NovelToon NovelToon

เรื่องเล่า เรื่องหลอน

ใครในห้อง??

สวัดดีค่ะ ฉันชื่อนิษฐา วันนี้ฉันจะเล่าประสบการณ์ชวนขนหัวลุกให้ฟัง ตอนนั้นฉันอายุ 15-16 พอจบมัธยมปลาย ก็ได้มาเรียนต่อในกรุงเทพฯ

ช่วงแรกๆฉันยังพักอยู่กับน้าสาวในบ้านเช้าหลังเล็กๆซึ่งมีเพียงหนึ่งห้องนอนเท่านั้น แต่ฉันกับน้าสนิทกันมาก จึงไม่ได้ติดอะไร แต่พอมีน้าเขยย้ายเขามา ฉันจึงต้องจำใจย้ายออกมา

ถึงอย่างนั้นน้าทั้งสองก็พาฉันตะเวนหาห้องเช่าที่นักศึกษาพอเช่าได้อยู่หลายเเห่ง จนมาพบกับที่ๆหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านหลังใหญ่ แบ่งห้องให้เช่าเหมือนคอนโด

และอีกอย่างที่นี้ยังรับเฉพาะผู้หญิง เนื่องจากคนที่ดูแลที่นี้เป็นหญิงมีอายุมากแล้ว จึงกลัวว่าถ้ารับผู้ชายเขามาอาจจะดูแลได้ไม่ทั่วถึง หรืออาจจะสร้างปัญหาตามประสาวัยรุ่นที่คึกคะนอง

ภายในบ้านมีห้องพักมี 5 ห้อง ชั้นบนมี 3 ห้อง ชั้นล่างมี 2 ห้อง และมีห้องโถงขนาดใหญ่ ในตัวบ้านมีห้องน้ำ 3 ห้อง ซึ่งเพียงพอสำหรับผู้เช่า 5 คน ซึ่งหญิงเจ้าของบ้าน ภายหลังฉันรู้จักกับเจ้าของบ้านมากขึ้น ป้าเขาชื่อป้าแช่ม ป้าเขาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็ก ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านหลังนี้ไป

และในตอนนั้นมีห้องว่างอยู่ 1 ห้องพอดี ซึ่งเป็นชั้นล่าง มีหน้าต่างเล็กๆที่สามารถมองเห็นสวนดอกไม้ที่ป้านุ้ยปลูกได้ ฉันกับน้าๆถูกใจที่นี้มาก และเมื่อถามราคาก็พบว่าไม่ได้แพงเหมือนหลังอื่นๆ น้าเขยจึงสงสัยว่าทำไมราคาเช่าที่นี้ถูกกว่าที่อื่นมากนัก พอป้าแช่มบอกว่าเห็นใจนักศึกษาที่มาพัก จึงตกลงเช่าที่นี้ทันที

ทุกอย่างปกติดี ไม่มีอะไรผิดสังเกต เพื่อนรวมบ้านฉันก็พอรู้จัก ซึ่งทั้ง 4 มีอายุมากกว่าฉัน พี่ฟ้า และ พี่น้ำตาล เป็นนักศึกษามหาลัยเดียวกันกับฉัน พี่อิง ทำงานพิเศษจึงเรียนภาคค่ำ ส่วนพี่หยกทำงานแล้ว ทุกคนดีกับฉันมากๆ แต่ส่วนใหญ่เราก็มีเวลาไม่ค่อยตรงกัน จึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันเท่าไหร่

ต่อมาฉันพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างแปลกไป มีวันหนึ่งที่ฉันต้องทำรายงานจนดึก และฟุบหลับคากองรายงาน ฉันจำได้ว่าเหนื่อยจนไม่มีแรงลุกขึ้นไปปิดไฟเลยแม้แต่น้อย

แต่พอฉันตื่นขึ้นมา กลับพบว่าไฟถูกปิดเอาไว้ และกองรายงานที่กระจัดกระจาย กลับเป็นระเบียบขึ้นมาซะอย่างนั้น!(?)

จะว่าป้าแช่มก็คงไม่น่าใช่ เพราะว่าป้าแช่มไม่เคยมายุ่งกับห้องของเราเลย

วันนั้นฉันจึงคิดเข้าข้างตัวเองว่า ตอนที่ฉันยังสะลึมสะลือและลงเหลือสติอยู่บ้าง ฉันคงจะเก็บทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และลุกขึ้นไปปิดไฟก่อนเข้านอน

เพราะปกติแล้วฉันเป็นคนเจ้าระเบียบมาก ติดนิสัยนี้มาจากแม่ที่เป็นครู แต่พอแยกออกมาอยู่คนเดียวนานๆเข้า ไม่มีคนคอยบ่นคอยเตือน ความเป็นระเบียบฉันก็ค่อยๆลดลง

ห้องของฉันเริ่มรกขึ้นทุกวันๆบ่อยครั้งที่ฉันหาของที่ต้องการไม่เจอ จำไม่ได้ว่าเอาว่างไว้ที่ไหน ครั้งนึงฉันกำลังทบทวนบทเรียน แล้วจำเป็นต้องใช้ปากกาไฮไลท์มาขีดส่วนสำคัญเอาไว้ เหมือนที่เคยทำอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้ฉันหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

"เอ๊ะ ฉันเอาไปเก็บไว้ที่ไหนนะ"

แล้วพอฉันหาในลิ้นชักแล้วไม่มีจึงเงยหน้าขึ้นมา กลับพบปากกาสีนีออนสะท้อนแสงวางอยู่บนโต๊ะ!(?)

สีปากกามันค่อนข้างที่จะสะดุดตามาก และเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะมองไม่เห็นในตอนแรก!

เรื่องแปลกๆแบบนี้เริ่มเกิดขึ้นกับฉันอยู่บ่อยๆ จนมันเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว พอย้อนกลับไปคิดว่าทำไมไม่นึกเอะใจหรือสงสัยบ้างหรอ ทั้งๆที่เรื่องแบบนี้มันไม่น่าเกิดขึ้นได้เลยสักนิด

อย่างเรื่องที่ห้องฉันรก แล้วอยู่ๆก็ถูกจัดให้เป็นระเบียบขึ้นมาซะดื้อๆ โดยฉันยังจำไม่ได้เลยว่าเก็บห้องไปเมื่อไหร่ หรือพอหาของชินนั้นไม่เจอ ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าซะอย่างนั้น

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันไม่สบาย แล้วพอลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามีผ้าชุบน้ำโปะอยู่ที่หน้าผาก และมีผ้าห่มคลุมตัวอยู่ แต่ฉันก็คิดว่าป้าแช่มคงรู้ว่าฉันไม่สบายเลยขึ้นมาดู

...และเรื่องที่เหลือเชื่อกว่าก็เกิดขึ้น...

คืนนั้นฉันกลับบ้านค่อนข้างดึกเพราะทำกิจกรรมกับทางมหาลัย เนื่องจากจะมีการจัดนิทรรศการ ฉันและเพื่อนๆจึงอยู่กันจัดบอร์ด และเช็คความพร้อมของสถานที่ก่อนที่งานจะเริ่ม

ฉันกลับมาถึงบ้านราวๆห้าทุ่ม เมื่อมาถึงหน้าห้องฉัน ปรากฏว่าลูกบิดประตูไม่ได้ล็อค และหน้าต่างถูกเปิดแง้มๆอยู่ ทั้งๆที่ฉันเช็คแล้วเช็คอีกก่อนออกจากบ้าน ว่าประตูหน้าต่างถูกล็อคหมดเรียบร้อยแล้ว

"หรือว่าขโมยจะเข้าห้อง!!"

ฉันพูดเบาๆก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆห้อง แต่ไม่เห็นมีสิ่งผิกปกติ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คยังอยู่บนโต๊ะ ไม่มีใครอยู่ในห้อง ข้าวของไม่ได้ถูกรื้อ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ฉันก็ไม่วางใจ จึงรีบไปประตูเสื้อผ้าที่เก็บของมีค่าไว้ในนั้นสมุดบัญชีธนาคาร บัตรเอทีเอ็ม และเงิน ที่เตรียมไว้เป็นค่าเช่าห้องและค่าใช้จ่ายยังอยู่ ทำให้ฉันโล่งใจขึ้นมา แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่ามีใครเข้ามาในห้อง

ฉันจึงรีบตัดสินใจจะไปถามพี่ๆ แต่พี่อิงที่ชั้นล่างเหมือนกันกับฉันยังไม่กลับมาจากการเรียนภาคค่ำ ส่วนพี่ฟ้ากับพี่น้ำตาลไปต่างจังหวัด ฉันจึงลองขึ้นไปเคาะประตูห้องพี่หยกดู แต่กับไม่มีเสียงตอบรับและประตูก็ถูกล็อค

"ถ้าพี่หยกไม่อยู่ งั้นเราก็...."

อยู่คนเดียวในบ้านนะสิ!! ฉันเริ่มวิตกกังวล และกลัว ทำให้ฉันนึกย้อนในเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา หรือบ้านหลังนี้จะมีบางสิ่งที่มองไม่เห็น!!

📲Rrrrrrr

จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น ฉันพอได้สติดังนั้นจึงรีบวิ่งลงบันได เผื่อว่าจะเป็นสายของเพื่อน ฉันจะได้ขอให้มาอยู่เป็นเพื่อน หรือไม่ก็ขอไปอยู่กับเขาซะเอง

แต่พอลงมาได้ถึงขั้นสุดท้าย ความรู้สึกฉันก็ดับวูบลง พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่เงียบไป

พอฉันรู้สึกตัวอีกที ก็พบว่าตนเองได้มานอนที่โรงพยาบาลแล้ว และมีผ้าพันแผลอยู่รอบหัวฉัน ข้างๆฉันมีน้าสาวและป้าแช่มคอยเฝ้าฉันอยู่ ฉันไม่รู้ว่าหลังจากที่ลงบันไดมาแล้ว แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น

และเรื่องแปลกๆที่ฉันเจอดูเฉยๆไปเลยหลังจากที่ฉันได้ฟังในสิ่งที่ป้าแช่มเล่าให้ฉันฟัง

ป้าแช่มเล่าให้ฟังว่าได้ยินเสียงโครมครามและสิ่งของหนักๆล้มหลายครั้ง และเสียงคนร้องขอความช่วยเหลือ ดังออกมาจากในบ้าน เป็นเสียงที่ฟังแล้วแทบไม่รู้ภาษาว่าเจ้าของเสียงจะพูดอะไร แต่ที่แน่ๆเป็นเสียงของผู้ชาย ที่กำลังร้องตะโกนร้องด้วยความกลัว และต้องการหนีจากบางสิ่งบางอย่าง

ในตอนนั้นป้าแช่มรีบโทรหาตำรวจ และเพื่อนบ้านในระแวกนั้นที่ได้ยินเสียงก็พากันออกมาดู หลายคนที่ไม้ท่อนใหญ่ๆออกมาด้วย เผื่อมีการต่อสู้จะได้ช่วยกันได้ทัน

เมื่อตำรวจมาถึง ป้าแช่มรีบชี้ทางไปยังจุดที่ได้ยินเสียง ซึ่งก็คือห้องของฉัน และเมื่อเข้าไปในห้อง ทุกคนต่างก็ต้องพบว่าเปิดประตูห้องไม่ได้และพอช่วยกันออกแรง ก็พบว่ามีโต๊ะเขียนหนังสือซึ่งเป็นไม้เก่าแก่มีอายุขนาดใหญ่มาขวางประตูห้อง และหน้าต่างก็มีตู้ใบใหญ่ซึ่งเดิมอยู่ที่ผนังอีกด้านพิงอยู่ เหมือนไม่ต้องการให้คนในห้องออกไปได้

และก็มีร่างของฉันที่นอนจมกองเลือดไม่ได้สติ อยู่กลางห้อง และที่มุมห้องมีวัยรุ่นเอามือปิดหน้า นั่งตัวสั่นตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมกับพึมพำอยู่คำเดียวว่ากลัวแล้วๆ

ตำรวจรีบเรียกรถพยาบาลมารับฉันและทำการสอบสวนวัยรุ่นคนนั้น ซึ่งในตอนแรกพูดจาไม่รู้เรื่อง พูดได้แต่คำว่าช่วยด้วยๆกลัวแล้วๆ แต่พอพาตัวออกมานั่งสงบสติอารมณ์ชายวัยรุ่นคนนั้นก็เล่าเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่เกิดขึ้นในห้องนั้นให้ฟัง

เขาได้เล่าว่าเขาเป็นวัยรุ่นติดยา คืนที่เกิดเหตุได้ผ่านมาที่บ้านหลังนี้ เขาเห็นว่าบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ จึงได้ทำการเข้ามาทางหน้าต่าง จึงคิดจะเข้ามาขโมยของ เขาได้เขามาในห้องของฉัน และได้ทำการรื้อค้นตู้หรือโต๊ะ และเปิดลิ้นชักต่างๆ แต่ไม่พบของมีค่าใดๆ จึงออกไปหาห้องอื่นต่อ ฉันนึกถึงสมุดบัชชี บัตรเอทีเอ็ม และเงินที่อยู่ในตู้ที่อยู่ครบ หรือว่าจะมีอะไรบังตาไม่ให้เขาหาเจอ

ในจังหวะที่เขาได้ของมีค่าจากห้องพี่อิง และกำลังหลบหนี เขาก็ดันเห็นฉันซะก่อน ด้วยความตกใจเขาก็ได้จับตัวฉันเอาศีรษะกระแทกกับราวบันไดอย่างจังจนฉันหมดสติไป

เรื่องน่าสยองคงไม่เกิดขึ้นกับเขา ถ้าหากเขาหนีไปในตอนนั้น แต่เขากลับลากฉันเข้าไปในห้องหมายจะข่มขืน

เขากำลังจะลงจะลงมือ แต่แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีมือปริศนามากระชากผมของเขาจากด้านหลังจนหน้าหงาย พอเขาหันไปมองรอบๆห้องก็ไม่เห็นมีใคร จนเขาเริ่มประหลาดใจ(?) และในตอนนั้นเอง ร่างเขาก็ถูกแรงกระแทกอัดเข้ากับมุมผนังอย่างจัง เขาตะเกียกตะกายหาทางหนี แต่ร่างก็เหมือนถูกตรึงไว้

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขาสติแตกร้องไม่เป็นภาษาอย่างกับป้าแช่มและที่เพื่อนบ้านได้ยิน

ข้าวของในห้องถูกมือที่มองไม่ให้ระดมขว้างใส่เขา พร้อมเสียงหัวเราะอันสยดสยองและเยือกเย็นของผู้หญิง ยิ่งเขากลัวมากขึ้นเท่าไหร่เสียงหัวเราะยิ่งดังเท่านั้น เขาตัดสินใจใช้แรงทั้งหมดที่มีพุ่งเข้าไปที่ประตู แต่แล้วโต๊ะตัวใหญ่กลับลอยเข้ามาขว้างทางออก เสียงโต๊ะกระแทกพื้นดังโครมคราม พร้อมกับตู้ที่ค่อยๆเคลื่อนไปปิดหน้าต่าง เสียงหัวเราะที่ชวนขนหัวลุกยังดังต่อเนื่อง จนกระทั่งตำรวจและป้านุ้ยเข้ามา

ชายวัยรุ่นสาบานว่าจะไม่เข้าไปขโมยของและทำร้ายใครอีกแล้ว เรื่องคดีฉันกับน้าๆก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณตำรวจ

ส่วนฉันยังอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร แต่ฉันก็นึกขอบคุณสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งคอยให้ความช่วยเหลือฉันตลอดมา

.

.

.

.

.

.

.

มองอยู่ที่มุมห้องและยิ้มกับภาพตรงหน้าอย่างพอใจ(?)

คำเตือนจากใคร?

เมษายืนอยู่ริมระเบียงชั้นที่ 12 ของโรงพยาบาลเอก

ชนเเห่งหนึ่งย่านชานเมือง เธอมองลงไปยังพื้นซีเมนต์ด้านล่างอย่างสงบนิ่ง

"ตรงนั้นแหละ เจ็บแค่วูบเดียวแล้วทุกอย่างก็จะจบ"

สายลมเย็นๆพัดมากระทบใบหน้าซีดเซียว ทำให้เธอนึกย้อนเข้าไปในเหตุการณ์ในห้องตรวจ เมื่อไม่นานมานี้

"ไม่จริงอ่ะ.....มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ"

เธอถามแพทย์ให้แน่ใจอีกครั้ง เมื่อได้ยินผลการตรวจของแพทย์หญิง ที่บอกว่าเธอกำลังตั้งท้อง ที่จริงก่อนหน้านั้นเธอได้ซื้อที่ตรวจครรภ์มาทดสอบ 3 ครั้งแล้ว แต่เธอไม่เชื่อว่ามันเป็นความจริง จึงมาตรวจที่โรงพยาบาล

"หนูป้องกันอยู่ตลอดนะหมอ!! แล้วหนูจะท้องได้ยังไง!!"

สีหน้าของแพทย์หญิงนิ่งเฉย เธอชินเสียแล้วกับการที่มีวัยรุ่นท้องในวัยเรียน บางคนร้องไห้ บางคนโวยวาย และมีไม่น้อยให้เธอทำแท้ง โดยไม่สนใจชีวิตน้อยๆของเด็กที่อยู่ในท้อง ก็เกิดจากการรักสนุกทั้งสิ้น แต่เธอเป็นหมอทำคลอด เลยไม่สามารถทำแท้งได้ ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็มีบางคนใช้เงินก้อนโตเพื่อจะให้ทำแท้งเด็ก แต่เขาก็ยังคงปฎิเสธอยู่เสมอ

"ถ้าเด็กโตมาแล้วกลายเป็นเด็กมีปัญหา หมอจะว่าไง!?"

พ่อของเด็กสาวคนหนึ่งได้เอ่ยอ้าง

"ไม่มีวิธีไหนที่คุมได้ 100% หรอกนะ"

แพทย์หญิงได้แต่มองเด็กสาวแล้วเอ่ยเรียบๆ

"ถ้าไม่แน่ใจผลตรวจในครั้งนี้ ก็ลองมาตรวจอาทิตย์หน้าดูอีกครั้งสิ"

"แต่ก็...ไม่แน่ใช่มั้ยล่ะ"

เมษาถามดูน้ำเสียงแผ่วเบา เพียงแค่เธอบอกแฟนหนุ่ม แฟนหนุ่มก็โมโหเธอมาก ต่างจากตอนที่ได้ร่วมเตียงกันครั้งแรก และไม่นานผลตรวจก็ออกมาก็พบว่าเธอท้อง แฟนหนุ่มก็รีบบอกเลิกเธอทันที

"กูไม่ใช่พ่อมัน! มึงไปแอบไปเอากับใครก็ไปหามันนู่น!!"

"กูจะไปทำกับใครก็มึงนั้นแหละ ไอ้เหี้ย!"

ฝ่ามือที่เคยทำดีกับเธอ เฝ้าถนุถนอมเธอ บัดนี้ได้ฟาดฝ่ามือลงบนแก้มขาวจนเป็นรอยมือ จากวันนั้นกระทั่งวันนี้เขาได้หายไปจากชีวิตเธอแล้ว

"ฉันบอกเธอแล้ว ว่าผลการตรวจคงไม่ต่างไปจากเดิมคุณต้องครรภ์ได้ 2 เดือนแล้ว"

คำพูดของแพทย์หญิงในห้องตรวจเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ยังคงกึกก้องอยู่ในหัว เธอคิดมาตลอดทั้งอาทิตย์ว่าถ้าท้องขึ้นมาจริงๆ เธอควรจะทำอย่างไรดี ในเมื่อพ่อของเด็กก็แสดงให้เห็นว่าไม่รับผิดชอบ

หรือจะให้เธอบากหน้ากลับไปหาพ่อแม่หรอ เธอจะบอกพวกเขาอย่างไรล่ะ ทางเดียวที่เธอคิดได้คงเป็นความตายเท่านั้นแหละ

สายลมเย็นๆปะทะเข้าหน้าเธออีกครั้ง ความเย็นวาบทำให้เธอหลุดจากภวังค์อีกครั้ง และพบว่าเธอไม่ได้ยืนอยู่ที่ระเบียงคนเดียว กลับมาหญิงวัยราวๆ 50 ปี มายืนอยู่ริมระเบียงแล้วมองไปด้านล่างเช่นเดียวกันกับเธอ

"คุณป้ามาทำอะไรที่นี่คะ"

เธอได้ถามไปทั้งๆที่เธออยากจะไล่ไปให้พ้นๆ เธอจะได้ลาโลกอย่างที่ตั้งใจไว้

"ป้ามาทำแบบเดียวกับสิ่งที่หนูคิดนั้นแหละ"

เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทำเอาเมษาชะงักกึกทันที

"คุณป้ารู้หนูจะทำอะไร แล้วคุณป้ากำลังจะ..."

เมษาได้แต่ถามตะกุกตะกัก ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตอบแต่กับเล่าเรื่องของตัวเองขึ้นมา

"ป้าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย...ลูกชายป้าแกเหนื่อยกับการหาเงินมารักษาป้าแล้ว เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แล้วก็ไอ้โรคพรรค์นี้น่ะ ....ที่สำคัญมันไม่มีทางหาย ป้าไม่อยากรักษาแล้วแต่ลูกชายป้าไม่ยอมเขาบอกว่ายังไงก็ต้องหาเงินมารักษาป้าให้ได้ "

"ป้าไม่อยากเห็นลูกป้าลำบากอีกแล้ว... ป้าเองก็ทรมานจนเคยขอร้องหมอให้ฉีดยาให้ จะได้ตายๆไปซะ แต่ไม่มีหมอที่ไหนเขาทำแบบนั้นหรอก .....แต่ว่าไม่เป็นไรป้าจัดการเองได้"

หญิงคนนั้นพูดไปเรื่อยๆ

".....ถ้าหนูมีลูกหนูจะไปรักใครได้มากไปกว่าเขาอีกความรักที่หนูมีให้พ่อเด็กในท้องหนูน่ะ เทียบไม่ได้กับความรักที่หนูจะมีให้ต่อลูกหรอก พ่อแม่ของหนูเองก็รักหนูไม่น้อยไปกว่าที่ป้ารักและทำทุกอย่างเพื่อลูกของป้าหรอก ...จำไว้นะการมีโอกาสเป็นแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดในสิ่งประเสริฐสุดแล้ว ผู้หญิงเราเกิดมาเพื่อเป็นผู้สร้างเพื่อกำเนิดชีวิต ไม่ใช่ให้ทำลายหรอกนะ"

พูดจบ หญิงคนนั้นก็ได้กระโดดลงจากระเบียงอย่างรวดเร็ว เสียงของร่างตกกระทบพื้นดังลั่น เมษาได้กรีดร้องสุดเสียงก่อนหมดสติไป

เมื่อเมษาฟื้นขึ้นมา ก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงของคนไข้ โดยมีพ่อแม่ของเธอเฝ้าอยู่ข้างๆด้วยความเป็นห่วง

"พ่อคะ... แม่คะ... หนู... หนู..."

เมษาได้ร่ำไห้ออกมา

"ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร พ่อแม่รู้เรื่องแล้ว หลานคนเดียวพ่อกับแม่เลี้ยงไหว"

พ่อพูดพร้อมกับลูบหัวเบาๆ

"ชีวิตหนูตั้งอีกไกลนะลูก ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะ"

แม่พูดเสริมพร้อมกับเข้าไปสวมกอดเมษา

"ละ...แล้วผู้หญิงคนนั้นล่ะคะ"

เมษาได้ผละกอดแล้วเอ่ยถาม

"ใครกันลูก ตอนที่พยาบาลไปเจอหนูนอนหมดสติอยู่ ก็ไม่มีใครแล้วนี่จ๊ะ"

"....หนูตั้งใจจะกระโดดลงไป แต่คุณป้าคนนั้นมาเตือนหนู....แล้วเขา...ก็...."

เมษาได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อกับแม่ฟัง

และเมื่อได้ไปสอบถามกับพยาบาล จึงได้รู้ว่าเคยมีเหตุการณ์ที่ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้กระโดดตึกตายจริงๆ โดยผู้ตายได้เขียนจดหมายไว้ว่า ไม่อยาให้ลูกชายลำบากต้องหาเงินทองมารักษา อยากให้เก็บเอาไว้สร้างอนาคตมากกว่า

หลังเกิดเหตุผู้เป็นลูกเสียใจมาก จนกลายเป็นโรคซึมเศร้า แต่เมื่อรักษาหาย ได้ตั้งใจบวชอุทิศส่วนกุศลให้แม่โดยไม่สึกตลอดชีวิต

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!