...คำว่า "ปล่อยวาง" ฟังดูง่าย...
...แต่ทำยาก...
...นิติพงศ์...
ค่ายฝึกหน่วยรบพิเศษ SAS กองพันฟีนิกซ์
วันนี้เป็นอีกวันที่บรรดาเหล่าทหารและยุวชนทหาร จะต้องฝึกฝนภาคสนามตามอาวุธที่ตนเองถนัด โดยมีครูฝึกยืนคุมอย่างใกล้ชิดและหนึ่งในนั้นคือ ร้อยเอกไบรอัน กำลังคอยดูการฝึกของบรรดาทหารที่ใช้ปืนเป็นอาวุธ ในฐานะที่เขามาจากต่างถิ่นต้องยอมรับว่ายุวชนทหารของฟรอนเทียร์มีความเป็นระเบียบวินัยสูงมาก รวมทั้งพวกทหารที่ฝึกด้วยความแข็งขันไม่ย่อท้อต่ออุปสรคคใด ๆ วันนี้ร้อยเอกไบรอันมาทำหน้าที่คุมยุวชนทหารของทีมจู่โจมชื่อ ทีมดาร์คเนสส์วอริเออร์ รุ่นที่สี่ร้อยสามสิบห้า เพื่อให้พร้อมก่อนจะไปรบของจริงในอนาคต ทว่ามีอยู่คนหนึ่งที่ร้อยเอกไบรอันให้ความสนใจพอสมควร น่าแปลกทั้งที่ยุวชนทหารคนนี้มีรูปร่างที่ตัวเล็กกว่าเพื่อน แม้จะมีความกำยำแข็งแรงอยู่ก็จริงแต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับเพื่อนที่มาฝึกด้วย อีกความน่าสนใจหนึ่งคือปืนที่อีกฝ่ายใช้ฝึกต่างหากที่น่าสนใจ
ตามปกติแล้วร้อยเอกไบรอันสังเกตว่าแต่ละคนจะมีปืนหลายหลาก เพื่อเอาไว้ใช้ตามสถานการณ์ที่เหมาะสมกับประสิทธิภาพของปืน แต่ไม่ใช่กับยุวชนทหารคนนี้เลย ปืนที่เขาใช้ฝึกมีอยู่แค่สองอย่างคือปืนลูกโม่ M1851 Wolfsbane Magnum ดูจากลักษณะของปืนดูมีความคลาสสิกพอสมควร ที่สำคัญมันยังอานุภาพทำลายสูงด้วยหากยิงในระยะเผาขน แต่ปืนรุ่นนี้ค่อนข้างโบราณและเก่าแก่มากยากที่จะหามาครอบครอง ส่วนปืนอีกชนิดที่ยุวชนทหารคนนี้ใช้ฝึกก็คือปืนลูกซอง M1897 Shotgun นี่ก็รุ่นโบราณอีกหนึ่งกระบอกอายุสามร้อยปีแล้วเห็นจะได้ ร้อยเอกไบรอันอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงจะชอบความคลาสสิกของปีนมาก ผิดกับทหารและยุวชนทหารหลายคนที่นิยมชอบความล้ำสมัยของอาวุธสมัยนี้ เขายืนมองการซ้อมยิงเป้าอยู่ห่าง ๆ ทุกเป้าที่ไม่ว่าจะห่างแค่ไหน ยุวชนทหารคนนี้ก็ยิงไม่พลาดเลยสักเป้า
[ชักน่าสนใจแล้วสิ] ร้อยเอกไบรอันคิดก่อนจะเริ่มเป่านกหวีดเพื่อเป็นการส่งสัญญาณเลิกฝึก
ทั้งทหารและยุวชนทหารพากันมาต่อแถวเรียงหน้ากระดาน ภายในเวลาเพียงสองนาทีพวกเขาก็จัดแถวนิ่งสนิท ร้อยเอกไบรอันอดชื่นชมไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นระเบียบมากกว่าเขา ในสมัยที่เป็นทหารใหม่ ๆ เสียด้วยซ้ำ เขาเดินมาอยู่ต่อหน้าทุกคนและก้มดูนาฬิข้อมือ
"พวกนายทำได้ดีมาก การฝึกสำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน พวกนายไปพักเถอะ" ร้อยเอกไบรอันพูด
"ทั้งหมดเลิกแถว!" ทหารคนหนึ่งพูดเสียงอันดังก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายไปพักผ่อน
แต่ร้อยเอกไบรอันยังคงมองมาที่ยุวชนทหารผู้ถือครองปืนโบราณอายุสามร้อยปีไม่วางตา
...🔫🔫🔫🔫🔫🔫🔫🔫...
...คนบางคนยอมเสียเวลา...
...เกือบจะครึ่งชีวิตเพื่อไล่ตามหา...
...สิ่งที่มันไม่มีทางเป็นจริง...
...พันเอกคริส...
เสียงนาฬิกาได้ปลุกให้ บรรณวัชร หรือ บรรทัด สะดุ้งตื่นขึ้น เขาคว้าแว่นตามาสวมใส่และมองดูนาฬิกาข้างเตียง ตอนนี้มันเป็นเวลาตีห้าครึ่งกำลังจะหกโมงเช้า คงด้วยความเคยชินทำให้เขามักเผลอตั้งเวลาปลุกทั้งที่วันนี้คือวันหยุด บรรณวัชรหันไปมองรอบห้องดูเหมือนว่าเสียงนาฬิกาของเขา จะไม่ได้ทำให้เพื่อนอีกห้าคนของเขาสะดุ้งตื่นเลย คาดว่าเมื่อวานคงจะฝึกหนักกันอย่างหนักไม่ใช่น้อย หากลองฟังเสียงกรนที่ดังมาจากเตียงที่ สหกรรม หรือ ไตเติ้ล นอนอยู่มันก็บ่งบอกความเหน็ดเหนื่อยได้อย่างดี ตอนนี้บรรณวัชรพบว่าเขานอนอิ่มแล้วและคงจะทนฟังเสียงกรนไม่ไหว จึงตัดสินใจลุกจากเตียงแล้วค่อย ๆ เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อที่จะไปอาบน้ำ เมื่อเขาคว้าผ้าขนหนู ยาสีฟัน สบูและเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนแล้ว ก็มีเสียงทักจากด้านหลังของเขา
"นายตื่นแล้วเหรอ บรรทัด" มันเป็นเสียงของ ภวัต หรือ ไฮไลท์ ที่กำลังขยี้หน้าตัวเองให้ตาสว่าง
"ใช่" บรรณวัชรตอบ "นาฬิกาของฉันทำนายตื่นสินะ"
ภวัตโบกมือไป-มาเชิงว่าไม่เป็นไร "ช่างมันเถอะ ฉันหลับไม่สนิทเท่าไหร่เพราะเสียงกรนไอ้ไตเติ้ลนะ"
ทั้งสองพากันเดินออกจากห้องเพื่อไปยังห้องอาบน้ำรวม บรรณวัชรไม่แน่ใจว่าวันหยุดเขาอยากทำอะไร จะกลับไปบ้านก็คงไม่ได้เพราะตอนนี้ พันเอกทวี และ วรรณวิศา พ่อแม่ไม่ได้อยู่บ้านไปเที่ยวต่างเมืองราว ๆ สามอาทิตย์ ซึ่งบรรณวัชรคิดว่ามันเป็นเรื่องดีเพราะที่ผ่านมาพ่อก็ไม่ค่อยมีเวลาให้แม่เลย ที่พันเอกทวีก็กำลังวางแผนจะเกษียณราชการทหาร ทันทีที่เขาพ้นสภาพยุวชนทหารมาเป็นทหารชั้นประทวน ระว่างทางบรรณวัชนกับภวัตก็เจอกับ หยางเสี่ยวฟง ทหารรุ่นพี่ผู้ซึ่งมารับหน้าที่ฝึกพวกเขาตั้งแต่ก้าวเท้ามาอยู่ทีมจู่โจม ทีมดาร์คเนสส์วอริเออร์ เป็นหนึ่งในทีมจู่โจมที่สังกัดอยู่ใน หน่วยรบ SAS เด็กหนุ่มทั้งสองไม่รอช้าต่างทำความเคารพอีกฝ่ายทันที หยางเสี่ยวฟงแค่พยักหน้ารับและพูดว่า "ตามสบายเลย ตื่นเช้าจังนะพวกนายเนี่ย" พวกเขาแค่ยิ้มรับและขอตัวที่จะไปอาบน้ำ ทว่าหยางเสี่ยวฟงรั้งไว้แค่บรรณวัชรคนเดียว เด็กหนุ่มหันมามองรุ่นพี่ด้วยความสงสัย
"หลังนายทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว มาเจอฉันที่ห้องประชุมเล็ก" หยางเสี่ยวฟงพูด
"วันนี้เหรอครับ" บรรณวัชรพูดพลางขมวดคิ้ว "แต่นี่วันหยุดไม่ใช่เหรอครับ"
"มีคนอยากเจอนาย"
"ใครครับ"
หยางเสี่ยวฟงไม่ตอบและเดินจากไปเสียดื้อ ๆ ตามนิสัยของรุ่นพี่คนนี้ ไม่ใช่คนที่จะบอกรายละเอียดต่าง ๆ ในพื้นที่สาธารณะ บรรณวัชรจึงไม่อาจได้รับคำตอบที่ตนสงสัยในตอนนี้ได้ เขาจึงตัดสินใจเดินตามภวัตไปเข้าไปข้างในห้องอาบน้ำแล้ว ระหว่างที่ทั้งสองกำลังชำระร่างกายกันนั้น บรรณวัชรเล่าเรื่องที่หยางเสี่ยวฟงนัดให้มาเจอห้องประชุมเล็กให้เพื่อนฟัง ด้านภวัตคิดว่าอาจจะเป็นภารกิจเดี่ยวที่จะทดสอบวัดฝีมือหรือเปล่า ตามธรรมเนียรของหน่วยรบ SAS จะมีการมอบภารกิจเดี่ยวให้กับนักรบในสังกัดไปทำ เพื่อพิสูจน์ฝีมือของตนเองว่าคู่ควรที่จะเป็น นักรบฟีนิกซ์ ที่ได้รับพรจากลูกแก้วทั้งสิบสามลูก อันเกิดจากการเผาไหม้ของเทพนกฟีนิกซ์ทั้งสิบสามตน อันได้แก่ สีน้ำเงิน สีแดง สีดำ สีเทา สีทอง สีเขียวมรกต สีฟ้า สีม่วง สีแสด สีเงิน และอีกสามลูกที่มีความพิเศษมากกว่าลูกอื่น ๆ คือ ลูกแก้วมนตรา ลูกแก้วสุริยะ และลูกแก้วจันทรา
ลูกแก้วทั้งหมดถูกเรียกขานว่า ลูกแก้วฟีนิกซ์ ซึ่งจะมอบขุมพลังให้กับผู้ที่มีคุณสมบัติและเหมาะสม ในการที่จะได้ครอบครองพลังของเทพนกฟินิกซ์ ในทุก ๆ ปีของวันที่ยี่สิบสองพฤษภาคม บรรดาเด็ก ๆ ที่มีอายุครบหกขวบหรือกำลังจะย่างเข้าหกขวบ จะถูกส่งมายังวิหารนกฟินิกซ์ซึ่งเป็นที่บรรจุลูกแก้วทั้งสิบสามลูก โดยผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องรักษาจะถูกเรียกว่า นักบวชฟีนิกซ์ จะทำหน้าที่นำผ่านเด็ก ๆ มายังลานกว้างที่รายล้อมไปด้วยลูกแก้วฟินิกซ์ เด็กคนใดที่ได้รับพรจากลูกแก้วแล้วจะถูกส่งไปอยู่กองพันฟินิกซ์ ซึ่งเป็นกองทัพของนักรบฟินิกซ์โดยเฉพาะ จุดเด่นของนักรบฟีนิกซ์คือพวกเขาจะมีพลังเยียวยาบาดแผล ไม่ว่าแผลนั้นจะสาหัสหนักหนาแค่ไหนมันก็ถูกรักษา และหายเป็นปลิดทิ้งในเวลาไม่นาน และยังมีโทรจิตไว้ติดต่อหากันได้อีกด้วยเพราะขุมพลังอีกอย่างคือ พวกเขามีจิตที่เชื่อมถึงกันและกันสามารถรู้ชื่อของอีกฝ่ายได้โดยไม่ต้องถามชื่อ ด้วยความพิเศษนี้ทำให้เหล่านักรบฟีนิกซ์รุ่นใหม่ ถูกฝึกเข้มข้นกว่าทหารทั่วไปถึงสิบเท่า
สำหรับกองพันฟีนิกซ์จะมีอยู่ทั้งหมดเก้ากองพัน โดยหนึ่งกองพันมีสี่กองร้อยและหนึ่งกองร้อยจะมีสิบหมวด นอกเหนือจากกองพันฟีนิกซ์แล้วยังมีสองหน่วยรบพิเศษ ที่แยกออกมาอีกหน่วยรบนี้จะมีการฝึกแบบเดียวกับหน่วยรบพิเศษอื่น ๆ เพียงแต่จะมีความเข้มข้นกว่าห้าเท่า มีชื่อว่า หน่วยรบ SAS หน่วยรบฟินิกซ์ และ หน่วยรบอาร์ทิสส์ ซึ่งบรรณวัชรกับภวัตอยู่หน่วยรบ SAS สังกัดอยู่ทีมจู่โจมชื่อว่า "ทีมดาร์คเนสส์วอริเออร์" ลูกแก้วที่มอบพรให้กับบรรณวัชรเป็นสีแดง และเขายังได้เป็นลูกทีมปฏิบัติการพิเศษของหยางเสี่ยวฟง ที่ใช้ชื่อทีมว่า แองกรีธันเดอร์ ทว่าถึงกระนั้นบรรณวัชรก็พบว่าตนเองเหมือนแกะดำ มันก็เพราะเพื่อนทั้งห้าคนของเขาล้วนถนัดวิชาต่อสู้ระยะประชิด แต่ตัวเขานี่สิกลับเป็นคนเดียวเป็นสกิลหรือทักษะที่เรียกว่า อัศวินมือปืน แถมปืนที่เขาใช้มันก็รุ่นโบราณอายุกว่าสองร้อยปี มันเป็นปีนมรดกจากตาทวดที่เสียชีวิตไปนานแล้ว ถึงกระนั้นบรรณวัชรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าแม้จะรุ่นโบราณ แต่มันกลับยังมีประสิทธิภาพในการใช้งานอยู่ ประกอบกับมันคือของต่างหน้าของตาทวดเขาเลยเลือกมันเป็นอาวุธประจำกายต่อไป
"นายกังวลใช่ไหม บรรทัด" ภวัตถามหลังจากที่ชำระร่างกายเสร็จแล้ว
"แล้วนายล่ะ ไม่กังวลบ้างเหรอ... ถ้ามันถึงคิวของนาย" บรรณวัชรถามกลับ
ภวัตครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ "กังวลสิ แต่ฉันต้องทำให้มันเต็มที่ตามกำลังของฉัน"
ทั้งสองเดินลงมากินอาหารที่โรงอาหารของกองพันตามปกติ รอบนี้บรรณวัชรเลือกกินพายไส้เนื้อกับไข่ดาวราดซอสมะเขือเทศ สามนาทีต่อมาเพื่อนอีกสี่คนของเขา ต่างพากันมาสมทบกับทั้งสองที่โต๊ะซึ่งมีที่นั่งครบหกพอดี ระหว่างกินอาหารเช้าเมื่อบรรณวัชรเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ก็ทำให้เพื่อน ๆ ตื่นเต้นแทนเขาไม่ว่าจะเป็นสหกรรม ซึ่งเจ้าตัวอิจฉาบรรณวัชรเล็กน้อยเพราะนึกว่าภารกิจเดี่ยวจะเป็นของตนคนแรกในกลุ่ม เช่นเดียวกับ พีรวัฒน์ หรือ จินเบ เพื่อนจอมบ้าพลังอีกคนตื่นเต้นไม่แพ้กัน ราวกับภารกิจเดี่ยวนี้จะเป็นของเขาเสียเองอย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงการคาดเดาของพวกเขาทั้งหก เพราะคนที่จะให้คำตอบเรื่องนี้ได้คงมีแต่หยางเสี่ยวฟงเท่านั้น
...🔫🔫🔫🔫🔫🔫...
บรรณวัชรแยกทางกับพวกภวัตที่ได้อวยพรขอให้เขาโชคดี เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในตึกทำการ สืบเนื่องจากมันเป็นวันหยุดบรรยากาศจึงค่อนข้างเงียบเหงา แต่ก็ยังมีคนเข้ามาทำงานอยู่เรื่อย ๆ เขาเลือกที่จะขึ้นบันไดไปทางขวามือ ห้องประชุมเล็กที่หยางเสี่ยวฟงใช้ประจำอยู่ชั้นสองไม่ไกลมาก บรรณวัชรเดินอย่างเชื่องช้าผิดวิสัยของเขาโดยสิ้นเชิง เด็กหนุ่มขยับแว่นตาและไล่ความคิดไร้สาระออกไป ไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะไปหลงเชื่อคำพูดเกินจริงของสหกรรมได้ขนาดนี้ เมื่อตั้งสติได้บรรณวัชรก็เคาะประตูห้องประชุมเล็กสามครั้ง มีเสียงตอบกลับมาว่า "เข้ามาเลย" ประตูเปิดอ้าออกและพอบรรณวัชรเดินเข้ามา จึงพบว่าหยางเสี่ยวฟงไม่ได้อยู่ตามลำพังกลับมีชายวัยฉกรรจ์สามคนอยู่ด้วย โดยคนหนึ่งบรรณวัชรคุ้นหน้าอยู่ นิติพงศ์ นิเวศวัตร หรือ นับเงิน รุ่นพี่อีกคนจากทีมดาร์คเนสส์วอริเออร์ และยังเป็นผู้ถือสกิลอัศวินมือปืนเหมือนกับบรรณวัชร แต่อีกฝ่ายจะเน้นปืนอานุภาพรุนแรง
ทว่ากับชายวัยฉกรรจ์สองคนที่ดูก็รู้ทันทีว่าเป็นทหารแน่นอน ชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่อายุน่าจะสามสิบกว่า บรรณวัชรจำได้ว่าเมื่อวานเขาคือครูฝึกที่มาช่วยฝึกฝนให้กับทหารที่มีสกิลอัศวินมือปืนนั้นเอง แต่กับอีกคนเขายอมรับว่าไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย หยางเสี่ยวฟงให้เด็กหนุ่มนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม บรรณวัชรนั่งลงอย่างว่าง่ายแม้จะยังฉงนใจอยู่ไม่น้อย จากนั้นไม่นานประตูก็เปิดออกอีกครั้งรอบนี้เป็นผู้ชายกับผู้หญิง ซึ่งดูจากการแต่งตัวของทั้งสองน่าจะเป็นพลเรือนและคงเป็นสามี-ภรรยากัน มันยิ่งทำให้บรรณวัชรมึนงงหนักขึ้นไปอีกว่านี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ด้านหยางเสี่ยวฟงก็เหมือนจะรู้ความคิดของเด็กหนุ่ม
"ใจเย็น ๆ บรรทัด ฉันรู้ว่านายคงจะสับสนและอยากรู้ว่ามันมีเรื่องอะไรใช่ไหม" หยางเสี่ยวฟงถาม
บรรณวัชรแค่หยักหน้าตอบเท่านั้น
"โอเค ก่อนอื่นฉันขอแนะนำนายให้รู้จักกับ พันเอกคริส เรดฟิลด์ และ ร้อยเอกไบรอัน โดโนแวน จากองค์กร B.S.A.A. พวกเขาถูกเชิญให้มาเป็นครูฝึกชั่วคราวของที่นี่" หยางเสี่ยวฟงแนะนำ
"อันที่จริงอยากแก้ข่าวว่าโดนบังคับให้มามากกว่า" ร้อยเอกไบรอันพูดติดตลกและมองไปที่นิติพงศ์
หยางเสี่ยวฟงยักไหล่ก่อนจะหันไปทางสองสามีภรรยาที่อยู่ถัดไป
"แล้วสองคนนี้..." หยางเสี่ยวฟงหันหน้าไปทางพันเอกคริส ซึ่งก่อนที่พันเอกคริสจะเปิดปากพูดก็ถูกตัดบทขึ้นเสียก่อน
"ฉันชื่อ อีธาน วินเทอร์ ส่วนนี่ภรรยาของฉันชื่อ มีอา วินเทอร์ เรามาเพราะเรื่องลูกสาวของเรา" ชายชื่ออีธานกล่าว
"งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณวินเทอร์และคุณนายวินเทอร์ คิดว่าผู้พันเรดฟิลด์คงจะบอกคุณสองคนแล้วว่าผมเป็นใคร ดังนั้นจึงเหลือแค่หมอนี้คนเดียว" ว่าแล้วหยางเสี่ยวฟงก็เดินไปตบบ่าบรรณวัชรเบา ๆ "แนะนำตัวหน่อย บรรทัด"
บรรณวัชรลุกขึ้นจากเก้าอี้ยืนตัวตรงทั้งที่ไม่จำเป็นก็ได้
"ผมชื่อ บรรณวัชร กล้วยไม้ หรือจะเรียกผมว่า บรรทัด ก็ได้ครับ" บรรณวัชรกล่าวแนะนำตัวเอง
เมื่อผ่านการแนะนำตัวไปแล้วก็ถึงเวลาอันสมควร ที่พันเอกคริสต้องชี้แจงให้กับบรรณวัชรฟังว่าตอนนี้ทาง B.S.A.A ได้มอบหมายภารกิจคุ้มครองความปลอดภัยให้กับครอบครัววินเทอร์ ซึ่งพวกเขาคาดการว่ากลุ่มอาชญากรใต้ดินนามว่า อินูมินารอส กำลังตามล่าพวกเขาอยู่โดยเฉพาะกับลูกสาวเพียงคนเดียวของพวกเขา จากนั้นพันเอกคริสก็แสดงพิกัดการเดินทางให้บรรณวัชรดู พร้อมอธิบายว่าครอบครัววินเทอร์อาศัยอยู่ที่ประเทศซาเรสในแถบตะวันออกเฉียงเหนือ หน้าที่ของทีมพันเอกคริสคือพาครอบครัวไปหลบภัยที่ศูนย์ใหญ่ของ B.S.A.A ประจำประเทศซาเรส เวลาการเคลื่อนพลจะเริ่มเวลาหนึ่งทุ่มของวันศุกร์ที่จะถึงนี้ ถ้าหากบรรณวัชรตอบตกลงเขาจะได้ขึ้นเครื่องเดินทางไปยังซาเรสในวันนี้ เด็กหนุ่มที่ได้ยินก็ถึงกับนั่งแข็งเป็นรูปปั้นทันที ไม่คิดไม่ฝันว่าสิ่งที่ภวัตพูดไว้จะเป็นจริง.... เขาคือคนแรกในกลุ่มเพื่อนที่ได้รับภารกิจเดี่ยว!
"ผมมีคำถามครับ" บรรณวัชรพูดขึ้น ถึงแม้จะดีใจแต่ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่
"ว่ามาเลยทหาร" พันเอกคริสอนุญาต
"คือมันเป็นภารกิจของ B.S.A.A. ไม่ใช่เหรอครับ การเอาผมไปร่วมภารกิจด้วยอาจจะไม่ดี..."
"เรื่องนั้นนายไม่ต้องกังวล ทั้งหมดมันเป็นการตัดสินใจของฉันเองล้วน ๆ ไม่ต้องสนใจ B.S.A.A. หรอก ฉันจะรับผิดชอบเอง" พันเอกคริสตัดบทโดยที่บรรณวัชรพูดยังไม่จบ
หยางเสี่ยวฟงหันมาทางบรรณวัชร "ถ้านายไม่สะดวกใจจะรับภารกิจนี้ ฉันก็ไม่ตำหนินายนะแต่คงต้องหาคนอื่นไปแทน"
"ไม่จำเป็นหรอกเสี่ยวฟง ฉันไปแทนได้นะ" นิติพงศ์พูดขึ้น
"แหม ใจคอนายจะไม่แบ่งภารกิจ B.S.A.A. ให้คนอื่นเลยไง" หยางเสี่ยวฟงพูด
"ประสบการณ์ฉันมีมากกว่าว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
บรรณวัชรที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงได้ตัดสินใจแบบนั้น แต่เขาก็ทำไปแล้วด้วยการพูดเสียงอันดังว่า
"ผมทำครับ ภารกิจนี้ผมขอรับครับ !"
...🔫🔫🔫🔫🔫🔫🔫🔫...
...ไม่ว่ายังไง...
...ฉันสัญญาไว้แล้วว่าจะปกป้องเธอเอง...
...บรรณวัชร...
นักรบฟีนิกซ์ที่นอกเหนือจากความสามารถในการรบแล้ว ยังมีอีกเรื่องเป็นที่เล่าขานสืบมาหลายรุ่นนั้นคือคู่ครองของนักรบฟีนิกซ์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ผูกวิญญาณ อันหมายถึงมีการผูกจิตกับคู่แท้ซึ่งพวกเขาไม่มีทางรู้ล่วงหน้าว่าเป็นใคร นอกจากจะได้เห็นหน้ากันเท่านั้นถึงจะรู้ และพวกเขาความสนใจทุกอย่างจะมาอยู่กับคู่ที่ตัวเองผูกจิตเพียงผู้เดียว เสมือนเป็นทุกอย่างของชีวิตเลยก็ว่าได้ แปลอีกนัยคือพวกเขาจะสูญเสียความเป็นตัวเองด้วย เป็นเหตุให้นักรบฟีนิกซ์หลายคนโดยเฉพาะรุ่น ๆ จะค่อนข้างหวาดกลัวต่อการผูกวิญญาณพอสมควร และอีกสิ่งหนึ่งที่การันตีได้เลยว่า นักรบฟินิกซ์จะไม่มีวันให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายคู่ตัวเองเด็ดขาด ดั่งคำที่ว่าไว้ "นกฟีนิกซ์จะปกป้องคุ้มครองคู่ของมัน" แต่จะมีนักรบฟีนิกซ์ไม่กี่คนที่ได้รับสัญญาณบางอย่างว่ากำลังจะพบคู่ผูกวิญญาณ บางก็เห็นเป็นภาพนิมิตหรือบางทีได้ยินเสียง
ลักษณะแบบนี้เรียกว่า โซลเมท ซึ่งมันจะนำพาให้นักรบฟีนิกซ์เจอกับคู่ผูกวิญญาณของตนเอง ทว่าน้อยคนมากที่จะเจอปรากฏการณ์โซลเมท หนึ่งในนั้นก็คือบรรณวัชรที่ได้ยินเสียงโซลเมทครั้งแรก คือสมัยที่เขาอายุเพียงหกขวบและจู่ ๆ เสียงของโซลเมทก็หายไป จนมาได้ยินอีกครั้งเมื่ออายุย่างเข้าวัยรุ่นซึ่งรอบนี้มันมาเป็นภาพเคลื่อนไหวในแบบมุมมองบุคคลที่หนึ่ง บรรณวัชรไม่มีวันลืมเลือนความเจ็บปวดของโซลเมทที่ถูกกลั่นแกล้งโดยกลุ่มเด็กเกเร เขาในตอนนั้นสื่อสารกับเธออีกครั้งและเธอก็ได้ยินเสียงเขาเช่นกัน นับแต่นั้นเขาก็พูดคุยกับเธอทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ครั้งสุดท้ายที่บรรณวัชรได้ยินเสียงโซลเมทคือก่อนอายุย่างสิบสาม คำมั่นสุดท้ายที่เขาเคยให้ไว้ ไม่เคยถูกหลบเลือนไปตามกาลเวลา
......... ฉันจะตามหาเธอให้พบ ........
...🔫🔫🔫🔫🔫🔫🔫...
บรรณวัชรนำเรื่องที่เกิดขึ้นมาเล่าให้เพื่อนทั้งห้าฟัง ทุกคนต่างตื่นเต้นแทนเขาราวกับจะไปทำภารกิจเสียเอง เขาไม่รอช้ารีบจัดเตรียมสัมภาระต่าง ๆ และรีบไปรายงานตัวกับนิติพงศ์ที่รอเขาอยู่ จากนั้นทั้งสองก็พากันมาสมทบกับพันเอกคริสและร้อยเอกไบรอัน ซึ่งรออยู่ที่ลานจอดเครื่องบิน อีธานกับมีอาขึ้นเครื่องไปแล้ว จึงเหลือแค่กลุ่มพันเอกคริสเท่านั้น หยางเสี่ยวฟงและพวกสหกรรมตามมาส่งบรรณวัชรกับนิติพงศ์ พร้อมกับคำอวยพรขอให้ทั้งสอง รวมทั้งทีมพันเอกคริสโชคดีกับภารกิจที่กำลังจะมาถึง ระหว่างนั้นหยางเสี่ยวฟงก็ได้แยกตัวมากับนิติพงศ์ ถือว่าผิดวิสัยของอีกฝ่ายมากในฐานะที่เขารู้จักกันมานาน
[นับเงิน นายช่วยอะไรหน่อยได้ไหม] หยางเสี่ยวฟงพูดผ่านโทรจิต ราวกับไม่ต้องการให้ใครรู้บทสนทนาต่อจากนี้
[อะไรหรือเพื่อน ว่ามาเลย] นิติพงศ์ถาม
[ฉันรู้สึกได้ว่าเรดฟิลด์ปกปิดบางอย่างเกี่ยวกับ B.S.A.A และเรื่องภารกิจเคลื่อนย้ายครอบครัววินเทอร์ด้วย]
คำพูดของหยางเสี่ยวฟงทำให้นิติพงศ์หันขวับมามอง เขารู้นิสัยของหยางเสี่ยวฟงดีหากไม่มีอะไรสะดุดตาละก็ จะไม่พูดอะไรมั่วซั่วเป็นอันขาดและพอไตร่ตรองดูอีกที ตัวของนิติพงศ์เองก็ยอมรับว่าก็สงสัยเหมือนกันว่าพันเอกคริสมีปัญหาอะไรกับต้นสังกัด จนถึงกับไม่คิดจะบอกเรื่องเอายุวชนทหารจากฟรอนเทียร์ติดตามไปด้วย อย่างไรก็ตามเสียงของทหารคนหนึ่งในทีมของพันเอกคริสก็ตะโกนเสียงดังว่า "นิติพงศ์! เครื่องจะออกแล้วถ้านายชักช้า เราจะให้นายเกาะปีกนกตามเครื่องบินละกัน" พอได้ยินแบบนั้นนิติพงศ์จึงหันมาพูดผ่านโทรจิตว่า [นายไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ฉันไม่ปล่อยไว้แน่] ทหารหนุ่มวิ่งขึ้นมาบนเครื่องบินเป็นคนสุดท้ายโดยเขามานั่งข้าง ๆ บรรณวัชรที่ดูจะตื่นเต้นพอสมควรเพราะนี่จะเป็นครั้งแรก ที่เขาต้องมาทำภารกิจคนเดียวโดยไม่มีเพื่อนทั้งห้าติดตามมาด้วย สี่นาทีต่อมาเครื่องก็พุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้าในที่สุด บรรดาเหล่าลูกทีมของพันเอกคริสต่างพากันนอนหลับพักเอาแรง ยกเว้นเพียงบรรณวัชรที่ยังนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ เช่นเดียวกับนิติพงศ์ที่ยังจดจ่อกับงานบางอย่างที่บรรณวัชรไม่ได้สนใจนัก
"พี่ ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ" บรรณวัชรหันมาพูดนิติพงศ์ที่นั่งข้าง ๆ
"อืม" นิติพงศ์รับคำ
เด็กหนุ่มปลดล็อกคาดเข็มขัดนิรภัยออกและเดินไปที่ห้องน้ำ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับรถจิ๊ปจอดอยู่และพอเขาเดินไปได้สักพัก เขาก็เหมือนได้ยินเสียงคนกำลังมีปากเสียงกัน บรรณวัชรจำได้ว่านี่เป็นเสียงของอีธานกับมีอา ด้วยความสงสัยเขาจึงแอบย่องเบาไปหลบอยู่ด้านหลังรถจิ๊ป เขาชะเง้อหน้าออกมาเล็กน้อย สองสามีภรรยาดูเหมือนกำลังโต้เถึยงบางอย่างอยู่ คาดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับลูกสาวของทั้งสองคน ด้วยความที่อยู่ระยะไกลเล็กน้อยทำให้บรรณวัชรจำใจความยังไม่ค่อยได้ เขาจึงพยายามขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิดหนึ่งเพื่อที่จะได้ยินให้ชัด พร้อม ๆ กับไม่ทำให้เกิดเสียงดังจนอีกฝ่ายได้ยิน และพอเด็กหนุ่มอยู่ในตำแหน่งที่ได้ยินชัดเจนขึ้น เขาก็ไม่ยอมขยับตัวไปไหน
"ฉันไม่เข้าใจเลยว่าคุณจะกังวลอะไรมากมาย มันผ่านมาหลายปีแล้วนะอีธาน" มีอาพูดอย่างเหลืออด "ตอนที่โรสเกิด เราสัญญากันแล้วว่าจะไม่คิดถึงมันอีก" อีธานที่ได้ยินเขาก็สวนกลับใส่ภรรยาทันที
"ถามจริง ! คุณคิดว่าเราจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในหลุยเซียน่า ได้จริง ๆ เหรอมีอา พวกนั่นพยายามจะทำอะไรบางอย่างกับคุณ... ตอนที่... โรสยังอยู่ในท้อง มันบอกว่าลูกของเราได้รับพรจากเทพีวาร์ดา ผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร"
บรรณวัชรสะดุดตรงชื่อของเทพีนาม วาร์ดา หากจำไม่ผิดพระนางคือเทพีแห่งดวงดาว ส่วน "โรส" น่าจะเป็นชื่อของลูกสาวพวกเขา ปัญหาคืออะไรกำลังกวนใจอีธานจนถึงขั้นวิตกกังวลขนาดนี้ และแล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าภารกิจของทีมพันเอกคริสคือพาครอบครัวนี้ไปหลบภัย เพราะเคยถูกคุกคามโดยพวกอินูมินารอสมาก่อน จะว่าไปกลุ่มอินูมินารอสก็เคยปะทะกับหน่วยรบพิเศษ SAS มาก่อน ไม่มีใครรู้ว่าจำนวนพวกมันมีกี่คนแต่ที่รับประกันได้คือประวัติของแต่ละคน ก็ล้วนไม่ธรรมดาเลยทั้งสิ้นบางคนเลวยิ่งกว่าเดรัจฉานเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากอีธานจะฝังใจกับเรื่องราวในอดีตที่ต้องเผชิญหน้ากับอินูมินารอส ทว่าขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจมีอาที่ต้องทิ้งอดีตเลวร้ายไว้ข้างหลังเพื่อเดินหน้าต่อ คำถามต่อมาของบรรณวัชรคือทำไมพวกอินูมินารอสจึงตามล่าครอบครัววินเทอร์ พวกเขามีความเกี่ยวข้องยังไงกับเทพีวาร์ดากันแน่ หรือบรรพบุรุษของทั้งสองจะเคยเป็นนักบวชที่เคารพบูชาเทพีวาร์ดา
"พอได้แล้วอีธาน ฉันเหนื่อยกับเรื่องนี้เต็มทีแล้ว.... ฉันแค่อยากให้โรสมีชีวิตเหมือนกับเด็กคนอื่น แต่คุณกลับทำมันพังหมดเลย!" เสียงของมีอาแสดงถึงสิ่งที่อดทนอดกลั้นกับความวิตกกังวลของสามีมานาน ซึ่งดูเหมือนฝั่งของอีธานจะรับรู้ด้วยเช่นกัน
"มีอา ! คุณคิดว่ามีแค่คุณคนเดียวหรือไง ผมก็อยากให้โรสมีชีวิตปกติเหมือนกันนะ !" อีธานไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน
แน่นอนว่ามันจะยิ่งทำให้มีอาเดือดดาลมากขึ้น
"ถ้าคุณคิดอย่างนั้นจริงก็คงไม่ทำให้มันยุ่งยากแบบนี้หรอก !"
พูดจบมีอาก็ผลักตัวอีธานออกไปและเดินหายเข้าไปในห้องพักส่วนตัว เสียงปิดประตูอาจทำให้ฝั่งทีมของพันเอกคริสสะดุ้งตื่นได้ ด้านอีธานที่โดนภรรยาพูดกระแทกหน้าใส่ เขาก็ไม่สามารถต่อล่อต่อเถียงกับมีอาต่อได้ อีธานจึงทำได้แค่พ่นลมหายใจและเดินแยกไปอยู่อีกห้องหนึ่งแทน บรรณวัชรนิ่งอยู่สองนาทีเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแล้ว เด็กหนุ่มจึงแยกตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว เสร็จแล้วบรรณวัชรก็เดินกลับมาสมทบกับนิติพงศ์และคนอื่น ๆ เป็นอย่างที่บรรณวัชรคิดเอาไว้ไม่มีผิดเสียงทะเลาะของสองสามีภรรยาวินเทอร์ มันดังมาถึงฝั่งของนิติพงศ์จนลูกทีมของพันเอกคริสสะดุ้งตื่นกันหมด บรรณวัชรไม่พูดอะไรและเดินมานั่งที่เดิมของตัวเองและเลือกที่จะไม่พูดอะไร
[ไปนานจังนะ แอบฟังผัวเมียทะเลาะกันหรือไง บรรทัด] นิติพงศ์ถามผ่านโทรจิต
[เสียงดังขนาดนี้คงเรียกว่าแอบฟังไม่ได้แล้วล่ะครับพี่] บรรณวัชรพูด
[เฮ้อ... น่าเห็นใจคุณวินเทอร์นะ ที่ต้องเจอประสบการณ์เลวร้ายแบบนั้น จะจิตตกก็ไม่ใช่เรื่องแปลก]
แวบหนึ่งบรรณวัชรอยากบอกนิติพงศ์เรื่องเทพีวาร์ดา แต่ไม่รู้ทำไมจู่ ๆ เขากลับเปลี่ยนใจเลือกที่จะไม่พูด
...🔫🔫🔫🔫🔫🔫🔫...
สนามบินกองทัพอากาศ ประเทศซาเรส
หลังจากที่ต้องนั่งนานอยู่บนเครื่องบินนานถึงแปดชั่วโมง ในที่สุดบรรณวัชรก็ได้เหยียดแข้งเหยียดขาและเดินลงจากเครื่อง เขาหันไปมองอีธานกับมีอาที่ยังไม่มองหน้ากันเหมือนเดิม สงสัยจะยังโกรธกันอยู่เพราะเธอเดินผ่านสามีไปราวกับอีธานไม่มีตัวตน ทีมพันเอกคริสเลือกที่จะไม่สนใจเขาได้เดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่กำลังรออยู่ นิติพงศ์เรียกให้บรรณวัชรมาช่วยยกสัมภาระขึ้นรถจิ๊ปที่ขับออกมาจากเครื่องบิน ในเสี้ยววินาทีนั้นมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนแม้แต่บรรณวัชรก็ตั้งตัวไม่ทัน แวบหนึ่งเขาเหมือนจะได้ยินเสียงลมหายใจของใครสักคน มันเหมือนอยู่ใกล้ ๆ เขามากทั้งที่ความจริงมีแค่บรรณวัชรกับนิติพงศ์สองคนเท่านั้น นาทีต่อมาก็มีภาพของบางอย่างผุดขึ้นในจิตใต้สำนึก
ภาพของเด็กสาวกำลังนั่งเล่นผมอยู่ตรงไหนสักแห่ง บรรณวัชรคิดว่าเธอน่าจะอยู่ในสนามบิน และแม้จะเห็นหน้าไม่ชัดเจนแต่บรรณวัชรมั่นใจว่า เธอน่าจะอายุไล่เลี่ยกับเขา คิดว่าคงจะรอใครสักคนแต่แล้วเสียงของนิติพงศ์ดังขึ้น "ไอ้บรรทัด! เป็นอะไรของแกเนี่ย เรียกตั้งนานหูดับหรือไง" บรรณวัชรสะดุ้งได้สติและพบว่า เขายังอยู่ท้ายรถจิ๊ปและยังขนสัมภาระไม่เสร็จ สีหน้าอันมึนงนบนสีหน้าของบรรณวัชร ทำให้นิติพงศ์พอจะคาดเดาบางอย่างได้ เพราะเขาก็เคยมีประสบการณ์แบบนี้เหมือนกัน ฝั่งพันเอกคริสที่ได้ยินเสียงโวยวายของนิติพงศ์ จึงเดินมาหาทั้งสองด้วยสีหน้าเป็นห่วง
"ทุกอย่างเรียบร้อยไหม หนุ่ม ๆ" พันเอกคริสถาม
"เรียบร้อยครับ เจ้าบรรทัดมันแค่เหนื่อยนะครับ คงจะเบลอ ๆ" นิติพงศ์อธิบาย
เมื่อขนย้ายสัมภาระขึ้นท้ายแล้วนิติพงศ์และบรรณวัชร เดินไปสมทบกับพวกพันเอกคริสที่พึ่งคุยกับเจ้าหน้าที่มา ภายหลังทั้งสองจึงรู้ว่าเธอเป็นเจ้าหน้าที่ของ B.S.A.A. ซึ่งทำงานประสานกับพันเอกคริสโดยตรง เธอได้รายงานกับอีกฝ่ายว่าทันทีที่พันเอกคริสส่งคำสั่งมา เธอก็รีบไปรับตัว โรสแมรี่ วินเทอร์ ลูกสาวของอีธานและมีอา ซึ่งกำลังเรียนหนังสืออยู่ ตอนนี้รออยู่ที่ประตูทางออกพร้อมบอดี้การ์ดคุ้มกันสามคน พันเอกคริสจึงบอกให้พาเธอมาที่ลานจอดรถ เจ้าหน้าที่หญิงพยักหน้ารับทราบและคว้าวิทยุสื่อสาร เพื่อให้พาตัวเด็กสาวมาที่ลานจอดรถ เวลาผ่านไปสี่นาทีบอดี้การ์ดเดินมาพร้อมกับเด็กสาวคนหนึ่ง เธอไว้ผมยาวเลยหัวไหล่สีทองบลอนด์จาง สวมเสื้อแจ็ดเก็ตแบบเดียวกับอีธาน และสวมหมวกแก๊ปสีดำ
"พ่อคะ แม่คะ" เด็กสาวคนนั้นวิ่งไปสวมกอดมีอากับอีธาน
"เด็กคนนั่นคือ..." บรรณวัชรหันมาถามร้อยเอกไบรอัน ซึ่งยืนอยู่ข้างขวามือของเขา
"โรสแมรี่ วินเทอร์ ลูกสาวของอีธานกับมีอา วินเทอร์"
...🔫🔫🔫🔫🔫🔫...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!