...ΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩ...
......................
...ความเชื่อเป็นเรื่องราวส่วนบุคคล...ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าเชื่อในเรื่องแบบไหน..ความเชื่อมีทั้งกลุ่มคนและส่วนบุคคน.....
ทั้งครอบครัว...เพื่อน..คนรัก..ก็เชื่อในเรื่องที่แตกต่างกัน....อาซึชิเด็กน้อยที่..อาศัยอยู่ในครอบครัวที่อบอุ่น..ครอบครัวของเขาเอาใจใส่เขาทุกอย่าง..เขาได้รับความอบอุ่นที่คนในวัยเดียวกันกับเขาอาจไม่เคยได้รับเหมือนกับเขา..อาซึชิในวัยเด็ก..ชอบความสนุกสนานชอบอยู่กับเพื่อน..แต่ที่เขาติดจริงๆคือครอบครัวของเขา..ครอบครัวของเขามีความเชื่อแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง..ที่ว่าถ้าหากกินสมองของสัตว์..จะฉลาดเป็นกรด..แต่ก็ไม่มีใครบอกเขาว่าฉลาดจริงไหมจะฉลาดยังไง....ตั้งแต่วัยเด็กเป็นต้นมาเขาก็มักจะกินสมองของสัตว์เป็นอาหารมื้อหลักเสมอ..ไม่มีมื้อในที่ไม่มีสมองของสัตว์...เมื่อเขาเข้าม.ต้น..เขาก็ยังใช้กิจวัตรประจำวันแบบเดิมๆมีอาหารก็ต้องมีสมองของสัตว์เข้ามาด้วย..เพื่อนในวัยเดียวกันของเขาก็ตั้งคำถามมากมายว่าจะกินได้จริงเหรอ..มันดูไม่ค่อยน่ากินสักเท่าไหร่นะ..เพื่อนบางคนของเขาถึงขั้นอยากรู้อยากลอง....บางคนก็ติดใจไปกับเขา..บางคนถึงขั้นอาเจียนออกมา..เขาก็มองเป็นเรื่องตลกและสมเพชในเวลาเดียวกัน..ความคิดของเขา
"พวกนี้ทำไมโง่จังวะ..ทั้งๆที่ตัวเองกินไม่ได้ก็ยังจะฝืนสังขารตัวเองกินเข้าไป...อ้วกออกมาน่าขยะแขยงชะมัด..ชิ"🙄
เขาคิดในใจด้วยความสมเพชเพื่อนร่วมห้องของเขาที่พยายามลองกินสมองของสัตว์เหมือนที่เขากิน....วันเวลาผ่านไปเมื่อเข้าม.ปลาย..เขาก็ยังเป็นเฉกเช่นเดิม..แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ..
เขาเริ่มลองกินสมองสัตว์ที่เขาไม่เคยกิน..
เพราะเขายังมีความเชื่อจากครอบครัวของเขาที่ว่าถ้าหากเขากินสมองสัตว์ที่ใหญ่ขึ้นเขาก็จะยิ่งฉลาดขึ้น...และอาซึชิใน
วัยมหาลัย..ก็เป็นอย่างเช่นเคยแต่ที่แตกต่างคือเขาในวัยมหาลัยสามารถเลือกกินสมองอย่างที่ใจเขาต้องการเพราะตั้งแต่เด็กจนเรียนจบม.ปลายครอบครัวของเขาล้วนแล้วแต่จัดเลือกสมองสัตว์ให้กับเขา..และสมองสัตว์ในแต่ละมื้อก็ล้วนแล้วแต่ปรุงสุกใส่เครื่องปรุงมาอย่างดี..และเขาก็ต้องกินตามที่ครอบครัวของสั่งให้กินเท่านั้น..แต่เขาในตอนนี้สามารถเลือกกินอย่างที่ใจเขาต้องการได้แล้ว..อาซึชิในวัยทำงาน...เขากลายเป็นพนักงานออฟฟิศที่บ้างาน..และเขาก็ยังกินสมองสัตว์เช่นเดิม..ความเชื่อในใจของเขายังคงหลงเหลืออยู่เช่นเดิมถ้ายิ่งกินสมองสัตว์มากขึ้นเท่าไหร่ใหญ่ขึ้นเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งฉลาดขึ้นตามเหมือนที่เพื่อนของเขาพูดเล่นไว้ไม่มีผิด....และคาดเดาไม่มีผิด..ว่าเขาจะเริ่มกินสมองสัตว์ที่ไม่ควรจะกิน..จากความเชื่อบางส่วนก็กลายเป็นความชอบความติดใจความหลงใหล..ความคลั่งไคล้...จนเขาไม่อาจลืมมันได้...สัตว์บางตัวบางชนิดก็นำเข้ามาอย่างผิดๆ..แต่เขาไม่สนเขาก็ยังจะกินมัน..อาซึชิ..กินสมองของสัตว์ทุกชนิดทุกแบบจากที่เขากินแบบปรุงสุกเขาเริ่มที่จะกินมันแบบดิบๆบางครั้งปรุงสุกบางครั้งก็กินมันเลย..โดยไม่สนว่าจะดิบหรือสุก..และเขาก็เริ่มที่จะแล่เนื้อสัตว์ด้วยตัวเองเพื่อจะเอาสมองของมันตลอดที่ผ่านมาเขามักจะสั่งซื้อหรือไม่ก็จ้างคนแล่..มาแล่เนื้อและสมองให้เขา..การกินพฤติกรรมหลายๆอย่างของเขาทำให้คนรอบข้างเริ่มเห็นบางอย่างที่ไม่ถูกไม่ควรจะเข้าใกล้เขา..โดยเฉพาะพฤติกรรมการกินของเขา..เพราะทุกมื้ออาหารของเขามักจะมีสมองใส่เข้ามาเสมอ..จนคนรอบข้างเริ่มสะอิดสะเอียนไม่อยากเข้าใกล้เขา..หลังจากที่ทุกคนเริ่มตีตัวออกห่าง..แทนที่เขาจะสนใจและใส่ใจเรื่องนั้น..เขากลับแทบจะไม่สนใจคนรอบข้างและรอบตัวของเขาด้วยซ้ำ..มิหนำซ้ำเขายิ่งกินสมองสัตว์ไปเรื่อยๆ..มองจากภายนอกที่ไม่รู้จักเขาอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาปกติทั่วไปที่เกี่ยวกับความชอบของคนชอบกิน..แต่ถ้าหากมองให้ลึกๆเข้าไป..การกินของเขาเริ่มจากความเชื่อที่ครอบครัวของเขาปลูกฝั่งมา..ว่าถ้าหากกินสมองจะทำให้ฉลาด..ยิ่งสมองยิ่งใหญ่ขึ้นเท่าไหร่เขาก็จะฉลาดตามสมองที่เขากิน..และที่คาดไม่ถึง..เขาเริ่มที่จะสนใจสมองของมนุษย์ขึ้นมา..ถ้าหากว่าเขากินเข้าไปเขาจะฉลาดมากสักเท่าไหร่กันเชียว..แต่สมองมนุษย์อยู่ที่มนุษย์จะเอามันมาได้ยังไง..ถ้าหากเดินเข้าไปขอเขาตรงๆก็คงจะไม่ได้มันมาง่ายๆแน่....เขาจึงใช้กลอุบายหลอกล่อคนที่เขาอยากลองชิมสมอง..ดู..หลังจากที่คนคนนั้นหลงกลเขาอาซึชิก็จัดการเขา..และแล่สมองของคนคนนั้นออกมา..หลังจากที่เขาได้ลองชิมมันเข้าไป..รสชาติก็ถูกปากและถูกใจเขาไม่น้อยเลยทีเดียว..และหลังจากนั้นเขาก็เริ่มเปลี่ยนจากที่กินสมองสัตว์มาเป็นสมองของมนุษย์เรื่อยๆ..เขาจัดการคนไปนับไม่ถ้วนจนสุดท้ายเขาก็ถูกตำรวจจับได้....ครอบครัวของเขาไม่ปริปากพูดอะไรแต่อย่างไร...และสุดท้ายชีวิตของเขาต้องจบลง....และคำพูดสุดท้ายก่อนจากลา..
"ผมเชื่อพวกคุณ....แต่น่าเสียดายพวกคุณไม่เคยเชื่อผม.."พูดพร้อมแสยะยิ้ม
...ΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩ...
......................
ความชอบเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง....ซึ่งแต่ละคนก็มีชอบแตกต่างกัน....แต่บางทีอาจจะกลายเป็นความคลั่งไคล้จนเกินไปด้วยเช่นกัน....เอทสุอาจารย์สาววัย28เธอเคยเป็นเด็กเรียนเก่งระดับท็อปจนเธอได้กลายมาเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนมัธยมม.ปลาย....เธอจึงชอบเด็กที่เรียนเก่ง..และคาดหวังกับเด็กที่เรียนเก่ง..เป็นอย่างมากเธอคาดหวังไว้ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นแบบที่เธอเคยเป็น..และ..จูกิเป็นเด็กสาวม.ปลาย...คือเด็กที่เธอคาดหวังเป็นอย่างมากว่า
จูกิจะเป็นเหมือนกับเธอในวัยมัธยม..เธอสนับสนุนจูกิเป็นพิเศษ..มากกว่าเด็กร่วมห้องคนอื่นๆ....เธอสนับสนุนจนบางครั้งก็มากเกินจนจูกิเกรงใจ..เอทสุเธอช่วยสนับสนุนทุกอย่างที่จูกิอาจจะทำไม่ได้และหาไม่ได้ด้วยตัวเอง....แต่บางครั้ง..เอทสุก็ทำตัวแปลกประหลาด..จนจูกิแอบหวาดหวั่นอยู่หน่อยๆ..เอทสุชอบถ่ายภาพทุกการกระทำเวลาที่จูกิอยู่ในห้องเรียนเวลาที่เธอสอนและเวลาที่จูกิอยู่ในห้องสอบเอง..เธอก็แอบเข้าไปถ่ายภาพของจูกิ..เพราะอยากจะเก็บเป็นความทรงจำไว้ว่าวันหนึ่งเธอเคยสอนเด็กที่เก่งคนหนึ่งไว้..ในวันที่ประกาศผลสอบเอทสุเธอจะคาดหวังและลุ้นมากเป็นพิเศษลุ้นกว่าจูกิที่เป็นคนสอบเองซะอีกถ้าหากผลคะแนนสอบออกมาอยู่ในระดับที่เธอคาดหวังไว้คือระดับที่หนึ่ง....เธอก็มักจะพาจูกิไปเลี้ยงมื้อใหญ่แต่ถ้าหากออกมาแล้วไม่ตามที่เธอหวัง..ในวันนั้นจูกิก็ต้องไปเรียนเพิ่มเติมกับเธอ..และสอบซ่อมจนกว่าเธอจะพอใจ....เธอเข้มงวดจนบางครั้งจูกิก็กลัวและกังวลว่าเธอจะมีปัญหาเรื่อง
สุขภาพ....เพราะยังไงจูกิก็ไม่ได้..โกรธหรือว่าเหนื่อยเลยที่เอทสุ..เข้มงวดเคร่งครัดกับเธอ....แต่จูกิเป็นห่วงแค่เรื่องสุขภาพของเอทสุผู้เป็นอาจารย์ของเธอมากกว่า..ว่าจะเครียดจนกลายเป็นโรคหรือว่าป่วยจนไม่สามารถกลับมาสอนได้อีก...
"อาจารย์ค่ะ..พักบ้างเถอะคะ.."
เสียงของศิษย์สาวที่มีความเป็นห่วงอาจารย์พลันพูดขึ้นมา..
"ไม่ต้องห่วงอาจารย์หรอก.."
เอทสุตอบกลับโดยที่ไม่ลังเลหรือตัดสินใจอะไรแม้แต่น้อย
"แต่อาจารย์..นั่งดูข้อสอบและตรวจรายงานมาสี่ชั่วโมงเต็มแล้วนะคะ.."
จูกิพูดด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงและกังวลเล็กน้อย
"สี่ชั่วโมงอะไรกัน..นี่อาจารย์เพิ่งจะนั่งเองนะ"
เอทสุตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่ได้เครียดหรือเหนื่อยแต่อย่างใด
"เฮ้อ..ถ้างั้นฉันกลับบ้านก่อนนะคะอาจารย์"
จูกิแอบถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะบอกลาเอทสุกลับบ้าน
"จ้ะ..ระวังตัวด้วยนะ...มันดึกแล้ว..อย่าไว้ใจใคร..ถ้าหากเขามาชวนก็ห้ามไปกับเขาเด็ดขาดนะ..😊"เอทสุพูดเตือนด้วยความหวังดีและเป็นห่วงและยิ้มด้วยความอ่อนโยนให้กับจูกิก่อนที่เธอจะเดินออกไป..
"ค่ะ..อาจารย์😊"จูกิเองก็ตอบรับและยิ้มให้กับเอทสุผู้เป็นอาจารย์ของเธอโดยที่เธอไม่ได้คิดอะไรแม้แต่น้อย..
แต่เหมือนว่าคำพูดของเอทสุไม่ใช่แค่เป็นห่วงเพราะลึกๆของเอทสุมีแต่ความหวงไม่อยากให้จูกิกลับบ้านเลยสักนิดเดียว..เวลาที่เอทสุอยู่ใกล้จูกิก็ต้องพยายามเก็บอาการตัวเองไว้..เพราะเธอไม่ได้มีแค่ความห่วงเพียงอย่างเดียว..ลึกๆในใจเธอ..เธอกลับคลั่งไคล้จูกิเป็นอย่างมาก..มากจนอยากครอบครอง..มากจนอยากจะกลืนกินเข้าไป....นานวันเข้า..จูกิและเอทสุก็สนิทกันมากจนทุกคนในโรงเรียนเรียกจูกิว่าเป็นศิษย์รักของอาจารย์เอทสุ....หลายปีผ่านไปจนกระทั่งจูกิใกล้จะเรียนจบม.ปลายเข้ามหาลัย....
จูกิเธอมีความฝันอยากจะเป็นคุณหมอเพราะเธอมีผู้มีพระคุณคนหนึ่งซึ่งเขามีปัญหาเรื่องสุขภาพเขาอาศัยอยู่ในชนบทเธออยากจะเรียนหมอให้ได้..เพื่อจะไปรักษาและตอบแทนผู้มีพระคุณคนนั้น..แต่แล้วก็มีเรื่องไม่คาดคิด..เพราะไม่คิดว่า..
.เอทสุก็ยังตามเข้มงวดกับเธออีก..กาลเวลาเปลี่ยนนิสัยประสบการณ์ก็เปลี่ยน..มุมมองที่จูกิมอง
เอทสุก็เปลี่ยนเช่นกัน..ต่อให้ทั้งสองเจอกันบ่อยในโรงเรียน....เอทสุตามกดดันจูกิแม้กระทั่งตอนที่เธอเรียนใกล้จบม.ปลาย..
เพราะจูกิต้องเปลี่ยนห้องเรียน..เอทสุก็ยังคอยตามเอาใจใส่จูกิ...จนมากเกินไป..
จนจูกิอึดอัดกับการกระทำของเอทสุ..
จูกิพยายามพูดกับเอทสุ..
"อาจารย์คะ....ฉันใกล้จะเรียนจบแล้วนะคะ..อีกหน่อยก็เข้ามหาลัยแล้ว..อาจารย์ไม่จำเป็นต้องสนใจฉันแล้วก็ได้คะ.."
"อีกอย่าง..ฉันยังต้องสอบ..ยังต้องทำอะไรหลายๆอย่างถ้าหากอาจารย์ยังคอยตามฉันอยู่แบบนี้อาจารย์จะไม่ได้สอนคนอื่นนะคะ"
"อาจารย์ไม่จำเป็นต้อง..สนใจฉันมากหรอกคะ"
จูกิพูดทั้งระบายและอยากให้เอทสุเข้าใจความรู้สึกของเธอบ้าง..แต่ดูเหมือนคำพูดของจูกิไม่ได้เข้าหูของเธอเลย..หรือแม้ว่าเธอจะรับฟังเลยก็ได้..
จนแล้วจนเล่า..ความคลั่งไคล้ของเอทสุก็ค่อยๆเริ่มแสดงออกมาเธอมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปหลังจากที่ฟังคำพูดของจูกิ..เอทสุแอบตามจูกิกลับบ้านทุกครั้งหลังเลิกเรียน..เวลาที่จูกิอยู่โรงเรียน..เอทสุก็คอยตามจูกิ..เพื่อที่จะคอยดูจูกิอยู่ตลอดเวลา..ผลสอบออกจูกิก็สอบได้ที่หนึ่งอย่างเช่นเคย..แต่ครั้งนี้เอทสุไม่ได้สนใจผลสอบหรือลุ้นและคาดหวังเหมือนแต่ก่อน....แต่เธอกลับสนใจแต่จูกิ..จากความภูมิใจและใส่ใจสนับสนุนจูกิ...กลายเป็นความคลั่งไคล้และอยากจะกลืนกิน..แต่เอทสุก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่แรกอยู่เพียงแต่ไม่แสดงออกมาก็เท่านั้น..เอทสุในสายตาของอาจารย์คนอื่นๆ..มองว่าเธอเป็นอาจารย์ที่ดีคนหนึ่ง..ที่คอยสนับสนุนลูกศิษย์และคอยเอาใจช่วยเวลาที่ลำบาก..ทั้งเอาใจใส่และดูแลเป็นอย่างดี..แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ทุกคนเห็น..ในใจลึกๆของเอทสุไม่ต่างอะไรจากพวกโรคจิตแปลกประหลาดและคลั่งไคล้บางสิ่งบางอย่างเป็นพิเศษ..ภาพถ่ายของจูกิทุกรูปจะถูกเก็บเอาไว้ในห้องนอนของเธอ..ยามค่ำคืนเธอจะมองภาพของจูกิด้วยสายตาเสน่หาและคลั่งไคล้....แต่เหมือนว่าความลับจะไม่มีอยู่ในโลกใบนี้..วันหนึ่งที่จูกิหมดความอดทนกับเอทสุผู้เป็นอาจารย์ของเธอ..เธอจึงมาหา
เอทสุถึงที่บ้าน..เพื่อจะพูดและปรับความเข้าใจกับผู้เป็นอาจารย์ของเธอ..และก็ได้บังเอิญเดินผ่านห้องเอทสุในขณะที่ประตูเปิดอ้าเหมือนกับรอต้อนรับศิษย์รักอย่างเธอให้เข้าไป....ทันทีที่จูกิก้าวเข้าไปก็พบเข้ากับภาพถ่ายหรือแม้กระทั่งรูปเหมือนของเธอเองนับไม่ถ้วน..ทำให้จูกิเริ่มมอง
เอทสุเปลี่ยนไป..และมีความหวาดระแวงขึ้น
เพราะเอทสุเอาแต่คอยตามและคอยเข้ามาขวางช่วงเวลาที่มีความสุขของจูกิ..เพราะช่วงเวลาที่เธออยู่กับเพื่อนเอทสุก็คอยมายืนมองและแอบตามเธอไปทุกที่..ในตอนแรกจูกิไม่ได้คิดอะไรมากเพราะคิดว่ามันคงจะบังเอิญเจอกันหรือไม่ก็เอทสุมาทำธุระของเธอเอง..แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นความตั้งใจและจงใจตามตัวเธอไปทุกที่..นานวันเข้าเอทสุก็ยังคอยแอบตามจูกิอยู่อย่างนั้น.จนจูกิสติแตกหลอนและคิดไปเองต่างๆนานาว่าเอทสุผู้เป็นอาจารย์ของเธอต้องเป็นตัวประหลาดแน่ๆ..หรือไม่ก็ต้องการชีวิตของเธอ....ความจริงก็เป็นอย่างที่จูกิคิดเพราะเอทสุต้องการตัวจูกิจริงต้องการตัวเธอมาตั้งแต่แรก..คลั่งไคล้อยากได้อยากครอบครองศิษย์ผู้เป็นที่รักคนนี้..เพราะความใกล้ชิดแต่แรกหรือเปล่านะที่ทำให้เอทสุยิ่งต้องการตัวเธอ..กลายเป็นว่าในตอนนี้จูกิกลายเป็นคนหวาดระแวงกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวกลัวแม้กระทั่งเสียงพูดของคนในครอบครัวกลัวไปหมดทุกอย่าง..เพราะในหัวของเธอมีแต่เสียงของเอทสุผู้เป็นอาจารย์ของเธอ..
"จูกิจ้ะ...อย่าจาก..อาจารย์ไปเลยนะจ๊ะ..อยู่กับอาจารย์ไปนานๆนะ..อยู่กันไปตลอดชีวิตเลย....อยู่จนกระทั่งพวกเราสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียว..นะ"พูดพร้อมกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนนัยย์ตาเสน่หาและคลั่งไคล้
และหลังจากนั้นไม่นาน....ความฝันของ
จูกิก็ได้จบลง..เธอยังไม่ได้ทำความฝันหรือแม้กระทั่งตอบแทนผู้มีพระคุณของเธอ..ชีวิตของสาวน้อยผู้มีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่จะได้ตอบแทนบุญคุณผู้มีพระคุณ
และรอยยิ้มอันร่าเริงก็ได้จางหาย...เธอได้จากโลกอันแสนวุ่นวายและอาจารย์ผู้แปลกประหลาดของเธอไป...ส่วนอาจารย์ของเธอก็ยังคงรอคอยและตามหาศิษย์รักคนต่อไป..และเก็บสะสมภาพอันงดงามของเธอต่อไป....
...ΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩ...
......................
เพื่อนข้างบ้านที่ชอบช่วยเหลือ
เพื่อนข้างบ้านที่ชอบทำตัวแปลกๆ
และเพื่อนข้างบ้านที่แสดงท่าทีแปลกประหลาดชวนหลอนแอบขนลุกอยู่ไม่น้อย
อาซึกะสาววัย26..เธอทำงานสะสมเงินจนสามารถซื้อบ้านในหมู่บ้านหลังหนึ่งได้...ในวันนี้เธอได้ย้ายเข้ามาอยู่สักทีหลังจากที่จัดการเรื่องเอกสารต่างๆและจัดการเรื่องย้ายบ้านจากในหมู่บ้านแถบชนบทย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านในเมืองอยู่นาน....เพราะที่ทำงานของเธออยู่ในเมือง..เธอจึงจำเป็นต้องย้ายเข้ามา..แต่โชคดีหน่อยที่ไม่ต้องเสียเงินไปกับการเช่าบ้านคนอื่นอยู่..
ทันทีที่เธอค่อยๆทยอยขนของลงจากรถแท็กซี่ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาอาสาช่วยขนของให้กับเธอ..เขาเป็นผู้ชายอายุห่างจากเธอไม่มากน่าจะราวๆ..28-30...
"มาครับเดี๋ยวผมช่วย.."
เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและยิ้มแย้ม
"ไม่เป็นไรค่ะ..ฉันยกเองได้"
อาซึกะพูดปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจและเพราะไม่รู้จัก..มาถึงวันแรกก็เข้ามาช่วยแบบนี้เธอเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน..
"ไม่เป็นไรหรอกครับ..ผมอยากจะช่วย"
เขาพูดด้วยความเต็มใจและยิ้มอีกเช่นเคย
"ฉันเกรงใจอะคะ"
อาซึกะพูดด้วยความเกรงใจและทำตัวไม่ถูก
"ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ..ใครที่ย้ายเข้ามาใหม่ๆผมก็มาช่วยทุกคนแหละครับ.."
เขาพูดเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาทำคือเรื่องปกติ
"จริงเหรอค่ะ.."
อาซึกะพูดด้วยความที่ไม่อยากเชื่อ
"ไม่เชื่อผมเหรอครับ.."
"เปล่าคะ..ไม่ใช่อย่างนั้น..ฉันแค่ไม่คิดว่าคนในเมืองจะมีคนจิตใจดีอยู่ด้วย"
อาซึกะพูดไปเพราะเธออยู่ในแถบชนบทและมีความคิดอย่างหนึ่งว่าคนในเมืองไม่ได้ใจดี..แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนใจดีกับเธอ
"คนในเมืองก็ไม่ได้ใจร้ายกันทุกคนหรอกครับ"
ชายคนนั้นเหมือนจะพูดแทนคนทั้งเมือง
หลังจากเขาช่วยเธอขนของขนกระเป๋าเสร็จเขาเดินจากไปโดยที่ไม่ลาหรือปริปากพูดอะไรแม้แต่น้อย..อาซึกะเองก็ถึงกับงงและก็แอบเสียดายเหมือนกันเพราะยังไม่ทันได้พูดขอบคุณเขาเลย..
ในตอนเย็นขณะที่เธอกำลังจัดตกแต่งต้นไม้ของเธออยู่..ก็มีป้าวัยกลางคนหนึ่ง
มาคุยกับเธอ..
"นี่แม่หนู..เมื่อตอนที่เธอมามีพ่อหนุ่มมาช่วยเธอถือของใช่ไหม.."
เธอพูดอย่างกับตาเห็น
"ใช่คะ..ทำไมเหรอค่ะ"
"พ่อหนุ่มคนนั้นน่ะเขาใจดีมากเลยนะ..
ตอนที่ป้าย้ายเขามาที่นี้ใหม่ๆอ่ะนะ..เขาก็มาช่วยถือของขนของเข้าบ้านป้าเหมือนกันจ้ะ"
"อ่อ...คะ"
"แล้วคุณป้ารู้ไหมค่ะว่าบ้านเขาอยู่ตรงไหนแล้วชื่ออะไร..พอดีฉันอยากจะไปขอบคุณเขาที่ช่วยขนของถือกระเป๋าน่ะค่ะ"
"แม่หนูไม่รู้อะไร..บ้านเขาก็อยู่ใกล้บ้านของแม่หนูไงจ๊ะ"
สิ้นเสียงป้าก็ทำเอาอาซึกะแอบตกใจและขนลุกอยู่ไม่น้อย..เพราะพอมองไปรอบๆ..ข้างบ้านของเธอแทบจะเงียบนอกจากบ้านเธอแล้วก็มีแค่บ้านฝั่งตรงข้ามเท่านั้น..ที่ดูเหมือนจะมีคนอยู่จริงๆเพราะรอบๆข้างๆบ้านเธอแทบจะไม่มีใครอยู่เลย..ถึงจะมีบ้านหลายหลังก็เถอะแต่ก็เงียบไร้แววผู้คน..
แต่หลังจากที่ป้าพูดจบผู้ชายคนนั้นก็มายืนอยู่ที่กำแพงข้างบ้านเธอแล้ว..ทำเอาเธอตกใจไม่น้อย
"คุณ..."
"สวัสดีครับ..ผมซาโตชิ.."
เขาพูดขึ้นเหมือนกับรู้ว่าอาซึกะจะถามเขายังไงยังงั้น
"คะ..ยินดีที่ได้รู้จักคะคุณซาโตชิ..
ฉันอาซึกะคะ.."
"ผมรู้จักครับ.."
"รู้จักเหรอค่ะ!?.."
"ช่างเถอะครับ..ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกผมได้เลยครับ.."
"เอ่อ....อ่อ..คะ😶"
หลังจากที่เขาพูดจบก็ปล่อยให้อาซึกะยืนงงและสงสัยอยู่อย่างนั้นโดยที่เธอยังไม่ได้พูดต่อ..และแน่นอนว่าเธอยังไม่ได้พูดขอบคุณเขาอีกเช่นเคย
อาซึกะพยายามจะไปหาเขาที่บ้านทั้งเคาะประตูเรียกก็แล้วถามคนบ้านฝั่งตรงข้ามก็แล้ว..ก็มักจะไม่เจอเขาตลอดดูเหมือนว่าเขามักจะติดธุระและยุ่งอยู่ตลอดเวลาไม่มีพัก..และมักจะได้คำตอบเดิมกลับมาก็คือไม่เจอและไม่ได้คุยหรือว่าพูดขอบคุณเขาเช่นเดิม
อาซึกะเป็นคนที่ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร
หากใครช่วยเหลือเธอ..เธอก็มักจะขอบคุณและนำของกลับไปตอบแทนทันที..
"น่าแปลกนะ..อยู่บ้านใกล้กันแท้ๆ
แต่กลับไม่เคยเห็นตอนที่เขาออกจากบ้านเลย"
อาซึกะนั่งบ่นพึมพำกับตัวเองและตั้งข้อสงสัยในตัวของซาโตชิชายหนุ่มที่เธออยากจะตอบแทนและขอบคุณเขา..
นานวันเข้าหลายปีผ่านไปจนกระทั่งในที่สุดเธอก็ได้เจอกับเขา..
เขาซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่ลึกลับที่แทบจะไม่ค่อยได้เจอและเห็นและมีโอกาสได้เจอกันน้อยสุดๆ....และชวนให้เธอสงสัยเป็นที่สุด..
ในวันนี้เธอได้ขอให้เขาอยู่เพื่อเธอจะได้คุยกับเขานานๆหน่อยและเผื่อว่าเธอจะได้คำตอบ..ที่แทบจะไม่ได้เจอเขาเลยและสาเหตุที่เขาแทบจะไม่อยู่บ้านเลย..อาซึกะ..ในตอนนี้สงสัยและอยากรู้เป็นอย่างมาก
เมื่อซาโตชิเห็นอาซึกะขอร้องเขาเช่นนั้นเขาเองก็ยอมใจอ่อนให้กับเธอ..และยอมให้เธอเข้ามานั่งในบ้านของเขาส่วนอาซึกะเองก็ทำน้ำซุปบ้านเกิดของเธอมาให้เขาได้ลองชิมดูเหมือนกัน..และของที่เธอจะขอบคุณเขาอีกสองสามชิ้น..
"งั้นคุณนั่งเล่นไปพลางๆนะครับ...ผมจะไปดูงานที่ผมเพิ่งจะทำเสร็จไปเมื่อกี้นี้สักหน่อย.."
"คะ..ตามสบายเลยคะ..^^"
หลังจากที่ซาโตชิเดินกลับเข้าไปในห้องทำงานของเขา..อาซึกะก็ดันเหลือบไปเห็นประตูห้องนอนของเขาที่เปิดแง้มอยู่..
ดูเหมือนประตูที่ถูกเปิดแง้มอยู่นั้นไปดลใจความอยากรู้อยากเห็นของเธอขึ้นมา..และเหมือนว่าซาโตชิเองก็เปิดทางให้เธอด้วยเช่นกัน..
อาซึกะลุกขึ้นจากโซฟาค่อยๆเดินตรงไปหน้าประตูห้องนอนของซาโตชิ....เธอค่อยๆเปิดประตูที่ถูกแง้มอยู่ออก..
และก็พบกับความลับของเพื่อนบ้านของเธอที่เธอเองก็ไม่ควรจะรู้....หลังจากที่เธอเปิดประตูเดินเข้าไปเธอถึงกับยืนอึ้งนิ่งไปชั่วขณะ....เพราะข้างในห้องนอนที่ควรจะเป็นห้องนอนสำหรับพักผ่อนและผ่อนคลายนั้นเต็มไปด้วยขวดโหลแก้วที่เก็บซากศพของสัตว์นับไม่ถ้วนล้อมรอบเตียงของเขา..และที่ทำให้ชวนขนหัวลุกและทำเอาอาซึกะถึงกับหลอนไปอีกนานอย่างแน่นอนก็คือ..นิ้วมือของคนนับไม่ถ้วนที่ถูกเก็บเอาไว้ในขวดโหลแก้วพวกนั้น
อาซึกะยืนอึ้งนิ่งจนลืมตัวเพราะเธอสติหลุด
จู่ๆซาโตชิมายืนอยู่ข้างหลังของเธอแล้ว..
"ลองมาเป็นของสะสมให้กับผมดูไหมครับคุณอาซึกะ"
"แต่ถ้าหากคุณต้องการ..ผมคงต้องรอให้คุณตายก่อน...ผมถึงจะนำนิ้วมืออันงดงามของคุณมาสะสมได้😊"
"ผมชอบของสะสมพวกนี้เป็นพิเศษเลยล่ะครับ"
ซาโตชิโน้มตัวเข้ามาใกล้อาซึกะที่ยังยืนนิ่งอึ้งและตกใจในเวลาเดียวกันแล้วพูดกระซิบข้างหูของเธอ..พร้อมกับรอยยิ้มที่ชวนหลอนและจิตอยู่หน่อยๆ..
ซาโตชิเขาทำอาชีพเป็นคนเฝ้าสุสานและเขามีหน้าที่ฝังศพคนที่ตายงานอดิเรกคือเก็บซากศพของสัตว์ที่ตายไปแล้วนำมาเก็บไว้...แต่ที่พิเศษก็คือนิ้วมือของศพของคนที่ตายไปแล้ว..เขาเป็นคนฝังศพของคนตายที่ถูกนำมาฝังที่นี้เขาจะดูแลและทำความสะอาดซากศพทุกศพก่อนจะนำลงหลุม..เขาจะตัดนิ้วมือทุกนิ้วของศพนั้นออกเพื่อนำไปเก็บสะสมและดูแลทำความสะอาดโหลแก้วอย่างดี..
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!