อารัมภบท
เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังเล็กน้อย กับเสียงกดคีย์บอทที่ดังเป็นช่วงๆ เป็นเหมือนเครื่องมือสร้างแรงกดดันชั้นดีให้กันเด็กนักเรียนหญิงมัธยมต้นปี3 ที่กำลังนั่งหน้าซีดหลังตรง อยู่เบื้องหน้าครูที่ปรึกษาสาวหน้าหวาน
“ณัชชา”
เสียงเย็นๆที่ผิดกับหน้าตาของอาจารย์สาวเอ่ยขึ้นพลันทำให้เสียงกดคีย์บอทที่ดังอยู่เมื่อกี้หยุดลงทันที
“เราเจอกันในห้องนี้ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะ”
“ค..ครั้งที่6ค่ะ”
“7 ต่างหาก”
คำเอ่ยค้านเสียงแข็งของอาจารย์ทำเอาแทบหยุดหายใจ ความรู้สึกวาบที่ท้องไปจนถึงหัวใจนั้นเหมือนเป็นเครื่องตอกย้ำว่าใกล้ถึงเวลาอันสยดสยองแล้ว
“คำตอบล่ะ”
“…ไม่มีค่ะ”
เฮ้อออออ
เสียงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายดังขึ้นก่อนที่อาจารย์สาวจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินมานั่งข้างเด็กนักเรียนของตนเองคนนี้
“ณัชชา อีกแค่หนึ่งอาทิตย์เธอก็จะจบม.ต้นแล้วนะ ตั้งแต่เธอเริ่มภาคเรียนที่หนึ่งมาจนถึงตอนนี้ เธอมาเจอครูหลายรอบมาก แต่เธอก็ไม่เคยให้คำตอบครูได้เลยว่าขึ้นม.ปลายไปแล้ว เธอจะเรียนสายไหน จะเข้ามหาลัยไหน หรืออยากทำอาชีพอะไร”
เสียงถอนลมหายใจดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่ฝ่ามืออุ่นๆของครูจะทาบลงบนฝ่ามือที่เย็นเฉียบ แล้วกุมไว้เบาๆ
“เธอมีอะไรอยากจะบอกครูไหม”
“หนู..ไม่อยากเสียใจทีหลังค่ะ”
ด้วยปัจจัยหลายๆอย่างที่ไม่เอื้ออำนวยนัก จึงทำให้การตัดสินใจเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่จะต้องคิดอย่างหนัก
“เสียใจเรื่องอะไร”
“หนูกลัวว่าถ้าหนูเลือกผิด หนูจะเสียใจถ้าสุดท้ายมันไม่เป็นไปตามที่หวัง”
“แล้วเธอหวังอะไร”
น้ำเสียงที่ดูนุ่มขึ้นกับฝ่ามืออุ่นๆเป็นสิ่งที่ช่วยลดความประหม่าลงได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจทำให้เรียบเรียงสิ่งที่ต้องการจะสื่ออกมาได้อย่างชัดเจน
“หนูไม่รู้ค่ะ”
“โอเค งั้นเอาแบบนี้ไหม เธอลองทบทวนตัวเองดู ว่าเธอต้องการออะไร เธอทำอะไรได้ดี แล้วเธออยากอยู่กับอะไร วันนี้หลานครูจะมาเยี่ยมรุ่นน้องเดี๋ยวเธอลองไปถามหาแนวทางจากหลานครูก็น่าจะดีนะ เพราะเขาเองก็เคยอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเธอ เขาอาจจะช่วยอะไรเธอได้บ้าง วันนี้พอแค่นี้”
“ค่ะ”
อ่า วันนี้ไม่โดนบ่น แต่ก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่ดี
ยังไม่ทันได้ออกจากห้องพักครู เสียงครูที่ปรึกษาชายอีกคนก็ดังขึ้น
“โดนเรียกมาอีกแล้วหรอนัท เป็นลูกรักครูจริงๆเลยนะ รอบนี้เรื่องอะไรอีกหละ”
ถ้าเป็นลูกรักครูจริงๆก็ดีสิ จะได้ไม่โดนบ่นมาก แต่ที่ถามว่าเรื่องอะไรนี่ล้อกันเล่นใช่ไหม ก็เมื่อกี้นี้ ครูยังอุสาหยุดพิมพ์งานเพื่อแอบฟังเลยหนิ อย่าคิดว่าไม่รู้นะเพราะครูนั่นแหละ!!! หยุดกดดคีย์บอทบรรยากาศเลยกดดันกว่าเดิม มันน่านักนะ!!!
“ก็เรื่องเดิมนั่นแหละค่ะ ทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นไปได้นะคะครู”
“น้ำเสียงแบบนั้นมันอะไรกัน นี่ครูอุสามาถามเพราะเป็นห่วงเลยนะเนี่ย”
“ถ้าเป็นห่วงกันจริงก็บอกมาดีกว่าค่ะว่าหนูควรเลือกเรียงสายไหนแล้วต่อคณะอะไร”
“เฮ้ออออ นัทเอ๊ยนัท เรื่องนั้นครูคงจะบอกเราไม่ได้หรอกนะ แต่มีอยู่หนึ่งเรื่องที่ครูบอกได้”
ครูที่ปรึกษาชายลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานของตนเองก่อนจะเดินตรงมายังประตูทางออกที่คู่สนทนาของต้นยืนอยู่
“เรื่องของเธอ เธอก็ต้องหาคำตอบเอง แต่ถ้าคิดหาคำตอบอยู่เฉยๆแล้วไม่ได้คำตอบอะไร ก็ลองเดินทางออกไปหามันด้วยตัวเองซะสิ”
ลมอุ่นพัดมาปะทะกับร่างกายหลังจากประตูถูกเปิดออกโดยอาจารย์ที่ปรึกษาหนุ่ม ความอุ่นที่คล้ายกับค่อยๆโอบกอดร่างกายที่อุณหภูมิลดลงหลังจากอยู่ในห้องแอร์เป็นเวลานาน ทำให้ลดความสับสน และตึงเครียดลงได้บ้าง
หัวสมองที่กำลังตีกันวุ่นวายก็คล้ายว่าจะสงบไปด้วย ร่างกายเองก็สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นทำให้ผ่อนคลายจนเหมือนว่าตัวจะเบาขึ้นด้วยเลย
แต่ว่านะ
.
.
.
.
.
.
.
.
นี่มันเปิดประตูไล่กันชัดๆ
...To be continued...
...บทที่ 1...
...จุดเริ่มต้นของการเดินทาง...
ปลายเดือนมกราคม
เสียงโหวกเหวกนอกหน้าต่างเรียกความสนใจเด็กสาวมัธยมต้นปี3ให้เปิดหน้าต่างหอไปดู
แสงแดดอ่อนๆช่วงเย็น กับลมเย็นที่พัดผ่านหน้าต่างทำให้คนที่เพิ่งอาบน้ำมาหมาดๆรู้สึกหนาวเล็กน้อย
“เสียงอะไรหรอนัท”
“รุ่นพี่ที่มาเยี่ยมหอมั้ง ก่อนกลับจากโรงเรียนครูบอกว่าวันนี้จะมีรุ่นพี่มาเยี่ยม”
เมื่อเพื่อนร่วมหอได้คำตอบก็กลับไปสนใจที่ชีทสรุปของตัวเองต่อ ส่วนตัวเรานั้นก็เดินไปยังล็อกเกอร์เพื่อเอาโลชั่นทาผิวออกมาแล้วค่อยๆชะโลมตามเนื้อตัว
อ่า จริงสิ เราคงยังไม่แนะนำตัวสินะ เรานัท หรือชื่อจริง คือณัชชา สห เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตอนต้นปีที่3 ของโรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง และปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายของเราในโรงเรียนนี้เช่นกัน
โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนประจำที่เปิดสอนเฉพาะระดับมัธยมศึกษาตอนต้นเท่านั้น
ซึ่งตอนนี้เรากำลังประสบปัญหาใหญ่อยู่ นั่นก็คือ เรื่องของอนาคต ใช่ค่ะอ่านไม่ผิดหรอกปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้คือเรื่องของอนาคต
อย่างที่ทราบกันดีว่านักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายทุกคนจำเป็นต้องเลือกสายการเรียนเพื่อที่จะไปต่อยอดในอนาคต ไม่ว่าจะ สายวิทย์-คณิต สายศิลป์คำนวณ สายศิลป์ภาษา ไปจนถึสายอาชีพ
ซึ่งสิ่งที่เรากำลังกังวลคือหากเราเลือกเรียนไปสักพัก แล้วเกิดเปลี่ยนใจ หรือต้องมาย้ายคณะกลางคัน มันจะมีผลกระทบต่อครอบครัว ถึงแม้ว่าฐานะทางครอบครัวเราจะไม่ได้ยากจนหรือขัดสนอะไร แต่ก็ไม่ได้มีเงินเหลือใช้มาโปรยเล่น และเราเองก็ไม่ใช่ลูกคนเดียว หนำซ้ำยังเป็นพี่คนโตอีก หากตัดสินใจพลาดไปก็อาจจะส่งผลกรทบต่อครอบครัวในหลายๆด้านก็ได้
“รบกวนหน่อยนะคะ”
เสียงใสๆของรุ่นพี่ที่ไม่ได้ยินมานานดังขึ้น เรียกให้ทุกคนในหอละความสนใจจากสิ่งที่ทำอยู่ไปยังบุคคลที่มาใหม่
“พี่ฟ้า!!!”
เสียงผสานกันของคนในหอ5คนดังขึ้นแน่นอนว่ามีเราในนั้นด้วย
“ดีจ้าเด็กๆ ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีกันอยู่ใช่ไหม”
“พวกเราสบายดีค่ะ พี่ฟ้าเข้ามาด้านในก่อน” เสียงสมาชิกคนหนึ่งในหอเชื้อเชิญพี่ฟ้า ที่เป็นทั้งรุ่นพี่ เป็นหลานที่ครูพูดถึง และยังเป็นอดีตหัวหน้าหอแห่งนี้
“ปีนี้ในหอมีสมาชิกแค่5คนหรอ”
“เปล่าค่ะ มี6คน แต่รุ่นน้องอีกคนอยู่ห้องอาบน้ำ”
เพื่อนอีกคนตอบพลางยื่นขนมที่เพิ่งเอาออกมาจากล็อกเกอร์ให้อดีตหัวหน้าหอปีที่แล้ว
“อ๋อ แล้วปีนี้ใครเป็นหัวหน้าหอหละ”
“พี่นัทค่ะ”
เสียงรุ่นน้องอีกคนที่นอนอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ตอบขึ้น
“หืม เด็กหลงได้เป็นหัวหน้าหอหรอเนี้ย แต่ก็พอจะเข้าใจได้”
“เรียกใครว่าเด็กหลงคะ เราไม่เคยหลงทางสักหน่อย”
“พี่ก็ไม่ได้บอกว่าเราหลงทางสักหน่อย พี่หมายถึงหลงว่าจะไปต่อหรือเอายังไงกับชีวิตต่างหาก”
เถียงไม่ออกเลย ถึงเราจะไม่เคยหลงทางแต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกเหมือนกำลังหลงจนหาทางออกไม่เจอ
เสียงเปิดประตูของรุ่นน้องที่เพิ่งกลับมาจากอาบน้ำดึงความสนใจทุกคนไปที่ประตูอีกครั้งก่อนที่พี้ฟ้าจะพูดขึ้นว่า
“เรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง ตอนนี้มากินอะไรกันก่อนดีกว่า พี่ซื้อ ทั้งยำ ส้มตำ ไก่ย่าง สลัด แล้วก็เค้กมาฝากด้วย น้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็ด้วย รีบๆไปจัดการตัวเองแล้วมากินด้วยกันมา”
หลังจากที่จัดการอาหารที่พี่ฟ้าซื้อมาฝากเสร็จแล้วก็คุยสัพเพเหระไปเรื่อยๆ จนรู้ตัวอีกทีก็ใกล้ถึงเวลาปิดหอแล้ว
“จริงสิ นัทพี่ได้ยินจากน้ามาว่าเรามีปัญหาเรื่องเลือกสายการเรียนหรอ”
“ค่ะ”
“แล้วมีปัญหาอะไรหละ เราดูไม่น่าจะใช่คนที่ไม่คิดเรื่องอนาคตของตัวเองนะ”
“ก็เพราะว่าคิดนั่นแหละค่ะ คิดมากด้วย ถึงได้กลายเป็นเด็กหลงอย่างที่พี่ฟ้าบอกไงคะ”
เสียงสมาชิกในหอที่เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่กินเสร็จแล้วก็ไปนอนอ่านหนังสือการ์ตูนกับรุ่นน้องบนเตียงตอบขึ้น ก่อนที่เพื่อนที่นั่งข้างเราจะพูดขึ้นคล้ายยืนยันความจริงอีกเสียง
“ใช่ค่ะ เห็นคิดไม่ตกถึงขนาดไม่ลิสความชอบความถนัดของตัวเอง แล้วเอาไปเปรียบเทียบว่าตัวเองควรเข้าคณะไหนดีเลยนะคะ”
“แกหนะเงียบไปเลย แล้วก็กลับไปอ่านหนังสือเตรียมสอบของแกไปเลยไป”
“จ้าๆ ยืมสมุดเศรษฐศาสตร์หน่อยนะ”
“ล็อกเกอร์ชั้นสอง”
หลังจากที่เพื่อนคนนั้นเดินไปหยิบสมุดก็ไปนั่งที่โต๊ะญี่ปุ่นข้างเตียง ก็ทำให้เหลือแค่เรากับพี่ฟ้าสองคนที่นั่งคุยกัน
“สรุปว่าไม่รู้ว่าตัวเองควรเลือกเรียนสายไหน เพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทำงานอะไรใช่ไหม”
เราไม่ได้ตอบอะไรออกมาเป็นคำพูด ทำเพียงแค่พยักหน้า
“ไม่มีทางไหนที่สนใจเป็นพิเศษเลยหรอ เราถนัดงานฝีมือหนิ”
“ก็ใช่ค่ะ แต่มันเป็นแค่งานอดิเรกเวลาว่าง ให้ทำเป็นอาชีพไม่ไหว”
“แล้วพวกงานบริการหละ เองก็ทำได้ดีเลยหนิ”
“ถ้าแค่นานๆครั้งก็ไหวอยู่หรอกค่ะ แค่ถ้าจะให้ทำทุกวันไม่ได้จริงๆ”
“แล้วหมอ พยาบาล วิศวะ ครู นักออกแบบ นักวิจัย เกษรตกร แม่ค้า”
“น่าจะไม่ไหว” คำตอบที่เราตอบออกไปเรายอมรับเลยว่าลังเลหน่อยๆ
“แล้วเคยลองทำบ้างหรือยัง”
“คะ?”
“พี่ถามว่าเราเคยลองทำบ้างหรือยัง”
“ก็ต้องไม่เคยทำอยู่แล้วสิคะ เราอยู่แค่ม.3นะคะ”
“งั้นเอาแบบนี้ไหม เราก็ลองไปลงงานเอาเลย เราจะได้ตัดสินใจเองว่าอยากทำ หรือไม่อยากทำอะไร ถ้าเอาแต่คิดว่าทำงานนี้เราอาจจะเป็นแบบนั้น ทำงานนั้นเราอาจจะเป็นแบบนู้น เราก็จะตัดสินใจไม่ได้สักที เราหนะเป็นประเภทที่จะตัดสินใจเด็ดขาดก็ต่อเมื่อเราลงมือทำมันแล้ว แต่ถ้ายังไม่ลองทำก็จะปฏิเสธมันด้วยความลังเล”
“พูดเหมือนรู้จักเราดีเลยนะคะ” เราพูดออกมาทีเล่นทีจริง
“ก็ต้องรู้จักเราดีสิ พี่ดูแลเรามาตั้ง2ปีเลยนะ แค่2ปีก็มากพอที่จะรู้จักคนแบบเราแล้ว สรุปว่ายังไง? จะลองทำดูไหหม”
“แล้วจะลองยังไงคะ?”
“ม.3 ที่นี่ปิดเทอมก่อนที่อื่นใช่ไหม”
พี่ฟ้าทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะกดโทรศัพท์ แล้วส่งมาให้เรา
บนหน้าจอเป็นเว็บไซต์ ที่มีรูปกิจกรรมต่างๆ เหมือนจะเป็นเด็กนักเรียนไปลองงานอาชีพต่างๆ
“นี่เป็นโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นที่พี่เคยไปเข้าร่วม คนที่เข้าร่วมสามารถไปลองงานอาชีพต่างๆที่สนใจได้ ระยะเวลาของซีซั่นนี้ มี2แบบ แบบแรกคือ2เดือน กับแบบที่สองคือ3เดือน”
“มี2แบบ แล้วเขาจะจัดโครงการแบบไหนหรอคะ หรือว่าจัดกันคนละเวลา”
“คือโครงการนี้มีโรงเรียนเข้าร่วมหลายโรง แต่ละโรงก็จะรับผิดชอบไปเลยว่าโรงนี้จะรับเฉพาะแบบ2เดือนหรือ3เดือน แล้วพวกเราที่เป็นผู้เข้าร่วมก็สามารถเลือกได้ด้วยว่าจะลงโรงเรียนไหน แบบ2เดือน จะเริ่มต้นเดือนเมษายน ไปจนถึงปลายเดือนพฤษภาคม ส่วนแบบ3เดือน ก็เริ่มต้นเดือนเมษายนเหมือนกัน แต่จะไปจบที่ปลายเดือนมิถุนายน”
จากภาพที่ดู เหมือนว่าจะได้ไปลองลงงานจริงเลย ก็น่าสนใจอยู่นะ แต่ถ้าได้ไปลงมือจริงต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะแน่ๆ แต่ก็น่าสนใจอยู่นะ เอาไงดีอยากไปก็อยากไป แต่เรื่องเงินก็ต้องคิดหนักเหมือนกัน เอาไงดีๆ
“คือว่านะนัท จริงๆซีซั่นนี้พี่ก็อยากจะไปอีก แต่ไม่มีใครไปเป็นเพื่อน นอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าอยากให้นัทไปค้นหาตัวเอง พี่อีกเหตุผลหนึ่งก็อยากให้นัทไปเป็นเพื่อนพี่ด้วย แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องว่าจะไม่ได้อะไรกลับมานะ พี่รับประกันได้เลยว่านัทจะได้อะไรดีๆกลับมาแน่นอน นะนัท ไปกับพี่นะ”
“เราก็คิดว่าถ้าไปก็คงได้ประสบการณ์หรืออะไรอื่นๆมาเยอะเหมือนกัน แต่เทอมหน้าเราต้องขึ้นม.ปลายแล้ว เรื่องค่าใช้จ่ายเราคิดว่า-”
“ฟรี” ยังไม่ทันพูดจบประโยค พี่ก็พูดขัดขึ้นมาดักเราไว้ก่อนแล้ว
“ห..ห๊ะ”
“ก็ไม่ใช้ว่าฟรีทั้งหมดหรอก แต่ค่าเดินทาง ค่าหอ เราไม่ต้องจ่าย มีอาหารเที่ยงตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วม จ่ายแค่ค่าเข้าร่วม6,500บาท กับค่ากินเท่านั้น”
“แล้วค่าไปลองงานก็ไม่ต้องจ่ายหรอคะ”
“ไม่ต้อง”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วรออะไรอยู่หละ เรารีบเอาสมุดแพลนเนอร์ออกมาเปิดดู
โรงเรียนที่จะเข้าม.ปลายก็สมัครไปแล้ว เปิดเรียนปลายเดือนพฤษภาคม เหลือแค่ไปยืนยันตัวตนอีกรอบกลางเดือนกุมภาพันธ์ สัปดาห์หน้าขึ้นเดือนกุมภาพันธ์ก็สอบปลายภาค จากนั้นหลังจากสอบเสร็จอีก2วันก็สอบ O-NET แล้วกลับบ้านวันถัดไป
จากที่ดูๆแล้ว ก็มีเวลาทำงานเสริมเก็บเงินไปเข้าร่วมโครงการเกือบๆสองเดือนเลยนะ!!
“ไปค่ะ”
หลังจากที่เช็คตารางต่างๆเรียบร้อยแล้ว เป็นอันสรุปว่าไปได้ หนำซ้ำมีเวลาเก็บเงินอีกตั้งเกือบๆ สองเดือน จะได้ไม่ลามไปเงินเก็บที่จะเอาไปจ่ายตอนซื้อหนังสือ หรือใช้จ่ายที่ต้องจ่ายตอนเปิดภาคเรียนอีกด้วย
“พูดจริงนะ นัทพูดแล้วนะ ห้ามกลับคำเด็ดขาดเลยนะ”
น้ำเสียงที่ดูดีอกดีใจของพี่ฟ้า ทำเอาเราอมยิ้มไปด้วยเลย อะไรจะขนาดนั้นคะพี่ฟ้า
“พี่แนะนำให้เราไปแบบ2เดือนนะ” พี่พูดขึ้นพลางเอานิ้วชี้ไปที่เดือนในแพลนเนอร์
“เห็นด้วยเลยค่ะ โรงเรียนเปิดปลายเดือนพฤษภาพอดี”
“โอเคงั้นตามนี้ เดี๋ยวพี่ส่งแบบฟอร์มการสมัครให้ในไลน์นะ”
“เราก็ไปขอใช้คอมที่หอพักครูก็ได้”
“ค่ะ พี่บอกว่าโครงการนี้มีโรงเรียนเข้าร่วมหกลายที่ใช่ไหมคะ แล้วพี่ลงที่ไหน เราจะได้ลงที่เดียวกันกับพี่เลย”
“อ๋อ พี่ลงโรงเรียนช่องหมายเลข1โทชิกิหนะ”
เดี๋ยวนะ โทชิกิ เหมือนมีอะไรแปลกๆจะเกิดขึ้น
“โทชิกิ? ที่ไหนหรอคะ”
“จังหวัดโทชิกิ ประเทศญี่ปุ่นไง”
“ห๊ะ!!! ญี่ปุ่น!!!”
สมาชิกทุกคนในหอไม่ว่าคนที่กำลังนอนอ่านหนังสือการ์ตูน นั่งอ่านหนังสือนิยาย นั่งเขียนชีทสรุป อ่านหนังสือสอบ เคลียร์งาน หรือแม้กระทั่งเราเอง ก็พูดประโยคเดี๋ยวกันและน้ำเสียงตกใจเหมือนกันออกมาอย่างไม่ได้นัดหมาย
.
.
.
.
.
.
.
.
ญี่ปุ่น! ล้อกันเล่นใช่ไหม อย่าว่าแต่ประเทศเพื่อนบ้านเลย ในจังหวัดของตัวเองเรายังไม่เคยไปเที่ยวครบทุกที่เลยด้วยซ้ำ
......To be continued ......
...บทที่ 2
...
...มิติใหม่ของการโดนเท
...
กลางเดือนมีนาคม
เสียงอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ของผู้คนที่เดินขวักไขว่กันไปมาดังคลอทั่วบริเวณ แทรกด้วยเสียงประกาศตามสายของพนักงานสายการบินที่ดังกึกก้องขึ้นมา เรียกความสนใจหญิงสาวที่นั่งเอื่อยเฉื่อยได้เล็กน้อย
“ไม่ใช่ประกาศของเที่ยวบินที่เราจะขึ้นแห๊ะ” สิ้นประโยคฝ่ามือเรียวผิวสีน้ำผึ้งยกแก้วเครื่องดื่มสีเข้มขึ้นดื่ม ขณะที่สายตายังคงสอดส่องผู้คนที่เดินไปมาเพื่อเป็นการฆ่าเวลา
ทั้งกลุ่มหญิงสาวสี่ ห้าคนที่เดินไปยังทางออกของสนามบินด้วยใบหน้าที่แต้มรอยยิ้ม พร้อมด้วยเสียงพูดคุย และเสียงหัวเราะคิกคั้ก ผิดกับชายใส่สูทถือกระเป๋าอีกคนที่เดินสวนกับกลุ่มหญิงสาวด้วยจังหวะก้าวยาวๆ สีหน้าเคร่งเคลียด ดูแล้วก็รู้ได้ในทันทีว่ากำลังเร่งรีบเพื่อไม่ให้ตกเครื่อง
เป็นเวลาเกือบ30นาทีแล้วที่เรามายังสนามบินแต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของพี่ฟ้าเลย
เมื่อเปิดมือถือดูแล้วยังไม่เห็นแจ้งเตือนใดๆ ก็เก็บมือถือลงกระเป๋า นี่ก็ใกล้ถึงเวลาที่จะต้องขึ้นเครื่องแล้วด้วย น่าจะกำลังนั่งรถมาแน่ๆ
แต่ว่านะ…ถึงตอนนี้ก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดีว่าเรากำลังจะไปญี่ปุ่น อาการตื่นเต้น มือไม้เย็น รู้สึกกระสับกระส่าย ยังไงก็ไม่รู้ มันเหมือนเป็นเรื่องไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องยกความดีความชอบให้พี่ฟ้าจริงๆ ตอนแรกที่เราเอ่ยบอกเรื่องอยากไปโครงการแลกเปลี่ยนระยะสั้นต่างประเทศ คนที่บ้านก็คัดค้านกันใหญ่ คัดค้านหัวชนฝาเสียด้วยสิ
นึกถึงแล้วคล้ายความกดดันตอนนั้นหวนกลับมาอีกครั้ง
จำได้เลยว่าวันแรกที่เรากลับมาบ้านหลังจบจากโรงเรียน มื้อเย็นวันนั้นเราได้ไปบอกเรื่องอยากเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนกับครอบครัว พ่อที่ปกติจะค่อนข้างตามใจ และดูเป็นคนที่รับฟังเหตุผลของลูกอยู่เสมอ ยกธงแดงห้ามอย่างเด็ดขาดแล้วยังไล่กลับห้องทั้งที่ไม่เปิดโอกาสให้เราพูดเลย
ถึงอยากจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก สีหน้าพ่อดูโกรธมากจริงๆ อีกทั้งบรรยากาสที่ทั้งอึดอัดและกดดัน ทำให้เราไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ถึงพูดไปตอนนั้นก็คงมีแต่แย่ลง เลยเลือกเดินคอตกกลับห้องไป จบกัน…ลาก่อนทริปแลกเปลี่ยนญี่ปุ่นของเรา
แต่ใครจะไปคิดพอวันรุ่งขึ้นแม่ดันเปิดประเด็นว่าเก็บเรื่องที่เราพูดไปคิดดูแล้ว และอยากฟังรายละเอียด
พวกเราสามคนพ่อแม่ลูกเลยได้นั่งจับเข่าคุยกันที่โซฟาห้องใหญ่ของบ้าน
เมื่อเล่ารายละเอียดรวมถึงเหตุผลที่อยากเข้าร่วมให้ทั้งพ่อและแม่ฟัง แม่ก็ทำหน้าตาคิดหนักก่อนจะพูดในสิ่งที่อยากพูดที่สุดออกมา
“นัท แม่คิดว่าเราลองวิธีอื่นดีไหม เอาจริงๆนะ แม่ไม่ได้อยากจะกีดกันโอกาสที่ลูกจะออกไปเรียนรู้นะ แต่ลูกยังอายุแค่15-16 แถมลูกยังไม่เคยไปเที่ยวต่างประเทศเลยสักครั้ง การที่เราจะไปอยู่เป็นเวลานานๆมันไม่เหมือนกับการไปเที่ยวนะ”
ได้ยินแบบนั้นเราก็แอบลังเลนิดหน่อยเรื่องที่เรายังเด็กเกินกว่าจะเดินทางไกลคนเดียว
เหมือนเล็งเห็นโอกาสที่เราลังเล พ่อเลยไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดมือ พูดเสริมเข้าไปอีก
“ใช่ ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ไม่อยากให้เราได้ออกไปค้นหาตัวเองนะ แต่ลูกหนะยังเป็นเด็กผู้หญิง เป็นเยาวชนอยู่เลย การจะไปอยู่ต่างที่ต่างถิ่นคนเดียวมันอันตราย และที่จะไปคิดแล้วหรือยังว่าไปแล้วจะอยู่จะกินยังไง พูดกับเขายังไงอีกเรากับเขาไม่ได้พูดภาษาเดียวกันนะ จะสื่อสารกันได้หรอ”
เราหยุดคิดทบทวนหลายสิ่งที่พ่อและแม่พูดออกมา และสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า
“นัทอยากไปจริงๆค่ะ” ตอนนี้เราได้รู้อะไรอย่างหนึ่งจากการอยู่หอพักร่วมกันกับคนหลากหลายแบบ
สิ่งที่เราต้องการให้คนอื่นรู้ เราต้องพูดมันออกมา ไม่ควรเก็บเอาไว้ เพราะถ้าเราไม่พูดออกมาคนอื่นเขาก็จะไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร แต่ต้องดูกาลเทศะด้วย
เอาเถอะ!!! จะพูดแล้วนะ!!! ผลจะออกมาเป็นยังไงก็ช่างมัน ขอแค่พูดออกมาให้เขารู้ในสิ่งที่เราต้องการก่อน
“นัทอยากไป ไม่ใช่แค่ค้นหาตัวเองค่ะ นัทอยากไปลองใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนหลากหลายแบบ อยากลองออกไปดูว่าคนอื่นเขาอยู่กันยังไง ทัศนะคติเป็นแบบไหน โลกที่นอกเหนือจากบ้านและโรงเรียนเป็นยังไง แล้วตัวนัทเองจะเป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า หรืออยากเป็นแบบนั้นหรือเปล่า นัทอยากไปดูไปศึกษา แล้วก็หาคำตอบเองค่ะ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะคะ นัทคิดว่าในเมื่อโอกาสแบบนี้มาถึงเราก็ควรจะคว้าไว้ไม่ใช่หรอคะ”
ดูจากที่พ่อแม่หันไปมองหน้ากัน เชิงปรึกษา เราก็ไม่รอช้าพูดเสริมเข้าไปอีก
“ที่นั่นมีคนจากหลายประเทศค่ะ ไม่ใช่ที่ไทยกับญี่ปุ่นเท่านั้น คนที่ไปเข้าร่วมก็อายุประมาณนัทนี่แหละค่ะ ที่นั่นมีหลากหลายอาชีพให้เราได้ลองไปศึกษาดูนะคะ ได้ลงมือปฏิบัติจริงด้วย การดูแลก็ดี เรื่องที่พักก็ปลอดภัยมาก ระยะเวลาเข้าร่วมโคงการคือ2เดือนก็จริง แต่มีการให้ไปอบรมปรับพื้นฐานก่อน2อาทิตย์ การจะไปลองงานจะไปลองที่ไหนตอนไหนก็ได้ก็จริง แต่การได้พบคนหลากหลายแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะหาที่ไหนก็ได้นะคะ”
ผิดคาด เราคิดว่าพ่อกับแม่จะพยายามพูดโน้มน้าวเราซะอีก แต่ทั้งสองคนนกลับถอนหายใจ แล้วยิ้มซะงั้น
“แม่เป็นกังวลแทบตายเลยว่าเราจะยอมแพ้ไปง่ายๆ รู้ไหมตั้งแต่ที่เราบอกแม่ว่าม.ต้นอยากเรียนโรงเรียนประจำ แล้วหลังจากเราได้ไปเรียนกลับมาเราก็พูดน้อยมาก”
“แทบไม่พูดเลยต่างหากแม่” เสียงพ่อพูดแย้งขึ้น แม่ยิ้มก่อนจะพูดต่อ
“ใช่ แล้วเราไม่เคยมาปรึกษาเรื่องเรียนต่อ เรื่องอนาคต หรือเรื่องอื่นๆเลย เรื่องที่ลูกยังเลือกไม่ได้ว่าจะเรียนต่ออะไร แม่ยังต้องรู้มาจากครูเลย แม่กับพ่อคิดหนักเรื่องนี้มาตลอดเลยนะ แม่กับพ่อไม่รู้ว่าต้องทำไงดีเพราะเราก็เป็นเป็นลูกคนแรกและยังเป็นพี่คนโตที่เผลอแป็บเดียวก็โตไปจนพ่อแม่เองก็ปรับตัวตามแทบไม่ทัน แล้วจู่ๆพอเรียนจบม.ต้นก็มาบอกว่าอยากไปญี่ปุ่นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แม่กับพ่อใจหายนะรู้ไหม”
เราไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าทำให้ที่บ้านเป็นกังวลเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่รู้ตัวมาก่อนเลยด้วยว่าเราพูดน้อยลง
หลังจากนั้นแม่ก็เล่าว่าเมื่อคืนพี่ฟ้าโทรมาบอกเล่าเรื่องโครงการแลกเปลี่ยนแล้ว
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะยังไม่อยากให้เราไป แต่เพราะไม่อยากปิดโอกาสลูก และเพราะมีพี่ฟ้าที่เคยไปร่วมโครงการมาแล้วจะไปด้วยอีกทั้งยังรับปากว่าจะดูแลเราให้ทั้งสองยอมให้ไป
พี่ฟ้านี้เป็นนางฟ้ามาโปรดจริงๆ แต่ว่าทำไมถึงช้านักนะ อีกไม่กี่นาทีก็จะต้องขึ้นเครื่องแล้ว เราเองก็นั่งดูคนเดินไปเดินมาจนจะตาลายอยู่แล้ว
แม้ว่าการมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะพอฆ่าเวลาได้บ้าง แต่ความเบื่อหน่ายก็เพิ่มขึ้นมาทีละน้อยเช่นกัน เมื่อละสายตาจากพื้นที่นั้นเพื่อหลีกหนีความวุ่นวายแล้วหันไปยังกลุ่มนักเรียนเสื้อสีแดงเลือดหมูเกือบๆ20คนที่จะไปแลกเปลี่ยน และเราเป็นหนึ่งในคนที่ต้องร่วมเดินทางไปด้วย…อ่า มันก็วุ่นวายไม่แพ้กัน
มีทั้งคนที่จับกลุ่มพูดคุย กลุ่มคนที่นั่งเล่นบอทเกมและเกมมือถือ กลุ่มคนที่อ่านหนังสือ กลุ่มคนที่นั่งกินอาหาร หนักสุดก็คนที่นอนหลับกลางความวุ่นวายนั้นได้อย่างหน้าตาเฉย เห็นแบบนี้นอกจากจะไม่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายลงแล้ว ยังทำให้รู้สึกเคลียดขึ้นมาอีกด้วย
ในเมื่อไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่มีทางเลือกที่สงบเงียบเลย งั้นก็ขอหันกลับไปดูคนเดินไปมาเสียยังจะดีกว่า การไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศครั้งแรกในชีวิต…จะไหวไหมเนี่ย
“เธอ เด็กใหม่ใช่ไหม” เสียงทุ้มนุ่มลึกที่ดังขึ้นใกล้ๆ เรียกให้คนผิวสองสีหันไปยังต้นเสียง
“เรา…ใช่ไหม?”
“ใช่ เธอนั่นแหละ”
ปรากฏเป็นสมาชิกคนหนึ่งจากกลุ่มนักเรียนแลกเปลี่ยนที่จะต้องร่วมเดินทางไปด้วย เขายืนยิ้มตาหยี่อยู่ตรงหน้า
“โทษที ขอรบกวนหน่อย พอดีต้องการใช้อันนี่หนะ”
ฝ่ามือขาวเหลืองข้างขวาของเขายกแก้วชาไทยที่ดื่มไปเกือบครึ่งแก้วขึ้นมา
“อันนี้?” ว่าจบก็ยกแก้วโกโก้ปั่นในมือข้างขวาที่พล้องไปเกินครึ่งแก้วแล้วขึ้นมาเชิงถาม
คนตรงหน้าลนลานก่อนจะยกมืออีกข้างที่มีโทรศัพท์อยู่ขึ้นมา
“จะใช้โทรศัพท์?”
“ใช่ๆ แต่ถ้าไม่สะดวกให้ใช้โทรศัพท์ ก็ขอใช้พาวเวอร์แบงค์ก็ได้ พอดีไม่ได้ชาร์ตโทรศัพท์ แล้วก็ไม่หยิบพาวเวอร์แบงค์มาด้วย” เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางที่แสดงออกมาว่าเกรงออกเกรงใจ จึงค้นกระเป๋าสะพายที่วางอยู่ข้างๆให้
หลังจากได้พาวเวอร์แบงค์ไปแล้ว พ่อหนุ่มผิวขาวเหลืองก็ไม่ได้ไปไหน แต่กลับนั่งลงข้างๆ แล้วพูดคุยเรื่องราวต่างๆไปเรื่อยๆ
“จริงสิ ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยใช่ไหม ภาคินนะ เรียกว่าคินก็ได้”
“ณัชชา เรียกนัทก็ได้”
“เพิ่งมาโปรแกรมแลกเปลี่ยนนี้ครั้งแรกใช่ไหม มีอะไรถามได้นะ นี่ครั้งที่2แล้ว”
ท่าทางที่ดูสบายๆ กับบรรยากาสที่ผ่อนคลายขึ้นทำให้อีกฝ่ายดูเข้าถึงง่ายไม่น้อยเลย ถึงแม้หน้าตาจะดูถึงดูดผู้คนอยู่แล้ว แต่เมื่อมานั่งคุยแบบเป็นกันเองแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอะไรที่แปลกใหม่ดี หนุ่มหล่อกับความเฟรนลี่ช่างเป็นอะไรที่เข้ากันจริงๆ
“ว่าแต่นัทรู้จักโปรแกรมแลกเปลี่ยนนี่มาจากไหน เห็นในเน็ต หรือมีใครแนะนำหรอ”
“รุ่นพี่ที่โรงเรียนแนะนำมา เขาเพิ่งเข้าร่วมโปรแกรมนี่ตอนรอบล่าสุด เลยเชียร์ให้มา”
“อ๋อ แล้วนัทลงจังหวัดไหนหละ”
“โทชิกิ”
“ถามจริง!!! บังเอิญจังทางนี้ก็โทชิกิ”
อือ บังเอิญจริง จังหวะมีตั้งเยอะแยะ ดันได้ที่เดียวกันเฉย
“แล้วนัทลงโรงเรียนอะไร”
“ตอนแรกก็ลงที่อุตสึโนะมิยะ แต่ที่นั่นเต็มเลยโดนปัดไปอยู่อาชิคางะแทน”
หลังจาที่เราตอบ ภาคินเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานก็สีหน้าตกใจ ตาโต ส่วนปากเองก็เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูดออกมาอยู่หลายครั้งจนในที่สุดก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“จริงดิ สุดยอด คือซีซั่นที่แล้วทางนี้เองก็อยู่โรงเรียนนั้นนะ เสียดาย ถ้าเลือกที่เดิมเราอาจจะได้อยู่ด้วยกัน”
น้ำเสียงเสียดายกับท่าทางหงอยๆแอบทำให้มีความคิดว่า เขาดูน่ารักดีนะ ผุดขึ้นมาในหัวซะอย่างงั้น
“งั้นหรอ แล้วทำไมครั้งนี้ถึงเลือกไปเรียนที่นั่นหละ”
“แน่นอนอยู่แล้วเพราะว่า ที่อุตสึโนะมิยะเป็นเมืองหลวงของจังหวังโทชิกิ เรื่องความสะดวกสบายหนะแน่นอนอยู่แล้ว ที่เที่ยวนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง และที่สำคัญที่สุดคือ…”
ท่าทางที่เล่าอย่างจริงจังและออกรสนั้นทำให้คนฟังอย่างเราแอบลุ้นคำตอบสุดท้ายที่เขาจงใจเว้นเอาไว้
“ยูนิฟอร์มนักเรียนชายโครตเท่”
เหตุผลแค่นี้อะนะ ถามจริง
แต่ด้วยสีหน้าของคนที่ตั้งใจเล่าดูภูมิอกภูมิใจเราเลยทำได้แต่ยิ้มแห้งกลับไป
“งั้นหรอ”
“ใช่ รู้ไหมในโทชิกิ มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการนี้อยู่แค่3แห่ง ซึ่งที่อาชิคางะนักเรียนชาย ใส่ชุดกัคคุรันสีดำ ส่วนที่นิกโก ใส่กัคคุรันสีกรม มีแค่ที่อุตสึโนะมิยะที่ได้ผูกเน็กไท เราเลยเลือกได้อย่างไม่ลังเล”
เอาที่สบายใจเถอะ จะใส่แบบไหนก็เป็นนักเรียนเหมือนกันไม่ใช่หรอ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดขึ้นอีกครั้งก็มีเสียงตามสายแจ้งว่าต้องขึ้นเครื่องแล้ว จากนั้นผู้ดูแลก็เช็คจำนวนคน และจัดการนำทางคณะนักเรียนแลก
เปลี่ยนไปขึ้นเครื่อง
ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นเสียงแจ้งเตือนไลน์ก็ดังขึ้้นมาพอดี
คนแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือพี่ฟ้า
เรารีบเปิดเข้าไปอ่านข้อความทันที
...‘นัท พี่ขอโทษนะ พอดีพี่เป็นไข้หวัดใหญ่เลยไปกับเรา...
...ไม่ได้แล้ว
...
...พี่แจ้งกับทางผู้ดูแลโครงการแล้ว เราเองก็ขอให้สนุก...
...กับการค้นหาตัวเองนะ
...
...ด้วยรัก…พี่ฟ้า’
...
หัวสมองของเราในตอนนั้นรู้สึกโล่ง ขาวโพลนไปหมด
อ่า…ไม่ใช่สิ มันตื้อไปหมดต่างหาก!!!!!
.
.
.
.
.
.
.
.
พี่ฟ้านะพี่ฟ้าทิ้งกันได้ลงคอ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!