***คำนำจากผู้เขียน
เนื้อหาที่ถูกร้อยเรียงเป็นเรื่องราวนี้ เป็นสิ่งที่เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนและค่อนข้างจะน้ำเน่า อาจมีการกระทำที่ไม่เหมาะสม การค้ามนุษย์ ความรุณแรง รวมไปถึงการมีsexแบบกึ่งจำยอม ทั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาจะพาดพิงผู้ใดหรือจะทำให้ผู้ใดเสียหาย เนื่องจากผู้เขียนยังมือใหม่และอ่อนหัดทางด้านงานเขียนเป็นอย่างมาก จึงเริ่มงานเขียนเป็นนิยายชิ้นสั้นๆ หากมีความผิดพลาดประการใด ผู้เขียนขอน้อมรับไว้และจะนำไปปรับปรุงแก้ไขในงานเขียนชิ้นต่อๆไป
^^^嵐^^^
...----------------...
ปล. เรื่องราวที่กล่าวถึงเป็นแนว Omegaverse (แนวผู้ชายสามารถตั้งท้องได้ ในจักรวาลนี้จะมีเพศหลักและเพศรอง เพศรองที่เป็นโอเมก้าจะสามารถตั้งครรภ์ได้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง)
...💐💐💐...
บทนำ
ในคฤหาสหลังโตที่ดูภายนอกเหมือนจะเป็นบ้านที่โอ่อ่าสวยงามและกว้างขวางแสดงถึงอำนาจบารมีของผู้ที่ครอบครอง แต่กลับกัน สถานการณ์การเงินภายในบ้านดูไม่สู้ดีนัก
ตระกูลศิลาฤกษ์ "เกริกชัย"ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวบริหารธุรกิจผิดพลาด บริษัทของวงศ์ตระกูลที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่นจึงเสี่ยงที่จะล้มละลาย "ภรรณี" ผู้เป็นภรรยาก็ผลานเงินไปกับการพนันและเหล้าสุรา ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนสถานการแย่ลงไปอีก "เมธาวี" ลูกสาวคนโตของบ้านแม้จะหัวดีสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังได้ แต่พฤติกรรมก็ไม่ได้ต่างไปจากมารดาของตนนัก และลูกชายคนเล็กอย่าง "มินรภัทร" เขาอาศัยอยู่ในบ้านศิลาฤกษ์อย่างเงียบเชียบราวกับไม่มีตัวตน ถูกมองว่าเป็นทั้งกาฝากและตัวไร้ประโยชน์ของบ้าน ถึงจะเป็นลูกของเกริกชัยก็จริง แต่กลับไม่ได้รับแม้กระทั่งนามสกุลของผู้เป็นบิดา แสดงถึงความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด
ชีวิตของมินรภัทรไม่ต่างไปจากคนใช้ อาศัยอยู่ในห้องแคบๆ ไม่ได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับครอบครัวแถมยังต้องช่วยแม่บ้านทำงาน ตั้งแต่เขาเรียนจบมัธยมปลายเขาก็ถูกห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน ถูกห้ามแสดงตัวว่าเป็นคนในตระกูลศิลาฤกษ์ด้วยซ้ำ เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน ยิ่งเรื่องมหาลัยยิ่งแล้วใหญ่ เด็กน้อยเป็นคนหัวไม่ดี พ่อและแม่เลี้ยงจึงไม่อนุญาตให้เขาเรียน ตอนนี้เขาก็อายุสิบเก้าปีแล้ว มือสีขาวเรียวยาวตากผ้าอยู่ที่สวน ดวงตากลมโตมีท่าทีเศร้าสร้อยเมื่อเหลือบมองออกไปข้างนอกรั้วภายนอก เขาไม่ได้ออกจากบ้านมาเป็นปีแล้วนี่นะ
มินรภัทรทำหน้าที่ของตนจนเสร็จก็มีแม่บ้านคนหนึ่งวิ่งมาตามด้วยท่าทีเหนื่อยหอบ เขาจึงรีบไปโดยทันทีพร้อมกับความเเปลกใจ เพราะวันนี้เกริกชัยมีแขกมาที่บ้าน มินควรจะไสหัวไปให้ไกลที่สุดและพยายามไม่เพ่นพ่านเพื่อไม่ให้เกิดประเด็นและเป็นจุดสนใจ มันคือคำสั่งของเกริกชัยและภรรณีซึ่งตัวเขาเองไม่มีมางขัดอยู่แล้ว มินรภัทรเดินตามแม่บ้านเข้ามาในห้อง ข้างในนั้นเขาเจอพ่อของเขากำลังคุยกับใครบางคนอยู่ เขาใส่สูทสีดำดูน่าเกรงขาม มินรภัทรไม่กล้ามองหน้าเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอะไรบางอย่างที่หนักอึ้งและรู้สึกกดดัน
"คุณหัสดิน แม้มันจะกระทันหันไปหน่อย แต่นี่คือลูกชายของผมเองครับ"
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างฉงนใจ ทำไมล่ะ? ทั้งที่พยายามปกปิกเรื่องของเขามาตั้งสิบเก้าปีแท้ๆ ดวงตาสีดำขลับสั่นระริกเมื่อสบตากับคนร่างโต หัสดินได้จ้องมองเขาอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามา มินรีบหลุบสายตาลงต่ำเพราะกลัวว่าจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ นั่นเป็นความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้จากหัสดิน
"ผมคิดว่าคุณมีลูกสาวคนเดียวเสียอีกนะ ไม่เคยเห็นเด็กคนนี้ในงานสังคมมาก่อนเลย "
หัสดินพูดเหมือนยิ้มๆ แต่มีความเยือกเย็นเจือปนอยู่ ทำเอาเกริกชัยหัวเราะแห้ง แถมสภาพมินรภัทรตอนนี้สวมเสื้อตัวโคร่งสีซีดแถมเนื้อตัวเล็กลีบผอมแห้งเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน ดูยังไงก็ไม่เหมือนกับคุณหนูตระกูลศิลาฤกษ์เลยซักนิด
" เด็กคนนี้ค่อนข้างขี้อายและขี้โรคครับ เลยไม่อยากให้ออกไปใหน "
เป็นคำแก้ตัวหน้าด้านๆที่ทำให้คนได้ยินถึงกับน้ำตาคลอ รู้ว่าเขาขี้โรคทำไมถึงใช้งานเขาหนักกว่าทุกคนด้วย อีกอย่างเพราะเกริกชัยไม่ให้ออกจากบ้านแล้วเขาจะออกไปใหนได้ล่ะ เขาไม่มีแม้แต่โทรศัพท์ของตัวเองด้วยซ้ำ
"มิน สวัสดีคุณหัสดินสิลูก"
" ...สวัสดีครับ"
เด็กน้อยยกมือใหว้อย่างนอบน้อม ความกลัวได้เข้ามาครอบงำจิตใจ มินรภัทรมือสั่นเล็กน้อยจึงซ่อนมันไว้ด้านหลัง เขาคนนั้นไม่ได้ตอบ เอาแต่จ้องเขานิ่งๆ สายตาคู่นั้นมันไร้ซึ่งความอ่อนโยน
"..."
เด็กน้อยทำอะไรไม่ถูก เหลือบไปมองผู้เป็นพ่อที่ถลึงตาเขียวใส่ เขาถูกเกริกชัยจับวางแหมะบนโซฟาข้างกับหัสดิน คนเป็นพ่อหันมายิ้มให้คนพี่ เขาก้มหัวก่อนเดินจากไป เด็กน้อยได้แต่สงสัยยิ่งกว่าเดิม ทั้งที่จริงคนอย่างเกริกชัยเคยก้มหัวให้ใครที่ใหน เขาชอบวางกล้ามและทำตัวหยิ่งผยองเป็นกันแบบนี้ทั้งพ่อ แม่ และพี่สาว ประมวลจากสายตา หัสดินดูเด็กกว่าพ่อเขามาก การที่พ่อของเขาทำตัวนอบน้อมเช่นนี้ แสดงว่าร่างสูงที่เขาเผชิญอยู่ต้องมีอิทธิพลอยู่มากทีเดียว พอรู้แบบนั้นคนน้องยิ่งเกร็งขึ้นไปอีก
" พ่อรักแย่เลยสิ? เธอน่ะ"
หัสดินพูดขึ้นมาลอยๆอย่างประชดประชัน พลางลดสายตาลงมาที่คนตัวเล็ก มินรภัทรไม่ได้ตอบอะไรออกไป เอาแต่นั่งกุมมือตนเองเงียบๆ ไม่สู้อะไร แม้จะรู้สึกเจ็บแปลบๆที่กลางอกก็ตาม
"!!!"
มินรภัทรสะดุ้งเสียงหลงเมื่อถูกมือหนาหยาบกร้านเชยคางของตนขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาถือดีอย่างไรมาทำเช่นนี้! หัสดินพินิจพิจารณากรอบหน้ากลมกลึงรูปไข่ เด็กน้อยสะอื้นเพราะตื่นกลัวและพยายามปัดป้องแต่ก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ ภาพที่ปรากฏจึงเป็นมินรภัทรดินขลุกขลักในอ้อมแขนล่ำสันแทน
" คุณทำอะไร ..ปล่อยผมนะ!"
เด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ริมฝีปากบางที่แห้งผากดูสั่นนิดๆ หัสดินยิ้ม ในที่สุดคนตัวเล็กก็ยอมพูดกับเขาเสียที เขาพอใจเลยทีเดียว เพราะครั้งแรกที่เขาเห็นมินรภัทรตอนที่มาหาเกริกชัยครั้งก่อน เป็นภาพของเด็กหนุ่มตัวขาวจัดกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ที่สวน มินรภัทรจัดว่าอยู่ในหมวดหมู่คนหน้าตาดี แต่ก็ไม่ได้สวยขนาดที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกก็ต้องตกหลุมรัก ดูเรียบๆแต่มีสิ่งที่น่าดึงดูด เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทั้งที่เพิ่งเจอกันแต่เขาก็ลบภาพใบหน้าของมินรภัทรออกจากหัวไม่ได้เลย ทั้งกลิ่นหอมอ่อนๆที่สัมผัสได้จากร่างบางๆนี้ก็ทำเอาเขาแทบคลั่ง
จากที่เขาให้คนสืบมาแล้ว มินรภัทรเป็นลูกที่เกริกชัยไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เกิดมา ไม่มีใครรู้ว่าแม่ของเขาเป็นใครเพราะหาข้อมูลอะไรไม่ได้เลย อีกทั้งคนน้องยังถูกดูแลอย่างปล่อยปะละเลย การกลั่นแกล้งต่างๆนาๆ หัสดินจึงทำตามสัญชาติญาณตัวเองโดยการเอามินรภัทรมาอยู่ใกล้ๆตัว
"พ่อไม่ได้บอกอะไรเลยหรอ?"
"..อะไร?"
มินรภัทรถามทั้งน้ำตา เขากลัวมาก กลัวว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นความจริง เมือเห็นดวงตาสุกใสนั่นสั่นระริกเขาก็ยิ่งชอบใจ มุมปากกระจับยกยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้นมาสั้นๆ
" ถึงจะฟังดูใจร้ายไปหน่อย แต่เธอถูกขายให้ฉันแล้วล่ะ"
...****************...
^^^To be continued...^^^
มินรภัทรที่ได้ยินถึงกับทรุด เขารู้ว่าพ่อและครอบครัวเกลียดเขามาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำแบบนี้กับเขาได้ลงคอ เด็กน้อยส่ายหน้าเหมือนไม่ยอมรับ ก่อนที่น้ำตาเม็ดใสจะใหลพรากออกมาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้
"..ไม่จริง"
เรี่ยวแรงของเด็กน้อยอ่อนยวบอย่างสิ้นหวัง แต่พอตั้งสติได้เขาก็ปัดมือหัสดินออกและวิ่งหนีออกไป เกริกชัยที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็โมโหเลือดขึ้นหน้า ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งหนีไปไกล ผู้เป็นบิดาฉวยเอาคอเสื้อเจ้าตัวไว้ทัน มินรภัทรกระเด้งกระดอนกลับมาตามแรงเหวี่ยงจนแทบจะลมพับไปอีกด้าน สำหรับมินรภัทร เกริกชัยไม่เคยอ่อนโยนกับเขาเลย
" นี่เเกร้องไห้ทำไม แกทำเสียมารยาทกับคุณหัสดินรึเปล่า"
เกริกชัยถามเสียงเย็น มินรภัทรส่ายหน้าพลางยกมือไหว้ เขาร้องขอทั้งน้ำตา
" ฮือ.. มินขอร้อง มินยอมทำตามที่พ่อสั่งทุกอย่าง... อย่าขายมินเลยนะ.."
คนตัวเล็กเฝ้าวิงวอน เกาะที่ขากางเกงของผู้เป็นพ่อจนเปียกชื้น เกริกชัยที่ได้ยินดังนั้นเขาโมโหมากจึงเตะมินรภัทรออกราวกับว่าเขาเป็นสัตว์น่ารังเกียจ
" ใครให้แกเรียกฉันว่าพ่อ! ขืนพูดอีกคำเดียวฉันจะตบให้คว่ำ "
เสียงโอดครวญของมินรภัทรดังขึ้นเรื่อยๆจนหัสดินได้ยิน เขามองหน้าการ์ดสองคนที่ติดตามเข้ามาให้ไปดูหน่อยว่าข้างนอกมีอะไร เมื่อทั้งสองเห็นว่าเกริกชัยกำลังทำร้ายคนของเจ้านายตัวเอง พวกเขาจึงเข้าประชิดตัวทันที
ชายชุดดำทั้งสองเข้ามาแยกตัวมินรภัทรกับเกริกชัยออกจากกัน หนึ่งในนั้นพยุงตัวมินรภัทรขึ้นอย่างแผ่วเบา เขาสัมผัสได้ถึงความเปราะบางของร่างเล็ก ราวกับว่าถ้าทำรุณแรงกว่านี้ มินรภัทรอาจแตกเป็นเสี่ยงๆ
" คุณเกริกชัย คุณมินรภัทรจะกลายเป็นหนึ่งในคนของคุณหัสดิน ดังนั้นคุณไม่มีสิทธิมาแตะต้องหรือล่วงเกินเขา " การ์ดร่างสูงใหญ่เขาพูดเสียงเย็น
" แล้วจะเอายังไง! ก็มันไม่ยอมฉันก็แค่สั่งสอนก็เท่านั้น"
" คุณเกริกชัย เมื่อกี้คุณขึ้น 'มัน' กับใครนะ ? "
บานประตูถูกผลักออก ใบหน้าหล่อคมลูกครึ่ง ร่างสูงใหญ่เดินออกมาพร้อมกับเปล่งเสียงแสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน ทำเอาเกริกชัยกลัวจนหัวหด
" คะ ครับ.. เด็กนี่ค่อนข้างดื้อน่ะครับ ผมแค่สั่งสอนตามประสาพ่อเท่านั้นเอง"
" ผมสอนได้ สอนเด็กมันไม่ใช่เรื่องยากอะไร คุณไม่ต้องห่วงหรอก.."
"แต่ว่าเด็กนี่ค่อนข้าง.."
" **คุณเอาเวลาไปสนใจกับเงินหนึ่งร้ายห้าสิบล้านที่ผมให้ไปดีกว่านะ อย่าทำให้มันสูญเปล่าเหมือนครั้งก่อนๆ เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะช่วยคุณ**"
เกริกชัยอึกอักพูดไม่ออก ดวงตาของหัสดินแพรวพราวขึ้นมาพร้อมกับริมฝีปากหยักลึกที่ยกสูงขึ้น เขาลดสายตาลงต่ำจ้องคนร่างเล็กที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ไม่สุข คนพี่เองก็อดไม่ได้ที่จะเอามือไปไล้สันกรามบอบบางของมินรภัทรเล่น
" พรุ่งนี้ เวลาเดิม เตรียมตัวให้เรียบร้อย แล้วฉันจะมารับ"
หัสดินพูดก่อนที่แผ่นหลังของเขาจะหายวับไป มินรภัทรร้องไห้เหมือนคนบ้า เขาไม่อยากไป หัสดินเป็นคนแปลกหน้าและดูร้ายกาจยิ่งกว่าครอบครัวของเขาร้อยเท่า เด็กน้อยกอดเข่าขอร้องวิงวอนผู้ที่เป็นพ่ออีกครั้ง จนตอนนี้เขาถูกเตะกระเด็ดจริงๆ แต่ก็ยังไม่ย่อท้อ ไม่ว่าจะถูกตบถูกตีแค่ใหน มือน้อยๆของเขาก็กอบกุมขากางเกงของเกริกชัยแน่นไม่ยอมปล่อย เป็นภาพที่บีบหัวใจสำหรับเหล่าแม่บ้านที่เดินผ่านมาเห็นจริงๆ..
" เอาน่ามิน.. มินน้องพี่ คิดในแง่ดีถือว่าทำเพื่อครอบครัวของเรานะ เดี๋ยวพอเขาเบื่อ เค้าก็ทิ้งเธอเองนั่นแหละ.."
เมธาวีที่เพิ่งเดินลงจากห้องและเข้ามาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี เธอกล่าวเหมือนเป็นห่วง แต่ที่จริงก็แอบสะใจอยู่เหมือนกัน หล่อนได้ยินมาว่าหัสดินเป็นคนโหดร้ายและแข็งกระด้างแถมยังมีพื้นหลังที่น่ากลัว การที่มินรภัทรต้องตกอยู่ในกำมือของเขาไม่ต่างไปจากนรกบนดิน มันเป็นความสุขของเธออย่างหนึ่ง
" ไป! เอามันไปขังไว้ในห้องจนกว่าจะถึงพรุ่งนี้! อย่าให้หนีออกไปได้" เกริกชัยพูดตัดบท
" พ่อ!! ผมขอร้อง.. "
" **หยุดได้เเล้ว! จำใส่กะโหลกเอาไว้เลยนะ ถ้าแกยังไม่หุบปาก แกจะตายด้วยน้ำมือฉัน! ไม่ใช่ไอ้หัสดิน**!"
เสียงกรีดร้องที่สิ้นหวัง ก่อนที่มินรภัทรจะถูกลากตัวไป ร่างกายของเขาฟกช้ำและอ่อนแรงจนไร้ทางขัดขืน ประตูห้องเล็กๆที่เขาอาศัยอยู่นั้นถูกล็อกจากข้างนอก ไม่ว่ามินรภัทรจะร้องให้ขอให้คนช่วยเพียงใด พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยได้ เนื้อตัวขาวจัดเริ่มหมดแรงและผลอยหลับไปทั้งน้ำตา
ในที่สุดรุ่งสางก็มาถึง มินรภัทรถูกจับอาบน้ำตั้งแต่เช้าตรู่ เขารู้สึกหนาวเหมือนจะมีไข้ แต่สิ่งที่น่าตกใจมากกว่านั้นก็คือรอยฟกช้ำตามเรือนร่างบอบบาง ทำเอาเหล่าแม่บ้านตกใจกลัว เกริกชัยทำกับลูกตัวเองได้ขนาดนี้เลยหรือ ?
" ไม่เป็นไร..ผมทำเองได้"
เสียงของเขาแหบแห้งและอ่อนแรง ริ้วมือเรียวสั่นระริกค่อยๆวักน้ำในอ่างขึ้นมาลูบตัว ดวงตาของเด็กน้อยบอบช้ำเนื่องจากการร้องไห้อย่างหนัก ริมฝีปากที่เคยเป็นกระจับสวยบัดนี้แห้งผากและเป็นแผล มินรภัทรตอนนี้ดูน่าสงสารจับใจ แต่พวกเธอก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อเด็กน้อยยืนยันว่าจะทำเอง
ข้าวของของมินรภัทรไม่ได้มีอะไรมากมาย ที่พวกแม่บ้านช่วยกันเก็บให้ ส่วนใหญ่จะเป็นสมุดวาดรูป เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นและจำพวกเอกสารประจำตัว มันน้อยจนสามารถยัดทั้งหมดลงในกระเป๋าขนาดกลางเพียงหนึ่งใบ
" คุณภรรณีรออยู่ที่หน้าประตูน่ะ รีบไปหาท่านซะนะ"
" ..ครับ"
ร่างบางเดินโซซัดโซเซ ดีที่มีคนช่วยพยุง หญิงสาววัยกลางคนที่แม้จะอายุเยอะแต่ก็แสดงให้เห็นว่าเมื่อตอนยังสาวเธอสวยขนาดใหน ภรรณี ศิลาฤกษ์ ผู้เป็นแม่เลี้ยงของมินรภัทร เธอยืนต้อนรับพวกชายชุดดำที่มารับคนตัวเล็กอย่างนอบน้อม
" มะ มาแล้วค่ะ เด็กคนนี้ชักช้า ถึงจะอืดอาดยืดยาดน่ารำคาญอยู่บ้างแต่ก็เป็นเด็กดีนะคะ"
ภรรณีหัวเราะแห้งๆ พลางถลึงตาใส่คนน้อง มินรภัทรหน้ามืดเต็มทน เขาตัวร้อนมากจึงล้มพับลงต่อหน้าต่อตา ทำเอาคนที่อยู่ในบริเวณนั้นรวมถึงคนของหัสดินทำอะไรไม่ถูก การ์ดคนสนิทของหัสดินจึงพุ่งไปฉวยร่างมินรภัทรขึ้นมา ดวงตาของเด็กน้อยเลื่อนลอยไร้สติ ใบหน้าซีดเผือดแถมมีรอยช้ำเต็มไปหมด ตัวของเขาร้อนดั่งไฟสุม คนของหัสดินหัวเสียแทนเจ้านายของตนเอง
" นี่มันหมายความว่ายังไง ? ไม่ได้ยินที่เจ้านายผมสั่งหรอว่าห้ามแตะต้องเขา! "
เขาคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด มินรภัทรตัวเล็กนิดเดียว สภาพอ่อนแรงขนาดนี้คงไม่ได้กินข้าวแน่ๆ เป็นครอบครัวที่ใจจืดใจดำจริงๆ
" ก็มันไม่ยอมนี่! จะให้พวกฉันทำยังไง!" ภรรณีปรี้ดแตก บวกกับโมโหที่เหล่าชายชุดดำไม่เคารพเธอเลย
" ผมไม่รับประกันว่าพวกคุณจะต้องเจอกับอะไร แต่ขอให้ระวังตัวไว้เลย "
"..."
" นี่คือคำสั่งของคุณหัสดิน ในเมื่อพวกคุณยกเขาและแลกกับเงินหนึ่งร้อยห้าสิบล้านก็เท่ากับว่า คุณมินรภัทรไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกคุณอีก"
"..."
เขาพูดเสียงแข็งและดังกึกก้องจนพรรณีไม่สามารถอ้าปากพูดได้เลยแม้แต่คำเดียว
"และสิทธิโดยชอบธรรมในตัวของคุณมินรภัทรก็ตกเป็นของคุณหัสดินแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน ดังข้อตกลงในเอกสารที่ลงนามกันไว้นะครับ"
สิ้นคำพูด เขารีบพามินรภัทรขึ้นรถและรีบบึ่งออกไปโดยที่ไม่เหลียวหลังกลับมามองเลยสักนิด ภรรณีที่โดนฉีกหน้าจนแหลกเป็นชิ้นๆแทบจะยืนไม่อยู่
ตัดภาพมาที่รถสีดำคันหรู คนสนิทของหัสดินต่อสายถึงเจ้านายโดยตรงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนตัวเล็ก หัสดินที่ได้ยินก็เลือดขึ้นหน้า นี่เกริกชัยกล้าขัดคำสั่งเขาหรือ เขาโมโห แต่เป็นห่วงมินรภัทรมากกว่า
" ตอนนี้ยังพาคุณมินรภัทรกลับไปที่คฤหาสน์ไม่ได้ครับนาย ผมคิดว่าต้องไปที่โรงพยาบาลก่อน"
" เอาตามที่สมควรเถอะ อีกสิบนาทีฉันจะตามไป"
^^^To be continued...^^^
มินรภัทรถูกส่งตัวมาที่โรงพยาบาล เมื่อเจอเตียงนุ่มๆ อาการอ่อนล้าเข้าครอบงำจนเขาผลอยหลับไป จากคำให้การของคณะหมอพยาบาล คนตัวเล็กไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง มินรภัทรแค่เครียดบวกกับพักผ่อนไม่เพียงพอ กระดูกและอวัยวะภายในปลอดภัย มีเพียงแค่รอยฟกช้ำตามร่างกายเท่านั้น หากฟื้นขึ้นมารับยาแล้วก็สามารถกลับบ้านได้
แต่ถ้าว่าตามที่หมอพูด ดูเหมือนเจ้าตัวจะเป็นโรคขาดสารอาหารร่วมด้วย ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลย เขาผอมตั้งขนาดนั้น
เวลาผ่านไปชั่วโมงครึ่ง แพขนตาหนาเริ่มกระดุกกระดิก ดวงตากลมโตกระพริบปริบๆ แขนทั้งสองค่อยๆยันตัวเองเพื่อลุกขึ้นนั่ง มินรภัทรรู้สึกร้าวไปทั่วทั้งร่าง เขากวาดสายตาไปทั่วห้อง พบว่ามีใครบางคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจที่โซฟา
"คุณ.."
เพียงคำพูดสั้นๆที่หลุดจากปาก หัสดินเงยหน้าขึ้นและพับปิดหนังสือพิมพ์ มินรภัทรสะดุ้งตัวโยนเมื่อเขาสืบเท้าเข้ามาใกล้ ร่างบางถอยกรูดจนติดกำแพงอีกด้าน เขาไม่กล้าสบตากับหัสดินด้วยซ้ำ
" อย่า.. อย่านะ! "
เด็กน้อยร้องเสียงหลงเมื่อถูกรั้งตัวเข้าหา หัสดินล็อคต้นแขนของคนตัวเล็กไว้แน่น มินรภัทรกลัวจนตัวสั่น แต่เขาก็พยายามเก็บกลั้นเอาไว้ เขาช่างไม่รู้อะไรเลยว่าความกลัวของเขามันส่อออกมาทางแววตาหมดแล้ว
" เงยหน้า แล้วมองฉัน"
" ..ปล่อยผมนะ"
" ฉันบอกให้เงยหน้าขึ้น แล้วมองฉัน "
หัสดินพูดเสียงเย็น มินรภัทรจึงจำใจช้อนสายตาขึ้น แต่ลมหายใจต้องสะดุด เมื่อทั้งคู่สบตากัน ดวงตากลมโตหวาดสั่น ล่อกแล่กไปมา คนตัวเล็กยอมอยู่เฉยๆและทำตามที่เขาสั่ง มันทำให้คนตัวโตพอใจ หัสดินจึงปล่อยน้องให้เป็นอิสระ
" ดี ตอนคุยกัน หรือคุยกับใครก็ตาม ต้องสบตาผู้พูด เข้าใจมั้ย ? "
มินรภัทรไม่ได้ตอบ เพียงแต่พยักหน้าเบาๆ
" คุณหัสดิน.."
เด็กน้อยพูดขึ้นเบาๆ เขารวบรวมความกล้าและจ้องเข้าไปในดวงตาของคนพี่ที่รอฟัง
" จะให้ผมได้กลับบ้านมั้ยครับ"
ดวงตาของมินรภัทรเศร้าสร้อย และเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ หัสดินที่ได้ยินเขารู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด
"โดนซ้อมจนจะตายอยู่แล้ว จะกลับตายคามือเกริกชัยมันรึไง? "
" ผมจะโดนอะไร..อย่างน้อยมันก็เจ็บที่ตัวผม"
" ปากดีนักนะ"
หมือหนาหยาบกร้านฉวยรั้งที่สันกรามของคนตัวเล็ก คนน้องสะดุ้งเฮือกและร้องโอดโอยเมื่อเขาออกแรงบีบ พวงแก้มนุ่มนิ่มถูกนิ้วโป้งหน้าไล้ลูบไปมา
" เลิกโง่ได้แล้ว ครอบครัวแบบนั้น ตัดๆไปซะเถอะ"
"..ฮึก ผมไม่มีอะไรที่คุณต้องการหรอก ปล่อยผมไปเถอะ"
มินรภัทรเลี่ยงที่จะฟังคำของหัสดิน เขาเลือกที่จะอ้อนวอน แม้รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ได้ผล
"แน่ใจหรอ ? "
น้ำเสียงของมินรภัทรสั่นเครือ ดวงตาสุกใสเริ่มแดงช้ำ คลอด้วยม่านน้ำตาบางๆ หากโดนดุเข้าสักหน่อย มันคงหยดใหลลงมาอาบแก้มเป็นแน่ หัสดินยกยิ้ม เขายื่นหน้าเข้าไปใกล้คนตัวเล็ก มินรภัทรหลับตาหยี๋และเบี่ยงตัวหลบ
"อย่าคิดเองเออเองสิ รู้ได้ยังไงว่าเธอไม่มีสิ่งที่ฉันต้องการ "
"..."
หัสดินทาบแขนทั้งสองข้างลงกับฟูกเตียง ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันมากจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ เด็กน้อยพยายามดันออกแต่สู้แรงไม่ใหวเลยได้แต่เบี่ยงหน้าหลบ
ต้นคอระหงษ์และผิวนวลเนียนดุจน้ำนมเผยให้เห็นเด่นชัด ลาดไหล่ของมินรภัทรเล็กบางน่าถนุถนอม ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่สวยงามยวนตา แต่สิ่งที่ทำให้หัสดินคลั่งได้นั่นคือกลิ่นหอมอ่อนๆจากเนื้อตัวขาวจัดนี่ต่างหาก
ระหว่างที่คนตัวเล็กสั่นกลัว หัสดินถอนหายใจหยิบเสื้อคลุมที่พาดไว้ขึ้นมาคลุมตัวน้องไว้ เนื่องจากชุดของโรงพยาบาลค่อนข้างบางและหลวมโครก มันไม่พอดีตัว หรือว่ามินรภัทรตัวเล็กมากกันแน่ และดูเหมือนจะเป็นอย่างหลัง
" อย่างที่ฉันพูด ไม่ได้ให้เธอมาอยู่ฟรีๆหรอก"
"..."
" ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันจะรอหน้าห้อง"
หัสดินพูดทิ้งท้ายก่อนที่หันหลังให้ มินรภัทรแม้จะไม่อยากไป แต่คนพี่น่ากลัวมากเวลาเสียงดัง แถมยังตัวใหญ่ เด็กน้อยจึงยอมเปิดกระเป๋าค้นเสื้อผ้าที่พอใส่ได้แบบไม่อุจาดตา
" คุณหัสดิน คุณค้นกระเป๋าผมหรอ "
มินรภัทรพูดขึ้นอย่างหัวเสีย เสื้อผ้าของเขาหายไปหมด ถึงจะมีไม่กี่ตัวก็เถอะ ทำแบบนี้มันเกินไปแล้ว!
" ใช่ ส่วนเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยน ฉันแขวนไว้ที่ห้องอาบน้ำ "
ความจริงกระเป๋าของมินรภัทรถูกค้นอยู่ก่อนแล้ว ที่เขาคิดอาจเป็นเพราะคนของหัสดินพยายามหาเอกสารประจำตัวของน้องเพื่อส่งให้แพทย์ แต่หัสดินเห็นว่ากระเป๋ามันเปิดอยู่และเสื้อผ้าพวกนั้นมันเผยอออกมา เขารับไม่ได้และรู้สึกหงุดหงิดที่เห็นชุดเก่าสีซีดๆพวกนั้น
" นั่นสำหรับฉันมันไม่ใช่เสื้อผ้า มันเป็นผ้าขี้ริ้ว "
" แต่มันเป็นของๆผมนะ คุณมีสิทธิอะไรมาทิ้งของคนอื่นตามใจชอบ"
ดวงตาของมินรภัทรแดงเรื่อ แต่เพราะพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้มันจึงไม่ใหลออกมา หัสดินยังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกจากประตูและหันกลับมาพูดเสียงแข็งอีกครั้ง
" มีสิ ฉันมีสิทธิในตัวเธอทุกอย่าง "
ดวงตาสีดำทะมึนของเขาดูกดดันและน่าอึดอัด มินนภัทรน้ำตาใหลโดยไม่รู้ตัว เด็กน้อยหลบตา ไม่อยากจ้องมองเขาอีกแล้ว
" ฉันไม่ชอบให้ใครขัดคำสั่ง คำสั่งของฉันคือคำขาด!"
" ฮึก..ฮือ "
" ไปเปลี่ยนชุด ฉันให้เวลาเธอห้านาที"
หัสดินพูดเสียงเย็น แต่พอตั้งสติได้ว่าเผลอตะคอกใส่น้องไป คนพี่สูดหายใจเข้าเพื่อที่จะทำให้ตัวเองใจเย็นขึ้นพลางชี้นิ้วไปที่ห้องน้ำ เขาลากสายตามามองคนตัวเล็กอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไป
...มินรภัทรช่างไม่รู้อะไรจริงๆ แบบนี้ไงเขาถึงปวดหัวกับพวกเด็กๆ...
หยดน้ำใสใหลออกมาจากดวงตาช้ำเรื่อ มินรภัทรสะอื้นแต่ก็พยายามไม่ให้มีเสียงเร็ดรอดให้ใครได้ยิน เขายันตัวลุกขึ้นและเปลี่ยนชุดตามที่หัสดินสั่ง
ไม่นานนักมินรภัทรออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม สไตล์ที่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ชอบใส่กัน แม้จะเป็นเสื้อคอกลมธรรมดาๆ แต่พอมินรภัทรได้ใส่อะไรที่มันสีสดใสก็ทำให้คนมองดูสดชื่นขึ้น
" คุณมินรภัทร กระเป๋านั่นให้ผมถือเถอะ"
ชายร่างใหญ่ที่ดูเหมือนจะเป็นคนสนิทของหัสดิน ยื่นมือเข้ามารับกระเป๋าอย่างนอบน้อม มินรภัทรทำตัวไม่ถูก เพราะตนเป็นฝ่ายที่รับใช้คนอื่นมาตลอด
" ไม่เป็นไรครับ ผมถือเองได้"
มินรภัทรพูดจบประโยคไปได้แค่วินาทีเดียว หัสดินฉวยกระเป๋าจากมือเล็กๆ และโยนไปให้ลูกน้องอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยอึ้ง อ้าปากพะงาบๆ เขาอยากจะด่า แม้จะโกรธหัสดิน แต่มินรภัทรกลัวเขามากกว่า
หัสดินไม่พูดอะไร เขาฉวยมือของมินรภัทรและจูงออกมา เด็กน้อยกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ขาของหัสดินยาว ยิ่งเขาก้าวฉับๆแบบนี้มินรภัทรแทบจะสะดุดหน้าทิ่มพื้น ถึงกระนั้นคนพี่ก็ไม่ได้ฉุดกระชากรุณแรง คงจะมีความใส่ใจอยู่บ้างเพราะร่างกายของคนตัวเล็กบอบช้ำอยู่
"ผมเดินเองได้ ดังนั้นปล่อยผมเถอะ"
มินรภัทรกิ่งวิ่งกึ่งเดินพยายามยื้อแขนของตนเองไปมา เขาไม่ชอบหัสดินเลยจริงๆ คนพี่เหลือบสายตามามองเล็กน้อย เห็นว่าน้องเหนือยหอบและหน้าแดงจัดเขาจึงยอมทำตามคำขอ ฝามือหนาปล่อยข้อมือเล็กบางให้เป็นอิสระ ด้วยดวงตาใสซื่อ หัสดินเชื่อหมดใจว่าน้องจะไม่ตุกติก แต่แล้วเขาก็คิดผิด
" **มินรภัทร**!! "
หัสดินหันหลังให้ไม่ถึงวินาที คนตัวเล็กวิ่งจ้ำสุดแรงเกิดหวังว่าจะหนีให้พ้น คนน้องวิ่งกลับเข้าไปในโรงพยาบาล ความจริงมินรภัทรจะวิ่งออกไปที่ถนนใหญ่แต่คงไม่รอดแน่ รถวิ่งกันชุกชุมแถมไฟยังเขียวอยู่ พวกการ์ดสังเกตุถึงความผิดปกติจึงวิ่งตามเขาเข้าไป
" **แสบนักนะ จับมาให้ได้**!"
^^^To be continued...^^^
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!