วันนี้เป็นวันรับน้องคณะบริหารธุรกิจ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลยสำหรับผม ออกจะน่าเบื่อด้วยซ้ำ มหาลัยเปิดเทอมได้อาทิตย์หนึ่งแล้วล่ะ ไม่รู้จะมารับอะไรตอนนี้เสียเวลา...
“แม่ง! น่าเบื่อว่ะ” ผมหันไปบ่นกับเพื่อนทั้งสามคน
“นั่นดิ เสียเวลาชิบ!” ราเรซเห็นด้วยกับผม
“น้องปีหนึ่งสองคนนั้นน่ะ คุยอะไรกัน ออกมาคุยตรงนี้มา” รุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งประกาศเรียกให้ผมกับราเรซเดินออกไปยืนด้านหน้าเพื่อนๆ พอผมกับราเรซลุกขึ้นยื่นเท่านั้นแหละ สายตาของผู้หญิงที่คณะ ต่างก็หันมามองที่ผมสองคนเป็นตาเดียว ก็คนมันหล่ออ่ะนะ พอรู้ตัวเองอยู่แหละ
ผมกับราเรซเดินตรงไปหารุ่นพี่ที่ถือไมค์ประกาศเรียกพวกผมเมื่อกี้ ชำเลืองมองดูป้ายชื่อที่รุ่นพี่คนนี้ฆ้องคอไว้ ชื่อน้ำหวานสินะ ทำเป็นพูดเสียงเข้มใส่ ตัวเท่าลูกแมวยังกล้ามาเบ่งใส่อีก ผมเล่ตามองพี่น้ำหวานเล็กน้อยด้วยแววตาเรียบนิ่ง เพียงแค่นั้นก็ทำให้พี่น้ำหวานยืนอายม้วนบิดไป บิดมา อะไรวะ... เรียกออกมาแล้วก็มาเขินใส่เนี้ยนะ ไร้สาระวะ!
พี่น้ำหวานเอาแต่จ้องหน้าผมกับราเรซสลับกันไม่ยอมพูดอะไรสักที เธอก็เลยโดนเพื่อนตบหัวไปหนึ่งทีเพื่อเรียกสติพี่น้ำหวานให้กลับคืนมา
“อะ แฮ่ม! น้องสองคนคุยอะไรกันค่ะ” น้ำเสียงที่พูดออกมาเหมือนพยายามทำให้ดุนะ แต่ใบหน้าของพี่น้ำหวานกลับยิ้มแก้มแทบปริอยู่ล่ะ
“คุยกันว่า น่าเบื่อ เมื่อไรจะเสร็จสักที” ผมจ้องหน้าพี่น้ำหวานนิ่ง ตอบตามความจริงโดยที่ไม่คิดจะแก้ตัวด้วย แต่ก็ดูเอาเถอะ อุตส่าห์เรียกผมสองคนออกมาเพื่อดุว่า แต่กลับมายืนเคลิบเคลิ้มซะงั้น ผมหันไปมองหน้าไอ้เรซอย่างเซ็งๆ ซึ่งมันก็แสดงสีหน้าไม่ต่างจากผม จะพูดอะไรก็ไม่พูดสักที มัวแต่ยืนเขินอยู่ได้
“ถ้าไม่มีอะไรผมกับเพื่อนกลับไปนั่งที่นะ”
ผมหันหลังเตรียมจะเดินกลับไปนั่งที่ ก็มีเสียงหนึ่งเรียกไว้
“เดี๋ยว!”
ทันทีที่ได้ยินเสียงผมก็รู้ว่าเป็นใคร โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาหันไปมองด้วย เธอคือคนที่อยู่ในใจของผมมาโดยตลอด ถึงแม้จะโดนเธอปฏิเสธไปแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอมันไม่เคยจางหายไปเลย
“พี่มิริน” ราเรซเอ่ยชื่อลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง
“สองคนคุยกันเสียงดัง ไม่ให้เกียรติรุ่นพี่ ควรถูกทำโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อเพื่อนคนอื่นๆ” มิรินยืนบ่นร่ายยาวเป็นหางว่าว
“งั้นก็ทำโทษเองสิ รุ่นพี่”
ผมหันหลังกลับมาสบตากับมิริน พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เฉียดผิวแก้มเธอไปนิดเดียว มิรินถึงกับผละตัวออกเล็กน้อยด้วยความตกใจที่ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอจนเกือบจะโดนแก้มเนียน
“เฮ้ย! เดี๋ยวกูทำโทษมึงเอง” เสียงรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับมิริน ชื่อแมทสินะ เพราะป้ายชื่อเขียนไว้แบบนั้น
“เอาดิ จะทำไรก็รีบทำ เสียเวลาชิบ!”
ผมหันไปตอบไอ้พี่แมทอย่างกวนๆ ด้วยการยืนล้วงกระเป๋ากางเกงคุยกับรุ่นพี่อย่างมีมารยาท
แล้วไอ้พี่แมทก็เดินเข้ามาประจันหน้ากับผม มันเดินเอาอกของมันมาชนกับอกผมหนึ่งทีอย่างกวนตีนไม่แพ้กัน
ผมยกยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับยกมือขึ้นมาปัดที่อกแกร่งบริเวณที่ถูกไอ้รุ่นพี่กระแทกเมื่อกี้อย่างสะทกสะท้านอะไร ประมาณว่าก็แค่แมลงบินชน ก็แค่นั้น...
“ไอ้นี่ กวนตีนเหรอ ห๊ะ!”
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เพราะมันทำให้ไอ้รุ่นพี่หัวร้อนขึ้น มันเดินเข้ามาตั้งท่าเอาเรื่องผมเต็มที่ แต่ก็โดนคนตัวเล็กห้ามไว้ก่อน
“เออ... เดี๋ยวมิรินจัดการเองนะคะ พี่แมท ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ”
มิรินเดินมาขว้างหน้าผมไว้ เธอหันมามองหน้าผมพร้อมกับส่งสายตาดุมาให้
“ก็ได้จ้ะ เห็นแก่น้องมิริน พี่จะเว้นมันไว้ก่อนก็ได้ แต่ถ้ามันยังไม่เลิกทำนิสัยเสียแบบนี้กับรุ่นพี่อีก พี่คงปล่อยไว้ไม่ได้...”
“ก็ทำเลยสิ จะรออะไรล่ะ”
“ไอ้..”
“โต้ง!”
มิรินเดินเข้ามาคว้าหมับที่ข้อมือของผมแล้วคนตัวเล็กก็ออกแรงลากผมมายังด้านหลังของตึกคณะ ผมมองตามแผ่นหลังของเธอที่เดินนำหน้าอยู่ แล้วรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาบนหน้าของผม ทำไมนะ ทั้งที่โดนปฏิเสธไปแล้วแท้ๆ แต่ผมกลับตัดใจจากมิรินไม่ได้สักที มันยิ่งทำให้ผมต้องการเธอมากขึ้นต่อให้มิรินไม่ได้รู้สึกอะไรกับผมก็ตาม
“ทำไม ชอบทำตัวมีปัญหาอยู่เรื่อยเลยนะ”
มิรินหยุดเดินแล้วหันไปมองบริเวณรอบๆ พอมั่นใจว่าไม่มีใคร เธอก็หันมาบ่นผมทันที มิรินปล่อยมือของเธอออกจากข้อมือผม ผมรีบคว้าหมับที่ข้อมือของมิริน ออกแรงกระตุกนิดเดียวก็ทำให้ร่างบางของเธอปลิวเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของผมอย่างง่ายดาย ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ ก็รีบยกขึ้นโอบรอบเอวบางไว้แน่นอย่างรู้งาน มิรินรีบยกแขนเล็กขึ้นมาดันอกแกร่งของผมไว้อย่างรวดเร็ว
“โต้ง!” มิรินขึงตาใส่พร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง
“ว่า..”
ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก จ้องมองใบหน้ารูปไข่ของมิรินด้วยแววตาเรียบนิ่งพยายามไม่แสดงความรู้สึกใดใดออกมา เพราะไม่อยากทำให้มีมิรินรู้สึกกดดันหรืออึดอัด แต่ต่อให้ผมแสดงความต้องการเธอยังไง มิรินก็เมินผมอยู่ดี
“ปล่อย..”
“ไม่..”
“ปล่อย พี่ เดี๋ยวนี้...”
พี่.. อีกแล้วเหรอ เธอก็รู้ว่าผมไม่ชอบให้เธอแทนตัวเองแบบนี้ แต่ก็ยังพูดอยู่ได้ ชอบลองของนักใช่ไหม... เดี๋ยวจัดให้
ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งไปจับที่ท้ายทอยของมิรินบังคับให้เธอเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ผมโฉบฉวยจูบริมฝีปากบางของมิรินโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เธอต่อต้านผมด้วยการเม้มปากไว้แน่น ไม่ยอมให้ผมรุกล้ำเข้าไปได้
ไม่ยอมเปิดปากใช่ไหม... มือหนาที่โอบเอวบางอยู่เลือนเข้าไปในขอบกระโปรงทรงเอแล้วรั้งเอาชายเสื้อนักศึกษาของมิรินขึ้นมา ตากลมโตเปิกโพรงอย่างตกใจ
ไม่หยุดแค่นั้นหรอก... ผมเลือนมือหนาเข้าไปในเสื้อนักศึกษาของมิริน ลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังบาง ทำให้ร่างเล็กตรงหน้าถึงกับสั่นนิดๆ กำปั้นเล็กระดมทุบเป็นว่าเล่นเมื่อมือของผมเลื่อนขึ้นไปลูบไล้ใกล้ๆ กับตะขอบราของเธอ สะกิดเพียงเล็กน้อยตะขอนั่นก็หลุดออกจากกันอย่างง่ายดาย
“อืออออ” มิรินเผลอเปิดปาก สงสัยอยากจะด่าผม แต่ไม่ทันได้พูดซะหรอก ผมรีบแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากเล็ก ลิ้นชื้นตวัดดูดดึงลิ้นเล็กอย่างโหยหา ความหวานจากรสจูบนี้ มันชั่งหอมหวานละมุนละไม ไหนจะลิ้นเล็กแสนอ่อนนุ่มนั้นอีก ผมจะถอนตัวไม่ขึ้นอยู่แล้ว ผมดูดเม้มซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างบางเริ่มประท้วงอีกครั้งด้วยการทุบกำปั้นหนักๆ ที่ไหล่หนา
ผมถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง จ้องมองริมฝีปากของมิรินที่ตอนนี้ มีอาการเจ่อบวมเล็กน้อย นี่ผมร้อนแรงขนาดนั้นเชียว แค่จูบเอง... ถึงกับควบคุมตัวเองไม่อยู่เลยทีเดียว
มิรินมองหน้าผมอย่างอึ้งๆ สีหน้าของเธอดูตกใจมาก มือบางยกขึ้นมาปิดปากของตัวเองคลายดั่งคนละเมอ มิรินกะพริบตาอยู่สองสามครั้ง พอเธอได้สติก็รีบหันหลังให้เตรียมเดินหนี ผมรวบเอวบางเข้ามาชิดกับอกแกร่งก่อนที่เธอจะเดินหนีไป
“ปล่อย!” มิรินดิ้นขลุกขลักไปมาอยู่ในอ้อมกอดของผม กลิ่นตัวก็ชั่งหอมยั่วใจดีเหลือเกิน... จำเป็นไหม.. ที่ผู้หญิงต้องมีกลิ่นตัวหอมขนาดนี้ มันดึงดูดผู้ชายอย่างผมมากนะรู้ไหม
“อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวใส่ตะขอให้” ผมกระซิบบอกชิดริมหู ผมไม่รู้หรอกว่ามิรินมีสีหน้ายังไง เพราะเธอหันหลังให้อยู่ แต่ผมมั่นใจว่า เธอต้องเขินอยู่แน่ๆ
ผมค่อยๆ เลือนมือเข้าไปในเสื้อนักศึกษาของมิรินอีกครั้ง แกล้งลากนิ้วผ่านเข้าไปอย่างเชืองช้า สร้างความสยิวให้กับร่างบางเล่น ผมชำเลืองมองไปด้านหน้าผ่านหัวทุ่ยก็เห็นมือน้อยๆ ของมิรินกำลังกำหมัดแน่น เหมือนกับว่า เธอกำลังอดกลั้นกับอะไรสักอย่าง... ผมยกยิ้มแอบขำอยู่ในใจ อดทนให้ได้ตลอดนะ มิริน เพราะว่าต่อจากนี้ไป มันคือของจริง...
“บอกไม่จำ ก็ต้องโดนแบบนี้แหละ” ผมกระซิบบอกมิรินอีกครั้ง เมื่อใส่ตะขอให้เธอเสร็จแล้ว ทันทีที่ผมปล่อยมือออกจากเอวบาง มิรินก็รีบวิ่งหนีไปโดยที่ไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย ผมเดานะ เธอต้องวิ่งไปเข้าห้องน้ำแน่นอน เพราะเสื้อนักศึกษาของมิรินหลุดลุ่ยออกมาจากขอบกระโปรงด้วยฝีมือของผม
นึกว่าจะโดนมิรินตบซะแล้ว ผมคิดเอาไว้ว่า ถ้าเธอหันมาตบ แสดงว่าเธอไม่ได้แค่ไม่ชอบ แต่เธอต้องรังเกียจผมเลยล่ะ และการที่เธอไม่ตบผม แสดงว่าลึกๆแล้ว เธอก็ต้องมีชอบผมบ้างล่ะน่า... ไม่มากก็น้อยล่ะวะ เตรียมรับมือโต้งไว้ให้ดีล่ะ มิริน
มิริน
ฉันยืนจ้องหน้าตัวเองผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำหญิง ฉันกำลังแปลกใจตัวเองอยู่ว่าเมื่อกี้ทำไม ฉันไม่ตบหน้าเขาไป เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าฉันโกรธ แต่พอเจอกับสายตาที่โหยหานั่น มันทำให้มือของฉันอ่อนแรงลงอย่างน่าอัศจรรย์ นี่อย่าบอกนะ ว่าฉันรู้สึกดีกับเจ้าเด็กบ้านั่นนะ
ฉันไม่ควรรู้สึกอะไรสิ... เธอปฏิเสธเขาไปแล้วนะ มิริน เธอจะทำตัวไม่มีเหตุผลไม่ได้ นั่นเพื่อนน้องชายนะ เขายังเด็ก เธอไม่ชอบคนที่อายุน้อยกว่านิ อีกอย่าง.. เขาไม่ใช่สเป๊กเธอ แถมยังตรงกันข้ามกับทุกอย่างที่เธอชอบอีก
“ไม่ๆ ๆ ๆ ๆ” ฉันยืนส่ายหน้าไปมาอยู่หน้ากระจกเหมือนคนบ้าเลย
“อ้าว มิรินมาอยู่นี่เอง” เสียงน้ำหวานเพื่อนร่วมคณะของฉันทักขึ้น
“มีไรหรอก”
“เปล่า ไม่มีไร แล้วทำโทษน้องปีหนึ่งคนนั้นแล้วเหรอ” น้ำหวานพูดอย่างตื่นเต้น นัยน์ตาของเพื่อนร่วมคณะเป็นประกายวิงๆ เห็นแล้วมันรู้สึกขัดตาจัง
“อื้ม” ฉันตอบสั้นๆ พลางแต่งตัวจัดกระโปรงทรงเอให้เข้าที่ จะว่าไป เหมือนจะเป็นฉันซะมากกว่าที่โดนทำโทษ ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย... จะอะไรนักหนา กับคำนพูดแทนตัวเองของฉันเนี้ย
“มิริน เธอปลื้มคนไหนมากกว่ากัน ระหว่างโต้งกับราเรซ” น้ำหวานถามโดยที่เธอไม่ได้หันหน้ามามอง เพราะกำลังปัดแก้มสีพีชของเธออยู่
“ราเรซน่ะ น้องชายฉัน” ฉันหันไปตอบน้ำหวาน เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“จริงเหรอ แล้วโต้งล่ะ เธอสนใจเขาหรือเปล่า” น้ำหวานยังตั้งคำถามต่อ
“ฉันไม่ชอบกินเด็ก” พอตอบเสร็จฉันก็หันไปฉีกยิ้มหวานให้เพื่อนร่วมคณะ
“กินเด็กมันดีนะ จะบอกให้” น้ำหวานหันมาขยิบตาให้ฉันหนึ่งทีก่อนจะหันกลับไปแต่งหน้าตัวเองต่อ
“เชิญเธอกินเถอะ ฉันชอบคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่ พูดจาสุภาพ อ่อนโยนกับเพศตรงข้าม ประมาณนี้”
“ลุคคุณชายแบบนั้น มันจะไปเร้าใจอะไรล่ะ สู้แบบแบดๆ ก็ไม่ได้เร้าใจกว่ากันเยอะ” น้ำหวานบอก
“ชอบเถื่อนๆ เหรอ”
“ว๊ายยย เขาเรียกว่าแบดบอยย๊ะ แบบโต้งเนี้ย สเป๊กฉันเลย” น้ำหวานพูดพร้อมกับทำท่าทางเพ้อฝันกลางวัน
“ฉันไปดีกว่า” พูดจบฉันก็เดินออกมาจากห้องน้ำหญิงทันที
Rrrrrrrrrrrr
(My mom)
“ค่ะ แม่”
“มิริน วันนี้หนูเลิกเรียนกี่โมงค่ะ” (My mom)
“บ่ายสามค่ะ แม่มีอะไรรึเปล่า”
“ลูกจำพี่เฟยหลานชายเพื่อนคุณตาได้ไหม ที่พี่เขาไปเรียนต่อเมืองนอกน่ะ ตอนนี้พี่เขากลับมาแล้ว ทางบ้านโน้นเขาจัดงานเลี้ยงต้อนรับก็เลยชวนเราไปร่วมงานด้วย” (My mom)
คลุมถุงชนอีกแล้ว?
“ถ้ากลับไปทันนะคะ” ฉันต้องอย่างบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากไปร่วมงานอะไรแบบนี้สักเท่าไร
“ทันอยู่แล้ว เพราะว่าพี่เฟยกำลังไปรับลูกที่มหาลัย” (My mom)
“ห๊ะ! แม่ล้อมิรินเล่นใช่ไหม” อะไรของแม่อีกล่ะ ให้เขามารับฉันทำไม ฉันไม่อยากไปกับเขาสักหน่อย ทำไมผู้ใหญ่ชอบจัดการอะไรเอาเองแบบนี้นะ คิดถึงพ่อมิโน่จัง อยากจะหนีไปนอนบ้านพ่อแล้วค่อยกลับดีไหม ถ้าไม่กลัวทะเลาะกับแม่น่ะนะ
“ทำหน้าสวยๆ รอพี่เขาด้วยล่ะ....ตุ๊ดๆ ๆ ๆ ๆ” (My mom)
แม่วางสายไปแล้ว เฮ้ออออ นี่ล่ะ คือความต่างระหว่างพ่อกับแม่ ฉันอยากจะอยู่กับพ่อมากกว่า แต่ก็สงสารคุณตา เพราะท่านมีฉันเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว
พ่อกับแม่ของฉันท่านหย่ากันก่อนที่ฉันจะลืมตามาดูโลกซะอีก ฉันไม่รู้เหตุผลจริงๆ หรอกว่า...ทำไม และก็ไม่เคยถามด้วย เพราะฉันคิดว่าเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ซึ่งพวกท่านก็คงจะเคลียร์กันเรียบร้อยแล้ว ถึงได้กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” ฉันเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกับใบหน้าบูดบึ้ง จนเพื่อนสนิทของฉัน บัวตอง สังเกตเห็นได้ชัด
“ก็แม่นะสิ หาเรื่องจับคู่ให้ฉันอีกแล้ว” ฉันหันไปเล่าให้เพื่อนสนิทฟังอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“แม่เขาก็หวังดีแหละ ถ้ายังไม่ถูกใจ แกก็ปฏิเสธได้นี่” บัวตองแนะนำ
“แต่คนนี้ คงจะปฏิเสธยากอยู่แหละ เพราะเป็นหลานชายเพื่อนคุณตา ไม่ใช่ลูกชายเพื่อนแม่ อย่างคนก่อนๆ”
นี่แหละ ที่ฉันกังวล ไม่รู้ว่าคุณตาเห็นด้วยหรือเปล่า เพราะทุกครั้งที่แม่พยายามจับคู่ให้ฉัน คุณตาก็จะเข้าข้างฉันตลอด แต่ครั้งนี้ พี่เฟย เขาคือหลานชายเพื่อนตุณตา ไม่รู้ว่าคุณตาจะยังเข้าข้างฉันอยู่อีกไหม
“แกก็รีบหาแฟนซะสิ แม่เฌอรีนจะได้เลิกหาคู่ให้สักที” บัวตองบอก
ความคิดบัวตองก็เข้าท่าดีนะ แต่ว่า ฉันจะเอาใครมาเป็นแฟนดีล่ะ ใครสักคนที่จะยอมเล่นละคร โดยที่ไม่คิดจริงจังกับฉัน
“พูดนะมันง่าย” ฉันหันไปมองหน้าเพื่อนอย่างเซ็งๆ
“คนสวยอย่างแกเนี้ย จำเป็นต้องมานั่งคิดมากด้วยเหรอ แค่แกกระดิกนิ้ว ก็เดินเรียงมาให้แกเลือกรายตัวแล้วไหม” ใบตองพูดด้วยอารมณ์หมั่นไส้
“พอล่ะ ตั้งใจเรียนก่อน เรื่องนั่นเอาไว้ทีหลัง” ฉันบอกปัดเพื่อนไป
ฉันรู้... ว่าแค่ฉันเอ่ยปากก็มีคนอยากจะเป็นแฟนกับฉันแล้ว แต่ว่า ฉันไม่ได้ต้องการแบบนั้นนิ ฉันอยากได้แฟนจริงๆ ซะมากกว่า
14:50 PM.
หลังจากอาจารย์เดินออกจากห้องเรียนไป ฉันกับบัวตองก็เดินออกจากห้องเรียนมานั่งเล่นยังใต้ร่มไม้ใหญ่ข้างตึกคณะ อากาศในตอนบ่ายค่อนข้างร้อนมาก แต่พอได้นั่งอยู่ใต้ร่มไม้แบบนี้แล้ว กลับรู้สึกเย็นสบายเพราะมีลมพัดผ่านตลอดเวลา
ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นไปพลางๆ รอเวลาที่พี่เฟยหลานชายเพื่อนคุณตามารับ ตามที่แม่เฌอรีนของฉันได้บอกไว้ ใจจริงฉันอยากจะชิ่งกลับก่อนซะด้วยซ้ำ ถ้าไม่กลัวว่าจะต้องมาทะเลาะกับแม่ทีหลังน่ะนะ
“อาทิตย์หน้ามีเข้าค่าย มึงว่างไหม ไอ้ยู” เสียงพูดคุยดังขึ้นจากโต๊ะด้านหลังของฉัน
ปกติฉันก็ไม่ค่อยจะสนใจอะไรอยู่แล้ว แต่พอผู้ชายคนที่พูดเมื่อกี้ได้เอ่ยชื่อใครบางคนออกมา มันก็เลยทำให้ฉันอดที่จะหันไปมองไม่ได้
และเมื่อฉันหันหลังไปมองสายตาของฉันก็สบเข้ากับเขาคนนั้นพอดี ฉันรีบหันกลับมามองหน้าเพื่อนอย่างรวดเร็ว เมื่อกี้... เขาทันเห็นรึเปล่านะ คงไม่หรอก เขาไม่รู้หรอก...
“แกเป็นอะไรรึเปล่า มิริน ดูท่าทางแปลกๆ” บัวตองถามพร้อมกับชะเงอคอมองไปยังด้านหลังของฉัน
“ไม่มีอะไร” ฉันรีบตอบพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างตื่นๆ
“แต่ท่าทางแกมันมีพิรุธมากอ่ะ” บัวตองเหล่ตามองฉันอย่างจับผิด และจังหวะที่ฉันคิดว่าเพื่อนจะเลิกสนใจแล้ว แต่เปล่าเลย บัวตองกลับยื่นมือยาวๆ ของเธอออกมาผลักหัวฉันให้พ้นทาง ก่อนที่เพื่อนจะมองไปยังโต๊ะที่ด้านหลังของฉัน
“นั่นมันกลุ่มรุ่นพี่ปีสามนิ” บัวตองหันมามองหน้าฉันอีกครั้ง
“ก็ใช่ไง ไม่มีอะไรสักหน่อย” ฉันตอบเพื่อน พร้อมกับเซลูกตาไปทางอื่น พยายามทำตัวเนียน แต่ทำไมถึงรู้สึกว่า ยิ่งทำ ยิ่งไม่เนียน
“แกตอบฉันมาตามตรงนะมิริน ที่นั่งอยู่ในกลุ่มนั้นนะ แกเล็งใครไว้” สมกับเป็นเพื่อนรักฉันจริงๆ รู้ทันไปซะทุกเรื่อง ฉันรอบถอนหายใจอย่างปลงๆ ฉันไม่มีวันปิดบังอะไรบัวตองได้เลย
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็มองไปเรื่อยแหละ” เรื่องอะไรจะยอมรับง่ายๆล่ะ ขืนตอบไปตามตรงมีหวังโดนยัยเพื่อนบ้าล้อแน่ๆ
“พี่ยูใช่ป่ะ” ฉันถึงกับสะดุ้งทันทีที่บัวตองเอ่ยชื่อรุ่นพี่คนนั้นออกมา ก็ดันเดาถูกซะได้
“ไปเป็นหมอดูเหอะ!” ฉันบอกเพื่อนอย่างประชด
“จริงด้วย” บัวตองทำท่าชูกำปั้นทั้งสองข้างขึ้นอย่างดีใจที่นางดันเดาถูก
“อย่าบอกใครนะ” ฉันกระซิบบอกเพื่อนเสียงเบาหวิว
“พูดแบบนี้ เหมือนแกไม่เห็นฉันเป็นเพื่อนเลยอ่ะ” บัวตองทำท่าน้อยใจ
“ไม่ใช่แบบนั้น..” ฉันยื่นมือไปลูบผมบัวตองเล่น เหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็กน้อย
“พอเลยแก ถ้าชอบก็จีบเลยสิ มัวรออะไรอยู่” บัวตองเสนอ
“ไม่กล้าอ่ะ พี่เขาฮอตจะตาย คนตามจีบยาวเป็นหางว่าว ฉันสู้เขาไม่ได้หรอก” ก็นะ.. พี่ยูออกจะฮอตในหมู่สาวๆ จะตาย ฉันไม่อยากฝ่าดงตีนเข้าไปหรอกนะ แค่แอบปลื้มก็พอแล้ว
“แกสวยออกมิริน มั่นใจหน่อยสิ” บัวตองยื่นมือของเธอมาจับมือฉันอย่างให้กำลังใจ
“ไม่กล้าอยู่ดี” ฉันทำหน้าง้อนิดหน่อย เพราะเซ็งตัวเองเหมือนกันที่ไม่มีความกล้าอะไรเลย
ติ่ง!! เสียงไลน์กลุ่มดังขึ้น ฉันกับบัวตองแทบจะเปิดดูพร้อมกันอยู่ล่ะ
ประธานปีสอง : เรียกประชุมปีสองทุกคน ที่หอประชุม
ฉันกับบัวตองหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ ประชุมอะไรกันนะ?
ฉันกับบัวตองเดินเข้ามายังหอประชุมก็เจอกับน้องปีหนึ่ง ปีสอง พี่ปีสามและพี่ปีสี นี่เขาไม่ได้นัดแค่ปีสองนิ แต่ว่าเรียกประชุมทั้งคณะเลย
ฉันเดินมานั่งยังที่ของปีสอง ซึ่งอยู่ติดกับปีหนึ่งพอดี แล้วสายตาเจ้ากรรมก็ดันไปสบเข้ากับสายตาของไอ้เด็กบ้า ที่บังอาจขโมยจูบแรกของฉันไปได้อย่างหน้าโมโหที่สุด ฉันแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาคู่นั้น ที่เอาแต่จ้องฉันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ใบหน้าก็แสนนิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกใดใด ทั้งที่เมื่อก่อนนี้ ออกจะยิ้มเก่งซะด้วยซ้ำ...
“เอาล่ะครับน้องๆ มากันครบแล้วนะ พี่จะได้บอกทีเดียวเลย หรือใครที่ไม่ได้มาก็ฝากไปบอกเพื่อนๆ น้องๆ ด้วยก็แล้วกันนะ” เสียงพี่แมทประกาศใส่ไมค์ไร้สาย
“อาทิตย์หน้า ทางคณะของเรามีกิจกรรมจิตอาสาในโครงการ พี่แบ่งปันน้อง เราจะนำเสื้อผ้าและอาหาร หนังสือเรียน ไปบริจาคให้กับน้องๆ ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัด ซึ่งเราจะไปค้างที่นู่นสามวันสองคืน นอนกันที่โรงเรียนนะครับ เพราะเราจะไปช่วยชาวบ้านซ่อมแซมโรงเรียนในส่วนที่ชำรุดด้วย ใครสนใจมาลงชื่อกับพี่ที่ด้านซ้ายมือได้เลยนะครับ อ้อ อาจารย์ฝากมาบอกว่า ใครที่ไป อาจารย์จะมีคะแนนพิเศษให้ด้วยนะครับ”
น่าสนุกดีเฮะ ถือเป็นโอกาสที่ดีที่ฉันจะได้หนีความวุ่นวายที่บ้านได้ เพราะถ้าอยู่บ้านมีหวังโดยพี่เฟยชวนไปนุ่นนี้นั้นแน่ๆ
“ไปแก ไปลงชื่อกัน” ฉันลุกขึ้นยืนพร้อมกับรั้งมือบัวตองให้ลุกขึ้นตาม
“ใครจะไปกับแก ฉันไม่ไป..” บัวตองไม่ยอมลุกขึ้นยืน แถมยังรั้งมือฉันให้นั่งลงอีก
“ถ้าแกไม่ไป ฉันโกรธ” ฉันแกล้งสะบัดมือเพื่อนไม่แรงมาก ก่อนจะยืนกอดอกแล้วมองหน้าบัวตองอย่างงอนๆ
“มิริน แกอย่าเล่นแบบนี้ดิ” แล้วบัวตองก็ยอมลุกขึ้นยืนตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
“จะไปไม่ไป” ฉันถามเพื่อนอีกครั้ง บัวตองพยักหน้าหงึกๆ อย่างไม่เต็มใจนัก ใครสนกันล่ะ แค่เพื่อนยอมไปก็พอล่ะ
ฉันจับมือเพื่อนเดินมายังโต๊ะด้านซ้ายมือตามที่พี่แมทบอก มีรุ่นพี่ผู้หญิงอยู่สามสี่คนนั่งรออยู่ คอยรับลงชื่อให้กับน้องๆ ที่จะไปเข้าค่ายจิตอาสาครั้งนี้ และดูเหมือนว่าจะยังไม่มีใครออกมาลงชื่อกันด้วยซ้ำ มีเพียงแค่ชั้นกับบัวตองเอง
“น้องผู้ชายครับ อายน้องผู้หญิงสองคนนี้ไหม เธอสองคนเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ เอง แต่มีจิตอาสาที่อยากจะช่วยเหลือ” พี่แมทประกาศอีกครั้ง เมื่อไม่มีใครยอมลุกขึ้นมาลงชื่ออีก
ฉันหันหลังไปมองยังกลุ่มน้องผู้ชายปีหนึ่งอยู่กลุ่มหนึ่งก็เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมา อยากจะแกล้งน้องชายตัวเองสักหน่อย ก็นะ.. ฉันมีเพื่อนไม่ค่อยเยอะ ก็อยากให้มีคนรู้จักไปด้วยกันจะได้สนุกกว่านี้
“พี่แมทคะ มิรินขอยืมไมค์แป๊บหนึ่ง จะได้ไหมคะ” พี่แมทมีสีหน้างุนงงเล็กน้อยอยู่สักพักก่อนจะยื่นไมค์มาให้ฉัน
“อะ แฮ่ม” ฉันกะแอ้มเบาๆ พอเป็นพิธี
“ราเรซ.... จะปล่อยให้พี่สาวสุดสวยไปคนเดี๋ยวเหรอน้องรัก ไม่ห่วงพี่แล้วใช่ไหม” ฉันพูดผ่านไมค์ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนน้องชายสุดๆ ซึ่งราเรซก็แสดงสีหน้าบอกบุญไม่รับกลับมาให้
“ก็ได้ๆ พี่นี่.. จริงๆ เลย”
ในที่สุดน้องชายสุดที่รัก ก็ยืนขึ้นพร้อมกับตะโกนโวยวายอย่างอารมณ์เสีย และเมื่อราเรซยืนขึ้นเสียงผู้หญิงทุกชั้นปีก็พูดคุยกันยกใหญ่
“ถ้าผู้ชายคนนั้นไป ฉันไปด้วย”
“ฉันด้วยๆ”
ว๊าว... ความหล่อของน้องชายมีประโยชน์ดีจริง
“พวกมึงด้วยลุกขึ้นเลย” ราเรซหันไปตะคอกเพื่อนในกลุ่มอีกสามคนให้ลุกขึ้นตาม เลโอกับบิ๊กไบค์ลุกขึ้น แต่... โต้งกลับนิ่งเฉยไม่ยอมลุกตาม
ฉันกำลังยืนมองราเรซดุเพื่อนอย่างขำๆ จู่ๆ ก็มีมือปริศนามาคว้าเอาไมค์ออกจากมือของฉันไปพูด ฉันหันไปมองแทบจะในทันที
“ลงชื่อให้เราด้วยนะ อยากไปกับคนสวย..” ริมฝีปากหนาเอ่ยพูดกับคนรับลงชื่อแต่สายตาของเขากลับมองมาที่ฉันอย่างจงใจ
“ฮิ้ววววววววว” แล้วทั้งหอประชุมก็โฮ่แซวกันยกใหญ่
ฉันนี่ถึงกับใบ้รับประทาน จ้องมองใบหน้าผู้ชายคนนี้นิ่งค้างตึง เขายืนอยู่ใกล้ฉันมาก มากซะจนได้กลิ่นน้ำหอมจากตัวเขาได้อย่างชัดเจน....พี่ยู
“ไปด้วย!!”
.
.
.
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!