[ ณ เวลา 12นาฬิกา23นาที ]
..." ข่าวต่อไ- ติ๊ด! "...
" มาเอลนี่นายไม่คิดจะทำอะไรเลยรึไง เอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องนอนไปวันๆแบบนี้ " เสียงทุ้มต่ำที่ไม่มากนักของบุรุษหนุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้านการค้าและวิจัยท่านหนึ่งเอ่ยทักท้วงกับภราดรหนุ่มอีกคนที่กำลังเกลือกกลิ้งบนเตียงเจ้าตนอย่างหน่ายเหนื่อยออกมา
นัยนาสีกุหลาบระเรื่อเบิกโพรงกว้างขึ้นกระสงเพ็งมองไปยังภราดรหนุ่มที่เอ่ยกล่าวทักท้วงไปตอนต้น " ถ้านายยังขืนคิดจะนอนเฉยๆไปวันๆฉันจะทุบนายให้ " เจ้าของเสียงยังคงจ้อไม่หยุดปาก ไม่ทันควันร่างที่เกลือกกลิ้งเอ่ยปากแทรกทันทีเพียงกลัวจะโดนเทศนายาวพรืดจนไม่ได้พักผ่อนหย่อนใจ
" ฉันไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อยนะแครีอาน เลิกใส่ร้ายป้ายสีสักวันจะตายมั้ยเนี่ย " เสียงทุ้มในวัยรุ่นที่ยังไม่แตกหนุ่มพูดสวนทันควัน นัยนากรอกมองบนไปรอบหนึ่งพลันยันตัวลุกขึ้นนั่งก่อนจะทอดเสียงยาวอย่างเอื่อยเฉื่อย " ถ้าฉันนอนเอื่อยเฉื่อยไปวันๆคงไม่มาเป็นเพื่อนนายแบบนี้หรอกน่าา "
มิทันเเครีอานพ่นถ้อยคำวาจาใดๆแย้งกลับ ภาพทุกอย่างได้ถูกดับลงมืดมิดสนิทลงเสียงระเบิดลูกใหญ่ดังสนั่นกึกก้องไปทั่วแม้นจะสถานที่นั้นจะห่างสักเพียงใดแต่ระรอกคลื่นเสียงก็ยังคงดังมาถึงรวมถึงแรงระเบิดนั้นก็ทำให้ตึกรามบ้านช่องพังกันไปเป็นแถบๆสิ้นซากใดๆ
จิรกาลย่างผ่านไป ทิวากรลาลับเลือนตะวันบุหลันเข้าแทนที่สายลมแห่งความหนาวเหน็บพัดโชยโหมกระหน่ำเสมือนฤดูผันเปลี่ยนมุ่งสู่ฤดูหนาวอย่างรวดเร็ว เสียงไซเรนดังกระหึ่มทั่วอันธิการ จวนตอนนี้ก็ยังไม่มีนรชนคนใดที่สามารถบอกกล่าวได้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยง
[ ณ เวลา 4นาฬิกา33นาที - โรงพยาบาล : ห้องพักฟื้นแครีอาน ]
เสียงอิสตรีหลากหลายท่านเจื้อแจ้วไม่หยุดทำให้บุคคลที่นอนอยู่บนเตียงขยับเปลือกตาตื่นด้วยความสะสืมสะลือเพราะฤทธิ์ยา กายหยาบรู้สึกเจ็บแสบไปเสียหมดแขนซ้ายที่ขยับอย่างยากลำบากเนื่องด้วยใส่เฝือกและไร้เรี่ยวแรง แขนขวาที่ดูจะปกติดีขยับได้เพียงเล็กน้อย ขาทั้งสองข้างแถบจะไม่รู้สึกสัมผัสใดๆเสมือนคนพิการที่ไร้ขาทว่าเพียงได้รับบาดเจ็บที่ขาหนักกว่าส่วนอื่นเท่านั้นไม่ได้ขาดหรือพิการแต่อย่างที่คิด
ใช้เวลาไปไม่น้อยกว่าจะตั้งสติเพื่อจดจำทุกสิ่งได้ เหล่าพยาบาลและหมอสาวคอยช่วยประครองบุรุษหนุ่มเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เอนหลังพิงหมอน แต่ก็ต้องตระหนักถึงบางสิ่ง " มาเอลอยู่ไหน? " แครีอานหันหน้าถามถึงเพื่อนสนิทเจ้าตนที่อยู่ด้วยกันในห้องก่อนเกิดเหตุ แต่ดูเหมือนพวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้นด้วยความกระวนกระวายใจ
" ฉันถามว่า เอเตียนนอ มาเอล ฟรองซัวร์ คนชื่อนี้ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน!! "
" คุณแครีอานคะ..คือว่าเรื่องนั้น.. " น้ำเสียงของหมอสาวฟังก็รู้ความว่าหนักใจในการจะเอ่ยคำตอบแสนเศร้าออกมา
แครีอานเขาเป็นเด็กฉลาดแม้จะอยู่ในวัยอายุเพียง17ปีแต่การที่ได้เห็นและฟังแค่นั้นก็เพียงพอสำหรับข้อมูลที่เขาควรได้รับ ทั้งทีการกระทำและน้ำเสียงเหล่านั้นบ่งบอกได้เลยว่าเพื่อนสนิทตนมิได้อยู่ต่อไปแล้ว(?) ณ ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะต้องรู้สึกยังไง โกรธที่ทิ้งกันไป เศร้าเสียใจที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก สับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น อารมณ์ความรู้สึกตีกันมั่วซั่วไปหมดจนกระทั่ง..
* ปึ้ง! *
" คุณหมอคะ! ฉันว่าคุณต้องรีบไปนะคะ! คุณมาเอล ชีพจรคุณมาเอลกลับเต้นแล้วค่ะ! "
ยังไม่ทันจบประโยคบทสนทนานั้นภราดรหนุ่มรีบนำสายน้ำเกลือและตรวจวัดชีพจรออกพร้อมลุกออกจากเตียงทันใดก็หกล้มหน้าคะมำทิ่มกับพื้นแต่ก็ยังไม่ลดละความพยายามที่จะยันตัวลุกขึ้นยืนวิ่งไปหาเพื่อนเจ้าตนให้ได้ ทั้งหมอและพยาบาลที่เห็นเหตุการณ์รีบเข้ามาห้ามปรามทันทีแต่ดูเหมือนอำนาจเส้นสายจะเป็นใหญ่ แครีอานสั่งให้พวกเขานำพาตนไปหามาเอลทันทีที่เจ้าตัวฟื้น แม้ตัวแครีอานจะยังบาดเจ็บก็ตาม มันก็คงจะช่วยไม่ได้เมื่อภราดรหนุ่มใช้อำนาจเส้นสายเช่นนี้
[ ณ เวลา 8นาฬิกา12นาที - โรงพยาบาล : ห้องพักฟื้นมาเอล ]
" ฉันได้ยินมาว่ามีคนร้องห่มร้องไห้เรื่องที่ฉันหัวใจหยุดเต้นด้วยล่ะ ใครกันน้า~ " เสียงอันคุ้นเคยสำหรับแครีอานดังขึ้นข้างใบหู แม้นคำพูดแสนชวนจะหงุดหงิดแต่อย่างน้อยก็อยากจะได้ยินมันตลอดไป " ไม่อยากจะคิดเลยว่าชีวิตฉันต้องมาเจอภาระอย่างนายอีก หม่นหมองจริงๆชีวิตฉัน "
บทสนทนาสุดแปลกพิลึก ไม่ว่าจะพูดจาเหยียดเสียดสีหรือล้อเลียนกันเพียงใดทั้งคู่ก็ไม่มีอาการเลือดขึ้นหน้าหรือแสดงอารมณ์โทสะใดๆเลย เสมือนเป็นการละเล่นประจำวันอย่างหนึ่งหากขาดมันไปชีวิตนี้คงเบื่อน่าดู
..." เมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2567 เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้แถบตัวเมืองแห่งความเจริญด้านเทคโนโลยี รถบิน อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และตึกมหานครลอยฟ้ามากมายพังทลายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุคาดว่ามันคือระเบิดที่มีอนุภาพการทำลายสูง จนกระทั่งตำรวจได้เข้าตรวจค้นพื้นที่บริเวณเกิดเหตุอย่างทันท่วงทียามสถานการณ์เบาบางลง และสิ่งที่น่าตกใจนั้นมันไม่ใช่ระเบิดแต่อย่างใดแต่มันคือ อุกกาบาต ใช่ค่ะทุกท่านฟังไม่ผิดสิ่งที่ทำให้ตัวเมืองเสียหายวงกว้างขนาดนี้คืออุกกาบาตลูกยักษ์ที่ลอยตกลงมาจากฟากฟ้าสู่มหานครเมืองหลวง และที่ทราบกันดี ณ ขณะนี้ขอให้ทุกท่านที่อยู่บริเวณแถบนั้นอพยพโดยด่- ติ๊ด! "...
ทั้งสองใบหน้าหันเข้าหากันอย่างช้าๆแต่มีนัยยะ ไม่มีคำกล่าวหรือบทสนทนาใดๆที่ถูกเอ่ยออกมาทั้งสองคนนั้นคงนั่งนิ่งเงียบมองหน้ากันอยู่เช่นนั้นเพียงไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ ความเป็นไปได้ที่อุกกาบาตจะตกลงมาบนโลกนั้นแถบเป็น 0 ไม่มีทั้งคำทำนาย พยากรณ์ หรือสิ่งใดๆที่เป็นลางบอกเหตุล่วงหน้า มันน่าแปลกจนเกินไป เสมือนอวกาศ ณ ตอนนี้กำลังปั่นป่วนเพราะบางอย่างจนสงผลกระทบต่อดาวฤกษ์และดาวเคราะห์รวมถึงดาวบริวารทุกดวง
คงจะสรรหาคำไหนมาเปรียบเปรยทดแทนไม่ได้แล้ว ณ ตอนนี้ รวมถึงพวกเขาคงต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อีกรึเปล่า แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้แครีอานเกิดความสงสัยตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อนหน้า
[ ณ เวลา 6นาฬิกา21นาที - ช่วงเวลาก่อนหน้าเข้าเยี่ยมมาเอล ณ ห้องPositive ICU ]
" ช่วยเล่ามาทีสิว่ามันเกิดอะไรขึ้นช่วงที่ฉันไม่อยู่ในห้องนั้น " หมอสาวเริ่มสอบถามพยาบาลที่อยู่ในเหตุการณ์พอดีขณะที่ยืนมองภราดรผ่านกระจกห้อง
" หลังจากที่คุณหมอออกจากห้องไปเพื่อไปรายงานให้กับคุณแครีอานทราบเพียงไม่กี่นาทีต่อมาสภาพร่างกายและอวัยะภายในอยู่ดีๆก็เกิดการแปรสภาพค่ะ บาดแผลขนาดใหญ่และร่องรอยการได้รับบาดเจ็บต่างๆฟื้นตัวโดยเร็วอย่างไม่ทราบสาเหตุ อวัยวะภายในหรือภายนอกบางส่วนที่ได้รับความเสียหายอย่างหนักเองก็ฟื้นฟูจนคืนสภาพเดิมเต็ม100ค่ะ " พยาบาลสาวเริ่มร่ายยาวเหตุการณ์ในตอนนี้อย่างระเอียดจากกระดาษรายงานที่ได้จดไว้
เยาวพานที่นั่งอยู่บนรถเข็นขณะนั้นเอง ได้ยินเเบบนั้นก็เกิดความสับสนกับข้อมูลในสมองเจ้าตนเป็นอย่างมาก่อนจะสลัดความคิดชวนข้อสงสัยทิ้งไป ขอเพียงเพื่อนสนิทอย่างมาเอลรอดได้นั้นก็เพียงพอแล้ว แม้นลึกๆจะยังคิดตั้งข้อสงสัยนั้นอยู่ก็ตาม
[ ณ เวลา 8นาฬิกา33นาที - โรงพยาบาล : ห้องพักฟื้นมาเอลช่วงปัจจุบัน ]
" มาเอล..คือฉั- " บทพูดได้ถูกขัด
" ฉันรู้ว่านายจะถามว่าอะไรรีอาน " มาเอลกล่าวเเทรกขึ้น " ตอนที่ฉันสลบอยู่ภายในห้องปลอดเชื้อแต่ใช่ว่าจะไม่รับรู้เรื่องราวนะ ฉันเองก็คิดว่าตัวเองตายแล้วเหมือนกันแต่มันรู้สึก..โหว่งใจอย่างไงชอบกล ฉันรู้สึกแค่นั้น " เขาได้จบประโยคบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่สับสนและเศร้าสร้อย(?)อย่างบอกไม่ถูก
" เข้าใจแล้ว ฉันไม่ได้อยากรื้อฟื้นเรื่องนั้นกับนายมากนักหรอก " เเครีอานเอื้อมมือไปตบบ่าภราดรหนุ่มเบาๆเสมือนเป็นการบอกว่าเข้าใจความรู้เหล่านั้น " แม้นายจะเป็นอะไรไปฉันจะอยู่กับนายเสมอไปทอดทิ้งเด็ดขาด " เขาคลี่ยิ้มอ่อนออกมาแลดูเหมือนจะไม่รู้ตัวเช่นกันว่าได้เอ่ยประโยคแบบไหนออกไป
สถานการณ์ได้ค่อยๆย่ำแย่ลงเศรษฐกิจการเมืองภายในประเทศทั้งด้านการค้า เทคโนโลยี ความสะดวกสบาย การเมืองทุกๆอย่างค่อยๆดิ่งลงอย่างรวดเร็ว มาเอลออกจากโรงพยาบาลพร้อมเเครีอาน ทั้งคู่เป็นเด็กอัจฉริยะที่ประเทศต้องการตัวด้วยมันสมองเหล่านั้นทำให้ถูกขนานนามว่า Florian Davin Dereck ผู้เจริญรุ่งเรืองผู้เป็นที่รักและผู้ครองปัญญาคำพวกนี้หากใช้กับทั้งสองนั้นแลไม่เกินจริงสักคำ
ทั้งมาเอลและเเครีอานพยายามอย่างหนักเพื่อให้สถานการณ์ภายในประเทศดีขึ้นแต่ทว่าไม่เป็นผลวันแล้ววันเล่า เริ่มมีอุกกาบาตตกลงมามากขึ้นเรื่อยๆและเริ่มพบผู้ผิดปกติบางอย่าง ร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปเสมือนคล้ายกับสัตว์และบางสิ่งบางอยากที่เราเรียกกันว่าภูมิผีปีศาจ ผู้คนเหล่านั้นถูกองค์กรลับจับตัวไปกักขังเพื่อไม่ให้สร้างความตื่นตกใจต่อนรชน
[ 6 ปีต่อมา ]
" แครีอานฉันพาเด็กสองคนมารับเลี้ยงนะ " เสียงที่เหมือนจะคุ้นเคยแต่ทุ้มต่ำกว่าเดิมเล็กน้อยแฝงไปด้วยความอบอุ่น เอนเตียนเนอ มาเอล ฟรองซัวร์ เจ้าของเสียงที่ถือครองกายหยาบอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมากกว่าผู้ใด หลังจากเหตุการณ์เมื่อวันนั้นทำให้ร่างกายของมาเอลเกิดการเปลี่ยนแปลงเฉกเช่นเดียวกัน ใบหน้ารูปลักษณ์ที่อ่อนเยาว์กว่าวัย สันกรามและจมูกที่ได้รูป ผมดำขลับเงางาม นัยนาสีดำหยกประกายราวกับอัญมณีสีรัตติกาล ส่วนสูงและน้ำหนักก็สมส่วนดั่งเหมือนพระเจ้าประทานพรความอ่อนเยาว์นี้มาให้
พลันใบหูนั้นได้ยินบทสนทนาเอ่ยกล่าวเช่นนั้นถึงกับหันควับคอแถบเคล็ดพร้อมเบิกตากว้างไม่ทันไรก็แผดเสียงร้องเสียงดัง " อะไรนะ!? นายไปทำอะไรใครท้อง!!? " เจ้าหน้าที่แถบนั้นถึงกับหันมามองเป็นตาเดียวกันด้วยความอยากรู้อยากเห็น น้ำเสียงทุ้มต่ำอีกเสียงคลับคล้ายเสียงในคราแรกเอ่ยตอบด้วยความตกใจ นัยน์นาแดงกุหลาบระเรื่อเบิกโพรงขึ้นด้วยพักต์ความตกใจ ริมฝีปากที่คาดคาบบุหรี่ได้เปิดออกค้างจนม้วนบุหรี่นั้นตกลงพื้น
" นี่นายได้ให้แพทย์ตรวจหูบ้างรึเปล่ารีอาน ฉันบอก ฉันไปรับเลี้ยงมาโว้ย!! " มาเอลกล่าวแย้งเสียงดัง
" อ่าวงั้นหรอ สงสัยอายุคงเยอะจนได้ยินผิดซะแล้วสิ " แครีอานตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนๆ " อยู่ไหนล่ะ เด็กสองคนที่ว่านั้น " เขาเอนโยกตัวซ้ายทีขวาทีแลตามองสอดส่องไปทั่วรอบวรกายอีกคนอย่างใคร่รู้
" พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ อยู่องค์กรย่อยHFC " มาเอลกุมขมับศรีษะเจ้าตน " อะไรนะ นายให้พวกเขาไปอยู่องค์กรย่อยทั้งๆที่ไม่มีใครดูแลเนี่ยนะ!? " แครีอานถึงกับขึ้นเสียงพร้อมแสดงสีหน้าช็อคออกมาอีกครั้งไม่เคยคิดแม้แต่จะฝันว่าเพื่อนสนิทตนจะทำกับเด็กแบบนั้นได้ลงคอ
องค์กรHFCหรือที่เรียกกันว่า Hunthing For Contail - ตามล่าแห่งภาชนะ ถูกก่อตั้งขึ้นมาเมื่อประมาณ3ปีก่อนหน้า มีหน้าที่เตรียมรับมือสถานการณ์ในยามวิกฤตฉุกเฉินและคอยช่วยเหลือผู้ที่ติดเชื้อไวรัส
[ ณ วันที่ 12 เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช2567 เวลา 13นาฬิกา33นาที - สถานที่เกิดเหตุ ]
" แม่คะ!! ฟื้นสิ!แม่คะ!...ฮืออ..ฮึ่ก..ฮ-ฮื่ออ "
" แม่คะ...อย่าทิ้-ฮึก..อย่าทิ้งหนูไป..ฮืออ " เสียงร้องไห้ของเด็กสาวที่เสียมารดาตนไปอย่างช่วยไม่ได้
ท่ามกลางเหตุการณ์ความวุ่นวายมากมายล้อมรอบกายเจ้าตน อุกกาบาตที่เคยตกลงมาทีละลูก บัดนี้นั้นพวกมันได้โถมกระหน่ำตกลงมาอย่างไม่มีท่าว่าจะหยุดสักเสี้ยว ตึกรามบ้านช่องต่างเสียหายพังทลายลงทีละส่วนสองส่วน มหาครนครลอยฟ้าต่างตกลงบนพื้นดิน จราจรติดขัดคับแน่นถนนสะเปะสะปะเละเทะพังไม่เป็นท่า คอนกรีตพื้นบางส่วนก็ยุบลงบางส่วนก็เหินเหนือฟ้า
ควันโขมงจากเหตุไฟไหม้หลายจุด เป็นภาพที่เหมือนกับวันสิ้นโลกดีๆนี่เองทุกสิ่งอย่างล้วนถูกพังทลายลงเพียงไม่กี่วิ เสียงร่ำไห้เศร้าโศรกของเด็กสาวก็ยังคงขับเอื้อนอยู่ไม่ห่างหายไปไหน ผู้คนวิ่งพลุกพล่านแตกตื่นกันไป บางคนก็เหยียบผู้คนด้วยกันเองเพราะอยากมีชีวิตรอด บางคนก็นั่งรอความตายอย่างจำยอมช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูเสียจริง
แต่แลเหมือนจะมีบุคคลคู่หนึ่งที่ยืนมองดูสถานการณ์ต่างๆอย่างใจเย็นไม่รีบร้อนแต่อย่างใดเสมือนกับรู้เหตุการณ์และวิธีรับมือไว้ล่วงหน้าแล้ว บทสนทนาได้กล่าวขึ้น
" มาเอลรอบนี้นายทำได้รึเปล่า "
ผู้ถือครองนามแครีอานพูดขึ้น นัยนาเคลื่อนส่องมองไปยังเพื่อนสนิทข้างกายเบื้องหน้า ไอควันที่ถูกพ่นออกจากริมฝีปาก
..." ปราถนาแห่งจำนงค์ Desire Of The Mind หวนคืน"...
หลังพ้นสิ้นประโยคคำกล่าว ตึกมหานครลอยฟ้า ถนน การจราจร ตึก ทุกอย่างล้วนกวนกลับคืนสู่ในสภาพแวดล้อมที่ปกติยกเว้นเพียงอย่างเดียวอุกกาบาต อุกกาบาตนั้นเสมือนเป็นข้อยกเว้นทุกอย่างมันไม่สามารถทำลายได้แม้จะโดนนิวเคลียร์ระเบิดหรือสารเคมีใดๆ หลังจากที่อุกกาบาตลูกแรกตกมาไม่นานก็ตามด้วยลูกสองลูกสามพวกมันนั้นได้เริ่มส่งเชื้อไวรัสบางอย่างแพร่กระจายไปยังในอากาศแม้นจะดูแลป้องกันตนเองอย่างไรหากเผลอเข้าสักครู่เดียวก็โดนเชื้อเข้าไปทันที
มาเอลคือหนึ่งในผู้ที่โดนเชื้อไวรัส แต่น่าแปลกที่ไม่ได้กลายร่างเป็นอย่างอื่นแต่กลับได้รับการถูกปลุกพลังบางอย่างขึ้นมาแทนซึ่ง ณ ขณะนี้นั้นมีเพียงมาเอลเท่านั้นที่ได้รับพลังมาแต่เพียงผู้เดียว พลังพิเศษเหนือธรรมชาติของภราดรนั้นยังไม่แน่ชัดว่ามันคืออะไรกันแน่หากมีเพียงอย่างหนึ่งที่ชัดเจน พลังของมาเอลคือความปราถและบางอย่างอีกอัน หากมาเอลมีความปราถนามากกว่าสิ่งใดแรงกล้ากว่าอย่างอื่น ความปราถนานั้นจะเป็นจริง ดูเป็นเรื่องอันตรายชะมัด..
[ ณ ปัจจุบัน - สถานที่ : องค์กรHunthing For Countail | องค์กรย่อย ]
" ฟาเบียน ปริ๊นซ์รอฉันนานรึเปล่า? " มาเอลกล่าวทักดรุณหนุ่มช่วงวัยเด็ก " ไม่นานครับ " เสียงที่แลไม่คุ้นเคยและเพียงฟังครั้งเดียวก็รู้ว่าผอมแห้งขนาดไหนเพราะน้ำเสียงอันแห้งเหือดเหล่านั้น ดวงตากลมโตคมคู่ แดงระเรื่อราวกับกุหลาบสด เกศาสีน้ำตาลแดง ผิวขาวสีเผือก รูปหน้าที่ได้รูปตั้งแต่ยังเด็ก รอบกายเต็มไปด้วยความเหือดแห้งที่รับรู้ได้แต่กลับมีกลิ่นที่อ่อนโยนโชยออกมา
" รอนานจนรากจะหงอกแล้วมาเอล " เสียงหวานต่ำเอ่ยขึ้นอีกเสียงซึ่งผู้เป็นเจ้าของเสียงนั้นอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มกุหลาบ ลักษณะท่าทางแตกต่างจากอีกคนอย่างสิ้นเชิง
นัยนานอกกลมโตนั้นสีราวต้นสปรูซส่วนตาในกลมเล็กราวกับโคบอลต์บลู แลเป็นการแยกชั้นของสีที่งดงามจับตา หยุดละสายตาออกไม่ได้เลย กลิ่นอายรอบตัวราวกับเหมันต์เย็นยะเยือกและน่ากลัวกลับกันมันทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
" หืม?เด็กนั้นหน้าคล้ายฉันชะมัด " แครีอานถึงกับยกเรียวกนิ้วชี้ไปที่เด็กหนุ่มลักษณะคล้ายเจ้าตนอย่างอดสงสัยไม่ได้
" เหมือน? เอาอะไรมาเหมือนกันครับลุง " เสียงหวานเจ้าเก่าเอ่ยท้วงขึ้นมาอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นักเพียงหันตามเสียงก็รู้ว่าเด็กคนไหนเป็นคนพูด " นี่ รู้จักกันวันแรกเรียกลุงเลยรึไงไอเด็กนี่ " แครีอานได้ยินเด็กที่เล็กกว่าตนเรียกว่าลุงก็ถึงกับเส้นเลือดขึ้นหน้าอยู่หน่อยๆ อายุเขาก็ยังไม่ปาไป30ด้วยซ้ำ หน้าก็ยังดูเด็กเห็นๆ เข่าทั้งสองข้างย่อคุกฝุ่นกับพื้น มือเอื้อมไปเชิดหน้าฟาเบียนมาสบตาก่อนที่จะเบือนหน้าไปทางมาเอลเพื่อให้เห็นว่าหน้าของทั้งสองนั้นเหมือนกันมากขนาดไหน
" นายไปทำใครท้องมารึปล่าแครี่อาน เหมือนกันอย่างกับพ่อลูก " ขนาดมาเอลยังเอ่ยปากบอกขนาดนี้คงไม่เหมือนก็คงจะไม่ใช่แล้วล่ะ ทั้งโครงหน้า สีผม นัยนา ผิวพรรณ ไหนจะค่าไอคิวที่สูงเกินมนุษย์มนานั้นอีก น่ากลัวเหมือนกันทั้งคู่จริงๆ ถ้าเด็กคนนี้โตขึ้นมากกว่านี้คงจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร ก่อนที่จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ก็ได้มีเสียงเตือนภัยดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดเลยจริงๆในเวลานี้
" แครีอานพาทั้งสองคนไปชั้นใต้ดินหลบภัยของตึก ! ! "
" จะบ้ารึไงปล่อยให้นายออกไปสู้คนเดียวเนี่ยนะ ! ! "
" นายเป็นคนเดียวที่ฉันไว้ใจมากสุดนะอาน ! "
" เกลียดนายเวลาแบบนี้ชะมัด .. "
" พวกผมอยากไปด้วย " เสียงนุ่มแหบกร้านที่ฟังก็รู้ว่าเป็นใครเกริ่นพูดขึ้นมาในสถานการณ์ที่ทั้งสองกำลังปะทะคารมกันทำเอาทั้งคู่ต้องหันควับมองทีเดียวไม่คิดว่าเด็กอายุเพียงแค่นี้อยากจะไปดูสถานการณ์ที่โหดร้ายแบบนั้น " พวกผมก็อยากช่วยเหมือนกันเพราะงั้นให้พวกผมไปด้วยเถอะ " อีกน้ำเสียงหนึ่งได้เกริ่นพูดเสริมทับเข้ามาน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกแต่มีไออุ่นแฝงความนัย เด็กพวกนี้ไปมีความคิดแบบนี้จากไหนกันหากไม่ได้ลอกเลียนแบบมาจากในมังงะการ์ตูน หรืออนิเมะพวกแนวซุปเปอร์ฮีโร่
มือเรียวคู่หนึ่งถอดเสื้อกาวน์ออกและนำไปสวมให้กับเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงอย่างฟาเบียน ดวงตาพราวดั่งกุหลาบชุ่มน้ำอัญมณีคลับคล้ายของแครีอาน และเจ้าของมือเรียวคู่นั้นคือมาเอลบุคคลที่ถูกไวรัสประทานพลังพิเศษเหนือธรรมชาติมาให้ ส่วนฟาเบียนเองก็ได้จากแครีอานเช่นกัน
" สวมเสื้อกาวน์ไว้ซะจะได้อบอุ่น " มาเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
" ดูแลเสื้อฉันให้ดี ๆ ล่ะพวกมันราคาแพงมากนะ " แครีอานพูดเสริมด้วยน้ำเสียงซึน ๆ
สิ้นประโยคบทสนทนาทันใดก็ตามมาด้วยเสียงฝูงมวลชนที่วิ่งกรู่กันแตกตื่นเข้ามาภายในองค์กรเพื่อหลบภัยจากโศกนาฏกรรมข้างนอก ผู้ใหญ่ทั้งคู่ยื่นมือเรียวของตัวเองให้เด็กทั้งสองจับคนละคนไป พร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่นานและไม่ช้าจนเกินไปมาเอลได้พาทั้งสามคนออกไปยังนอกองค์กรที่ตอนนี้นั้นเป็นภาพไม่น่ามองสักเท่าไหร่เนื่องจากมีผู้กลายพันธุ์อยู่เป็นจำนวนมากในการกัดกินมนุษย์ปกติอยู่
ดวงเนตรที่สั่นไหวของเด็กหนุ่มเกศาน้ำตาลแดงรวมถึงเจ้าของไปเย็นถึงกับต้องหลบหลังพวกผู้ใหญ่ที่พาออกมาดูเหตุการณ์ด้านนอกทันทีถึงจะเป็นเด็กแต่ยังไงก็ต้องมีปฏิกิริยาแบบนั้นตามปกติยังไม่ทันที่ปากผู้ถือครองพลังจะได้เอื้อนเอ่ยใด ๆ
กลับมีเสียงระเบิดดังสนั่นกันไปเป็นแถบ ๆ แม้นจะห่างเป็นพันกิโลแต่กลับได้ยินดังถึงที่แห่งนี้ บุรุษหนุ่มผมดำขลับที่ประสาทสัมผัสดีเลิศกว่าชาวบ้านชาวช่องรีบเฟ้นหาเสียงและกวาดนัยเนตรทั่วทุกทิศเพื่อดูว่ามันเกิดจากอะไร และถ้าหากตัดไปยังต้นเหตุของเสียงจริง ๆ ล่ะก็ . .
[ สถานที่เกิดเหตุ ]
ปรากฏเผยให้เห็นบุรุษหนุ่มท่านหนึ่งที่เดินออกมาจากสถานที่เกิดเหตุโดยรอบมีควันโขมงขนาดใหญ่ทั่วเกิดจากแรงระเบิดมหาศาลโดยไม่ต้องสงสัยเศษซากปรักหักพังที่ค่อย ๆ ล่วงหล่นลงตามแรงสั่นไหวของการระเบิด ไฟลุกลามไปทั่วสารทิศในบริเวณแถบนั้น ผู้คนต่างได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและตื่นตระหนกวิ่งแตกกระเจิงกันไปคนละทิศละทาง แต่ทว่ากลับกัน เรือนเกศาสีทองเหลือบบลอนด์แซมด้วยขาวนวล นัยนาดั่งอัญมณีซิทริน หรือ เพทายสีเหลือง ช่างงดงามจับน่าอะไรเช่นนี้ บรรยากาศที่ขนลุกรอบตัวปานจะกลืนกินและระเบิดทุกสิ่งที่ขวางหน้า
คราบเปรอะเปื้อนที่สกปกรกเปรอะไปทั้งพักต์หล่อเหลาและอาภรณ์ที่สวมใส่ขาดรุ่งริ่งเล็กน้อยตามจุดต่าง ๆ ทำให้รู้เลยว่าเป็นคนก่อเหตุการณ์แน่นอนแต่เหมือนจะไม่ได้ทำเพื่อความต้องการของตัวเองหรือทำร้ายใครใด ๆ เพียงแค่ปราบมนุษย์กลายพันธ์ุเท่านั้น แลจะมีคนตัดหน้าความเก่งกาจของมาเอลไปซะแล้ว ปริ๊นซ์และฟาเบียนเองก็ดูจะถูกใจเขาไม่น้อย แต่คาดไม่ถึงว่าสายตาของเด็กทั้งคู่จะดีขนาดนี้แครีอานเองก็พอมองได้เบลอ ๆ เท่านั้นตั้งพันกิโลใครมันจะเห็น
" ปกติหน่วยงาน HFC มาช้ากันขนาดนี้เลยหรอ ? " เสียงนุ่มทุ้มดังขึ้นอยู่ด้านหลังของทั้งสี่คน ทำให้ต้องเผยใบหน้าที่เกิดความแปลกใจไม่น้อยและอาการเหว๋อออกมาทันใดไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสามารถโผล่มาอยู่ด้านหลังแบบนี้ได้กลับกันมาเอลและแครีอานรีบคว้าเด็กทั้งสองมาหลบอยู่หลังพวกเขาทันทีเพื่อความระวังตัวเกิดคิดอยากฆ่าขึ้นมาจะทำยังไงแต่ทว่า " เขาไม่ทำอะไรพวกเราหรอกน่าลุง " เสียงที่เย็นยะเยือกเปิดบทสนทนาอีกครั้งพร้อมกับละจากแผ่นหลังที่เชื่อใจได้เดินไปจับมือที่แสนจะไม่น่าเชื่อใจแทน
" เด็ก ? ลูกของคุณแครีอานงั้นหรอ ? "
ทันใดนั้นก็มีเสียงหลุดขำออกมาอยู่เสียงหนึ่งซึ่งก็ต้องมาจากเจ้าของเกศาดำขลับเพียงคนเดียวเล่นเอาเด็กหัวทองคิ้วมวดเลยว่าพูดอะไรผิดรึเปล่าไหนจะสีหน้าของเจ้าของชื่อที่เขาพูดไปเมื่อครู่รวมถึงสีหน้าของเด็กที่เดินมาจับมือเขาอีก หากปริ๊นเอ่ยบอกแบบนั้นเรื่องชายที่จับมืออยู่ปลอดภัยก็คงต้องว่ากันตามไป
" ผมชื่อเทวิน Florian Davin Dereck "
" พวกนายเข้าไปคุยกันข้างในก่อนเถอะฉันจะไปเคลียร์กับซากพวกนั้นก่อน " มาเอลได้ขอตัวไปจัดการงานที่ชายหนุ่มนามเทวินได้ก่อไว้ก่อนที่จะมีเหตุการณ์ร้ายแรงไปมากกว่านี้เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บอยู่ด้วย เเครีอานก็เห็นตรงกันจึงได้นำพาเด็กทั้งสามคนเข้าไปภายในองค์กรและตรงดิ่งไปยังห้องทำงานชั่วคราวของพวกเขาทั้งสอง " ว่าแต่นายรู้จักฉันได้ยังไงกัน " เสียงแห่งความสงสัยดังขึ้นระหว่างทางเดินโดยแครีอานเป็นผู้เอ่ยถาม
" ชื่อเสียงของพวกคุณโด่งดังจะตายไป มาเอลผู้เป็นรูปลักษณ์ดังพระเจ้าประทานพร สีผมที่ดำขลับ ดวงตาราวกับลูกกวางดำสนิทน่ามองจนละไม่ได้ ใบหน้าที่เหมือนถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ส่วนอีกคนแครีอาน เพื่อนสนิทผู้ถูกรายล้อมไปด้วยบุคคลอันน่าทึ่งมากมายรวมถึงความบริสุทธิ์ที่ลอยละล่องอยู่รอบตัวราวบาทหลวงผู้มีบุญเปี่ยมล้น "
" เหมือนฉันกับหมอนั้นกำลังโดนชมอยู่เลยแหะ " พูดไปก็หน้าขึ้นสีฟาดเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใดกลับกันมันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากกว่าสองคนผู้ซึ่งสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ของโลกได้มาอยู่ด้วยกันแม้ตัวเขานั้นจะไม่มีพลังอย่างมาเอลแต่กลับคิดค้นเทคโนโลยีล้ำหน้าได้มากมายเป็นบาทหลวงผู้มากจินตนาการทรงปัญญา
เสียงแง้มประตูได้ดังกึกก้องทั่วภายในห้องทำงานพอใช้ได้ประมาณหนึ่งแต่กลับมีพวกเทคโนโลยีล้ำหน้ามากมายอัดแน่นอยู่ภายในทั้งการสั่งการและการใช้งาน เหล่าผู้มาเยือนใหม่องก็ตาลุกวาวไม่แพ้กัน เด็กเล็กทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะจะไปดึงเสื้อของเจ้าของห้องเสมือนเป็นการบอกว่าขอสำรวจได้มั้ย และสิ่งที่ตอบรับมาคือการพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเอ็นดู ทว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่ไม่ละจากภาพเบื้องหน้าคือ เทวิน เขายังคงจับจ้องผู้เป็นเจ้าของห้องบัดนี้เดินไปทำกาแฟมาดื่มพลันเดินมาเสริฟน้ำส้มให้เขาโดยการวางบนโต๊ะพร้อมสายตาที่บ่งบอกให้นั่งลงก่อนจะได้เริ่มคุยกัน
" นายปลุกพลังได้นานรึยัง "
" เมื่อกี้ "
" รู้รูปแบบพลังของตัวเองรึเปล่า "
" สายฟ้าและการเคลื่อนที่ละมั้ง "
" นอกเหนือจากนั้นล่ะ "
" ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้ลองเพิ่มเติม "
" คิดว่ามีอีก ? "
" คงงั้น "
ดูเป็นบทสนทนาที่คุยปุ้บปั้บไม่เวิ่นเว้อแต่อย่างใดรวบกระทัดรัดรวดเร็วทันใจดีจริง ๆ เด็กทั้งสองที่เดินสำรวจไปฟังไปยังต้องหันมามองตาไม่กระพริบไม่คิดจะว่าจะถามรัวขนาดนี้ คนตอบเองก็ใช่ย่อยไม่นานเกินรอ ภราดรหนุ่มผู้ซึ่งขอตัวไปเคลียร์สถานการณ์ก็ได้กลับเข้ามาอย่างกระฉับกระเฉงใบหน้ายังอิ่มเอมจนเงาวาวไปหมด สรุปไปเคลียร์หรือหาอะไรกินมา
" เป็นไงบ้างอาน สอบผ่านรึเปล่า "
" ขั้นทดลองงานก็ดี "
" นายนี่สุดยอดจริง ๆ นะเทวิน ที่อานให้นายผ่านแล้วไปฝึกงานได้เลย "
" ครับ ? "
น้ำเสียงและใบหน้าที่งุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นสรุปเขาโดนเรียกมาพูดคุยเพื่อสัมภาษณ์เข้าหน่วยงานหรือมาโดนตรวจสอบเฉย ๆ กัน สีหน้าแบบนี้นั้นก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนเห็นแล้วจะยิ้มขำเบา ๆ หรอกคนหลายคนที่เอาตัวรอดได้โดยไม่มีพลังงานก็ถูกทาบทามโดยพวกเขา กลับกันหากเทวินยอมรับที่จะทดลองงานคงจะดีไม่น้อยเนื่องจากต่อจากนี้จะได้มีผู้ครอบครองพลังพิเศษเหนือธรรมชาติคนที่สองถือกำเนิดขึ้น
[ 1 ปีต่อมา | 10 มกราคม พุทธศักราช 2574 เวลา 10 : 00 ]
" เทวิน วันนี้นายจะออกไปจัดการพวกกลายพันธุ์อีกแล้วหรอ " น้ำเสียงที่เคยแห้งเหือด ในตอนนี้นั้นกลับนุ่มนวลปากบอกไม่ถูก ร่างกายที่เคยผอมกะหร่อง กลับกลายเป็นว่าเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นมาแต่สีผิวยังคงซีดเผือกราวกับหิมะอยู่วันยังค่ำ " นายพักบ้างเถอะออกถี่กว่าพวกเจ้าหน้าที่ประจำการซะอีก " ยังคงเป็นน้ำเสียงที่เย็นยะเยือกอยู่เช่นเคยไม่เปลี่ยนส่วนสูงก็เพิ่มขึ้นร่างกายก็มีน้ำมีนวลไม่แพ้เจ้าเด็กผมน้ำตาลแดงคนนั้น
" ถ้าฉันไม่ออกไปจัดการพวกมันก็จะเป็นอันตรายต่อผู้คนที่อาศัยน่ะสิ "
" ปล่อยให้คุณมาเอลกับคุณแครีอานจัดการบ้างเถอะ "
" เจ้าคนพวกนั้นมัวแต่นอนอุดอู้ในห้อง หัดปลุกให้ลุกขึ้นมาทำงานทำการอย่างนายบ้างก็ดีนะ "
น้ำเสียงและวิธีการพูดที่แตกต่างสุดขั้น วิธีการพูดที่นุ่มนวลแต่มั่นคงไม่พ้นฟาเบียนกลับกันน้ำเสียงที่พูดขอไปทีแถมไม่นุ่มนวลเอาซะเลยเป็นของปริ๊นซ์ เทวินเด็กหนุ่มวัย15ปีย่าง16ถูกเด็กทั้งสองคอยวอแวให้พักอยู่ตลอดทุกครั้งที่โหมหน้าที่หนักและยังคงเป็นแบบนี้เสมอมาตั้งแต่เริ่มทดลองงานตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าหน้าที่ประจำการเขตอย่างเต็มตัว
" ฮัดชิ้ว ! "
" ฉันว่าเด็กพวกนั้นกำลังนินทาพวกเราอยู่แน่ ๆ "
" ฉันก็ว่างั้นแหละอาน หาว~ "
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!