ณ โลก คริสต์ศักราชที่ ห้าพันสองร้อย ในวันธรรมดาๆวันหนึ่ง
ดวงดาวที่เต็มไปด้วยผู้ใช้พลังจิตที่เกิดจากพลังงานที่ติดมากับอุกกาบาตที่พุ่งชนญี่ปุ่นเมื่อสองร้อยปีก่อนจนหายไปครึ่งประเทศ
ชายหนุ่มผู้หนึ่งมีนามว่า เทียนอี้ ถูกตามล่าโดยเหล่าคนที่เรียกตนเองว่า การ์เดี้ยน สาเหตุเทียนอี้ดูเหมือนจะไปขโมยสมบัติของประเทศๆหนึ่งมามันคือ สร้อยที่ทำจากเงินและประดับด้วยแร่ ลาพิสลาซูลี แต่มันไม่ใช่เครื่องประดับแต่คือ สร้อยที่เต็มไปด้วยความปรารถนา จนทำให้เกิดพลังจิตที่หนาแน่นและได้ก่อให้เกิดเป็นพลังต้นกำเนิดที่ทุกๆคนเชื่อว่าสามารถนำพาบุคคลๆหนึ่งไปยังจุดเริ่มต้นและสิ่งนี้มีชื่อเรียกว่า สร้อยสายธารแห่งพลังจิตหวนคืน เทียนอี้ได้หนีอย่างหัวซุกหัวซุนทั้งซ่อนทั้งหนีแต่ก็ไม่พ้นเสียทีเทียนอี้ได้พูดกับตนเองด้วยน้ำเสียงที่ดูร่อแร่
ชิ!! ไล่กัดไม่ปล่อยเลยสินะ อย่างกะหมาบ้า...
เทียนอี้ได้หนีมาเรื่อยๆจนเจอเข้ากับตอ เขาได้เจอกับคนที่คนเหล่านั้นเรียกว่านายพลดักเอาไว้ สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงด้วยพลังจิตที่สูงส่งของนายพลที่อยู่ใน ระดับพลังจิตก้องกังวาน ทำให้การหนีเป็นไปไม่ได้ เทียนอี้จึงได้ตัดสินใจสู้จนตัวตาย แต่เพียงแค่การกำมือขอฃนายพลผู้นั้น ร่างกายท่อนล่างของเทียนอี้ก็ได้ระเบิดไปไม่เหลือชิ้นดี เหลือเพียงเศษเนื้อและเศษกระดูกที่กระจายไปทั่ว และนายพลผู้นั้นได้เดินเข้าไปใกล้เทียนอี้อย่างชั้าๆเพื่อไปเอาสมบัติคืน นายพลได้พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเฉื่อยชา "แกนี่แสบมากนะ" ก่อนที่เขาจะกระชากออกมาจากคอของเทียนอี้มือของเทียนอี้ก็ได้จับมือของนายพลเอาไว้ นายพลและกาเดี้ยนทุกคนต่างแปลกใจทั้งที่ควรจะตายไปแล้วแท้ๆแต่กลับยังมีชีวิตได้ในสภาพแบบนั้น แต่จู่ๆตัวของเทียนอี้และสร้อยที่เขาขโมยมาได้เปล่งแสงไปทั่วบริเวณ และก่อนที่ตาของเทียนจะมือมิดไปตลอดกาลเขาก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นในสภาพสลึมสลือกึ่งหลับกึ่งตื่น
ณ ที่ไหนซักแห่ง
โอ้ยๆๆๆหัวของเราทำไมมันถึงเจ็บปวดขนาดนี้!
แล้วนี่มันที่ไหนทำไมถึงมืดขนาดนี้มองไม่เห็นเฟ้ย!
หรือว่าจะเป็นนรกรึหรือโลกระหว่างความตายแต่ก็ช่างมันเถ-
หรือว่าตูตาบอด!!!!!ไม่น้าตายและเป็นผียังจะตาบอดอีกฮือๆๆ
แต่เดี้ยวนะทำไมเราถึงรู้สึกถึงพลังจิตได้กัน
หลังจากโดนเหล่าผู้ใช้พลังจิตตามล่าจนเขาตายลงเขาได้มาอยู่ในที่ที่แปลกประหลาดทั้งมืดมิดและแคบและเขาได้แปลกใจในการมีอยู่ของพลังจิตทั้งที่วิญญาณที่ตายไปไม่ควรจะสัมผัสมันได้และเขาได้รู้สึกแปลกๆกับร่างกายของเขาหลังจากสัมผัสร่างกายไปทั่วทั้งตัว เทียนอี้ได้ตะโกนอออกมาด้วยความตกใจ!!!
เดี๋ยวนะ!? นี่ตูเป็นทารกเรอะ!!
แล้วบนหลังตูนี่มันอะไร!! ขนลุกเลยวุ้ยเหมือนขนไก่เลย..
หรือตัวเราจะมาเกิดใหม่รึอาจจะเป็นเพราะสร้อยนั่น
งั้นทุกสิ่งก็สมเหตุสมผลอืม......
แล้วนี่ตูพูดได้ด้วยรึ นี่คือสิ่งที่ทารกควรจะทำได้รึไง!
แล้วตูมาเกิดใหม่เป็นตัวเหี้*อะไรเนี่ย!!!!
เทียนอี้ได้โวยวายกับตนเองเหมือนคนบ้าในความคิดด้วยความมึนงงแต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างเหมือนผู้คนกำลังคุยกันเรื่องอะไรสักอย่างเกี่ยวกับตัวเขาแต่มันไม่ใช่ภาษาที่เขาจะเข้าใจได้ และก็ได้บ่นกับตัวเองไปเรื่อยเหมือนคนบ้าหรือไม่ก็ปัญญาอ่อน
อย่างบอกนะว่าตูเกิดใหม่เป็นนางฟ้า~ว้าวๆ
ว่าแต่นางฟ้านี่ออกลูกเป็นไข่รึ?
ช่างมันเถอะแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตาของตูไม่บอดฮ่าๆ..
หลังจากลืมตาตื่นได้2วันเขาก็ได้รู้ตัวซักทีว่าตัวเขาเองอยู่ในไข่ ทั้งความแข็งและผิวสัมผัสที่ควรรู้ตั้งแต่วันแรกเลยด้วยซ้ำช่างโง่บรมจริงๆ เทียนอี้พยายามคิดเกี่ยวกับชีวิตในชาตินี้ในแง่ดี
ถ้าเราเป็นนางฟ้าจริงชีวิตก็ควรจะสบายไม่มีศัตรูใช่รึป่าวน้า~
แต่ร่างกายนี้เหนือมนุษย์ใช้ได้เลยแฮะเราไม่ได้นอนมา5วันแล้ว
แต่กลับไม่มีความเหนื่อยล้าแม้แต่นิดเราชักจะสงสัยจริงๆแล้ว
ว่าตัวเราเป็นตัวอะไรกันแน่มนุษย์ก็ไม่ใช่เพราะปีกข้างหลัง..
ความดีข้าก็ไม่ได้เยอะจนท่านพระผู้เป็นเจ้าจะรับเป็นสาวก...
หรือข้าจะเป็นปีศาจ!?
เขาได้คิดไปเรื่อยเกี่ยวกับตัวเขาด้วยความไม่มีอะไรทำเป็นแบบนั้นตลอดหนึ่งสัปดาห์โดยไม่มีอะไรนอกจากครุ่นคิดเกี่ยวกับตัวเองในชาตินี้ เปลือกไข่ก็แข็งเกินไปจนทุกไม่แตกด้วยแรงของทารกและพลังจิตของเขาก็ถูกรีเซ็ตให้เป็นศูนย์ เขาได้อยู่แบบนี้เพ้อฝันไปเรื่อยจนผ่านมาหนึ่งอาทิตย์และน้ำเสียงของเขาเริ่มเฉื่อยชาขึ้นเรื่อยๆ
นี่ก็7วันแล้วที่เรามาเกิดใหม่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟักเลยเห๊อ~
ไหนๆเราก็ไม่มีอะไรจะทำแล้วฝึกพลังจิตใหม่ดีกว่ามั้ยนะ..
เพราะเปลือกไข่นี่มีออร่าพลังจิตที่ห่อหุ้มเอาไว้เราควรจะดูดซับดีมั้ย
และนี่อาจะเป็นเหตุที่ตัวเราไม่ฟักเสียที
ดูเหมือนเขาจะฉลาดขึ้นนิดหน่อยแต่ก็แค่นั้นตัวเขาก็ยังโง่บรมอยู่ดีเขาได้ทำการดูซับพลังจิตเรื่อยๆเป็นเวลานานโดยไม่อยุดพักด้วยร่างกายของเขาที่ไม่มีวันเหนื่อยจนไม่รู้วันรู้เดือนจนผ่านไปสิบสองปีเขาได้ออกจากการฝึกและได้รู้สึกแปลกกับร่างกายตนเองที่ดูแข็งแกร่งขึ้นและไม่ได้คิดอะไรมสด และได้ทำการทบทวนเวลาแต่อยู่ๆเขาก็ใช้ศัพท์แปลกๆและภาษาที่ดูไม่คุ้นเคย
ข้ารู้สึกว่าร่างกายของข้าแข็งแกร่งขึ้น?
ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถต่อยกับสิงโตได้เลย
(หรือว่าแท้จริงแล้วพลังงานนี้อาจจะไม่ใช่พลังจิต)
(แต่ด้วยกฏแห่งโลกทำให้ใช้ได้แค่ใช้พลังของได้แค่ครึ่งเดียว??)
(ด้วยกฏนั้นได้หายไปและพลังงานนี้เลยทำงานได้อย่างเต็มที่!?)
(ข้าก็สงสัยมานานแล้วว่าพลังจิตทำไมถึงทำให้อายุยืนยาวขึ้นได้กัน)
(มันคือบางส่วนของพลังงานนี้เพียงเท่านั้น!!!)
(แท้จริงแล้วมันไม่ใช่พลังจิต!?)
จู่ๆเขาก็ปวดหัวจากการใช้งานสมองมากจนเกินไปทั้งที่ตัวเขาก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว และความฉลาดเมื่อกี้ของเขาก็ได้หายไปในพริบตา
โอ้ยๆปวดหัว!!
อืม....แล้วนี่มันกี่ปีแล้วที่ข้าได้ดูดซับพลังจิ-
เดี้ยวก่อนตูกำลังพูดภาษาอะไรอยู่กัน!?
หรือว่าวิญญาณของข้าจะเริ่มหลอมรวมกับเจ้าไข่นี่ไปแล้ว?
นี่มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก...
แล้วไอ้ไข่เวรนี่มันจะแตกตอนไหนเนี่ยเห้ย!!?
ข้าก็ฝึกจนถึงระดับ พลังจิตก้องกังวาน แล้วนะเฟ้ย!
พลังจิตที่ห่อหุ้มไว้เมื่อไหร่มันจะหมดไปซักทีวะครับท่าน!!
พลังจิตก้องกังวานคือระดับที่ หก ว่ากันว่าสามารถบินได้อย่างอิสระและสามารถใช้กระแสพลังจิดและบีบอัดโลหะได้เหมือนคุกกี้และยังสามารถสร้างภาพมายาได้ในบางสถานการณ์ และนั่นเป็นเพียงแค่ขอบเขตพลังเล็กๆในจักรวาลแห่งนี้เท่านั้น! และระดับที่ปรากฏขึ้นมาบนโลกของเทียนอี้ที่จากมามีทั้งหมด เจ็ด ระดับ ได้แก่ รับรู้พลังจิต , หลอมรวมพลังจิต , พลังจิตสมบูรณ์ , หัวใจพลังจิต,พลังจิตแปลงรูป , พลังจิตก้องกังวาน , มหาปราชญ์แห่งพลัง เป็นสิ้นสุดเพียงเท่านี้
โดยขอบเขตที่เทียนอี้ไปถึงไม่ใช่ขอบเขตที่จะไปถึงได้ง่ายๆในโลกของเขา คนปกติต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและเวลาที่ยาวนานไม่ต่ำกว่าแปดสิบปีถ้าไม่นับรวมอัจฉริยะด้านพลังด้านการดูดซับ ซึ่งด้วยร่างกายของเทียนอี้นั้นมีคุณสมบัติพิเศษในการดูดซับที่เร็วสุดๆ ทุกๆวันที่เขาฝึกภายในไข่จะเกิดกระแสพลังจิตหมุนเวียนสเหมือนกับพายุ ซึ่งเอาไปเทียบกับกับคนปกติไม่ได้แม้แต่นิด แต่ถึงเขาจะดูดซับไปมากแค่ไหนตัวของไข่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะร้าวและพลังจิตที่ห่อหุ้มเอาไว้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมด เทียนอี้เริ่มสงสัยกับเวลาที่เขาอยู่ในไข่ใบนี้
นี่มันผ่านมากี่ปีแล้วที่ข้ากลับมาเกิดใหม่ข้าชักจะสงสัยเสียแล้ว..
คงต้องกระตุ้นสมองด้วยพลังจิตเสียหน่อย...
เขาได้ใช้พลังจิตในการกระตุ้นสมองของเขา โดยการใช้พลังจิตรู้แจ้ง ทักษะระดับ หัวใจพลังจิต ที่ใช้กระตุ้นสมองที่ดีที่สุดในระดับกลาง ที่เขาได้มาในชาติที่แล้ว เทียนอี้ได้ตกใจและได้พูดด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่าน
นี่....ข้าฮ่าๆๆๆๆๆๆ 12 ปีสินะ...
คว*เถอะข้าติดอยู่ในไข่เวรนี่เป็นเวลาทั้งหมด12ปี....
ไอ้ไข่เวรนี่มันยังมีพลังจิตมากแค่ไหนกันแน่วะไอ้ไข่เส็งเคร็งเอ้ย!
เขาได้ตะโกนด่าไข่แบบนั้นเป็นเวลามากกว่าสองปีเขาทั้งด่าแล้วก็ฝึกไปด้วยเป็นพฤติกรรมที่ดูบ้าบอเกินกว่าคนบ้า แต่ในที่สุดเขาก็ได้มาถึงระดับสูงสุดที่คนในโลกของเขาเคยไปถึงในตอนนี้เขาได้ไปเหยียบจุดเดียวกับคนพวกนั้นด้วยเวลาเพียงสิบสี่ปี มหาปราชญ์แห่งพลัง แต่เขากลับไม่ดีใจเลยซักนิด แต่สิ่งที่ทำเขาดีใจมากที่สุดก็คือ
ร่างกายของข้าแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว
ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าข้าสามารถยกรถถังได้ด้วยกำลังเพียวๆเลย
นี่สินะระดับปราชญ์แห่งพลังในที่สุดแต่ช่างแม่*เหอะ!
ในที่สุดพลังจิตที่ห่อหุ้มไข่นี่ไว้ก็ได้หมดลงแล้วโว้ย!!!!
หืม..นี่มันแสงหรอ.....
ในที่สุดหลังจากผ่านไปสิบสี่ปีไข่นั้นก็ได้แตกร้าวและได้ทำให้แสงสาดส่องมาที่ตัวของเทียนอี้ หลังจากไข่ได้แตกออกกลายเป็นละออง เผยให้เห็น ดวงตาสีทองอร่าม ผมสีดำสนิท พร้อมกับปีกสีดำทมิฬที่มีขนาดเท่าปีกเหยี่ยวโตเต็มวัย ผิวพรรณที่ดูนุ่มและขาวดั่งหิมะ และ บนหน้าผากมีสัญลักษณ์ดวงดาราสี่แฉกสีทอง นั่นคือรูปลักษณ์ของเทียนอี้ในชาตินี้
นั้าตาของเทียนอี้ได้ไหลรินเขาได้ยืนขึ้นและมองไปยังบนฟ้า อาบแสงที่เขาไม่ได้สัมผัสมันมานาน แต่เขาดีใจได้ไม่นานเขาได้สังเกตุเห็นซักทีว่าเขาอยู่ท่ามกลางคนที่มีปีกเหมือนกับเขา เพียงแต่ปีกของพวกเขาเป็นสีขาวบริสุทธิ์ที่เรียกพวกตนว่าเผ่าอันศักสิทธิ์ หนึ่งในพวกเขาที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำได้กล่าวอะไรบางอย่างกับเทียนอี้ด้วยสายตาที่ดูเกลียดชังเป็นอย่างมาก
เจ้าหนูปักษาทมิฬเอ๋ย เหตุใดใยเจ้าจึงมีปีกสีดำทมิฬ
เหตุใดไอ้ตัวแปลกปลอมอย่างเจ้าจึงเกิดขึ้นในเผ่าของข้า
ตามคำบอกของบรรพบุรุษปีกสีดำคือสัญลักษณ์ของโชคร้าย
เจ้าควรจะถูกเนรเทศออกจากเผ่าไปยัง หลุมไร้ก้นบึ้ง "อาบิส" อีกตัว
เพื่อกำจัดตัวนำพาหายนะที่ไม่บริสุทธิ์!!!!
เทียนอี้มึนงงเป็นอย่างมากกับสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ เขาได้บ่นกับตัวเองในความคิดจากความดีใจกลายเป็นความมึนงงไร้ก้นบึ้งและหวาดผวากับสายตาของพวกเขาที่จ้องมองมาเทียนอี้พยายามโต้เถียงเพื่อเอาตัวรอด..
เดี้ยวสินี่พวกท่านฟังข้าก่อนข้าคือคนในเผ่าของท่านนะ!
แล้วท่านจะยอมเสียคนในเผ่าเพียงเพราะข้ามีปีกเป็นสีดำงั้นรึ!?
พวกท่านจะไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ!!?
ผู้คนที่เรียกตัวเองเผ่าอันศักดิ์สิทธิ์ไม่รอช้าได้ชูมือขึ้น และได้เกิดกระแสพลังจิตที่ยิ่งใหญ่บนมือของทุกคนนับร้อยรวมพลังเพื่อเนรเทศเทียนอี้ไปยังอาบิส ก่อนที่เทียนอี้จะถูกเนรเทศเขาได้ใช้พลังต้านเอาไว้แต่ทันทีที่เรียกใช้ม่านพลังมันก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้เขาสิ้นหวังที่จะต้านเอาไว้ และพลังที่คนเหล่านั้นได้ใช้ก็พัดพาเทียนอี้ไปยังสายธารแห่งเวลา รอบๆเต็มไปด้วยความเป็นมา ประวัติของ ดวงดาว บุคคล จักรวาล โลกคู่ขนานต่างๆ ทุกช่วงเวลา อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต ที่ไร้สิ้นสุดและทุกความเป็นไปได้นับแสนล้านๆๆๆๆที่สามารถเกิดขึ้นได้ และใจกลางสายธารแห่งเวลาก็มีช่องว่างมิติที่แปลกประหลาด และรอบๆช่องว่างนั้น เต็มไปด้วยพลังงานที่บิดเบี้ยว และความรุนแรงของพลังงานนี้สามารถฉีกกระชากจักรวาลให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆได้ และในหัวของเทียนอี้ได้เกิดคำถามมากมายในที่แห่งนี้
ไอ้หลุมอวกาศนั่นมันอะไรและที่แห่งนี้คือที่ใดกัน!!!?
หรือคือที่ที่ไอ้แก่นั่นพูดถึงอาบิส.....
เหี้********ตูกำลังจะตายแล้วหรือนี่!!!!!!
ตัวของเทียนอี้ได้เข้าไปในช่องว่างนั้นแต่กลับไม่ถูกกระแสพลังทำลายร่างกายโดยเหตุผลบางประการ เทียนอี้ได้กล่าวกับตนด้วยความมึนงงและเริ่มสงสัยในผู้คนที่เนรเทศเขาออกมา
เอ๊....ข้ายังมีชีวิตอยู่?
แต่พลังรอบๆหลุมนี้ควรฉีกข้าออกและกลายเป็นพลังให้กับมัน
หรือเป็นพวกไอ้แก่นั่นที่ทำให้ข้าไม่ตาย
พวกมันทรงพลังขนาดไหนกันแน่!?
เทียนอี้ได้ลองปล่อยกระแสพลังจิตเพื่อตรวจสอบรอบๆเพื่อสำรวจว่าเขาสามารถทำอะไรที่นี่ได้บ้างและจะทำอะไรต่อไป หลังจากสำรวจเขาค่อนข้างแปลกใจกับสภาพแวดล้อมของที่แห่งนี้
ที่นี่มันคืออะไรกันอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือด
และยังบรรยกาศที่บิดเบี้ยว
ต้นไม้ทุกต้นเหมือนถูกดูดพลังชีวิตจนไม่เหลือ..
ก้อนเมฆซักกก้อนก็ไม่มี
ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิทแล้วดวงจันทร์สีเลือดนั่นมันอะไร!?
แต่ที่นี่พลังจิตหนาแน่นมากถ้าเราฝึกที่นี่คงจะเร็วขึ้นหลายเท่า..
เทียนอี้พบว่าที่นี่บิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความตายแต่กลับมีพลังจิตที่หนาแน่นถ้าเขาฝึกที่จะเร็วกว่าโลกถึงยี่สิบเท่า ทันใดนั้นแผ่นดินก็เริ่มสั่นไหวเหมือนสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่เดินไปมา เทียนอี้ได้มองไปยังทิศทางที่ทำให้เกิดการสั่นไหว และได้พบกับกิเลนขนาดยักษ์สูงเสียดฟ้ามีแปดขาและสี่ตาแค่ขาขอมันก็ใหญ่พอที่จะเป็นเกาะขนาดใหญ่เกาะนึง เทียนอี้ได้ทำตัวให้เงียบที่สุด แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวของมันนั้นรู้ถึงการมีอยู่ของเขา แต่กลับไม่ได้สนใจเปรียบเทียนอี้เหมือนมดตัวหนึ่งไม่ได้มีค่าอะไร เทียนอี้ได้พูดเบาด้วยน้ำเสียงที่ดูสั่นกลัว...
ฮ่าๆ...ม้านั่นไม่สนใจตัวเราสินะพลังจิตรอบตัวมันแข็งแกร่งมาก...
ถ้ามันมองมาและเพ่งพลังจิต ตัวเราคงจะระเบิดไปแล้ว...
เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่าตัวเขาเป็นเพียงเหยื่อที่รอให้นักล่ามาขย้ำ สติของเขาแทบจะหลุดลอย เนื่องจากพึ่งผ่านความเป็นความตายในรอบที่สองมาได้และยังเป็นการเฉียดตายครั้งเดียวที่เขาหวาดกลัวถึงขนาดนี้ และทำให้ตัวของเทียนอี้รู้ว่ายังมีขอบเขตที่เหนือกว่า ปราชญ์แห่งพลังอย่างแน่นอน เทียนอี้ได้ตั้งสติแล้วออกไปจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด และได้หาที่เหมาะในการอยู่อาศัยเพื่อเตรียมตัวทะลุขีดจำกัดของคนที่แกร่งที่สุดของคนในชาติแล้ของเขาเพื่อที่จะอยู่รอดในอาบิส ที่ที่เต็มไปด้วยมหาปีศาจที่ และเขาเชื่อว่ายังมีอีกมากมาย หลังจากบินหาไปทั่วผ่านไปสองชั่วโมตัวของเขาได้พบถ้ำๆหนึ่งที่ยังพอจะใช้งานได้
บรรยากาศดูไม่น่าอยู่เท่าไหร่แต่มันก็เพียงพอในสถานที่นี้
ไหนๆก็ไหนๆแล้วยังไงก็มาเกิดใหม่แล้ว
งั้นข้าควรมอบนามใหม่ให้กับตนเองได้แล้ว
คิตตี้ อืม...น่ารักไป แจ็คสัน เบสิคไป.. บลาๆๆ
เอาเป็นมิคาเอล "มิคาเอล ปักษาทมิฬ" เท่ดีๆ ข้าชอ-
หืม!?
ในตอนที่เขาจะเข้าไปในถ้ำ... ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เกิดความแปรปรวนมีสายฟ้าสีเลือดผ่าลงยังผืนดินหลายร้อยสายในคราเดียวส่งเสียงดังไปทั่วผืนฟ้า หูของมิคาเอลแทบจะแตกออก และได้ตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด
โอ้ย!หูของข้าจะแตกแล้ว!!!!!
ไม่มีเมฆซักก้อนแล้วมันมีฟ้าผ่าได้ยังไงกัน!?
มิคาเอลได้สงสัย และได้มองขึ้นไปบนฟ้า และได้พบว่าดวงจันทร์สีเลือดนั้นได้กลายเป็น ดวงเนตรขนาดยักษ์ มันได้จ้องมองมาหามิคาเอลอย่างชัดเจนจู่ๆรอยแยกมิติขนาดใหญ่ปกคลุมผืนฟ้าก็ได้เกิดขึ้น ไม่รู้เพราะเหตุหรือเป็นเพียง..... การแสดงอำนาจดวงเนตรสีเลือดนั้น
ดวงตาของมิคาเอลได้เบิกกว้างและตกตะลึงกับสิ่งที่ตนเองกำลังเห็นอยู่ เขาทำตัวไม่ถูกมิคาเอลทำได้แค่ยืนนิ่งอ้ำอึ้งอยู่เช่นนั้น และเขาก็ได้ล้มลง ตุ้บ! แต่จู่ๆเสียงปริศนาก็ได้แทรกเข้ามาในหัวของมิคาเอล มิคาเอลสะดุ้งและตกใจเป็นอย่างมาก
มิคาเอล ปักษาทมิฬหรือ?
ข้าสัมผัสได้ถึงสายเลือดของเจ้า...ทูตสวรรค์ตัวน้อย...
เจ้าก็ถูกเนรเทศมางั้นหรือ
ใน1แสนปีมานี้เห็นทูตสวรรค์หลายร้อยตนมายังที่แห่งนี้
และยังมีปีกสีดำเช่นเจ้า
ไหนๆเจ้าก็ถูกขับไล่มายังที่แห่งนี้เจ้าอยากจะแก้แค้นหรือไม่
ถ้าอยากงั้นเจ้าก็จงมาเป็นสาวกของข้า! ท่านบาฮามุทผู้นี้......
จู่ๆดวงเนตรนั้นก็มีท่าทีตกใจ และน้ำเสียงก็เริ่มเปลี่ยนไปการพูดเริ่มดูตะกุกตะกักและดูสั่นกลัวในตัวของมิคาเอล
หืม!?
ท..ท่านคือ...ท่านราชั-
มิคาเอลได้ลืมตาตื่นขึ้นและพบว่าตัวเองนอนสลบอยู่หน้าถ้ำ เขาได้แหงนหน้ามองขึ้นไปที่จันทร์สีเลือดดวงนั้น และได้คิดในแง่ดีว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่ฝันร้าย มิคาเอลได้เอ่ยขึ้นในสภาพสะลึมสะลือ
ฝันงั้นหรอ....
สงสัยคงเหนื่อยจากม้าเวรนั่นเกินไป..
ไม่คิดว่าเลยว่าตัวข้าจะสลบไปเลย
หรือว่าข้าจะนอนน้อย? นั่นสินะไม่ได้นอนมาตั้ง 14 ปี ฮ่าๆ..
แต่ฝันนั่นก็แปลกอยู่ดีแฮะ....
ช่างมันเถอะ~ทำตามแผนเดิมดีกว่า...
มิคาเอลไม่ได้คิดสิ่งใด และได้ทำตามเป้าหมายเดิม เขาได้เข้าไปในถ้ำ และเขาได้ใช้พลังจิตแปรรูปดินเหนียวและหินให้กลายเป็นที่กั้นทางเข้าและได้ใช้พลังของเขาในการขยายถ้ำ และได้ทำการควบแน่นพลังจิตทำให้เกิดแสงและจุดไฟที่แค่รอบๆมีพลังจิตก็จะไม่มีวันมอดดับ
มิคาเอลไม่รอช้าเขาได้นั่งลงตรงกลางถ้ำและทำการตั้งสมาธืและรวบรวมพลังจิตมาไว้ที่หน้าผากและทำการดูดซับด้วยทักษะดูดซับระดับ หัวใจพลังจิต ทักษะ ทะเลพลังจิตหมุนเวียน ด้วยทักษะนี้ทำให้เขาดูดซับเร็วขึ้นอีกสี่เท่า ทำให้เป็นยี่สิบสี่เท่าจากผลของสถานที่แห่งนี้เขาได้ฝึกแบบนี้มาเรื่อยๆยาวนานกว่าสี่ปีแต่ไม่มีทีท่าว่าจะทะลวงขั้น และเขาได้บ่นกับตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ทุกครา..
นี้มัน 4 ปีแล้ว...
ข้ารู้สึกว่าภายในตัวข้ามันเกิดการสะสมของพลังจิต
มันสะสมเอาไว้แต่มันกลับไม่เอามาทะลวงขั้น เพื่อ!?
หรือว่าจะมีข้อจำกัดของวิญญาณ?
ไม่...เป็นไปไม่ได้...
อืม...ช่างมันเถอะๆ ข้าว่าข้าควรออกไปได้แล้ว
ตอนนี้ข้าอายุ 18 แล้วใช่มั้ยนะ?
มิคาเอลได้ทำการลุกขึ้นหลังจากบ่นกับตัวเองจบและได้ทำการทลายกำแพงถ้ำและบินออกไปสำรวจและปิดบังตนจากเหล่าอสูรด้วยพลังจิตถึงจะปกปิดแทบไม่ได้ต่อหน้าพวกมันอย่างน้อยก็เพื่อแสดงถึงความนอบน้อมของเขา...
(ไอพวกเวรเอ้ยอย่าคิดนะว่าข้าจะยอมพวกเจ้าแบบนี้ไปตลอด)
ไอพว-
สายตาของมิคาเอลได้กวาดไปทั่ว และหางตาของเขาได้สังเกตุเห็นสิ่งปลูกสร้างปริศนามิคาเอลได้ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และได้บินไปที่นั่นแบบไวจี๋ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นอารยธรรมหลังมายัง ห้วงลึกแห่งนี้และคิดไปเรื่อยเช่นเคย
(เมืองหรอ?)
(ไม่คิดเลยว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่สร้างเมืองแบบนี้ได้ในที่แห่งนี้~)
(แต่เมืองนี้อยู่ได้ยังไงในสภาพแวดล้อมแบบนี้?)
มิคาเอลได้ลงจอดและได้ทำการเข้าไปในเมือง ก่อนที่เขาจะเข้าเมืองได้ถูกทหารเฝ้าประตูทางเข้าที่เป็นปีศาจได้ห้ามเขา แต่จู่ๆเขาก็ทำตัวนอบน้อมและดูเคารพอย่างกระทันหัน และพวกทหารก็ได้ทำการพูดกับมิคาเอลด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อมความยินดีและเคารพ
เอ่อ..เชิญครับเรายินดีต้อนรับท่านทูตสวรรค์เสมอมา~
ว่าแต่ท่านต้องการชุดหรือไม่เข้าไปทั้งที่โป๊แบบนี้คงไม่เหมาะนัก..
ของเล็กแบบนั้นอย่าโชว์เลยดีกว่านะขอรับ( ตัดออกๆ555 )
มิคาเอลได้มองหน้าของนายทหารและมองกล้วยน้อยของตนเองและได้หน้าแดงและได้ถอยหลังไปหลบที่หลังต้นไม้ที้ไร้พลังชีวิตหน้าเมืองแล้วได้ใช้พลังจิตขยายเสียงเขาใช้น้ำเสียงออดอ้อนน้อนรนและขอร้องด้วยสีหน้าเขินอาย
ข้าขอเร็วๆล่ะ...
( แค่ทหารเฝ้าประตูก็ยังอยู่ระดับ พลังจิตก้องกังวานงั้นรึ!!)
(แต่ดูเหมือนว่าข้าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงส่ง)
(และพวกเขาดูเหมือนจะเคารพข้ามาก)
(ทูตสวรรค์งั้นสินะ!โชคดีจริงเชียว!!)
หลังจากมิคาเอลได้รับชุดเขาก็ได้รีบใส่ทันทีและเตรียมตัวเข้าเมือง และได้ขอบคุณเหล่าทหารและได้ถามเกี่ยวเสื้อเหล่าทหารได้ตอบไปด้วยความรู้สึกผิด"พวกเราขออภัยท่านทูตสวรรค์ขอรับ!!พวกเราไม่มีเสื้อที่สามารถใส่ร่วมกับปีกของท่านได้!!!"
หลังจากถูกเบรกเอาไว้เขาก็ได้เข้าไปเสียทีดวงตาของเขาได้เบิกกว้างผู้คนทุกคนในเมืองเป็นมิตรเป็นอย่างมากเป็นกันเองสุดๆสังคมดูไม่ต่างจสกมนุษย์มากนักดีไม่ดีสังคมอาจดีกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนทุกคนจะดูให้เกียรติตัวของมิคาเอลเป็นพิเศษและทุกคนที่ผ่านสายตาก็ล้วนมีสายตาที่แสดงถึงความเครารพอย่างชัดเจน มิคาเอลได้เดินไปตามทางเดินเรื่อยๆและอยุดเดินอยู่หน้ารูปปั้นๆหนึ่งและได้คิดไปเรื่อยตามประสาคนโง่บรม..
(ทูตสวรรค์หรือ?)
(ใยถึงมีแปดปีกกัน)
(ถ้างั้นอาการของทุกคนก็สมเหตุสมผล)
(เพราะเหล่าทูตสวรรค์น่าจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ต่อคนพวกนี้มาก)
(แต่ทำไมรูปปั้นนี้ช่างดูคุ้นเคย....)
มิคาเอลก็ไม่ได้สนใจสิ่งใดมาก และได้เที่ยวชมเมืองต่อไปเรื่อยๆจนได้เจอที่พักที่หนึ่ง ที่อยู่แถวกลางเมืองและได้ตัดสินใจจะพัออยู่ที่นี่ซักพัก แต่ถ้าถามว่ามิคาเอลมีเงินซะที่ไหนเขารู้ว่าต้องใช้เงินในสักวันเขาจึงได้ค้นหาแร่ต่างๆก่อนออกมาจากถ้ำ มิคาเอลได้เข้าไปในที่พักและได้เข้าไปหาเจ้าของที่พัก และได้ขอเช่าห้องและถามว่า
เอ่อท่านเจ้าบ้านแร่เหล่านี้พอจะจ่ายแทนได้หรือไม่?
เอ่อ...ท่านเจ้าบ้าน
เจ้าของที่พักทำสีหน้าตกใจอย่างมากและเธอได้รับเอาไว้ ได้ให้ที่พัก สามปี โดยไม่ขัดอะไรเลยแม้แต่นิด มิคาเอลตกใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากและได้ขึ้นบันไดได้แปปนึงเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยดีใจก็ได้ดังขึ้น "แร่หินพลังจิตสีม่วงเรามีโอกาสส่งลูกเรียนใน ซีออนแล้ว!" มิคาเอลไม่ได้ใส่ใจอะไรมากและได้มุ่งหน้าไปที่ห้องเช่าของตนและเตรียมตัวนอนพักทันทีเพื่อเตรียมตัวสำรวจเมืองต่อ จู่ๆมิคาเอลได้เข้าสู่ห้วงแห่งฝัน และในฝันนี้มิคาเอลก็ได้พบเขาชายผู้นั้นเขามีลักษณะเป็นชายวัยกลางคนมีตาและผมสีน้ำตาลใส่ชุดสูทและหมวกหัวสูงสีดำพร้อมกับไม้เท้าและได้ทำการเริ่มบทสนทนาขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูดีใจแปลกๆ
ยินดีต้อนรับสู่ นครผู้พิทักษ์แห่งฝัน~
ข้าได้ยินว่ามีเผ่าทูตสวรรค์มาเยือนยังนครแห่งนี้
ท่านอาจจะมึนงงว่าข้าเป็นใครตัวข้านั้นคือ เดย์วอรดรอว์ เกรทซินส์
หัวหน้านักสืบของ ศูนย์นักสืบผู้พิทักษ์แห่งฝัน
ที่อยู่ในนอกเครื่องแบบฮ่าๆ...
มิคาเอลตกอยู่ในอาการมึนงงอย่างมาก และได้สงสัยในตัวตนของคนที่ดูลึกลับผู้นั้น และสิ่งที่ทำให้มิคาเอลแปลกใจมากที่สุดคือชายผู้นี้คือเผ่ามนุษย์และยังใช้ภาษาที่มิคาเอลคุ้นเคย
(มนุษย์!?)
(แถมยังใช้ภาษาอังกฤษ!?)
ท่านเป็นมนุษย์รึ?
แล้วท่านเข้ามาในฝ้นข้าได้เช่นไร?
ชายผู้นั้นทำหน้าตายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาจนน่าขนลุก เขาค่อยๆตอบคำถามที่ตัวมิคาเอลได้ถามไปโดยไม่ได้คิดอะไรเลย
ใช่แล้วตัวข้านั้นเป็นเผ่ามนุษย์อย่างที่ท่านพูดมา...
และข้าเข้ามาในฝันท่านได้เช่นไรนั้น...
เป็นเพราะข้าได้รับ บทบาทสวรรค์ ผู้ส่องฝัน จากเทพฝันนิรันดร์
ไม่รู้เกี่ยวกับบทบาทสวรรค์...
ท่านคงจะเร่ร่อนและถูกทอดทิ้งใช่หรือไม่ท่านจึงไม่รู้
ตัวมิคาเอลก็ตอบไปตรงๆ"ใช่ข้าถูกทิ้ง...." ชายผู้นั้นขำเล็กน้อย"งั้น...."และตัวของชายผู้นั้นได้ยื่นมือให้กับมิคาเอล
ดูเหมือนว่าท่านจะติดอยู่ในระดับ 7 สินะ
และพวกเราจะอธิบายเกี่ยวกับบทบาทสวรรค์ให้แบบละเอียดเลย
ให้พวกเราจะช่วยท่านเอง~
มิคาเอลก็ไม่ได้คิดสิ่งใดและได้ยื่นมือไปจับและมือของพวกเขาที่จับกันก็ได้เปล่งแสงส่องสว่างจนเป็นภาพสีขาว และตัวของมิคาเอลก็ได้สะดุุ้งตื่นขึ้น
อืม....หืม!?
ตื่นแล้ว...
พลังแห่งสรวงสวรรค์นั่นคือชื่อเรียกของมันสินะ....
ข้าว่าแล้วว่ามันไม่ใช่พลังจิต...
เอ๊...ทำไมฝ่ามือของข้าถึงรู้สึกอุ่นๆล
มิคาเอลได้ยกมือขึ้นและได้มีข้อความข้อความนึงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของมิคาเอลข้อความนั้นถูกเขียนโดยพลังจิตที่ถูกควบแน่นให้เป็นแสงและเขียนเป็นข้อความมันเขียนว่า "อีก 1 อาทิตย์เจอกันที่ศูนย์นักสืบผู้พิทักษ์แห่งฝัน"
1 อาทิตย์หรือ......ดี..
ดูเหมือนว่าข้าจะหวังในการทะลวงระดับแล้วสินะ..
1 อาทิตย์ผ่านไป เร็วเหมือนโกหก...มิคาเอลได้ออกจากที่พักและได้สอบถามผู้คนแถวนั้นเกี่ยวกับที่ตั้งของ ศูนย์นักสืบผู้พิทักษ์แห่งฝัน ผ่านไปไม่นานเขาก็ได้ที่ตั้งและได้มุ่งหน้าไปทันที ผ่านไป 2 นาทีเขาก็ได้มาถึง ข้างหน้าของมิคาเอลคือสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่พอๆกับปราสาทของราชวงศ์ของเมืองนี้กันเลยทีเดียว และชายผู้นั้นก็ออกมารอต้อนรับข้างหน้าทางเข้า ตัวของมิคาเอลได้ทักทายด้วยการก้มหัวลงเล็กน้อยตัวของชายผู้นั้นก็เช่นกัน ชายผู้นั้นได้เชิญชวนให้มิคาเอลเข้าไปข้างใน "อาหารจานนี้ข้าอยากลองแทบจะรอไม่ไหวแล้วสิคิ๊กๆ" ตัวของ เดย์วอรดรอว์ ได้พูดกระซิบแปลกๆคนเดียว และแสยะยิ้มแบบมีเลห์นัยเหมือนวางแผนอะไรบางอย่าง จู่ๆดวงตาของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยสีดำและนัยตาสีขาวก็ได้ปรากฏขึ้น ออร่าพลังแห่งสรวงสวรรค์อันชั่วร้ายปกคลุมร่างกายของเขาไปทั่วร่าง
ท่านหัวหน้านักสืบมีอะไรหรือเปล่า?
(เมื่อครู่ทำไมข้าถึงเสียวสันหลังแปลกๆ)
เดย์วอรดรอว์ก็ตอบไปตามปกติ"ไม่มีอะไรหรอกรีบเข้าไปกันเถอะ"ทั้งสองคนเดินเข้าไปในศูนย์นักสืบแห่งนี้ต่อไปโดยไม่ได้มีปัญหาอะไร มิคาเอลพยายามรักษาระยะห่างเพิ่มขึ้นระหว่างตัวของเขากับเดย์วอรดรอว์เพราะตัวของมิคาเอลเริ่มรู้สึกแปลกๆกับบรรยากาศรอบๆตัวเดย์วอรดรอว์ที่เต็มไปด้วยความหิวโหยและบ้าคลั่งอยู่ตลอดเวลา มิคาเอลพยายามคิดในแง่ดี
(ข้าคงแค่คิดไปเอง...)
(แต่ถ้าความรู้สึกนั้นมันเป็นของจริง...)
(ไอจะขยี้ยูให้แหลคคึ!)
ระหว่างทางเข้าได้มีนักสืบมากมายนับร้อยคนรอต้อนรับและปรบมือตลอดทางเดินที่ปูด้วยพรมแดง
หืมข้างนั่นมันรูปปั้น?
จนถึงหน้ารูปปั้นๆหนึ่งรูปร่างเป็นชายหนุ่มที่มีปีกทั้งหมดแปดปีก จู่ๆดวงตาของรูปปั้นนั้นก็ได่เปล่งแสง...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!