ ไม่บ่อยนักที่เขารู้สึกเหมือนเป็นผู้ถูกควบคุมเช่นนี้

"รู้ได้ยังไง? ต้องการอะไร?" กฤตเอ่ยถาม

ชายปริศนาหัวเราะเบาๆ "ผมไม่รู้ครับ แต่เขารู้ เขารู้ทุกสิ่ง"

"แผลที่ตานั่นก็ดูน่ากลัวดีนะ แต่เลิกพูดให้ขนลุกซะที แล้วบอกมาว่าคุณหมายถึงใคร" กฤต พยายามกลับมาควบคุมสถานการ์ณ

ชายปริศนาหยุดลงตรงหน้า กฤต ก่อนจะยื่นการ์ดหน้าตาประหลาดให้

'The Sun'

กฤต รับไพ่ยิปซี จากชายปริศนา มันเป็นไพ่ยิปซีสีดำที่มีรูปบนไพ่แตกต่างจากศิลปะบนไพ่ยิปซีทั่วๆไป ที่มุมขวาล่างปรากฎตราสัญลักษณ์ลัทธิที่ กฤต จำได้ในทันที

"คุณจะได้คำตอบ ถ้าตกลงในข้อตกลงของเรา คำตอบทุกๆอย่างเกี่ยวกับตัวคุณเอง ทุกๆความทรงจำ เขายินดีจะให้มันคืนแก่คุณ"

"พูดเหมือนแกแบ็คอัพข้อมูลไว้อย่างนั้นแหละ พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องสักอย่าง"

ชายปริศนายังคงยิ้มอย่างผู้อยู่เหนือกว่า "คุณจะรู้ได้เอง ถ้าอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับตัวตนของคุณ ไปที่ที่อยู่ตามวันและเวลาบนการ์ดใบนี้"

กฤตก้มพลิกดูด้านหลัง มันปรากฎที่อยู่ สถานที่หนึ่งเป็นเลข ละติจูด และ ลองติจูด พร้อมวันที่และเวลา ที่มุมด้านซ้ายปรากฎเบอร์แปลกๆ ที่ขึ้นต้นด้วยเลข +78

"อะไรกัน คุณเป็นพวกแกงค์คอลเซ็น..." ยังไม่ทันจะพูดจบ เมื่อเงยหน้ากลับขึ้นมา ชายปริศนาก็หายไปเสียแล้ว กฤต หันมองซ้ายขวา เหมือนเวลาพึ่งจะกลับมาเดินอีกครั้งหนึ่ง เสียงจอแจของผู้คนดังมาจากไกลๆเช่นเดิม

ความสับสนงุนงงประดังประเดเข้ามาหาชายหนุ่ม ก่อนเขาจะวิ่งตามออกมาจนสุดทางเดิน แต่ภาพที่เห็นก็ยังมีเพียงคนไข้ทั่วๆไป ที่เหลืออยู่ไม่มากนัก ไร้ซึ่งร่องรอยของชายปริศนาเมื่อครู่ กฤต ก้มดูวันที่และเวลาบนบัตรในมืออีกครั้ง พลางสลับสายตาไปมองนาฬิกาข้อมือ

เหลือเวลาอีกแค่ 31 ชม. จากนี้

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!