วันหนึ่ง ในตระกูลชิน
ชินยี่:ในนี้คือหนังสือสัญญาที่เราได้ตกลงกันเอาไว้ ข้าขอขอบคุณเจ้าในฐานะองค์ครักของตระกูล และข้าขอเป็นตัวแทนในการกล่าวขอบคุณ
เฟิง:ข้าเพียงทำตามหน้าที่ ขอท่านอย่าทำเช่นนั้นเลยขอรับ
-เฟิงทำการหยิบกระดาษออกมาเขียนสัญญาจ้างที่ครบกำหนด พร้อมเงินค่างจ่างทั้งหมด เฟิงยิ้มหัวเราะในใจก่อนจะเซ็นสิ้นสุดการจ้าง และจากไป
เฟิง:อิสระฮึๆ เวลาที่ข้าจะได้ทำตามความฝันในที่สุดก็มาถึง
-ตัวข้ามีนามว่าเฟิง เป็นนักดาบเพียงไม่กี่คนที่มีพลังปราณ แน่นอนว่ามันไม่สามารถทำสิ่งเหนือธรรมชาติได้
ในจักรวรรดิ มีผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่มีพลังปราณ และพลังปราณสามารถฝึกฝนขึ้นมาได้ ทว่าพลังปราณที่ได้รับจะแตกต่างตามธาตุในร่างกาย ได้แก่ ดินร่างกายแข็งแกร่ง น้ำจิตใจและความเฉียบคมสูง ลมมีความว่องไวและพลิ้วไหว ไฟมีความสามารถในการเสริมพลังต่อสู้และพลังกายที่สูง
ซึ่ง พลังปราณของข้าคือธาตุน้ำ แต่ข้าก็ไม่ค่อยได้ใช้พลังปราณเท่าไหร่ เพราะข้าเน้นฝึกกายเนื้อให้แข็งแกร่งและเฉียบคม แทนที่ข้าจะพึ่งพาพลังปราณ ข้าสู้ทำให้ร่างกายแข็งแกร่งกว่าพลังปราณย่อมดีกว่า
ชิน อี้หยาน: เป็นไงที่นี้ถูกใจเจ้าไหม
เฟิง:บ้านก็ดีอยู่หรอกนะขอบคุณท่านมาก
ชิน อี้หยาน: ข้าแค่ทำตามสัญญาที่จะมอบบ้านให้เจ้าหลังลาออก
เฟิง:เดินทางปลอดภัยขอรับ
ชิน อี้หยาน:อา ข้าปลอดภัยอยู่แล้ว
หลังจากที่ชิน อี้หยาน เดินจากออกไป เฟิง ก็เริ่มทำการกำจัดวัชพืชรอบบ้าน แม้จะไม่อาจเรียกว่าบ้านได้เต็มปากก็ตาม
สภาพแวดล้อมในบ้านเป็นเพียง บ้านหลังคาหญ้าฟางเก่าๆกำแพงไม้ที่ผุๆ และมีกำแพงหินรอบบ้าน ส่วนบ้านข้างๆนั้นเป็นบ้านชั้นเดียว หลังคากระเบื่องและเป็นบ้านยกสูงหรูหรา
ฝูไป๋: สวัสดีเพื่อนบ้านใหม่ พอดีข้าเห็นเจ้าไม่คุ้นหน้าเลยอยากมาทักทาย
ข้าชื่อฝูไป๋ เป็นเจ้าของเรือนข้างๆนั้น
เฟิง: ข้านามว่าเฟิง เป็นผู้ย้ายมาใหม่ขอรับแม่นาง
ฝูไป๋:บ้านเจ้าดูโทรมขนาดนั้น เจ้าคงไม่คิดจะอยู่ทีนทีหรอกใช่ไหม
เฟิง:แน่นอนขอรับ ข้ามาอยู่ทันที ส่วนเรื่องซ่อมเสริม ข้าได้จ้างวานทีมช่างไว้แล้วขอรับ ขอบคุณที่เป็นห่วง
ฝูไป๋:เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน หากต้องการสิ่งใดเรียกบอกข้าได้เลย
เฟิง:รบกวนแม่นางแล้วขอรับ
-เฟิงนั่งถอนหญ้าตนตกเย็น เพิ่งรู้สึกตัว ก่อนจะรีบเข้าเรือนไปหยิบเงินเพื่อไปซื้อวัตถุดิบมาทำอาหาร
ด้วยเเสงสีและเสียงของผู้คนมากมาย บางครั้งก็ทำให้หวนนึกถึงยามที่พูดคุยหัวเราะกับสหายท่ามกลางผู่คน เดินพลางในมือถือผักและปลาเพื้อทำอาหาร เพราะความสงบที่เพิ่งได้รับ ทำให้เฟิงเดินพลางฮัมเพลงออกมาเบาๆ
เมื่อมาถึงเรือน เองก็เริ่มก่อไฟและล้างวัตถุดิบเพื่อเตรียมทำอาหาร เพราะในตอนนั้นมีความสนใจในหลายๆสิ่ง เฟิงจึงเรียนรู้ทุกอย่าง ทั้งทำอาหาร การรักษา หาและแยกสมุนไพร อารักขา สืบคดี ปราบโจร นับว่าเรียนรู้ทุกสิ่งจนชำนาญ
ด้วยความเงียบสงบและแสงของดวงตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า มีเพียงควันจากการก่อไฟของเฟิงที่ล่องลอยออกไป กลิ่นหอมของอาหารที่ตลบอบอวลหลังจากเปิดฝาออกมา สิ่งนี้ช่วยทำให้ร่างกายที่เมื่อยล้ากลับมามีพลังในทันใด
หนึ่งเดือนต่อมา
หลังจากที่บ้านและกำแพงถูกซ่อมเสริม มันช่วยทำให้มองเป็นบ้านขึ้นมาทันที ทั้งบ่อน้ำเล็กๆสำหรับเลี้ยงปลา และโต๊ะหินอ่อนใต้ร่มไม้ที่ร่มรื่น
และ แม่นางฝูไป๋ที่มักมานั่งดื่มชาช่วงบ่ายเป็นประจำ นับตั้งแต่ที่ข้าเริ่มทำการซ่อมแซม ก็ได้แม่นางช่วยในการทำอาหารและเครื่องดื่มให้กับช่างก่อสร้าง ทำให้การสร้างเสร็จเร็ว
และด้วยเหตุนั้นทำให้ข้าเลี้ยงอาหารแม่นางเป็นการตอบแทน และนับจากนั้นนางก็มาเล่นที่นี้ทุกครั้งที่มีเวลา และมาทานอาหารด้วยกัน โดยนางจะแบ่งเงินในส่วนของนางและช่วยเตรียมวัตถุดิบ
ในบรรดาเพื่อนบ้านมีเพียงแม่นางแล้วละที่ข้ารู้จัก นางช่างเป็นเหมือนเทพธิดาโดยแท้ และแน่นอนในบางครั้งข้าก็มักไปที่โรงน้ำชาของนางเพื่อสงบจิตใจ
แม่นางฝูไป๋ นางเป็นเจ้าของโรงน้ำชาและร้านอาหารของที่นั้น ด้วยเพราะนางไม่เคยปรากฏตัวจึงทำให้น้อยคนที่จะรู้จักฐานะของนาง
และข้าเคยช่วยชีวิตนางและช่วยสืบคดีให้นางในตอนนั้น แต่นางคงไม่รู้จักข้าเพราะตอนนั้นข้าสวมเครื่องแบบปิดบังตัวตนหนาแน่น นางไม่อาจรู้ว่าเป็นข้าแน่นอนเว้นเสียแต่... ไม่หรอกมั้ง
-เฟิง นั่งอ่านหนังสือใต้ร่มไม้อย่างเงียบๆ สายลมอ่อนๆที่หอบกลิ่นดินกลิ่นหญ้า ทำให้รู้สึกสดชื่น และทำให้รู้สึกอยากทำตัวขี้เกียจ ทว่าเฟิงก็ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ
ฝูไป๋: สวัสดี เจ้าอ่านนิยายด้วยหรือ ข้าคิดว่าเจ้าไม่มีสิ่งที่สดใจเสียอีก
-ท่ามกลางสายลมนั้นก็ได้หอบกลิ่นหอมอ่อนๆและมาพร้อมเสียงทักทายที่ไพเราะ ก่อนที่เจ้าของเสียงจะมานั่งฝั่งตรงข้ามและหยิบอาหารออกมาวางไว้บนโต๊ะ
เฟิง: ไม่ขนาดนั้นหรอก ข้าเพียงสนใจในเรื่องราวของนิยายนะ มันช่วยให้ข้ารู้สึกนุกสนานเวลาที่ได้อ่านมันขอรับ
-เฟิงวางหนังสือลง และมองดูอาหารที่วางมากมายบนโต๊ะ พลางหางตาเหลือบไปเห็นช่วงอกที่เผยออกมา แม้จะเพียงเล็กน้อยแต่ เฟืงเฟิงไม่สนใจ แม้สิ่งนั้นจะทำให้ใจเต้นอย่างบ้าคลั่งก็ตาม
สำหรับแม่นางฝูไป๋ ในสายตาเฟิง นางเป็นสตรีใบหน้าเรียวผมเงายาวดวงตาที่ราวกับมีดวงดาราส่องสว่างในนั้น ผิวพรรณที่ขาวนวล ริมฝีปากชมพูอ่อน และชุดที่เผยทรวดทรงที่เว้าโค้งสวยงาม
และด้วยใบหน้าและความนิ่งสงบในบางครั้ง มันก็ทำให้เฟิงมองว่านางเป็นมากกว่าเพื่อนบ้าน แต่ก่อนที่ความคิดจะถลำลึกมากเกินไป เฟิงก็ได้รีบดึงสติกลับมาเสียก่อน
เฟิง:บุรุษที่ดีต้องไม่มีพิษภัยต่อสตรี
ฝูไป๋:ท่านพูดอะไรหรือเปล่า.?
เฟิง:ไม่มีอะไรขอรับ ข้าเพียงนึกถึงอะไรเรื่อยเปื่อย
ฝูไป๋:ข้าขอถามท่านซักหนึ่งคำถามได้หรือไม่
เฟิง:เชิญท่านกล่าว
ฝูไป๋:เหตุใดช่วงนี้ท่านจึงไปที่หอนางโลมบ่อยจัง
เฟิง: แค่ก แค่ก ข้าไปทานอาหารนะ เพราะบางครั้งข้าก็ชอบทำอะไรง่ายๆจึงไปที่นั้นและสั่งอาหารที่นั้นทาน
ฝูไป๋: ท่านก็บอกข้าสิ เดี๋ยวข้าจะนำอาหารมาให้ท่าน
เฟิง:แม่นาง ระหว่างเราเป็นเพียงเพื่อนบ้าน หากข้ารบกวนท่านเกินไปเช่นนั้นคนอื่นจะมองว่าอย่างไรเล่า มันก็คงไม่พ้นคำนินทาที่ว่าข้าเกาะท่านกิน
-หญิงสาวนั่งเม้มปากก่อนจะพองแก้มและหันหน้าหนี
ทว่าเฟิงนั้นไม่เข้าใจ เพราะเมื่อก่อนก็มักถูกพาไปทานข้าวที่หอนางโลมเป็นประจำทำให้เฟิงไม่เข้าใจความรู้สึกของหญิงสาว
เหยียนอี้: เฟิงอยู่ไหม....
- สตรีสวมชุดองครักษ์สีดำยืนถือกระบี่ตะโกนเรียกเฟิง อยู่นอกบ้าน หลังจากที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา
ฝูไป๋: เหยียนอี้ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีไหม
เฟิง:พวกท่านรู้จักกันหรือ
เหยียนอี้:ใช่แล้วละ หรือจะว่าสนิทกันดีละ จะว่าไปเฟิง เจ้าไม่อยากลองไปเป็นองครักษ์ราชวงศ์ดูหรอ ความสามารถของเจ้าน่าจะผ่านได้สบาย
เฟิง: แค่ตำแหน่งผู้ตรวจการอย่างท่านยังแทบไม่มีเวลาพัก หากข้าเข้าไปเป็นองครักษ์ ข้าคงไม่อาจมีวันหยุด แล้วก็เข่าเรื่องเถอะ
เหยียนอี้:ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ ข้าต้องการความช่วยเหลือจาก นกฮูก ในการทำภาระกิจกวดล้างนะ
เฟิง:แล้ว อาหาร นกละ
เหยียนอี้: มี
-ฝูไป๋นั่งมองทั้งสองคุยกันเรื่องนกและวนกลับมาเรื่ออาหารด้วยความรู้สึกงุนงง ด้วยปฏิกริยาของเหยียนอี้ที่ดูสนิทสนมกับเฟิงแล้ว ทำให้นางมีความรู้สึกอยากเอาชนะขึ้นมา
นางก้มลงมองหน้าอกของตนก่อนจะมองไปที่เหยียนอี้และยิ้มออกมาอย่างผู้ชนะหนึ่งส่วน
ฝูไป๋:ข้าไม่เชื่อหรอกว่าหน้าอกข้าจะสู้พื้นที่ราบเรียบของเจ้าไม่ได้
ณเขตป่านอกเมือง
เหยียนอี้:นั้นไง ค่ายของพวกนั้นที่คนของฉันตามสืบมา
เฟิง:แค่สิบสองคน เจ้าจัดการได้สบายนี้
-สิ่งนี้เฟิงไม่ได้พูดเกินจริงแม้แต่น้อย เพราะแต่เดิมองครักษ์ราชวงศ์นั้นเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะสยบกองทัพศัตรูร้อยคนได้อย่างไม่ยากเย็น
เหยียนอี้:ก็ข้าจะได้ดู อดีตองครักษ์ที่ถูกขนานนามดาบไร้เสียง
เฟิง:นั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว ข้านะไม่ใช่ดาบไร้เสียงอีกแล้ว เมื่อเทียบกับเทพดาบ
-เฟิงกำดาบเก่าๆของตนไว้แน่น ตัวดาบที่เคยเป็นสีดำปัจจุบันมีเพียงคราบสนิมและการเสื่อมโทรมตามกาลเวลา มันเป็นสิ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่า ของสิ่งนี้เคียงกายเจ้าของและถูกใช้งานมานานเพียงใด
เหยียนอี้:นี้เจ้าคงจะไม่ใช่ดาบผุๆนั้นหรอกใช่ไหม
-เบื่องหน้าคือค่ายโจรที่ต้องกำจัด เมื่อมองกลับมาที่เฟิง ดาบเก่าๆของเขานั้นสามารถถูกทำลายได้ทุกวินาที
แม้จะคิดเช่นนั้น ทว่า เมื่อวินาที่เตรียมการโจมตีบรรยากาศของเฟิงก็ได้เปลี่ยนไป
การหายใจที่เงียบ ตัวตนที่เหมือนกับจะถูกทำให้เลือนลางจนเหมือนกับอากาศ
แต่เฟิงกลับไม่แม้แต่จะขยับตัว
เฟิง:เจ้าเริ่มเลยข้าจะรอดู
เฟิงกลับนั่งนิ่งพูดออกไปทำให้ เหยียนอี้ สับสนก่อนจะเตรียมท่าและโคจรพลังปราณ เพียงวินาทีที่นางขยับตัว ร่างของนางก็หายไปราวกับเงาพรายที่ทิ้งไว้เพียงภาพติดตา
-เหยียนอี้ องค์ระดับสูง พลังปราณธาตุไฟ เป็นพวกบ้าพลัง แต่ก็มีความระวังตัวเป็นอย่างมาก
เฟิง: ข้าเองก็ต้องขยับบ้างแล้ว คู่หูเจ้าเองก็ได้เวลาออกมาสนุกด้วยแล้วละ
-เพียงชั่ววินาทีที่เฟิงลุกขึ้น ร่างของเขาก็เลือนหายไปราวกับกลุ่มควันก่อนจะมาโผล่อีกครั้งข้างหลังกลุ่มโจร
ช่วงเวลานั้นเพียงวินาทีที่เฟืองปรากฏตัว มีเพียงเสียงหวีดหวิวของอากาศและโจรสองคนที่ลงไปทรุดนอนกับพื้น
เฟิง:ข้าดูแลใบดาบแต่ข้าไม่ได้ดูและฝักดาบ คบดาบของข้ามันถูกลับคมมาตลอดสี่ปี แต่ข้าหาได้ดูแลฝักดาบไม่
-เพียงช่วงเวลาที่แทบจะใกล้เคียงกัน เหยียนอี้ นางก็ได้จัดการกองโจรเกือบทั้งหมด เฟิงทำเพียงยืนดูนาง วันวานในอดีดก็ได้หวนคืนมา
สามปีก่อน......
เนื่องจากตระกูลชินได้เข้าร่วมสงคราม ทำให้เฟิงและ
เหยียนอี้ได้พบกันเป็นครั้งแรก ทั้งสองสบตากันเพียงเสี่ยววินาที จิตสังหารของทั้งสองก็ได้แผ่ออกมา
หากเวลานั้นไม่ได้แม่ทัพของหน่วยลาดตระเวนมาหยุดทั้งสองคงได้ประทะกันในเวลานั้น
แม้ทั้งสองจะเดินจากกันไปแต่ เมื่อเริ่มเปิดศึกการต่อสู้กับคนเถื่อน ทั้งสองกลับเป็นกลุ่มแรกที่พุ้งเข้ากลางคมดาบมากมาย ทว่าเพียงไม่ถึงสี่ลมหายใจ เสียงกรีดร้องและกองเลือดมากมายได้อาบพื้นที่นั้นจนกลายเป็นแอ่งโลหิตขนาดเล็ก
เวลาเดียวกัน ทางของเฟิงกลับมีเพียงเสียงหวีดหวิวและเสียงกรีดร้องอย่างสุดเสียงจนราวกับเสียงนั้นเป็นเสียงกรีดร้องของจิตวิญญาณ
หลังจากจบการต่อสู้ ทั้งสองยืนอยู่บนกองซากศพ และด้วยไม่มีใครสามารถห้ามปรามทั้งสองได้อีก ทั้งสองเริ่มต่อสู้กันเอง แม้ทั้งสองจะอยู่ท่ามกลางศัตรู แต่ทั้งสองก็ยังคงหันคมดาบเข้าหากัน ทุกที่ที่ทั้งสองวิ่งผ่าน ศัตรูทั้งหมดจะถูกสบั้นในดาบเดียว
จนกระทั้งเวลาที่ตะวันจะลับฟ้า กองทับคนเถื่อนก็ถูกสังหารจนหมดสิ้น และวินาทีนั้น ลมที่เย็นยะเยือกก็ถูกแผ่ออกมาจากตัวของเฟิง
และเหยียนตี้เองก็เริ่มปล่อยออร่าออกมา ทั้งสองเริ่มใช้พลังปราณต่อสู้กัน เพียงเสียงตวัดดาบของนางคลื่นความร้อนประหลาดก็ถูกแผ่ออกมาก่อนจะหายไป
ทว่าดาบของเฟิงนั้นเพียงกระทบพื้นดิน สายลมโดยรอบก็สงบลงราวกับถูกควบคุมชั่วครู่
และร่างของทั้งสองก็เลือนหายไปก่อนจะมาปะทะกัน แม้ทั้งสองจะแลกดาบกันนับสิบนับร้อยกระบวนท่า แต่กลับไม่มีใครเสียเปรียบ จนสุดท้ายทั้งสองก็ได้หยุดลง เวลานั้นฟ้าก็ได้มืดลงจนมีเพียงดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า และซากศพที่ย้อมพื้นดินจนเป็นสีแดงฉาน
ในตอนนั้นทั้งสองถูกขนานนามว่า นักดาบอำมหิต
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!