NovelToon NovelToon

ผู้สาวสายฝอ

1. วิชามาร

อวิชชา...วิชามาร หรือ อะไรกัน

 

ช่วงเย็นเลิกงานน้อยหน่ารีบมาที่โต๊ะของคนึงนิจได้เวลาห้าโมงตรงเผง แล้วทั้งคู่รีบออกจากตัวตึกข้ามไปฝั่งตรงข้ามสั่งอาหารจานเดียวมากินอย่างเร่งรีบ เพราะเพื่อนเธอบอกว่าบ้านหมอดูอยู่ไกลแถวนอกเมือง น่าจะแถวๆ บ้านของคนึงนิจ เส้นทางเลยออกไปทางบางบัวทอง

ทั้งสองไปถึงค่อนข้างค่ำมากเกือบทุ่มเศษ บ้านไม้สองชั้นเก่ามากตัวบ้านน่าจะเกินสามสิบปี น้อยหน่าจับมือคนึงนิจอย่างไม่แน่ใจ

“เฮ้ย...ไหนๆ มาถึงแล้ว มันจะถอยไม่ได้นะ” เธอบอกน้อยหน่าแบบใจกล้า แต่ในใจก็ตื่นเต้น หน้าตาของบ้านเหมือนบ้านผีสิง

“นี่ถ้ามาคนเดียว ฉันหนีก่อนเลย ไม่กล้าลงจากรถอ่ะ” น้อยหน่าทำหน้าหวาดกลัว

“ใครแนะนำ...”

“ป้าฉันนะสิ...”

ทั้งสองคนโผล่หน้าเข้าไปก่อน ขณะที่คนข้างในเปิดออกมาพอดี ข้างในเป็นโถงกว้างมีคนกำลังรออยู่แล้วสามคน หนึ่งในสามกำลังเข้าไปทำพิธีอยู่

“โห...นี่มูกันแบบสุดๆ เลยว่ะ” คนึงนิจมองพิธีแบบเสกคาถาร่ายภาษาที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน

“นั่นดิ...เข้าท่าไหม กลัวเสียเงินฟรี”

“ไม่ลองไม่รู้”

และแล้วผู้ชายแต่งตัวแบบพราหมณ์ห่มผ้าสีขาวผ้านุ่งแบบโจงกระเบน กวักมือเรียกสองคน

“อีหนูสองคนนั่น เข้ามาได้เลย” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเบาๆ เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง

“สวัสดีค่ะ...” น้อยหน่ากล่าวทักทาย แต่คนึงนิจเงียบ

“นางคนนั้น...กำลังจะมีเคราะห์” ชายเสียงแหบแห้งมองจ้องมาที่เธอ

“เอ้า...ไงเป็นอย่างนี้ล่ะคะ...”

“เราน่ะ...อยู่กับใครล่ะตอนนี้” เขาถามขึ้นจ้องตาเธอเขม็ง

“เอ่อ...อ่า...” คนึงนิจไม่ตอบ นิ่งเงียบไม่อยากเปิดเผย เพราะน้อยหน่าไม่รู้เรื่องส่วนตัวของเธอมากนัก

“อีหนู ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร...ระวังไว้ล่ะกัน” เขาเตือนด้วยน้ำเสียงกังวล

“แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างคะ”

“ถือศีล...ละเว้นเนื้อสัตว์ ได้ไหมล่ะ อาจจะช่วยให้เคราะห์เบาลง” เขาแนะนำ

“เหรอคะ...ทำยังไงคะ”

“อย่ากินเหล้า ห้ามกินเนื้อสัตว์ ได้ไหม”

“ได้ค่ะ...แล้วหนูต้องไปถือศีลไหมคะ”

“มาถือศีลที่นี่...เสาร์อาทิตย์มาอยู่บ้านพ่อปู่นี่” เขาเรียกตัวเขาเองว่าพ่อปู่

“อีหนูนี่...มีเรื่องทุกข์ใจคู่ครองล่ะสิ” ชายชราอายุหกสิบเศษทักน้อยหน่าโดยไม่ต้องขอข้อมูล

“ค่ะ...หนูอยากให้พ่อปู่ช่วยค่ะ” เธอพูดตะกุกตะกัก

“มาถือศีลด้วยกันเสาร์อาทิตย์นี้เลย พ่อปู่จะช่วยให้ผัวเรากลับมา” เธอหันไปจ้องหน้าของคนึงนิจ แบบขอความเห็น

“เราว่างนะ เธอว่างไหม”

“ได้...จะเอาลูกไปฝากบ้านแม่เลยพรุ่งนี้วันศุกร์” น้อยหน่าตัดสินใจอย่างไม่ลังเล เพราะชายชราทำนายเรื่องของเธอทันทีโดยไม่ได้ถามอะไรก่อน

หมอดูหันหลังลุกขึ้นเดินเปิดประตูห้องเข้าไปข้างใน แล้วอุ้มตุ๊กตาหน้าสวยตัวหนึ่งออกมาทันที

“อีหนูนี่...เอาตุ๊กตาตัวนี้ไปวางไว้ที่ห้องนอน”

จากนั้นเขาก็นั่งลงต่อหน้าคนึงนิจ ร่ายคาถาเสกเป่าอะไรบางอย่าง และอุ้มตุ๊กตาตัวเกือบเท่าทารกน้อยซึ่งเธอมีอยู่แล้วเมื่อคืนแบบนี้เลย ไม่รู้ว่าสุธนว่าที่สามีของเธอไปเอามาจากที่ไหน บอกแต่เพียงว่า ลูกน้องในสถานีตำรวจมอบให้ผู้กำกับที่เพิ่งย้ายออกไป แต่ผู้กำกับท่านนั้นรับไว้แล้วเอามาวางไว้ที่โต๊ะทำงานของสุธนแทน เขาจึงเอากลับมาให้เธอ ซึ่งน่าจะเหมาะสมกับสาวน้อยวัยยี่สิบเจ็ด

“หนูมีอยู่ตัวหนึ่ง เหมือนกันเลยค่ะ” เธอพลั้งพูดออกไป

“นั่นล่ะ...ทำให้เรามีปัญหา...เอาตัวนี้ไปแก้ให้เป็นเพื่อนกัน” เสียงแหบแห้งของเขาดูจริงจังมาก

“แล้วทุกอย่างจะไปด้วยดี”

“อีหนูคนนี้ เอาตัวนี้ไป...” ชายชรายื่นส่งตุ๊กตากุมารทองให้น้อยหน่า

“มันจะคอยตามไปกระซิบเตือนผัวเรา ไม่ให้กลับไปหาคนนั้นอีก” เสียงแหบแห้งเอ่ยอย่างมุ่งมั่นว่ามันจะได้ผล

“แล้วต้องบูชาคาถาอะไรไหมคะ”

“ไม่ต้องพ่อปู่ลงมนต์บังบดให้หมดแล้ว” เขาพูดกับน้อยหน่าไม่ให้กังวล

“หนูสองคนจะมาถึงวันเสาร์กี่โมงคะ ต้องเตรียมอะไรบ้าง” คนึงนิจสอบถาม

“ไปซื้อชุดขาวมาปฏิบัติธรรม มาเก้าโมงจะได้อาบน้ำมนต์ล้างซวย ” ชายชราพูดชัดถ้อยชัดคำมาก

“โห...พวกหนูนี่...ขนาด ซวย เลยรึ” คนึงนิจพูดแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“พ่อปู่เรียกแบบนี้ แต่บางคนไม่ได้ซวยกันหมด แค่เบาๆ ก็มี ไม่ถึงขนาดเลือดตกยางออกหรอก” เขาหัวเราะเบาๆ

“แต่อีหนูคนนี้...” เขาหันมาที่คนึงนิจมองหน้าตาเธออย่างจับจ้อง

“เรามีเคราะห์นะ...พ่อปู่อยากให้ออกจากบ้านที่อยู่ตอนนี้สักสามเดือน”

“จะเป็นไปได้ยังไงกัน” เธอพึมพำเบาๆ แบบไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยิน

“มาปัดวิบากกรรม...เสาร์อาทิตย์นี้แล้วจะรู้เอง” เขาพูดเชิงท้าทาย

ทั้งสองคนลาชายชราที่เรียกตนเองว่าพ่อปู่ กำลังเดินกลับมาที่รถ น้อยหน่าได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจึงรับสาย

“ค่ะ...จะรีบกลับเลย” น้อยหน่าวางสายอย่างกังวล บอกเพียงว่าลูกชายร้องละเมอหาแม่ พี่เลี้ยงบอกว่าน่าจะเป็นไข้

“เธอนั่งแท็กซี่กลับบ้านเถอะ...ขอโทษทีเพื่อน” น้อยหน่าทำหน้ารู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร...ฉันจะอุ้มน้องนี่ขึ้นแท็กซี่นี่นะ...” เธอทำหน้าขำกับตัวเอง

เมื่อคนึงนิจเรียกแท็กซี่ได้เธอจึงลาน้อยหน่าที่อยู่รอเพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนขึ้นแท็กซี่ได้แล้วจึงจะขับออกไปจากหน้าปากซอยบ้านหมอดู

“นั่นลูกเทพ...ไปเอามาจากไหนครับหนู” ลุงคนขับแท็กซี่ทักขึ้น

“คือพ่อปู่...ให้มาค่ะ” เธอตอบไปเฉยๆ

“หลายคนแล้ว ผมรับผู้โดยสารตรงหน้าปากซอยนี้ ก็อุ้มตุ๊กตานี้มาด้วย”

“ทำไมหรือคะ...”

“บางคนก็เชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ”

“ผมคนหนึ่งที่คิดว่า ความเชื่อมันแค่บางคน บางทีเขาทักเรื่องที่เราทุกข์พอดี แล้วมันบังเอิญตรง...ก็คิดกันว่าแม่น” ลุงคนขับพูดยิ้มๆ

“ลุงว่า...อาชีพหลอกกินเงินไหมคะ”

“ผมว่าบางคนรวยเพราะแบบนี้”

คนึงนิจลงจากรถแท็กซี่ตรงเข้าบ้านไป ซึ่งสุธนได้เปิดประตูหน้าบ้านไว้รอแล้ว เธอมองเข้าไปพบ...ว่าที่สามีซึ่งอายุมากกว่าเธอเกือบสิบห้าปี กำลังนอนเอกเขนกดูทีวีอยู่ที่โซฟาห้องนั่งเล่น เขาเป็นหนุ่มใหญ่อายุสี่สิบกว่าที่เคยผ่านการมีครอบครัวมาแล้วแต่ไม่มีลูก แยกทางเดินกับภรรยาคนเก่าและมาเจอสาวน้อยเพิ่งอายุยี่สิบปลายๆ อย่างเธอ เลยขอเข้ามาเป็นคุณพ่ออุปถัมภ์แบบเปิดใจโต้งๆ กันไปเลย ส่วนสาวน้อยขณะนั้นเธอมีปัญหาครอบครัวหมุนเงินไม่พอค่าใช้จ่าย น้องชายจะต้องเข้าเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัย เธอจึงตอบตกลงแบบขอให้เขาช่วยค่าใช้จ่ายของน้องชายที่เธอเป็นหนี้นอกระบบอยู่ เธอมีเงื่อนไขแบบเป็นสัญญาใจไม่ผูกมัด เพราะเธอยังไม่อยากมีสามีเป็นตัวเป็นตน

“เอ้า...ไปเอามาจากไหนอีกตัวล่ะนี่” เขาทักขึ้นเมื่อเห็นเธออุ้มตุ๊กตาหน้าสวยเข้ามาด้วย

“หมอดูให้มาค่ะ” เธอพูดขณะกำลังเปิดประตูเข้าห้องนอนชั้นล่าง

“ดี...จะได้เป็นเพื่อนกัน” เขาหัวเราะหึหึ

สุธนแอบมองสาวน้อยที่เดินหายเข้าห้องไป ในใจคิดว่าเขานี่ช่างใจดีปราณีราวกับเป็นพ่อพระ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าทำไมไม่ลงมือให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราว เด็กสาวคนนี้จะได้อยู่ในกำมือ และคำพูดซึ่งวนเวียนในใจมาตลอดก็ดังขึ้น เขายังไม่อยากบังคับเพราะไม่อยากให้เธอมองเขาในทางที่ไม่ดี เห็นแก่ตัวเป็นเหมือนเฒ่าหัวงูเลี้ยงต้อยทำนองนั้น อยากให้เธอมองเห็นความดีในตัวเขา แล้วสุดท้ายเขาจะสมหวังอย่างที่คิดไว้

และแล้วคนึงนิจก็เปิดประตูเสียงดังปังหน้าตาตื่น ปากคอสั่นวิ่งมากอดสุธนแน่น

“คุณพ่อ...ตุ๊กตานั่น...เอ่อ...เอ่อ” เธอหลับตาเอาหน้าซุกอกเขาไม่อยากมองด้านหลัง

“ร้องกรี๊ดเสียงดังมาก...” ใจเต้นรัวหน้าซีดเหมือนเห็นผี

“หูแว่ว...ไปมั้ง”

“มัน...มัน...” เธอเหลือกตาตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นจ้องตาของชายหนุ่มว่าที่สามี

“ผมเป็นตำรวจ...ไม่ต้องกลัว...นะ” เขารั้งเธอมานั่งลงข้างๆ

“หนู...หนู กำลัง...”

“ทำอะไร...”

เธอไม่กล้าบอกได้แต่ส่ายหน้าไม่ยอมหันไปมองที่ประตูเลย ได้แต่บอกว่า

“อวิ...ชา...แน่ๆ ” เธอละล่ำละลัก พูดผิดๆ ถูกๆ

“มาร...วิชา...”

2. ปัดวิบากกรรม

ปัดวิบาก...ตัดกรรม

--------------------------------

สุธนเดินเข้าไปในห้องนอนของคนึงนิจ มองสำรวจไปรอบๆ เห็นตุ๊กตาหล่นอยู่ที่พื้นหนึ่งตัว ซึ่งเป็นตัวเดียวกับเมื่อวานที่เขามอบให้เธอ เขาเดินไปหยิบขึ้นมาและมองจ้องเปิดดูเสื้อผ้าที่ใส่เป็นเดรสสีชมพู หน้าตาของตุ๊กตายิ้มสวยกว่าอีกตัวที่เธอเพิ่งเอามาด้วยซ้ำ เขาคิดว่าน่าจะเป็นตัวนี้ที่ส่งเสียงกรี๊ดจนเธอตกใจรีบทิ้งลงพื้นแล้ววิ่งออกมากอดเขา

“ไม่เห็นมีอะไรเลย...นิจ เข้ามาดูสิ ผมอุ้มขึ้นมากอดอยู่” เขากอดตุ๊กตาไว้ที่อกตะโกนออกมา แต่ไม่ได้ยินเสียงของเธอ เลยเดินออกจากห้องเพื่อเอาไปให้ดูว่าไม่มีอะไร

“ไม่ค่ะ...นิจ ขอคืนให้คุณพ่อนะคะ” สาวน้อยแทบไม่อยากมองมันเลย

“หนูว่า...คงจริงอย่างที่พ่อปู่เตือน” คำพูดเธอทำให้สุธนสงสัย

“มีอะไร...รึ”

“ลุงหมอดูเตือนว่าหนูมีเคราะห์ และไม่ควรอยู่ที่บ้าน”

“อย่างมงาย...”

“แล้วตุ๊กตานี่ไปได้จากที่ไหนมาคะ...” เธออยากรู้

“ผมไม่รู้ เพราะลูกน้องใน สน. มอบให้ผู้กำกับ แต่ท่านไม่เอา ดันมาวางไว้บนโต๊ะผม” เขามองหน้าสาวน้อยส่ายหัว

“ไว้เข้า สน.พรุ่งนี้ผมจะถามพวกนั้นดู”

“แล้วจะให้ผมเอาไปไว้ไหนดี...” เขามองเธออย่างไม่เข้าใจ แต่จะพยายามเอาใจเพื่อให้เธอรู้สึกดีกับเขา

“คุณพ่อ...เอาไปไว้ข้างบนห้องนอนเลยค่ะ หนูคงนอนไม่รับแน่ๆ คืนนี้ พรุ่งนี้คุณพ่อจะกลับบ้านใช่ไหมคะ...”

“ใช่...ทำไม”

“หนูขออนุญาตไม่อยู่บ้านสองวันนะคะ จะไปปัดวิบากที่บ้านพ่อปู่”

“แล้วมีใครไปด้วยไหม...ผมเป็นห่วง” สุธนมองหน้าเธออย่างไม่ค่อยเห็นด้วย

“มีค่ะ...เพื่อนหนูเอง เธอมีปัญหาครอบครัวต้องไปอาบน้ำมนต์ด้วยกัน”

“แล้วเรามีอะไร ต้องไปอาบน้ำมนต์ด้วย ผมไม่เห็นคุณจะมีอะไร”

“พ่อปู่ทักว่าหนูมีเคราะห์ค่ะ...” คำพูดของเธอทำสุธนถอนหายใจ

“เอา...ผมไม่ว่าอะไร แต่ถ้ามีเหตุร้าย รีบโทรมา...จะสั่งให้จ่าไปดู” เขาเริ่มกังวล

“บ้านหมอดูอยู่แถวไหน...” เขาเริ่มไม่ไว้ใจกับคำพูดของสาวน้อย

“แถวบางบัวทอง เส้นทางออกไปสุพรรณบุรี”

“ก็คงแถว สน. ที่ผมรับผิดชอบ มีอะไรให้ช่วย รีบโทรมาทันที” เขาสั่งเธอเสียงเข้ม

เธอบอกน้อยหน่าในไลน์ให้ช่วยหาข้อมูลจากป้าของเธอ เพราะหญิงสาวเริ่มกังวลกับความประหลาดของตุ๊กตาที่รับมา

ทั้งคู่นัดกันที่ร้านขายกาแฟหน้าปากซอยบ้านลุงหมอดู คนึงนิจนั่งรถแท็กซี่ไปเอง เธอตกใจตื่นแต่เช้าเพราะฝันแปลกมาก เธอไม่กล้าเล่าให้สุธนรับรู้เกรงว่าเขาจะไม่สบายใจ

“เรามาถึงตั้งแต่แปดโมง กลัวสายเพราะอยู่ไกล” น้อยหน่ากำลังดื่มกาแฟรอ

“เราไม่ดื่มนะ เมื่อคืนมีเรื่องโคตรน่ากลัว” คนึงนิจเล่าอย่างขนลุก

“เป็นยังไง...” น้อยหน่าทำหน้าตกใจ

“ตุ๊กตาตัวที่มีอยู่ก่อนแล้ว ส่งเสียงกรี๊ดนะสิ” เธอพูดอย่างกังวล

“เฮ้ย...ตกลงรู้ไหมว่าตัวไหน ถ้ามีอยู่หนึ่งตัวก่อนแล้ว มันคงไม่ใช่เพราะเป็นตัวที่ไม่ได้ลงคาถา...จะส่งเสียงได้ยังไง” เพื่อนเธอแย้ง

“นั่นล่ะ...ที่เราตกใจ กำลังเอาตัวที่อุ้มไปเมื่อวานวางข้างตัวที่มีอยู่ก่อนแล้วตรงหัวเตียง ไอ้ตัวที่วางอยู่ก่อนแล้วดันร้องกรี๊ด ฉันตกใจปัดมันกระเด็น วิ่งออกจากห้องแทบบ้า” เธอพูดแล้วยังตกใจไม่หาย

“เราเอากุมารทองไป...ลูกร้องไห้งอแงทั้งคืนเลย วันนี้เอาพี่เลี้ยงกับลูกไปฝากบ้านแม่ตั้งแต่เช้า เราแทบไม่ได้นอน ง่วงสุดๆ กะจะดื่มอีกแก้วนะเนี่ย กลัวหลับตอนทำพิธี” น้อยหน่าก็มีเรื่องประหลาดเหมือนกัน

“แล้วถามป้ารึยัง”

“ป้าเขียนมาบอกสั้นๆ ว่า ลุงคนนี้แกมีญาณวิเศษ รู้อะไรจะเกิดล่วงหน้า และทำนายแม่นมากกก” น้อยหน่าลากเสียงยาว

“เราฝันเมื่อคืนด้วย น่ากลัวอ่ะ” คนึงนิจไม่อยากเล่า เธอตกใจตื่นตอนตีสี่เหงื่อท่วมทั้งที่ห้องเปิดแอร์เย็นฉ่ำ

คนึงนิจไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังเพราะไม่อยากให้เธอตกใจ หรือเพราะเธอเก็บเอาเรื่องที่ลุงหมอดูทำนายไปฝัน

ทั้งคู่ไปถึงหน้าบ้านของลุงหมอดูเกือบเก้าโมงตามนัด มีผู้ชายอายุเกือบหกสิบหน้าตาเหี่ยวแห้งน่ากลัวพอๆ กับลุงหมอดูเมื่อวานออกมาเปิดประตูหน้าบ้านต้อนรับ

“ทำไมไม่เห็นมีใครมาดูหมอเลย เงียบจนวังเวง” น้อยหน่ากระซิบข้างหูของคนึงนิจ

“ดีแล้ว...ไม่ต้องรอนาน แต่คืนนี้เราต้องอยู่ที่นี่ มันน่ากลัวกว่าตอนนี้นะ” สาวน้อยหน้าหวานอย่างคนึงนิจก็ปอดแหกเหมือนกัน

ทั้งสองคนเดินตามลุงคนนี้อ้อมจากด้านหน้าเข้าไปด้านหลังของตัวบ้าน พวกเธอเดินไปตามทางแคบๆ ด้านข้างแล้วไปโผล่เห็นลานหลังบ้านกว้าง เป็นลานซีเมนต์มีห้องน้ำอยู่สามห้องเพื่อเข้าไปเปลี่ยนเสื้ออาบน้ำ ก่อนที่ลุงหมอดูจะออกมาทำพิธี พวกเธอเห็นสายยางที่เป็นหัวฉีดสปริงถูกต่อเข้ากับก๊อกน้ำซึ่งมีท่อต่อลงในอ่างน้ำซีเมนต์ขนาดใหญ่ที่ทำเป็นคอกสี่เหลี่ยม น้ำจากในอ่างนี้คงถูกส่งตรงเข้าสู่หัวฉีดสปริงเมื่อเปิดก๊อก

“พวกหนูเข้าไปเปลี่ยนเสื้ออาบน้ำในห้องน้ำนั่น แล้วออกมาเตรียมตัว” ลุงหน้าตาเหี่ยวแห้งสั่งสาวทั้งสองคน

“เร็วนะ...พ่อปู่กำลังจะลงมา” พวกเธอรีบเดินเข้าห้องน้ำทันทีหลังจากได้ยินเสียงสั่ง

พ่อปู่ลุงหมอดูเมื่อวานกำลังเดินออกมาจากประตูหลังบ้านถือขันน้ำเก่าๆ ขนาดโตเท่าชามน้ำแกง ตรงมาที่อ่างน้ำซีเมนต์แล้วเทน้ำจากขันลงไป แล้วเสกคาถาร่ายมนต์เป็นภาษาที่คนึงนิจคิดว่าเหมือนเมื่อวานนี้

“ทั้งสองคนพนมมือขึ้น พ่อปู่จะเอาสายยางฉีดทั่วตัว” เสียงแหบแห้งของลุงหมอดูสั่งพวกเธอสองคน

“น้ำเย็นนิดหน่อย... มีอะไร ห้ามวิ่งออกไปจากที่นี่เด็ดขาด” ชายชราสั่งเสียงเข้ม

ขณะที่สายยางน้ำฉีดออกมาที่ตัวของหญิงสาวสองคนเบื้องหน้า เสียงร่ายมนต์คาถาเสกเป่าออกมาจากปากของลุงหมอดูตลอดเวลา ตามด้วยเสียงหวีดหวิวโหยหวนผสมผสานราวกับประสานเสียงกันไม่ขาดสาย ทำให้คนึงนิจขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัว ส่วนน้อยหน่าก็หนาวสั่นตัวโยนราวผีสิง

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงพิธีกรรมในการปัดวิบากของทั้งสองคนจึงจบลงด้วยดี โดยที่ทั้งสองไม่เตลิดออกจากบริเวณที่ลุงหมอดูได้สั่งไว้ก่อนแล้ว

“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปรอด้านหน้า พ่อปู่จะตัดกรรมให้” เสียงแหบแห้งกล่าวเบาๆ

คนึงนิจรู้สึกใจสั่นยังไม่หาย ส่วนน้อยหน่าเพื่อนสาวยังมีอาการตัวสั่นสะท้านไม่หยุด ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันไม่ได้พูดอะไรก่อนจะต่างคนต่างเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ ทันทีที่ทั้งสองคนเปิดประตูออกมาเกือบพร้อมกัน น้อยหน่าจึงเอ่ยขึ้นก่อน

“ทำไมตัวสั่นไม่หายเลยอ่ะ น้ำก็ไม่ได้เย็นมาก”

“เราก็ใจสั่นหวิวๆ เหมือนจะเป็นลมอ่ะ” คนึงนิจจ้องหน้าเพื่อนอย่างหวั่นใจ

ทั้งสองสาวจับมือให้กำลังใจกัน และเดินตามลุงคนที่รออยู่เพื่อนำพวกเธอไปเข้าประตูด้านหน้าบ้าน ลุงหมอดูพยักหน้าให้สัญญาณเข้าไปนั่งพับเพียบตรงหน้าเขา

“อีหนูคนนี้...เรากรรมหนักนะ” คนึงนิจสะดุ้งใจสั่น

“มีอะไรหรือคะ”

“ต้องนั่งเข้ากรรม ตัดกรรมกับพ่อปู่ทั้งคืน”

“ฮ่ะ...ไม่ต้องนอนเลยรึคะ” เสียงใจเต้นดังมากราวกับจะระเบิดออกมา

“ไม่ต้องกลัว...นางคนนี้อีกคนจะต้องนั่งเข้ากรรมทั้งคืนเหมือนกัน”

“เหรอคะ...หนูต้องทำยังไงกันคะ” น้อยหน่าถามขึ้น

“พวกเราสองคน...นั่งหลับตา ห้ามลืมตาจนกว่า...พ่อปู่จะบอก ห้ามออกจากตรงนี้เด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร” เสียงสั่งของชายชราหมอดูทำทั้งสองคนหันมองหน้ากันทันที

จากนั้นพ่อปู่ให้ทั้งสองคนเดินตามเข้าไปห้องด้านในที่เป็นเหมือนห้องพระ คนึงนิจตาเบิกโพลงตกใจ น้อยหน่าเช่นกันตัวสั่นสะท้านหนักกว่าเดิม

“โห...อะไรนั่น เต็มห้องไปหมดเลย” ทั้งสองคนแทบจะพูดขึ้นพร้อมกัน ขนหัวลุกซู่ จนต้องหันมากอดกันกลม

“ไม่ต้องกลัว...พ่อปู่อยู่ตรงนี้” ลุงหมอดูพูดเสียงกังวาน

“อวิช...ชา...” คนึงนิจปากสั่นตะกุกตะกักเบาๆ

“เดรฉาน...วิชา” น้อยหน่าเอ่ยอย่างหวาดกลัว

คนึงนิจมองจ้องวัตถุทรงกลมสีเทาดำที่วางอยู่บนแท่นด้านบนสุด ใจเต้นรัวขาสั่น...หลอนสุดขีด

“เฮ้ย...นั่นมัน...”

3. จิตแตกกระเจิง

หลอน...มู...จนขาสั่น จิตกระเจิง

--------------------------------

“สะ...สะ เสียงดังกังวาน...ออกมาจาก หะ...หัวกะ...กะ...โหลกนั่น...” คนึงนิจหันไปกอดกับน้อยหน่าหลับตาปี๋ เสียงเบาตะกุกตะกัก

“บอกแล้วไม่ต้องกลัว...พ่อปู่สื่อวิญญาณอยู่” ลุงหมอดูเดินเข้ามาจับหัวสาวทั้งสอง และตบหลังพวกเธอเบาๆ

เอาล่ะสิ...คนึงนิจสะดุ้งขาสั่น ขนใต้ผิวหนังตั้งชันเหมือนจับไข้ น้อยหน่าเหงื่อแตกด้วยความกลัว สองสาวยังกอดกันค่อยเขยิบก้าวถอยหลังอย่างอัตโนมัติ

“ห้ามออกไปจากห้องเด็ดขาด...เข้ามานั่งพับเพียบตรงหน้าพ่อปู่” ชายชราหมอดูเสียงเปลี่ยนเป็นห้าวก้อง หน้าตาจากที่เหี่ยวแห้งกลับดูเป็นหนุ่มมีพละกำลัง

เขานั่งลงในท่าขัดสมาธิหลับตาลง สองสาวมองหน้ากันอยากวิ่งออกไปแต่ประตูห้องดันถูกปิดจากด้านนอก พวกเธอจำยอมค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งพับเพียบกับพื้น ก้มหน้าไม่ยอมมองตรงไปข้างหน้า กลัวพวกหัวกะโหลกแยกเขี้ยวอยู่เต็มห้อง มองไปทางไหนเหมือนกำลังจ้องมาที่พวกเธอ

“วิธังเสติ ......” พ่อปู่ร่ายคาถายาวไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ และยกมือทำท่าเหมือนโปรยคาถาครอบคลุมไปทั่วห้อง

“โอม...นะมะจิตตัง...ยะจับใจ ...พุทธะหลงใหล...” เสียงของผู้เฒ่าหน้าทารก ณ บัดนาวดังกึกก้องราวหนุ่มน้อยไม่ปาน

น้อยหน่าเงยหน้าขึ้นหลังจากที่พ่อปู่สั่งให้เธอขยับเข้าไปใกล้อีกนิด

“เฮ้ย...เอามือออกไป” น้อยหน้ายกมือปัดฝ่ามือของพ่อปู่ เขากำลังจับหน้าผากเธอประคองหัวเข้าไปใกล้ปากของเขา

“ไม่ต้องกลัว พ่อปู่กำลังจะเป่าหน้าผากให้ผัวรักผัวหลง” ชายชราตอนนี้อยู่ในร่างคนหนุ่มแน่นกำลังจะทำอะไรบางอย่าง เขาเริ่มถอดเสื้อสีดำคลุมร่างตัวโคร่งออก เห็นกล้ามหน้าอกเป็นมัด คนึงนิจตัวสั่นเอามือปิดตาแต่ยังแอบมองลอดนิ้วออกมา

“อีหนูอีกคน เข้ามาใกล้กว่านี้หน่อย พ่อปู่จะเป่ามนต์ปกป้องไม่ให้เกิดอะไรขึ้น” พ่อปู่ในร่างชายหนุ่มอายุราวสามสิบเศษกำลังโน้มตัวเข้ามาและลุกยืนขึ้นส่วนบนเปลือยเปล่า ส่วนล่างสวมกางเกงสีดำตัวฟิตเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ร่างกายเหมือนพวกเล่นกล้าม

“ขะ...ขออยู่ห่างๆ ได้ไหมคะ...” เสียงคนึงนิจสั่นๆ และพยายามขยับตัวถอยออกมาเรื่อยๆ แต่เหมือนชายชราในร่างใหม่ขยับใกล้เข้ามาอยู่เรื่อยๆ

“ไม่ต้องกลัว...อีหนู พ่อปู่กำลังปัดเคราะห์หนักให้” เขาพยายามจะเข้ามากอดเธอ แต่คนึงนิจไม่ยอม หันไปมองน้อยหน่าว่ายังไง

“เฮ้ย...ทำอะไรเพื่อนฉันน่ะ...” เสียงน้อยหน่าตะโกนขึ้น ตกใจที่เขากำลังถอดกางเกงสีดำตัวฟิต

ทั้งสองสาวลุกยืน น้อยหน่าตัวอวบกว่าคนึงนิจเลยพยายามผลักชายชราในร่างใหม่ออกไปห่างๆ แต่เหมือนร่างกายของเขาแทบจะไม่ไหวติงกับแรงผลักของสาวอวบนี้เลย ทำไมชายชราจึงกลายเป็นคนแข็งแรงดุจปีศาจ

คนึงนิจตกใจที่เห็นร่างเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยรอยสักเป็นรูปประหลาดที่บริเวณลำตัวส่วนล่าง และเจ้าหนูลูกมหาเทพนั้นเธอนึกถึงคำตลกเรียกมันว่า apple เต็มไปด้วยลวดลายงูเลื้อยพันกันจนถึงต้นขา

“เวร...มาเจอเรื่องลามก วิชามารให้แล้ว” คนึงนิจตะโกนกรีดร้องอย่างสุดเสียง

“ไม่ต้องโหยหวนเป็นเปรต ข้ากำลังทำพิธี...” ชายร่างใหม่กำลังนั่งลงร่างกายเปลือยเปล่า แต่สาวทั้งสองลุกยืนถอยหลังชนประตูห้อง แต่ยังไงก็ไม่สามารถดันประตูออกไปได้เหมือนมันถูกล็อกไว้จากด้านนอก

“มานั่งลง...ข้าจะทำพิธีต่อ” เสียงชายหนุ่มสั่งแบบไม่พอใจพวกเธอสองคน

ทั้งสองคนเห็นเขานั่งหลับตาบริกรรมคาถาเงียบๆ โดยไม่ลืมตาเลย สองสาวมองหน้ากันว่าจะยังไงดี คนึงนิจพยักหน้าให้เพื่อนสาวอย่างใจกล้า ค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าและนั่งพับเพียบต่อหน้าเขา ตามด้วยสาวอวบที่ยังตกใจอยู่

และแล้วพวกเธอกำลังนั่งเงียบๆ อยู่เฉยๆ เสียงดังตูมตามด้านนอกทั้งประตูถูกเขย่าแทบจะแตกออก ทำให้ทั้งสองสาวขยับเข้ามาใกล้กันหันหลังไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไม่ต้องหันไปดู!!!...” เสียงก้องกังวานจากชายร่างกำยำสั่ง

“ห้ามออกจากที่ห้องนี้เด็ดขาด” เขายังสั่งเสียงดุ

แต่เสียงด้านนอกยังเหมือนกำลังสู้รบกันอย่างดุเดือด เสียงคล้ายประทัดระเบิดตูมตามราวกับหนังไซไฟ คนึงนิจร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว น้อยหน่าตัวสั่นเข้าไปกอดเพื่อน รู้สึกผิดมากๆ ที่ชวนเธอมาเป็นเพื่อนแล้วเกิดเหตุการณ์สยองจนขนหัวลุก

“ข้าจะเอาอีนาง...พวกนี้ไป” เสียงแหลมทะลุจากด้านนอกเข้ามา

“มึงเข้ามากูจะเอาให้เข็ด...ไป ไป ไป” เสียงชายร่างกำยำตะโกนเสียงดังไล่เสียงที่ทะลุเข้ามาตลอด สองสาวกอดกันแน่นมือของทั้งสองเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง

เวลาแห่งความน่าหวาดผวาผ่านไปจนเกือบย่ำรุ่ง น้อยหน่าง่วงนอนมากเธอหลับฟุบลงไปนอนที่พื้นข้างคนึงนิจ ส่วนสาวน้อยหน้าหวานใจสั่นเครียดจนสมองล้า เธอก็นั่งหลับสัปหงกหัวทิ่มอยู่เช่นกัน

รุ่งสางประมาณตีสี่เศษ ลุงหมอดูเปิดประตูออกไป และยังคงไม่ปลุกสาวสองคน เขาออกไปเดินบริกรรมจงกรมอยู่ด้านหลังบ้านที่เป็นลานสำหรับอาบน้ำมนต์

ทันใดนั้นคนึงนิจตกใจตื่นและเขย่าตัวเพื่อนสาวทันที บอกให้ลุกขึ้นและมองไปยังประตูเห็นเปิดอยู่ ภายในห้องเธอไม่เห็นชายหนุ่มกำยำนั้นเลย น้อยหน่ายังเอาแต่งัวเงียสลืมสลือ

“เฮ้ย...น้อยหน่าไปเถอะ อย่าอยู่อีกคืนเลย ฉันกลัวแทบจะช็อกตายอยู่แล้ว”

“เออ...ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เที่ยงเมื่อวานจนป่านนี้ ไม่รู้สึกหิวเลยว่ะ” สาวอวบจิตผวาไม่รู้สึกอยากกินอะไรเลย

“นั่นดิ...เราเหมือนกัน จิตแตกกระเจิง”

ทั้งสองลุกขึ้นค่อยย่องออกจากห้องเดินไปที่ประตูด้านหน้าแล้วผลักออกไป เมื่อไม่เห็นมีใครทั้งสองจึงก้าวออกจากรั้วบ้าน พวกเธอรีบสาวเท้าไปที่รถเก๋งแล้วน้อยหน่าก็เปิดประตูสตาร์ทรถทันที แต่เธอยังอดไม่ได้หันไปมองตัวบ้านที่โทรมจนไม่น่าเรียกว่าอะไรได้ นอกจากคำว่า ‘บ้านผีสิง’

รถบึ่งออกไปอย่างรวดเร็วไปจนถึงหน้าปากซอย น้อยหน่าเห็นร้านข้าวแกงเปิดอยู่เลยจอดรถแล้วเดินลงไปหาอะไรกิน

“ป้าคะ...รู้จักบ้านหมอดูญาณทิพย์ข้างในไหม” น้อยหน่าเริ่มถามขณะเจ้าของร้านกำลังยกจานอาหารมาส่งให้

“น่ากลัวใช่ไหมล่ะ”

“ค่ะ...”

“...มีคนมาทำพิธีกันอยู่บ่อยๆ เห็นเข้าออกกันอยู่เป็นประจำ”

“แล้วป้าเคยเข้าไปดูไหมคะ” คนึงนิจยิงคำถาม

“เคยไปดูครั้งหนึ่ง แกให้ไปเข้าพิธีอะไรนี่ล่ะ ป้ากลัวจนต้องไปหาหมอ”

ทั้งสองคนมองหน้าป้าตาค้าง

“ขนาดนั้นเลยรึคะ”

“ใช่...ลุงแกเป็นปีศาจ”

“ฮะ...อะไรนะคะ”

“แกถอดเสื้อผ้า รอยสักเต็มตัว แล้วก็ทำอะไรประหลาดๆ”

“ยังไงคะ”

“อย่าให้ป้าเล่าเลย...เดี๋ยวญาณแกมาทำร้ายป้า”

“โห...ขนาดนั้นเลยหรือ” ป้าจ้องหน้าสองคนแล้วเดินเข้าไปหลังร้าน

น้อยหน่ามีสีหน้ากังวล รีบกดโทรศัพท์หาป้าเธอทันที

“ป้าสร้อยคะ...หนูกลัวมากเลยค่ะ ลุงหมอดูเป็นคนแปลกๆ ไหมคะ”

“แม่นมากกก อย่าทำอะไรให้แกโกรธนะ จะตามมาเอาคืน”

“ฮะ...ตายห่า...”

“มันจะยุ่งล่ะ ต้องอยู่ให้ครบสองวัน ถ้าแกบอกให้ไปปัดวิบาก” ป้าของเธอยังแนะนำต่อ

“ป้าไม่กลัวรึ น่ากลัวมากเลย”

“ฉันเจอมาเยอะ สมัยก่อนน่ากลัวกว่านี้ นี่แค่น้องๆ”

“อะไรนะ...หนูไม่เข้าใจ”

“พิธีกรรม...ไม่ได้มีอะไรเลย แค่นั่งสมาธิ ลุงแกจะถอดเสื้อถอดผ้าก็เรื่องของแก เพราะแกมีวิชาอาคม และบางทีแปลงร่าง...”

“โห...ขนาดไม่มีอะไรนะเนี่ย กลัวจนขนหัวลุกหมดแล้ว”

“ถ้าไม่อยู่ต่อ ไม่มีใครว่า ลุงแกแค่เตือนเท่านั้น”

“ค่ะ...แค่นี้นะคะ” น้อยหน่าวางสาย เธอหันไปมองหน้าคนึงนิจที่ละเลียดข้าวแทบไม่ลงคอ เพื่อนสาวดื่มน้ำตลอดเหมือนคอแห้งกลืนข้าวไม่ลง

“เอาไงดี...” น้อยหน่าขอความเห็นเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงข้างหน้า

“ไปกันเถอะ...เราจะเป็นลม ว่าจะแวะคลินิกแถวใกล้ๆ บ้าน ส่งเราลงตรงนั้น” คนึงนิจไม่อยากอยู่ต่อ เธอเหมือนกำลังจับไข้ เหมือนคนโบราณบอกว่าจับไข้หัวโกร๋น

ทั้งสองคนไปถึงคลินิกขณะกำลังนั่งรอหมอ

“กรี๊ด...กรี๊ด...กรี๊ด ช่วยด้วย!!!”

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!