NovelToon NovelToon

ZERO ตะลุยต่างแดนด้วยระบบโคตรคูล

Episode 1

 เมื่อนานมาแล้วโลกถูกโจมตีจากสิ่งมีชีวิตนอกโลก พวกมันคือ StarSeed

 มันบุกมาพร้อมกองกำลังเพียง 10 นาย แต่โจมตีไปที่จุดสำคัญของโลก

ชาว StarSeed มีความสามารถและวางแผนเป็นอย่างดีในการทำสงครามครั้งนี้พร้อมกับบอกว่าตนคือผู้คุมชะตาแห่งดวงดาว แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของพวกมันคือ ความสามารถพิเศษ

ไม่มีอาวุธชนิดไหนเลยบนโลกที่สามารถทำให้มันได้รับความเสียดายไม่ว่าจะเป็นปืนกลระเบิดรวมไปถึงรถถังก็ยังไม่สามารถระคายผิวของพวกมัน

 ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เขตต่อสู้ใช้โซเซียลเผยแพร่เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งต่อไปยังทั่วโลก ทำให้ประชากรตกอยู่ในความ สิ้นหวัง และ หมดกำลังใจ

จนกระทั่งมี กลุ่มผู้ฝึกตน  จำนวน 5คนออกมาช่วยกำจัด StarSeed

ได้อย่างรวดเร็ว และ ง่ายดาย ด้วยทักษะการต่อสู้ผสมผสานกับพลังบางอย่างที่ปกคลุมไปทั่วร่างกายทั้งพลังกายที่สามารถยกรถถังด้วยมือเปล่าและความรวดเร็วเหนือมนุษย์ กลุ่มผู้ฝึกตนเรียกพลังนี้ว่า คิ ( KI )

เมื่อสงครามนี้จบ เขาได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้กับนักวิทยาศาตร์อัจฉริยะหนุ่มวัย 25 ปี ลูเทอร์ เวลล์ โดยหวังว่าจะให้ลูเทอร์เผยแพร์วิชานี้ด้วยความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เพื่อจะทำให้ผู้คนทั่วไปได้ใช้พลังนี้เพื่อปกป้องโลก และนั้นทำให้ลูเทอร์ตอบรับภารกิจนี้

เพียงไม่กี่ปี ลูเทอร์วิจัยจนพบว่า คิ เป็นวิชาที่ฝึกยากและบางคนอาจฝึกไม่สำเร็จ

ลูเทอร์จึงสร้างอุปกรณ์ตัวช่วยที่จะสามารถใช้คิได้ทันทีในรูปแบบของกำไลข้อมือพิเศษที่จะดึงพลังของ KI ที่แฝงอยู่ในร่างกายออกมาได้โดยตรง ลูเทอร์เรียกอุปกรณ์นี้ว่า " Verse "

เมื่อ Verse ผลิตเสร็จสมบูรณ์ก็ทำให้ทั้งโลกเกิดโกลาหลขึ้น

จากการใช้ Verse ไปในทางที่ผิดทั้งการปฏิวัติการปล้นสะดมเมื่ออานุภาพของ Verse ที่กระสุนหรือระเบิดไม่สามารถทำอะไรผู้ใช้ Verse ได้

จนทำให้รัฐบาลโลกตัดสินใจใช้นิวเคลียรชีวะภาพหวังจะกำจัดผู้ใช้Verse และจากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้ประชากรโลกลดหายไปถึง 80 % และประชากรที่เหลือต้องใช้ชีวิตอยู่ทามกลางมลพิษที่ปกคลุมทั่วทั้งโลก

จากการใช้นิวเคลียร์ชีวะภาพ ในเวลาไม่นานสภาพอากาศของโลกก็แย่ลงเรื่อยๆจนไม่สามารถอยู่ได้อีกต่อไปทำให้ประชากรที่เหลือจะอพยพไปยังดาวอื่นเพื่อเอาตัวรอดและรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้

Luziddream

Episode 2

บทที่ 1 เสียงที่ไร้ความรู้สึก

        ณโรงเรียน คิว แห่งเมืองเพลโทร ตั้งอยู่ใจกลางเมืองรายล้อมไปด้วยสิ่งปลูกสร้างทันสมัยทั้งรถที่ล่องลอยอยู่บนอากาศ หรือ แม้แต่หุ่นยนต์ที่คอยรับใช้เจ้านาย ใช่แล้ว..นี้คือโลกแห่งอนาคต โลกที่มีเทคโนโลยีเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง

ผู้คนต่างใช้ชีวิตด้วยความสะดวกสบายจากเทคโนโลยีเหล่านี้ แต่ก็มี อาร์เทอร์เด็กหนุ่มมัธยม

ปลายปีที่ 5 ที่ไม่ต้องการเทคโนโลยีและใช้ชีวิตในแบบสวนกระแสเพราะทุกคนต่างก็พึงเทคโนโลยีกันทั้งนั้นเมื่อทุกคนเห็นแบบนั้นทำให้ อาร์เทอร์ถูกมองว่าเป็นคนประหลาด บางคนก็ว่าบ้านเขายากจนจึงไม่มีเทคโนโลยีใช้

โรงเรียนคิวเป็นโรงเรียนพิเศษนักเรียนทุกคนจะไม่สามารถรู้ถึงได้ว่าคนอื่นมาจากตระกูลใดมีฐานะแบบไหน เป็นกฎที่มีไว้เพื่อให้ทุกคนอยู่กันอย่างเท่าเทียม แต่แนวคิดแบบนั้นมีไว้สำหรับผู้ปกครองที่หวังจะให้ลูกๆของตนอยู่กันอย่างเท่าเทียม แต่ในความเป็นจริงนักเรียนเหล่านี้ก็ยังอยากที่จะอวดความร่ำรวยอยู่ดีจนทำให้เด็กในโรงเรียนเอาแต่คุยเรื่องของจำนวนของใช้เทคโนโลยีที่บ้านเพื่อบอกสถานะความร่ำรวยของตน

"เทคโนโลยีน่ะมันก็แค่สิ่งอำนวยความสะดวก ทำไมทุกคนถึงให้ความสนใจมันขนาดนั้นกันนะ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกนะ แต่นี้มันก็เกินไป ทั้งวันเอาแต่คุยอวดกันแต่เรื่องเจ้าหุ่นกระป๋องนั้น"

หลังเลิกเรียนโรงเรียนคิวที่เต็มไปด้วยเสียงนักเรียน อาร์เทอร์เด็กหนุ่มผมและตาเป็นสีเพลิงเด่นตระหง่านราวกับเพลิงที่ไม่มีวันมอดดับ คิดพลางๆระหว่างเดินเข้าห้องชมรมดนตรี

"เฮ้ยอาร์ตมาเร็วนี่วันนี้"

เสียงของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ราวกับกอลิล่าดังขึ้นด้วยความสนิทสนมเมื่ออาร์เทอร์เข้าห้องชมรมดนตรี

"นี้แกลืมเหรอมาร์ค วันนี้เรานัดกันไปเปิดหมวกที่เรดบริดจ์ นะเว้ย"

"แย่ล่ะ...ลืมเลย ทำไมแกไม่หัดใช้โทรศัพท์ให้มันเป็นประโยชน์บ้างฟร่ะเป็นมนุษย์ยุคหินหรือไงไอ้อาร์ต"

มาร์คร้อนรนเมื่อรู้ว่าตัวเองลืมนัดก็โยนความผิดไปที่อาร์เทอร์ทันทีพร้อมกับเตรียมเครื่องดนตรีใส่ในกระเป๋าสำหรับงานแสดงดนตรีที่เรดบริดจ์ สำหรับมาร์คที่เป็นมือคียบอร์ดจะเก็บของนานกว่าอาร์เทอร์ที่มีแค่ไมโครโฟนกับกีต้าร์ทำให้เขาร้อนรน

"นี้ไงละฉันถึงไม่ชอบใช้ของพวกนี้ มันจะทำให้นายจำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ เห็นมั้ยละ เจ้าบ้า ฮ่า ๆ"

อาร์เทอร์กล่าวออกมาพร้อมหัวเราะให้กับความร้อนรนของมาร์ค

เมื่อเตรีบมของเสร็จทั้งสองก็หยิบสัมภาระขึ้นไปวางบนรถจี๊บสุดคลาสิคที่ยังใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยล้อซึ่งเป็นรถที่มาร์คยืมพ่อมาใช้

จากนั้นทั้งสองจึงมุ่งไปยังเมืองเรดบริดจ์

เรดบริดจ์เป็นเมืองแห่งการค้าที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ไหลมาไม่ขาดสายด้วยบรรยากาศที่คึกครืนบวกกับของกินที่ขึ้นชื่อว่าอร่อยที่สุดและแหล่งข้อมูลขุมทรัพย์รวมไปถึงของหายากต่างๆมารวมอยู่ที่เรดบริดจ์แห่งนี้ทำให้ที่นี้คือเมืองการค้าอันดับต้นๆของประเทศเลยก็ว่าได้

เมื่อมาร์คและอาร์เธอร์มาถึงเรดบริดจ์

ทั้งสองรู้สึกประหม่าเพราะนี้คือครั้งแรกแต่พวกเขาก็ได้แสดงดนตรีอย่างสนุกสนานแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้คนที่ฟังอยู่รอบๆสนุกไปด้วยเลยและยังส่งเสียงตะโกนไล่พวกเขาทั้งสองอีกด้วยทำให้อาร์เธอร์และมาร์คผิดหวังอยู่ในใจแต่ก็ฝืนเล่นไปทั้งๆแบบนั้นจนกระทั่ง หญิงสาวผมบลอนด์เดินเข้ามาหาพวกเขา

"รูปหล่อ...นายมีพรสวรรค์นะ แต่ยังขาดสิ่งที่สำคัญอยู่"

เสียงของหญิงสาวผมบลอนด์ยาวนุ่มสลวยดวงตาเปล่งประกายพร้อมกับหุ่นสูงเรียวราวกับนางแบบดังขึ้นพร้อมกับยืนกระดาษบัตรนามของเธอให้กับอาร์เทอร์

"ขอบคุณครับพี่สาว"

อาร์เทอร์ยิ้มรับพร้อมกล่าวขึ้นด้วยความเขินขณะที่สายตามองไปที่ใบหน้าของหญิงสาวผมบลอนด์ที่กำลังจะเดินจากไปก่อนจะหยิบนามบัตรที่เธอมอบให้อาร์เทอร์จึงเห็นข้อความนึงที่เขียนอยู่บนนามบัตรคือ "เสียงของนายน่ะมันไร้อารมณ์พอๆกับหุ่นกระป๋องในบ้านฉันเลยล่ะ"

เมื่ออาร์เทอร์อ่านข้อความนี้ความรู้สึกของเขาที่ดีขึ้นเมื่อได้รับคำชมก็กลับไปเฟลอีกครั้งเมื่ออ่านข้อความนี้ สิ่งที่วนอยู่ในหัวของเขาราวกับติดอยู่ในภวังค์

"ไอ้อาร์ตสุดยอดเลยว่ะ นั้นโปรดิวเซอร์เทร่า เลยนะเว้ย"

เสียงของมาร์คดังขึ้นเมื่อเทร่าหญิงสาวผมบลอนด์กำลังจะเดินจากไป

"เทร่าไหนวะ"

เมื่อได้ยินมาร์คกล่าวแบบนั้นอาร์เทอร์ก็ตอบกลับด้วยความสงสัย

"ไม่รู้จักได้ไงเนี่ย ก็โปรดิวเซอร์ที่ปั้นศิลปินให้ดังไปถึงจุดสูงสุดของวงการอย่างวง SummerTime ไง"

สีหน้าของอาร์เธอร์ก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินมาร์คกล่าวถึงวง SummerTime

" Summertime งั้นก็คงสุดยอดจริงๆนั้นแหละ แต่เธอเขียนแบบนี้ให้ฉันน่ะสิ"

อาร์เธอร์กล่าวพร้อมยืนนามบัตรของเทร่าที่มีข้อความที่เธอเขียนให้มาร์ดดู

" ฮ่าๆ นายนี้มันช่างไม่รู้อะไรเลย ถ้าเป็นปกติละก็เธอจะไม่เอ่ยปากชมใครง่ายๆหรอกนะ ที่เธอชมนายแล้วบอกตรงๆแบบนี้ แสดงว่าเธออยากจะปั้นนายไงละ งานนี้นายแจ้งเกิดแน่อาร์ต"

มาร์ดหัวเราะลั่นพร้อมกล่าวออกด้วยสีหน้าที่มีความสุข

" เป็นแบบนั้นก็คงดีน่ะสิ"

อาร์เธอร์ตอบรับในขณะที่สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและมีความสุข

"โครม"

เสียงดังขึ้นจากรอบทิศทาง พร้อมกับเสียงหวาดร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง

"โจรบุก ทุกคนหนีไป เอิ้อ...."

เสียงของทหารยามประตูเมืองตะโกนลั่นก่อนสิ้นลม

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า วันนี้พวกแกต้องสยบแทบเท้าข้าไอ้พวกเขตเหนือ"

กลุ่มชายฉกรรจ์สิบคนตะโกนอย่างบ้าคลั่งพร้อมทำลายข้าวของรอบๆจนไม่เหลือชิ้นดี

"ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่มั้ย... เจ้าพวกนั้นมันกำลังปารถที่หนัก 1ตันด้วยมือเดียว?"

มาร์คกล่าวขึ้นเมื่อเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ยกรถยนต์ราวกับของเล่น

"นี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว มาร์ครีบหาที่ซ่อนเร็ว"

อาร์เธอร์ขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกล่าวกับมาร์คก่อนจะวางกีต้าร์และมุ่งไปหากลุ่มชายฉกรรจ์

"ไอ้อาร์ตจะไปไหน มันอันตรายนะบ้าไปแล้วหรือไงวะ"

มาร์ดตะหวาดลั่นด้วยความเป็นห่วงแต่ดูเหมือนว่าเสียงที่ส่งไปจะไปไม่ถึงอาร์เธอร์ที่มุ่งหน้าไปด้วยความเร็วจนมองตามไม่ทัน

"นายเป็นใครกันแน่อาร์ต"

มาร์ดได้แต่คิดสิ่งนี้ซ้ำไปซ้ำมาเมื่อเห็นความเร็วของอาร์เธอร์

"ทำไมคนพวกนี้ถึงใช้คิได้นะ"

อาร์เธอร์ครุ่นคิดขณะมุ่งไปหากลุ่มชายฉกรรจ์ด้วยความเร็วสูง

"เจ้าหนูคิดว่าจะล้มพวกเราได้เหรอไ...."

หนึ่งในสิบของกลุ่มชายฉกรรจ์กล่าวยังไม่ทันจบรอยเท้าของอาร์เทอร์ได้ประทับไปอยู่ที่หน้าของมันจนร่วงลงไปคุยกับรากมะม่วง เบื้องหน้าของมันมีเพียงเด็กหนุ่มผมและตาสีเพลิงอายุราว17ปีที่ยืนอยู่

"เจ้าพวกนี้มัน....พลังคิไม่สมบูรณ์งั้นเหรอ มันหมายความว่ายังไงนะ"

อาร์เธอร์ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับจัดการกลุ่มชายฉกรรจ์อีกเก้าคนสำเร็จ

หลังจากปราบกลุ่มโจรชายฉกรรจ์ทั้งสิบคนลง อาร์เธอร์จึงมัดพวกมันไว้เพื่อไม่ให็ก่อเหตุวุ่นวายอีกครั้งจากนั้นอาร์เธอร์ก็เริ่มสอบสวนพวกมันทั้งสิบ

"พวกนายเป็นใครทำไมถึงมีพลังแบบนั้นใครฝึกพวกนายมา"

อาร์เธอร์กล่าวขณะที่มองไปยังชายที่เขาจัดการไปเป็นคนแรกซึ่งน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์

"ยกโทษให้ข้าน้อยด้วยเถิดนายน้อย พวกเราไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านคือ ลูกศิษย์ของท่านผู้นั้น"

หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์กล่าวด้วยความหวาดกลัวพร้อมกับสั่นเทาทั้งตัวอย่างหนัก

"ตอบคำถาม"

อาร์เธอร์กล่าวขึ้นพร้อมส่งสายตาอาฆาตไปยังหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์

"ขออภัยให้กับความโง่เขลาของข้าน้อย ข้าน้อยคือแองกัส พ่อค้าเขตตอนท้ายใต้ของเรดบริจด์ เรามีปากเสียงกับพ่อค้าเขตเหนืออยู่เป็นประจำและเกิดการปะทะแต่ก็ไม่อาจตัดสินผลแพ้ชนะได้ จนกระทั่งวันนี้มีชายกล้ามโตคนนึงมอบสิ่งนี้ให้กับพวกข้า"

หัวหน้ากลุ่มพ่อค้าเขตใต้ที่ถูกมัดอยู่พยายามมองไปยังที่ข้อมือของพวกเขา

อาร์เธอร์จึงเดินไปแก้เชือกของแองกัสหัวหน้ากลุ่มพ่อค้าเขตใต้จนพบกับกำไลของมือที่ส่องแสงประกายระหยิบวัสดุคล้ายกับอลูมิเนียมลักษณะรัดไปกับข้อมือ

"ชายคนนั้นบอกว่า สิ่งนี้คือ เวิร์ส (VERSE) มันจะทำให้คนที่สวมใส่มีพละกำลังเหนือมนุษย์และใช้ได้อย่างอิสระแถมยังการันตีให้อีกว่านี้คือ สิ่งประดิษฐ์ของ ลูเธอร์ เวล์ล"

แองกัสกล่าวขึ้นอย่างประทับใจถึงคนที่ประดิษฐ์สิ่งนี้ขึ้นมา

อาร์เธอร์พยักหน้ารับพร้อมกับเดินไปหยิบ VERSE ของกลุ่มแองกัสทั้งหมดแล้วเก็บใส่กระเป๋าอย่างระมัดระวัง

"บังอาจนักนะแก อย่ามายุ่งกับของของฉันนะ"

ชายหนุ่มคนนึงของกลุ่มแองกัสกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าที่โกรธอย่างรุนแรง

"เจ้าโง่เราไม่ตายก็ดีเท่าไหร่แล้ว"

แองกัสตะโกนเบาๆข้างหูคนชายหนุ่มคนนั้นกล่าวจะหันไปหน้าอาร์เธอร์

"ขออภัยในความเขลาของลูกน้องข้าด้วยเถิดนายน้อย"

แองกัสกล่าวกับอาร์เธอร์อย่างยำเกรงสิ่งที่ลูกน้องของเขาได้ทำลงไป

"ดูเหมือนว่าจะทำสำเร็จแล้วสินะ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่"

อาร์เธอร์คิดในใจขณะที่หยิบ VERSE ขึ้นมาดู

"อาร์ตแย่แล้วตอนนี้ทั้งเมืองกำลังเกิดสงครามดูนี้สิ "

มาร์ควิ่งไปหาอาร์เธอร์พร้อมกับกล่าวขึ้น ในขณะที่มาร์คเห็นอาร์ตรับมือกับกลุ่มของ

แองกัส มาร์คเริ่มแปลกใจและไม่คิดว่าสิ่งประดิษฐ์ที่ทรงพลังแบบนี้จะมาอยู่ในมือของพ่อค้าธรรมดาจึงเริ่มหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและโซเซียล

"นายแน่ใจนะว่าไม่ใช่ข่าวปลอม "

อาร์เธอร์กล่าวขึ้นด้วยความสงสัยของข่าวที่มาร์คให้ดู มันคือภาพของบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยซากประหลักหักพังผู้คนตายเป็นจำนวนมาก และการต่อสู้ในเมืองยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง แล้วในแอพบลูเบิร์ดที่เป็นโซเซียลที่คนเล่นมากที่สุดผู้คนที่เล่นยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องจริง

" ฉันก็เช็คหลายทางแล้วล่ะนี้เป็นเรื่องจริงแน่นอน"

มาร์คกล่าวอย่างไม่ลังเลด้วยสีหน้าที่ซีดเซียว

"ฉันว่านายควรกลับไปหาครอบครัวนะ เราคงต้องแยกกันตรงนี้แหละ มาร์ค"

อาร์เธอร์กล่าวให้มาร์คกลับบ้านเพื่อให้หาครอบครัวเพื่อปกป้องครอบครัวจากอันตรายของสงครามและมอบ VERSE ให้แก่มาร์คหนึ่งอัน

"ฉันรู้ว่านี้เป็นสัญญาของโรงเรียนนะ แต่ฉันน่ะ..เป็นเด็กกำพร้าไม่มีที่ให้กลับไปหรอก"

มาร์คกล่าวกับอาร์เธอร์ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง เพราะกฏของโรงเรียนนั้นทำให้นักเรียนไม่สามารถบอกนามสกุลหรือฐานะครอบครัวได้เลย

"เจ้าบ้าเอ้ยดันละเมิดกฎซะได้"

อาร์เธอร์ตะหวาดออกมาลั่นด้วยความไม่พอใจที่มาร์คได้ละเมิดกฏของโรงเรียนแต่ก็ยิ้มให้กับมาร์คพร้อมกับยื่นมือข้างขวาออกมาแล้วชูนิิ้วชี้กับนิ้วกลางชิดกันฝามือหัดเข้าหาตัวเอง ซึ่งสัญลักษณนี้หมายถึงการให้กำลังใจที่พวกเขาสองคนคิดกันขึ้นมาเหมือนเป็นรหัสลับแก่กัน

"ช่วยไม่ได้นะ ฉันชื่อ อาร์เธอร์ เวล์ล ฉันจะเป็นทีให้นายกลับไปเองเพื่อน"

อาร์เธอร์กล่าวแนะนำตัวกับมาร์คพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มรับกับแสงตะวันที่ใกล้จะลับฟ้าภายใต้ใบหน้าที่เด่นสง่าพร้อมกับผมและตาสีเพลิง

"นี่นายคือลูกของ ลูเธอร์ เวล์ล นักวิทยาศาสตร์อัฉริยะคนนั้นงั้นเหรอ !? "

ทันทีที่มาร์คได้ฟังอาร์เธอร์แบบนั้นด้วยความตื่นตันกับสิ่งที่อาร์เธอร์กล่าวนั้นทำให้มาร์คกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่และในขณะเดียวกันเขาก็ต้องประหลาดใจที่แท้จริงแล้ว อาร์เธอร์คือ ลูกของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดังที่ได้รับรางวัลมามากมายแถมยังเป็นคนสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยีต่างๆที่ทำให้ผู้คนได้ใช้กันอย่างแพร์หลายจนถึงทุกวันนี้

"ใช่ นั้นพ่อฉันเองละ เจ้าบ้านี่ตัวใหญ่ซะเปล่า ลูกผู้ชายน่ะ

เขาไม่ร้องไห้กันหรอกเฟ้ย"

อาร์เธอร์กล่าวพร้อมกับชนหมัดกับมาร์คและขึ้นรถเพื่อมุ่งไปยังบ้านของอาร์เธอร์

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!