NovelToon NovelToon

ICEBERG ทฤษฏีลับ ดับเป็นตาย

Flat earth พิภพแบนราบ

...Flat earth พิภพแบนราบ...

...โลกแบนคืออะไร...

มันก็คือความเชื่อของผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยก่อนที่เชื่อว่าโลกมันแบน ก็เพราะผู้คนสมัยก่อนเชื่อจากสิ่งที่ตาตนเองเห็นซึ่งสิ่งที่ผู้คนสมัยก่อนเห็นนั่นก็คือพื้นโลกมันเรียบเสมอกันและไม่เห็นมีทรงโค้งเหมือนลูกบอลเลย ทุกคนสมัยก่อนก็เลยเชื่อว่าโลกมันแบน และก็อีกอย่างหนึ่งที่สนับสนุนความเชื่อนี้ว่าโลกมันแบนก็คือ พวกเผยแพร่ศาสนา

พวกเผยแพร่ศาสนานี่แหละคือตัวการที่หลอกชาวมนุษย์อย่างพวกคุณในสมัยก่อนให้เชื่อว่าโลกมันแบน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ผิดเพราะเมื่อหลายพันปีที่แล้ววิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์มันไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนปัจจุบันนี้ แต่ทำไมในปัจจุบันพี่โลกมีเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่ล้ำหน้ามากกว่าเมื่อหลายพันปีที่แล้วกลับมีคนยังเชื่อว่าโลกยังแบนอยู่ มันเป็นเพราะอะไรกันล่ะครับ ทั้งที่ในปัจจุบันก็มีวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่มีความก้าวหน้ามากแต่ก่อนแต่ก็ยังจะมีคนเชื่อว่าโลกแบนอีก แต่พวกเขาก็ไม่ผิดเหมือนกันพวกเขาแค่เชื่อในสิ่งพี่พวกเขาอยากเชื่อและหัวปักหัวปำเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาแค่นั้นเอง มันก็เหมือนกับพวกคุณที่เชื่อในศาสนาสุดแฟนตาซีที่ไม่มีวิทยาศาสตร์ไม่สามารถมารองรับได้ แต่ก็ดันจะอ้างว่าหลักการศาสนาที่ตัวเองได้เชื่อว่ามันคือต้นแบบวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ มันน่าคิดจริงๆนะครับแต่หน้าส่วนนี้ค่อยพูดกันที่หลัง

...ลักษณะของโลกแบนเป็นอย่างไร...

ลักษณะของโลกแบนก็คือ ลูกที่เหมือนโดนบี้จนแบนราบเป็นระนาบเดียวกันและมีทวีปที่เป็นทวีปเดียวกับโลกของพวกคุณ ซึ่งการจัดวางของทวีปก็เหมือนในแผนที่ของพวกคุณ ซึ่งขอบของโลกก็ล้อมรอบไปด้วยกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่และสูงมาก และบนท้องฟ้าก็จะมีพระอาทิตย์กับดวงจันทร์ที่วนรอบโลกแบนเป็นเวลาเช้ากลางวันของแต่ละพื้นที่ และสุดท้ายก็คือโดมใสขนาดยักษ์ที่ล้อมรอบโลกแบนอีกฝั่งหนึ่งจนไปถึงอีกฝั่งหนึ่งซึ่งเปรียบเสมือนท้องฟ้าจำลองที่ตอนเช้าก็จะเป็นเมฆและตอนกลางคืนก็จะเป็นแสงดาวเปล่งประกายบนท้องฟ้าสุดปลอมก็ตาม

และยังไม่หมดกล่าวความเชื่อของชาวโลกแบนไหนบอกว่าอีกว่า โดมที่ได้ปกคลุมโลกเอาไว้จะไม่สามารถออกไปได้ แต่ก็ยังมีช่องทางพิเศษสำหรับการออกไปจากโลกแบนซึ่งถ้าคุณออกไปจากโลกใบนี้แล้วคุณก็จะต้องล่องลอยกลางอวกาศอันว่างเปล่าที่มืดมนโดยที่คุณไม่สามารถกลับเข้ามาโลกแบนได้อีกตลอดกาล หรือบางคนก็เสนอทฤษฎีออกมาว่าถ้าเราเดินทางไปยังสุดขอบโลก เราจะไม่เจอกับจุดจบของขอบโลก แต่เราดันจะถูกวาร์ปมาที่ขอบโลกอีกฝั่งหนึ่ง

...ประวัติความเป็นมาของโลกแบนเป็นอย่างไร...

โดยประวัติความเชื่อว่าโลกแบนมันมีอยู่ในหลายอารยธรรมตั้งแต่กรีก โรมัน ไวกิ้ง จีน และอื่นๆ โดยคนในสมัยก่อนชื่อว่าโลกเป็นเพราะสิ่งที่ตาตัวเองเห็นเท่านั้น และความเชื่อว่าโลกแบนนี้มันก็ถูกโยงเข้ากับความเชื่อทางศาสนาจนคนในสมัยก่อนยึดหลักว่าโลกแบนเป็นหลายศตวรรษ แต่ในช่วงศตวรรษที่ 17 ก็ได้มีนักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ไปออกมาโต้แย้งเรื่องบนโลกแบนหลายคนแต่สุดท้ายพวกเขาก็โดนตีตราว่าเป็นพวกนอกรีดทางศาสนาและสุดท้ายพวกเขาก็โดนประหารชีวิตทิ้ง แต่ในเวลาต่อมาก็ได้เริ่มมีนักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ได้ค่อยๆออกมาเปิดเผยว่าโลกมันกลมแต่ก็ตามคาดสุดท้ายของเขาก็โดนชีวิตไปเพราะพวกผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการศาสนาต่างยัดข้อหาดูหมิ่นศาสนาแล้วก็ประหารชีวิตพวดนักวิชาการวิทย์ทางวิทยาศาสตร์ทิ้ง

แต่สุดท้ายในยุคปัจจุบันในยุคที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สูงกว่าเมื่อก่อนพวกนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พิสูจน์ว่าโลกมันกลมถึงจะไม่ได้กลมขนาดนั้นออกไปทางวงรีนิดหน่อยก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นว่าโลกไม่ได้มีรูปร่างแบน แต่สุดท้ายในยุคปัจจุบันก็ยังมีคนที่ยังคิดว่าโลกมันแบนอยู่แล้วก็ยังคิดต่อไปอีกว่า พวกรัฐบาลมันปกปิดข่าวเรื่องโลกแบนและยังรวมไปถึงการที่มีดวงดาวบนท้องฟ้าเวลาค่ำคืนหรือเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆบนโลกใบนี้ ก็ล้วนแต่เป็นฝีมือของพวกรัฐบาลโลก

...การต่อยอดของทฤษฎีของโลกแบน...

โลกแบนมีพระอาทิตย์กับดวงจันทร์ลอยอยู่เหนือโลกมีกำแพงน้ำแข็งล้อมรอบโลกแล้วก็โดมขนาดยักษ์ที่ปิดล้อมรอบโลกมันก็แค่นี้ความเชื่อในเมื่อก่อน แต่ในยุคปัจจุบันมันได้มีการอัพเกรดทฤษฎีขึ้นมาอีกว่า โลกนอกกำแพงน้ำแข็งมีฐานทัพนาซีของฮิตเลอร์อยู่ หรือไม่ก็โลกนอกกำแพงน้ำแข็งมีโลกอื่นๆอยู่อีกนับไม่ถ้วน ซึ่งเนื้อหานี้จะเล่าในตอนถัดๆไป

...บทสรุป...

ความเชื่อโลกแบนเกิดมาจากความไม่เข้าใจ มองโลกแคบ คิดว่าความคิดตัวเองดีที่สุดของพวกเผยแพร่ศาสนา และสุดท้ายพวกมันก็เอาความเชื่อผิดๆนี้โยงเข้าศาสนาจนคนที่เชื่อในศาสนานั้นๆเชื่อตามกันเป็นฝูงมด แต่นี้ก็เป็นแค่ความคิดของคนในสมัยเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว แต่ในปัจจุบันมันได้มีวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีส่วนช่วยทำให้คนตาสว่างมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าโลกมันไม่ได้แบน แต่สุดท้ายมันก็ต้องมีคนยังเชื่อว่าโลกอย่างแบนอยู่รับก็ยังคิดไปอีกว่าพวกรัฐบาลมันปกปิดเรื่องราวนี้ แถมพวกที่เชื่อว่าโลกแบนยังจะเสริมทฤษฎีความคิดว่ายังมีโลกที่อยู่นอกกำแพงน้ำแข็ง ทั้งที่ตัวเองก็ไม่เคยไปที่นั่นจริงๆและส่วนพวกที่เชื่อว่าโลกแบน พวกมันก็ทำได้แค่อยู่บ้าน จับเมาส์จับคีย์บอร์ดและก็สร้างหลักฐานปลอมๆขึ้นมาเพื่อสำหรับให้คนที่เชื่อว่าโลกแบนอ่าน และทีนี้พอคนที่เชื่อว่าโลกแบนได้ดูหลักฐานปลอมๆนี้ขึ้นมา พวกเขาก็ยิ่งเชื่อเข้าไปใหญ่ว่าโลกมันแบนจริงๆ

...BY _ _ . _ _ _ _ . ....

Cosmic flat earth จักรวาลแห่งโลกแบน (ทฤษฎีเสริม)

...Cosmic flat earth จักรวาลแห่งโลกแบน...

...จักรวาลแห่งโลกแบนคืออะไร...

จักรวาลแห่งโลกแบนคือทฤษฎีต่อยอดของผู้คนที่เชื่อว่าโลกแบน ซึ่งทฤษฎีนี้มันเป็นทฤษฎีที่พึ่งถูกคิดค้นขึ้นมาได้ไม่นานมากนักนับตั้งแต่ปัจจุบัน ซึ่งมันก็ตามสูตรเดิมที่พวกคนที่เชื่อว่าโลกแบนก็ยังเชื่อต่อไปว่าโลกมันแบนแต่ก็ไม่ธรรมดา พวกเขาได้อัพเกรดความเชื่อตัวเองให้ไม่ได้แบนแต่โลกแต่ทำให้ทั้งจักรวาลมันแบนไปเลย ซึ่งมันก็ได้เกิดทฤษฎีนี้ขึ้นมานั่นเอง

...ลักษณะของจักรวาลแห่งโลกแบนเป็นอย่างไร...

โดยลักษณะของจักรวาลแห่งโลกแบนเอาที่ดีก็คือจะเป็นพื้นที่ทรงกลมขนาดใหญ่ที่ไม่มีที่สุดและในวงกลมนั้นก็จะมีพื้นที่รูปแบบโลกแบนนับไม่ถ้วนตามภาพ

โดยแต่ละพื้นที่ของโลกแบนก็จะอิงมาจากตำนานความเชื่อของมนุษย์โลกเช่นโลกแบนนี้เป็นของตำนานของชาวกรีก โลกแบนโลกนี้ก็เป็นตำนานของชาวแอซเท็ก และอื่นๆอีกมากมายตามตำนานความเชื่อที่มีอยู่บนโลกมนุษย์ ซึ่งแต่ละพื้นที่ของโลกแบนนั้นมีขนาดที่ต่างกันตามความยิ่งใหญ่ของตำนานนั้นๆ และในระหว่างที่ของโลกแบนต่างๆนี้จะถูกกันไปด้วยผืนทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ซึ่งสังเกตจากในภาพได้ว่าจะมีเครื่องหมายสวัสดิกะข้างๆกับรูปตัว h และ h หมายถึงโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งเจ้าเครื่องหมายสวัสดิกะนี้มันก็จะไปลงเข้ากับทฤษฎีของคนที่เชื่อว่านาซียังไม่ล่มสลายแต่แค่ไปกบดานที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้

และเจ้าทฤษฎีที่ว่านาซียังไม่ล่มสลายนั้นมันก็โยงเข้ากับเรื่องโลกแบนได้เป็นอย่างดีต่อความเชื่อของพวกเขา แถมทฤษฎีจักรวาลแห่งโลกแบนผู้คนที่เชื่อได้กล่าวไว้ว่า โลกแบนของแต่ละโลกที่มีขนาดต่างกันมันก็เหมือนกับผู้คนที่เชื่อว่าโลกกลมที่คิดว่าเรามีระบบสุริยะ ซึ่งหลักการนี้มันก็คล้ายๆกัน กระจุกของโลกแบนนับหลายโลกก็เป็นแค่ส่วนเล็กส่วนน้อยของระบบสุริยะแบบแบน ซึ่งให้อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ กระจุกของโลกแบนแต่ละโลกนั้นมันก็ต้องมีโลกแบนที่คอยคุมโลกแบนเหล่านี้ที ซึ่งตามในรูปนั้นก็จะสังเกตได้ว่าตรงขอบมุมรูปทั้ง 4 ด้านจะเป็นรูปเครื่องหมายคำถาม และนั่นก็จะเป็นทฤษฎีเสริมไปอีกว่า ถ้าเราเดินทางไปยังสุดขอบของกระจุกโลกแบนเหล่านี้ เราก็จะเจอกับกำแพงน้ำแข็งสูงใหญ่ตั้งเด่นสง่าที่ล้อมรอบกระจุกโลกแบนไว้อีกทีนึง และพอเราได้ข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งของกำแพงน้ำแข็งขนาดยักษ์นั้นเราก็จะเจอกับอีกโลกนึงที่เราไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร

...ประวัติความเป็นมาของจักวาลแห่งโลกแบนเป็นอย่างไร...

ซึ่งเจ้าทฤษฎีจักรวาลแห่งโลกแบนนั้นได้ถูก คิดค้นมาเมื่อศตวรรษที่ 21 และเจ้าทฤษฎีนี้ได้ถูกคิดค้นโดยคนที่สมองยังล้าสมัยที่ยังคิดว่าตอนนี้อยู่ในศตวรรษที่ 17 แต่เขาผู้นี้กลับมีความคิดที่ก้าวหน้ามากไปกว่านั้น เขาเลยบรรจงวาดแผนที่โลกแบนในแบบใหม่ที่ตัวเองก็ยังไม่เคยเห็นกับตาเลยสักครั้งในชีวิตแต่ก็สามารถวาดออกมาได้โดยใช้จินตนาการ ก็เหมือนกับชายผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ที่ได้เคยพูดเอาไว้ว่า จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ แต่คนที่ต่อยอดทฤษฎีนี้เล่นเอาซะ ความรู้ความมันสำคัญกว่าจินตนาการไปเลย

...สรุป...

สรุปกันสั้นๆเลยว่านี่ก็เป็นแค่ทฤษฎีต่อยอดที่บ้าบอ ไม่มีแก่นสาร และไร้สาระ คนที่ได้อ่านทฤษฎีนี้ก็จงรำลึกไว้เสมอว่าโลกมันกลมที่เราเหยียบอยู่มันกลมมันไม่ได้แบน เราแค่ตัวเล็กกว่าพื้นที่เราเหยียบไว้เฉยๆก็แค่นั้นเอง แต่จะให้ไปอธิบายให้กับคนที่เชื่อว่าโลกแบนฝังมันก็เหมือนกับคุณเห่าใส่หมา หมามันไม่รู้หรอกว่าคุณเห่าเพื่ออะไร ความปรารถนาการเห่าของคุณคืออะไร แต่ที่แน่ๆที่มันรู้ก็คือว่า มันจะกัดคุณกลับอย่างแน่นอน และแน่นอนต่อจากนี้ผมจะไม่เล่าทฤษฎีของโลกแบนอีกแล้วเพราะมัน

...ปัญญาอ่อน...

...BY _ _ . _ _ _ _ . ....

I-70 Killer ฆาตกรนิรนาม

...I-70 Killer ฆาตกรนิรนาม...

...I-70 Killer คือใคร...

I-70 Killer เรื่องจริงของคดีฆาตกรรมสุดดังในช่วงปี90 และที่คดีฆาตกรรมนี้ได้ดังขึ้นมาก็เพราะว่าทางกรมตำรวจสหรัฐอเมริกาไม่สามารถหาตัวผู้ร้ายที่ลงมือฆาตกรรมได้ถึงปัจจุบัน

...เหตุการณ์การฆาตกรรมของI-70 Killer ...

I-70 Killer คือฆาตกรชาวอเมริกัน ที่ทางกรมตำรวจสหรัฐอเมริกายังไม่สามารถระบุตัวตนได้ว่าเป็นใคร และชื่อ I-70ก็ได้มาจากเหตุการณ์การฆาตกรรมทั้งหมดนั้นล้วนอยู่ใกล้กับถนนทางหลวงระหว่างรัฐหมายเลข 70 ซึ่งเหตุการณ์การฆาตกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นนะวันที่8 เมษายนถึง 7 พฤษภาคม ในช่วงปี1992 ฤดูใบไม้ผลิบริเวณเขตมิดเวสต์ และเหตุการณ์การฆาตกรรมครั้งนี้เหยื่อผู้โดนฆาตกรรมทั้งหมดเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อและก็เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมดยกเว้นเพียงชายคนหนึ่ง ที่ทางตำรวจคิดว่าฆาตกร I-70 น่าจะเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงเพราะรูปร่างของเหยื่อผู้ชายคนนี้มีรูปร่างเล็กและการไว้ทรงผมของเหยื่อที่ดูเหมือนผู้หญิงมากจนทำให้ฆาตกรI-70เข้าใจผิด 

...รูปพรรณสังขารของฆาตกรI-70...

ฆาตกรI-70มีรูปร่างที่ผอมบาง ผมสีน้ำตาล ส่วนสูงอยู่ที่ประมาณ 5 ฟุตหรือประมาณ 170 ถึง 175 เซนติเมตร และนี่คือรูปสเก็ตของฆาตกรI-70ที่ได้มาจากการให้ปากคำของพยานผู้พบเห็นฆาตกรI-70

...เหยื่อที่ถูกฆาตกรI-70ฆาตกรรม...

...โรบิน ฟุลเดาเออร์...

การเริ่มฆาตกรรมของฆาตกรI-70ได้เริ่มเมื่อวันที่ 8 เมษายนปี 1992 และเหยื่อการฆาตกรรมคนแรกก็คือ โรบิน ฟุลเดาเออร์ โรบิน ฟุลเดาเออร์ เธอมีอายุอยู่ที่ 26 ปีและเธอเป็นผู้จัดการของร้านPayless ShoeSource ในIndianapolis ในเวลาประมาณ1:30P.M เธอได้อยู่ในร้านเพียงคนเดียวในเวลานั้นและเธอก็ถูกยิงในเวลานั้น ศพของเธอได้ถูกค้นพบในห้องเก็บของหลังร้านในเวลาประมาณ3:00P.M และเงินในเครื่องบันทึกเงินก็ถูกขโมยไปเพียงแค่ 100 ดอลลาร์เท่านั้น

...แพทริเซีย เมเจอร์ส และแพทริเซีย สมิธ...

และวันที่ 11 เมษายนปี 1992 ได้มีการฆาตกรรมครั้งที่ 2 ของฆาตกรI-70 แม่ทำให้พี่เกิดในร้านเจ้าสาว La Bride d'Elegance ในเมืองวิชิตา และเหยื่อคือแพทริเซีย สมิธ อายุ 23 ปี และแพทริเซีย เมเจอร์ส อายุ32ปี ซึ่งเธอเป็นเจ้าของร้านของที่เกิดเหตุ ซึ่งนี่ก็เป็นการฆาตกรรมเพียงครั้งเดียวของฆาตกรI-70 ได้สังหารเหยื่อหลายรายในเวลาเดียวกัน และทางเจ้าหน้าที่สายสืบก็ได้สันนิษฐานว่าผู้ร้ายคิดว่ามีเหยื่อเพียงคนเดียวในร้านเพราะในเวลา 6:00P.M จะเป็นเวลาปิดของร้านตามปกติ แต่เวลานี้ในวันที่เกิดเหตุทางร้านไม่ได้ปิดอย่างปกติเพราะ แพทริเซีย เมเจอร์ส และแพทริเซีย สมิธ ได้รอนัดที่ลูกค้าที่นัดรับคัมเมอร์บันด์ แต่ก็ไม่นานมากฆาตกรI-70ก็ได้เดินเข้ามาในร้านและแพทริเซีย เมเจอร์ส และแพทริเซีย สมิธ ก็คิดว่าฆาตกรI-70เป็นลูกค้าที่มานัดรับคัมเมอร์บันด์ ที่นัดเอาไว้ และพอหลังจากที่ฆาตกรI-70นายฆาตกรรมครั้งคู่ลง ลูกค้าที่มารับของก็ได้เดินเข้ามาในร้านพอดี และตอนนั้นพอลูกค้าตัวจริงเข้ามาในร้านลูกค้าตัวจริงก็ได้พยายามหนีแต่ฆาตกรI-70ได้ขู่เอาไว้ด้วยปืน ลูกค้าตัวจริงก็ต้องทำตามที่ฆาตกรI-70สั่งทั้งหมดเพราะไม่อย่างนั้นเธอก็ต้องกลายเป็นเหยื่ออีกคนภายในร้านนั้น พอหลังจากที่ฆาตกรได้หลบหนีไปลูกค้าตัวจริงก็ยังตกใจกับเหตุการณ์ที่ตัวเองได้เจออยู่ต้องใช้เวลาไปชั่วโมงกว่าถึงจะให้การกับตำรวจได้ว่ารูปพรรณสัณฐานของฆาตกรได้ และคำให้การของลูกค้าตัวจริงนั้นก็ได้กล่าวไว้ว่าฆาตกรมีรูปร่างที่ผอมบาง ผมสีแดง และใช้ปืนในการก่อเหตุสไตล์UZIในการก่อเหตุ

...ไมเคิล แมคคอร์น...

เมื่อวันที่ 27 เมษายนปี 1992 ไมเคิล แมคคอร์น ในวัย 40 ปี ผู้สังหารในร้านเซรามิคของ ซิลเวีย แมคคอร์น ซึ่งเป็นแม่ของเขา และในเมืองแตร์ โอต อินดีแอนา เมื่อเวลา 6:00P.M ไมเคิล แมคคอร์น ได้ถูกสังหารลงและกระเป๋าตังค์ของเขาที่มีเงินจำนวนไม่ถึง 50 ดอลลาร์ก็ถูกขโมยไปด้วย ซึ่งในที่เกิดเหตุนั้นก็ไม่ได้มีพยานพบเห็นฆาตกรI-70 และไมเคิล แมคคอร์น เป็นเหยื่อเพียงคนเดียวของการฆาตกรรมI-70 ที่เป็นผู้ชาย โดยเจ้าหน้าที่สืบสวนบ้านสันนิษฐานไว้ว่าฆาตกรI-70 เข้าใจผิดที่ไมเคิล แมคคอร์น เป็นผู้หญิงเพราะไมเคิล แมคคอร์น มีรูปร่างที่เล็กและยังไว้ทรงผมหางม้าและถูกยิงจากข้างหลังในขณะที่เขากำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงชั้นวางสินค้า และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ฆาตกรเข้าใจผิด

...แนนซี่ คิทซ์มิลเลอร์...

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมปี 1992 แนนซี่ คิทซ์มิลเลอร์ ในวัย24 ปี เธอถูกสังหารในตอนที่เธอกำลังทำงานอยู่คนเดียวในร้าน Boot Village ในเมืองเซนต์ชาร์ลส์ รัฐมิสซูรี ตอนนั้นเธอเปิดร้านในเวลาประมาณ 2:30P.M และเธอก็ได้พบกับศพลูกค้าที่เสียชีวิตอยู่ในร้านตอนนั้น แต่เธอก็ไม่ได้ทันได้ตกใจเธอก็ได้ถูกยิงจากหลังศีรษะเธอ ข้างตำรวจได้เข้ามาคุมสถานการณ์ได้ตรวจสอบว่าเงินในเครื่องทุกเงินได้ถูกขโมยไปแค่บางส่วน แม้ว่าจะไม่มีใครได้ยินเสียงปืนในบริเวณนั้นก็ตาม แต่ก็ได้มีพยานพบเห็นเธอกับลูกค้าคนสุดท้ายเกมไม่กี่นาทีก่อนที่เธอจะเสียชีวิต และนั่นก็เป็นหลักฐานที่ทำให้ตำรวจสามารถวาดรูปสเก็ตฆาตกรI-70ออกมาได้

...ซาราห์ บาร์สซิ่ง...

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมปี 1992 การฆาตกรรมครั้งนี้ยืนยันว่าเป็นการฆาตกรรมครั้งสุดท้ายของฆาตกรI-70 เมืองเรย์ทาวน์ รัฐมิสซูรีเหยื่อรายนี้คือ ซาราห์ บาร์สซิ่ง วัย 37 ปี แล้วเธอก็กำลังทำงานอยู่ที่ร้านStore of Many Colours ซึ่งมันเป็นร้านของเธอเอง และการฆาตกรรมเกิดขึ้นในระหว่างวัน ซึ่งเจ้าของร้านวิดีโอที่อยู่ติดกับร้านของ ซาราห์ บาร์สซิ่ง เห็นฆาตกรเข้าไปในร้าน ได้ยินเสียงปิ่ว แล้วเขาก็เห็นฆาตกรเดินออกจากร้านออกไป เจ้าของร้านก็เลยได้เดินเข้าไปในร้านของซาราห์ บาร์สซิ่ง และเขาก็ค้นพบร่างของ บาร์สซิ่งหลังจากตรวจสอบเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในร้าน พนักงานที่ร้านขายของชำใกล้เคียงก็เห็นผู้ต้องสงสัยเช่นกัน เขากำลังปีนเนินเขาไปทางถนนหลวงสาย I-70

...สรุป...

การฆาตกรรมครั้งนี้มันเป็นการฆาตกรรมที่ลึกลับมากว่าฆาตกรรมเป็นใคร ถึงจะมีรูปสเก็ตก็ตามแต่ ซึ่งแต่ละรูปร่างก็ไม่เหมือนกันเลย และในปัจจุบันตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครกันแน่ แต่ได้พูดจริงๆแล้วตอนนี้เขาคงจะแก่มากแล้วล่ะ หรือไม่ก็อาจจะโดนเครือญาติของเหยื่อว่าจ้างมือปืนมาตามเก็บก็เป็นไปได้

...BY _ _ . _ _ _ _ . ....

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!