ผมลืมตาตื่นมาพร้อมกับเหงื่อที่เปียกโชกบนหน้าผาก
ความฝันที่เหมือนผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ ทำให้ผมแทบจะข่มตาหลับต่อไปไม่ได้
ผมยันตัวเองลุกขึ้น เอื้อมมือเปิดโคมไฟข้างเตียง แสงสีนวลๆ สว่างขึ้นทันที
เสียงกระพรวนในความฝันยังดังก้องอยู่ในหัวผมอย่างชัดเจน ใบหน้าหญิงสาวนิรนามที่กำลังถูกไฟครอกส่งเสียงกรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานตามหลอกหลอนผม ผมยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากอย่างช้าๆ
ก่อนจะใคร่ครวญถึงความฝันที่เกิดขึ้น ผมค่อยลำดับเหตุการณ์ในความฝันอย่างช้าๆ
ผมเหมือนเข้าไปอยู่ในเรื่องราวจริงๆ
ผมกำลังยืนมองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ
' ในบ้านที่ใหญ่เหมือนคฤหาสน์ หญิงใบหน้างดงาม
ผมยาวเป็นลอนดำเงา เธอสวมใส่ชุดสีชมพูอ่อนที่ยาวแทบจะถึงข้อเท้า
เธอกำลังนั่งอยู่ในศาลาสีขาว รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ในเวลาเดียวกัน
เสียหนึ่งก็แว่วดังขึ้น พี่นาถค่ะ หญิงสาวที่มีใบหน้าละหม้ายกันเดินเข้ามา
เธอทั้งสองช่างมีใบหน้าที่แทบจะเหมือนกันราวกับแกะมาจากพิมพ์เดียวกันก็ไม่ปาน “ว่าไงจ๊ะ
น้องนุช” เสียงหญิงผู้พี่ตอบกลับด้วยน้่ำเสียงที่อ่อนหวาน ผมสังเกตทั้งสองอยู่นาน
แม้ว่าใบหน้าที่งดงามของทั้งสองจะแทบไม่ต่างกัน แต่มีบางอย่างที่นุชผู้น้อง
และนาถผู้พี่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือ
รอยแผลเป็นเล็กเป็นเส้นขีดยาวอยู่ตรงข้างลำคอของทั้งสอง
นาถจะมีรอยแผลเป็นจางปรากฏอยู่ด้านซ้าย ส่วนนุชจะปรากฏอยู่ทางด้านขวา รอยแผลเป็นจางนี้
เป็นจุดที่ทำให้ผมสงสัย ทั้งสองดูรักใคร่กันเป็นยิ่งนัก
จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไป นาถได้แต่งงานกับผู้ชายที่พ่อและแม่จัดหาให้
เขามีชื่อว่า ปราบ ชายผู้เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่หญิงหลายๆ คนต่างอิจฉา
ไม่ว่าจะหน้าที่การงานที่เป็นระดับท่านทูต หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตาที่ไม่เป็นสองรองใคร ในคืนแต่งงานของนาถและปราบ นุชได้เข้ามาแต่งตัวให้นาถ
ชุดเต่งงานที่เป็นเสื้อคอปกสีครีม ปกปิดต้นคอจนไม่เห็นรอยแผลเป็น
ผ้าถุงครีมมีปักลายกนกสีทอง นุชคั้นน้ำส้มมาให้นาถด้วยรอยยิ้ม
เมื่อนาถดื่มน้ำส้มจนหมด ไม่ถึงห้านาที เธอก็สลบและหลับไป
รอยยิ้มมุมปากของนุชเผยให้เห็น ขณะที่ผมเฝ้ามองเรื่องราวนี้
ใจผมสั่นอย่างบอกไม่ถูก นุชสลับเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอกับนาถ
และปล่อยให้นาถนอนหลับอยู่ในห้อง ก่อนที่นุชจะเดินจากห้อง และล็อคประตูห้อง
นุชสวมรอยเป็นนาถ
อย่างไม่มีใครสงสัย “ลูกนาถ แล้วน้องไปไหนเสียละ” เสียงหญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่เอ่ยถาม
“เห็นนุชบอกปวดหัว
เวียนหัว อยากพักสักหน่อยนะจ๊ะแม่” นุชมีหน้านิ่งเฉยกับคำโกหกที่พยายามทำให้แนบเนียนที่สุด
พิธีแต่งงานดำเนินจนจบงาน
จนกระทั่งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวได้ถูกส่งตัวเข้าห้องหอ ปราบอุ้มร่างหญิงสาวข้ามธรณีประตูอย่างช้าๆ
เขาวางหญิงสาวลงบนเตียงสีขาว ที่มีกลีบกุหลาบกระจัดกระจายอยู่บนเตียง ปราบค่อยๆ
ประทับริมฝีปากลงบนแก้มหญิงสาวอย่างแผ่วเบาก่อนที่เขาจะเอื้อมมือปลดกระดุมเสื้อที่อยู่บนสุดออก
“ดับไฟก่อนสิจ๊ะ
พี่ปราบ” นุชรีบเอ่ยขึ้นก่อน เพราะถ้าปราบเห็นรอยแผลเป็น เขาจะต้องรู้แน่ว่า
เธอคือ นุช ไม่ใช่นาถ
ปราบยิ้ม พร้อมเอื้อมดับตะเกียงไฟลง ในความมืด
ทั้งสองได้มีความสุขกันอย่างลึกซึ้งสมดั่งใจนุช
เมื่อตะวันขึ้น
เสียงทุบประตูดังครึกโครม ปนเคล้ากับน้ำเสียงร้องไห้ “เปิดเดี๋ยวนี้! ใครอยู่ข้างนอกเปิดเดี๋ยวนี้!”
หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่รีบเปิดประตู นาถร้องไห้ฟูมฟาย
กอดมารดาแน่น พ่อและแม่
รวมทั้งนาถรีบตรงไปยังเรือนหอ เมื่อเปิดประตูเข้าไป
สิ่งที่นาถไม่อยากเห็นมากที่สุดก็เด่นชัดอยู่ตรงหน้า ปราบและนุชนอนกอดกัน
ในร่างที่เปลือยกายใต้ผ้าห่มสีชมพู
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”
นาถแผดเสียง พร้อมทรุดตัวลงร้องไห้
ปราบและนุช
ตกใจตื่น พ่อและแม่ตรงเข้ามาต่อว่าทั้งสอง
ผู้เป็นพ่อตรงดิ่งเข้ามาตบหน้านุชอย่างแรง
“แกทำแบบนี้ได้อย่างไร
หน้าด้านที่สุด แย่งได้แม้กระทั่งคนรักของพี่” บิดาต่อว่า
“แกมันน่าไม่อาย
เป็นผู้หญิงอะไร ไม่มียางอายเลย แกมันไม่ใช่ลูกฉัน” มารดาต่อว่า
นุชกัดฟันกรอด
“ใครบอกว่าฉันแย่งพี่นาถ พี่นาถนั่นแหละที่แย่งคนรักของฉัน”
นาถมองนุชด้วยน้ำตาที่ไหลอาบเต็มแก้ม
แววเธอระคนด้วยความเสียใจ และงุนงงไปพร้อมๆ กัน
“เธอนั่นแหละที่แย่งพี่ปราบไปจากฉัน”
นุชชี้หน้านาถ
“เธอพูดอะไร พี่ไม่เข้าใจ?”
นาถถามด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
“แน่สิ เธอมันไม่เคยเข้าใจอะไรเลย
ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ ว่าพี่ปราบเนี่ยแหละคนรักของฉัน” นุชกล่าว
“นุช หยุดเถอะ” ปราบปราม
นุชหันขวับ “ทำไมฉันต้องหยุด
ก็ฉันมาก่อน รักพี่ก่อน” นุชหันมองทางพ่อและแม่ “ถ้าไม่ใช่เพราะ พ่อ แม่บังคับพี่
พี่คงไม่ต้องแต่งงานกับพี่นาถหรอก พี่บอกพี่รักฉันไม่ใช่หรือ?”
ปราบก้มหน้าอย่างสำนึกผิด
นาถยันตัวลุกขึ้น
พ่อและแม่รีบเข้าประคองไว้ “ว่าอย่างไรพี่ปราบ?”
เสียงสะอึกสะอื้นเอ่ยถาม “ที่นุชพูดมาเป็นเรื่องจริงใช่ไหมค่ะ?”
ปราบยังคงเงียบ
“ทำไมพี่ไม่ตอบละ”
นุชกระชากเสียงด้วยความไม่พอใจ
“พี่ขอโทษนะนุช” ปราบจับมือนุชเบาๆ “พี่รักนาถ”
“คืออะไร ฉันไม่เข้าใจ?” นุชถาม
“เป็นความจริงที่พี่เคยรักนุชมาก่อน
แต่พี่รู้มานานแล้วว่าเรามีหลายอย่างที่ต่างกันมาก แต่เพราะพี่ขี้ขลาดเองไม่กล้าบอกนุชตรงๆ”
“พี่ปราบ พี่กำลังจะบอกว่า
พี่อยากจะเลิกกับฉันตั้งนานแล้วงั้นหรือ?” นุชถาม
“พี่ขอโทษนะนุช” ปราบเอ่ยเบาๆ
นุชน้ำตาคลอ
เธอค่อยเอื้อมมือจุดตะเกียงช้าๆ “พี่ทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง ฉันไม่ดี ไม่สวย
ไม่เหมือนพี่นาถยังไง ทำไมพี่ถึงเลือกพี่นาถ” พูดจบนุชได้ขว้างตะเกียงไปยังผ้าม่าน
ไฟลุกพลึ่บอย่างรวดเร็ว
“นุชเธอทำบ้าอะไรกันน่ะ?”
ปราบตะโกนพร้อมคว้าผ้าคลุมที่พาดอยู่ตรงเก้าอี้มาคลุมก่อนจะลุกและคว้าเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
ปราบรีบคว้าแขนของนาถ “รีบไปเร็ว ไฟลามมาแล้ว”
“แล้วนุชล่ะ?” นาถถาม
“คุณต้องออกไป
เดี๋ยวผมกลับมารับนุชเอง” ปราบร้อนรน ดึงนาถออกจากบ้านเรือนหอ
เมื่อพ่อ แม่ นาถ
และปราบวิ่งออกมาจากบ้านได้แล้ว ปราบพยายามที่จะกลับเข้าไปเพื่อช่วยนุช
ก็ต้องหยุดความตั้งใจ เพราะเปลวเพลิงที่โหมกระหน่ำ ทำให้ตัวบ้านเริ่มใหม่แรงขึ้น
ผมกำลังมองดู หญิงสาวที่โดดเดี่ยวเดียวดาย
ร้องไห้อยู่บนเตียง
ไฟไหม้ที่โหมไหม้ค่อยให้เธอกรี๊ดร้องขอความช่วยเหลืออย่างทุกข์ทรมาน
กลิ่นของควันไฟที่พุ่งมายังตัวผม ทำให้ผมสำลักและสะดุ้งตื่นจากภวังค์
นี้คือเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผมสามารถเรียงลำดับได้
สิ่งที่ผมเห็นนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นกับผมเป็นครั้งแรกหรอก มีเห็นสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เด็ก
ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมก็เห็นผู้หญิงที่มีรอยยิ้มที่อบอุ่น
และเสียงกล่อมที่ไพเราะมาเลี้ยงผมตั้งแต่เล็ก มีหลายคนอาจเรียกเธอว่า แม่ซื้อ
เมื่อโตขึ้น ผมก็มักจะเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา
ผมจำเป็นต้องทำตัวให้ปกติที่สุดในการดำรงชีวิต ไม่เช่นนั้นชีวิตผมคงวุ่นวายน่าดู
** ผม ปราณภพ วิศวกรที่อยากใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา**
แต่เบื้องบนก็กลั่นแกล้งให้ผมต้องเห็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่เห็น ผมเป็นเด็กกำพร้า
ที่พ่อและแม่บุญธรรมเก็บมาเลี้ยง ท่านทั้งสองเลี้ยงดูผมด้วยความรักและเอ็นดู
ผมแทบจะไม่ขาดความรักหรือความอบอุ่นเลย ผมมักจะชอบเห็นภาพใบหน้าของหญิงวัยกลางคนที่มีดวงตาที่แสนจะเศร้าสร้อย
เธอมีรอยเหี่ยวย่นแห่งความทุกข์แปดเปื้อนบนใบหน้า บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า
ทำไมเวลาที่ผมเห็นใบหน้าเธอในห้วงความคิด ผมรู้สึกถึงความเศร้า และหดหู่ตลอดเวลา
ทั้งที่ผมไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน ภาพของเธอค่อนข้างชัดเจนเมื่อตอนที่ป่วยหนักในวัยเด็ก
ตอนนั้น ผมเป็นไข้สูงมาก ตอนนั้นผมเผลอหนักมาก
จนพ่อและแม่บุญธรรมของผมจะพาไปโรงพยาบาล แต่ในคืนนั้น ผมเห็นใบหน้าของหญิงวัยกลางคนนี้ กำลังร้องไห้ และเข้ามาโอบกอดผมให้แน่น
ความรู้สึกผมในตอนนั้น มันคือความรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นสบาย พิษไข้ที่ทำให้ผมร้อนรุ่ม
มันจืดจางหายไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
และสิ่งที่ทำให้พ่อแม่บุญธรรมของผมประหลาดใจมากก็คือ พิษไข้ของผมหายเป็นปลิดทิ้ง
และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ใบหน้าของเธอก็อยู่ในความคิดของผมตลอดเวลา ขณะที่ผมกำลังปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับความฟุ้งซ่าน
แสงสีทองของดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ สาดส่องเข้ามาในห้องของผม เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น
** “ปราณลูก**
ตื่นหรือยัง?” เสียงแม่บุญธรรมของผมเรียก
ความคิดผมหยุดชะงักลงพร้อมกับเสียงของแม่ “ครับแม่ ตื่นแล้วครับ” ผมตอบ พร้อมเอื้อมมือปิดโคมไฟที่หัวเตียง และลุกจากที่นอน
ผมทำธุระส่วนตัวประมาณ 20 นาที ก่อนจะลงไปทานอาหารเช้า แม่กำลังตักข้าวผัดใส่จาน
พ่อนั่งดื่มกาแฟ มีจานขนมปังปิ้งวางอยู่ข้างๆ
แม่วางจานข้าวผัดกุ้งลงตรงหน้าผม พร้อมวางมือลงบนหัวผมเบาๆ พร้อมลูบเบาๆ ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตักข้าวผัดกิน
** “ดูสีหน้าลูกวันนี้ไม่ค่อยสดชื่นเลยนะ**
เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ?” แม่ถาม
** ผมค่อยๆ**
กลืนข้าวผัดลงคอช้าๆ คิดไปถึงภาพความฝันที่เป็นจุดเริ่มต้นของความเศร้าโศก “ครับ
ผมนอนไม่ค่อยหลับ” ผมตอบแม่เบาๆ
** แม่เงียบอยู่ครู่ใหญ่**
ก่อนจะหันหน้ามองพ่อที่ทำหน้าเคร่งขรึมอยู่ ทั้งสองสบคามอง และพยักหน้าพร้อมกัน
แม่ลุกเดินเข้ายังห้องนอนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะออกมาพร้อมกล่องไม้เก่าๆ ในมือ
แม่วางมันลงตรงหน้าผม ก่อนที่แม่จะเปิดกล่องไม้ขึ้นช้าๆ สิ่งที่อยู่ข้างในคือ
สร้อยคอเงิน ที่มีจี้ที่เหมือนลูกเหล็กกลม ขนาดเท่าเหรียญ 50 สตางค์
เคลือบไว้ด้วยพลาสติกใส บนลูกเหล็กกลมมียันต์อักขระสลักเป็นไว้รอบ ผมเงยหน้ามองแม่
** “พ่ออยากให้ลูกสวมมันไว้”**
พ่อเอ่ยขึ้น
** ผมหันหน้ามองพ่อ**
“มันคืออะไรครับ?” ผมถามด้วยความใคร่รู้
** “ปรอทกรอ”**
พ่อตอบ
** ผมหรี่ตาลงมองสร้อยที่อยู่ในกล่องไม้**
พร้อมหยิบมันขึ้นมาช้าๆ
“สิ่งนี้จะช่วยคุ้มครองลูก” พ่อกล่าว
ผมเงยหน้ามองแม่ แม่ยิ้ม “เชื่อพ่อเถอะลูก”
ผมถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับสวมใส่สร้อยนั่นลงบนคอ
**เพื่อให้พ่อและแม่สบายใจ **
ผมยกน้ำขึ้นดื่ม ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายข้าง
“ผมไปทำงานก่อนนะครับ”
ผมเสียบกุญแจรถโตโยต้าสีเงิน
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น ผมขับรถออกจากบ้าน
ในการเดินทางจากบ้านไปยังที่ทำงานของผมทุกวันจะเดินทางในเส้นทางเดิมๆ
ซึ่งระยะทางไม่ไกล ใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 20 นาที วันนี้ก็คงเป็นเหมือนเช่นทุกๆวัน ผมค่อยๆ เหยียบตรงแยกไฟแดง รถจอดต่อติดไฟแดงเป็นเส้นยาวเหยียด
ผมถอนหายใจยาว พร้อมได้ยินเสียงกระพรวนดังแว่วมาแต่ไกล เสียงกระพรวนทำให้ผมหันมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
แล้วสายตาของผมก็ต้องสะดุดกับสิ่งหนึ่งคือ นุช หญิงสาวในความฝันของผม
ใบหน้าที่เป็นรอยไหม้ทั้งใบหน้า ผมที่แหว่งเป็นหย่อมๆ เสื้อผ้าที่ขาดรุ่ยด้วยรอยไหม้
เธอกำลังยืนอยู่ข้างหลังของผู้หญิงสาวคนหนึ่ง ที่กำลังจะรอข้ามถนน สายตาของนุชดูเต็มไปด้วยความแค้นเคืองอย่างมาก
นุชค่อยยกมือที่ผิวหนังหลุดลอกจนเห็นถึงชั้นไขมัน แขนที่อาบโชกไปด้วยเลือด
เธอยกมือขึ้นปิดตาหญิงสาวผู้นั้น หญิงสาวหันซ้ายหันขวา เท้าข้างซ้ายของเธอค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าช้าๆ
ผมอ้าปากค้าง ไม่ทันที่จะตะโกนอะไรออกไป มือผมรีบเปิดประตูรถอัตโนมัติ
และรีบวิ่งตรงเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว ทันทีที่ผมถึงตัวเธอ
รถบรรทุกคันใหญ่วิ่งตรงมาด้วยความรวดเร็วทะลุผ่านร่างวิญญาณของนุช
เพียงแค่คืบเดียวรถบรรทุกพร้อมจะปะทะร่างเธอ
ผมรีบคว้าต้นแขนเธอดึงเข้ามาอย่างรวดเร็ว วิญญาณนุชสลายหายไปทันที ร่างเธอกระแทกเข้าหน้าอกผมอย่างจังทำให้ตัวผมเซถลาล้มลง
ร่างหญิงสาวล้มอยู่บนร่างผม ผมสังเกตเห็นกำไลที่เธอสวมใส่นั้น
มีกระพรวนสีเงินและสีทองห้อยติดอยู่ เสียงกระพรวนทำให้ผมมีสติขึ้น
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย?” ผมถาม
เธอพยายามผลักออกจากตัวผม สีหน้าเธอกำลังตกใจ
“มันเกิดอะไรขึ้น ฉันมองไม่เห็นรถบรรทุกนั้นเลยนะ”
แน่นอนว่าผมคงไม่กล้าที่จะบอกเธอว่า
เธอโดนผีบังตา ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดให้ดูดีที่สุด “รถคงขับมาเร็วจนคุณมองไม่ทันเห็น”
เธอปรับสีหน้าผ่อนคลายลง “ขอบคุณมากนะค่ะ”
เธอกล่าว
ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยคำพูดอะไรต่อ เสียงแตรรถ 2-3
คันดังขึ้น ผมมองไปยังไฟสัญญาณจราจรที่เป็นไฟเขียวแล้ว
ผมรีบคว้าแขนหญิงสาวขึ้น “ขึ้นรถก่อนคุณ
เดี๋ยวผมไปส่ง”
เธอลังเลเล็กหน่อย
“คุณไม่ต้องลังเลแล้ว ไม่เห็นหรือว่า
รถเขาบีบแตรไล่อยู่นั่น แล้วรถก็ติดเพราะผมลงมาช่วยคุณนะ”
เธอยอมขึ้นรถมากับผม
รีบออกรถทันทีก่อนที่ผมจะจราจรมาเขียนใบสั่ง โทษฐานทำการจราจรติดขัด
“คุณไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”
มองเหลือบมองเธอผ่านๆ ใบหน้าที่เรียวกลม ดวงตากลม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน เข้ากับผมสีดำที่ยาวเลยไหล่ลงมา
สีหน้าเธอยังเป็นกังวลอยู่ มือทั้งสองบีบไว้แน่น
เธอเงียบ
“คุณ.....คุณ” ผมเรียกดังขึ้น
เธอสะดุ้งเล็กน้อย “อ๋อ ขอโทษค่ะ
ฉันยังไม่หายสงสัยว่า ฉันไม่เห็นรถได้ยังไง” เธอพึมพำเบาๆ
“คุณอย่าคิดมากเลย รอดมาได้ก็ดีแล้ว”
“ขอบคุณคุณมากเลยนะค่ะ ถ้าไม่ได้คุณ ฉันคง....”
เสียงเธอเงียบหายไป
“อย่าคิดมากเลยนะคุณ ว่าแต่คุณชื่ออะไร?” ผมถาม
“ฉัน ปิ่นเนตร ค่ะ”
หญิงสาวตอบเบาๆ
“ผมปราณภพครับ เรียกผม ปราณก็ได้นะ”
ผมแนะนำตัวอย่างสุภาพ “ว่าแต่คุณจะไปไหน ผมจะไปส่ง”
“เดี๋ยวคุณจอดแยกข้างหน้าก็ได้ค่ะ ร้านฉันอยู่ไม่ไกลค่ะ”
เธอกล่าว
ผมลดความเร็วลงจอดรถตรงทางแยก ปิ่นมองหน้าผม เธอยิ้ม “ขอบคุณมากนะค่ะ คุณปราณ”
ผมยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรครับ”
‘อย่าคิดว่าแกจะช่วยมันได้ตลอดนะ’ เสียงนุชแว่วเข้ามาในหูผม
ถึงแม้เสียงจะแผ่วเบา แต่ถ้อยคำที่ผมได้ยินกลับชัดเจน
ปิ่นกำลังเปิดประตู กำลังจะลงรถ
“เดี๋ยวครับ!” ผมพูดโพลงขึ้น
ปิ่นหันมามอง “มีอะไรค่ะ?” เธอถาม
ผมถอดสายสายสิญจน์ ที่ผูกติดข้อมือของผมยื่นให้เธอ
ปิ่นมองหน้าผมอย่างงุนงง
“ผมอยากให้คุณใส่ไว้ อย่างน้อยมันอาจช่วยคุณได้”
ปิ่นเม้มริมฝีปากก่อนที่จะยื่นมือมารับสายสิญจน์จากมือผม
“ขอบคุณมากค่ะ”
“คุณสัญญานะว่าจะใส่” ผมย้ำ
ปิ่นยิ้ม “ค่ะ” เธอตอบ พร้อมลงจากรถ
และเดินเข้าไปในร้านขนม ที่มีป้ายชื่อหน้าร้านว่า ‘P.SWEET’
ผมถอนหายใจ
หวังว่าสิ่งที่ผมให้เธอจะช่วยคุ้มครองเธอจากวิญญาณนุชได้ แต่สิ่งที่ผมแปลกใจคือ
ทำไมวิญญาณของนุช หญิงสาวที่ถูกไฟคลอกจากเหตุการณ์ที่ผมฝันถึงตามทำร้ายปิ่น
หญิงสาวที่ดูไม่มีพิษภัยอะไร สายตาผมเลื่อนไปมองนาฬิกาที่ข้อมือ บอกเวลา 8.30 น.
ผมดึงสติกลับมา ผมสายมากแล้ววันนี้ ผมรีบขับรถไปทำงานก่อนที่จะไปทำงานสายกว่านี้
ผมวางกระเป๋าลงบนโต๊ะทำงาน เอกสารและแปลนแบบวางกองเต็มโต๊ะ
“ว่าไงพี่ปราณ มาสายเชียวนะวันนี้” เสียงเดย์
ชายหนุ่มเจ้าสำราญ ซึ่งเป็นรุ่นน้องผม 5-6 ปี ผมจำได้เลยว่าตอนมันเข้ามาทำงานแรกๆ
มันสงบเสงี่ยม และเรียบร้อย เหมือนผ้าพับไว้
ต่างจากตอนนี้ที่เป็นผ้ายับที่พับไว้มากกว่า
“มีอุบัติเหตุนิดหน่อยนะ” ผมตอบอย่างไม่สนใจ
พร้อมเก็บของที่กองบนโต๊ะให้เข้าที่
“อุบัติเหตุอะไรอะ เล่าให้ผมฟังบ้างสิ”
เดย์เซ้าซี้
“นายไม่มีงานทำหรือไง ”
เดย์ฉีกยิ้มกว้างพร้อมขยับเข้ามากระซิบเบาๆ
“พี่ผมสั่งค้กมาให้มุกด้วยนะ วันนี้”
ผมหันมองเดย์
“วันเกิดมุกไงล่ะพี่ปราณ ปมกะเอาชนะใจมุกเลยนะ”
ผมส่ายหน้าช้าๆ “ถ้าแกตั้งใจทำงาน
เหมือนที่ขยันหาแผนการจีบหญิงก็ดีสิ”
ขณะที่ผมกำลังจัดเก็บกองเอกสาร
และแปลนแบบให้เข้าที่เข้าทาง
เสียงหนึ่งที่ทำให้ผมต้องหยุดทุกอย่างที่ทำอยู่คือเสียงที่คุ้ยเคย
“สวัสดีค่ะ มาส่งเค้กค่ะ”
ผมหันมองตามแหล่งเสียง “คุณปิ่น” ผมเอ่ยเบาๆ
ปิ่นมองผมด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “คุณปราณ”
“อ้าว รู้จักกันหรือเนี่ย?” เดย์เอ่ยถาม
“พี่ก็ไม่ยักบอกว่ารู้จัก คุณปิ่น เจ้าของร้านเค้กชื่อดัง
บอกเลยนะเค้กที่นี่อร่อยแบบลอยได้เลยนะ”
ปิ่นยิ้ม “คุณเดย์ก็พูดเกินไปค่ะ
ฝีมือยังต้องพัฒนาอีกเยอะค่ะ” ปิ่นถ่อมตัว
ปิ่นยื่นเค้กให้เดย์ พร้อมรอยยิ้มที่สดใส “นี่ค่ะ
เค้กวันเกิดที่สั่ง”
เดย์รับมาพร้อมฉีกยิ้มกว้าง “ขอบคุณครับ”
เดย์รีบเดินไปยังโต๊ะของมุก บรรจงวางกล่องเค้กลงบนโต๊ะยังนิ่มนวล
เขาก้มหน้าก้มตาเขียนการ์ด ผมหันมองปิ่น
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจ คือ วิญญาณของนุชยังตามเธออยู่ห่าง ผมเลื่อนสายตาลงมองสายสิญจน์ที่อยู่ในข้อมือของปิ่น
“ฉันใส่ตามสัญญาแล้วนะค่ะ”
“ครับ” ผมตอบ “คุณปิ่นครับ ผมมีเรื่องอยากถามคุณหน่อยจะได้ไหมครับ”
ปิ่นทำสีหน้างุนงง “อะไรค่ะ?”
เธอถามด้วยความใคร่รู้
ผมเงียบอยู่ชั่วครู่ “คุณรู้จัก ผู้หญิงที่ชื่อ
นุช หรือเปล่า?”
สีหน้าเธอครุ่นคิดอยู่พักใหญ่
ก่อนที่จะส่ายหน้าช้า เป็นการตอบว่า ไม่ “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ?”
มองเลื่อนมองวิญญาณนุชที่จ้องมองด้วยความเคียดแค้นอยู่ด้านหลังไกลๆ
“ผมขอถามใหม่อีกครั้ง ในชีวิตคุณเคยได้ชื่อ หรือรู้จักผู้หญิงที่ชื่อนุชไหม”
แววตาของปิ่นมีความแปลกใจอย่างมาก
**คิ้วทั้งสองขมวดเข้ากัน “ยาย” เธอพึมพำเบาๆ **
“คุณว่าอะไรนะ?” ผมเอ่ยถาม
“คือ.....”
“พี่ปราณ พี่วิทย์ขอประชุมกับพี่ด่วนครับ”
เดย์เรียก
“ผมต้องโทษด้วยนะ ผมขอตัวเข้าประชุมก่อนนะครับ” ผมพูด
ปิ่นผงกหัวเล็กน้อย เธอไม่ตอบอะไร
เธอยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่ผมจะเดินเข้าห้องประชุม ประมาณสองชั่วโมงที่อยู่ในห้องประชุม
ผมค้างคาในใจในเรื่องที่ปิ่นกับผมพูดค้างไว้ วิญญาณนุชเกี่ยวข้องอะไรกับเธอ ทำไมเธอถึงได้ตามอาฆาตปิ่น
“มีอะไรจะถามไหมปราณ” พี่วิทย์หัวหน้างานถามผม
ผมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะตอบ “ไม่มีครับ”
“งั้นงานโปรเจคนี้ เราจะเริ่มกันอาทิตย์หน้า
ปราณช่วยลงพื้นที่ดูหน้างานด้วยนะ” พี่วิทย์กำชับ
“ครับ” ผมตอบรับ
ผมเดินออกจากห้องประชุมด้วยอาการมึนงง ผมวางสมุดและเอกสารข้อมูลการประชุมไว้บนโต๊ะ
“พี่ปราณ โปรเจคใหญ่นี้
พี่วิทย์น่าจะคาดหวังเยอะนะ” เดย์เดินเข้ามาคุย
ผมยกมือกุมขมับ “น่าจะเป็นอย่างนั้น
โครงการสร้างบ้านสรรจัดนี้พี่วิทย์แกหวังมานานแล้ว”
“เห็นว่าที่ตรงนั้น มีประวัตินะพี่” เดย์พูดเบาๆ
“ประวัติอะไรของแกว่ะ” ผมถาม
“ผมก็ไม่รู้ แต่แค่ได้ยินมาว่า ที่ตรงนั่นคือ
ที่อาถรรพ์น่ะ ใครสร้างอะไรก็มีอันโชคร้าย หรือใครที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวก็มีอัน....”
“เลอะเทอะน่าเดย์” ผมขัดขึ้น
“จริงนะพี่”
“เลิกพูดได้แล้ว
ยังไงเราก็ต้องไปทำงานที่นั่นอาทิตย์หน้าอยู่ดี แกจะกลัวหรือไม่กลัว ก็ต้องไป”
“โถ...พี่ปราณ”
“คุณปราณค่ะ” เสียงหนึ่งเรียกผม
ผมหันไปพร้อมความแปลกใจ “คุณปิ่น”
เธอยืนอยู่ด้านหลังผม “ขอโทษนะค่ะ
ฉันอยากคุยกับคุณเรื่องเมื่อกี้”
ผมพยักหน้า พร้อมยกนาฬิกาขึ้นดู อีก 10
นาทีจะเที่ยง “งั้นเดี๋ยวเราไปนั่งคุยกันที่ร้านอาหารข้างๆ นี้นะครับ”
ขณะที่ผมกำลังเก็บของที่จำเป็น ลงกรเป๋า
ปิ่นยืนรอเงียบไม่พูดคุยอะไร จนกระทั่งเรากำลังเดินไปที่ร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ข้างตึก ตลอดเวลาผมเห็นวิญญาณของนุชที่ตามปิ่นตลอด
เราเดินเข้าร้านอาหารตามสั่ง ปิ่นนั่งฝั่งตรงข้ามกับผม
พนักงานร้านเดินมาเสิร์ฟน้ำเปล่า 3 แก้ว
ปิ่นหันมองหน้าผม
ผมส่าหน้าช้าๆ
สีหน้าของปิ่นเริ่มเป็นกังวล
“ทำไมคุณถึงถามฉันว่ารู้จักคนที่ชื่อนุชไหม?” ปิ่นเริ่มถาม
ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่ “ผมขอพูดตามตรงนะ
ผมเห็นวิญญาณผู้หญิงตามคุณ”
ปิ่นเบิกตาโพลง “คุณว่าอะไรนะ!?”
เสียงที่ดังทำให้คนในร้านหันมามอง
“เบาหน่อยคุณ”
“คุณจะบอกว่าคุณเห็นผีงั้นหรือ?” ปิ่นถาม
ผมพยักหน้า
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่า วิญญาณที่ถามฉันเป็นยายนุช” สีหน้าปิ่นหยันเชิง
แววตาเธอบ่งบอกได้ชัดเจนว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ผมกำลังพูด
“ผมฝันถึงผู้หญิงที่กำลังติดตามคุณ
และในความฝันเธอชื่อนุช และเธอมีพี่สาว ชื่อ นาถ”
เมื่อผมพูดชื่อ นาถจบ ปิ่นเบิกตาโพลงกว่าเดิม
“คุณรู้จักยายนาถของฉันด้วยหรือ?”
ผมงุนงงในคำถามของเธอ “นาถคือแม่ของแม่คุณงั้นหรือ
อย่างนั้น ตาคุณก็คือ ท่านปราบ”
“ใช่ คุณเป็นใครกันแน่ แอบสืบข้อมูลฉันงั้นหรือ?” ปิ่นระแวง
“ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมฝันถึงพวกเขา”
“ฉันไม่เชื่อ!” ปิ่นยืนกราน
“ผมไม่ได้อยากให้คุณเชื่อนะ
แต่ผมก็ไม่อยากเห็นคุณเป็นอันตรายอย่างเมื่อเช้า เธอกะเล่นงานคุณถึงชีวิตเลยนะ”
ผมพูดเสียงเข้ม
ปิ่นปรับสีหน้าสงบลง แววตาเธอผมมองไม่ออกว่า
เธอเชื่อในสิ่งที่ผมพูดมากน้อยแค่ไหน
“คุณจะไม่เชื่อผม ผมก็ไม่ได้ว่า
แต่อย่างน้อยอย่าถอดสายสิญจน์นี้เป็นอันขาดนะ”
ปิ่นพยักหน้ารับ
“ก่อนอื่นคุณช่วยเล่าเรื่อง ยายคุณให้ผมฟังหน่อยได้ไหม?”
ปิ่นยกน้ำดื่ม
“แม่เคยเล่าให้ฉันฟังเพียงครั้งเดียว ว่ายายนาถมีน้องสาวฝาแฝด ชื่อ นุช ทั้งสองรักใคร่สนิทสนมกันเป็นอย่างมาก
จนกระทั่ง ยายได้คบหากับตาปราบและได้แต่งงาน แต่....”
“แต่เหตุก็เกิดขึ้นในวันแต่งงาน
เมื่อนุชผู้เป็นน้องเข้าเรือนหอแทน นาถผู้พี่ โศกนาฏกรรมที่แสนเศร้าก็เกิดขึ้น”
ผมสานเรื่องต่อ
“คุณรู้ได้ไง?”
นุชถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“ผมบอกคุณแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากรู้คือ
เหตุการณ์หลังจากที่ ตาและยายคุณหนีจากไฟไหม้มาได้”
ปิ่นลังเลเล็กน้อยก่อนจะเล่า “หลังจากตาและยาย
หนีออกมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น ก็ได้มาอาศัยกับทวดตาและทวดยาย
ทั้งสองพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกัน จนกระทั่งสามารถสร้างเรือนได้หลังเล็กๆ
ในพื้นที่บริเวณเรือนหอเดิมที่ถูกไฟไหม้ไป ตาปราบและยายนาถอยู่กันสงบสุข
จนเกิดแม่ของฉัน แต่เรื่องก็ไม่จบเพียงแค่นั้น เรื่องแปลกๆ เริ่มเกิดขึ้น ทวดตาและทวดยาย
เริ่มพูดคนเดียว ท่านทั้งสองบอกว่า นุชมาหา และจะพาท่านทั้งสองไปอยู่ด้วย ไม่นาน
ทวดทั้งสองก็จากไป ส่วนยายนาถและตาปราบก็เริ่มมีทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยขึ้น
โดยยายนาถมักจะเห็นผู้หญิงอยู่กับตาปราบตลอด จนการทะเลาะเริ่มรุนแรงมากขึ้น
วันนั้นแม่เล่าว่า ตาปราบทะเลาะถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตียายนาถ ยายนาถเสียใจ
ใช้แจกันฟาดเข้าที่ศีรษะของตาปราบอย่างแรงทำให้ ตาปราบล้มลงและสลบไป
ลมหายใจที่โรยรินของตาปราบ ยายนาถคิดว่าได้ลงมือฆ่าตาปราบ
ท่านจึงเสียใจในสิ่งที่ทำ ยายถือถังน้ำมันสาด และเทรอบบริเวณบ้าน
ก่อนที่จะจุดไม้ขีดไฟโยนเข้าน้ำมัน ไฟลุกพรึ่บอย่างรวดเร็ว แม่ฉันในตอนนั้นอายุราว
10 ขวบ แม่ยืนตะลึงนิ่งท่ามกลางไฟที่กำลังลุกไหม้ โชคดีที่ป้ามนต์ ป้าที่ดูแลแม่ฉันมาตั้งแต่เด็ก
ได้เอาผ้าห่มชุบน้ำมาห่อหุ้มตัวแม่ไว้ แล้วรีบพาแม่หนีออกมา
ก่อนที่แม่กับป้ามนต์จะหนีออกมาได้ แม่เล่าว่า ได้ยินยายนาถ ร้องเสียงดังว่า ‘นุชอย่าทำพี่ นุชอย่าทำร้ายลูกหลานพี่เลยนะ’”
ผมนั่งฟังปิ่นเล่าอย่างตั้งใจ สายตาปิ่นเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ขณะเดียวกัน วิญญาณของนุชก็ยืนฟังเรื่องราวนี้อยู่ไกลๆ
แววตาความแค้นเคืองไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย
“จากนั้น
แม่และป้ามนต์เลยย้ายที่อยู่มาอยู่ที่นี่ จนแม่ได้แต่งงานกับพ่อ” ปิ่นถอนหายใจ “มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
ทั้งที่ความรักน่าจะเป็นสิ่งที่สวยงาม
แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่สร้างความโหดร้ายและน่ากลัวขึ้น”
“ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอครับ แต่คนเราต่างหากที่หลงไปกับกิเลสและตัณหา
จนก่อให้เกิดเรื่องชั่วร้ายขึ้น” ผมพูดพร้อมเลื่อนสายตามองไปยังวิญญาณนุช
“นั่นสินะค่ะ ถ้าทุกคนพร้อมปล่อยวางลง
เรื่องทั้งหมดคงไม่จบแบบนี้ ถ้าตาปราบยอมเคลียร์กับยายนุช
และสารภาพความจริงกับยายนาถ บางทีเรื่องทุกอย่างอาจจบด้วยดี”
“เราบอกไม่ได้หรอกครับว่า มันจะจบลงอย่างไร
แต่ทุกอย่างมันถูกกำหนดมาแล้วจากการกระทำของคนทุกคน”
ปิ่นมองผม “ตอนนี้ยายนุชยังอยู่ไหม?” เธอถาม
ผมเม้มริมฝีปาก แล้วเลื่อนสายตาไปยังด้านหลังปิ่น
และค่อยๆ เลื่อนสายตามองหน้าปิ่น “เขาตามคุณตลอดเวลา”
ปิ่นกลืนน้ำลายด้วยความหวาดกลัว
สีหน้าเธอเริ่มหวั่นวิตกขึ้น
“อย่าถอดสายสิญจน์นะครับ” ผมย้ำ
ปิ่นพยักหน้า
เสียงไลน์แจ้งเตือนข้อความเข้า
ผมเปิดดูเป็นภาพหน้างานที่ผมต้องไปดูในอาทิตย์หน้า พี่วิทย์ส่งมา 3 -4 รูป
** “งานด่วนหรือค่ะ?” ปิ่นถามเบาๆ**
** “เอ่อ**
หน้างานที่ผมต้องไปอาทิตย์น่ะครับ แถวนนทบุรี” ผมตอบ
** สีหน้าปิ่นถอดสีทันที**
“ฉันขอดูรูปหน่อยได้ไหมค่ะ?”
** ผมพยักหน้า**
พร้อมยื่นมือถือที่เปิดรูปหน้างานไว้ให้เธอ
** “ที่นี่มัน......”**
เสียงปิ่นหายขาดไป
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!