ถ้าหากอายุครบยี่ห้าปีเมื่อไร ต้องรีบกาคนมาเป็นแฟนด่วนๆ ไม่อย่างนั้นจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไปชั่วชีวิต แล้วทำไมหวยต้องไปออกที่เจ้านายจอมโหดอย่างคุณสามภพด้วยเล่า
"ชิดซ้ายหน่อยพี่ พี่ชิดซ้ายหน่อย!"
"ชิดขวาหน่อยพี่ๆ ขยับให้คนเข้ามาใหม่ด้วย"
เออเว้ย สรุปจะให้ชิดซ้ายหรือขวากันแน่... ไอ้เราก็ไม่ได้แยกร่างเป็นเสียด้วยสิ
พลั่ก!
"ขอโทษครับ"
"ไม่เป็นไรครับ..."
มือน้อยลูบแขนที่ถูกชนป้อยๆ อดที่จะบ่นงุบงิบภายในใจไม่ได้
'รู้งี้ขี่ไม้กวาดไปงานก็ดี'
แน่นอนว่าประโยคที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าเกิดบ่นลอยๆ ด้วยเสียงดังก็คงไม่วายโดนมองด้วยสายตาแปลกประหลาดแหงๆ ดังนั้นเปียกปูนจึงทำตัวให้ลีบเล็กมากที่สุด รับบทเป็นมนุษย์ออฟฟิศที่ขึ้นรถเมล์ไปทำงาน 'บ้าง' เป็นบางครั้ง
ง่วงนอนจัง ร้านกาแฟรถเข็นวันนี้จะเปิดหรือเปล่านะ
ว่าแล้วก็ขออารัมภบทสักหน่อย คนที่กำลังยัดตัวเองอยู่ในรถเมล์นั้นคือเปียกปูน นายปุณธนัช มนตราสถิต มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัท นั่งทำงานหน้าคอมพ์ตั้งแต่แปดโมงจนถึงสี่โมงเย็น เป็นสิ่งมีชีวิตตัวประกอบเกรดซีที่ไม่อยาหมีเรื่องกับมนุษย์ทุกคนบนโลก
เปียกปูนกลัวมนุษย์... เพราะคุณแม่เอาแต่พูดว่าพวกมนุษย์น่ากลัวกว่าปีศาจอีก และเขาก็คิดว่าจริงนั่นละ มนุษย์น่ะน่ากลัวจะตายไป เอะอะก็หาเรื่องกัน ไม่ตีรันฟันแทงก็ฆ่าอย่างเลือดเย็น ออกข่าวในหนังสือพิมพ์หรือไม่ก็ทีวีทุกวันจนดูเป็นเรื่องปกติ
ดวงตาคู่สวยมองคนบนรถเมล์ที่เบรกดังเอี๊ยด คนที่ยืนแทบหกคะเมนตีลังกา
" อย่าเบียดกันพี่ๆ เอ้าใครจะลงป้ายหน้าเตรียมเดินมารอเลย"
คนขับรถเมล์ที่เป็นมนุษย์ก็น่ากลัว กระเป๋ารถเมล์ยิ่งน่ากลัวกว่า ยืนกายกรรมเปียงยางได้ตั้งแต่เช้ายันเย็น... นี่มันผิดปกติเกินมนุษย์มนาแล้ว เปียกปูนคนนี้ขอฟันธงด้วยเลยเอ้า!
ครั้นเมื่อเห็นว่าถึงเวลาต้องลงจากรถเมล์แล้วเปียกปูนจึงทำตัวให้ลีบแบนกว่าเดิม ค่อยๆ แทรกฝูงชนเพื่อลงป้ายใกล้กับที่ทำงานของตน มือซ้ายยกขึ้นเพื่อดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่าตัวเองยังเหลือเวลาอีกมากพอสมควรก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ท่อนขาเพรียวก้าวผ่านฟุตบาทที่แตกระแหง ร้านกาแฟรถเข็นหนาแน่นไปด้วยมนุษย์ออฟฟิศที่ต่อแถวกันยาวเหยียด ช่วยการันตีได้ว่าคุณลุงเจ้าของร้านคงจะชงอร่อยขั้นเทพ
เปียกปูนอยากลองชิมกาแฟ แต่ก็กลัวว่าเขาอาจจะเข้างานสายได้ ดังนั้นคงต้องตัดใจดีกว่า
"จริงด้วย เดี๋ยวสั่งกาแฟจากมนตร์มันตราก็ได้นี่"
มือน้อยทุบกำปั้นลงบนฝ่ามือ ร้องอ้อออกมาด้วยนํ้าเสียงตื่นเต้น แล้วเดินตัวปลิวมาจนถึงตึกบริษัทขนาดใหญ่ ก่อนที่จะก้าวเข้าไปด้านในด้วยท่าทางระแวดระวัง
"อ้าวคุณภพ! สวัสดีครับ"
ทันใดนั้นเองที่เปียกปูนต้องเบรกตัวเองดังเอี้ยด ชะงักกึกเพราะคำพูดของเพื่อนพนัดงานด้วยกัน
บ้าน่า วันนี้คงไม่ได้มาพร้อมกันหรอกมั่ง อุตส่าห์สวมเสื้อสีมงคลมาแล้วนี่นา สีเสริมดวงเรื่องความรักเลยนะเฮ้ย
ดวงตากลมโตจ้องมองเสื้อเชิ้ตสีขาวด้วยท่าทางตื่นตระหนก ค่อยๆ หันหลังอย่างระมัดระวัง
"สวัสดีครับคุณชัย
เสียงนิ่ง ๆ แบบนี้ หน้าตาดุๆ นี้
"ทานข้าวหรือยังครับ"
"ผมทานเรียบร้อยแล้วครับ
นั่นมันเจ้านายของเปียกปูนนี่...
ทันทีที่ได้ยินเสียงของสามภพ เปียกปูนก็เผลอท่องคาถาอะไรสักอย่างออกมาเสียงสั่นเครือ
"อ้าว อยู่ๆ ก็มีนกบินว่อนหน้าบริษัทของเราอีกแล้ว"
เหล่าพนักงานทั้งหลายอ้าปากค้าง จ้องมองนกพิราบที่กรูเข้ามาเกาะบนเสาไฟด้วยท่าทางตกตะลึง
"แปลกจริงๆ พวกมันจะรอคุณภพหน้าบริษัทตลอดเลย นี่ไม่ได้เลี้ยงไว้ที่บ้านใช่ไหม"
"ผมไม่ชอบเลี้ยงสัตว์ครับ"
เอ่อ... ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะนั่น
ว่าแล้วเจ้าเปียกปูนก็ทำตัวให้ลีบจนแทบติดผนัง ค่อยๆ กระเถิบออกห่างจากวงสนทนาของเหล่าพนักงานอย่างเงียบไป
"หรือว่าจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง เรื่องเหนือธรรมชาติอะไรพวกนั้น"
"เรื่องแบบนั้นมีจริงด้วยหรอครับ
ว่าไปนั้น... พ่อมดมีจริงนะครับคุณภพ
และใช่ เปียกปูนน่ะเป็นพ่อมด... พ่อมดที่ใช้เวทมนตร์ได้ล้านเปอร์เซ็นต์ ต้นตำรับพ่อมดที่สืบทอดเชื้อสายมาจากบิดาและมารดา เขานั้นมีเวทมนตร์มาตั้งแต่เกิด พอสามขวบก็ได้จับไม้คทาก่อนช้อนกินข้าวเสียอีก และก็จะเป็นไปยันตายนั่นละ
ทว่าชายหนุ่มเป็นพ่อมดที่ค่อนข้างกลัวพวกมนุษย์ เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่แสนเจ้าเล่ห์
ส่วนสามภพ เปียกปูนยกให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวกว่ามนุษย์อีกขั้นหนึ่ง
เปียกปูนชอบคนที่ค่อนข้างใจดี ขณะที่คุณภพไม่ค่อยยิ้ม ในสายตาของเปียกปูน คุณสามภพมีบุคลิกเหมือนพวกผู้ร้ายในหนังโรคจิตนิ่งๆ และมักจะเด็ดขาดอยู่เสมอ เลยได้รับความไว้วางใจจากผู้หลักผู้ใหญ่ในบริษัท
บางทีในกระเป๋าทำงานทรงสี่เหลี่ยมอาจจะเต็มไปด้วยปืนและมีดพกก็ได้ ใครจะไปรู้ล่ะ...
ดังนั้นการรักษาเนื้อรักษาตัวจึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เปียกปูนยังคงเอ็นจอยกับชีวิตทุกวันนี้ ดังนั้นสามภพและเปียกปูนจึงไม่ค่อยได้พูดคุยกันบ่อยนัก บางครั้งสามภพเอ่ยปากทักทายอย่างเช่น สวัสดีครับ เปียกปูนกลับผงกหัวศีรษะรับคำอย่างเร่งรีบ ก่อนจะติดสปีดเกียร์ หมาวิ่งหนีไปเข้าห้องนํ้าด้วยเหตุผลโง่ๆ อย่างเช่นปวดท้องหนักอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ
วันนี้ก็เช่นกัน ดวงตากลมโตจ้องมองสามภพและเหล่าพนักงานที่รุมล้อมเขาอยู่ด้วยท่าทางสงสัยเต็มแก่
ทำไมถึงไม่มีใครกลัวคุณสามภพเลยนะ ทั้งๆ ที่น่ากลัวขนาดนั้นแท้ๆ
ริมฝีปากสีสดบ่นมุบมิบ จ้องมองประตูลิฟต์ที่ค่อยๆ ปิดอย่างช้าไป
ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ๆ สามภพก็เงยหน้าขึ้นมองเปียกปูนที่กำลังยืนอยู่ในลิฟต์ที่กำลังจะปิด
ทันทีที่พวกเขาสบตากัน ใบหน้าของเปียกปูนก็พลันซีดเผือก หัวใจดวงน้อยเต้นตึ้กตั้ก พานจะเป็นลมขึ้นมาดื้อๆ
ถ้าตาไม่ฟาด ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะยิ้มให้เปียกปูนด้วยนี่
"นกมาเพิ่มอีกแล้วคุณภพ! สงสัยต้องเรียกเทศบาลมาไล่แล้วละ ถ้าอึราดเต็มบันไดคงแย่เลย"
ดวงตาของเปียกปูนต้องมองตู้ชงเครื่องดื่มอัตโนมัติของบริษัทอย่างตื่นเต้น ยิ่งเห็นว่าสามารถเพิ่มนํ้าตาลกับครีมเทียมได้ก็ยิ่งส่งเสียงออกมา
"โอ้ มีซองนํ้าตาลออกมาด้วย
... เพราะว่าวันนี้เป็นวันแรกที่บริษัทยกตู้กดเครื่องมือมาตั้ง พนักงานจากแผนกต่างๆ จึงออกมาต่อแถวกันอย่างคับคั่ง ชะรอยว่าจะเป็นของพวกเห่อของใหม่ตั้งแต่ฝ่ายบริหารจนถึงพนักงานต๊อกต๋อย...
"พี่พิณชิมลาเต้ของตู้เต่ากรรเชียงยังพี่"
"ทำลาเต้ได้ด้วยหรอ"
"ทำได้ยันชาเขียวเลย บอกเลยว่าโครตเด็ด"
"ว่าแต่ใครดีลมาให้เนี่ย
"เป็นลูกค้าคุณภพนั้นละ แกเอ็นดูถึงขั้นสวัสดิการดีๆมาให้นี่บริษัท เห็นว่าที่ห้องทำงานของคุณภพก็มีอยู่อีกตู้หนึ่งด้วย"
พนักงานพูดคุยเรื่องตู้เครื่องดื่มสนุกสนานตามประสาคนเห่อของใหม่ ส่วนเปียกปูน...อย่าเรียกว่าเห่อเลย ต้องเรียกว่าประทับใจถึงขึ้นถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ทำไมโลกมนุษย์ถึงมีแต่สิ่งที่น่าตกใจกันนะ หัวใจพ่อมดแทบวายแนะ
กาแฟของเปียกปูนดูจืดสนิทไปเลย มนุษย์สุดยอด คนคิดค้นตู้กดเครื่องดื่มก็สุดยอด พ่อมดขอยกจอกคารวะ!
เปียกปูนถอนหายใจออกมาด้วยความอับอายกาแฟพ่อมดก่อนจะวิ่งไปยังห้องน้ำชายด้วยความเร่งรีบ มือน้อยรีบเปิดประตูห้องนํ้าห้องสุดท้าย ภายในห้องนั้นมีหน้าต่างขนาดใหญ่ที่สามารถเปิดรับลมได้ ดวงตาของพ่อมดน้อยมองนกฮูกตัวใหญ่ที่บัดนี้ยืนเกาะขอบหน้าต่างพร้อมกับคาบถุงกระดาษสีม่วงอ่อนเอาไว้
" ลาเต้เย็นจากมนตร์มันตรา"
" ขอโทษที่มาช้านะ"
เปียกปูนก้มศีรษะขอโทษปลกๆ ทันทีที่ดีดนิ้วดังเป๊าะ แก้วกาแฟในถุงกระดาษก็เข้ามาอยู่ในมือของเจ้าตัวทันที นกฮูกตัวสีขาวพยักหน้าแล้วบินถลาไปเสิร์ฟกาแฟให้แก่ลูกค้ารายอื่นที่ใช้ชีวิตปะปนกับผู้คนในโลกมนุษย์ต่อไป
มือน้อยเทกาแฟลงกระติกนํ้าส่วนตัว ก่อนจะโยนแก้วและถุงลงถังขยะ เท่านี้ก็ปกปิดว่าเป็นกาแฟจากร้านมนตร์มันตราได้แล้ว
เมื่อออกจากห้องน้ำก็พบว่าคนที่เข้าคิวต่อแถวกดเครื่องดื่มดูบางตาลงไปมากโข แต่ถึงจะอยากลองชิมมากแค่ไหนก็ต้องอดใจไว้ก่อน ขืนซัดกาแฟสองแก้วมีหวังตาค้าง ปิ๋งปั๋งวิ่งรอบบ้านทั้งคืนแหงๆ
ดวงตากลมโตแอบเหล่ไม้กวาดประจำตัวที่บัดนี้นอนนิ่งปะปนอยู่กับไม้กวาดแม่บ้าน หมายมั่นเอาไว้ในใจแล้วว่าอย่างไรวันนี้ต้องขี่กลับให้ได้ ไอ้อยากไปเจอความตื่นเต้นบนรถเมล์ก็อยากอยู่ แต่เย็นวันนี้เปียกปูนคนนี้ขอใช้บริการฟาสต์ทราเวลก่อนก็แล้วกัน
โต๊ะทำงานของเปียกปูนวันนี้ก็เต็มไปด้วยขนมนมเนยเช่นเคย เห็นแบบนี้เจ้าตัวฮอตในบริษัทอยู่พอสมควร พี่ๆ หลายคนในแผนกมักจะบอกเปียกปูนน่ะไม่ได้เป็นพวกประเภทฮอตจนสาวร้องกรี้ด แต่เป็นพวกผู้ใหญ่หลายคนหน้ามืดยอมเปย์ ว่ากันว่าแค่เห็นเปียกปูนอมยิ้มกินขนมแก้มตุ่ย ทุกคนในแผนกก็พากันซับหัวตา มีแรงปั่นงานไฟลุกต่อเพราะรอยยิ้มของเปียกปูนนี่ละ
" สวัสดีครับพี่ๆ"
หลังจากวางกาแฟบนโต๊ะเปียกปูนก็เอ่ยปากทักทายทุกคนอย่างนอบน้อม เริ่มจากพี่เอโต๊ะข้างๆ ที่หอบเอาคุกกี้มาให้ ไปจนถึงพี่เจย์ทีมเทสเตอร์ที่แวะเอาเบเกอรี่มาฝากอย่างสมํ่าเสมอ
" วันนี้ลองกาแฟตู้หรือยังคะน้องปูน"
" วันนี้ปูนสั่งกาแฟรถเข็นครับ อดลองเลย"
เปียกปูนตอบอีกฝ่ายพร้อมกับแอบเอานิ้วไขว้กันไว้ด้านหลังแบบที่พวกมนุษย์มักจะทำเวลาที่ต้องโกหก
" น่าเสียดายจัง
" วันพรุ่งนี้ปูนจะลองชิมดูนะครับ"
เอาน่า จะให้บอกว่าซื้อกาแฟจากร้านพี่นกฮูกชงได้ยังไงกันล่ะ ขืนบอกไปแบบนั้นคงไม่วายโดนมองแรงใส่แหงๆ
เพราะรู้สึกผิดที่ต้องโกหกคำโต เมื่อนั่งลงที่โต๊ะแล้วเปียกปูน จึงลงโทษตัวเองด้วยการยังไม่แกะขนมของพี่เอมากินเป็นเวลาสองชั่วโมง
" ว่าแต่น้องปูนจ๋า"
" ครับ?"
" เมื่อไหร่จะถึงคิวดูดวงพี่น้า"
" โอ๊ะ จริงด้วยสิ ถ้าเดือนหน้าก็พอจะว่างอยู่นะครับ"
และใช่ เปียกปูนเป็นพ่อมดที่เป็นหมอดูด้วยอีกที ชื่อเสียงค่อนข้างขจรไกลอยู่ไม่น้อย แรกๆ ที่เริ่มก็ดูกันในหมู่พนักงานบริษัทจนกระทั่งมีพี่คนหนึ่งช่วยเปิดเพจดูดวงให้นี่แหละ...จากยอดไลก์หลักสิบก็เพิ่มมาเป็นหลักหมื่น และเพิ่งจะเหยียบหลักแสนเมื่อปลายปีที่ผ่านมาแบบงงๆ
ไอ้เขาก็ไม่ได้ใช้ทักษะอะไรมากนักหรอก ดูเรื่องพื้นฐานง่ายๆ อาศัยเปิดตำราจากหนังสือพ่อมดสายขาว แม่นบ้างไม่แม่นบ้างตามประสาพ่อมดมือใหม่ แต่ที่มันดังเพราะเหล่าพี่สาวที่เอาไปโฆษณาด้วยเอนเนอร์จีเต็มร้อยนี่แหละ
" ถ้างั้นลงชื่อจองคิวให้พี่หน่อยนะ"
" ฮะแอ้ม หนุ่มสาวโต๊ะนั้นเมื่อไหร่จะเริ่มทำงานครับ"
" ขอโทษครับ"
" ขอโทษทำไมครับ คนที่ชวนปูนคุยสิต้องขอโทษ"
" จริงค่ะ พี่ผิดเอง ปูนไม่ต้องขอโทษหรอกนะคะ"
" เอ่อ ครับ"
ว่าแต่ทำไมเขาถึงได้รับความรักมากมายขนาดนี้กันนะ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เสกคาถาอะไรเลยแท้ๆ
" เฮ้อ กว่าจะทำงานเสร็จ เล่นเอาปวดหลังแทบแย่"
เป็นพ่อมดใครว่าสบายกัน นั่งหลังขดหลังแข็งทำโอทีตั้งแต่ห้าโมงจนถึงสามทุ่มครึ่ง ไฟในบริษัทปิดไปแล้วเกือบทุกแผนก
มีแค่แผนกของเปียกปูนนี่แหละที่ยังเปิดอยู่สองสามดวง
...แต่ที่เขายอมทำงานอยู่ล่วงเวลาก็เพราะมันสะดวกเวลาเดินทางกลับบ้านนี่แหละ
เปียกปูนยิ้มกริ่ม เก็บของเข้ากระเป๋าอย่างสบายอารมณ์ โดยไม่ลืมหยิบขนมที่พี่ๆ ทั้งหลายให้มาใส่กระเป๋ากลับบ้านไปด้วย ไม่อย่างนั้นทุกคนคงจะน้อยใจแย่
ไม้กวาดเขรอะๆ วางอยู่ในตู้อย่างสงบ แต่ในที่สุดมันก็ได้ทำหน้าที่หลังจากที่หลับเป็นเวลานาน
" ปะ กลับบ้านกัน"
ด้านหลังมีกระเป๋าสะพาย ส่วนมือขวาก็ถือไม้กวาด เปียกปํนในเวลานี้กำลังฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีขณะเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นดาดฟ้าของบริษัท
ทันทีที่ประถูกเปิดออกกลิ่นบุหรี่ก็โชยมาเข้าจมูกรั้น เปียกปูนจามออกมา ก่อนจะหันซ้านหันขวาเพื่อดูว่ายังมีมนุษย์หลงเหลืออยู่แถวนี้บ้างหรือเปล่า
สามทุ่มกว่ามันไม่ควรจะมีใครอยู่ที่นี่...แปลกจริงๆ
"คุณปุณธนัช มาทำอะไรที่ดาดฟ้าตอนสามทุ่มครับ"
อยู่ๆ เปียกปูนก็ได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ยถามท่ามกลางความมืด ทำเอาขนคอตั้งชัน มือที่กำด้ามไม้กวาดสั่นระริก
" ไม้กวาด?"
" ครับ... "
ดวงตากลมโตเพ่งมองบุคคลที่ยืนอยู่บริเวณราวจับ ใบหน้าหล่อเหลาในวันนี้ซึ่งไร้รอยยิ้มอย่างเช่นเคยทุกครั้ง มือคีบบุหรี่เอาไว้
แล้วทำไมคุณภพต้องขึ้นมาสูบบุหรี่ตอนนี้ด้วยเล่า!
ลำพังแค่ขึ้นมาดาดฟ้ายามวิกาลก็ว่าแปลกแล้ว นี่ยังมีไม้กวาดอันเบ้อเร่ออีก
" เอาไม้กวาดมาทำอะไรครับ"
ตายๆ ๆ เจ้าปูน งานนี้จะรอดหรือจะร่วงกันนะ
นาทีนี้ไม่ว่าคาถาไหนก็นึกไม่ออกแล้ว เปียกปูนกพลังตระหนกกับสีหน้าของสามภพที่มองตนเงียบๆ ขนลุกชูชันไม่หยุด
" หรือว่าโดนแกล้ง?"
" ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ!"
มือน้อยกระชับไม้กวาดคู่กายเอาไว้แน่น ก่อนจะเอ่ยปากตอบกลับด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
" ผมขึ้นมาทำความสะอาดดาดฟ้าน่ะครับ"
" เวลาสามทุ่มกว่า?"
" เวลาไหนก็ทำได้น่ะครับ คุณป้าแม่บ้านยังตื่นมาทำงานตอนหกโมงเช้าได้เลย"
น่าแปลกที่ในวันนี้เปียกปูนต่อปากต่อคำกับอีกฝ่ายได้อย่างฉะฉาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังกลัวความแตกด้วยหรือเปล่า
ดวงตาสีดำสนิทเพ่งมองเปียกปูนที่ยังคงยืนกำด้ามไม้กวาดเอาไว้แน่น หันหน้าไปอีกทางก่อนจะเอ่ยเบาๆ
" จะกวาดก็รีบกวาดสิครับ"
" ครับ? คุณภพยังไม่กลับบ้านหรอครับ...?"
" ยังไม่กลับครับ"
สามภพขยี้บุหรี่ในมือกับกล่องเหล็กสีดำสนิทซึ่งเป็นที่เขี่ยบุหรี่แบบพกพา ก่อนจะทิ้งที่ดับสนิทแล้วลงถังขยะ
" ปกติคุณปุณธนัชกลับบ้านยังไงหรอครับ"
" เอ่อ...ปกติก็รถเมล์ครับ แต่ถ้ากลับดึกก็คงนั่งแท็กซี่"
เปียกปูนตอบอีกฝ่ายด้วยเสียงนอบน้อม มือขวากำด้ามไม้กวาดเอาไว้แน่น ส่วนมือซ้ายแอบเอานิ้วไขว้กันเพื่อแก้เคล็ดที่ตนเองโกหก
" รถเมล์หมดแล้วครับ"
" ครับ..."
" รีบกวาดครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งที่บ้าน"
" เข้าใจแล้วครับ เอ๊ะ ไปส่งที่บ้าน!"
" นั่งแท็กซี่ตอนสามทุ่มอันตรายครับ"
สามภพยืนยันคำพูดของตัวเองด้วยนํ้าเสียงจริงจัง เก็บที่เขี่ยบุหรี่เข้ากระเป๋ากางเกงเรียบร้อยก็หยิบสูทที่ตัวพาดไว้บนราวขึ้นมาถือ
" ผมจะลงไปเก็บของก่อน เดี๋ยวขึ้นมาหาครับ"
" เดี๋ยวก่อนครับคุณภพ"
" มีปัญหาอะไรเหรอครับ หรือผมจู้จี้กับคุณมากเกินไป"
" ไม่ใช่แบบนั้น ผมแค่เกรงใจครับ"
เปียกปูนยกมือขึ้นปฏิเสธทันควัน หูตาลายกับสถานการณ์ที่น่าตกใจนี้
" ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ"
สามภพที่ยืนทำหน้าเคร่งท่ามกลางแสงสลัวจากโคมไฟที่ส่องลงมา ดูแล้วช่างน่ากลัวกว่าภูตปีศาจที่เปียกปูนได้ประสบพบเจอมาเสียอีก
" เดี๋ยวขึ้นมาหาครับ"
" เอ่อ...ก็ได้ครับ"
" อีกอย่าง...ไม่ต้องกวาดมากหรอกครับ ยังไงดาดฟ้าก็ต้องมีฝุ่นตลอดอยู่แล้ว"
สามภพลงไปชั้นล่างแล้ว...ทิ้งเปียกปูนเอาไว้กับไม้กวาดคู่ใจ ดวงตาคู่สวยจ้องมองมันด้วยสายตาผิดหวัง
" แล้วทำไมต้องมาเจอเขาที่นี่ด้วยนะ"
ไม้กวาดของเปียกปูนสั่นน้อยๆ ราวกับต้องการปลอบประโลม
ว่าแต่นั่งรถของคุณภพกลับบ้านงั้นหรอ เปียกปูนคนนี้จะโดนฆาตกรรมหรือเปล่านะ... คงจะเป็นคดีใหญ่ในเมืองเวทมนตร์ด้วยแหงๆ
แอร์เย็นมาก...แต่คุณภพที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับให้ความรู้สึกหนาวเย็นกว่าอีก...นั่นคือสิ่งที่เปียกปูนคิดในระหว่างการเดินทางที่แสนจะยาวนานในความรู้สึก มือก็จับเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น ตั้งใจว่าหากคุณภพหยิบมีดหรือปีนขึ้นมาละก็ เปียกปูนคนนี้ก็จะได้รีบปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้ววิ่งตาแตกกลับบ้านทันที
ทว่าสุดท้ายมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด รถยนต์ของภาพสมแล่นฉิวจนถึงบ้านเปียกปูนโดยสวัสดิภาพ
" บ้านของคุณปุณธนัชอยู่แถวนี้ใช้ไหมครับ"
" ใช่ครับ ๆ"
เปียกปูนพยักหน้าหงึกๆ ชี้ไปยังตึกแถวมี่บัดนี้ปิดไฟมืดสนิทดูแล้ววังเวงอย่างบอกไม่ถูก
" บ้านผมอยู่ตรงนั้นครับ"
" ตรงนั้นไม่ได้ร้าง?"
" ไม่ร้างครับ...แค่ไฟเสียเฉยๆ"
คนน่ารักส่ายหน้า เงยหน้าตอบอีกฝ่ายทันควัน เรื่องนี้เปียกปูนไม่ได้โกหกจริงๆ นะเอ้า
" อันตรายเกินไปแล้ว"
" ครับ?"
" มันมืดเกินไปน่ะครับ"
" แถวนี้ไม่มีโจรหรอกครับ"
ยืนยันว่าโจรน่ะไม่มีหรอก มีแต่พี่ๆ สัมภเวสี...แต่ขืนพูดออกไปอีกฝ่ายต้องไม่เชื่อแน่ๆ
ในสายตาของเปียกปูน คุณสามภพ ธนโชคหิรัญ นั้นเป็นคนที่ทำงานเก่ง ภายใน้ใบหน้าที่แสนจะเด็ดขาดนั้นแฝงความดุเอาไว้ อายุก็เพิ่งจะสามสิบกว่าๆ แต่กลับครองตำแหน่งซีอีโอของบริษัทได้ ถ้าไม่เรียกว่าอภิมหาเก่งก็ไม่รู้จะเรียกว่ายังไงแล้วครับทุกท่าน
และแน่นอนว่าคนที่ทำงานเก่งมักจะแฝงไปด้วยอุปนิสัยละเอียดรอบคอบเสมอ เหล่าพนักงานบริษัทจึงมองว่าคุณภพน่ะเป็นมนุษย์ที่แสนจู้จี้ ใบหน้าด็ไม่ค่อยยิ้มอย่างมนุษย์มนาคนอื่น ขีดเส้นแย่งความสัมพันธ์กับพนักงานบริษัทเอาไว้อย่างชัดเจน
' หล่อแต่กินไม่ได้ ' นั่นคือฉายาที่เหล่าสาวๆ ทั้งหลายตั้งให้ด้วยความเสียดาย
แต่กับเปียกปูนนั้นกลับเป็นความกลัวอย่างบอกไม่ถูก เวลาที่ดูหนังของพวกมนุษย์ ฆาตกรโรคจิตก็มักขะมีบุคลิกเงียบๆ เสมอ จึงทำให้เปียกปูนเผลอทึกทักเอาเองในใจไปว่าหรือว่าคุณภพจะเป็นแบบนั้นกันนะ แต่พออีกฝ่ายยิ้มให้ก็เผลอหัวใจเต้นแรงไปชั่วขณะ
ก็คุณภพน่ะเวลายิ้มดูดีจะตายไปนี่ ถึงแม้เวลายิ้มนิ่งๆ จะน่ากลัวก็เถอะ
รถยนต์คันสีดำค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าลง จนในที่สุดมันก็จอดนิ่งอยู่กับที่
" ขอบคุณครับ"
เปียกปูนยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างนอบน้อม เตรียมลงจากรถเพื่อเข้าบ้าน แต่กลับมีบางอย่างรั้งเอาไว้อยู่
" เอ๊ะ..."
เหงื่อตกผุดขึ้นมาจามกรอบหน้าทั้งที่ภายในรถเปิดแอร์เย็นฉํ่า หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตักแรงขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมถึงลงรถไม่ได้กันล่ะ...นี่เปียกปูนคนนี้โดนอะไรเข้าแล้วหรือเปล่า!
" คุณ..."
มือหนาจับเข้าที่ไหล่ของเปียกปูนดังหมับ ยิ่งทำให้ร่างบางสดกุ้งโหยง
" ลืมปลดเซฟตี้ครับ"
ได้ยินเสียงดังแกร๊กพร้อมกับสายเข็มขัดนิรภัยที่กลับไปอยู่จุดเริ่มต้น หน้าของเปียกปูนแตกดับเพลิง แทบอยากพนมมือกราบแล้วกลิ้งลงจากลง โธ่ ก็ลงรถเมล์ไม่มีเข็มขัดนิรภัยนี่นา
" ขอบคุณนะครับ"
คนน่ารักก้มศีรษะปลกๆ ให้อีกฝ่าย ความอับอายแล่นขึ้นมาบนใบหน้าจนแทบจะกลายเป็นลูกมะเขือเทศแดงแจ๋ เอ่ยขอโทษซํ้าไปซํ้ามาราวกับว่าตนเองได้ทำความผิดครั้งใหญ่ แล้วรีบลงตากรถเพื่อให้อีกฝ่ายรีบกลับบ้าน
" เดินทางปลอดภัยนะครับ"
" รีบเข้าบ้านเถอะครับ มันอันตราย"
รถของคุณภพแล่นออกไปไกลแล้ว...แต่ยังมีพ่อมดตนหนึ่งยืนนิ่งอยู่กับที่ ตบแก้มของตัวเองแปะๆ กลิ่นนํ้าหอมของคุณภพติดตัวมาด้วยเพราะอีกฝ่ายขยับมาปลดเข็มขัดให้
เปียกปูนกะพริบตาปริบๆ เหลือบมองเจ้านกฮูกตัวสีขาวที่บินมาเกาะบนไหล่ เอียงคอมองเจ้านายของตัวเองที่บัดนี้ยังแก้มแดงเป็นผลเชอร์รี่สุก
" ไม่มีอะไรหรอก แต่ห้ามเล่าให้คุณแม่ฟังนะ"
" ..."
" สัญญานะ!"
" กลับมาแล้วเหรอลูก"
" กลับมาแล้วครับ"
" วันนี้กลับดึกจังเลยน้องปูน"
" ปูนทำโอทีน่ะสิ"
" ละครภาคคํ่าฉายไปแล้ว เพิ่งจะมาเนี่ยนะ เจ้าลูกคนนี้นี่"
" ทำงานดึกจะได้มีเงินเยอะไป ไงครับบ"
ดวงตากลมโตมองแม่ของตัวเองที่กำลังนอนเอกเขนกอยู่หน้าทีวีซึ่งฉายละครโทรทัศน์ช่องพ่อมดแม่มดอยู่
" วันนี้เรื่องอะไรฉายเนี่ย"
" เรื่องบุพเพไสยเวทไงลูก ผู้จัดเขาอุตส่าห์ไปติดต่อช่องสามเพื่อขอรีเมกเวอร์ชั่นแม่มดเลยนะ"
" โธ่ ก็ปูนไม่ได้ติดละครสักหน่อย"
เปียกปูนไม่ได้แต่บ่นกระปอดกระแปด ถอดรองเท้าแล้วเก็บใส่ตู้ ก่อนที่เจ้านกฮูกคู่ใจจะบินไปเกาะที่โซฟาเพื่อดูละครต่อ
" เอ๊ะ ทำไมได้กลิ่นแปลกๆ"
ทันใดนั้นเองเปียกปูนก็ชะงักกึก ลมหายใจขาดห้วงไปชั่งขณะเพราะคำพูดของแม่
" กลิ่นอะไรอะ ปูนไม่ได้ติดรถใครมาเลยนะ จะมีนํ้าหอมติดตัวมาได้ยังไงเล่า!"
" แล้วจะเสียงดังทำไมเนี่ย...เดี๋ยวไม้กวาดก็ตื่นหมดหรอก คุณแม่ได้กลิ่นนํ้าหอมเฉยๆ อาจจะมาจากจดหมายของพ่อมดสงขลาก็ได้นี่คะ"
" เดี๋ยวนี้ก่อนส่งจดหมายเขาต้องพรมนํ้าหอมด้วยเหรอ..."
" เพื่อผลทางการค้าไงล่ะคะ ผงวิเศษเหม็นจะตายไปลูก พรมเบอเบอร์รีก่อนส่งมาสักหน่อย คุณแม่ว่าเยี่ยมไปเลย"
เอาที่แม่สบายใจเลยก็แล้วกัน...ฝ่ายทางคุณแม่เองก็ไม่ได้เซ้าซี้ต่อเพราะไม่ได้สนใจมากนัก มีแต่เปียกปูนนี่ละที่ทำตัวเลิ่กลั่กตามประสาคนมีชนักติดหลัง รีบวางข้าวเพื่อไปอาบน้ำอาบท่า
" ว่าแต่กินอะไรมาหรือยังคะ คุณแม่ทำแกงเขียวหวานใบโรสแมรีเอาไว้"
" โอ๊ะ ปูนมีขนมจากพี่ๆ ชาวมนุษย์แล้วครับ"
" เฮ้ น้องปูนของคุณแม่เนี่ย...เป็นพ่อมดเสน่ห์แรงจังเลยน้า ไม่ได้แอบเอาขวดนํ้ามันกุหลาบไปดีดใส่คนในบริษัทใช่ไหม
" ไม่เคยทำสักหน่อย"
ริมฝีปากสีสดบ่นมุบมิบ แล้วหยิบขนมปังขึ้นมาเคี้ยวตุ้ย
" หมูหยองโลกมนุษย์สุดยอด"
" กินเสร็จแล้วแปรงฟันด้วยนะน้องปูน"
" ปูนไม่ลืมหรอกคุณแม่ อายุยี่สิบห้าแล้วนะ"
" แต่คุณแม่อายุสี่ร้อยกว่าปีนะคะ"
ถ้อยคำตอบโต้จากมารดานั้นทำให้เปียกปูนยิ้มแหย รีบกลืนขนมปังลงท้องก่อนจะหนีไปอาบน้ำอย่างเนียนๆ
" ปูนขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ"
คนน่ารักยืนถ่องคาถาไก้สักพักประตูวงแหวนห้าแฉกก็ถูกเปิดแสงสีฟ้าสว่างจ้าสาดไปทั่ว ห้องหนึ่งเขียนเอาไว้ว่าเป็นห้องของแม่ ส่วนอีกห้องนั้นมีป้ายวงแหวนแขวนเอาไว้ว่าห้องของเปียกปูน
" ฝันดีนะคะน้องปูน"
ไม่รอช้า เปียกปูนรีบวิ่งเข้าไปในห้องส่วนตัวของตนเองทันที
โป๊ก!
" โอ้ย!"
ทันใดนั้นเองที่วงแหวนสีฟ้ากลับหายวับ ทิ้งเปียกปูนเอาไว้กับผนังสีขาวแสนธรรมดา และแน่นอนว่าเสียงโขกนั้นดังพอที่จะทำให้นกฮูกและแม่ของเขาสดุ้ง ลุกพรวดขึ้นมาดูอาการกันยกใหญ่
" น้องปูน!"
ฮูก!
" อูยยย เจ็บๆ"
มือน้อยลูบศีรษะของตัวเองที่เริ่มปวดแปลบ คิดว่าอีกไม่นานคงจะบวมปูดเป็นลูกมะนาวแน่ๆ
ว่าแต่ทำไมจู่ๆ เวทมนตร์ถึงหายไปล่ะ เกิดมายี่สิบห้าปียังไม่เคยเกิดขึ้นแท้ๆ
" ซุ่มซ่ามจังลูก ทำไมถึงไม่รอให้เวทมนตร์เซตตัวก่อนล่ะ"
ครั้นเมื่อดูแล้วเห็นลูกชายของตัวเองยังดีอยู่ถึงได้เบาใจขึ้น ทำการรักษาศีรษะที่บวมให้เหลือแค่รอยสีแดงจางไป
" เอ...ปูนไม่เคยพลาดเลยนะ"
เปียกปูนงุนงงกับตัวเองเข้าไปทุกที ลองทำการเสกวงแหวนเพื่อเข้าห้องอีกรอบ
" แปลกจัง...ทำไมเวทมนตร์ถึงไม่ออกมากันล่ะ"
" น้องปูนท่องคาถาผิดหรือเปล่าคะ"
ฝ่ายทางคุณแม่เองได้แต่ถอนหายใจออกมาด้วยความปลงตกดีดนิ้วแค่เพียงหนึ่งครั้ง วงแหวนสีฟ้าก็โพล่ขึ้นมาทันใด
" ปูนไม่ใช่พวกความจำสั้นเสียหน่อย เอ...แปลกจริงไปนะ"
คนน่ารักส่ายหน้าด้วยความไม่เข้าใจ ทว่าสุดท้ายก็ทึกทักไปว่าคงจะเป็นเพราะเพลียกับงานมากเกินไป
" ปูนขอตัวเข้าไปอาบน้ำนอนก่อนนะครับ"
" จ๊ะ รีบเข้านอน คุณแม่ดูละคะจบ ปรุงเวทมนตร์ทำความสะอาดเสร็จก็เข้านอนแล้วละ"
ท่อนขาเพรียวก้าวเข้าห้องนอนของตนอย่างช้าๆ หลังจากที่เข้ามาด้านในแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
" แปลกชะมัด อยู่ๆ ก็กลายเป็นคนไม่มีเวทมนตร์ไปซะงั้น เอาละ! หลอดเปิดไฟให้หน่อยครับ"
เงียบฉี่อีกแล้ว...ดวงตากลมโตจ้องมองฝ่ามือตัวเองที่บัดนี้ยังคงไม่มีสัญลักษณ์ขึ้นมาแม้แต่น้อย นาทีนั้นเองที่เขาค้นพบเกี่ยวกับสัจธรรมบางอย่าง
" เดี๋ยวก่อน ไม่หรอกน่า"
เปียกปูนเดินไปยังโต๊ะหนังสือ ซึ่งมีหม้อปรุงยาและนํ้ามนตร์รักษาที่ปรุงเอาไว้วางอยู่ จริงๆ ในวันนี้จะต้องกลายเป็นสีม่วงอ่อน
" เดี๋ยวสิ ทำไมถึงกลายเป็นนํ้าเปล่าไปได้ล่ะ"
ริมฝีปากสีสดเอ่ยถามกับตัวเอง ขยี้ตาก็แล้ว เอามือปิดตาแล้ว ดึงออกก็แล้ว ทำไมถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยล่ะ
" เปิดไฟให้หน่อยครับ"
"..."
" แม่! ปูนใช้เวทมนตร์ไม่ได้!"
และในวันนั้นเอง ละครเรื่องบุพเพไสยเวทของคุณแม่ก็ต้องถูกขัดจังหวะอีกครั้ง เหตุเพราะเสียงตะโกนลั่นห้องของลูกชายตัวเอง เดือดร้อนนกฮูกและไม้กวาดอีกสิบอันที่สะดุ้งเฮือก ก่อนจะกรูกันเข้าไปดูลูกชายหัวแก้วแหวนของบ้านนี้กันจ้าละหวั่น...
POONTANAT: พี่ๆ ทุกคนครับ
POONTANAT: วันนี้ปูนไม่สบาย คิดว่าคงไปทำงานไม่ไหว
POONTANAT: ปูนแจ้งพี่มด HR ไว้แล้ว ขอโทษที่ทำให้ลำบากด้วยนะครับ
ABC: น้องปูนนน
ABC: ไม่ค้องคิดมากนะคะ
ABC: กินยาแล้วนอนพักผ่อนน้า
ไปกินเตี๋ยวเป็ดที่หน้าปากซอย: พักผ่อนเว้ยน้อง
ไปกินเตี๋ยวเป็ดที่หน้าปากซอย: หายไวๆ
เลขเด็ดงวดนี้ 47: หายไวๆ จ้า
เลขเด็ดงวดนี้ 47: รีบกลับมานะ ป้าๆ เขาคิดถึง
ABC: ปากกก
ABC: ปากเบ้ออะไร
ไปกินเตี๋ยวเป็ดที่หน้าปากซอย: 555
ไปกินเตี๋ยวเป็ดที่หน้าปากซอย: เรียกอยู่ได้ๆ
Jay: อ้าว น้องปูนป่วยเหรอ
ABC: ใช่ค่ะพี่เจย์ อดกินขนมเลย
Jay: ไม่เป็นไร หายป่วยเมื่อไหร่พวกเรามาจัดงานเลี้ยงให้น้องปูนกันดีกว่า
ABC: เอาสิๆ
ABC: ถ้าน้องปูนหายป่วยไปกินเลี้ยงกัน
Samphop Yothapaisankul: คุณเอ รบกวนมาหาผมที่ห้องด้วยครับ
READ 25
ABC: ค่ะ คุณภพ
และใช่...ทันทีที่รู้ว่าตัวเองใช้เวทมนตร์ไม่ได้ เปียกปูนคนนี้ก็ธาตุไฟเข้าแทรก เป็นไข้ปวดหัวตัวร้อน นอนซมอยู่บนที่นอน ครางกระซิกๆ เหมือนลูกหมาเปียกนํ้า เดือดร้อนแม่แท้ๆ ของตัวเองที่ต้องรีบปรุงยาเพื่อรักษา เกณฑ์เหล่าไม้กวาดที่พักผ่อนให้อย่างขะเขม้น นกฮูกสีขาวตัวเบิ้มเกาะอยู่บนหัวเตียง จ้องมองเจ้าเปียกปูนที่นอนซมอยู่ด้วยความสงสาร
ฮูก!
" อะไรกันเนี่ย หรือเราจะเป็นเด็กที่เก็บมาจากถังขยะ"
ริมฝีปากสีสดบ่นอุบอิบอย่างคืดไม่ตก หัวก็ปวดตุบๆ เพราะดันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน
" น้องปูนเพ้อใหญ่แล้ว มาทานยาปรุงสมุนไพรของคุณแม่เร็วค่ะ"
ดูเหมือนว่าคุณแม่ของเขาจะหูดีมากกว่าที่คิด เพราะจู่ๆ คุณแม่มดวัยสี่ร้อยปีก็โพล่ออกมาจากผนัง ในมือมีถ้วยข้าวต้มสมุนไพรกลิ่นหอมฉุย เจ้าหล่อนถอนหายใจปนเอ็นดูเปียกปูนที่บัดนี้นอนห่มผ้าอยู่บนเตียง คลุมจนถึงคอ นํ้าตาคลอเบ้าเพราะตกใจกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่ๆ
" ถ้าคุณพ่อรู้ว่าน้องปูนตัดพ้อแบบนี้คงน้อยใจแน่ กว่าจะมีลูกกันได้อายุก็ปาเข้าไปสามร้อยปลายๆ"
" ขอโทษครับ"
เปียกปูนลุกขึ้นมานั่งอย่างเจี๋ยมเจี้ยม ในหัวนึกไปถึงบิดาของตัวเองที่ในตอนนี้กำลังทำงานอยู่อีกฝั่งของโลกเวทมนตร์ ป่านนี้คงจะจามฮัดชิ้วใหญ่แล้วแน่ๆ
" ว่าแต่ครั้งนี้คุณพ่อไปนานจังเลย"
" เพราะองค์การนาซ่ามาขอให้ทางฝั่งเวทมนตร์ช่วยคำนวณฤกษ์ปล่อยยานอวกาศน่ะลูก พ่อมดประเทศไทยน่ะเก่งไม่แพ้พ่อมดฝั่งตะวันตกเลยละ"
คุณแม่ของเปียกปูนตอบลูกชายด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ไม้กวาดที่ยืนเรียงกันเป็นแถวเพื่อรอรับคำสั่งถัดไป
" พักผ่อนได้จ๊ะ"
ถึงจะได้รับคำสั่งแบบนั้น แต่เหล่าไม้กวาดก็ยังคงยืนยันว่าจะดูแลเปียกปูนอยู่ดี และพากันเข้ามาล้อมรอบเตียงจนคนบนเตียงถึงกับจามออกมา
" ดูเหมือนว่าพี่ๆ ไม้กวาดต้องอาบน้ำก่อนนะครับ อาบเสร็จแล้วค่อยมาหาเปียกปูนนะ"
คนน่ารักกล่าวกับเหล่าไม้กวาดด้วยนํ้าเสียงออดอ้อน แล้วมองตามพี่ๆ ไม้กวาดที่กำลังกระโดดโหยงๆ เข้าห้องน้ำ จากนั้นก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นพร้อมกับเสียงนํ้าจากฝักบัวที่เปิดเอง
" ว่าแต่น้องปูน..."
หลังจากที่เหล่าไม้กวาดแบกย้ายกันไปอาบนํ้า จู่ๆ มารดาของเข่ก็ทำท่าคล้ายว่าจะลำบากใจ ใบหน้าของเจ้าหล่อนฉายแววจริงจังขึ้นมาจนเปียกปูนขนลุกซู่
" เมื่อคืนคุณแม่ไปเปิดตำรามาด้วยค่ะ เกี่ยวกับเรื่องเวทมนตร์ของน้องปูนหายตอนอายุยี่สิบห้า เปิดตำราเสร็จแล้วก็ส่งจดหมายนกพิราบไปหาแม่มดฝั่งขอนแก่นด้วย"
" คุณน้าพิลัยหรอครับ"
" น้ารัมภาจ๊ะ น้าพิลัยเขาติดภารกิจเจรจาเส้นทางค้าขายกับท่านพญานาคอยู่
" เป็นยังไงบ้างครับ ปูนเป็นอะไรมากหรือเปล่า"
" เอ...จะเป็นมากก็ใช่แหละ"
บัดนี้ใบหน้าของเปียกปูนซีดเผือก จ้องมองมารดาของตัวเองด้วยท่าทางสิ้นหวัง มือข้างที่ตักข้าวสมุนไพรก็ชะงักค้างอยู่อย่างนั้นไม่กล้าตักมันเข้าปากสักที
" ทุกคนคิดว่าน้องปูนน่าจะโดนคำสาปความรัก
นะ"
" คำสาป...ความรัก?"
ใบหน้าของเปียกปูนเต็มไปด้วยคำถาม เขาทวงคำพูดของคุณแม่ด้วยท่าทางสงสัยเสียเต็มแก่
" ปูนจะโดนคำสาปได้ยังไงล่ะ คุณพ่อคุณแม่รักปูนขนาดนี้แท้ๆ"
" มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ"
คุณแม่ของเปียกปูนถอนหายใจเสียงดังเฮือก ก่อนที่จะสบตาเปียกปูนด้วยท่าทางจริงจัง
" น้องปูนฟังคุณแม่นะคะ ถ้าเราอายุยี่สิบห้าแล้วยังไม่มีแฟน... คุณแม่คิดว่าน้องปูนคงจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ไปตลอดชีวิตแล้วละ"
" อะไรนะ! ใช้เวทมนตร์ไม่ได้ตลอดชีวิต?"
แน่นอนว่าคำตอบของมารดาค่อนข้างที่จะทำให้เปียกปูนนั้นช็อกสุดขีด ร้องตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
" แล้วเรื่องนี้เนี่ย...คุณแม่ว่าน่าจะเกี่ยวกับการที่คุณแม่ไปขอลูกกับเทพฝั่งฮินดูแน่ๆ"
คุณแม่ของเปียกปูนกำมือไว้บนตัก ยิ้มเจี๋ยมเจี้ยมให้ลูกชาย
" ก็ลองมาหลายตำราแล้วไม่เวิร์กนี่นา สุดท้ายคุณแม่กับคุณพ่อเก็บกระเป๋าไปมุมไบซะเลย พอขอท่านเสร็จก็ดันอธิษฐานไปว่า ขอให้ลูกชายได้พบรักไวๆ จะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนคุณพ่อกับคุณแม่...เพราะฉะนั้นน้องปูนต้องรีบหาแฟนให้ได้ก่อนที่ตัวเองจะอายุยี่สิบหกนะลูก"
" แต่อีกสามเดือนปูนจะอายุยี่หกแล้วนะ..."
" เอ...หรือคุณแม่ควรส่งจดหมายไปที่กระทรวงเวทมนตร์ต่างประเทศเพื่อขอพักผ่อนการแก้บนดี แต่แม่มดกับพ่อมดอินเดียช่วงนี้ก็วุ่นๆ เสียด้วยสิ เขากำลังปรึกษากันเรื่องสร้างเทวาลัยเพิ่ม คุณแม่ว่ากว่าจะดำเนินเรื่องได้คงจะกินเวลาเป็นปี"
" เป็นปีเลยเหรอครับ..."
" เป็นปีเลยแหละ เพราะฉะนั้นน้องปูนลูก"
ใบหน้าของเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
" อายุยี่สิบห้าเมื่อไหร่เขาบอกให้หาแฟนด่วนๆ ไม่อย่างนั้นจะใช้เวทมนตร์ไม่ได้ตลอดชีวิตนะลูก"
" ไอ้เขาที่ว่าเนี่ย...มันใครกันล่ะแม่"
" ก็ท่านๆ ที่แม่ไปขอนั่นแหละ อีกอย่าง..."
เปียกปูนสบตามารดาด้วยความขัดเขิน แน่นอนว่าเครื่องรสนิยมทางเพศของเขาน่ะผู้เป็นแม่ต้องรู้อย่สงแจ่มแจ้ง
" วันเดือนปีเกิดก็ต้องตามนี้ รูปหล่อ อกผายไหล่ผึ่ง ดูภูมิฐาน"
ทันทีที่แม่มดสาวดีดนิ้งดังเป๊าะ จู่ๆ ภาพของเปียกปูนที่เคยอัพลงเฟซบุ๊คก็ปรากฏขึ้นในอากาศ
" เนี่ยๆ คนนี้เข้าตำราเลย คนที่ยืนข้างน้องปูน"
ตายละหว่า...อยู่ๆ ก็รูเสึกหน้ามืดขึ้นมาแบบไร้สาเหตุ
แน่นอนว่าคำพูดของคุณแม่กำลังทำให้เปียกปูนขนลุกซู่ ชี้ไปที่ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิท ก่อนจะถามด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ
" คุณแม่หมายถึงคนนี้?"
" ก็ใช่น่ะสิคะ ดูโหงวเฮ้งแล้วผ่านเลยน้า"
" เดี๋ยว นั่นมันเจ้านายปูนเอง!"
" คนนี้แหละ! ไปอ่อยยังไงก็ได้ให้ติด ไม่งั้นอดขี่ไม้กวาดตลอดชีวิตนะเอ้า"
" คุณแม่!"
ถ้าขี่ไม้กวาดไม่ได้นี่เรื่องใหญ่เลยนะ เรื่องอื่นยังพอว่า แต่หากพี่ๆ ไม้กวาดจะไม่ได้เที่ยวด้วยกันแล้วนี่ บอกเลยเปียกปูนน่ะทนไม่ได้
" คุณแม่...ปูนต้องจีบเขาจริงๆ เหรอ คุณแม่ไม่คิดว่าคุณภพเหมือนผู้ร้ายในละครหลังข่าวเหรอครับ"
" เอ...เหมือนเหรอคะ คุณแม่ไม่เห็นจะรู้สึกแบบนั้นเลย"
คุณแม่เปียกปูนขมวดคิ้ว คล้ายกับว่าอยากจะเปิดปากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายกลับไม่พูดออกมาเสียอย่างนั้น
" แม่คิดว่าเขาเป็นคนดี มาส่งน้องปูนถึงบ้านด้วยนี่นา"
" เขาก็ใจดีครับ...แต่เดี๋ยวก่อนนะ"
ดวงตากลมโตจ้องมองมารดาของตัวเองด้วยท่าทางตกใจอย่างปิดไม่มิด ก็เปียกปูนยังไม่ได้เล่าให้คุณแม่ฟังเลยนี่นา!
คนน่ารักหันไปทางเจ้านกฮูกสีขาว จ้องอย่างคาดคั้น ครั้นเมื่อเห็นว่านกฮูกด้วยเหงื่อตก หันหน้าหนีไปทางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเปงตก
" อะไรกัน ทั้งๆ ที่สัญญาว่าจะไม่บอกแท้ๆ"
" โมเมสัญญาเอาคนเดียว พี่นกฮูกไม่นับหรอกนะคะ"
แม่มดคนสวยลุกขึ้นยืน ก่อนจะพยักหน้าให้แก่เหล่าไม้กวาดที่ยืนสงบบริเวณมุมห้อง เนื้อตัวใสกิ๊งเพราะอาบน้ำถูสบู่เรียบร้อย
" ฝากดูแลน้องปูนหน่อยนะคะ คุณแม่ต้องไปดูบุพไสยเวทย้อนหลังก่อน"
ทันทีที่วงแหวนสีฟ้าหายไปจากห้อง เปียกปูนก็หันไปมองพี่ๆ ไม่กวาดตาละห้อย
" ปูนอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพวกพี่ๆ ดังนั้นปูนจะพยายามจีบคุณภพให้ติดนะครับ"
มือบางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเข้าแอพพลิเคชันชอปปิ้ง ก่อนที่จะเลือกดูหมวดหนังสือเพื่อเตรียมตัวศึกษาภาคทฤษฎีก่อนปฎิบัติจริงอย่างเร่งด่วน
' คู่มือการจีบผู้ชายอันตราย เล่มที่1'
' เมื่อฉันเคยมีแฟนเป็นคนคุก'
' ฆาตกรโรคจิตกับมุมมองเกี่ยวกับความรัก'
' วิธีเอาตัวรอดเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย'
เฮ้อ เปียกปูนก็ได้แต่หวังว่าคุณภพจะเป็นคนดีอย่างที่คุณแม่ว่าเอาไว้นะ ไม่อย่างนั้นละก็...จากที่จะได้เป็นแฟนเขา จะกลายเป็นได้ไปอยู่ในช่องแช่แข็งแทนน่ะสิ
" น้องปูนนน"
" หายแล้วเหรอ"
" สวัสดีครับ ขอโทษที่ป่วยนะครับ"
" จะขอโทษทำไมกันเล่า มานี่เลย"
เฮ้อ...ดีใจจังที่ทุกคนไม่โกรธ เปียกปูนยิ้มออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นพี่ๆ ในแผนกก็กรูเข้ามาถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง กองขนมจากเดิมก็มีมากพอสมควรอยู่แล้ว วันนี้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
" ดีใจจริงๆ ที่ปูนกลับมา"
พี่คนนี้ใช้กระดาษทิชชู่ชับน้ำตาที่หยดติ๋งๆ ก่อนที่จะหันไปพยักพเยิดกับเพื่อนพลางยกนิ้วโป้งกูดจ็อบมาให้
" ใช่ๆ เมื่อวานน้องปูนน้อยไม่สบาย คุณภพก็ดันอารมณ์ไม่ค่อยดีอีก ทำหน้ายักษ์ตั้งแต่เช้าแน่ะ"
" เจอคนโหด แถมยังขาดรอยยิ้มน้องปูนมาหล่อเลี้ยงจิตใจอีก"
" เออ ว่าแต่เมื่อวานเห็นเดินเข้าห้องเชือดของคุณภพเป็นแถวเลยนี่"
หะ...ห้องเชือด!
ทันทีที่ได้ยินคำว่าห้องเชือดเปียกปูนก็พลันหน้าซีดเผือก หันซ้ายหันขวาเพื่อนับจำนวนเพื่อนในแผนกว่ามีใครหายไปบ้าง
" ตายยกตี้อะกูบอกเลย เข้าไปกี่คนๆ ก็โดนยิงทิ้งหมด"
โดนยิงทิ้ง!
แก้มสีขาวที่ปกติมักจะมีสีแดงเรื่อฉาบอยู่ทั้งสองข้าง บัดนี้กลับขาวซีเจนดูคล้ายกับพวกแวมไพร์ในหนังเรื่องทไวไลท์
" ตายดิ เลือดออกปากกันทุกคน แต่เดี๋ยวก่อน...ทำไมปูนหน้สซีดจังวะ"
" เปล่าครับ ไม่ได้เป็นไร"
เปียกปูนละครลํ่าละลักตอบเพื่อนร่วมแผนก ในหัวไพล่นึกถึงเรื่องโคนันตอนคนดีฆาตกรรมคนในบริษัท มือน้อยยื่นไปสะกิดแขนพี่เอที่โต๊ะกันยิกๆ
" พี่เอ เมื่อวานมีคนตายที่บริษัทเราเหรอครับ"
" ฮะ! ว่าไปนั่น ไม่มีนะคะ เราไปเอาข่าวมาจากไหน"
เอ้า แล้วทำไมพี่เอถึงไม่ตั้งใจฟังล่ะ เปียกปูนขมวดคิ้วด้วยความเครียดขึง พยายามคีปลุคจริงจังท่ามกลางกองขนม
" เมื้อกี้พี่เจนเล่าว่าเมื่อวานมีคนโดนคุณภพเรียกไปห้องเชือดด้วยครับ"
" อ๋อ ก็นึกว่าเรื่องอะไร"
ทันทีที่ได้ยินชื่อของสามภพ พี่เอก็หัวเราะออกมาดังลั่น
" ตายสิคะน้องปูน ศพนี่เกลื่อนกลาดเลย เมื่อวานแกหงุดหงิดมาจากไหนก็ไม่รู้ บางออกจากห้องมาถึงกับร้องให้ก็มี"
พี่เอ...ทำไมถึงมองว่าเป็นเรื่องปกติล่ะ
เปียกปูนนั่งลงด้วยความสับสน ยกมือกุมขมับพลางนึกถึงวิธีป้องกันตัวสมัยที่เขาได้เรียนรู้มาจากท่านชาละวัน
" ท่านี้จระเข้ฟาดหางนะลูก"
" มนุษย์เนี่ย น่ากลัวอย่างที่หลายๆ คนบอกเอาไว้จริงๆ ด้วย"
" น้องปูนพูดว่าอะไรนะคะ"
" ไม่มีอะไรครับ ว่าแต่พี่เอ...แล้วตอนนี้ศพอยู่ไหนล่ะ"
" ฮะ! หมายถึงคนที่โดนคุณภพดุน่ะเหรอคะ"
พี่เอใช้ปลอกปากกาจิ้มคาง ก่อนจะร้องอ๋อ
" กลับไปทำงานละคะ แถมยังต้องทำโอทีสามวันอีก ก็นะใครใช้ให้ทำงานลวกๆ กันล่ะ อีกไม่กี่วันต้องเอาโพรเจกต์ไปเสนลูกค้าแล้วแท้ๆ"
" เอ๊ะ แล้วที่บอกว่าโดนเชือด..."
" เปรียบเปรยว่าโดนดุจนตายไงคะ"
" อ๋อออ แบบนี้นี่เอง"
เปียกปูนโล่งใจขึ้ตมาอย่างบอกไม่ถูก ไอ้เราก็นึกว่าคุณภพจะเป็นคนไม่ดีแบบในละครหลังข่าวจริงๆ
พ่อมดน้อยพยักหน้าหงึกๆ เมื่อความกังวลที่มีต่อสถานการณ์ลดลงมามากโขก็แกะกล่องป๊อกกี้แล้วหยิบเจ้าแท่งขนมปังเคลือบไวต์ช็อกโกแลตขึ้นมาเคี้ยวกร้วมๆ
สรุปว่าเป็นแค่การเปรียบเปรยนี่เอง แต่มนุษย์นี่น่ากลัวจริงๆ เลย คำเปรียบเปรยแต่ละอย่างดูโหดร้ายอย่างไรก็ไม่รู้
" น้องปูน ทำไมถึงทานข้าวน้อยจัง อาหารไม่อร่อยเหรอคะ"
" เอ๊ะ เปล่านะครับ"
" หรือเพราะเพิ่งหายไข้กันนะ"
" ไม่ใช่แบบนั้นครับพี่เอ"
" คนเพิ่งหายป่วยยังไงก็ต้องกินให้มาก เอาสเต็กพี่ไปชิมไหม"
" หรือน้องปูนอยากกินอะไร บอกพี่เจ้าของร้านได้เลยนะ"
ไม่ใช่แบบนั้นหรอก...สิ่งที่ทำให้ปูนกระเดือกอาหารไม่ลงเป็นเพราะคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างหากเล่า...
ว่าแล้วก็ขอย้อนความสักหน่อย ตอนที่เปียกปูนล้มหมอนเสื่อ เหล่าพี่ๆ ที่บริษัทก็พากันถามไถ่ด้วยเป็นห่วง และตกลงกันว่าจะพาเปียกปูนไปเลี้ยงข้าวหลังจากที่หายดีแล้ว ดังนั้นหลังเลิกงานวันนี้ทุกคนในแผนกจึงรีบเก็บข้าวของลงกระเป๋า แล้วรีบหาร้านอาหารที่ถูกใจเพื่อไปนั่งชิลหลังจากทำงานหนักติดต่อกันมาหลายวัน
แน่นอนว่าถ้าหากแค่มีพี่ๆ ในแผนกเปียกปูนก็คงจะไม่เกร็งกิเดสก๊ะขนาดนี้หรอก แต่บังเอิญว่าในระหว่างที่กำลังจัดเรื่องการเดินทางแบ่งผู้โดยสารขึ้นรถ ใครคนหนึ่งก็เอ่ยปากถามทุกคนด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย
' นี่พวกเราลืมชวนคุณภพหรือเปล่าว่ะ แกเป็นหัวหน้าพวกเรานี่ '
' ใช่ๆ ชวนแล้วบอกว่าฉลองเนื่องในโอกาสเปียกปูนหายป่วยก็แล้วกัน '
เดี๋ยวๆ ต้องบอกถึงขนาดนั้นเลยเรอะ...
' ถ้าอย่างนั้นทักแชตคุณภพเร็ว'
หลังจากนั้นเหล่าสาวๆ ก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวออกมายกใหญ่ ส่งข้อความผ่านไลน์กลุ่มจนโทรศัพท์สั่นครืดๆ ไม่หยุด
' คุณภพบอกจะตามไปตอนหนึ่งทุ่ม อยากกินอะไรก็สั่งเลย เดี๋ยวแกจ่ายให้ '
' โหยยย ถ้าไม่ติดว่าดูน่ะ กูจะอ่อยเช้าอ่อยเย็น '
' พูดอะไรไม่เกรงใจผัวเลยสักนิด เอ้า พวกเราไปกันเถอะ '
ตัดภาพมาที่ตอนนี้ เหล่าพนักงานในแผนกต่างดื่มเบียร์พูดคุยกันอย่างครื้นเครง ทิ้งความประหม่าที่มีต่อหัวหน้าไปจนหมดสิ้น จะมีก็เพียงเปียกปูนนี่ละที่นั่วจ๋องอยู่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ตรงข้ามเป็นสามภพที่กำลังรับประทานอาหารด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เหมือนกระดูกข้อต่อจะหลุดออกมาเลย ไม่สิ นํ้าดี กระเพาะลิ้นปี่ของเปียกปูนตอนนี้น่าจะไปรวมกันอยู่ข้างล่างหมดแล้วละ
คนน่ารักใช้ช้อนส้อมเขี่ยอาหารไปมาด้วยความเกร็ง แผนการจีบในหัวก็กระเจิงไปเสียหมด ได้แต่ช้อนตามองสามภพราวกับพวกพังพอนระวังนักล่า
ว่าแต่คุณภพเวลาแต่งตัวไม่เป็นทางการนี่ก็หล่อดีเหมือนกันนะ
ดวงตากลมโตจ้องมองคนในเสื้อเชิ้ตสีดำสนิท แขนเสื้อถูกพับขึ้นมาจนถึงศอก กระดุมสองเม็ดบนถูกปลดออก ทรงผมที่ปกติปล่อยก็เซตเข้าทรงเล็กน้อย ข้างจานมีแก้วเบียร์ที่พร่องไปมากกว่าครึ่ง
แต่งหล่อมาเพื่อใครกันล่ะนั่น ถ้าจำไม่ผิดตอนเช้าสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวนี่นา
ราวกับรู้ความคิดของอีกฝ่าย อยู่ๆ สามภพก็ตวัดสายตามองเปียกปูน ทำเอาพ่อมดน้อยต้องหันหนีอย่างเลิ่กลั่ก แก้มค่อยๆ กลายเป็นสีแดงที่ถูกจับได้
เขาละอยากจะขอบคุณตัวเองที่เวทมนตร์ยังไม่กลับมาจริงๆ ขืนเผลอเสกนกเต็มร้านอาหารคงจะวุ่นวายแน่ๆ พ่อครัวคงจะไล่เปียกปูนออกนอกร้าน จากนั้นเขาก็คงไม่กล้ามาเหยียบที่นี่อีก
พ่อมดน้อยนึกถึงตัวเองในสภาพที่มีนกเกาะอยู่เต็มตัว ถูกพ่อครัววิ่งไล่พร้อมกับเคาะกระทะเป๊งๆ ขายขี้หน้าพ่อมดคนอื่นแย่เลยนะแบบนั้น
" จะทานอะไรครับ"
" ครับ?"
ทันทีที่ได้ยินสามภพเอ่ยถาม เปียกปูนก็กระเด้งตัวขึ้นโดยอัตโนมัติ
" ชอบหรือเปล่า"
สามภพชี้ไปยังจานไก่ทอดที่วางอยู่มุมโต๊ะอีกฝั่ง เมื่อเห็นว่าเปียกปูนยังคงอึดอักไม่นอยพูดอะไรออกมาสักทีก็เลิกคิ้ว
" ก็...ชอบครับ"
" แล้วอันนี้ล่ะ"
" สปาเก็ตตี้ซอสครีมกุ้ง? ชอบเหมือนกันครับ"
" ไม่มีอะไรที่ชอบเป็นพิเศษ?"
" อือ..."
คนน่ารักขยับตัวยุกยิก ก่อนจะช้อนตามองอีกฝ่าย เอ่ยคำตอบออกมาด้วยท่าทางเอียงอาย
" ชอบกินซาลาเปาไส้ครีมครับ กับข้าวหน้าหมูตุ๋น"
ทั้งสองเมนูคือเมนูโปรดของเปียกปูน สมัยละอ่อนเจ้าตัวต้องข้ามนํ้าข้ามทะเลไปยังศาลเจ้าจีนเพื่อทำภารกิจกับคุณแม่ และข้างๆ ศาลก็มีร้านอาหารเปิดอยู่
เจ้าของร้านก็คือน้าไต่กิ๊กแม่มดชาวจีน ทำอร่อยจนแทบจะมีลำแสงพุ่งออกปาก จากนั้นทั้งสองเมนูจึงกลายมาเป็นของโปรดเปียกปูนโดยปริยาย ว่างเมื่อไหร่ก็มักจะบินไปยังเมืองจีนเพื่อซื้อกลับมาตุนในช่องฟรีซเสมอ น้อยคนนักที่จะรู้รสนิยมอาหารของเขา วันนี้มีคนรู้เพิ่มขึ้นมาแล้วนอกจากคุณแม่ คุณพ่อ พี่นกฮูก และพี่ๆ ไม้กวาด
หลังจากได้ยินคำตอบ สามภพก็ไม่ได้แสดงท่ามีอะไรออกมา ทำเพียงจ้องมองเปียกปูนด้วยแววตาเรียบนิ่ง
" ร้านนี้อาหารจะเป็นแนวฟิวชัน"
" ใช่ครับ..."
" ทานไปก่อน เดี๋ยวครั้งหน้าค่อยไปร้านอาหารจีน"
" ไปกินซาลาเปาไส้ครีมกับข้าวหมูตุ๋นเหรอครับ"
" ครับ"
" ไปครับๆ"
เปียกปูนทำตาลุกวาว หยิบเฟรนช์ฟรายด์เข้าปากอย่างสบายใจเมื่อรู้รอบหน้าจะได้กินของโปรด ไม่ทันได้เอะใจกับคำพูดของอีกฝ่ายเลยแม้แต่นิด
" ชอบหรือเปล่า"
" เฟรนช์ฟรายด์เหรอ ชอบครับ"
เปียกปูนตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆ มองคุณภพที่บัดนี้เลิกรับประทานอาหารแล้ว อีกฝ่ายยกเบียร์ขึ้นจิบ ดวงตาสีนํ้าตาลเข้มยังคงไม่ละไปจากเปียกปูนเลยแม้แต่นิด
" เปล่าครับ"
" ?"
" คุณภพพพ เติมเบียร์กันครับๆ อย่าให้ขาดตอนสิ"
เปียกปูนหันมองตามเสียงก็เห็นพี่ในแผนกคนหนึ่งเดินเข้ามาหยิบแก้วเบียร์ของสามภพไปเติมให้อย่างถือวิสาสะ ท่าทางคงจะเมามากแล้วแน่ๆ
" ไม่ต้องเติมให้เยอะนะครับ"
" อะ ก็ด้ายยย"
โห้ อะไรกันเนี่ย
คนน่ารักส่ายหน้าช้าๆ หัวใจดวงน้อยเผลอกระตุกวูบไปพักใหญ่
ว่าแต่ทำไมจู่ๆ คุณภพก็ดูหล่อขึ้นมาเสียอย่างนั้นล่ะ หรือว่าเบียร์มันส่งต่อความเมาผ่านระบบบลูทูธมาถึงเขาได้
" เอาละ เปียกปูน วันนี้ต้องเริ่มสู้แล้วนะ"
" จ้าๆ ว่าแต่ก่อนที่จะเริ่มสู้เนี่ย คุณแม่ว่าน้องปูนรีบทายโจณกให้หมดก่อนดีกว่าไหมคะ เดี๋ยวไปสายแล้วอาจจะหาแฟนยากขึ้นก็ได้นะคะ"
" โธ่คุณแม่ อย่าเพิ่งขัดปูนสิครับ"
" ไม่ได้ขัดซะหน่อย"
เปียกปูนรู้ดีว่าคำพูดของมารดานั้นค่อนข้างศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงยึดตัวขึ้นนั่งหลีงตรงแหน็ว รีบกินโจ๊กจนเกลี้ยงชามในเวลาอันรวดเร็ว
" หมดแล้วครับ"
มือน้อยยื่นชามโจ๊กสะอาดหมดจดอวดคุณแม่ ข้างหลังมีพี่ไม้กวาดที่กำลังสั่นครืดๆ อนุมานได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังชมเชยเปียกปูนในใจ
" เก่งมากค่ะ"
" ปูนไปทำงานก่อนนะครับคุณแม่"
คนน่ารักลุกขึ้นยืนพลางหยิบไม้กวาดขึ้นมาถือด้วยความเคยชิน
" น้องปูน ถ้ายังขี่ไม้กวาดไม่ได้ก็ไปที่ท่าอากาศยานแม่มดก่อนนะคะ หรือให้คุณแม่เรียกแกร๊บพ่อมดดี"
" วันนี้ปูนไปที่ท่าอากาศยานก็ได้ครับ เพราะขึ้นรถเมล์คงจะไปไม่ทันแหงๆ"
เปียกปูนเอ่ยปากออกมาด้วยนํ้าเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดาย เพราะอยากจะดูฝีไม้ลายมือของกระเป๋ารถเมล์สักหน่อย ก็ท่าอากาศยานน่ะเขาเห็นมาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ น่าเบื่อจะตายชัก
" ถ้าอย่างนั้นระวังตัวด้วยนะคะ คุณแม่เสกวงแหวนให้แล้วน้า"
" เจอกันตอนเย็นนะครับคุณแม่ ฝากบอกรักคุณพ่อด้วยนะครับ"
" ได้จ้า"
คนน่ารักโบกมือบ๊ายบายคุณแม่อย่างร่าเริง จากนั้นก็ยกมือไหว้พี่ๆ ไม้กวาด ก่อนที่จะเปิดประตูออกจากบ้าน
ทันทีที่เท้าเหยียบลงพื้น ทัศนียภาพก็พลันแปรเปลี่ยนไปในทันที จากถนนหนทางบนโลกมนุษย์ก็แปรเปลี่ยนเป็นพื้นหญ้าสีเขียวขจี ตามทางโรยด้วยกรวดสีขาว ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนเส้นทางในเรื่องอันเซลแอนด์เกรเทลตอนทิ้งเศษขนมปังไม่มีผิด
เปียกปูนฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ขณะก้าวเท้าไปตามเส้นทางที่พ่อมดรุ่นเก๋าได้ปูทางไว้ให้
" น้องปูนนน ไปไหนนน"
ชายหนุ่มได้ยินเสียงเอคโค่ที่ดังมาจากพ่อมดนักซิ่งขาประจำจึงเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าพร้อมกับยกมือไหว้พี่วินซึ่งสวมเสื้อกั้กสีส้มแปร๋น จากนั้นจึงชี้บอกว่ากำลังจะไปขึ้นรถอีกฝั่ง พวกเขาทั้งคู่จึงไม่มีเวลาเอายปากทักทายกันมากนัก
ส่วนอีกฟากนั้นคือป้ายสถานีรถเมล์ติดปีก ไม่มีคนขับและกระเป๋ารถเมล์อย่างโลกมนุษย์หรอก เหตุเพราะค่าบริการต่างๆ ถูกชำระด้วยภาษีพ่อมดแม่มดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งที่ได้มาฟรีๆ เช่นเดียวกัน
มีพนักงานแม่มดคนหนึ่งนอกกรนครอกอยู่ที่ช่องขายตั๋ว เป็นอันรู้กันว่านานๆ ทีเจ้าหล่อนจะตื่นขึ้นมาให้บริการสักครั้ง ก็นะ อายุยายแก่ขึ้นหลักพันแล้วนี่
ดังนั้นเปียกปูนจึงชินแล้วกับการที่ต้องบริการตนเอง คนน่ารักสอดบัตรประชาชนพ่อมดเข้าไปในตู้อิเล็กทรอนิกส์สีขาว รออยู่สักพักหน้าจอก็ปรากฏออกมา
' โปรดเลือกเส้นทางออกรถของท่าน หากเลือกจากเส้นทางที่บันทึกไว้แล้วกดหนึ่ง หากต้องการปักหมุดสถานที่ให้ม่ กรุณากดสอง '
เปียกปูนจิ้มที่ปุ่มเส้นทางเดิม จากนั้นกรอกความประสงค์ไปว่าเขาต้องการลงบริเวณดาดฟ้า
ตู้สีขาวสั่นครืดคราดได้สักพักก็คายตั๋วออกมา เวลาเดียวกันนั้นเองก็มีรถเมล์ติดปีกเข้ามาจอดเทียบที่สถานีพอดี
" ขอให้วันนี้คุณยายนอนหลับอย่างมีความสุขนะครับ"
เปียกปูนยกมือไหว้แม้ว่าคุณยายแกจะไม่ตื่น ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นรถเมล์เมื่อมันส่งสัญญาณว่าใกล้ออกรถแล้ว
" อ้าวน้องปูน"
" สวัสดีครับลุงโท"
ดวงตากลมโตจ้องมองพ่อมดที่รู้จักด้วยแววตาเป็นประกาย ก่อนที่จะขออนุญาตนั่งเก้าอี้ที่อยูาถัดออกมาไม่ไกลนัก
" วันนี้ไม่ขึ้นรถเมล์โลกมนุษย์ไปทำวานเหรอลูก"
" วันนี้ปูนออกช้าเลยกลัวไปไม่ทันครับ"
" ลุงไม่ค่อยเห็นเราที่ถนนเส้นขี่ไม้กวาดเท่าไหร่ ก็ยังคิดอยู่ว่า คงจะติดใจรถเมล์โลกมนุษย์เข้าแล้วละ"
ถ้อยคำหยอกของลุงโทนั้นทำให้เปียกปูนหัวเราะแหะๆ พยักหน้าหงึกๆ ด้วยความตื่นเต้น
" ที่โลกมนุษย์มีแต่ของน่าตื่นตาตื่นใจทั้งนั้นเลยครับ"
" นั้นสินะ พอได้ลงไปครั้งหนึ่งแล้ว โลกเวทมนตร์ของพวกเราก็ดูจืดชืดอย่างบอกไม่ถูก"
นั่นเป็นครั้งแรกที่สองพ่อมดต่างวัยรู้สึกเห็นพ้องต้องกัน
รถเมล์ติดปีกค่อยๆ บินขึ้นฟ้า ผ่านก้อนเมฆและไฟจราจร มีพ่อมดหนุ่มคอยตรวจตราความเรียบร้อยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ
" เมื่อสองวันก่อนมีพ่อมดขี่ไม้กวาดชนกันที่สี่แยกด้วย"
" อ้าว ทำไมชนกันได้ล่ะครับ"
" น่าจะเพราะไฟจราจรไม่ดีน่ะลูก โชคดีที่ไม่มีใครเป็นอะไรมาก พ่อมดแีกคนเหมือนแกจะขี่ตรวมาจากเชียงใหม่"
" ไม่ได้แต่งไม่กวาดใช่ไหมครับ..."
เปียกปูนกำลังนึกถึงพวกอันธพาลที่ทำทรงผมโมฮอกแต่งไม่กวาดให้มีเสียงดัง เวลาขี่ก็เสียงแกรกๆ ตามาหลังตลอด สร้างความน่ารำคาญให้แก่พ่อมดแม่มดตนอื่นอย่างเป็นมาก
" เป็นคนธรรมดาชนกันนี่ล่ะ"
นั่งคุยกันเพลินๆ อีกสักพักรถเมล์ติดปีกก็ส่งสัญญาณว่าได้ถึงจุดหมายที่เปียกปูนระบุไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มือน้อยยกมือขึ้นเพื่อดูนาฬิกา ครั้นเมื่อเห็นว่าตัวเองน่าจะมาถึงไวกว่าพนักงานคนอื่นจึงแย้มรอยยิ้มอย่างมีความสุข
" ปูนไปทำงานก่อนนะครับ"
" โชคดีๆ"
พอลงจากดาดฟ้าแล้วไปสแกนบัตรเข้างานด้านล่างก่อนละกัน คนน่ารักแพลนสิ่งที่จัทำก่อนเป็นอันดับแรกภายในหัว ก่อนจะหันซ้ายกันขวาดูว่ามีใครอยู่บริเวณนี้บ้างหรือเปล่า ที่ต้องระวังมากที่สุดก็คงจะเป็นป้าแม่บ้านนี่ละ เผลอเป็นไม่ได้ต้องขึ้นมาคุยโทรศัพท์บนนี้ตลอด
โอเค...ไม่มีคนอยู่ เปียกปูนกระโดดลงจากรถเมล์ แล้วยืนมองรถติดปีกค่อยๆ บินหายลับไป กลายเป็นเจ้านกตัวกระเปี๊ยกแทนด้วยเวทมนตร์พรางตา
เปียกปูรก้มลงสำรวจความเรียบร้อยของตนเอง ครั้นเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าหนาผมก็เป๊ะก็ถอนห่ยใจออกมาด้วยความโล่งอก เปิดประตูดาดฟ้าแล้วย่องเข้าลิฟต์ลงไปสแกนบัตรเข้างานตามที่ตั้งใจไว้
เอ...ว่าคุณภพมาทำงานหรือยังนะ
เพราะเป็นมกพ่อฝึกรัก เปียกปูนจึงไม่มีวิทยายุทธ์ในการจีบคนเท่สไหร่ สกิลร้อยแปดมารยาจึงเท่ากับศูนย์ หลังจากที่ติ๊ดบัตรเข้างานแล้วก็มาป้วนเปี้ยนอยู่แถวตู้กดเครื่องดื่ม
" คุณภพน่าจะมาแล้ว เอากาแฟไปให้ดีกว่า"
เวลาผ่านไปสักพักเปียกปูนก็พยักหน้าหงึกๆ สนับสนุนคำพูดของตน ก่อนจะกดเลือกเมนูที่ตู้เต่ากรรเชียงด้วยความดี้ดี (ความอยากจีบคณภพด้วยกาแฟน่ะมีสักสามสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์นั้นเป็นเพราะความอยากเล่นตู้เครื่องดื่มของเปียกปูนเองล้วนๆ)
กริ๊ก...
ในที่สุดกาแฟหอมกรุ่นในแก้วกระดาษก็อยู่ในมือของเปียกปูน กลิ่นของกาแฟคั่วหอมจนเขาเริ่มอยากชิมขึ้นมาตงิดๆ คิดเอาไว้ในใจแล้วว่าหากเอาไปให้คุณภพแล้วละก็...เขาจะลงมากดให้ตัวเองบ้าง
แต่ก่อนที่จะขึ้นไปที่ห้องทำงานของคุณภพ เปียกปูนจำเป็นที่จะแวะเอาของไปเก็บที่โต๊ะของตัวเองก่อน คนน่ารักสับขาเดินเร็วๆ ไปยังแผนกของตนด้วยความเร่งรีบ แล้วค่อยๆ ย่องเข้าไปดูว่ามีใครมาถึงบ้างหรือยัง
" เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ"
คลับคล้ายคลาว่าจะเห็นคนที่ไม่ควรเห็น ดังนั้นเพื่อความแน่ใจ เปียกปูนจึงชะโงกหน้าเข้าไปดูให้ชัดๆ อีกรอบ
" คุณภพตัวจริงนี่นา"
เบื้องหน้าของเปียกปูนขณะนี้คือสามภพ ในมือของอีกฝ่ายนั้นถือถุงขนมบางอย่างเอาไว้อยู่ เขาค่อยๆ วางมันลงบนโต๊ะของเปียกปูนอย่างทะนุถนอม
" สวัสดีครับคุณภพ"
อยู่ๆ เปียกปูนก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นเพราะไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเมื่อเห็นอีกฝ่าย ทั้งยืนตัวตรงแหน็วคล้ายกับพวกนักโทษเวลาโดนผู้คุมให้เข้าแถวตรวจเสื้อผ้าอย่างไรอย่างนั้น
ฮึบไว้เจ้าเปียกปูน ฮึบบบ
" คุณปุณธนัช?"
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ในวันนี้ภาพลักษณ์ของคุณภพในสายตาของเปียกปูนแตกต่างไปจากเดิม ชุดสูทสีดำที่มักสวมใส่อยู่ตลอดก็เหลือเพียวแค่เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาด พับแขนเสื้อขึ้นมาจนถึงข้อศอก ไม่ต่างอะไรจากเมื่อวานตอนเย็น
จะว่าอย่างไรดีนะ จากปกติที่หล่ออยู่แล้ว พอเปลี่ยนการแต่งกายนิดหน่อยก็ฮอตปรอทแตกขึ้นมาเชียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงความน่ากลัวไว้ไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
" สวัสดีตอนเช๋าครั่บ"
เพราะไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างพวกเขานั้นอึดอัด เปียกปูนจึงทักคุณภพออกไป แต่เสียงที่หลุดออกมากลับเป็นโทนนักร้องเสียงเพี้ยน หลังพูดจบก็แทบอยากเอาหน้ามุดดินหนี ยิ่งเห็นคุณภพจ้องมาทางตนนิ่งๆ ก็ยิ่งรู้สึกประหม่ามากขึ้นไปอีก
โธ่ เขาไม่ได้ตั้งใจพูดเสียงเหน่อสักหน่อย
เปียกปูนมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเลยไม่เห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าอย่างไรหรือคิดอย่างไรอยู่กันแน่ คนน่ารักเอาแต่ล็อกโฟกัสสายตาอยู่ที่รองเท้าและพื้นพรมของบริษัท จนกระทั่งได้ยินเสียงของคุณภพนั่นแหละถึงได้เงยหน้าขึ้นมอง
" ซาลาเปาไส้ครีม"
" ครับ?"
" วางอยู่บนโต๊ะครับ"
" ซาลาเปาทำไส้ครีม!"
เมื่อได้ยินชื่อเมนูโปรด ดวงตาของพ่อมดน้อยก็ลุกวาวด้วยความตื่นเต้น มองสามภพด้วยท่าทางราวกับแมวยักษ์เวลาเจอแซมอน
" ร้านอยู่ตรงทางผ่านพอดีน่ะครับ"
" ขอบคุณนะครับ ผมไม่ค่อยได้กินซาลาเปาไส้ครีมตอนเช้าเท่าไหร่ ร้านอยู่แถวไหนเหรอครับ"
คนน่ารักถามด้วยความลิงโลด คิดในใจเอาไว้แล้วว่าจะแวะซื้อกืนทุกเช้า แต่คุณภพกลับชะงักกึกเสมือนไม่มีสัญญาณตอบรับ สักพักถึงเอ่ยปากตอบคำถามด้วยนํ้าเสียงจริงจัง
" ร้านเปิดตอนเช้าแค่วันนี้ครับ"
" อ้าว ไหรเป็นงั้นอ่ะ"
เปียกปูนพึมพำออกมาด้วยความเสียดาย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แค่ได้กินของโปรดตอนเช้าก็ทำให้มีแรงทำงานไปทั้งวันแล้วละ
" ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ผมจะกินให้หมดเลย"
" ค่อยๆ ทานครับ ไม่ต้องรีบ"
สามภพยกมือขึ้นดูนาฬิกา ครั้นเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาที่ชาวออฟฟิศจะเข้างานแล้วจึงได้ขอตัว
" ขึ้นไปทำงานก่อนนะครับ"
" เดี๋ยวก่อนครับ"
" มีอะไรเหรอครับ"
ในที่สุดก็ถึงเวลามอบกาแฟ...ซึ่งต้องใช้ความกล้าหาญมากพอสมควร
เปียกปูนก้าวขาที่สั่นระริกเข้าไปหาอีกฝ่าย ก่อนจะช้อนตาขึ้นมอง พร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงเบาหวิว
" กาแฟครับกาแฟ"
มือที่จับแก้วกาแฟไว้สั่นน้อยๆ เพราะความประหม่า รู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังถูกส่งเข้าโรงเชือดอย่างไรอย่างนั้น
สามภพมองกาแฟในมือของอีกฝ่าย สักพักก็พยักหน้า
" ได้กดตู้เต๋ากรรเชียงแล้วนี่ ดื่มกาแฟแล้วอย่าลืมดื่มนํ้าเยอะๆ ด้วยนะครับ"
" ครับ? เดี๋ยววว...ไม่ใช่แบบนั้น..."
สามภพเดินจากไปแล้ว...ทิ้งเปียกปูนเอาไว้กับแก้วกาแฟที่ยื่นค้างเติ่งกลางอากาศ และซาลาเปาไส้ครีมร้อนๆ ที่ยังคงวางอยู่บนโต๊ะทำงานเช่นเดิม
" อ้าวน้องปูน วันนี้มาทำงานเช้าจัง ว่าแต่ซื้ออะไรมากินด้วยเนี่ย"
" เอ่อ...ซาลาเปาครับ ซาลาเปาไส้ครีม"
เปียกปูนตอบพี่ร่วมแผนกด้วยท่าทางสับสน ตอนที่นั่งดื่มกาแฟพร้อมกับซาลาเปาก็ยังไม่หายสงสัยเลยด้วยซํ้า
งงนิดหน่อย ไม่เข้าใจมากๆ อันที่จริงเปียกปูนต้องจีบคุณภพด้วยกาแฟนี่ แล้วไหงเช้านี้เขาถึงได้ซาลาเปาจากคุณภพแทนล่ะเฮ้ย
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!