Prolopue1
นานแค่ไหนแล้วนะที่ข้ามาอยู่ที่นี่...
นับจากวันแรกที่เดินทางมาไม่เต็มใจ จวบจนผ่านมาถึงวันนี้ที่ได้ใช้ชีวิตในฐานะคนธรรมดา กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้อย่างแท้จริง
หากจะว่านานก็นาน ทว่าในห้วงความรู้สึกกลับรู้สึกราวเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน
ข้ายังจดจำได้ดีถึงเวลาที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตได้พานพบบุคคลมากมาย ทั้งผู้ที่ไม่คาดคิดว่าจะได้พานพบ เเละผู้ที่หวนคืนกลับมาโดยไม่คาดฝัน
เเต่ที่สำคัญที่สุด คือการได้พบเจอกับคนคนนั้น...
คนที่ช่วยฉุดรั้งข้าออกจากความมืดมิด
สอนให้ข้ารู้จักสิ่งต่างๆมากมายบนโลกที่ไม่คุ้นเคย คนที่ทำให้ข้าได้รู้จักกับคำคำหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะมีโอกาศได้สัมผัสด้วยตัวเอง
คำว่า...
ก๊อก ก๊อก
"คุณจิติ อีกสิบนาทีผมจะเข้าไปส่งจดหมายในเมืองเเล้วนะครับ!" เสียงตะโกนจากด้านนอกทำให้เขาหลุดจากภวังค์หลุบตาก้มมองลงมองกระดาษสีขาวที่กางอยู่บนโต๊ะซึ่งเปรอะเปื้อนน้ำหมึกดวงใหญ่ อันเกิดจากการกดปากกาทิ้งไว้นานเกินไปอย่างระอาใจ
"ดูเหมือนข้าจะคิดถึงเจ้าอีกเเล้ว" ข้าระบายยิ้มจางยามนึกถึงคนในห้วงคำนึงซึ่งไม่ได้พบเจอกันมานาน เเล้วรีบหันไปตะโกนบอกคนที่น่าจะยังยืนรออยู่ด้านนอกสั้นๆ
"ข้าจะรีบเขียน!"
กาลเวลาหมุนเปลี่ยนไปไวจนน่าใจหาย หากความรู้สึกที่มีกลับชัดเจนมากขึ้นทุกที ยิ่งยามต้องอยู่ไกล ไม่อาจพบหน้า ไม่อาจสบตาก็ยิ่งรู้ว่าอะไรคือ "สิ่งสำคัญ"
ข้ายกปากกาในมือขึ้น และเริ่มจรดมันลงบนย่อหน้าใหม่ช้าๆ ใจความสำคัญเเละความรู้สึกที่อัดแน่นค่อยๆกลั่นกรองออกมาเป็นเรียงความไม่สั้นยาว หากเปี่ยมด้วยความหมาย
ส่งถึงคนที่ไกลลิบ
'อิชชิน... ดวงใจของข้า'
•-•-•-•-•-•-•❤•-•-•-•-•-•-•-•
ญี่ปุ่น บ้านตระกูลทาเคดะ
เป็นเวลาหลายวันมาเเล้วที่อิชชินนั่งๆนอนๆ
ไม่มีอะไรทำเเทบทั้งวัน ชีวิตของเขาผูกติดอยู่กับการฟังรายงานจากลูกน้องคนสนิท สั่งการอะไรนิดๆหน่อยๆ เเล้วก็กินกับนอนวนไปวนมา จะบอกว่าไม่มีกะจิตกะใจทำอะไร เพราะพะวงนึกถึงเเต่คนที่อยู่ห่างไกลก็คงไม่ผิดนัก
เช่นเดียวกับเช้าในวันนี้
ชายหนุ่มเดินทอดน่องไปยังสวนหน้าบ้าน เเม้ไม่ได้คาดหวังให้ความรู้สึกในใจลดลง เเต่อย่างน้อยธรรมชาติตรงนี้ ก็ช่วยให้จิตใจที่ห่อเหี่ยวปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย
เสียงกุกกักจากหน้าประตูรั้ว คือสรรพเสียงเดียวที่ดังขึ้นท่ามกลางเหล่ามวลไม้ เเต่มันก็เพียงพอที่จะดึงความสนใจจองเขาเอาไว้
อิชชินเปิดประตูไม้บานใหญ่อกไปด้านนอก สายตาสะดุดเข้ากับกล่องจดหมายหน้าบ้านที่มีซองจดหมายเสียบอยู่ค้างเอาไว้ เขาเปิดกล่องจดหมายเพื่อดึงจดหมายมาไว้ในมือ ขณะสำรวจซองจดหมายไปมาด้วยความสนใจก็เดินกลับไปนั่งพักบนเก้าอี้ไม้ในสวน
เเละเพียงได้เห็นข้อความจ่าหน้า หัวหน้าย่ากูซ่าก็พลันอมยิ้มจนใบหน้าดุดันเเลดูอ่อนลง จดหมายสีขาวถูกเเกะออกอย่างถนุถถนอม กระดาษด้านในคลี่ออกเผยให้เห็นลายมือยึกยือ อีกทั้งยังมีจุดที่เปื้อนน้ำหมึกเป็นวงกว้าง
ทว่าสิ่งที่อิชชินให้ความสนใจมี่สุดไม่ใช่ความเละเทะของจดหมาย หากเเต่เป็นเนื้อหาที่เขียนอยู่ด้านใน
อิชชิน... ดวงใจของข้า
เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ทางนั้นสบายดีหรือไม่หากอากาศหนาวอย่าลืมสวมเสื้อผ้าหนาๆก่อนออกไปไหนเล่า อา... เเต่ข้าคิดว่าคนอย่างเจ้าคงจะขลุกอยู่ในบ้าน ไม่ออกไปใหนเสียมากกว่า อย่างไรก็จงดูเเลตัวเองให้ดี อย่าทำให้ข้าต้องเป็นห่วง เข้าใจหรือเปล่า
ส่วนข้าที่อยู่ทางนี้ หากไม่นับเรื่องอากาศร้อนเสียจนอยากเเก้ผ้าเดินโทงเทงไปมา เช่นนั้นก็ถือว่าสุขสบายดีอยู่ไม่น้อย สยามในตอนนี้ช่างเเตกต่างจากอดีตยิ่งนัก หากสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเเปลงไป ไม่ว่าจะนานเพียงใดก็ตาม คงมีเพียงรอยยิ้มของผู้คนที่มอบให้เเก่กันเท่านั้น
ข้ามีความสุขยิ่งนักที่ได้มาที่นี้... ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจพูดได้ว่ามีความสุขที่สุด เพราะมันช่างห่างไกลจากเจ้าเหลือเกิน หรืออันที่จริงข้าควรชิงตัวเจ้ามาด้วยนะ เอาเป็นว่าข้าจะพาเจ้ามาเเบบไม่ให้คนอื่นๆรู้เเล้วกัน
ใจความเนื้อหาซื้อตรงเรียกเสียงหัวเราะจากอิชชินได้เป็นอย่างดี แววตาขบขันไล่อ่านจดหมายมาเรื่อยๆ จนถึงบรรทัดสุดท้าย ความอ่อนโยนพลันฉายออกมาจากดวงตาสีอำพัน
คิดถึงมาก
จาก... ดวงจิตของข้า
ปลายนิ้วยาวค่อยๆไล่ไปตามตัวอักษรราวกับต้องการซึมซับความหมายของถ้อยคำนั้น
อิชชิน ชื่อของเขาเขียนได้หลายเเบบ หากเเต่หนึ่งความหมายในนั้นมีความหมายว่าหนึ่งใจเดียวกัน
หากจิติคือดวงจิต...อิชชินก็คือดวงใจ
ชายคนนี้ช่างเจ้าบทเจ้ากลอนกว่าที่คิดไว้นัก
กว่าเจ้าตัวจะได้สติก็ตอนใบไม้เเห้งร่วงหล่นลงมาปิดทับข้อความสุดท้ายพอดี
เเต่จู่ๆใบหน้าอ่อนโยนพลันเเปรเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ อิชชินรีบวางจดหมายไว้ข้างกาย เเล้วคว้าโทรศัพท์ออกมากดวิดีโอคอลหาคนที่อยู่ห่างไกลอย่างรวดเร็ว
"คุณบ้าหรือเปล่าเนี้ย"
[เจ้าโทรหาข้าเพราะต้องการจะด่าข้า?] ใบหน้าคมเข้มที่ถูกแสดงผ่านหน้าจอโทรศัพท์ดูบึ้งตึงไม่เเพ้คนโทร.หาคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมแสดงถึงความฉงนระคนไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
"เปล่า" พอถูกมองด้วยแววตาแอบน้อยใจ คนที่ตั้งใจจะโทรไปบ่นก็เสียงอ่อนลงโดยอัตโนมัติ "แต่สมัยนี้เค้ามีวิดีโอคอลกันแล้วนะ อยากเห็นหน้าก็ได้เห็น คุณจะส่งจดหมายมาทำไมเล่า"
[ก็จดหมายมันดูมีความหมายมากกว่า เจ้าสามารถเก็บมันไว้...]
"วิดีโอคอลก็บันทึกหน้าจอได้" อิชชินสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้
[มันไม่เหมือน...]
"ไหนยิ้มซิ"
นอกจากจะไม่ฟังแล้ว คนหน้าดุยังตัดบทด้วยการออกคำสั่งเสียงเรียบ ซึ่งด้านเจ้าพระยาเองซึ่งปรับอารมณ์ตามไม่ทันเองก็ได้แต่ส่งยิ้มเด๋อด๋าตามคำบอก ฟังเสียงนับหนึ่ง สอง สาม แล้วใบหน้าคมเข้มก็กลับมาราบเรียบเหมือนเดิม
อิชชินกดส่งรูปภาพหน้ายิ้มของอีกฝ่ายเข้าช่องแช็ตในเฟสบุ๊คซึ่งทั้งสองเอาไว้เป็นช่องทางติดต่อสื่อสารกัน หลังจากนั้นก็เปิดวิดีโอคอลกลับมาบ่นเรื่องอื่นด้วยความไม่เข้าใจ
"ทำไมคุณไม่เปลี่ยนชื่อเฟสบุ๊คสักที ไอ้ชื่อ
'เจ้าพระยาจิติรักษ์ เเห่งกรุงศรี' นี่มันเท่ตรงไหน"
[ก็มันเป็นความจริง จะให้ข้าตั้งว่าอย่างไรเล่า]
"งั้นถ้าผมเอาความจริงมาตั้งด้วย ผมไม่ต้องตั้งว่า 'หัวหน้าแก๊ง ซึบากิ ทาเคดะ อิชชิน' เลยหรอ"
[เช่นนั้นก็ดีนะ เจ้าจะได้แปลกเป็นเพื่อนข้าอย่างไรเล่า]
เสียงกลั้นหัวเราะในลำคอดังลอดออกมาผ่านโทรศัพท์ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความขบขันอารมณ์ดี เสียจนคนมองอดไม่ได้ที่จะแซะกลับ
"คุณก็รู้นิ ว่าตัวเองแปลก"
[รู้ เเต่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าพูดว่าไม่ชอบเสียที เเล้วข้าจะเปลี่ยนเเปลงตัวเองทำไมเล่า]
พอโดนสวนกลับอิชชินก็ทำหน้าหม็นเบื่อ ไม่ว่าจะพยายามเถียงอย่างไรก็เหมือนเข้าตัวเองอยู่ร่ำไป "พอเถอะจะเถียงกับคุณเเล้ว"
[พอเถียงไม่ชนะข้า เจ้าก็เอ่ยอย่างงี้อยู่เรื่อย]
คนโดนรู้ทันแยกเขี้ยวใสโทรศัพท์ก่อนจะเฉไฉเปลี่ยนเรื่องคุย ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่เนื้อหาในจดหมายไม่ได้เขียนเอาไว้ เเละหากตะรอตอบกันผ่านการส่งข้ามประเทศก็เห็นจะใช้เวลานานเป็นอาทิตย์
เสียงหัวเราะและรอยยิ้มบางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าดุดันทุกครั้งที่คุยกับปลายสาย กระทั่งอีกฝ่ายวางสายไปเเล้ว เเต่อิชชินยังคงยกมือถือค้างเอาไว้ราวกับต้องการซึมซับความรู้สึกที่คั่งค้างอยู่ในใจ
พอได้คุยกัน..ก็ดูราวกับจะถูกดูดเข้าไปในห้วงภวังค์ในอดีตอีกครั้ง
เขาเเทบจัฝะจำไม่ได้เเล้วว่าเรื่องราวมันมาลงเอยได้อย่างไง
รู้เพียงเเค่ว่าพอนึกย้อนกลับไปก็อดยิ้มไม่ได้ทุกที
กับเรื่องราวประหลาดที่นำพาคนบ้าสองคนให้โคจรมาพบกัน...
สงครามตอนปลายๆเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกจากปืนใหญ่ที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
กระสุนและธนูไฟก่อให้เกิดเป็นเปลวเพลิงสีเเดงฉานร้อนระอุลถกโชนแผดเผาทุกหย่อมหญ้า มีเพียงควันดำทะมึนที่ปกคลุมจนเเทบมองไม่เห็นเเสงสว่าง
ร่างของผู้คนล้มตายบาดเจ็บนอนแผ่เต็มสนาม ย้างนอนรอความตายที่กำลังคืบคลานมาในไม่ช้า บ้างกลายเป็นศพเหวอะหวะจากการสังหารของศัตรู บ้างกลายเป็นเศษซากที่ถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนไม่เหลือสภาพเก่า
ในขณะที่สงครามกำลังระอุ ข้าศึกมหาศาลเริ่มกู่ร้องประกาศชัยชนะด้วยกำลังได้เปรียบอย่างเห็ได้ชัดเพราะฝ่ายตรงข้ามกำลังสูญเสียกำลังคนไปจำนวนมาก เหลือเพียงชายสองคนที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ยืนหยัดอยู่ในจุดที่ใกล้จะถึงทางตันเจ้าไปทุกที
ข้าศึกตีวงล้อมเข้าหาบุรุษทั้งสองที่จะพ่ายในไม่ช้า ฝ่ายได้เปรียบกระหยิ่มยิ้มย่องจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอย่างย่ามใจ รับนู้ไก้ว่าสงครามจะกำลังจะเจ้าสู่จุดสิ้นในไม่กี่อึดใจ
"เราไม่เหลือทางรอดแล้ว..." ชายหนุ่มต่างแดนพึมพัมกับตัวเอง ฝ่ามือคล้ายจะสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อกวาดตาไปเห็นซากศพจองเพื่อนร่วมรบที่สละชีวิตไป
ภาพสุดท้ายของคนรักที่แล่นวาบเจ้ามาในห้วงความคิด ราวกับเป็นสัญญาณบอกว่าวาระสุดท้ายของขีวิตใกล้มาถึง
มันคือภาพจองหญิงสาวร่างเล็ก ที่ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต แววตาอันคุ้นเคยกำลังตะไร้ซึ่งแสงแห่งชีวิต คำสั่งเสียสุดท้ายจองเธอนาม 'สโรชา' ผู้นี้ ยังคงแจ่มชัดในความทรงจำของ 'โทระ นากิ'
"นากิ!" น้ำเสียงดุดันของเต้าพระยาจิติยาพิทักษ์ดังขึ้นท่ามกลางเสียงอื้ออึงของสงคราม เรียกให้นากิสะดุ้งเฮือกหลุดออกจากภวังค์ทันควัน "เจ้าจงตั้งสติให้มั่นและฟังข้า"
เจ้าพระยาหนุ่มพูดเสียงเข้มหลังจากเห็นสหายจมอยูากับความคิดในภาวะขับขัน เขาทราบว่านากิต้องพบการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
สโรชาเองก็เป็นน้องสาวแท้ๆของเขา ความเจ็บปวดนั้นยังคงฝังแน่นอยู่กับความทรงจำ
ทว่าในภาวะเข้าตาจนเช่นนี้ หากไม่ต่อสู้อย่างหมาจนตรอก ก็เท่ากับรอความตายไม่ต่างจากศพที่นอนเกลื่อนพื้นพวกนั้น
"ขอรับท่านเจ้าพระยา" ชายหนุ่มเอ่ยตอบรับทั้งที่ความรู้สึกมากมายอัดแน่นอยู่เต็มอก
นัยน์ตาไหววูบมองศัตรูที่ตีวงล้อมเข้ามาด้วยความลังเล มันไม่ใช่ความรู้สึกของคนขี้แพ้ หมดหวัง เเต่เป็นความรู้สึกบางอย่างที่ลึกล้ำยิ่งกว่า
เต้าพระยาจิติยาพอทักษ์มองไปยังกำลังข้าศึกซึ่งกำลังเป็นต่อ เเววตาห้าวหาญเต็มไปด้วยความมุ่งมุ่นไม่มีท่าทีท้อถอย เเม้ไพร่พลของตนจะเเตกพ่ายไปเเล้วก็ตาม
บัดนี้เขาเเละนากิมีเพียงสองหนทางให้เลือกเท่านั้น คือจะเลือกสละชีพให้เปลวเพลิงที่ลามเข้ามาจวนจะถึงตัวในไม่ช้าแผดเผา หรือจะยอมสู้เเล้วโดนข้าศึกสังหารด้วยคมดาบ
แน่นอนว่าคำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว...
ข้าศึกค่อยๆเคลื่อนทับผ่านหมอกทะทึนเข้าใกล้ตัวผู้นำทั้งสอง ขณะเดียวกันเปลียวเพลิงก็โหมกระหน่ำส่งไอร้อนระอุมาจากอีกทาง บรรยากาศในสงครามอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินเสียงใดนอกจากไฟที่ลุกไหม้แผ่นดินเป็นสีเเดงฉาน
"เราจะตีฝ่าออกไปพร้อมกัน...นากิ ข้ายินดีเหลือเกินที่ได้ร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับเจ้า"
"ท่านเจ้าพระยา..."
เจ้าพระยาจิติยาพิทักษ์ตัดสินใจก้าวเท้าออกไปด้วยความอาจหาญ นัยน์ตาไหววูบของนากิมองไปยังร่างสูงใหญ่ของคนตรงหน้า พร้อมกับเสียงของหญิงสาวผู้เป็นที่รักดังก้องในความทรงจำครั้งเเบ้วครั้งเมื่
'ข่วยพี่ชายข้าด้วย'
โทระ นากิ ขบฟันเเน่นอ เสียงของสงครามและเสียงจองสโรชาถาโถมเจ้าสู่โสตประสาทจนปวดร้าวไปทั้งกายและใจ มือสั่นระริกผละออกตากด้ามดาบคาตานะ แล้วเลื่อนตำแหน่งไปยังด้ามดาบสั้นสีขาวเลี่ยมเงินงดงามซึ่งไม่เคยถูกขักออกจากฝัก
"ข้าจำเป็นจริงๆ ท่านเจ้าพระยา" เสียงกระซิบแผ่วเบาดังจากริมฝีปากของนากิ คล้ายเป็นคำสั่งเสียของคนตรงหน้า ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแผดดังกังวานจนกลบเสียงเปลวไฟที่กำลังปะทุลั่น
"ข้าขอโทษ!"
คมดาบสีเงินสะท้อนแสงวาววับเสียบแทงกลางอก ทะลุเข้าไปยังขั้วหัวใจของเจ้าพระยาจิติยาพิทักษ์พอดิบพอดีด้วยฝีมือของนากิ
บุรุษร่างสูงใหญ่ชะงักค้าง ดวงตาเบิกโพลงจ้องน้องชายคนสำคัญไม่ละสายตา ความเจ็บปวดที่รับบนร่างกาย ไม่อาจเทียบเท่าความเจ็บปวดที่ถาโถมเจ้ากลางใจ
เบื้องหน้าของเจ้าพระยาจิติยาพิทักษ์ ปรากฎใบหน้าแดงก่ำเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาที่ไหลนองอย่างไม่ขาดสายของชายหนุ่มสายเลือดซามูไรที่ควรถือศักดิ์และห้าวหาญ
ไม่น่าเชื่อว่าผู้ที่ลอบสังหารเขาอย่างเลือดเย็น...จะมีใบหน้าทุกข์ระทมและสิ้นหวังอย่างคนขี้แพ้ได้ขนาดนี้
"เจ้าทรยศข้าหรือนากิ..." น้ำเสียงแผ่วเบาขาดห้วงหลุดออกจากริมฝีปากของชายใกล้สิ้นลม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังและปวดร้าว
คำกล่าวสุดท้ายของเจ้าพระยาจิติยาพิทักษ์กระแทกลงกลางใจคนทรยศ กรีดแทงให้เจ็บปวดยิ่งกว่าถูกทิ่มตำโดยเข็มนับพันเล่ม
"ข้าขอโทษ ท่านเจ้า... ข้าขอโทษ จิติซัง"
กาลเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนานหลายพันปีจนเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม หนึ่งในนั้นคือสงครามซึ่งจางหายไปจนแทบไม่เหลือร่องรอยการสู้รบของบรรพบุรุษในอดีต แต่ใช่ว่าการต่อสู้จะห่างหายไปจากการใช้ชีวิตของคนสมัยใหม่ตราบใดที่ความต้องการของคนยังคงอยากได้อยากมี เช่นนั้นความขัดแย้งของคนก็ยังเกิดขึ้นได้เสมอ
เช่นเดียวกันกับใจกลางเมืองญี่ปุ่น ณ บ้านตระกูลทาเคดะ
เสียงฝีเท้าตึงตังสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน
เจ้าของเสียงพรวดพราดเข้ามาในห้อง เรียกให้ชายหนุ่มนาม 'ทาเคดะ อิชชิน' ซึ่งตั้งสมาธิอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ต้องถอดหูฟังที่กำลังสวมออกด้วยอารมณ์หงุดหงิด
"พวกซุยเรนมันบุกมาแล้วครับท่าน!" น้ำเสียงแตกตื่นปนหอบของลูกน้องรายงาน ทว่าไม่ได้ทำให้ผู้เป็นหัวหน้าตระหนกตกใจตามไปด้วยแต่อย่างใด
"อีกแล้วหรอ... ทานากะกับคิมูระล่ะ" เขาตอบกลับเสียงเนือยราวกับได้รับรายงานเรื่องดินฟ้าอากาศ ปิดท้ายด้วยการถามถึงลูกน้องคนสนิทผู้เป็นมือขวาและมือซ้ายของตน
"ออกไปจัดการแล้วครับ แต่ว่าครั้งนี้มันเล่นใหญ่กว่าทุกครั้งนะครับ ผมเกรงว่า..."
"จะใหญ่สักแค่ใหนเชียว" ทาเคดะ อิชชิน พูดสวนขึ้นด้วยท่าทางระอา รู้ดีว่าครั้งนี้ก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่ทั้งสองแก๊งเผชิญหน้ากัน ไม่ได้กัดกันด้วยคำพูดก็กัดกันด้วยการ
กระทำนิดๆหน่อยๆ ไม่ใช่เรื่องที่ควรตกใจอะไรเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าสงครามการสู้รบในกาลก่อนจะสูญหายไปแล้ว แต่การปะทะของสองแก๊งยากูซ่าที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่ต่างจากสงครามขนาดย่อมการสู้รบปรบมือเพื่อแย่งชิงพื้นที่ทับซ้อนยืดเยื้อจากรุ่นพ่อมาสู่รุ่นลูก
ทาเคดะ อิชชิน รับหน้าที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าแก๊งซึบากิต่อจากผู้เป็นพ่อ และคู่อาฆาตของเขาคือ โทระ ฮารูโตะ แห่งแก๊งซุยเรนพวกเขามีปากเสียงและฟาดฟันกันอยู่บ่อยครั้งจนเป็นเรื่องปกติ
ทว่า...
"เชี่ย! นั่นมันอะไรกันว่ะเนี่ย" อิชชินอุทานเสียงหลง เมื่อเปิดประตูระเบียงออกไปแล้วพบว่ากองร้อยชุดดำจำนวนมากกำลังยกโขยงเข้าปะทะกับคนของเขาที่มีน้อยกว่าเป็นหลายเท่า
เสียงฟาดฟันของดาบคาตานะดังขึ้นในละแวกย่านที่มืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ที่ช่วยให้พอมองเห็นเหตุการณ์ได้บ้าง
การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ด้วยไม่มีฝ่ายใหนได้เปรียบหรือเสียเปรียบแม้จำนวนคนจะต่างกัน
คมดาบและวาจาเป็นตัวเลือกที่ถูกใช้แทนกระสุนและเสียงลั่นไกลปืนเป็นตัวเลือกที่ถูกตัดออกไปจากความคิดเพื่อลดเสียงอึกทึกไม่ให้เป็นที่สนใจของผู้พิทักษ์กฏหมาย แต่เมื่อคนชุดดำของอีกฝั่งเข้ามาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆสถานการณ์ของฝ่ายซึบากิจึงดูยำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
ณ จุดหนึ่งใจกลางการต่อสู้ ผู้นำรบชั่วคราวฝั่งแก๊งซึบากิคือ'ทานากะ ทาคูมิ' มือขวาฝีมือฉมัง ลูกน้องคนสำคัญของของ
อิชชิน กำลังประมือกับ'โทระ ฮารูโตะ'หัวหน้าแก๊งซุยเรนผู้มีฝีดาบเก่งกาจไม่แพ้กัน
"ยังหดหัวอยู่หลังลูกน้องเหมือนเดิมเลยนะ หัวหน้าแกน่ะ"
ชายผมยาวหัวหน้าแก๊งคู่อริกล่าวเยาะด้วยรอยยิ้มเหี้ยม คมด่บในมือฟาดฟันใส่อย่างดุดัน ผิดกับใบหน้าที่หวานหยดดุจดั่งอิสตรี
ทุกท่วงท่าอัดแน่นไปด้วยกระแสแห่งความเกลียดชัง ทุกการเคลื่อนไหวหมายมั่นเพื่อปลิดชีพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!