ท่ามกลางป่าเขาในตอนเย็น ชายหนุ่มคนหนึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้นดินเยี่ยงคนหมดแรง เขาใส่ชุดทูนิคพร้อมผ้าคลุมสีน้ำตาลขาดๆ และเนื้อตัวเปอะเปื้อนไม่ต่างอะไรจากขอทาน
ไม่นานเขาก็ค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมามองท้องฟ้าอันโปร่งใส ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งพลางใช้มือกุมหัวด้วยความมึนงง เขามองดูรอบๆ และพบว่าตัวเองอยู่ในพื้นที่โล่งกลางป่า
‘อะไรน่ะฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? จำอะไรไม่ได้เลย... แต่ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน ที่นี่ไม่ใช่โลกเหรอ?’
ร่างอันผอมเพรียวลุกขึ้นยืนและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาสังเกตเห็นก้อนกลม ๆ สีขาวสองดวงลอยอยู่บนนั้น
‘นั่นคือดวงจันทร์เหรอ!?’
ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เขารู้แล้วว่าที่นี่ไม่ใช่โลกเดิมที่เขาเคยอยู่ อากาศเริ่มเย็นยะเยือก ชุดทูนิคที่ใส่ไม่ได้ช่วยทำให้เขาอุ่นขึ้นเลย...
แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ สิ่งที่เขาอยากรู้ตอนนี้คือตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?
เขาพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก แต่น่าประหลาดนอกจากเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเขายังลืมช่วงชีวิตที่ผ่านมา ครอบครัว เพื่อน เขาจำอะไรไม่ได้เลยยกเว้นชื่อกับอายุของตัวเอง
“ฉันชื่อเฟิงหยาง...อายุ18?”
ถึงจะคลุมเครือแต่เขาก็มั่นใจในสิ่งที่นึกออก อยู่ๆ หน้าจอประหลาดก็ปรากขึ้นมากลางอากาศข้างหน้าเขาพร้อมกับข้อความ
[สวัสดีผู้เข้าร่วมใหม่ ยินดีต้อนรับสู่<ดันเจี้ยนเวิลด์>]
เฟิงหยางขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ในตอนที่เขากำลังจะพูดข้อความแจ้งเตือนก็แทรกขึ้นมา
[คำเตือน - ใกล้เข้าสู่ช่วงกลางคืนแล้วมอนเตอร์กำลังจะปรากฏตัว คุณไม่ได้อยู่ใน<พื้นที่ปลอดถัย> กรุณาเดินทางเข้าเมืองใกล้เคียง]
หน้าจอแสดงเส้นทางไปยังเมืองดังกล่าว ถึงจะไม่เข้าใจแต่สติของเขาก็สั่นเตือนให้ทำตามข้อความนั้น เขาวิ่งลัดเลาะผ่านป่าด้วยเท้าเปล่าๆ จนออกมาเจอถนน เขามองไปทางที่หน้าจอบอกและได้เห็นป้อมปราการขนาดใหญ่อยู่ไกลๆ
เฟิงหยางไม่รอช้าวิ่งไปที่นั่นทันที ท่ามกลางความมืดที่ค่อยๆ กลืนกินทุกอย่างรอบตัวเขา เสียงของเหล่าสัตว์ร้ายดังกึกก้องไปทั่ว เขาวิ่งไปแบบไม่คิดชีวิต
ทหารเกราะแดงที่ป้อมปราการสังเกตเห็นเขาอยู่ไกลๆ ตอนแรกพวกเขาคิดว่าอาจจะเป็นมอนสเตอร์เลยเตรียมตัวจะจัดการ แต่ด้วยความรอบคอบทหารคนหนึ่งใช้เนตรประเมินตรวจสอบและพบว่าสิ่งที่กำลังวิ่งตรงเข้ามาเป็นมนุษย์
แต่ที่น่าตกใจคือข้างหลังของเขามีมอนสเตอร์จำนวนไม่น้อยกำลังไล่ล่าเขาอยู่ ทหารคนนั้นรีบสั่งการทันที
“พลธนูรีบมาประจำที่เร็วเข้า!!”
เฟิงหยางเข้าใกล้ป้อมปราการมากขึ้นเรื่อยๆ สัตว์อสูรคล้ายค้างคาวนับสิบบินไล่ตามเขาอย่างรวดเร็ว พวกมันอ้าปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวอันแหลมคมพร้อมส่งเสียงแสบแก้วหูเตรียมจะฉีกกระชากเหงื่อตรงหน้า
เหล่าทหารบนป้อมปราการเรียงหน้ากระดานพร้อมกับง้างคันธนูอย่างแข็งกล้า ไม่นานพวกเขาก็ปล่อยลูกศรออกไป ทันใดนั้นลูกธรทั้งหมดก็หายไปกลางอากาศและไปโผล่อยู่ตรงหน้าของเหล่าอสูรค้างคาวพร้อมสังหารพวกมันทันที
แต่เพราะสาเหตุบางอย่างมอนสเตอร์พวกนั้นก็ไม่ได้ตายทั้งหมด พวกมันยังคงไล่ล่าชายหนุ่มอย่างไม่ลดละ ด้วยการตัดสินใจที่รวดเร็วทหารคนที่สั่งการก็ถือโล่ขนาดใหญ่และออกมาจากป้อมปราการทันที
ในตอนนั้นเฟิงหยางก็สะดุดล้มไปกองกับพื้น เสี้ยววินาทีที่คมเขี้ยวของค้างคาวจะถึงตัวทุกอย่างรอบตัวเขาก็หยุดลง ชายหนุ่มฉงน เขาหันกลับไปมองมอสเตอร์ที่หยุดนิ่งราวกับโดนหยุดเวลา จากนั้นหน้าจอก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา
[ต้องการกำจัดมอสเตอร์หรือไม่?]
อยู่ๆ เฟิงหยางก็เผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาสีทองเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสว่าง เขามองไปที่มอนสเตอร์โดยไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“เอาสิ~”
หน้าจอของระบบหายไป เฟิงหยางยื่นมือไปด้านหน้าและแสดงรอยยิ้มที่กว้างยิ่งกว่าเดิมก่อนจะดีดนิ้วหนึ่งครั้ง
“หายไปซะไอ้เพวกขยะ!!”
ค้างคาวพวกนั้นสลายหายไปทันที เวลากลับมาเดินต่อ ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ นายทหารที่ออกมาหยุดชะงัก เขางุนงงมากกับสิ่งที่เห็น เฟิงหยางยืนนิ่งไป หลังจากรวบรวมสติได้เขาก็รีบถามชายหนุ่มทันที
“เป็นอะไรหรือเปล่า?!”
เฟิงหยางหันมามองนายทหารด้วยดวงตาสีทองแบบปกติ เขาดูมึนงงไม่ต่างอะไรจากนายทหาร
หลังจากนั้นเฟิงหยางก็ได้พักอยู่ในป้อมปราการภายใต้การดูแลของพวกทหาร ทหารที่ออกมาก่อนหน้านี้มีชื่อว่าหลี่ฮงเป็นหัวหน้าของเหล่าทหารบนป้อมปราการ ดูเหมือนเขากับทหารจำนวนหนึ่งกำลังคุยอะไรกันอยู่
“อยู่ๆ พวกค้างคาวก็หายไป...เป็นฝีมือของเด็กคนนั้นเหรอครับ?”
ทหารคนหนึ่งถามหลี่ฮง หัวหน้าทหารมองกลับไปที่ชายหนุ่มด้วยความสงสัยแต่เมื่อเห็นท่าทีของเขาหลี่ฮงก็ตอบกลับ
“ฉันว่าไม่ใช่หรอก เด็กคนนั้นก็ตกใจไม่ต่างจากเรา คงเป็นฝีมือคนอื่นนั่นแหละ...ส่วนเรื่องที่ว่าจะเอายังไงกับเขาเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
หลี่ฮงและพวกทหารก็พากันมาหาชายหนุ่ม
“ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” หลี่ฮงเอ่ยถาม
“ไม่เป็นอะไรแล้วครับ ขอบคุณมากที่ช่วย...” เฟิงหยางตอบกลับแบบเรียบนิ่ง หัวหน้าทหารพยักหน้าอย่างโล่งอก เขาถามเฟิงหยางอีกครั้ง
“นายเป็นใครล่ะ? แล้วทำไมถึงมีสภาพแบบนี้?”
ชายหนุ่มคิดหนัก เขาต้องหาข้ออ้างเพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่าตัวเองมาจากต่างโลก
“คะ คือว่าผมเป็นพวกเร่ร่อนแล้วก่อนหน่านี้ตอนที่กำลังเดินทางผมเกิดหลงขึ้นมาน่ะครับ”
เฟิงหยางหลบสายตาด้วยความเลิ่กลั่กหัวหน้าทหารกอดอกจ้องเขาเขม็งและใช้เนตรประเมินตรวจเช็คค่าสถานะของชายหนุ่ม
แต่ทุกอย่างปกติ เฟิงหยางไม่ได้มีค่าสถานะที่น่าสงสัย รู้แบบนั้นหัวหน้าทหารก็พูด
“ตอนนี้เรารับนายเข้ามาในฐานะผู้ลี้ภัย ยินดีต้อนรับสู่เมืองลั่วหยาง นายสามารถใช้ชีวิตที่นี่ได้แต่ห้ามสร้างความเดือดร้อนให้ใคร ฉันจะให้ทหารพานายไปเข้าเมืองก็แล้วกัน”
ทหารคนหนึ่งนำทางเฟิงหยางออกจากป้อมปราการพร้อมแนะนำโรงแรมให้ หลังจากผ่านป้อมกำแพงสูงใหญ่มาเฟิงหยางก็ต้องตกใจ
ถึงนอกเมืองจะมืดมิดและอันตรายแต่ในตัวเมืองนั้นตรงกันข้าม ตึกราวบ้านช่องดูมีชีวิตชีวาและมีบรรยากาศที่ครึกครื้น มีผู้คนและร้านค้ามากมายอยู่ตามทาง พวกเขาบางส่วนแต่งตัวและมีอาวุธเหมือนกับนักผจญภัย ดูแล้วที่นี่ก็เหมือนเมืองการค้ายังไงอย่างงั้น
เขาเดินดูรอบๆ อย่างสนอกสนใจ แต่ไม่นานเฟิงหยางก็ไปที่โรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากป้อมปราการ
จากภายนอกหรือภายในโรงแรมนี้ก็เก่าพอสมควรเลย เขาเข้าไปเลือกห้องพักและขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองทันที โรมแรมนี้มีคนน้อยมากสมกับความเก่าของมัน สภาพห้องที่เขาอยู่ไม่ต่างอะไรจากตัวโรงแรม
ห้องทำจากไม้ผุๆ โคมไฟแค่ดวงเดียวพร้อมกับเตียงโทรมๆ อีกหนึ่ง เฟิงหยางไม่ได้สนใจเรื่องสถาพห้อง เขานั่งลงบนขอบเตียงก่อนจะเริ่มครุ่นคิดทีละอย่าง...
อย่างแรกเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้? สิ่งที่เขาจำได้รางๆ คือมีหน้าจอขึ้นมาแล้วสติของเขาก็ดับวูบไป... รู้ตัวอีกทีค้างคาวพวกนั้นก็หายไปหมด เขาไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร แต่นึกไปก็ไม่มีอะไรในหัว
เฟิงหยางตัดสินใจเปิดข้อมูลของตัวเองเพื่อจะนึกอะไรออก
“ระบบเปิดข้อมูลของฉัน”
ระบบตอบรับคำสั่ง หน้าจอปรากฏขึ้นมากลางอากาศตรงหน้าเขา
ชื่อ: [เฟิงหยาง]
เลเวล: [1/100]
สถานะ: [หมุษย์จากต่างแดน]
สื่อกลางเวทมนตร์: [???]
ฉายา: [ผู้ถูกเลือกโดยระบบ]
เฟิงหยางมึนงง ข้อมูลพวกนี้ไม่ได้ทำให้เขานึกอะไรออกเลย หลังจากนี้สามวันเขาก็ต้องหาเงินมาเตรียมจ่ายค่าห้อง แล้วไหนจะเรื่องอาหารอีก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องหาเงินยังไงในต่างโลก
ชายหนุ่มล้มตัวนอนและเริ่มคร่ำครวญอย่างสิ้นหวัง แต่อยู่ๆ เสียงจากระบบก็ดังขึ้น
[“เรามีทางเลือกให้คุณ”]
เฟิงหยางเด้งตัวลุกขึ้นนั่งทันควัน เขามองหน้าจอด้วยความสงสัย
“มีเสียงด้วยเหรอ! แล้วที่พูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไงน่ะ?”
หน้าจอขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อยก่อนที่ข้อความจะปรากฎพร้อมกับเสียง
[“คุณต้องรู้จัก<ดันเจี้ยนเวิลด์>เสียก่อน ที่นี่คือโลกใบใหม่ที่คุณยังไม่คุ้นเคย มันมีระบบการพัฒนาตัวเองของผู้คนด้วยการฟาร์ม ถ้าหากคุณอยากแข็งแกร่งขึ้นคุณต้องจัดการกับมอนสเตอร์เพื่อเพิ่มเลเวลและค่าสเตตัสต่างๆ ทั้งหมดนั่นก็เพื่อที่จะพิชิต<มหาดันเจี้ยน>”]
ชายหนุ่มประหลาดใจ เขาเอ่ยถามทันที
“มหาดันเจี้ยน...มันคืออะไรน่ะ?”
ข้อความในจอรีเช็ตและเริ่มเขียนอีกครั้ง
[“<มหาดันเจี้ยน>คือแหล่งกำเนิดขนาดยักษ์ของสัตว์ประหลาดที่เป็นปัญหาต่อผู้คนบนดาวดวงนี้ การมีอยู่ของมันทำให้ทุกยามค่ำคืนจะมีมอนสเตอร์เกิดออกเป็นจำนวนมากแลจะโจมตีมนุษย์ทุกคนที่ไม่ได้อยู่ใน<โซนปลอดภัย> ถ้าหากมหาดันเจี้ยนถูกทำลายมอนสเตอร์ทั้งหมดก็จะหายไป ทำให้มนุษย์บนดางดวงนี้สร้างอาชีพที่มีชื่อว่าฮันเตอร์ขึ้นมาเพื่อจำกัดมอนสเตอร์และปลุกปั้นผู้ที่แข็งแกร่งพอจะพิชิต<มหาดันเจี้ยน>”]
เฟิงหยางฟังด้วยความตะลึง ตอนนี้เขามาอยู่ในโลกที่อันตรายเสียแล้ว... แต่ถึงยังไงเขาก็ต้องสนใจเรื่องปากท้องก่อน
“แล้วถ้าจะหาเงินฉันต้องทำยังไงบ้าง?”
ข้อความในจอหายไปชั่วครู่ ไม่นานระบบก็ตอบกลับ
[“ที่นี่คือเมืองลั่วหยางซึ่งมีกิลด์สำหรับอาชีพฮันเตอร์โดยเฉพาะ คุณสามารถสมัครเป็นฮันเตอร์และหาเงินจากที่นั่นได้ แต่เพื่อว่าคุณยังไม่มีแรงจูงใจมากพอ ถ้าหากสามารถพิชิต<มหาดันเจี้ยน>ได้คุณอาจจะได้ความทรงจำกลับคืนมา หรือมากกว่านั้นคุณอาจจะหาทางกลับบ้านได้”]
เฟิงหยางลุกขึ้นพรวดด้วยความตกใจ
“จริงเหรอ?! เข้าใจแล้ว! พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปที่กิลด์!”
ชายหนุ่มตัดสินใจนอนพักผ่อนก่อน ตอนนี้เขาพบวิธีที่จะคลี่คลายปัญหาแล้ว รอแค่พรุ่งนี้เท่านั้น!
ต่อมาในตอนเช้าตรู่เฟิงหยางออกจากโรงแรม ตำแหน่งของกิลด์อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมนัก
ไม่นานเขาก็เดินมาถึง จากภายนอกมันเป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราไม่น้อย มีไฟและพืชพันธุ์ประดับอย่างมีเสน่ห์ แต่ที่น่าประหลาดคือมีคนอยู่เยอะมากแม้จะเช้าขนาดนี้ แค่ที่หน้าทางเข้าก็มีเหล่านักผจญหรือฮันเตอร์คุยกันอยู่ไม่น้อยแล้ว
‘นี่พวกเขาไม่นอนกันหรือไงนะ...’ เฟิงหยางเตรียมใจก่อนจะเดินเข้าไปถามฮันเตอร์กลุ่มหนึ่ง
“คือว่า...” ฮันเตอร์สามคนหันมาตามเสียง เมื่อเห็นเฟิงหยางพวกเขาก็มีท่าทีประหลาดใจ
“ที่นี่คือกิลด์ของฮันเตอร์หรือเปล่าครับ?”
พวกเขาอ้ำอึ้งและเงียบไป เฟิงหยางถึงกับเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ ไม่นานหนึ่งในนั้นก็ตอบกลับ
“ชะ ใช่ที่นี่คือกิลด์ของฮันเตอร์ ถ้าอยากมาสมัครก็เข้าไปด้านในได้เลย”
เฟิงหยางกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินเข้าไปด้านในผ่านสายตาของเหล่าฮันเตอร์ที่มองเขาอย่างไม่วางตา
เมื่อเข้าไปเฟิงหยางก็ชะเง้อมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่เฉยชาและแอบทึ่งหน่อยๆ ภายในอาคารมีการประดับอย่างหรูหราไม่ต่างจากข้างนอก เหล่าสมาชิกกิลด์กำลังพูดคุยอย่างเป็นกันเอง บางส่วนกำลังมุงดูเควสบนบอร์ดอย่างกระตือรือร้น
เฟิงหยางมองไปเห็นเคาเตอร์กิลด์ที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่นั่นมีผู้คนไม่น้อยกำลังต่อแถวสเตรียมมัครงาน ชายหนุ่มเดินไปที่เคาเตอร์ผ่านการเฝ้าดูของฮันเตอร์มากหน้าหลายตาที่เหมือนจะสนใจเขา
ถึงสภาพเขาตอนนี้จะไม่ต่างอะไรจากขอทานแต่สำหรับคนที่นี่เฟิงหยางเหมือนนักพเนจรที่พึ่งรบมายังไงอย่างงั้น ต้องยอมรับว่าผมสีขาวและดวงตาสีทองของเขามันดูโดดเด่นแปลกตา ผนวกกับสีหน้าและท่าทีที่เคร่งขรึมทำให้เขาดูมีออร่าสุดๆ !
หลังจากต่อแถวได้ไม่นานก็ถึงคิวของเขา
“สวัสดีค่ะ! ฉันชื่อหลินหลินเป็นพนักงานของที่นี่! ยินดีต้อนรับสู่กิลด์ฮันเตอร์ของเรานะคะ!”
พนักงานสาวกล่าวทักทายเขาด้วยรอยยิ้มที่แสนสดใส เธอเป็นสาวตัวเล็กมีผมสีน้ำตาลสั้นประบ่าและมีดวงตาสีส้มสุดน่ารัก
เฟิงหยางบอกจุดประสงค์ของตัวเองแบบเรียบนิ่ง
“ผมอยากสมัครเป็นฮันเตอร์น่ะครับ...ต้องทำยังไงบ้าง?”
พนักงานสาวอธิบาย
“มีขั้นตอนไม่เยอะหรอกค่ะ! แต่ก่อนอื่นเราต้องตรวจสอบระดับพลังเวทก่อน ถ้าเกิดพลังไม่ถึงเกณฑ์ทางกิลด์ของเราก็รับเข้าทำงานไม่ได้หรอกนะคะ แค่วางมือบนลูกแก้วนี่มันก็จะแสดงค่าพลังเวทของคุณค่ะ!”
พนักงานสาวพูดอย่างร่าเริงพลางชี้ไปที่ลูกแก้วบนโต๊ะด้านหน้า เฟิงหยางทำตาม เขาค่อยๆ ยื่นมือไปที่ลูกแก้วท่ามกลางสายตาของเหล่าสมาชิกกิลด์ที่มองเขาอย่างสนอกสนใจ ทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับลูกแก้วมันก็เปล่งแสงจ้าออกมา
ทุกคนรอดูอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อแสงนั้นหายไปลูกแก้วก็เผยค่าพลัง
[ไม่มีพลังเวท]
ทุกคนอึ้งตาค้างไม่เว้นแม้แต่เฟิงหยาง ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะก่อนที่เสียงของพนักงานสาวจะดังขึ้น
“คะ คะ คะ คุณเป็นตัวอะไรน่ะ?!!!”
หลินหลินชี้หน้าเฟิงหยางพร้อมถอยหลังด้วยความหวาดกลัว เสียงอันกึกก้องของเธอทำลายความเงียบอย่างสมบูรณ์แบบ
คนที่ต่อหลังชายหนุ่มพากันหนีอย่างหวาดผวา เหล่าฮันเตอร์หยิบอาวุธของตัวเองออกมาและเข้าล้อมเฟิงหยางทันที ชายหนุ่มยกมือทั้งสองข้างขึ้นด้วยความตกใจ
“เผยตัวซะเจ้ามอสเตอร์!!!”
คำถามสุดฉุนเฉียวออกมาจากปากของหนึ่งในสมาชิก สายตาของเหล่าฮันเตอร์กำลังจับจ้องเขาด้วยความหวาดระแวง เฟิงหยางไม่เข้าใจ เขาเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยก่อนจะพูด
“ใจเย็นๆ ก่อน เหมือนทุกคนกำลังเข้าใจผิด ผมไม่ใช่มอนสเต-”
“หุบปากไปเลยไอ้สัตว์ประหลาด!!”
เสียงอันหนักแน่นดังมาจากชั้นสอง เฟิงหยางมองขึ้นไปตามเสียง ที่ระเบียงด้านบนมีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนเท้าเอวมองเขาอยู่ เธอมีผมสีขาวยาวสลวยและดวงตาสีม่วงเข้ม
เฟิงหยางตกใจทันทีที่เห็น เธอสวยไม่ต่างจากนางฟ้า ชุดที่เธอใส่เป็นชุดชั้นในและกางเกงหนังขาสั้น นอกจากนี้เธอยังสวมเกราะเหล็กแค่ส่วนแขนและขาเท่านั้น
เฟิงหยางเหม่อมองร่างอันผอมเพรียวของเธอจนลืมสถานการณ์ไปชั่วขณะ แต่ไม่นานเธอก็ชี้หน้าเขาและพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว
“อย่างแกน่ะฉันจะเป็นคนบดขยี้เอง!!”
หญิงสาวคนนั้นโดดจากระเบียงชั้นสองทะยานขึ้นไปและดิ่งลงมาหาเฟิงหยางอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรีบยกแขนสองข้างขึ้นปกป้องตามสัญชาตญาณ
หญิงสาวม้วนหน้าอย่างรวดเร็วหลายตลบและใช้ส้นเท้าเหวี่ยงโจมตีใส่เฟิงหยางอย่างรุนแรง พลังกระแทกอันมหาศาลทำให้ชายหนุ่มเข่าหลุดและส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่ว พื้นไม้ที่เฟิงหยางเหยียบยุบพังลงไป
ในวินาทีนั้นหญิงสาวและทุกๆ คนต่างก็หน้าเสีย เธอแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง การโจมตีสุดทรงพลังนั่นทำได้แค่เพียงให้ชายหนุ่มเข่าทรุดลงไปเท่านั้น
‘ใช้ท่อนแขนเปล่าๆ รับการโจมตีที่มีเวทมนตร์เนี่ยนะ?! มอนสเตอร์นี่ทรงพลังอะไรขนาดนี้?!’
ขาของเธอยังคงกดค้างไว้แบบนั้น เฟิงหยางเหลือบสายตาขึ้นและใช้แรงอันเหนือมนุษย์ค่อยๆ ดันเท้าขึ้นไป
“บอกว่าให้ใจเย็นๆ ก่อนไงเล่า!!”
เฟิงหยางผลักหญิงสาวออกไป เหล่าสมาชิกช่วยกันรับตัวเธอไว้ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนหน้าตาเฉย ด้วยความไม่สบอารมณ์หญิงสาวก็จะเอาเรื่องต่อ
“เก่งนักนะแก! ครั้งต่อไปไม่รอดแน่!!”
หญิงสาวยกขาข้างหนึ่งขึ้นตั้งท่าเตรียมโจมตี เฟิงหยางพยายามพูดแต่เธอไม่ฟัง ไม่มีใครที่นั่นคิดจะยั้งมือ พวกเขาพร้อมจะปลิดชีวิตของชายหนุ่ม
แต่ในตอนที่สถานการณ์กำลังแย่ลงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น?!” ทุกคนชะงัก พวกเขาหันไปมองยังทางเข้าซึ่งเป็นที่มาของเสียง
“หัวหน้ากิลด์!!” ที่ทางเข้านั้นมีชายชราผมขาวในชุดโค้ทสีดำพร้อมกับสมาชิกกิลด์อีกหยิบมือ พวกเขาพึ่งกลับมาจากการทำธุระ พนักงานสาวที่อยู่ในอาการหวาดกลัวรีบพูดทันที
“หะ หัวหน้าคะ!! ขะ เขาเป็นมอนสเตอร์ค่ะ!!”
ชายชราและคนติดตามตกใจ ชายร่างใหญ่หนึ่งในสมาชิกที่พึ่งกลับมารีบเข้าล็อคตัวเฟิงหยางอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มที่ไม่ทันตั้งตัวโดนกดล็อคไว้กับพื้น
“ก็บอกว่าฉันไม่ใช่มอนสเตอร์ไงเล่า!!”
สาวผมขาวแย้งขึ้นมา
“อย่าไปเชื่อมัน!! มันไม่มีพลังเวทแถมยังรับการโจมตีของฉันได้ แบบนี้มันใช่คนซะที่ไหน!!”
ได้ยินแบบนั้นชายร่างใหญ่ก็กดเฟิงหยางแน่นกว่าเดิม ชายชราผู้เป็นหัวหน้ากิลด์เดินผ่านเหล่าสมาชิกเข้ามาดูหน้าเฟิงหยางชัดๆ หลังจากเห็นท่าทีของชายหนุ่มเขาก็ใช้เนตรประเมินตรวจสอบ
“...เขาเป็นมนุษย์” ทุกคนตกใจ พวกเขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ด้วยความโกรธเกรี้ยวเฟิงหยางสลัดชายร่างใหญ่ออกไปและลุกขึ้นพูด
“ผมก็แค่จะมาสมัครเป็นฮันเตอร์เพราะจะหาเงินมาเลี้ยงปากท้อง! ไอ้เรื่องที่ไม่มีพลังเวทผมก็พึ่งรู้เหมือนกันนั่นแหละ!”
เหล่าสมาชิกจับจ้องเฟิงหยางอย่างหวาดระแวง หัวหน้ากิลด์เข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยขึ้น
“เราไปคุยกันที่ชั้นบนดีกว่า... หลินหลินเธอก็ตามมาด้วย”
ชายชราผ่านเหล้าสมาชิกขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง พนักงานสาวรีบตามไปติดๆ เฟิงหยางเดินตามไปเช่นกัน
ทั้งสามมาคุยกันที่ห้องของหัวหน้ากิลด์ซึ่งมีแค่โต๊ะและเก้าอี้ยาวสองตัว เฟิงหยางนั่งและชายชรานั่งเก้าอี้ ส่วนหลินหลินออกไปอยู่หน้าห้องตามคำสั่ง ไม่นานชายชราก็เริ่มพูด
“ผมชื่อหนานโจวเป็นหัวหน้ากิลด์และผู้นำของเมืองลั่วหยางแห่งนี้ ผมและสมาชิกบางส่วนเพิ่งกลับมาจากการไปเยี่ยมเยียนเมืองอื่น... ก่อนอื่นเลยทางเราต้องขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย สมาชิกกิลด์คงเข้าใจผิด”
ชายชรากล่าวอย่างนอบน้อม ถึงจะหงุดหงิดอยู่บ้างแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ถือโทษแต่อย่างใด กลับกันเขาอยากรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
“ผมชื่อเฟิงหยาง... แล้วทำไมแค่ไม่มีพลังเวททุกคนถึงอยากทำร้ายผมล่ะครับ?”
ชายชรามองเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมก่อนจะตอบกลับ
“ปกติแล้วในโลกแห่งนี้น่ะ ต่อให้พึ่งเกิดเป็นเด็กทารกก็จะมีพลังเวทแน่ๆ ไม่มากก็น้อย ทั้งที่เธอเป็นมนุษย์แต่กลับไม่มีพลังเวท...ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นไปได้ยังไงก็เถอะ... แต่ก่อนจะบอกสาเหตุที่สมาชิกทุกคนมีท่าทีแบบนั้น เธอต้องรู้จักพวกมนุษย์ดันเจี้ยนเสียก่อนเจ้าหนู...”
เฟิงหยางเลิกคิ้วขึ้น ชายชราเริ่มอธิบาย
“พวกมันคือมอนสเตอร์ระดับสูงที่ถูกสร้างโดยมหาดันเจี้ยน พวกมันทั้งอันตรายและเจ้าเล่ห์ มีความรู้สึกนึกคิด มีสติปัญญาพอที่จะพูดคุยสื่อสารได้เหมือนมนุษย์... ที่สำคัญพวกมันชั่วร้ายและมีพลังที่บ้าคลั่งมากจนเขตแดนทำอะไรไม่ได้...”
เฟิงหยางฟังด้วยความละตึง เขาไม่เคยเจอพวกมันมาก่อน แต่จากที่ฟังพวกมันคงอยู่แค่ในมหาดันเจี้ยน...หรือเปล่า? หลังจากเว้นช่วงครู่หนึ่งหนานโจวก็พูดอีกครั้ง
“ที่ผ่านมาเราหาวิธีที่จะแยกแยะระหว่างพวกมันกับคนปกติจนได้มาสองวิธีคือใช้เนตรประเมินและตรวจสอบระดับพลังเวท ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ดันเจี้ยนพวกมันจะไม่มีพลังเวท...”
เฟิงหยางเข้าใจ ตอนนี้เขารู้แล้วทำไมทุกคนถึงมีท่าทีแบบนั้น หัวหน้ากิลด์มองชายหนุ่มตรงหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูด
“เฟิงหยาง...เธออยากสมัครเป็นฮันเตอร์ใช่ไหม? ถ้าเป็นปกติฉันคงไม่รับเธอหรอกแต่ฉันเห็นในความสามารถของเธอ ฉันจะรับเข้ามาเป็นสมาชิกก็แล้วกัน หลินหลินเข้ามา”
พนักงานสาวเข้ามาในห้องตามคำสั่ง
“ไปทำบัตรสมาชิกให้เด็กคนนี้ซะ เขาชื่อเฟิงหยาง”
หลินหลินตอบรับและออกจากห้องไปอย่างไม่เต็มใจ ชายชราพูดอีกครั้ง
“เรื่องอื่นฉันจะมาถามทีหลัง ตอนนี้ฉันมีงานเหลืออีกเยอะ ถ้าได้บัตรสมาชิกเมื่อไหร่เธอก็หาปาร์ตี้ในกิลด์ไปลงดันได้ สงสัยอะไรก็ถามหลินหลินได้เลย”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!