NovelToon NovelToon

For The Boss เพื่อนาย...{ภาคปฐวีคลั่งรัก}

บทนำ

@ คฤหาสน์ตระกูล ศาตนันท์กาล

"นนท์ไปไหน...."เสียงเรียบเย็นเอ่ยถามขึ้นท่ามกลางบรรยายกาศกดดันอันเงียบสงัดของห้องทำงานสไตย์ลาสสิคสีเข้ม ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหล่าคมคายผู้มีผมสีดำเงานัยน์ตาสีนิลเข้มดุดัน จับจ้องสายตาไปที่มือซ้ายลูกน้องคนสนิทของตนด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ น้ำเสียงที่ใช้ยังแฝงความดุดันของอำนาจที่มองไม่เห็นให้คนฟังได้เพียงนิ่งเงียบกับคำถาม

เมื่อเจ้าของคำถามที่พูดถึงก็คือมือขวาคนสนิทของเจ้าตัวที่หายหน้าไปได้หลายเดือนแล้วนั้นเอง

"...."

"กูถามไม่ได้ยินหรือไง?"

'พิภพ'เอ่ยเข้นถามคนตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง เมื่อเจ้าตัวเอาแต่เงียบไม่ตอบคำถามของเขาสักที

".....เหมือนว่าเขากำลังเคลียร์งานที่นายสั่งไว้อยู่ ช่วงนี้คงยากที่เจ้าตัวจะปริ่กตัวออกมาเจอได้"

ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำตอบเล็กน้อย...

".....ฝากบอกมันด้วยว่า กูจะไป'มาเก๊า'อาทิตย์หน้า ให้มันมาค่อยตามประกบข้างกู"

"ครับนาย..."

"ส่วนมึงเมฆ ช่วงนี้ค่อยตามดูน้องกูหน่อย กิจการบ่อนคาสิโนที่มาเก๊ายอดดีเกินคาดเลยปีนี้ เดียวมันก็ต้องมีไอ้พวกลอบกัดเข้ามาสร้างเรื่องอีกแน่"

"นายจะให้ผมตามดูนายน้อยคนไหนครับ"ภูเมฆถามขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อนายของเขานั้นไม่ได้มีน้องชายแค่เพียงคนเดียวให้เขาได้ตามไปดูแลความปลอดภัย

"ไอ้สมุทรไม่ต้อง กูส่งไอ้ทิศไปให้มันในเรือแล้ว เดือนหน้านุ่นละมั้ง มันถึงจะขึ้นบก"

'สมุทร'หรือน้องชายคนรองของนายที่ตอนนี้ตามเรือสินค้าของตระกูลฝั่งพ่อไปลงสินค้าที่ท่าเรือ'สิงคโปร์'ได้เป็นอาทิตย์แล้ว อยู่กลางทะเลคงไม่ต้องกลัวอันตรายจากพวกไหน ที่ต้องกลัวคงมีแค่เพียงลมฟ้าอากาศ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้เท่านั้น

"ส่วนไอ้พายแค่ส่งคนไปเพิ่มให้ก็พอแล้ว พวกมันคงไม่ถ่อไปไกลถึงภาคเหนือหรอก"

'พระพาย'น้องชายคนที่สองของนายที่ตอนนี้อยู่แม่ฮ่องสอน ดูแลกิจการไร่ชา กาแฟ และไม้ยืนต้น นับพันไร่บนดอยห่างไกลผู้คน ที่เป็นสมบัติตกทอดฝั่งแม่ที่เจ้าตัวอาสาคอยอยู่ดูแลต่อ เจ้าตัวรักสงบ จึงแทบไม่เคยได้เห็นหน้าเขาเลยมานานหลายปี

"คอยตามดูไอ้เพลิงพอ....กูให้นนท์ส่งคนไปเพิ่มให้มันแล้ว  ส่วนมึงต้องตามไปดู คอยสอดส่องอยู่ข้างมันจนกว่ากูจะเรียกกลับแล้วกัน"

คนสุดท้ายพระเพลิงแฝดน้องของพระพาย ด้วยนิสัยที่ต่างจากแฝดพี่มาก ทำให้เขาเป็นคนรักสนุกชอบสังสรรค์ เปิดผับและทำธุรกิจสิ่งบันเทิงอีกหลายอย่างเล่น แต่มันกลับรุ่งจนขยายไปไกลหลายสาขา ทำให้เจ้าตัวได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

และแน่นอนว่าศัตรูเยอะไม่แพ้นายเขาเลย.....

"...ครับ''

''มึงออกไปได้แล้ว...''

ภูเมฆโค้งรับคำสั่งและหันหลังจากไป เหลือไว้เพียงชายหนุ่มท่าทางเคร่งขรึมในชุดสูทสีเทานั่งสูบซิการ์ในมือ ปล่อยควันสีขาวออกกลางอากาศ สายตาจับจ้องมองไปยังรูปครอบครัวที่เหลือกันอยู่สี่พี่น้องด้วยสายตานิ่งเรียบ

Rrrrr...

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เรียกความสนใจให้ได้เป็นอย่างดี เมื่อชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเป็นคนที่เขาใช้งานมันหนักจนไม่ได้เจอหน้ามันนานหลายเดือน

'อานนท์'

"....ว่า"น้ำเสียงคมเอ่ยรับสายเสียงทุ้ม ลดความเข้มของเสียงลงไปสามส่วนอย่างที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัว

"((.....ผมสั่งคนจัดการเรียบร้อยแล้วครับ))"เสียงนุ่มลึกอันคุ้นเคยตอบกลับมาหาเขา ทำให้ใบหน้าที่เคยเฉยชาและตึงเครียด ค่อๆ. อ่อนลง ก่อนจะมีรอยยิ้มจาง ๆ บนใบหน้าแทนที่ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

"หึ.....ตายมั้ย?"น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามถึงคนที่เขาสั่งให้เจ้าตัวไปจัดการเก็บ ซึ่งตัวเขาเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นคนไหนด้วยซ้ำ เพียงเอ่ยถามไปตามบทสทนาเพื่อได้คุยต่อกับอีกฝ่ายเท่านั้น

"((ก่อนรถจะระเบิด เจ้าตัวกระโดดออกมาทัน แต่โดนสะเก็ดระเบิดกับแรงกระแทกตอนกระเด็นออกจากรถ อาการสาหัส))"คำตอบจากปลายสายไม่ได้สร้างความยินดีให้เขามากนัก แต่ก็ไม่ได้แย่ที่อีกฝ่ายโทรมารายงานผลให้ฟังด้วยตัวเอง

"นี่ถือว่ามึงทำงานพลาด?..." นาน ๆ จะได้ยินรายงานที่เจ้าตัวทำไม่สำเร็จ เขาจึงแกล้งเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเหมือนจะไม่พอใจ

"((ให้ผมไปยิงซ้ำที่โรงบาลดีมั้ยครับ...))"

"กวนตีนกูหรือไง......"

"((.......))"

"ไม่ต้อง.....ไม่ตายก็ช่างมัน ส่วนมึงไอ้เมฆบอกแล้วใช่มั้ยว่าอาทิตย์หน้ามึงมีงานอะไรต้องทำ"

"((ผมจะส่งคนไปแทนให้ครับ....))"เพียงคำตอบที่ได้รับกลับทำให้คนปลายสายต้องขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

"มึงส่งใครมาแต่ละคน....ไม่กลัวกูตายเลยหรือไง?"น้ำเสียงจากที่ดุดันกลับอ่อนลงอย่างหน่ายใจต้องเอ่ยถามปลายสายด้วยความสงสัย

"((ผมยังมีงานด่วนที่นายสั่งไว้ต้องรีบจัดการครับ เข้าใจกันด้วยครับ ถึงพวกมันจะเป็นเด็กใหม่แต่ผมฝึกมาเองกับมือ ไว้ใจได้ นายจะไม่เป็นอันตราย))"แต่เสียงตอบกลับที่เฉยเมยจากปลายสายไม่ได้เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกตอนนี้ของเขาเลยแม้แต่น้อย 

"หึ.....กูเชื่อ"

เอาเถอะ....

ใช่ว่ามันเคยส่งคนมาให้เขาใช้งานบ่อยที่ไหน นี่คงมีงานสำคัญบางอย่างที่เจ้าตัวต้องไปทำ เลยส่งคนมาติดตามแทนให้ช่วงคราวอีกตามเคย

"((งั้นผมวางสายก่อนนะครับ...))" 

"อย่าพึ่ง....กูอยากรู้ว่ามึงจะว่างเมื่อไร"คิ้วหนาเริ่มขมวดเข้าหากันอย่างไม่พอใจ ทุกวันนี้สั่งงานมันผ่านโทรศัพท์จนชิน รูปร่างคร่าตาไม่ได้เห็นกันมาเป็นเดือนๆ ยังจะมีหน้ามาบอกวางสายอะไรกับเขากัน นี้คิดจะโผล่มาให้เห็นหน้าเพียงงานสำคัญที่ต้องมาด้วยตัวเองเท่านั้นหรือยังไง

"((ก็ต่อเมื่อนายไม่สั่งงานผมเพิ่ม...))"

"กวนตีน..."

"((......))"

"กูอยากเจอ.."

"((ครับ?...))"

"ไม่มีอะไรแล้ว.....ไปทำงานมึงต่อเถอะ"

"((....))"

เขากดวางสายลงเมื่อปลายสายไร้เสียงตอบรับก่อนจะหลับตาสูบซิการ์ในมือเข้าไปเต็มปอดพร้อมปล่อยควันออกมาจากริมฝีปาก

"เข้ามาก็หัดเคาะประตูบ้าง..."

เขาเอ่ยพูดเสียงเข้ม หันไปมองคนมาใหม่ ชายหนุ่มวัยยี่สิบห้าปี รูปร่างสมส่วน ที่มีใบหน้าเรียวสวยคมคายและมีเค้าโครงใบหน้าที่เหมือนกับเขาอยู่ถึงสี่ส่วน นัยน์ตาสีนิลยืนยิ้มกริ่มมองเขาอยู่นานแต่ไร้ซึ่งเสียงเรียก คงเพื่อที่จะแอบฟังบทสนทนาเมื่อครู่ของเขากับใครอีกคน

"ก็ถ้าเคาะ....ผมก็ไม่ได้ฟังอะไรสนุก ๆ แบบเมื่อกี้สิ"มันพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มกวนประสาทประจำตัวที่มาพร้อมสายตาที่ดูมีเลศนัยอยู่ตลอดเวลา

ใบหน้าแบบนี้เห็นแล้วขัดตาจริงๆ...

"เสือก....."

"ไม่เอาน่ะเฮีย....เสียชื่อจักรพรรดิแห่งวงการมาเฟียหมด"มันเดินตรงไปนั่งบนโซฟาพร้อมไขว่ห้างมองตรงมาทางเขาด้วยรอยยิ้ม นั้นทำให้รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายมาทำอะไร

"มึงต้องการอะไร...เพลิง"

"ร้อยวันพันปีจะโผล่มาให้เห็นที...ผมคิดถึงบ้างไม่ได้เหรอ เหมือนที่เฮียอยากเจอพี่นนท์ไง "

"ปากมากระวังจะไม่มีให้กินข้าว"

"น่ากลัวจัง"

"มีอะไรก็พูดมา...อย่ามัวมาเล่นลิ้น กูมีการมีงานต้องทำอีก"เพียงแค่จบประโยคนี้ เจ้าตัวก็กรอกตาทิ้งร่างลงโซฟาตรงข้ามเขาด้วยใบหน้าหงุดหงิดและไม่พอใจ

"ผมมาขอคนเพิ่มว่ะเฮีย ช่วงนี้เป็นเหี้ยไรกันไม่รู้พากันมารุมผมอย่างกับขี้ คนของผมเสียไปก็ตั้งเยอะ"เขาปราดสายตามองคนพูดบ่นพึมพำ ก่อนจะยิ้มขำออกมากับคำพูดนั้นของมัน

"คนของมึงหรือของกูกันแน่"อีกฝ่ายเบิกตากว้างทำเป็นตกใจเมื่อเขาเล่นเอ่ยจี้จุดกลับ

"จะโทษผมไม่ได้นะ รอบนี้พวกมันเล่นผมแรง ๆ กันทั้งนั้น"มันพูดพร้อมทำหน้าเบื่อหน่ายเต็มทน ก่อนจะหยิบเอาซิการ์ราคาแพงระยับบนโต๊ะมาจุดไฟ สูบแบบไม่ได้ขอเขาสักคำ เขามองภาพนั้นพร้อมส่ายหัวเอือมระอา  มารยาทมันเสียมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนเริ่มจะชินชากันไปแล้ว

"รอบนี้โดนอะไรมาบ้างละ..."เขาถามมันก่อนจะกวาดสายตามองมันทั่วร่างก็ไม่เห็นว่าจะเจอแม้แต่รอยขีดข่วนอะไร 

"ล่าสุดกราดยิงเข้ามาในห้องทำงานผมที่สาขารังสิต เรียกว่าพังยับทั้งผับเลยดีกว่า ดีที่เล่นงานกันช่วงร้านปิด ไม่งั้นคงสยองขวัญคนทั้งกรุงเทพแน่"พระเพลิงเป่าควันออกจากริมฝีปากแผ่วเบา ก่อนจะยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมา อีกฝ่ายเล่นกันแรงขนาดนี้ ไม่คิดถึงตอนโดนเอาคืนบ้างหรอ? ถึงกล้าแหย่กันถึงถิ่นแบบนี้?

ชายหนุ่มขมวดคิ้วขึ้นเมื่อได้ฟังน้องชายเล่ามาแบบนั้น....

"แล้วที่ยืนคุยกับกูนี่คือผี?"

"เสียใจด้วย....ผมไม่ได้อยู่ในนั้น"พระพลิงหัวเราะออกมากับคำเอ่ยเย้าของพี่ชายตัวเอง เพราะชะลอกำหนดการทุกอย่างจากเดิมทำให้ตอนนั้นตัวเขาอยู่ในรถคันหรูของตัวเองที่จอดห่างจากผับที่เกิดเหตุไม่กี่กิโล ถือว่ารอดตายมาได้เพราะดวงล้วน ๆ และอาทิตย์นี้เขาคงใช้ดวงไปหมดแล้ว

"หึ เหลี่ยมเยอะแบบมึง...ไม่ต้องเอาคนเพิ่มหรอก"มันขมวดคิ้วมองมาเหมือนไม่พอใจกับประโยคคำพูดเมื่อกี้ของเขานัก

"ผมก็คนมั้ยเฮีย ตายเป็นนะ....นั้นก็ศัตรูฝ่ายเฮียทั้งนั้น"

"ไม่มีฝ่ายมึงเลยว่างั้น?.."พระเพลิงชะงักไปเล็กน้อยกับคำพูดนั้นของเขา มันยิ้มพร้อมพยักหน้ารับเบา ๆ

"ก็มีบ้าง...."คำว่าก็มีบ้างของมันเชื่อถือได้ที่ไหนกัน นี่คงจะไปลงทุนทับถิ่นใครมาอีกละสิ ถึงได้โดนกราดยิงขนาดนั้น แต่ดูเจ้าตัวจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเท่าไร ถึงยังมีหน้ามายิ้มให้เขาอยู่แบบนี้ นี้คงกะจะมาตะล่อมเอาคนเพิ่มจากเขาเหมือนเคย

"กูสั่งให้พี่มึงส่งคนไปเพิ่มให้มึงแล้ว และส่งไอ้เมฆไปดูมึงด้วย พอใจมึงมั้ย?"มันพยักหน้ารับอีกครั้ง ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าของมันจะกว้างขึ้นแทบฉีกถึงหู แต่ประโยคต่อมาของมันทำเขาหน้ากระตุกขึ้นมาทันควัน

"ผมขอพี่นนท์แทนได้มั้ย"

"มึงจะฆ่ากูทางอ้อม?"

"อะไรจะขนาดนั้น..."มันพูดขึ้นพร้อมหัวเราะออกมาอย่างขบขำ

"เอามันไปก็เหมือนตัดมือตัดตีนกูไปนั่นแหละเพลิง"

"ผมละสงสารพี่นนท์จริง ๆ..."

 "ยังมีหน้ามาพูดนะ...แอบใช้งานคนของกู อย่าคิดว่ากูไม่รู้"

"หือ~"มันทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย...ก่อนจะยกรอยยิ้มประจำตัวออกมาอีกครั้ง 

"ก็พี่นนท์เป็นคนของ 'ศาตนันท์กาล' ไม่ใช่คนของเฮียคนเดียวซะหน่อย เฮียนั่นแหละยืดไปใช้งานคนเดียว"

"พูดเหมือนมันเป็นสิ่งของเลยนะมึง" เขาปราดตาเตือนน้องตัวเอง ให้พอรู้ว่าคำพูดบางอย่างที่ไม่ควรพูดก็ให้เก็บปากไว้กินข้าวบ้างก็ได้ 

เพลิงยักไหล่รับแรงสายตาที่เขาส่งไปแบบไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะมองกลับด้วยใบหน้ายิ้มปริ่ม

"แล้ว ช่วงนี้เฮียสั่งงานฆ่าบ่อยเหรอ..."เขาชะงักเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้ามองน้องตัวเองอย่าระแวง เมื่ออยู่ ๆ ก็มาสนใจงานของเขาขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

"ไม่.....กูมีศัตรูเยอะ สั่งเก็บแค่ตัวสำคัญเท่านั้นแหละ" เขาตอบกลับมันด้วยแววตาสงสัย

"ทำไม...มีอะไรที่กูยังไม่รู้งั้นเหรอ"

"ก็ไม่...."มันตอบเขาหน้ายิ้มๆ

"ผมอิจฉาเฮียอยากได้แบบพี่นนท์มาช่วยงานทางผมบ้าง ท่าผมไปขอพี่นนท์เอง เจ้าตัวคงปฏิเสธผมไม่ลง"

"กูส่งไอ้เมฆไปให้แล้ว...."

"เมฆ?.. มือซ้ายเฮียที่ชอบทำหน้าเหม็นเบื่อเฮียอะนะ เก่งเท่าพี่นนท์ผมปะละ"

"อย่าดูถูกละ....นั้นมือซ้ายกู"

"......ก็ไม่ได้ดูถูก แต่เฮียเอาไว้ใช้งานเองไม่ดีกว่าหรือไง"ได้ชื่อว่ามือซ้าย ก็คงจะมีดีอยู่ที่มันสมอง แต่ถ้ามาอยู่กับเขาจะมีประโยชน์อะไรได้ นอกจากพากัน ฝ่ากระสุนไปวัน ๆ แต่จากที่ได้สังเกตเจ้าตัวมา รูปร่างหน้าตาถือว่าสมบูรณ์แบบ พอเป็นไม้กันหมาให้ได้บ้างไม่มากก็น้อยแหละ

"ถ้ามึงหมดธุระแล้วก็ออกไป...กูมีงานมีการต้องทำ"

"ครับ ๆ...ว่างก็มาหากันบ้างนะเฮีย" พระเพลิงแหงนหน้ามองพี่ชายตัวเองด้วยรอยยิ้มกริ่ม ก่อนจะลุกออกจากโซฟาช้าๆ แล้วหันมาสบตาพูดกับเขาให้ได้ยินแผ่วเบา

"เผื่อได้เปิดหูเปิดตา.."

'กูอยากเจอ'

คำ ๆ หนึ่งติดค้างคาใจของเขา แล้วยังคงหาคำตอบนั้นไม่ได้ ถ้าจะให้เดาก็คงมีงานอะไรอยากจะสั่งเพิ่มและสำคัญมากขนาดที่บอกผ่านทางโทรศัพท์ไม่ได้ แต่อะไรบางอย่างในหัวบอกกับเขาว่าไม่ใช่แบบนั้น

"(หัวหน้า ได้เวลาแล้วครับ)"

".....กำลังไป"

 เขาตอบกลับผ่านหูฟังรักษาความปลอดภัย  ตอนนี้เขาอยู่ในภารกิจสำคัญบางอย่าง เพื่อนร่วมภารกิจครั้งนี้ได้เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้ให้แล้ว เขามีหน้าที่เพียงเดินขึ้นบันไดมาชั้นบนสุดของตึกเท่านั้น

ลมเย็น ๆ พัดกระทบเข้าใบหน้าของเขา ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดเข้าปอด ปลดปล่อยควันกระจายกลางอากาศ

ฝืบๆๆๆๆ

เขาเงยหน้ามองขึ้นบนฟ้า

เมื่อมีเฮลิคอปเตอร์ขนาดเล็กบินข้ามหัวไป ส่งเสียงกังวานสร้างความน่ารำคาญไม่น้อย เขาปล่อยควันออกจากริมฝีปากสวยอีกครั้งอย่างช้า ๆ ก่อนจะดับบุหรี่ในมือ ทิ้งมันลงชั้นล่างของตึกกว่าร้อยชั้น เพื่อทำลายร่องรอยที่จะเหลือต่อจากนี้

"(เป้าหมายเสื้อขาว....พิกัดอยู่ทางทิศเหนือ 90 องศา ตึก 'Heaven welcomes' ชั้นดาดฟ้า จะลงจากเครื่องในอีก 5 นาที เตรียมตัว)"

เขาทิ้งตัวลงนอนแนบไปกับพื้นที่เย็นเฉียบ มือทั้งสองข้างประคองอาวุธอันตรายที่มีความยาวกว่าหนึ่งเมตร ตาข้างหนึ่งเล็งเข้าไปในเลนส์กล้องที่สามารถซูมได้ไกลข้ามไปหลายตึก  สายตาเล็งไปที่ตึก ๆ หนึ่งที่อยู่ห่างจากตึกที่เขาอยู่ไปประมาณ 5 ตึก

เป็นตึกที่มีเฮลิคอปเตอร์ลำที่บินผ่านหัวเขาไปเมื่อกี้ลงจอด เห็นชายชุดสูทสีขาวเดินลงมาท่ามกลางบอดี้การ์ดหลายสิบคน

มีไปก็เท่านั้น...

".....เล็งเป้า"

ปัง!!!!

ลูกกระสุนปักลงกลางศีรษะของเป้าหมาย ฝูงชนแตกตื่นเหมือนมดแตกรัง เหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเขา และมันเป็นภาพที่เจอบ่อยจนชินชาไปเสียแล้ว

"(ภารกิจสำเร็จ...)"

สิ้นเสียงประกาศทางสายข้างหูซ้าย เขาหลับตาลงทั้งสองข้าง พร้อมพูดตอบกลับไปแผ่วเบา...

".....จบงาน"

อาวุธที่คมที่สุด

ตอนที่ 1

ซ่า....

ท่ามกลางสายฝนเบาบางยามค่ำคืนของถนนในยามการพนันที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลกอย่าง 'มาเก๊า'  ก็ยังคงมีผู้คนพลุกพล่านเยอะเป็นปกติ หากมองไปรอบด้าน ทุกตึกที่มองผ่านจะเปิดเป็นบ่อนการพนันไม่ก็กาสิโนให้ได้เลือกเข้าไปเล่นสักครั้งในชีวิต

รถ 'Benz G Wagon' สีดำคันสวยจอดสนิทหน้ากาสิโนขนาดใหญ่ที่มีผู้คนเข้าเยี่ยมชมไม่น้อย บรรยากาศโดยรอบครึกครื้นไปด้วยผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติที่แต่งตัวหรูหราด้วยสูทและชุดเดรสหลากสี ชายหนุ่มหน้าคมในชุดสูทสีเทาเรียบหรูเดินลงมาจากรถพร้อมบอดี้การ์ดรอบตัวอีกนับสิบชีวิตที่เดินลงมาจากรถที่ตามกันมาขนานทั้งสองข้างทาง

"oh! Welcome, Mr. V." (ยินดีต้อนรับครับคุณวี)

ชายวัยกลางคนผมสีทองตาสีครามในชุดสูททักซิโด้สีดำเข้ามาต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม เขาทำงานที่กาสิโนแห่งนี้มานานตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งจนปัจจุบันก็ได้เป็นผู้ดูแลของที่แห่งนี้ที่มีความสูงกว่าร้อยชั้นเข้าไปแล้ว

''ไม่ได้เจอกันนานเลย เชิญทางนี้ครับคุณวี"

'เจคอบ' ผายมือเชิญนายใหญ่ของกาสิโนเข้าไปเดินสำรวจข้างใน ถ้าจำไม่ผิดนายใหญ่จะมาตรวจกาสิโนทุกๆ สามเดือนเพื่อมาดูความเรียบร้อย และแวะทักทายแขกวีไอพีบนชั้น 99 ของกาสิโนเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ทางธุรกิจไปด้วยทุกครั้ง

"ธุรกิจเป็นยังไงบ้าง?"

พิภพถามขึ้นพร้อมเดินไปตามมือที่เชื้อเชิญเข้าไปข้างใน ภายในชั้นหนึ่งของตัวกาสิโนตกแต่งอย่างหรูหราสวยงามจัดเป็นชั้นที่กว้างขวางและมีเครื่องเล่นการพนันที่หลักหลาย ผู้คนมากมายกระจายไปตามโต๊ะการพนันแต่ละเกมที่แบ่งโซนไว้อย่างดี มีหลักหลายรูปแบบการพนัน ทั้งไพ่ ลูกเต๋า สล็อต บิงโก อีกมากมายให้เลือกเล่น ในชั้นอื่นในตึกก็เปิดเป็นทั้งโรงแรม ห้องอาหาร แหล่งชอปปิ้ง ภายในตัวให้ลูกค้าได้เข้าพักหลังเสร็จจากเล่นเกมการพนัน ถึงว่าได้ทำธุรกิจที่หลักหลายไปในตัว

"มันดีกว่าที่เราคาดกันไว้ เกินเป้าหมายของเราไปมาก ตอนนี้เราเป็นอันดับหนึ่งในย่านนี้แล้วครับ"

เจคอบพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มกว้างอย่างประจบ 

" ก็ดีแล้ว"พิภพเอ่ยตอบเสียงเรียบอย่าไม่ใส่ใจก่อนจะก้าวนำอีกฝ่ายเดินไปตามทาง เจคอปเองเมื่อเห็นแบบนั้นจึงเดินกึ่งวิ่งตามอีกฝ่ายไป

"คุณนนท์ไม่ได้มาด้วยเหรอครับ เขามักจะมากับคุณเสมอแท้ๆ"

"มันไม่ว่าง"

พิภพตอบกลับเสียงเรียบนิ่ง เจคอปรับรู้ถึงสถานการณ์และภาวะอารมณ์ของนายใหญ่ในตอนนี้ จึงพยักหน้ารับรู้ แต่การที่นายของเขาเข้ากาสิโนในวันนี้โดยข้างกายไม่มีทั้งมือขวาและมือซ้ายข้างกายเหมือนทุกครั้งแม้แต่คนเดียว ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงมากในสายตาของเขาอยู่ดี

"ควรระวังตัวในช่วงนี้นะครับ ศัตรูชอบเข้ามาก่อกวนบ่อย"

" ฉันรู้น่ะ"พิภพรู้สึกหงุดหงิดและรำคาญเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่จะพูดยุกหยิกใกล้หูของเขา

"พวกแขก VIP กำลังรอพบท่าน เราไปทักทายพวกเขาสักหน่อยเถอะครับ"เมื่อพวกเขาเดินกันมาถึงหน้าประตูทางเข้า พิภพจึงหยุดฝีเท้าลงมองไปอย่างอีกฝ่าย

"อืม...พาฉันเข้าไปสิ"

พรืบ!!!

แสงไฟทั่วกาสิโนดับลงพร้อมเสียงของปืนบนชั้น 99 ผู้คนภายในเริ่มกรีดร้องวิ่งหาทางออกกันให้วุ่น เสียงเออะเวยวายดังสนั้นลั่นทั้งอาคาร ชั้นบนของแขกระดับวีไอพีเริ่มตื่นตระหนก เมื่อมีแต่บุคคลระดับมีหน้ามีตาในสังคมที่กำลังเจราธุระกิน พูดคุยราวกับงานเลี้ยงสันสรร การเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเขาแน่นอน

" What happened!"(เกิดอะไรขึ้น!)

"Mr. v What is this about?" (คุณวีนี่มันเรื่องอะไรกัน?)

ผู้คนทั้งห้องโถหันมากดดันเขา ทุกคนดูลนลานและหวั่นเกรงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน พิภพทำเพียงกล่าวคำขอโทษพวกเขาเล็กน้อย ก่อนหันไปสั่งการลูกน้องบางส่วนลงไปจัดการเหตุการณ์ชั้นล่างไม่ให้วุ่นวายจนเกินไป

"I will have my underlings take you out safely."(ผมจะให้ลูกน้องพาพวกคุณออกไปอย่างปลอดภัย)

พิภพพูดเคลียร์กับแขกทั้งหลายในงานที่ตอนนี้มีเหล่าบรรดาชายชุดดำขนานข้างพาออกไปทางประตูบานหนึ่งที่ถ้าไม่สังเกตดีๆจะมองไม่ออกด้วยซ้ำว่ามีประตูนี้อยู่อีกบานในห้องโถงานเลี้ยงนี้

"นายครับ....เราออกไปทางประตูฉุกเฉินกันก่อนเถอะครับ"เสียงของโนอาห์ บอดี้การ์ดหน้าใหม่ที่มือขวาของเขากาลังตีมาให้ เรียกให้หลบหนีออกไปจากสถานที่นี่ ซึ่งเป็นบ่อนพนันของเขาเอง พิภพมองมันด้วยสายคมกริบ พวกเด็กใหม่ก็แบบนี้ไม่ค่อยจะรู้อะไรสักเท่าไร

"ให้คนของเราพาแขกออกไปให้หมดก่อน"

"แต่นาย..."

"มึงกับไอ้โนค่อยอยู่กับกูที่นี่ก็พอ"

โนอาห์รับคำสั่ง ก่อนจะให้คนพาเหล่าแขกวีไอพีลงไปอย่างประตูฉุกเฉินหลังกาสิโน ทำให้ในห้องชุดชั้นบนเหลือเพียงสามชีวิตที่รั้นอยู่ต่อ เมื่อลับสายตาจากกลุ่มคนที่จากไป โนอาห์ได้หันกลับมาหานายของตนเพื่อดูท่าทีต่อ

"ให้ผมเรียกคนมาเพิ่มมั้ยครับนาย..."

"ไม่ต้อง....นี้ถิ่นกู คนของกูกระจายอยู่ทุกที่ใครหน้าไหนจะกล้าเข้ามา"

พิภพพูดพร้อมยกไวน์ขึ้นจิบอย่างใจเย็น สายตาจับจ้องออกไปนอกวิวของตัวเมืองที่ยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงไฟนีออนไปทั้งเมือง ในขนาดที่ตึกที่เขาอยู่นั้นกลับมืดมิดไร้แสงสี

Rrrr

"(นายครับ...)"

"เมฆ ไฟบ่อนกูที่มาเก๊าดับทั้งตึก มึงจัดการยังไง"

ตึกกว่าร้อยชั้นดับขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ การที่มันโทรมาหาเขาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

เพราะเรื่องระบบไฟฟ้าต่างๆ หรือข้อมูลเอกสารสำคัญทางคอมพิวเตอร์มันเป็นหัวหน้าค่อยควบคุมดูแลทั้งหมด

"(ทราบครับนาย...ตอนนี้ผมเปิดใช้ระบบไฟฟ้าสำรองให้แล้ว มีเฉพาะลิฟต์กับไฟตามทางเดินที่ยังใช้การได้ในตอนนี้ อีกสักพักไฟหลักจะมา ผมตามเรื่องให้แล้วครับ)"

"...สาเหตุละ?"

"(จากที่ผมได้ส่งคนไปตรวจสอบ....ดูเหมือนมีคนเล่นงานหม้อแปลงพลังงานของเรา)"

"จัดการให้เรียบร้อย"

"(ครับนาย)"

สายถูกตัดไปหลังคุยเสร็จ เขาทำเพียงนั่งมองมือถืออยู่อย่างนั้น เหมือนรอคอยให้ใครสักคนโทรมาหาเพื่อถามไถ่ความเป็นไป ว่าการที่ไม่มีมันข้างกายในตอนนี้นั้นมันยากเย็นขนาดไหน แต่รอแล้วรอเหล้าก็ไร้วี่แววว่าจะมีใครโทรมาหา

พิภพจึงทำได้เพียงเก็บมือถือในมือกลับไป ก่อนจะหันกลับไปมองลูกน้องข้างกายสองคนที่กระสับปืนเตรียมรับมือสถานการณ์อยู่คุ้มกันข้างเขาคนละฝั่ง ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้าที่หลังหูของหนึ่งในสองที่กำลังรายงานสถานการณ์ผ่านเครื่องสื่อสารข้างหูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

"เวหา...."

"ค..ครับนาย?"อีกฝ่ายเอ่ยตอบเสียงหลง เมื่ออยู่ๆนายใหญ่ก็เอ่ยเรียกชื่อตนออกมา พร้อมมองสบตาเขาด้วยแววตาสีนิลดุดันอย่างกดข่ม

"เอาเครื่องสื่อสารบนหลังหูมึงมาให้กู"

"...."

"อันนี้เหรอครับนาย?..."

"อืม.....นั่นแหละ"

พิภพยืนมือไปรับเครื่องสื่อสารขนาดเล็กที่ใช้ภายในกลุ่มบอดี้การ์ดมาใส่เกี่ยวไว้บนหูข้างซ้ายของตัวเอง

"แล้วผมจะใช้อะไรละครับนาย?" เวหาถามขึ้นพร้อมทำหน้าเหวอใส่นายใหญ่ ที่อยู่ๆก็โดนชกเอาอุปกรณ์ติดต่อของตัวเองไป แบบนี้ก็เหมือนเขาถูกลอยแพยังไงอย่างงั้น

"รับคำสั่งจากเครื่องไอ้โนไปแล้วกัน"คำตอบของนายใหญ่ ทำเอาทั้งสองสับสนไปชั่วขนาด มองสบตากันด้วยความมึนงง เมื่อไม่เข้าใจว่านายจะเอาเครื่องที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันภายในกลุ่มของพวกเขาไปทำอะไร

"กูจะออกไปข้างนอก..."

นายใหญ่เดินนำทั้งคู่ลงมาอย่างชั้นล่าง โดยทั้งคู่ไม่ทันแม้แต่จะห้ามปราม ได้เพียงเดินตามนายของตนลงลิฟต์มาด้วยท่าทีระแวดระวังแล้วค่อยระแวงสอดส่องจากทั่วทิศทาง

ปืนในมือของทั้งคู่ถูกกระสับไว้แน่น  ชั้นล่างที่เคยครึกครื้น กลับสลายเหลือเพียงความเงียบงัก เมื่อผู้คนพากันวิ่งหนีออกไปหลังจากไฟทั้งตึกดับลง มีเพียงเหรียญพนันตามโต๊ะต่างๆที่บ่งบอกถึงการเคยมีอยู่ของคนเหล่านั้นเท่านั้น ช่างเป็นบรรยายกาศที่ต่างจากขามาลิบลับ

"นายครับ ผมว่าเราไม่ควรลงมาข้างล่างนี้ มันมืดมากจนผมกลัวว่าจะมีพวกรอดักทำร้ายเรา"

โนอาห์พูดขึ้นเมื่อตนกำลังเดินประกบนายไว้คนละข้างกับเวหา พร้อมมองสอดส่องเฝ้าระวังไปทั่วบริเวณ 

"หึ....ถ้ากูกลัวคงไม่ลงมา" พิภพแสยะยิ้มที่มุมปาก การมาลอบทำร้ายเขาในที่ของเขา เท่ากับฆ่าตัวตายทางอ้อมนั่นแหละ

พวกเขาออกมาหน้ากาสิโนได้โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผู้คนเดินสวนกันไปมาหน้ากาสิโน เหมือนไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในแม้แต่น้อย  เขาเลี่ยงออกมาจากผู้คนที่เบียดแน่นบนถนนหลบเข้าซอยหลังกาสิโนเพื่อเรียกรถมารับกลับได้สะดวกขึ้น

ถึงจะน่าหงุดหงิดไม่น้อยที่ต้องมาวิ่งวุ่นพากันกลับหลังมาคาสิโนของตัวเอง  พื้นที่ในการปกครองของเขานั้นโดนรุกรานได้ง่ายถึงขนาดนี้เชียว

เขาคงต้องวางกำลังคนให้เยอะขึ้นและเฝ้าระวังมากกว่าเดิม คงจะปล่อยละเลยมากเกินไปสินะ

"พวกก่อกวน....เห็นบ่อนกูยอดดีกว่าหน่อยเลยมาเล่นงานแบบหมาลอบกัด จะเป็นพวกไหนได้ที่เล่นวิธีหมาขี้แพ้แบบนี้ ถ้าไม่ใช่ไอ้พวกแก๊ง 'เจได' "

'เจได' แก๊งมาเฟียญี่ปุ่นที่เข้ามาปกครองในเขตการพนันทิศใต้ของ มาเก๊า  ถึงว่าตนเป็นแก๊งเก่าแก่ปกครองอาณาเขตมานานเลยทำตัวกร่านไปทั่ว ก็แค่มาเฟียเฒ่าที่ไม่ยอมปล่อยวาง ถึงขนาดส่งคนมาข้ามเขตเล่นงานกันขนาดนี้ สัญญาสันติภาพคงเป็นได้แค่กระดาษไร้ค่าแผ่นหนึ่งแล้วหรือเปล่า!?!

 ซ่าๆ..

"(จากศูนย์บัญชาการใหญ่....ขอทราบสถานการณ์ทางนายใหญ่)"

"(ต่อสายไปหาหัวหน้าหน่วย...)"

"(....โนสถานการณ์เป็นไงบ้าง นายกูยังปลอดภัยดีใช่มั้ย)"

เสียงนุ่มทุ้มอันคุ้นเคยดังออกมาจากเครื่องสนทนาข้างหู ก่อนฝีเท้าจะหยุดชะงักไป มือของเขายกขึ้นจับหูข้างซ้ายของตัวเองแผ่วเบา

"..เออ"

"กูปลอดภัยดี..."

โนอาห์หันไปมองหน้านายของตัวเองแบบอ้ำอึ้ง เมื่อบทสนทนาของเขาถูกแทรกแซงแบบไม่ทันตั้งตัว จากที่กำลังจะตอบกลับหัวหน้าของตน มีอันต้องเงียบปากลงกะทันหัน ไม่กล้าส่งเสียงรบกวนใดๆออกไป

"(...นาย?)"

"อืม....กูเอง"

"ตอนนี้มึงอยู่ไหน...."

"(ทำภารกิจให้นายอยู่ครับ...)"

"กูถามว่าอยู่ไหน...."

"(นายครับ....)"

"หืม?....อะไร"

"(เอียงหัวออกมาทางขวาหน่อย)"

"ห๊ะ...."

"เหี้ย! นายระวัง"

ปัง!!

กระสุนจากคนร้ายที่ยิงออกมายังไม่ทันได้เล็งเป้าดีๆ ทำให้ทิศทางกระสุนยิงไม่แม้แต่จะเฉียดเขา  แต่คนร้ายกลับโดนกระสุนปริศนาไร้เสียงจากที่ไกลๆ ยิงเข้ากลางหัวเต็มๆ ก่อนจะล้มตายลงไปในเสี้ยววิ

โนอาห์กับเวหาทำได้เพียงถือปืนพกในมือค้างกลางอากาศด้วยใบหน้าซีดเผือด เขามองภาพนั้นพร้อมส่ายหัวช้าๆ เมื่อความรู้สึกเหมือนกระสุนวิ่งเฉียดใบหน้าเมื่อครู่ยังคงชัดเจน

"กูรู้สึกเหมือนกระสุนมึงจะใกล้หัวกูขึ้นทุกวัน"

"(......)"

"มึงตามกูมามาเก๊าหรอ? ไหนว่างานยุ่ง"

"(นายไม่ควรออกมารอข้างนอกกันแบบนี้ ควรรออยู่ในนั้นก่อนสักพักก็ยังดีนะครับ มันอัตราย)"

"เปลี่ยนเรื่องเก่งนะมึง ถามอย่างตอบอย่าง"พิภพส่ายหัวอย่างจำยอม เขาควรชินได้แล้วกับนิสัยนี้ของมันสินะ 

"วันนี้กูอยากเที่ยวรอบเมือง ไปกับกูมั้ย?"พิภพเอ่ยชวนอีกฝ่าย หวังว่ามันจะตอบรับกลับมาบ้าง

"(วันนี้คงไม่ได้ครับนาย พวกมันอาจกำลังรอโอกาสดักยิงนายอีกก็ได้ ไว้รอบหน้าผมจะไปดูแลความปลอดภัยให้)"

"...ถ้ากูจะไปพรุ่งนี้"

"(กำหนดการพรุ่งนี้มีนัดกับ มิสเตอร์จอร์ นายหน้าค้าอาวุธรายใหญ่ของเราที่โรงแรม P.Y ครับนาย)"

"อืม...."

ดักแม่งทุกทางจริงๆ...

"(พรุ่งนี้ผมจะตามนายไปพบมิสเตอร์จอร์ด้วย)"

"ก็ยังดีที่มึงยังจำตำแหน่งตัวเองได้อยู่"

พิภพถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เหนื่อยใจไม่น้อยในการพยายามหาทางเจอมันได้ในแต่ละครั้ง ถ้าไม่ติดว่างานที่มันทำเป็นงานที่เขาสั่งไว้นะ เขาก็คงคิดว่ามันหลบหน้ากันไปนานแล้ว

งานบางอย่างไม่ได้สั่ง ก็ทำเองโดยไม่บอกไม่กล่าว แถมบางครั้งไอ้พวกน้องเวรก็เรียกใช้งานคนของเขาแบบไม่เกรงใจกันเลย 

พิภพหันมามองลูกน้องข้างกายทั้งสองที่ยังคงอ้ำอึ้งกับสถานการณ์เมื่อครู่อยู่ ในมือถือปืนพกค้างไว้กลางอากาศอยู่แบบนั้น

พวกนี้ก็อีก มันส่งคนมาฝึกงานชัดๆ ไม่ได้เอามาช่วยไรเขาหรอก ก่อนพิภพจะส่ายหัวให้อย่างหงุดหงิดในใจ

เหอะ! ดีจริงๆ

@มาเก๊า เขตเหนือ

คฤหัสถ์หลังใหญ่นอกตัวเมืองที่ซื้อไว้ได้ไม่กี่ปีน้อยครั้งที่จะกลับมาอาศัยพักพิง ภายในตกแต่งอย่างเรียบง่าย โดยในห้องนอนของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังเปลือยท่อนบนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเรียงสวยบนเรือนร่างกับต้องสะดุดตาเข้ากับรอยสักขนาดใหญ่ โดยเป็นลวดลายของปีกนกสีเงินที่กินพื้นที่ตั้งแต่หัวไหล่ถึงกลางหลังข้างขวา เขากำลังหยิบเอาเสื้อเชิดตัวในขึ้นมาสวมใส่อย่างช้าๆ 

''นายครับ...ถึงเวลาที่เราต้องไปพบมิสเตอร์จอร์แล้วนะครับ"

"...."

"เออ...นายครับ"

"หัวหน้าพวกมึงไปไหน"

"....''

ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งห้องไปพักใหญ่ ไม่มีใครตอบคำถามนั้นได้ เมื่อนายของตนที่กำลังยืนแต่งตัวด้วยชุดสูทสีเข้มร้องถามขึ้นหลังกวาดสายตามองพวกเขาทีละคนด้วยสายตาเรียบเย็น

"ไหนมันบอกจะไปงานกับกูวันนี้ แล้วทำไมเป็นพวกมึงสองคนได้"

"เออ...."

ทั้งสองอ้ำอึ้งพูดไม่ออก ได้เพียงมองสบตากันอย่างลนลาน ไม่กล้าหันมองสบตานายของตนในตอนนี้เลย มันทั้งกดดันและไม่พอใจเหมือนกดข่มความโกรธของตนเองไว้ ถึงการแสดงออกจะนิ่งสงบ แต่แรงกดดันที่ส่งออกมานั้นไม่ใช่แบบนั้นเลย

"ถ้าวันนี้มันไม่มา ก็ไม่ต้องไปคุยงานกันแล้ว Cancel งานนี้ไปเลย กูไม่มีอารมณ์ไป"

การที่ตกลงกันไว้แล้วไม่ทำตามนั้น ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ครั้งนี้มันทำเขาไม่พอใจมากเป็นพิเศษก็แค่นั้น แต่จะด้วยเหตุผลอะไรที่มันไม่ยอมมาในวันนี้เขาเองก็ไม่อยากฟังทั้งนั้น 

พิภพแต่งตัวลวกๆให้เสร็จแล้วพาร่างสูงโปร่งของตัวเองเดินผ่านหน้าลูกน้องทั้งสองไปทางประตูเพื่อที่จะออกไปให้สายตาพ้นจากทั้งคู่ ยิ่งเห็นยิ่งหงุดหงิดเหมือนตอกย้ำให้รู้ว่ามันไม่ได้มาในวันนี้

แกรก!

แต่ก่อนที่มือของเขาจะถึงลูกบิดของประตูบานใหญ่ ประตูกลับถูกเปิดออกพร้อมร่างสูงโปร่งที่อยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา ใบหน้าที่ไม่ได้เห็นมานับเดือนๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้าแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้ใจกระตุกไปชั่วขนาด นัยน์ตาสีสวยที่วูบไหวสบตากันกับเขา เราทั้งคู่ต่างตกใจที่เจออีกฝ่ายในระยะประชิดอย่างไม่ทันตั้งตัว

"แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอครับ..."

น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ได้ยินผ่านเครื่องมือสื่อสารมาตลอดหลายเดือนเงยหน้าสำรวจมองเขาไปทั่ว ก่อนดวงตาสีครามมรกตคู่นั้นจะหยุดสายตามองข้อมือของเขาที่ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาหวังจะสัมผัสลงบนใบหน้านั้น

ว่าที่เห็นนี้ไม่ใช่เพียงภาพลวงตา....

แต่ก่อนที่มือของเขาจะได้สัมผัสอย่างที่หวัง อานนท์กลับหยุดมันไว้ด้วยมือของมัน โดยการจับลงบนมือของเขาที่ยืนขึ้นมาระดับใบหน้าของมันอย่างแผ่วเบาแล้วทำการพับแขนเสื้อติดกระดุมที่ไม่ได้ติดไว้ของเขาให้ ผิวสัมผัสอันร้อนแผ่วจากมือของมันส่งผ่านมาทางมือของเขา

"อีกข้างครับนาย..."

พิภพยืนมือให้แต่โดยดี ไม่มีการขัดขืนแม้แต่น้อย เรียกว่าสั่งอะไรมาก็ทำหมด ลืมไปเลยว่าก่อนหน้านั้นว่ายังเคืองมันอยู่เลย แต่แค่ได้เห็นหน้าอีกฝ่ายความรู้สึกเหล่านั้นก็สลายหายไปไหนก็ไม่อาจรู้ได้

"นายควรแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนออกไปพบ มิสเตอร์จอร์นะครับ ถือเป็นการให้เกียรติคู่ค้าของเรา" มันพูดหลังติดกระดุมแขนเสื้อเม็ดสุดท้ายของเขาเสร็จแล้วปล่อยมือของลงช้าๆ

"แล้วมึง...จะไปในสภาพนี้?"

เขามองเสื้อเชิ้ตสีขาวที่มันใส่ มันมองตามสายตาของเขาก่อนจะยิ้มบางๆออกมาเล็กน้อย

"ผมว่าจะมายืมชุดสูทนายสักตัว....ผมไม่ได้เอามาด้วย เพราะผมไม่คิดว่าจะได้ไปคุยงานกับนายวันนี้"

เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะเดินนำมันเข้ามาให้ห้องเดินผ่านไอ้สองหน่อที่ยังคงก้มหน้าก้มตายืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ไม่รู้จะอยู่ทำซากอะไร

"พวกมึงสองคนออกไปได้แล้ว..."

"ครับนาย/ครับนาย"

ทั้งคู่โค้งรับคำสั่งแล้วเดินผ่านพวกเขาออกไปอย่างเร่งรีบเหมือนรอเวลานี้มานาน 

อานนท์มองตามพวกมันที่มีท่าทีรีบร้อนด้วยแววตาสงสัย ก่อนจะหันหน้ามองมาทางเขาอย่างจับผิด

"นายไปดุอะไรพวกมันหรือเปล่า? ทำไมเด็กผมหน้าซีดเป็นไก่ต้มแบบนั้นละ"

"หึ...เด็กมึง?"

"วันนี้พวกมันก็จะไปกับเราด้วยนะครับ ยังไงผมก็ส่งมาคุ้มกันนาย"

"เออ...กูรู้แล้ว"พิภพพูดพร้อมหยิบเสื้อสูทในตู้ออกมาตัวหนึ่งมันเป็นสีน้ำตาลครีมอ่อนๆผูกกับเนกไทสีแดงเลือดหมูเนื้อผ้านิ่มมือกำลังดี พร้อมกับหยิบเอาเสื้อกั๊กในสูทสีเดียวกันออกมายื่นให้มัน

ตอนนี้มันมีท่าทางมึน ๆ อยู่ไม่น้อย ดูท่าก่อนหน้านั้นจะไม่ได้นอนมาหลายวัน

"นาย....มันดูจะแต่งมากไปไหมครับ ของนายแค่สูทสีเทา เนกไทก็ไม่ใส่ เสื้อกั๊กตัวในสูทยังไม่เห็นจะมี แล้วที่ให้มานี้คืออะไรครับ?"

"ข้างนอกมันหนาว"

พิภพให้เหตุผลมันเพียงแค่นั้น ริมฝีปากเรียวบางนั้นก็เงียบลง ทำเพียงมองสบตาเขาเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับเบาๆ

"ครับ.."

ถึงแม้ตัวมันจะตอบรับแต่ที่หยิบขึ้นมาใส่จริงๆ มีเพียงแค่สูทและเสื้อกั๊กตัวในสูทเท่านั้น ทิ้งเนกไทสีแดงไว้ในมือเขาให้ดูเป็นต่างหน้า ส่วนเจ้าตัวเขาก็เข้าไปแต่งตัวในห้องน้ำได้สักพักก็ออกมา

"ไปกันเถอะครับนาย เราสายแล้ว..."

องค์กร

[อานนท์]

เขาคลุกคลีอยู่ในวงการมาเฟียนี้ไม่ต่ำกว่าสิบห้าปีเข้าแล้ว ชีวิตของเขาก็เหมือนแขวนไว้กับเส้นตายบางๆเส้นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะพาร่างของเขาตกลงสู่ความตายเมื่อไร

อานนท์เป็นลูกครึ่งไทยอิตาลี ดูได้จากผิวที่ขาวซีดและดวงตาสีครามมรกต ส่วนใบหน้าออกมาทางเอเชียผสมตะวันออกอย่างลงตัวเรียกได้ว่าเป็นใบหน้าที่ใครเห็นก็ชวนมอง

เขาชอบการซุ่มยิงเป็นหลัก อาวุธถนัดที่คนในวงการรู้จักกันดีคือไรเฟิล พวกเขาให้ฉายาเขาว่า 'สไนเปอร์มือหนึ่งของวงการ' ที่หาตัวจับยากยิ่งกว่าใคร และยังเป็นตัวอัตรายของวงการที่ต้องค่อยระวัง เขาคิดว่าการยิงให้ตายในนัดเดียวคือความเมตตาที่สุดแล้ว มันไม่ทรามาณ หรือเจ็บปวดอะไรมากนัก แล้วอีกอย่างคือเวลาฆ่าเสื้อสีขาวตัวโปรดของเขาก็จะไม่เปื่อาคราบเลือดสีแดงพวกนั้นด้วย 

"นนท์....."

เสียงทุ่มต่ำดูดุดันนั้นทำให้อานนท์หันไปตามเสียงเรียกของคนข้างกาย นัตน์ตาสีนิลสวยที่จับจ้องมองเขาด้วยสายตาแพรวพราวและรอยยิ้มเล็กน้อยอยู่เสมอนั้นทำเขาใจอ่อนลงทุกครั้งไป และทุกครั้งที่ตอบกลับไปเสียงมักจากอ่อนลงสามส่วนให้คนตรงหน้าเสมอ

"ครับนาย..."

"คุยงานวันนี้เสร็จ มึงพากูไปเที่ยวรอบเมืองนะ กูอยากไปผ่อนคลายบ้าง"

"นายครับ...มันอันตราย"

"มีมึงอยู่กับกูทั้งคน กูไม่ตายหรอก มึงจะให้กูอูดอู้ทำแต่งานเป็นเดือนเป็นปีไม่ให้พักเลยหรอว่ะ กูประสาทแดกตายกันพอดี"

"...."อานนท์เงียบไม่พูดอะไร มองดูท่าทีอีกฝ่ายเล็กน้อย เจ้าตัวดูจะอารมณ์ขึ้นลงบ่อยมากเหลือเกิน

"หรือมึงว่าไม่จริง?...."เจ้าตัวตอกย้ำกลับมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

".....ตามนั้นครับ"

ยังไงเขาก็พูดอะไรมากกว่านี้ไม่ได้อยู่แล้ว อีกฝ่ายอยากจะทำอะไร เขามีหน้าที่เพียงอำนวยความสะดวกให้ทุกวิถีทาง ถึงจะพูดห้ามบ้างแต่ก็อยู่ในโหมดที่ไม่จริงจังเลยสักครั้ง

ช่วงนี้นายเองก็คงเหนื่อยทั้งงานเอกสารและงานพบปะสัมพันธ์ทางธุระกิจรวมถึงการเดินทางที่เดือนนี้ทั้งเดือนยังต้องบินไปกลับต่างประเทศเป็นว่าเล่น เขาเองก็รับงานหนัก เพราะนายเล่นส่งคนไปให้นายน้อยกันหมด แม้แต่ภูเมฆยังถูกส่งไปเลย

ตอนนี้คนข้างกายนายที่ทำงานแทนได้หมดทุกหน้าที่ก็คงจะมีแค่เขาแล้ว

"เชิญครับคุณวี...."เมื่อเราเดินมาถึงห้องชุดที่จองไว้กับทางโรงแรมเพื่อพบปะพูดคุยกันงานสำคัญในครั้งนี้ ก็มีชายชุดสูทดำยืนขนานประตูรอพวกเราอยู่ นั้นหมายความว่าฝ่ายนั้นมารอก่อนแล้ว

พอเปิดประตูห้องชุดเข้าไป สิ่งแรกที่ได้ยินทำให้เขาหยุดชะงักฝีเท้าไป

"ไง...ลูซี่"

สำเนียงภาษาที่แปลกหูมาพร้อมร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีขาวดำ ใบหน้าดูหล่อเหล่าและอ่อนเยาว์เหมือนเด็กหนุ่มที่พึ่งจะเข้าช่วงอายุยี่สิบมาไม่นาน

"..."อานนท์เงียบมองหน้าคนทักก่อนจะนิ่งไป

การตามมาคุยงานครั้งนี้เล่นเขาปวดหัวขึ้นมาทันทีที่ได้เจอหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้  ผู้มีสัญชาติสเปนแท้ ที่มาพร้อมดวงตาสีมรกตตรงหน้าเขา รอยยิ้มที่ส่งมาให้เหมือนไม่ได้ดูมีเจตนาดีเลยสักนิด มันทำให้เขานิ่งค้างไปชั่วขนาดที่ได้เจอเข้ากับคนตรงหน้า

อย่าบอกนะคนที่มาคุยงานด้วยในครั้งนี้ไม่ใช่มิสเตอร์จอร์คนพ่อแต่กลับส่งลูกชายตัวดีของเขามาคุยงานแทน ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเขาว่ามันคงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิดไว้สักเท่าไร

"พี่สบายดีใช่มั้ย?"

"...."

"ไม่เอาสิพี่อย่าทำหน้าแบบนั้น พอผมได้ยินว่าพี่จะมาคุยงานในครั้งนี้ด้วย ผมรีบขอพ่อมาคุยแทนเลยนะ พี่ควรดีใจสิที่ได้เห็นหน้าผมหน่ะ"

"...."

"นนท์...."

อานนท์หันไปตามเสียงเรียกของนายที่ขมวดคิ้วมองมาทางเขาเหมือนอยากจะถามถึงสถานการณ์  

"นายครับ...นี้คือ'คาเตอร์ ฟลอเรส' ลูกชายคนเล็กของ มิสเตอร์จอร์ "

"เดียวนี้เขาส่งเด็กมาคุยงานแทนแล้วหรอ ถ้าไม่ว่างก็ควรจะติดต่อมาบอกกัน ไม่ใช่จะส่งใครมาแทนมั่วสั่วแบบนี้สิ" 

อานนท์มองเข้าไปในสายตาของพิภพ รับรู้ถึงประโยคในใจที่เจ้าตัวไม่ได้พูดมันออกมา  อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะด่ากราดไปสักประโยคสองประโยคแล้ว ส่วนตัวเขาก็ต้องเป็นคนตามเคลียร์ให้ด้วยลูกกระสุนอีกตามเคย

ถึงว่านายให้เกียรติทางนั้นมากพอควรเพราะ อาวุธในครั้งนี้จะเป็นคลังอาวุธที่สำคัญของเรา ถ้าของถึงฝั่งก็จะสำเร็จไปด้วยดี มันจะดีกว่าถ้าเรามีอาวุธพวกนี้ไว้ในมือเพื่อใช้ในยามจำเป็น

"หืม~ นี้เจ้านายพี่หรอ"

คาเตอร์ยืนลวงกระเป๋ากางเกงแบบไร้มารยาท มองสำรวจนายของเขาด้วยแววตาประหลาดใจ พิภพเองเมื่อเห็นเด็กมันทำท่าทางไร้ความเครพแบบนั้นใส่ก็เหยียดยิ้มเย็นส่งกลับให้ ทั้งคู่จ้องตากันเหมือนมีประกายไฟแลบผ่าน

"เรื่องจริงสินะที่เขาบอกว่า พี่เป็นคนเดียวใน เจ็ดบาป ที่รับใช้คนอื่นเป็นนายอะ"

"....."

"อย่างพี่เนี่ย...สร้างแก๊งเองก็ยังได้เลย ทำไมถึงมาจมปลดอะไรกับ...."

คาเตอร์ปราดตามองพิภพเล็กน้อยให้รู้ถึงคำที่ไม่ได้พูดออกมา อานนท์ทำหน้านิ่งๆไม่พูดตอบอะไร แต่กับคนข้างตัวนั้นไม่ใช่  

"นนท์ มึงยิงเด็กนี่ทิ้งให้กูได้มั้ยวะ"

"ไม่ได้ครับนาย...ผมยังไม่อยากวิ่งฝ่ากระสุนตอนนี้หรอกนะครับ เห็นใจผมด้วย"นั้นลูกชายนักค้าอาวุธรายใหญ่เลยนะ จะมีเรื่องด้วยก็เตรียมปืนให้ได้มากว่าเขาละกัน

"เหอะ!...."

"อย่าคุยภาษาประเทศตัวเองกันสิครับ มันเสียมารยาทกับแขกแบบผมนะ"คาเตอร์เอ่ยออกมาเสียงขุ่นเมื่อทั้งคู่สทนากันเองโดยไม่หันมาสนใจเขาเลย

"มันมีกับเขาด้วยหรอมารยาท"

"นายครับ..."

อานนท์พูดห้ามออกไปเบาๆ มองสบตานายตัวเองเพื่อสื่อความหมายผ่านดวงตา พิภพสะบัดหน้าหนีทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่ก็ไม่พูดกระทบอะไรออกมาอีก

ก่อนที่อานนท์จะหันไปมองคาเตอร์ที่ยังคงยืนจกกระเป๋ากางเกงยิ้มหน้าระรืนส่งมาให้เขา

นี้ก็อีกคน...

"อย่าเสียมารยาท..."

 อานนท์พูดบอกคาเตอร์ด้วยภาษาสเปน น้ำเสียงออกไปทางเย็นชา ถึงแม้ใบหน้าของเขาจะระบายยิ้มอ่อนๆส่งไปให้แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ถึงดวงตา แน่นอนที่เขาต้องพูดประโยคนี้ด้วยภาษาเของอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้นายฟังออก เพราะดูเหมือนการเจรจาในครั้งนี้ ผู้มาเจรจาไม่ได้อยากจะคุยงานกับเข้านายของเขาในครั้งนี้แม้แต่น้อย แต่มาเพื่อคุยกับตัวเขามากกว่า  

คาเตอร์เมื่อได้ยินดังนั้นก็ทำเพียงยักไหล่รับคำ พร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนยอมจำนนท์

"ok ผมไม่กวนแล้วก็ได้ แต่พี่ต้องหาเวลามาคุยกับผมนะ ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกพี่"

"ก่อนจะคุยกัน...มาเคลียร์งานกันก่อนดีมั้ย?"

เมื่อเจ้าตัวเล่นพวงงานพ่อตัวเองมาด้วยก็ต้องรีบตกลงให้มันจบไป เขาเองก็ไม่อยากให้เรื่องงานปนกับเรื่องส่วนตัวอย่างอื่น มันยุ่งยาก

"ไม่จำเป็นหรอก...ผมเซ็นให้เลย"

คาเตอร์กลับไปเอาเอกสารบนโต๊ะแล้วยื่นมันส่งมาให้เขา ดูเหมือนจะเซ็นไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนี้พวกเขาไม่แม้แต่จะได้นั่งกันเลย เพราะต่างฝ่ายต่างสำรวจกันไปมา พอจะได้คุยงานหน่อย การเจรจาก็จบไปเรียบร้อยโดยแทบจะไม่ได้ทำอะไร มีเพียงแค่กระดาษสัญญาใบเดียวเท่านั้นที่ทุกยืนส่งมาให้

"......"

"อาวุธพวกนั้นแค่ถึงฝั่ง มันจะเป็นของพี่ทันที ผมแถมเพิ่มให้ด้วยนะ ที่เหลือพี่จะทำยังไงกับมันก็สุดแล้วแต่พี่เลย"

" ค่าของก็ส่งบิลมาทางอีเมลแล้วกัน"

"ไม่มี....ครั้งนี้ผมให้พี่"

"หึ เด็กน้อยนี้ไม่ใช่ที่เล่นขายของ ก่อนจะพูดอะไร นึกถึงหน้าพ่อนายด้วย"

พิภกพูดดักขึ้น เมื่อได้ยินเด็กตรงหน้าทำตัวอวดดีเหมือนคนไม่รู้ความ นี้คือการค้าขายที่มีมูลค่าและความเสี่ยงที่สูง เล่นแจกจ่ายของไปทั่วจนลืมคิดไปแล้วมั้งว่ามันคือปืนสงครามไม่ใช่ขนม

"ไม่จำเป็นมั้ง...จริงมั้ยพี่ ค่อยๆอธิบายให้เขาเข้าใจหน่อยสิ "

"....."อานนท์ทำได้เพียงนิ่งมองเด็กหนุ่งตรงหน้านิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป เราต่างรู้ดีว่าตรงไหนควรพอ

"แล้วเรื่องที่ผมจะคุยละ..."

คาเตอร์ถามขึ้นด้วยภาษาสเปน นั้นทำให้เขารู้ทันทีว่าเรื่องนี้ไม่อยากให้คนข้างๆรับรู้ เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนจะตอบกลับไปด้วยภาษาเดียวกันกับที่ถาม

"ตอนนี้...พูดมาสิ"

"พี่รู้ตัวมั้ย...ว่าตอนนี้ตัวเองมีค่าหัวแล้วนะ"

"....."

"ในวงการดูจะครึกครื้นไม่น้อยเลย ตามข่าวหน่อยนะพี่"

"เข้าเรื่องเถอะ..."

"องค์กรเรียกรวมตัววันที่สิบห้าเดือนนี้ เห็นบอกกันว่าถึงช่วงรับภารกิจแล้ว พี่ก็มาด้วยล่ะ"

คาเตอร์ตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้เล็กน้อยส่วนเขานั้นทำเพียงปราดตามองอีกฝ่ายด้วยแววตาซับซ้อนกลับไปเท่านั้น

"เอาเถอะ จริงๆผมไม่มีอะไรแล้ว แค่มาเตือนพี่เฉยๆ เห็นช่วงนี้เงียบหายไป ไม่ค่อยได้ติดต่อกลับมาหากันบ้าง เลยเป็นห่วง"

คาเตอร์พูดมันออกมาด้วยรอยยิ้ม ในขนาดที่อานนท์ทำเพียงนิ่งฟังสิ่งที่เอีกฝ่ายพูด และแปลความหมายในน้ำเสียงและท่าทางที่ได้เห็นนั้นอย่างเฉยชา

".....''

"พี่ก็รู้ว่าผมน่ะ ช่างเถอะ" พอเจ้าตัวเห็นท่าทางของเขาที่นิ่งสนิทไร้การโต้เถียงแบบนั้นก็ยักไหล่ เงียบเสียงลงไป

"เดียว..."

อานนท์พูดเรียกอีกฝ่ายเสียงเบา ก่อนที่คาเตอร์จะหันกลับมามองด้วยความสงสัย เขายื่นของในมือที่ลวงออกมาจากกระเป๋ากางเกงมาก่อนหน้านั้นส่งออกไปให้อีกฝ่าย

" คอนโด shade rags ชั้นบนสุด โซนเลี่ยงเมือง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ไปที่นั้นได้ "

คาเตอร์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นของในมือที่ถูกยื่นมาให้ เจ้าตัวมองเขาด้วยความลังเลและสับสน ยืนมองของในมืออยู่นานก่อนจะรับมันไปใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ

"ผมคิดว่าพี่จะให้อะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้มาสักอีก...."ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ลึกๆแล้วคาเตอร์เองก็แอบสนใจของที่ได้รับมาอยู่ไม่น้อย 

"มันจะมีประโยชน์เมื่อถึงเวลาของมัน"

"งั้นเหรอ ผมจะเชื่อละกัน.." เพราะเขาว่ากันว่าเชื่อผู้ใหญ่มักจะได้ดีจริงมั้ย?

"ฉันก็ขอแก้ความเข้าใจผิดสักหน่อย..."

"หืม?..."

"ที่ฉันอยู่คือครอบครัวไม่ใช่แก๊ง"

คำว่า'แฟเมอรี่'สำหรับวงค์การมาเฟียแล้วมันคือกลุ่มมาเฟียที่ตั้งขึ้นจากชื่อเสียงวงค์ตะกูล เป็นขนาดที่ใหญ่กว่าแก๊งมาก มีแบบแผนขึ้นตรงต่อหัวหน้าตระกุลและเคารพสมาชิกในสายเลือดเดียวกัน

อาจจะแปลกที่เขาพูดไปแบบนั้น แต่ก็จริงที่เขาสามารถจะสร้างกลุ่มแก๊งออกมาซะกี่แก๊งก็ได้ในชีวิตนี้ แต่ทำไมเขาถึงยังเลือกที่จะอยู่ตรงนี้ เพราะไม่ว่าตัวเขาจะอยู่ที่ไหนก็คงจะเหมือนกัน หรือมันเป็นเพราะคนข้างๆกายในตอนนี้หรือเปล่าที่ทำให้มันแตกต่างไป

อานนท์เหลือบไปมองคนข้างกายเล็กน้อย ตัวเขาเองก็กำลังมองมาทางผมอยู่ด้วยแววตาที่อ่านยาก ก่อนที่จะระบายรอยยิ้มส่งกลับมาให้

"มาเฟียไม่ใช่นักเลง"

เสียงทุ้มต่ำข้างกายเขาพูดต่อประโยคของอานนท์ด้วยภาษาสเปน ทำเอาอานนท์ที่มองอีกฝ่ายอยู่ต้องนิ่งชะงักไป เรามองสบตากันนานอยู่หลายวิ 

คาเตอร์มองภาพตรงหน้านั้นด้วยความสับสนแล้วเหมือนจะจุดประกายความเข้าใจบางอย่างในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้ 

แบบนี้มันก็....

"ครับ....ผมมันก็เป็นแค่พ่อค้าอาวุธเถื่อน ไม่ใช่มาเฟียแบบพวกคุณหรอกนะ  ไม่เข้าใจหรอกความหมายแบบนั้นหรอก  งั้นผมของตัวก่อน"

เมื่อลับสายตาจากเด็กหนุ่มที่เดินออกไปทั้งแบบนั้น พูดบอกลากันเพียงสั้นๆได้ใจความ บทจะไปก็ไปง่ายๆจนต้องประหลาดใจ ทั้งห้องจึงตกอยู่ในความเงียบไปอย่างกระทันหัน

"ไอ้เด็กนี่...แม่งมารยาทเสีย"เขาสบดด่าคาเตอร์เสียงเข้ม หลังจากที่เจ้าตัวได้ออกจากห้องไปแล้วสักพัก นี่มันส่งเด็กมาเล่นขายของชัดๆ!

"ผมก็พึ่งรู้ว่านายพูดภาษาสเปนได้"

"ไม่ใช่แค่พูดได้นะ กูฟังออกด้วย"

เขาพูดพร้อมยิ้มออกมา มันเป็นรอยยิ้มที่ดูสนุกและพอใจเป็นอย่างมาก นั้นหมายความว่าเขาเข้าใจและรับรู้ทุกอย่างที่เขาพูดกับคาเตอร์ไป ทำเอาหน้าร้อนแผ่วขึ้นมา จึงหันหน้าหนีดวงตาสีนิลคู่นั้นของอีกฝ่ายอย่าเผลอตัว

"มีความสุขมากหรอครับ..." อานนท์พูดเสียงประชดตอกกลับเจ้าตัวไป รู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยกับรอยยิ้มยี่ยั่วกวนอารมณ์นั้นของอีกฝ่ายที่ส่งมาให้

"...มาก" คนตรงหน้าไม่เคยเปลี่ยนเลย ไม่ว่าจะรู้สึกยังไงก็ตอบกลับมาตามตรงเสมอ แต่มันทำให้คนฟังแบบเขาไปไม่ถูกทุกครั้งไป

"แล้วมึงละ ไปรู้จักกับเด็กนั้นตอนไหน?"

"ก็เขาเป็นคนในองค์กร แล้วยังเป็นหนึ่งในเจ็ดที่ถูกเลือก"

" ไอ้เด็กนั้นอ่ะนะ"พิภพขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

 " องค์กรของมึงเอามาตรฐานอะไรมารับคนเข้ากัน นั้นเด็กกะโลกกะลาเลยนะ "ท่าทางอวดดี ไม่สนแม้แต่ผลประโยชน์หรือกำไรที่จะได้จากการค้าขายในครั้งนี้ด้วยซ้ำ คิดว่ามาเที่ยวเล่นหรือยังไงกัน?

"ก็คงจะคล้ายกับผมละมั้งครับ"พอพูดไปแบบนั้น พิภพก็มีท่าทางเงียบลง ก่อนเจ้าตัวจะมองเขาที่มีทางทีเปลี่ยนไปกระทันหันด้วยความรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยที่พูดไปแบบลืมตัว

"อืม ก็ใครมันจะไปรู้ละว่าแค่ให้มึงไปยิงคนทิ้งจะทำให้มึงต้องกลายเป็นสมาชิกองค์กรอะไรนั้นด้วย ไร้สาระ จริงๆมึงไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวก็ยังได้"

ครั้งหนึ่งช่วงที่ทั้งเขาและนาย เข้าวงการมาเฟียแรกๆ ไม่ค่อยรู้ตื้นลึกอะไรในวงการมากนัก มีปัญหากับใครเข้าก็ถือคติฆ่าให้ตายก็สิ้นเรื่อง ไม่ว่าจะใหญ่มาจากไหน เคยมีอำนาจบารมีมากแค่ไหน แค่ไร้ลมหายใจสิ่งเหล่านั้นก็ไร้ค่าอยู่ดี แต่นั่นกลับกลายเป็นว่า เขาเองต้องเข้าไปพัวพันกับกฎขององค์กรลับที่คัดคนเข้าองค์กรอย่างแปลกประหลาด เพียงเพราะได้ไปฆ่าหนึ่งในสมาชิกขององค์กรเข้า

สำหรับเขาข้อดีของการเป็นสมาชิกในองค์กรนี้มีเพียงอย่างเดียวคือ ข้อมูลข่าวสารและผลประโยชน์จากสมาชิกคนอื่นในองค์กรที่แต่ละคนก็ไม่ต่างจากตัวบักในวงการที่หาตัวจับได้ยาก อานนท์มองว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเราไปอีกนาน จึงได้เข้าร่วมแบบที่ไม่ขัดขื่นใจอะไรมากนั้น 

แต่พอเอาเข้าจริงเขากลับรู้สึกว่ามันดูจะยุ่งยากขึ้นทุกที...ยิ่งองค์กรมีประโยชน์กับเขาเท่าไร ก็เรียกร้องผลประโยชน์จากสมาชิกอย่างพวกเขามากขึ้นเท่านั้น

ถึงจะคิดได้เอาตอนนี้ก็คงบ่นอะไรมากไม่ได้ แต่การไม่ถูกผูกมัดก็ย้อมดีกว่าอยู่แล้วจริงมั้ย?

"แล้วไอ้เด็กนั้น ไปฆ่าโดนใครในองค์กรเข้าหรือไง?"พิภพทำหน้าไม่เชื่อว่า เด็กคนนั้นจะยิงใครโดนด้วย ท่าทางอวดเป้งถือดีปานนั้น..

"กรณีของคาเตอร์ คือเขาได้รับสืบต่อจากปู่เขาอีกทีนะครับ"พิภพทำขมวดคิ้วขึ้นอย่าประหลาดใจเมื่อได้ยินแบบนั้น

" หือ? มีการส่งต่อผ่านลูกหลานด้วยหรอ ก็ว่าท่าทางอย่างนั้นจะไปยิงใครได้"

"อย่าดูคนแบบนั้นสิครับนาย...ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้วแท้ๆ" อานนท์ส่ายหัวให้ความคิดอีกฝ่ายอย่างช่วยไม่ได้ ความประมาทเลินเล่อของเจ้าตัวยังคงทำเขาวางใจไม่ได้สักที เป็นถึงมาเฟียใหญ่ที่ปกครองคนหลักร้อยแล้วแท้ๆ

"หึ...ท่าทางกวนประสาทแบบนั้นของเด็กนั้นเหมือนมึงเมื่อก่อนไม่มีผิด"

อานนท์ยิ้มรับเบาๆ ยอมรับว่าตัวเขาเองก็เอ็นดูคาเตอร์ไม่น้อย อาจจะด้วยความถูกชะตาอย่างหน้าประหลาดหรือความรู้สึกคล้ายคลึงกันในบ้างเรื่อง

"เขามีพี่ชายอีกสองคนนะครับ นายไม่คิดว่ามันแปลกหรือที่เขาได้รับสืบทอดโดยที่ปู่ของเขาไม่แม้แต่จะแลพี่ชายอีกสองคนของเขาเลย"

"หืม?"

"ผมเคยร่วมงานกับปู่ของเขาก็หลายครั้ง คนแบบนั้นไม่เลือกผู้สืบทอดแบบขอไปทีหรอกครับ"

"....."

"อย่างน้อยก็ต้องมีดีอะไรในตัวบ้างแหละ"

"งั้นเหรอ..."พิภพตอบรับเบาๆ ก่อนจะมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มเฉยชา

''กูแปลกใจมากกว่า ที่เลือกทายาทข้ามรุ่นกันแล้ว"อานนท์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพิภพพูดประโยคนั้นจบ

ยอมรับว่าอดที่จะคิดตามเขาไม่ได้  แต่ถึงจะคิดไปก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี เรื่องในครอบครัวคนอื่นมีหรือคนนอกจะเข้าใจ

นายเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง เขาคงจะไม่ชอบหน้าคาเตอร์จริงๆ ดูจากน้ำเสียงที่ตอบรับหรือท่าทางเวลาพูดถึงเด็กคนนั้น

ก่อนที่อยู่ๆ นายจะทำหน้าครุ่คิดอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีเลย มันมีทั้งความโกรธแล้วความกลัว? ในเวลาเดียวกัน แววตาสีนิจคู่นั้นหันมองมาทางเขา

"แล้วถ้ามีคนฆ่ามึงได้?" อานนท์ขมวดคิ้วมองคนพูดเล็กน้อย อยู่ๆก็มายิงประโยคนี้ใส่กันเลยหรอ? ความตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร แต่โดนพูดแบบนี้ใส่ก็สร้างความหวาดระแวงให้ได้เช่นกัน

"เขาก็อาจจะได้เป็นต่อจากผม" อานนท์พูดตอบกลับไปเสียงเบา ยืนจ้องมองสบตาสีนิลของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มบาง

"แต่คนละรุ่น...เหมือนที่ผมต้องร่วมงานกับสมาชิกรุ่นก่อนเพื่อรอครบจำนวนคนในรุ่นของผมจึงจะรับทำภารกิจได้"

"หึ...เอาไปทำไรได้กัน ก็แค่ฉายางี่เง่าในวงการสีเทา"ประโยชน์ที่ทางตระกูลของเขาพอจะได้รับจากองค์กรบ้านั้นก็มีแค่ชื่อเสียงของคนตรงหน้าที่ทำให้ไม่มีกลุ่มแก๊งไหนกล้าลงมือหรือพวกข้อมูลข่าวสารที่ไวกว่าและเป็นจริงเท่านั้น

" ผมว่าที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ ดูมันมืดสนิดแทบจะหาแสงเล็ดลอดเข้ามาไม่เจอด้วยซ้ำ" อานนท์ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

มือข้างนี้ฆ่าไปแล้วตั้งกี่ศพ....ชี้เป็นชี้ตายคนมาแล้วกี่หน ตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ดี

พิภพเงียบมองคนข้างกายด้วยแววตาสั่นไหวใบหน้าคมคายของเจ้าตัวไม่เหมาะที่จะทำหน้าแบบนี้ใส่กันเลยจริงๆ

"กูขอโทษ..."อานนท์ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำขอโทษนั้น 

"..มันไม่ได้หนักหนาอะไรขนาดนั้นครับนาย ผมเพียงแค่บ่นไปเท่านั้น"

"กูยังอยู่ตรงนี้"พิภพพูดเสียงหนักแน่น มองสบสายตาสีครามสวยของคนตรงหน้าอย่าจริงจัง

"....."

"กูไม่ให้มึงตายหรอก"

"ครับ...นาย"

คำพูดไม่กี่คำนี้ ทำให้อานนท์รู้ว่าอย่างน้อยต่อให้ต้องตายไปจริงๆ ก็ไม่เป็นไรเลย เพราะมั่นใจได้ว่าศพของเขาจะไม่ไปเน่าอึดที่ไหนให้ใครเดือดร้อนแน่นอน ผู้ชายตรงหน้าเขาตอนนี้ ตัวเขาจำแทบไม่ได้แล้วว่าเราอยู่ด้วยกันมาตั้งกี่ปี รู้เพียงว่าไม่มีช่วงไหนในชีวิตนี้ที่ไม่มีเขาข้างกาย

ไม่มีเลยจริงๆ....

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!