สวัสดีครับทุกท่าน ผมมีประสบการณ์แต่งนิยายไม่ถึง2ปี นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งจึงอาจมีข้อผิดพลาดบ้างในบางส่วน ขอความกรุณาติชมอย่างสุภาพด้วยครับ
เรื่อง ไร้ลิขิตสวรรค์ จะเล่าการเติบโตของพระเอกอย่าง'กาล'และตัวละครหลักอื่นๆในเซ็ตติ้งโลกแฟนตาซีผสมไทยนิดๆชาติอื่นหน่อยๆ โดยที่โลกใบนี้เคยมีทวยเทพดูแลถึง16องค์แต่ปัจจุบันเหลือเพียง2 และเนื้อเรื่องในแต่ละตอนจะสร้างคำถามและตอบคำถามในใจของทุกท่านไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องใดที่ยังไม่ถูกเปิดเผย ณ ตอนนี้ อาจจะถูกเปิดเผยในอนาคต
ณ ดินแดนแห่งเทพเจ้า
ท้องฟ้าสว่างไสว เหล่าทวยเทพ16องค์ ประกอบไปด้วยเทพเจ้าแห่งด้านสว่าง/ด้านมืดกลุ่มละ4องค์และเทพเจ้าในอาณัติของแต่ละฝ่ายกำลังสังสรรค์กันบนสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความสวยงาม พื้นสีขาวนวล แสงสีทองอร่าม ทุกองค์ดื่มสุราเนื่องในโอกาสที่พวกเขาช่วยกันดูแลโลกใบนึงจนสงบสุขมาเป็นเวลา2000พันปีบริบูรณ์ แต่ความสุขไม่จีรัง หลังจากงานสังสรรค์นั้นเทพเจ้าแห่งด้านมืดทั้ง4และเทพเจ้าในอาณัติอีก4องค์เกิดคุ้มคลั่งและเริ่มโจมตีเทพเจ้าองค์อื่น และปลดผนึกที่ทำให้ดวงจิตไม่โจมตีมนุษย์แล้วด้วย
"พวกเองจะทำกระไรหยุดเสียเถอะ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์"เหล่าเทพปรามสหายของตนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะใช้กำลังหยุดพวกเขาโดยไม่เต็มใจนัก
การต่อสู้ของเทพเจ้าสร้างความวุ่นวายและความสูญเสียอย่างแสนสาหัสแก่มนุษย์....และทวยเทพ
หลังจากนั้นได้เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นภูติผีปีศาจหรือดวงจิตทั้งหลายได้อาละวาดไปทั่วโลก พวกมันพรากชีวิตของมนุษยชาติไปนับไม่ถ้วน แต่เทพเจ้าด้านสว่างทั้ง4องค์ แบ่งพลังบางส่วนให้มนุษย์เรียกว่าไสยะ และ ก่อตั้งคณะไสยพิทักษ์ขึ้นเพื่อกำจัด กักขัง และศึกษาพวกมัน เด็กที่มีพลังวิเศษต้องเข้ารับการศึกษาและฝึกฝนเพื่อเป็นกองกำลังในการปกป้องมนุษย์จวบจนตอนนี้ แม้จะผ่านมานานแล้วก็ตามดวงจิตก็ยังไม่หายไป
วันจันทร์ ที่13 เดือนมกราคม เทพอนุเคราะห์ศักราชที่5000
ณ เมืองชายแดนของอาณาจักรเมตธานี เมืองแพร อาณาจักรนี้เคยถูกเทพแห่งลมและความเมตตา 'ท่านมารุต' ดูแลร่วมกันกับราชวงศ์และรัฐบาล แต่หลังจากเหล่าเทพเจ้าหายไป ทิ้งให้มนุษย์ปกครองกันเอง ความเสื่อมโทรมของอาณาจักรเมตธานีและอาณาจักรอื่นๆซึ่งเคยมีเทพเจ้าปกครองจึงเกิดขึ้น
เด็กชายผมสีดำทมิฬ ผิวสีแทนได้ตื่นขึ้นจากภวังค์ด้วยความตื่นเต้นในเรือนไม้ วันนี้เขาอายุ9ขวบบริบูรณ์ มันเป็นวันสำคัญสำหรับทุกคนเนื่องจากเขาและครอบครัวจะได้ลุ้นว่าเขาจะสามารถเป็นหนึ่งในคณะไสยพิทักษ์ได้หรือได้หรือไม่ พวกเขารอรับจดหมายจากกระทรวงเวทมนต์ซึ่งจะมาในเพลาเช้า
"เขาทำยังไงถึงรู้ว่าผมจะมีไสยะหรือเปล่าขอรับ"เด็กน้อยถาม ดำและนิ่ม ผู้เป็นพ่อและแม่ด้วยความใคร่รู้ขณะที่ตนกำลังย่างออกมาจากห้องนอน
"เขาตรวจจากการตอบสนองของเลือดที่เขาขอเจาะไปต่อดอกเทพา ถ้าเลือดสัมผัสกับดอกเทพาแล้วเปล่งแสงก็ถือว่าลูกใช้ไสยะได้"พ่อตอบกลับขึ้นมาจากใต้ถุนบ้าน
หลังจากรอจนถึงเที่ยงวัน จดหมายจากกระทรวงศึกษาธิการก็มาถึง "ลูกชายของท่านจะได้รับการศึกษาไสยะและความรู้ทั่วไป ณ สถานที่ฝึกสอนต่างๆและเมื่อผ่านบททดสอบทั้งหมดเขาจะได้รับการศึกษาต่อที่โรงเรียนประจำตามผลสอบที่ได้ และทางกระทรวงศึกษาธิการจะรับผิดชอบค่าเล่าเรียนใหั ส่วนสถานที่ฝึกสอนขอความร่วมมือให้หาเอาเอง" เมื่ออ่านจดหมายจบ กาลยิ้มออกมา ด้วยความเป็นเด็กเรื่องเช่นนี้ย่อมน่ายินดีแม้ว่ามันจะเป็นการยัดเยียดความรับผิดชอบให้เด็กที่ไม่รู้ประสีประสา เมื่อหาครูฝึกได้ในอีก2วันต่อมา พ่อแม่ของเขาก็พากาลไปฝากไว้กับครูทันที
ในระหว่างทาง
"ดูสินั่นตระกูลตรีโลกนาถ ตระกูลที่ผู้ใดมีไสยะก็เป็นดวงจิตทุกคนไง"ระหว่างทางชาวบ้านต่างซุบซิบนินทาเกินความจริงเพราะถ้าไม่นับกาลผู้ที่ใช้ไสจะได้ในตระกูลก็มีแค่คนเดียว
"ตระกูลนั้นไม่มีผู้ใดมีไสยะมานานแล้ว ถ้าเด็กคนนี้โตขึ้นมาเป็นดวงจิตจะไม่ชิบหายกันหมดหรอ"ชาวบ้านส่วนใหญ่เกลียดคนจากตระกูลนี้อย่างมาก
พ่อแม่ลูกเดินไปที่พักของครูฝึกด้วยกันโดยไม่ได้ยินคำซุบซิบนินทาใดๆ
อากาศเย็นในช่วงฤดูเหมันต์พบได้ทั่วไปในเขตชายแดนเหนือ ลมพัดอ่อนๆราวกับคำอวยพรของเทพแห่งลม
"ครูที่ผมต้องฝึกด้วยคือใครหรอขอรับ" กาลถามในขณะที่ดำกำลังจูงมือของตนอยู่
"ชื่อ พชรพล เป็นครูฝึกที่มีความสามารถ"ดำตอบและลูบหัวกาลด้วยความเอ็นดู
"ถึงแล้วล่ะ"พ่อหยุดเดินเมื่อถึงหน้าบ้านของครูฝึก
"ฉันไหว้เจ้าค่ะ/ขอรับ"พ่อและแม่เคาะประตูบ้านหลังนั้นพร้อมทักทาย
หลังจากประตูเปิดออก ชายผมสีน้ำตาล ในชุดสีน้ำตาล หน้าตาหล่อเหลาได้ทักทายทันที
"ฝากลูกของพวกเราด้วยนะขอรับ/เจ้าคะ" พ่อและแม่ได้รีบฝากฝังกาลไว้กับพชรพลและกลับไปยังบ้านของตน
"จะดูแลอย่างดีเลยขอรับ"พชรพลตอบด้วยความยินดีและพากาลเข้าบ้านของตน
หลังจากที่ทำความรู้จักกาลแล้ว พชรพลก็เริ่มต้นสอนความรู้พื้นฐาน
"อย่างแรกเลยนะ คณะไสยพิทักษ์จะถูกแบ่งเป็น4คณะ คณะละ2แผนก แยกด้วยปลอกแขน ทำหน้าที่ต่างกัน แต่ก็ต้องเรียนกับอาจารย์ที่ โรงเรียนนั้นๆ อีกที"
คณะปราพก แผนกชาด มีหน้าที่ไล่ล่าและต่อสู้กับดวงจิต
คณะปราพก แผนกบุษราคัม มีหน้าที่สนับสนุนการไล่ล่าของแผนกชาด เช่น ส่งเสบียงในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ
2.คณะสุวารี แผนกไพร มีหน้าที่ทดลองและวิจัยดวงจิตและสิ่งแปลกปลอม
คณะสุวารี แผนกโอรส มีหน้าที่สำรวจ จับ และเก็บ สิ่งแปลกปลอมหรือดวงจิตมาให้แผนกไพรตรวจต่อไป
3.คณะเมทนี แผนกกรมท่า มีหน้าที่กระจายข่าวสารให้คนในโรงเรียนรู้
คณะเมทนี แผนกกากี มีหน้าที่สร้างสิ่งต่างๆ ซึ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานและการป้องกันสถานที่ต่างๆ ซึ่ง จะได้รับคำแนะนำจากอาจารย์และแผนกไพร
4.คณะมารุต แผนกสีเผือก มีหน้าที่รักษาบุคลากรและผู้ที่บาดเจ็บในโรงเรียน และบางครั้งก็เป็นแพทย์สนามในการต่อสู้ครั้งใหญ่ หรือการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ
คณะมารุต แผนกบัวโรย มีหน้าที่ตรวจตรารอบเมืองพาผู้บาดเจ็บจากดวงจิตไปส่งโรงพยาบาล
หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งคุยกัน
"ได้เตรียมหนังสือตำรามาหรือไม่"พชรพลไถ่ถามกาล
" นี่ขอรับ "เด็กชายยื่นหนังสือให้ผู้เป็นครู
"ตำราคาถาเบื้องต้นสำหรับเด็กงั้นหรอ" พชรพลเปิดมาบทแรกของหนังสือ
"อยู่ๆ ก็มาคาถาแรกซะงั้น เอาเป็นว่าหัดควบคุมไสยะให้ได้ก่อนเถอะ"พชรพลปิดหนังสือและแนะนำให้ไปเรียนเรื่องอื่นก่อน
"ยังไงหรอขอรับ"กาลถามด้วยท่าทีที่สงสัย
"นี่คือยาที่จะกระตุ้นให้จิตใจของนายปล่อยไสยะออกมา"พชรพลยื่นยาเม็ดให้กาล
"ขอบคุณขอรับ" เด็กน้อยกลืนยาเข้าไป และดื่มน้ำจากขันตาม
"ยานี้ท่านมารุตเป็นผู้คิดค้น เนื่องจากไสยะคือพลังส่วนหนึ่งของทวยเทพ สิ่งที่จะกระตุ้นหรือทดสอบไสยะ จึงต้องเป็นสิ่งที่สัมพันธ์ต่อเทพน่ะ"พชรพลอธิบายและรอดูอาการ
"เอ๊ะ! แมวตัวนั้นเดินช้าแปลกๆ นะครับ "กาลบอกพชรพลด้วยความประหลาดใจเมื่อเขามองไปนอกบ้างแต่แมวกลับเดินช้าลงผิดปกติ
"ก็จริงแฮะ ต้องเกี่ยวกับไสยะของนายแน่ๆ มันทำให้เป้าหมายเคลื่อนไหวช้าลง แต่บริเวณรอบๆยังเหมือนเดิม"พชรพลพูดและมองไปที่กาล
"แบบนี้เองหรอขอรับ"กาลพูดด้วยความตื่นเต้น
"แต่มันก็ต้องมีเงื่อนไขในการใช้งาน"พชรพลครุ่นคิดอยู่สักพักนึง
"ฉันเคยอ่านในตำราไสยะฉบับเก่าแก่มา ไสยะประเภทนี้เงื่อนไขในการใช้ไสยะคือความแข็งแกร่งของเป้าหมาย ถ้าเป้าหมายแข็งแกร่งมากเกินไปผู้ใช้จะได้รับความเสียหาย"ในที่สุดพชรพลก็คิดออกหลังจากที่เท้าคางระหว่างคิดอย่างยาวนาน
"จริงหรอขอรับ"กาลตาลุกวาวทันที
"จริงสิ แต่ว่าถ้านายควบคุมพลังไม่เป็นอาจเกิดความเสียหายหนักได้ ยิ่งนายมีสายเลือดตระกูลตรีโลกนาถ ด้วย..."อยู่ๆ สีหน้าของพชรพลก็ซีดขึ้นมา
"ทำไมถึงสีหน้ากังวลอย่างนั้นล่ะขอรับ"กาลถามด้วยความเป็นห่วง
"พ่อกับแม่นายไม่ได้บอกหรอว่าตระกูลนายโดนชาวบ้านรังเกียจน่ะ"พชรพลสงสัยว่าทำไมพ่อและแม่ของกาลไม่เล่าประวัติอะไรให้บุตรของตนฟังเลย
"ได้โปรดเล่าให้ผมฟังเถอะขอรับ"กาลที่แสนไร้เดียงสาขอร้องครูฝึก
"ได้ ฉันจะเล่าให้ฟัง"พชรพลดื่มน้ำก่อนจะเริ่มเล่า
"รู้ใช่ไหมว่านายต้องฝึกฝนเพื่อปราบดวงจิตน่ะ"พชรพลสร้างพื้นฐานความรู้ก่อนเล่า
" รู้ขอรับ"
"ต้นตระกูลของนายน่ะ มีดวงจิตที่เกิดจากมนุษย์ถึงเดิมทีเขาเป็นไสยพิทักษ์ก็ตาม เขาแข็งแกร่งมากเป็นดวงจิตที่น่ากลัวที่สุดสำหรับไสยพิทักษ์ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครที่กำจัดเขาได้ ทุกคนถึงไม่ยอมรับตระกูลตรีโลกนาถถึงแม้จะไม่เด็กคนไหนในตระกูลนี้มีไสยะมานานแล้วก็เถอะ พ่อแม่ของเธอเคยไปหาครูตั้งหลายสำนักแต่พอรู้ว่าเธออยู่ตระกูลอะไรก็ไม่มีใครกล้ารับเธอจนเจอฉัน"พชรพลเล่าประวัติตระกูลตรีโลกนาถให้กาลฟัง
*สกุลเงินของทวีปนี้เรียกว่า เมน*
"จริงหรอขอรับครู"แทนที่จะอึ้งหรือตกใจเหมือนเด็กทั่วไปกาลกลับมีท่าทีที่ปกติ
"ไม่ตกใจเลยหรอ"พชรพลรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทีของกาล
"ไม่ตกใจขอรับ เพราะมันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว"เด็กชายวัย9ปี กลับมีทัศนคติที่ดีผิดกับเด็กรุ่นเดียวกัน
"อย่างนั้นเองหรอ"พชรพลยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
"เอาล่ะๆ เข้าบทเรียนดีกว่า อยากเรียนทฤษฎีหรือปฏิบัติก่อน"พชรพลให้กาลเลือก
"ทฤษฎีขอรับ"กาลเลือกสิ่งที่น่าจะง่ายในตอนนี้
"ถ้างั้นเริ่มเรื่องคาถาเลยนะ การท่อง ร่าย เสกคาถาและไสยะจะใช้พลังงานจิตของนาย ถ้าพลังจิตหมดนายจะใช้พวกมันไม่ได้ นายจะรู้ปริมาณพลังจิตที่เหลือได้ความรู้สึก"พชรพลกำลังจะสอนทฤษฎี
เดิมทีคาถา มาจากคำสวดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเมื่อท่องแล้วสัมฤทธิ์ผล
คาถาพื้นฐานมี 4 อย่าง ผลัก ดึง ป้องกัน สะท้อนกลับ
1.คาถาผลัก มีสมาธิกับสิ่งที่ต้องการผลักแล้วท่องว่า 'จงไปให้ไกล'
2.คาถาดึง มีสมาธิกับสิ่งที่ต้องการดึงแล้วท่องว่า 'จงเข้ามาหาเรา'
3.คาถาป้องกัน ท่องว่า 'แคล้วคลาดมรณา'
4.คาถาสะท้อนกลับ ท่องว่า 'กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง' ลองฝึกปฏิบัติดูนะ"
พชรพลบอกก่อนจะพากาลไปห้องสำหรับฝึกซึ่งมีอุปกรณ์มากมาย
ในการฝึกปฏิบัติของกาลถือว่าทำได้ค่อนข้างดีสำหรับเด็กวัยเดียวกันเพียงแต่ในส่วนของคาถาป้องกันและสะท้อนกลับ กาลทำได้เพียงเล็กน้อย
"ไม่เป็นไรหรอกน่า สำหรับเด็กที่พึ่งเรียนแค่วันเดียวก็ดีแล้ว ปกติต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะใช้ได้คล่องขนาดนี้" พชรพลปลอบกาลที่ดูไม่ค่อยพอใจกับฝีมือตนเอง
"ครั้งหน้าจะทำให้ดีขึ้นขอรับ"กาลยิ้มให้พชรพล
"เอาล่ะๆ กลับบ้านได้แล้วพรุ่งนี้มาใหม่นะ "ชายหนุ่มเห็นว่าเริ่มโพล้เพล้แล้วจึงปล่อยให้กาลกลับบ้าน
"สวัสดีขอรับ" กาลเดินกลับบ้านในเวลาโพล้เพล
พชรพลที่เป็นห่วงจึงแอบตามกาลไปด้วย
เมื่อถึงบ้าน
"กลับมาแล้วค-" กาลได้แต่อึ้งกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
พ่อและแม่ของกาลโดนเหล็ก แ-งทะลุอยู่ในหน้าประตู ซึ่งไม่ใช่พฤติกรรมของดวงจิต บางทีอาจเป็นฝีมือเพื่อนบ้าน
กาลร้องไห้แบบไร้สติ ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีที่บ้านของพชรพล
"ครูขอรับ พ่อแม่ผม........" กาลพูดก่อนจะร้องไห้อีกครั้ง
"โอ๋ๆ เดี๋ยวเรื่องนั้นครูจัดการให้ ตั้งแต่ตอนนี้อยู่กับครูนะ" พชรพลกอดกาลด้วยความสงสาร
หลังจากนั้น 2 เดือน กาลจึงเริ่มฝึกต่อ
"เรื่องที่ 2 ดวงจิต
ตามจริงแล้วเหล่าทวยเทพได้สร้างดวงจิตขึ้นมาอยู่ร่วมกับมนุษย์ จนวันหนึ่งดวงจิตเกิดบ้าคลั่งและโจมตีมนุษย์
ดวงจิตนั้นตามชื่อเลยร่างจริงของมันคือดวงจิตหรือวิญญาณ จึงปรับเปลี่ยนรูปร่าง รักษาบาดแผลได้ตามใจนึก วิธีฆ่ามันคือการโจมตีจุดตายอย่างหนักได้แก่ ศีรษะ กลางอกหรือหัวใจ คอ หรือบาดแผลที่สาหัสจนแน่ใจว่าดวงจิตจะห้ามเลือดได้ไม่ทัน สิ่งที่กล่าวมาจะสะท้อนความเสียหายไปถึงร่างจริงของดวงจิตได้
พวกมันส่วนใหญ่จึงเกลียดมนุษย์เข้าไส้โดยดวงจิตแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1.ดวงจิตที่เกิดตามธรรมชาติ
พวกมันเป็นจำพวกที่มีเยอะที่สุด เกิดได้ตามปกติ
2.ดวงจิตที่เกิดจากมนุษย์
เป็นจำพวกที่มีค่อนข้างน้อย แข็งแกร่งว่าพวกที่เกิดจากธรรมชาติ เพราะดวงจิตที่เกิดจากมนุษย์เกิดจากความแค้นที่สะสมขณะเป็นมนุษย์เมื่อตายไป พวกเขาจึงกลายเป็นดวงจิตและด้วยเหตุนั้นดวงจิตเหล่านี้มีพลังและปัญญาสูงกว่าพวกที่เกิดตามธรรมชาติ
ดวงจิตแบ่งเป็น 5 ระดับตามความอันตราย
ระดับ1เป็นมิตร \= ไม่โจมตีมนุษย์
ระดับ2อันตรายน้อย \= ถึงไม่ใช่คณะไสยพิทักษ์ก็จัดการได้
ระดับ3อันตราย \= ต้องจัดการโดยคณะไสยพิทักษ์ที่พอมีประสบการณ์
ระดับ4อันตรายมาก \= คณะไสยพิทักษ์ระดับเชี่ยวชาญเท่านั้นที่จัดการได้
ระดับ5อันตรายที่สุด \= แม้คณะไสยพิทักษ์ระดับเชี่ยวชาญยังต่อกรได้ยากต้องใช้คณะไสยพิทักษ์จำนวนมากจัดการ"
"ครูขอรับ ทำไมคณะไสยพิทักษ์ถึงไม่กำจัดดวงจิตที่อันตรายให้หมดล่ะขอรับ"
"เพราะว่าดวงจิตที่พอมีสติอยู่คือดวงจิตระดับ3ขึ้นไป อย่างเช่นบรรพบุรุษของนาย รวมกลุ่มกันคอยไล่ล่าผู้พิทักษ์กลับ สร้างความเสียหายเยอะมาก"พชรพลตอบก่อนจะพูดต่อ
"กลุ่มนั้นมีดวงจิตระดับ5อยู่ 4 ตน ซึ่งแน่นอนว่าแค่ตนเดียวก็จัดการยากแล้ว ไม่ต้องพูดถึง4ตนหรอกนะ"
"เข้าเรื่องดีกว่า สัปดาห์นี้จะให้แบบฝึกหัดการแยกประเภทของดวงจิตละกันนะ"พชรพลให้การบ้านกาลเหมือนปกติ หลังจากที่กาลเดินกลับห้อง เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเกี่ยวกับอนาคตอันแสนไกล
โปรดติดตามตอนต่อไป
4ปีต่อมา......
เด็กหนุ่มผมสีดำทมิฬยืนท่ามกลางดวงจิต4ตนซึ่งดูกระหายเลือด ตัวของเขาเต็มไปด้วยน้ำฝนที่พรำลงมาในยามเย็น เนื่องจากดวงจิตได้โจมตีเขาแต่พลาดไปทำให้ร่มหัก
"ลอบโจมตีแบบนี้ไม่ดีเลยนะ"ในมือของกาลถือกล่องกับข้าวที่พชรพลฝากมาซื้ออยู่จึงวางมันลงข้างทางซึ่งมีหลังคาบังเพื่อเตรียมสู้
"นานๆ ทีจะมีเหยื่อกล้าเดินมาที่เปลี่ยวแบบนี้อย่าปล่อยให้หลุดไปนะเว้ย"ดวงจิตตนนึงกล่าวก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีกาลด้วยกรงเล็บ
"จงไปให้ไกล"กาลท่องคาถา ศรีษะของดวงจิตตนนั้นกระแทกกำแพงอย่างแรงทำให้มันสิ้นใจทันที
"ก็ไม่เท่าไหร่นี่" (ศัตรูที่เหลือมี3ตัว ตีไกล1 ตีใกล้2 ถ้าจะล้มได้ต้องใช้ไสยะ) กาลคิดก่อนจะตั้งสมาธิและใช้
ไสยะชะลอการเคลื่อนไหว
ทันใดนั้นดวงจิตทั้ง3ตน ก็เคลื่อนไหวช้าลงอย่างมาก
(แค่นี้ก็เก็บเรียงตัวได้แล้วสินะ) กาลคิดในใจแล้วจัดการดวงจิตจนหมดทันที ร่างของดวงจิตสลายไปช้าๆ
จนหายไป
"เล่นเอาพลังงานจิตเกือบหมดเลยแฮะ....เอาล่ะกลับไปหาอาจารย์ก่อนเถอะ"ว่าแล้วกาลก็เดินกลับบ้านพชรพล
ทันที
"มาแล้วขอรับ"กาลเดินเข้าบ้านพร้อมกับสภาพที่ดูไม่จืด
"ทำไมมาช้าจังล่ะ แถมกลับมาด้วยสภาพแบบนั้นด้วย"พชรพลเดินเข้ามาหากาลด้วยความเป็นห่วง
"พอดีโดนดวงจิต4ตนโจมตีเข้าน่ะขอรับ แต่จัดการได้แล้วขอรับ"กาลพูดทำให้พชรพลสบายใจขึ้น
"บาดเจ็บตรงไหนไหม"พชรพลสำรวจร่างกายกาลเผื่อมีแผล
"คิดว่าไม่ขอรับ"กาลกล่าวและมองไปที่ชุดสีขาวของตนเองที่เปียกโชก
"ช่างเถอะไปอาบน้ำแล้วกินข้าวกัน"พชรพลพูดและนั่งเตรียมจานกับข้าว
หลังจากทั้ง2กินข้าวเสร็จ
"ช่วงนี้รายงานการปรากฎตัวของดวงจิตเริ่มน้อยลงแล้วล่ะ"พชรพลเริ่มบทสนทนาระหว่างที่กาลกำลังล้างจาน
"ถ้างั้นก็ดีสิขอรับ ชาวบ้านจะปลอดภัยขึ้นมากเลยล่ะ"กาลพูดอย่างปิติยินดี
"นั่นสินะ ทว่า รายงานสถิติการจับและกำจัดของผู้พิทักษ์กลับเท่าเดิมน่ะสิแล้ว ดวงจิตอาจแค่หลบซ่อนและวางแผนทำอะไรซักอย่าง"พชรพลเปิดเผยข้อมูลอีกส่วน
"จริงด้วยขอรับ"กาลคล้อยตามและหันไปล้างจานต่อ
"สวัสดีขอรับ ไม่ทราบว่าอยู่ไหม"คนส่งจดหมายขี่ม้ามาถึงหน้าบ้าน
"อยู่ขอรับ" พชรพลเดินออกมาจากบ้าน
"กระผมนำประกาศเรื่องการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนฝึกเตรียมผู้พิทักษ์มาส่งครับ"บุรุษไปรษณีย์ยื่นเอกสารและจดหมายประกาศซึ่งเก็บไว้อย่างดีจึงไม่เปียกให้กับพชรพล
"โหประกาศตั้งแต่3เดือนที่แล้วแน่ะ นี่ขนาดฉันจ้างนายส่วนตัวนะเนี่ย"พชรพลอุทานหลังจากพบอ่านวันที่ประกาศ
"โธ่คุณ ก็ผู้นำแต่ละอาณาจักรเขามุ่งแต่หาทางกำจัดดวงจิตกับอาวุธ ระบบคมนาคมเลยไม่ได้พัฒนาอะไรจาก10ปีก่อนเท่าไหร่หรอก นี่ยังไม่นับขุนนางและนักการเมืองโกงกินทั้งหลายนะ นี่ม้าเร็วที่ข้าขี่มาที่เมืองนี้ก็เพิ่งป่วยเลยต้องซื้อจักรยานปั่นมา"บุรุษไปรษณีย์ตอบด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ พร้อมสาธยายเรื่องม้าเร็วคู่ใจที่ป่วยจนต้องฝากเอาไว้กับคอกม้าข้างทาง
"ดวงจิตก็อันตรายจริงๆนั่นแหละ อย่างการโจมตีหมู่บ้านเมื่อหลายวันก่อนน่ะ" ผู้ที่ใช้ไสยะได้นั้นเป็นเพียง1/10ของประชากรซึ่ง3/5ไปอยู่
"ก็ขอให้พวกมันรีบๆ สูญพันธุ์ละกัน มืดแล้วกระผมขอตัว เผื่อประกาศอะไรอีก"บุรุษไปรษณีย์ปั่นจักรยานจากไป
"เจอกัน"พชรพลกล่าวลาก่อนกลับเข้าบ้าน
หลังจากพชรพลกลับเข้าบ้านก็เดินไปคุยกับกาลที่เพิ่งล้างจานเสร็จ
"จะว่าไปแล้วปีหน้านายก็ต้องสอบคัดเลือกแล้วนี่"พชรพลพูดก่อนนั่งลงบนเก้าอี้
"ใช่ขอรับ ฝึกอีกนิดหน่อยก็พร้อมแล้ว"กาลตอบด้วยความมั่นใจขณะที่นั่งอยู่ข้างๆ พชรพล
"พอถึงเวลาก็อย่าตายให้เสียหน้าฉันละกัน"พชรพลหัวเราะออกมาทำให้กาลหลุดหัวเราะไปด้วย
"ว่าแต่นายอยากอยู่คณะไหน สีไหนล่ะ"พชรพลถามแนวทางของศิษย์ ด้วยท่าทีที่จริงจัง
"คณะสุวารี สีไพรขอรับ"กาลตอบตามความคิดของตนเอง
"เลือกได้ดีนะเนี่ยแต่ใช่สมองเยอะหน่อยนะ"พชรพลลูบหัวกาลด้วยความเอ็นดู
"ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ เอ่อ..ผมมีคำถามขอรับ"กาลซึ่งไม่เข้าใจบางเรื่องมีคำถาม
"ว่ามา"พชรพลตอบรับและตั้งใจฟัง
"เทพเจ้า มารุต สุวารี เมทนี ปราพก หายไปที่ใดหรอขอรับ? ทั้งๆที่ในตำราส่วนใหญ่ย่งย่องพวกเขาไว้มากมายแต่ทำไมพวกเขาถึงละเลยมนุษย์หรอขอรับ"กาลถามสิ่งที่สงสัยมานาน
"ไม่มีใครรู้ แต่มีบันทึกบอกว่าครั้งล่าสุดในพิธีอัญเชิญเทพลงมาให้คำแนะนำแก่มนุษย์เมื่อ1,000ปีก่อนมีแค่ ท่านมารุต และท่านปราพก เท่านั้นที่ลงมา หลังจากพิธีนั้นเสร็จสิ้น เทพทั้ง4ก็ไม่ลงมาอีก ฉันคาดว่าเพราะท่านเมทนี และ ท่านสุวารีหายไป ท่านมารุตและท่านปราพก จึงไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเพราะพวกท่านค่อนข้างสนิทกัน"พชรพลเล่าเรื่องจากความคิดของตน
"แบบนี้เองหรอครับ"กาลสบายใจเพราะได้รับคำตอบจากคำถามที่สงสัยมานาน
"เอาล่ะไปพักผ่อนได้แล้ว"พชรพลเดินเข้าห้องนอนของตน
เช้าวันถัดมา
"ฉันมีของขวัญเล็กๆ น้อยๆให้ด้วยล่ะ"พชรพลยื่นมีดที่มีลวดลายสวยงามให้กาล
"นี่คืออะไรหรอขอรับ"กาลถามด้วยความสงสัย
"มีดอาคมเอาไว้สู้ระยะประชิดกับดวงจิต การคัดเลือกก็ต้องใช้สิ่งนี้ช่วยแหละ"พชรพลอธิบายพร้อมยิ้มไปด้วย
"คงต้องลองหน่อยขอรับ"กาลปามีดไปปักหัวหุ่นจำลอง
"เก่งดี ลองกับฉันไหมล่ะ"พชรพลชักมีดอาคมของตนเองออกมา
"ไม่เอาดีกว่าครับ4ปีที่อาจารย์ให้ผมฝึกต่อสู้กับคุณทำให้ผมรู้ว่า ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณหรอกขอรับ"กาลพูดอย่างถ่อมตนและไปเก็บมีดที่ปักหุ่น
"อันนั้นก็อวยเกินไป แต่ถ้าไม่ฝึกกับฉันก็ต้องออกไปสู้กับดวงจิตอยู่ดีนั่นแหละ"พชรพลเปิดประตูบ้านเสมือนเชิญให้กาลไปล่าดวงจิตข้างนอก
"ผมขอฝึกกับดวงจิตดีกว่าขอรับ" กาลเดินออกไปข้างนอก
"ตามสบาย กลับมากินข้าวเที่ยงด้วย"พชรพลพูดก่อนกาลจะเดินออกจากประตู
"ขอรับ"กาลรับปากและเดินออกไปตามทางเดินในป่า
เมื่อวันเกิดปีที่13ของกาลเวียนมาถึง
"สุขสันต์วันเกิดนะกาล วันนี้อยากได้อะไรพิเศษไหม"พชรพลกอดกาล
"ขอบคุณขอรับ แค่อยากอยู่แบบสงบสุขนานๆ ก่อนสอบคัดเลือกเดือนหน้าน่ะ"กาลยิ้มแย้มแจ่มใส
"ไม่ต้องกลัวหรอกก็แค่เอาชีวิตรอดจากดวงจิตให้ได้9วัน9คืนเอง วิธีล่าสัตว์ วิธีทำอาหารก็สอนแล้วด้วย"พชรพลทวนทุกสิ่งที่สอนมา
"ก็จริงขอรับ แต่ว่าผมคนเดียวป้องกันดวงจิตตลอดเวลาไม่ได้หรอกครับ"กาลที่ไม่เคยมีเพื่อนรู้สึกกังวล
"ก็หาเพื่อนซะสิ ถึงเป็นดวงจิตระดับไหนถ้ามีเพื่อนร่วมชะตากรรมแล้ว ยังไงก็อุ่นใจกว่าคนเดียวอยู่แล้ว"พชรพลแนะนำ
"รับทราบขอรับ"กาลยิ้มด้วยความสบายใจ
พอถึงวันสอบเข้าคัดเลือก
ณ ป่าใหญ่ทางใต้ของเมืองหลวง อาณาจักรเมตตธานี เดิมเป็นสถานที่สำหรับการทดสอบสมรรถภาพทั่วไปตั้งแต่จากทวยเทพหายตัวไป มิได้มีดวงจิตยั้วเยี้ยเต็มสนามสอบ ทว่าหลังจากดวงจิตรู้เรื่องเข้าพวกมันจึงกระจายข่าวกันและมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้เพื่อจะสังหารไสยพิทักษ์ฝึกหัดก่อนจะได้เข้าโรงเรียน แม้รัฐบาลจะรับรู้เรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้จัดการอะไร
"ฉันมาส่งแค่นี้ล่ะนะถ้ารอดมาได้ ก็อย่าลืมมาบอกล่ะ" พชรพลบอกตรงหน้าประตูสถานที่ทดสอบ
"ขอรับ"กาลขานรับ
ทั้งสองกอดกัน ก่อนจากเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกไหม
หลังจากพชรพลกลับไปก็มีกลุ่มผู้เข้าสอบผ่านมา
"พอเข้าไปแล้วอย่าแตกแถวนะเดี๋ยวจะหลงเอา เกาะกลุ่มเอาไว้อย่าทะเลาะกัน"ชายผมสีดำแต่งตัวสีแตกต่างกับคนอื่นๆในกลุ่มเพื่อให้รู้ว่าเขาคือหัวหน้ากลุ่ม
"รับทราบ"คนอื่นๆในกลุ่มประมาณ10คนขานรับ
(เป็นสำนักเดียวกันสินะ รู้สึกเหมือนจะเป็นสำนักโชติช่วงวดี สำนักนี้เด่นด้านความสามัคคีกันมากเลยล่ะ)กาลคิดในใจก่อนจะมีเสียงประกาศขึ้น
"ขณะนี้ได้เปิดประตูเข้าสู่สถานที่คัดเลือกให้แล้วกรุณาเข้าไปสู่การสอบคัดเลือก ขอท่านมารุตคุ้มครองท่านด้วยเถอะ"เสียงผู้หญิงแต่งตัวดูมีฐานะ ประกาศเริ่มการคัดเลือก
กาลเดินผ่านประตูทองคำเข้าไป พบกับทิวเขาสูงมองทิวทัศน์ได้สุดลูกหูลูกตา
(อากาศเย็นดีจังเลย แต่จะยืนอยู่แบบนี้ไม่ได้) กาลดึงสติตัวเองก่อนจะหลงไหลกับภูมิทัศน์มากเกินไป ก่อนจะเดินลงภูเขาไป
ไม่กี่อึดใจเสียงกระทบกระทั่งกันดังสนั่น จนกาลต้องเพิ่มความระวังตัว
"ในที่สุดก็มีเหยื่อมาแล้วหรอ ถ้างั้นฉันขอล่ะนะ"ดวงจิตรูปร่างหน้าตาเหมือนหมาป่าพูดก่อนเข้าโจมตีกาลด้วยความหิวโหย
กาลใช้มีดอาคมฟันดวงจิตแต่มันก็หลบได้และกระโจนขึ้นคร่อมเขา และ พยายามกัดคอของเขาทว่ากาลก็ใช้มีดอาคมปักเข้าหัวของดวงจิต มันจึงตายและสลายไป
(อย่างที่ร่ำลือกันที่นี่อันตรายมาก ดีที่เรารับมือได้) กาลมองไปรอบๆ เผื่อมีคนขอความช่วยเหลือก่อนวิ่งลงภูเขาต่อ
"กว่าจะลงมาได้นี่ไม่ง่ายซักนิด"กาลหยุดพักหลังวิ่งลงมาจากภูเขา
"แล้วนั่นเสียงอะไรอีกล่ะ"กาลมองไปบนภูเขาและเดินไปเรื่องจนอยู่ใต้ต้นเสียงแต่เพราะเดินไม่มองทางจึงตกลงไปในหลุม
"เล่นโจมตีบนที่แคบแบบนี้พวกเราก็เสียเปรียบแย่สิ อมราตรึงมันหน่อย"หัวหน้ากลุ่มเดียวกันกับที่กาลเจอข้างนอกประตูออกคำสั่ง
"ทำไมต้องเป็นฉันด้วยเนี่ย"หญิงสาวชุดสีดำ ตาสีเขียวเป็นประกาย ไว้ผมยาวสลวยถึงกลางหลัง โสภาดังเทพธรณีจำแลงกาย ที่ยืนอยู่ข้างขวาของหัวหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจแต่ก็ทำตามคำสั่ง
และยิงของเหลวน้ำเมือกหยุดการเคลื่อนไหวดวงจิตทันที
"เยี่ยม"หัวหน้าใช้หอกแทงทะลุตัวดวงจิต
"เรียบร้อย เดี๋ยวน-"พูดไม่ทันขาดคำเกิดระเบิดตรงที่ที่พวกเขายืนอยู่ช
"ปลอดภัยกันใช่ไหม แล้วอมราล่ะ"เมื่อหัวหน้าตรวจสอบจำนวนอมรากลับหายไป
หัวหน้ามองลงไปจากหน้าผากลับเห็นหลุมลึกซึ่งใครตกลงไปก็คงไม่รอด
ในขณะนั้นเอง
"อ๊ากกกกกก"เสียงกรีดร้องของอมราดังขึ้นแต่คนที่อยู่เหนือปากหลุมไม่มีทางได้ยิน
"ถ้าใช้ไสยะไม่ทันได้ตายแหงแน่"กาลมองกลับไปยังปากหลุมพบว่ามีคนตกลงมาเช่นกัน
กาลใช้ไสยะลดความเร็วการตก อีกครั้งเช่นเดียวกับตอนที่เขาตกลงมาหลังจากเอาแต่มองการต่อสู้ข้างบนจนลืมสังเกตข้างล่างว่าเป็นหลุม
"ช้าลงแล้ว งั้นจังหวะนี้"อมราใช้เมือกของตนเองรับแรงกระแทก
"บาดเจ็บตรงไหนไหม"กาลเดินเข้าไปทักทาย
"ไม่บาดเจ็บ ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่มีนายคงตายแน่เลย ชื่ออะไรหรอ ฉันชื่ออมรา"อมราลุกออกจากเมือกนิ่มๆที่ใช้รองรับแรงกระแทก
"ชื่อกาลขอรับ ยินดีที่ได้รู้จักนะ"กาลแนะนำตัว
"เช่นกัน"อมราตอบสั้นๆ
"ใต้หลุมนี่เป็นถ้ำนี่นาจะขึ้นไปยังไงล่ะเนี่ย"กาลมองขึ้นไปบนปากหลุม
"นั่นสินะ คงขึ้นทางเดิมไม่ได้แน่ มีแค่หาทางออกจากถ้ำ"อมราออกความคิดเห็น
"ก็ไม่ต้องขึ้นหรอกพวกแกน่ะ จบตรงนี้แหละ"รู้ตัวอีกทีดวงจิต6ตนล้อมพวกเขาไว้แล้ว
"ลอบกัดกันเก่งจังนะ ไม่ให้สุ้มเสียง นายลดความเร็วส่วนฉันจะจัดการพวกมัน"อมราชักมีดอาคมและออกคำสั่งกาล
"ได้เลย"กาลให้ไสยะลดความเร็วดวงจิตทั้งหมด
หลังจากนั้นการต่อสู้ก็จบอย่างง่ายดาย
"ถ้าเดินไปตามทางลมเรื่อยๆ อาจเจอทางออกก็ได้นะ"กาลพูดก่อนจุดเทียนขึ้นมา
"เดินไปด้วยกันเลยไหมครับ"กาลชวนอมราออกไปด้วยกัน
"ได้สิ"อมราตอบอย่างไม่ลังเล
"กุเสโตประภา" เกิดลูกแก้วสีขาวสว่างบนมือของอมรา
"ว้าว"กาลมองอย่างประหลาดใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีคาถานี้อยู่
"เอ๊ะ อาจารย์ของนายไม่ได้สอนคาถานี้ให้นายหรอ"เธอรู้สึกประหลาดใจเพราะคาถานี้คือคาถาที่เธอเรียนเป็นคาถาแรกๆ
"ใช่น่ะสิ อาจารย์ของฉันบอกว่าอยากได้แสงสว่างก็จุดกองไฟเอา"กาลทวนสิ่งที่อาจารย์เคยสอนเขา
"ก็ลูกแก้วนี่มันให้ความร้อนไม่ได้นี่นะ"อมรามองไปที่ลูกแก้ว และเดินทางต่อ
ทั้งสองเดินทางในถ้ำด้วยกันหลายวันในที่สุดก็เจอทางออก
"ถ้ำนี้ใหญ่มาก ในที่สุดก็เจอทางออกสักทีว่าแต่ผ่านไปกี่วันแล้วเนี่ย"ในที่สุดพวกเขาก็เจอแสงสว่างที่ปากถ้ำ หลังจากอดมื้อกินมื้อมานาน
"ประกาศ ขณะนี้ผ่านมา9วัน8คืนแล้ว ในคืนวันพรุ่งนี้ทางเราจะส่งคนไปรับผู้ที่ยังรอดชีวิตอยู่ ขอให้ท่านมารุตคุ้มครองท่าน"เจ้าหน้าที่ขี่นกยักษ์ประกาศไปทั่วสนามสอบ
"อีกนิดเดียวนะ อมรา"กาลให้กำลังใจ
"จะได้กลับบ้านแล้ววว คิดถึงคุณพี่จังเลย"อมราถอนหายใจอย่างโล่งอก
"พี่ที่ชื่อจิรเมธหรอ"กาลที่ได้ยินอมราพูดถึงระหว่างทางมาบ้าง
"ใช่ เป็นพี่เลี้ยงน่ะเขาดูแลฉันมาหลังจากที่พี่สาวฉันจากไปในการสอบคัดเลือกนี่แหละ"สีหน้าของอมราดูเศร้าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
"เสียใจด้วยนะ"
"ไม่เป็นไรหรอก ฉันว่า....ฉันควรนั่งพักหน่อย"อมรานั่งพักบนหินก้อนใหญ่
"ฉันจะนั่งเป็นเพื่อนเธอเอง"กาลนั่งข้างๆอมรา
"ขอบคุณ"อมรารู้สึกดีขึ้น
"แค่นี้เองพวกเราเป็นสหายกันนี่เนอะ"กาลพูดอย่างเป็นกันเอง
"อื้อ"อมราตอบและยิ้มให้กาล
พวกเขาทั้งสองคุยกันเพลินจนเช้า
"รออีกเดี๋ยวเดียวสินะ"
"อยู่นี่เอง เหยื่อรายต่อไป"ดวงจิตตนนึง ผิวดำทมิฬ ดวงตาสีชาด เดินออกมาจากพุ่มไม้
"นั่นมัน ดวงจิตที่เกิดจากมนุษย์นี่"อมรามองออกทันที
"กรงกรดหลอมละลาย"อมราโจมตีทันทีด้วยไสยะ
"เอาไงดีฝีมือคงไม่ใช่เล่นแน่"กาลเตรียมมีดอาคมพร้อมต่อสู้
"เจ็บนะโว้ยยยยย"ดวงจิตตนนั้นโวยวายขึ้นก่อนจะแหกจากกรงมาได้
"จงกระเด็นไปไกล"อมราท่องคาถา
"กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง"มันสะท้อนคาถากลับ
ร่างเล็กของอมรากระแทกต้นไม้อย่างรุนแรง
"คาถาเด็กๆ ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก"ดวงจิตพูดก่อนจะหันมาเล่นงานกาล
กาลใช้ไสยะสวนกลับ
(โอ๊ะเจ็บ ทำไมยังไวเหมือนเดิมเลยล่ะ หรือว่า..ลืมไปเลยอาจารย์เคยบอกแล้วนี่ว่าถ้าเป้าหมายแข็งแกร่งเกินไป เราจะบาดเจ็บเอง)กาลเอะใจหลังจากใช้ไสยะไปแล้วแต่ดวงจิตยังเคลื่อนไหวได้รวดเร็วแต่เขากลับมีรอยแผลที่แขน
"เอาล่ะนะ"มันใช้จังหวะที่กาลชะงักเสกแท่งเหล็กออกมาและฟาดหน้าของกาลทันที
"กาล!"อมราที่เกือบหมดสภาพเรียกชื่อกาลออกมาด้วยความเป็นห่วง
ดวงจิตกำลังจะทุบหัวกาลซ้ำ
"ห่าเมือก"มีเมือกกรดจำนวนมากลงมาจากฟ้าทำให้มันเปลี่ยนความสนใจทันที
"นะโมพุทธายะ แคล้วคลาดมรณา"โล่ที่ดวงจิตสร้างช่วยปกป้องกาลจากกรดด้วย
"นึกว่าจะหมดสภาพแล้วซะอีก"ดวงจิตที่คิดว่าอมราน่าจะสลบไปแล้วรู้สึกตกใจมาก
ดวงจิตหันไปใช้แท่งเหล็กสู้กับอมราอย่างต่อเนื่องจนมีดอาคมของอมราหัก และตัวของเธอเองก็ล้มลงกับพื้น
"อย่ามาใช้ข้อได้เปรียบด้านพละกำลังแบบนี้นะ"กาลที่โกรธจัดจากการเห็นอมราโดนอัด เตะดวงจิตเซออกมา ระยะหนึ่ง
"หนอยแน่ะ!"มันฟาดกาลอีกครั้งแต่กาลก็รับการโจมตีได้
"เมื่อกี้ไม่ได้ตั้งตัวหรอกน่า"กาลพูดท้าทาย
"งั้นเหรอ งั้นเจอนี่หน่อยเป็นไง เด็กอวดดี"ดวงจิตกระหน่ำตีกาลจนรับมือไม่ทัน
กาลที่ถูกโจมตีอย่างหนักก็ถอยไปตั้งหลัก
"เมือกพันธนาการ"อมราที่เห็นกาลกำลังเสียท่าจึงหยุดการเคลื่อนไหวของดวงจิตตนนั้นทันที
"คิดว่าแค่นี้จะระคายผิวฉันหรอ"มันดิ้นหลุดจากเมือกก่อนจะโจมตีอีกครั้ง
"การสร้างอาวุธจากพลังจิตน่ะ พี่เองก็เคยสอนมาเหมือนกัน" อมราสร้างตรีศูลออกมา
อมราและดวงจิตต่อสู้กันอย่างดุเดือดแต่มีเจ้าหน้าที่มาปิดบัญชีดวงจิตซะก่อน
ลูกศรปักที่หัวของมันก่อนที่ร่างจะสลายไป
"ฉันมารับพวกเธอกลับ ขึ้นมาบนนี้ซะ"เจ้าหน้าที่พูด
มีนกขนาดเท่ากระท่อมหลังนึงอยู่เบื้องหน้าพวกเขา มันมีขนสีเหลืองสวยงาม
อมราและกาลกล่าวขอบคุณก่อนช่วยพยุงกันและกันไปขี่นกตัวนั้น
นกยักษ์บินขึ้นเหนือพงไพร พวกเขาเห็นนกยักษ์ตัวอื่นแบกผู้รอดชีวิตคนอื่นเช่นกัน พวกมันพาทุกคนไปส่งที่หน้าประตู
"อมรา!อมรา! ฉันนึกว่าเธอตายแล้วซะอีก"หญิงสาวคนนึงรูปร่างผอม ผมสีดำ ยาวถึงไหล่ วิ่งเข้ามาหาอมราพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก
"เป็นอะไรไป วดี ร้องไห้ทำไม แล้วคนอื่นล่ะ"อมราซักถาม
"คือหลังจากเธอตกลงไปในหลุมนั่น หัวหน้าของพวกเราเลยให้พักอยู่แถวๆ ปากหลุมเผื่อเธอจะปีนออกมา จากนั้นก็..."วดีเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
"เกิดอะไรขึ้น?"อมราย้ำอีกรอบ
"พ..พวกเขาโดนฝูงดวงจิตโจมตีตอนกลางคืน เพื่อนของฉันใช้พลังอำพรางตัวฉันก่อนตาย นักเรียนโชติช่วงวดีรุ่นที่500 เหลือแค่เรา2คน"วดีเล่าเรื่องสะเทือนใจอย่างมากให้อมราฟัง
อมราเงียบไป สีหน้าของเธอดูเศร้าอย่างชัดเจน เธอทิ้งตัวนั่งบนพื้น ดวงตาสีเขียวหมองหม่น
"ถ้าฉันไม่ตกลงไป พวกเขาคงรอด"อมราพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด
"อย่าโทษตัวเองเลย เธอก็ไม่รู้มาก่อนนี่ว่าจะเกิดระเบิดน่ะ"กาลนั่งลงไปปาดน้ำตาที่ซึมออกมาของอมรา
"ยินดีด้วยสำหรับการผ่านทดสอบขอให้ทุกท่านกลับไปที่พักของตนเอง"เสียงประกาศดังขึ้น
โปรดติดตามตอนต่อไป.....
กาลกับอมราจะบทไม่เด่นมากในตอนต่อๆ ไป แต่จะกลับมาเข้มตอนกลางเรื่อง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!