NovelToon NovelToon

WHTE & BLUE ก้อนเมฆของคลื่นน้ำ {YAOT}

บทที่ 1WHTTE & BLUE การพอเจอ

การพบเจอ

คลื่นน้ำ

------------------------------------------------

ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า..บนโลกนี้มีรักแท้จริงหรือ?

ผมเคยคิดว่า..คนเราจะสามารถตกหลุมรักคนๆเดิมช้ำแล้วช้ำเล่าได้จริงๆ น่ะเหรอ?

เรา...จะสามารถคนหนึ่งได้แบบเป็นบ้าเป็นหลังเลยหรือไง?

แล้วความรัก..คืออะไร?

ผมไม่เคยเข้าใจหลิ่งเหล่านั้น ผมที่เกิดมาก็เจอเพียงแม่ที่เลี้ยงผมมาตามลำพัง ไม่เคยรู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใคร ผมไม่เคยเชื่อในเรื่ิองของความรัก จริงๆเรียกว่าไม่เคยศรัทธามันเลยจะดีกว่า การที่ไม่เคยที่เจอหน้าพ่อทำให้ผมเข้าใจมาตลอดว่าพ่อทิ้งผมกับแม่ไป ผมเลยไม่เคยเชื่อในความรักเลยแม้แต่น้อย ไม่คิดด้วยซ้ำว่าในชีวิตจะรักใครได้ กับแม่ตัวเองยังไม่ค่อยจะรู้สึกได้ถึงความรักสักเท่าไหร่เลย เราเหมือนคนที่อยู่กันเพราะสถานะ เพราะความจำเป็น แต่ถ้าพูดถึงความรักหรือความผูกพัน มันดูจืดชืดและไร้ความรู้สึก

ใช่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ที่เลื้ยงผมมามานั้นรักผมบ้างหรือเปล่า?

ด้วยความเป็นเด็กผมเคยถามหาพ่อ แต่แม่ก็ไม่ตอบ ผมจึงเลิกคิดเรื่องนั้นไป จนกระทั่งวันหนึ่งที่แม่เดินเข้ามาบอกกับผมว่าจะพาไปหาพ่อ แล้ววันต่อมาผมก็มายืนอยู่ที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่ง สถานที่ที่ผมคิดว่าทั้งชีวิตนี้ก็คงไม่มีปัญญาได้เข้ามาเหยียบแน่ๆ บ้านที่ใหญ่โตและหรูหรา ให้ทำงานทั้งชีวิตคงยังซื้อแม้แต่เสาบ้านไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมยืนต่อหน้าครอบครัวครอบครัวหนึ่งที่มีพ่อแม่ลูกอยู่กันพร้อมหน้าลูกชายของเขาโตว่าผมอยู่หลายปี รูปร่างหน้าตาที่ดูดีมากจนเด็กผู้ชายอย่างผมยังอดชื่นชมไม่ได้ ผมในตอนนั้นไงไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่เข้าใจว่าแม่กำลังทำอะไรอยู่ ไม่เข้าใจว่าแม่พาผมมาที่นี่ทำไมแล้วต้องการอะไรกันแน่ผมกับแม่ถูกเชิญให้ไปนั่งในห้องรับเเขกที่กว้างขวางมันใหญ่กว่าห้องนอนของผมกับแม่ต่อกัน 4-5 ห้องเสียอีก ผมให้วัยย่างแปดปีนั่งมองผู้ใหญ่พูเคุยกันอย่างตั้งใจ แต่ผมกลับไปไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย

'มีธุระอะไร? ผู้ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผมเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง แต่ผมกลับรู้สึกว่าเขานั้นดูมีอพนาจและน่าเกรงขาม ใช่ไหมนะ? เขาเรียกกันแบบนี้หรือเปล่าผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่เอาเป็นว่าผมกลัวคุณลุงคนนี้

'ฉันขอำม่พูเเยอะนะคะ ขอเข้าเรื่องเลย' แม่หันมามองหน้าผมแวบหนึ่งก่อนจะทันไปสบตากับคุณลุงคนนั้น

'เชิญ' ข้างๆ ของคุณลุงมีคุณป้าที่นอกจากผมสวยมากๆ แล้วยังดูท่าทาทางใจดีอีกด้วย ตั้งแต่เข้าบ้านมาไม่มีใครเลยที่จะสนใจผม ทั้งคุณลงที่น่ากลัว พี่ชายหน้านิ่งคนนั้นก็เอาแต่มองมาที่ผมด้วยหน้าตาที่ดูไม่เป็นมิตรคงมีแต่คุณป้าคนสวยที่หันมายิ้มให้ผมอย่างใจดี

'เด็กคนนี้ชื่อคลื่นน้ำเขาเป็นลูกของฉันกับคุณภาดล' ผมที่กำลังลอบมองใบหน้าหยิ่งๆ ของพี่ชายหน้านิ่งคนนั้นอยู่ก็สะดุ้งตกใจเบาๆ เมื่อไหร่ยินแม่เอ่ยถึงชื่อของผมออกไป ผมไม่ได้ห้าว่าแม่พูดอะไรรู้แค่ว่ามีชื่อของตัวเองิยู่ในประโยคเมื่อครู่เพียงเท่านั้น เจ้าของบ้านทั้งสามหันมามองหน้าผมด้วยความตกใจปนแปลกใจ ผมมองพวกเขาตอบกลับไปอย่างไม่เข้าใจ แต่แล้วก็ต้องหลบสายตาเมื่ิอเปลอไปสบตากับพี่ชายหน้านิ่งเข้า

เขาดูไม่เป็นมิตรดกับผมเอาเสียเลย หรือบางทีเขาอาจจะไม่ชอบก็ได้

'แน่ใจเหรอ? ลัลลดา? ครั้งนี้ผมหันไปมองหน้าแม่ด้วยความสงสัยเมื่อได้ยืนคุณลุงเรียกชื่อของแม่ออกมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ใจอยู่ดีว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่?

'พูดอบบนั้นหมายความว่ายังไงคะ?' แม่ของผมมีสีหน้าที่โกรธจัดเขึ้นมาทีที่คุณลุงพูดจบ

'ฉันจะเชื่อเธอได้ยังไง? เธอเล่นหายไปตั้งหลายปีแล้วก็กลับมาพร้อมกับเด็กคนนี้ มาอ้างว่าเป็นลูกของฉัน ซึ่งความจริงจะใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้' สิ่งที่ผมได้ยินผ่านหูเข้ามานั้นทำผมนิ่งไปพักใหญ่พร้อมกับเริ่มคิดพิจารณาถึงสิ่งที่ผู้พูดคุยกัน แน่นอนว่ามันต้องเกี่ยวกับผมเพราะชื่อของผมถูกเอ่ยขึ้นมาในบทสนทนานี้

แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คืิอ ผมมีพ่อจริงๆ น่ะเหรอ?

'มันไม่ดูกันเกินไปหน่อยเหรอคะ? แม่ว่ากลับเสียงแข็ง ท่าทางที่ดูก็รู้ว่าไม่พอใจแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ผมเห็นท่าทางแบบนี้ของแม่บ่อยๆ เวลาที่ผมทำอะไรไม่ถูกใจแม่ แม่ก็จะมองผมด้วยตาดุๆ และพูดเสียงแข็งๆ ใส่เสมอ

'ถ้าอย่างนั้นคุณหายไปไหนมาตั้งหลายปี?' พี่ชายที่ผมคิดว่าเขาพูดไม่ได้เอ่ยถามแม่ของผมขึ้นมาบ้าง แม้ท่าทางจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม แต่ผมกลับรู้สึกว่าพี่เขาดูน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมมาก

เขาอาจจะไม่ชอบแม่ของผม และรวมถึงตัวผมด้วย

'คุณท้องฟ้า ฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกันนะคะ' แม่ชะงักไปนิดก่อนจะเชิดหน้าขึ้นแล้วตอบกลับ พี่ผู้ชายที่แม่เรียกว่าคุณท้องฟ้าไม่ได้พูดอะไรต่อแต่เขาก็ยังคงจ้องหน้าแม่ไม่วางตา บางทีเขาอาจจะไม่ได้แค่ไม่ชอบแม่ของผม แต่อาจจะเข้าขึ้นเกลียดเลยก็ได้ ความรู้สึกของเขามันดูชัเเจนมาก แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเขาถึงดูเกลียดแม่ของผมนัก

'ต้องการอะไร? เงินเหรอ?' คุณลุงที่แม่เรียกว่าคุณนภาดลถามขึ้นเสียงดุอีกครั้ง

'ฉันต้องการให้คุณรับเลี้ยงเด็กคนนี้'ิจบประโยคนั้นก็คล้ายกับว่ามีอะไรหนักๆ มาทุบที่หัวของผมราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นยื่นเข้ามาบีบหัวใจดวงเล็กๆที่อยู่ในอกจนมันเจ็บแปลบไปหมด และถึงแม้ว่าจะเด็กยังไงแต่ผมก็เข้าใจในความหมายของสิ่งที่แม่พูดได้เป็นอย่างดี

'หมายความว่ายังไง?' หลังจากที่ได้ยินแม่พูดอย่างนั้นออกไปผมก็ไม่รู้แล้วว่าใครพูดอะไรต่อ

'เซ็นรับรองบุตรรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยงแทนฉัน'เสียงของแม่ดังขึ้นอีกครั้ง แต่สติผมกลับไม่อยู่กับตัวอีกต่อไป

'เธอจะไม่เลี้ยงลูกตัวเองเหรอ?' เสียงหวานๆ ของผู้หญิงอีกครั้งที่นั่งในห้องรับแขกนี้ดังจัดขึ้น ต่อให้ไม่อยากได้ยินหรือไม่อยากรับรู้ยังไง สุดท้ายผมก็ได้ยินมันอยู่ดี

'อย่างที่คุณเข่าใจแหละค่ะคุณนภัส แต่ฉันมีเหตุจพเป็น' คำตอบของแม่ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลย ไม่เลยสักนิด เราไม่เคยคุยเรื่องกนี้มาก่อน ผมไม่รู้เลยว่าทำไมเรื่องราวระหว่างผมกับแม่ถึงได้เป็นอย่างนี้ มันแย่มากเลยล่ะ

'แล้วถ้าเด็กคนนี้ไม่ใช้ถูกของฉันล่ะ? ฉันยังไม่รู้เลยว่าเธอพูดความจริงหรือเปล่า?' ผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกหรือคิดอะไรอยู่ ระหว่างภาวนาขอให้ตัวเองมีพ่อหรือขอให้ตัวเองไม่ใช่ลูกของคุณนภาดคนนี้ ผมควรภาวนาขอให้มันเป็นแบบไหนดี ถ้าแม่รำคาญที่ผมถามเรื่องพ่อมากไป ต่อไปผมจะไม่เซ้าซี้แล้วก็ได้ แต่ขออย่าผลักไสผมให้ไปอยู่กับคนอื่นแบบนี้เลย ถึงจะส้มผสัไม่ได้ถึงคามรักของแม่ที่มีต่อผม แต่ถ้าต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้า ผมก็ขออยู่กับแม่ต่อไปดีกว่า

'ฉันยินดีให้พวกคุณตรวจ DNA' ท่าทางที่มั่นใจขิงแม่ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเีใจที่จะมีพ่อ กลับกันมันรู้สึกแย่จนพูดไม่ออก จุดจนแน่นอดไปหมดแล้ว

'เดี๋ยวก่อนสิครับ เราจัมาพูดเรื่ิงแบบนี้กันต่อหน้าเด็กจรืงๆ เกริครับ?' ผมที่นั่งก้มหน้าเพื่อสะกดกลั้นความรู้สึกที่ไม่เีเอาไว้จพต้ิง้งยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มสบายหูของใครบางคนเข้า และเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองทางต้นเสียง ผมก็เจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่ฌตกว่าผหลายปี เขายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องรับแขก รูปร่างที่สูงโปร่งใบหน้าหล่อที่ดูใจดีเป็นจุดที่ดึงสายตาของผมได้เป็นอย่างดี

'เธอเป็นใคร?' แม่วัดสายตาไปมองพี่ชายคนนั้นด้วยความไม่พอใจเมื่อเห็นว่าพี่เขากำลังเดินเข้ามาใกล้พวกเรา

'มันไม่สำคัญหรอครับ แต่ถ้าคุณว่าอะไร ผมขอพาคลื่นน้ำออกไปรอข้างนอกนะครับ' พี่ชายที่หน้าตาใจดีคนนั้นหันไปมองสบตากับแม่ของผมนิ่งๆก่อนจะหันมามองผม สีหน้าที่ดูเป็นห่วงของเขาทำเอาผมแปลกใจ เพราะไม่เคยได้รับความรู้สึกแบบนี้จากใครก่อนไม่ว่าจะแม่ หรือเพื่อนที่โรงเรียน ก็ผมมันตัวคนเดียวนี่ เพื่อนเพิ้นอะไรไม่มีหรอก

'เอาสิ' แม่ตอบออกไปโดยที่ไม่ได้ถามความเห็นขิงผมเลยแม้แต่น้อย

'คลื่นน้ำครับ ออกไปเล่นกับพี่ข้างก่อนนะครับ' พี่ชายท่าทางใจดีนั่งยองๆ ลงข้างหน้าของผมพร้อมยื่นมือมาให้จับ น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นทำเอาผมเผลอใจเต้นแรง เกิดมายังไม่เคยเจอใครที่แคร์ผมมากผมขนาดนี้เลย แม้ใจของผมจะกระโดดลอยไปหาพี่เขาแล้วแต่ร่างกายของผมก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น อาจเพราะกลัวแม้จะต่อว่าเลยต้องหันไปขอถามความคิดเห็นของแม่อีกรอบ

'ไปสิคลื่นน้ำ'

'ครับ'

และเมื่อแม่บอกออกมาแบบนั้นผมก็ไม่รอช้าที่จะยื่นมือออกไปผัสกับฝ่ามือที่รอคอยผมอยู่ หัวใจของผมเต้นแรงมากขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่ได้เห็นรอยยิ้มสวยๆ บนใบหน้าของคนตรงหน้า ผมไม่แน่ใจว่าคนที่กน้าตาดีจะมีริยยี้มที่น่ามิงแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าก่ินจะเดินออกจากห้องผมเผลอไปสบตาเข้ากับคุณท้องฟ้าอีกครั้งอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขากำลังเพียงแค่มองมาที่ผมแต่ผมก็ไม่พูดอะไร จนผมเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป

แล้วผมก็เพิ่งมาคิดได้ว่าคนหน้านิ่งๆ อย่างคุณท้องฟ้ายิ้มขึ้นมามันจะเป็นยังไงนะ?

'คลื่นน้ำเล่นของเล่นพวกนี้ไปก่อนได้ไหมครับ? พี่ต้องไปดูน้อง น้องหลับอยู่อีกห้องหนึ่ง' ผมถูกพาเดินออกมายังอีกห้องหนึ่งที่มีโซฟาและทีวีจอใหญ่ ก่อนหน้านี้พี่เขาบอกว่าจะพาไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่น ผมก็ได้แต่สงสัยว่าคนรวยมีห้องนั่งเล่น ผมก็ได้แต่สงสัยว่าคนรวยมีห้องใหญ่ๆ แบบนี้กี่ห้องในบ้านกันแน่?

'น้อง?' ผมไม่ได้สนใจหุ่นยนต์ที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ถึงผมจะไม่มีของเล่นแบบนี้ และเคยอยากได้มันมากแค่ไหนแต่ในตอนนี้ผมกลับมีอย่างอื่นที่ให้ความสนใจมากกว่า

'ครับ น้อง อยากไปหาน้องกับพี่ทะเลไหมครับ?อีกฝ่ายเอ่ยชวนอย่างใจดีอีกแล้ว

'พี่ชื่อทะเลเหรอ?' ผมเอียงคอมเองหน้าพี่เขาอย่างสงสัย เป็นที่ชื่อที่แปลกแต่ก็เพราะมากๆ เลย

'ใช่ครับ พี่ชื่อทะเล' ตอบกลับด้วยเสียงนุ่มๆ แถมยังยิ้มหนาวให้อีก

'เหมือนกันเลย' ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆ เมื่อนึกได้ว่าชื่อของเรามันมีส่วนที่เหมือนกัน

'ครับ? อ๋อ ชื่อเราสองคนใช่ไหม? ทะเลกลับคลื่นน้ำเข้ากันมากเลยเยอะ?' พี่ทะเลมองผมงงๆ ก่อนจะวาดยิ้มกว้างออกมาแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

'ครับ' ผมขานรับพลางทวนชื่อของตัวเองกับอีกฝ่ายในใจ

'เอ? แล้วอย่างนี้ชื่อจริงก็หมายถึงน้ำด้วยหรือเปล่า? ของพี่ชื่อชลธี แปลว่า ทะเล แล้วเราล่ะ?' มือที่กำลังเก็บของเล่นที่เกลื่อนกลาดหยุดชะงักลงก่อนที่ใบหน้าใจดีจะหันมามองผมด้วยความสงสัย

'ชโลทร แปลว่า แม่น้ำ ทะเล ห้องน้ำ ท้องน้ำครับ'ผมตอบออกไปตามที่ตัวเองรู้ ผมชอบชื่อของตัวเองมาก ไม่ว่าจะชื่อจริงหรือชื่อเล่น มันดูแตกต่างไม่เหมือนใคร ชื่อจริงของผมเพราะและความหมายดีส่วนชื่อเล่นก็เท้สุดๆ ไปเลย

แต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วแม่คิดอะไรอยู่ในตอนที่ตั้งชื่อของผม มันอาจมีอะไรที่มากว่าเพียงชื่อเพราะและความหมายดีก็ได้

'ว้าว บังเอิญจังเลย' เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นพี่ทะเลยิ้มกว้าง ผมทองรอยยิ้มนั้นเพลินตาไปเลย ได้แต่คิดว่าคนๆ นี้เหมาะกับรอยยิ้มจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าพอเห็นพี่ทะเลยิ้มแล้วก็อดคิดไปถึงใครอีกคนไม่ได้

'พี่คนนั้...' ผมเอ่ยขึ้นเพียงเท่านั้นแล้วก็เงียบไปเพราะไม่รู้ว่าควรจะถามออกไปดีไหม

'หมายถึงท้องฟ้าน่ะเหรอ?' แต่เหมือนว่าอีกฝ่ายจะพอเดาได้ว่ากำลังจะพูดถึงใคร

'ครับ' ผมพยักหน้ารับเบาๆ

'ฮ่า ถ้าเป็นพี่น้องกันจริงๆ ทำไมชื่อถึงได้ดูแตกต่างกันและห่างไกลกันจังนะ?' เสียงพำแผ่วเบาจากคนที่อยู่ด้วยกันดังลอยมาให้ผมได้ยิน ผมอดติดตามคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ ถ้าผมคือลูกของคุณนภาดล นั่นเท่ากับว่าผมคือน้องของคุณท้องฟ้า ในเมื่อแม่ก็รู้อยู่แล้วแต่ทำไมถึงได้ตั้งชื่อของผมได้ห่างไกลและดูตรงข้ามกับพี่ชายนัก

'พี่ครับ' พี่ทะเลที่เหม่อลอยไปก่อนหน้านี้หันกลับมามองผมอีกคั้ง

'พี่บอกว่าจะพาไปหาน้อง' ผมดึงความสนใจของตัวเองและอีกฝ่ายกลับไปยังเรื่องก่อนหน้าที่คุยกันค้างเอาไว้ เพราะเป็นลูกคนเดียว และไม่เคยมีเพื่อน ผมถึงได้ตื่นเต้นนักหากจะได้พบเจอใครสักคน แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนแปลกหน้า แต่เพราะว่าเป็นคนแปลกหน้านี่แหละมันก็ถึงได้น่าสนใจและตื่นเต้น

'อ่าใช่ ลืมเลย ไปกัน' พี่ชายใจดีหัวเราะแก้มเก้อหลังจากที่ตัวเองเผลลากผมออกนอกเรื่องไปไกลจนลืมใครอีกคนที่หลับอยู่อีกห้อง ผมเดินตามพี่ทะเลออกมาจากห้องนั่งเล่นแล้วเดินเข้าไปทางด้านในของตัวบ้านอีกพี่ทะเลหันมาบอกกับผมว่าห้องที่เราจะไปกันเป็นห้องดูหนังของบ้าน ก่อนหน้านี้น้องดูการ์ตูนแล้วก็กินนมก่อนจะเผลอหลับไปทั้งที่ยังดูการตูนไม่จบเรื่อง ประตูบานใหญ่ถูกเป็นออกโดยฝีมือของคนที่อายุมากกว่าหลายปีพี่ทะเลเดินนำเข้าไปยังข้างใน ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำเอาผมเผลอยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองเพราะความหนาวเย็น แอบคิดในใจว่านี่มันไม่เย็นเกินไปเหรอ?

'น้องหลับอยู่' แต่เมื่อเห็นร่างเล็กๆ ที่นอนหลับสบายอยู่บนเบาะสี่เหลี่ยมที่ฟื้นกลางห้องก็เข้าใจได้ทันทีว่าคนที่หลับอยู่คงชอบที่เย็นๆ แบบนี้

'ครับ' น้องเพิ่งนอนไปกว่าจะตื่นก็คงบ่อยๆ น่าเสียดายไม่อย่างนั้นคงได้เล่นกัน' ใบหน้าใจดียื่นไปกดจูบที่หน้าผากเล็กหนึ่งทีก่อนจะผละออกมามองผมพร้อมยกมือขึ้นลูบหัวอย่างอ่อนโยน หัวใจของผมเต้นแรงอีกครั้งกับสัมผัสแปลกใหม่ของคนที่เพิ่งได้พบเจอกัน เพียงเวลาแค่ไม่นานที่ได้รู้จัดกันคนๆ นี้ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจและสนิทใจที่จะอยู่กับเขาได้อย่างน่าประหลาด ทั้งที่ผมเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นยาก และไม่เคยไว้ใจใครเลย แต่พี่ทะเลกลับทำให้ผมต้องเปลี่ยนความคิดเหล่านั้นไป

'น้องชื่ออะไรครับ?' ผมหันกลับมาให้ความสนใจกับร่างเล็กๆ ที่นอนหลับตาพรี้มอย่างสบายใจโดยไม่ได้รู้้ลยว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาและแระเด็กในบทสนทนาระหว่างผมกับพี่ชายใจดี ใบหน้ากลมที่มีแก้มน่าบีบ จมูกโด่งเล็กๆ ปากบางเป็นรูปกระจับ ผมสีดำที่เป็นทรงกน้าม้า ผิวขาวเหมือนไม่เคยได้โดนแดดทุกอย่างที่เป็นเด็กคนนี้มันดูเหมาะไปหมด

น่ารัก

คงเป็นคนเดียวพี่จะนิยามให้กับคนตัวเล็กตรงหน้าผมได้

'ก้อนเมฆครับ' เสียงทุ้มรุ่นที่เอ่ยตอบกลับมายิ่งทำให้ผมตื่นเต้นขึ้นมากกว่าเดิม

'น้องก้อนเมฆ' เป็นชื่อที่เหมาะกับอีกฝ่ายมากๆเลย ตัวกลมๆ เป็นก้อนสีขาว ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูน่ารักไปหมด หันใจของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่มองไปยังใบหน้ากลมของคนที่หลับอยู่

'ถ้าได้อยู่ด้วยกันจริงๆ ก็ต้องสนิทกันนะครับ'หันใจของผมอุ่นวาบยามที่ฝ่ามืออุ่นลูบลงมาที่หัวของผม แต่แล้วมันก็วูบโกหวังขึ้นมาในตอนที่ได้ยินคำบอกเล่านั้น

'ทำไมถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยล่ะครับ?' ผมล่ะสายตาขึ้นมองสบตากันคนโตกว่า ที่พี่ทะเลพูดมันหมายความว่ายังไง? ผมจะต้องมาอยู่ที่นี่อย่างที่แม่คุยกับคุณนภาดลจริงๆ เหรอ?

'คลื่นน้ำ กลับได้แล้ว' แต่ยังไงทันทีผมหรือพี่ทะเลจะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงแม่ก็ดังมาจากทางหน้าประตูห้อง

'ครับ' ผมมองหน้าแม่ก่อนจะหันกลับมามองคนที่ยังกลับไม่ตื่นอย่างชั่งใจ ผมอยากอยู่ต่อ แต่คงเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายผมจำต้องขึ้นยืนแล้วเดินออกไปหาแม่

'บ๊ายบายนะคลื่นน้ำ' พี่ทะเลที่เดินมาส่งยกมือขึ้นโบกไปมาพร้อมด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า

'บ๊ายบายครับ' ผมยกยิ้มบางเบาอย่างที่ไม่ค่อยจะได้ทำเท่าไหร่นักให้กับอีกฝ่าย ผมถูกแม่พาเดินออกมาโดยไม่เจอใครอีกเลย มีเพียงแค่คุณท้องฟ้าที่เดินสวนผมไป เขามองผมแวบหนึ่งก่อนจะเดินผ่านไปทำเหมือนไม่เห็นผมกับแม่ที่เดินสวนกับเขา

วันนั้นผมถึงได้รู้ว่าคนที่น่ากลัวจริงๆ ก็คือคนที่ไม่พูดอะไรเลย ไม่ใช่คนที่ชอบโวยวายทุกครั้งที่มีปัญหา

'ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น ยังไงเด็กคนนี้ก็คือลูกของคุณ' ผมได้แต่องหน้าแม่สลับกับคนที่แม่บอกว่าเขาคือพ่อของผมด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แต่ที่แน่ๆหนึ่งในนั้นไม่มีความรู้สึกดีใจเลยสักนิด เพราะวันนี้คือวันที่จะตัดสินะชะตาชีวิตของผมว่าผมจะยังคงได้อยู่กับแม่ต่อหรือต้องไปอยู่กับพ่ออย่างถาวร

'ดูมั่นใจเกลือเกินะ' คุณนภาดลมองหน้าแม่ด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ

'จริงๆ ไม่ต้องตรวจก็ได้นะ คลื่นน้ำหน้าเหมือนพี่ชายของเขามองเลยล่ะ' แม่จับใบหน้าของผมให้เชิดขึ้นพร้อมพยักพเยิดหน้าไปทางคุณท้องฟ้าที่ยืนพิงกำแพงอยู่อีกฝั่งหนึ่งของทางเดิน

'คุณดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยนะครับ' เสียงทุ้มที่ฟังดูมีเสน่ห์แต่กลับไร้ความรู้สึก ผมไม่รู้ว่าคนพูดกำลังคิดอะไรหรือรู้สึกยังไงอยู่ เพราะไม่ว่าจะสีหน้าหรือน้ำเสียงก็ดูจะไร้อารมณ์และว่างเปล่าไปหมด คุณท้องฟ้าจ้องหน้าแม่ของผมนิ่ง แต่ก็ชวนให้อึนอัดไม่น้อย

'แล้วฉันจะต้องทุกข์อะไรล่ะคะ?' แม่ยกมือขึ้นกอดอกพลางดรอยยิ้มอย่างสบายๆ ผิดกับผมที่ลุ้นทุกวินาที อีกไม่นานพยาบาลก็จะมาเรียกพวกเราให้ไปฟังผลตรวจ DNA แล้ว ผมไม่รู้ว่าผมจะต้องรู้สึกดีใจหรือเสียใจหากผลตรวจออกมาแล้วบอกว่าผมเป็นลูกชายของคุณนภาพล

'ดูเหมือนอยากจะผลักลูกออกจากตัวมากกว่าที่คิดนะครับ'คุณท้องฟ้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง แม้มันจะทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดแต่ผมก็อดจะเห็นด้วยกับเขาไม่ได้

'นี่!' แม่ทำท่าจะโวยวาย

'ไม่เอาน่าฟ้า น้องก็นั่งยู่ด้วยนะ' แต่เพราะมีเสียงเอ่ยจัดขึ้นมาเสียก่อน แม่เลยต้องเงียบไป พวกเราหันไปมองทางต้นเสียงก็พบว่าเป็นพี่ทะเลที่เดินเข้ามาพร้อมกับร่างเล็กๆ ของก้อนเมฆในอ้อมแขน ใบหน้ากลมเป็นก้อนซบอยู่ที่บ่าของพี่ทะเลดวงตาปิดสนิทเหมือนครั้งแรกที่เราได้เจอกัน

'ลูกยังไม่ตื่นเหรอ?' คุณท้องฟ้าที่เห็นว่าใครเดินเข้ามาก็รีบเดินเข้าไปหาทันที น้ำเสียงที่ใช้ถามอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มันดูอ่อนโยนและอบอุ่น

'อื้อ คงใกล้แล้วล่ะ' พี่ทะเลตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก ผมมีบางสิ่งที่คาใจมานานตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกันนั่นคือพี่ทะเลกับน้องก้อนเมฆเป็นอะไรกับครอบครัวคุณท้องฟ้า

'โอ้โห! นี่ยกกันมาทั้งครอบครัวเลยหรือคะ?ลูกชายน่ารักดีนะ ว่าแต่นั่นคนรักของคุณเหรอคะคุณท้องฟ้า? ' แม่ที่เงียบไปพักหนึ่งร้องขึ้นเสียงดัง สีหน้าที่แสร้งทำว่าตกใจกับรอยยี้มเหยียดนั่นมันดูไม่น่ามองเอาเสียงเลย แต่ผมไม่ได้สนใจท่าทางของแม่หรอกนะผมสนสิ่งหน้าที่แม่พูดต่างหาก แม่บอกว่าก้อนเมฆเป็นลูกของคุณท้องฟ้าที่แม่พูดต่างหาก แม่บอกว่าก้อนเมฆเป็นลูกของคุณท้องฟ้าแล้วก็พี่ทะเลเป็นคนรักของคุณท้องอย่างนั้นเหรอ?

ผู้ชายกับผู้ชายกันได้ด้วยเหรอ?

'ไม่ใช่เรื่องของคุณ' ดวงตาเรียวคนตวัดมองใบหน้าของแม่ด้วยความดุดัน

'เพิ่งรู้ว่าคุณมีรสนิยมแบบนี้นะคะ' แต่แม่ก็ยังไม่หยุดที่จะพูด

'จัดการเรื่องตัวเองให้ดีก่อนแล้วค่อยมายุ่งเรื่องของคนอื่น' เป็นอีกครั้งที่คุณท้องฟ้าต่อว่าแม่ออกมา

'เหอะ! เป็นเด็กที่ก้าวร้าวจริงๆ ' ผมไม่รู้ว่าแม่เอาความมั่นใจมาจากไหนมานัดถึงได้กล้าต่อปากต่อคำกับคนที่น่ากลัวแบบนั้น

'เธอไม่มีสทธ์มาว่าลูกชายฉันแบบนี้' คุณนภาอดที่เงียบอยู่นานเอ่ยตำหนิขึ้นมาบ้าง

'ที่นั่งอยู่นี่ก็ลูดคุณ ช่วยสนใจเขาด้วย' นี้เรียวยาวที่แต่งแต้มเล็บด้วยสีแดงสดขึ้นมายังผมที่ได้แต่นั่งเงียบอย่างคนทำอะไรไม่ถูก

'ผมจะพาคลื่นน้ำออกไปรอที่อื่น ถ้าเสร็จแล้วจะพากลับมา แล้วถ้าคุณยังมีจิตสำนึกของความเป็นแม่จะทำอะไรก็นึกถึงจิตใจลูกชายตัวเองด้วย' แขนของผมถูกดึงให้ลูกขึ้น มันไม่ได้แรงมาก แต่เพราะไม่ทันได้ตั้งตัวผมเลยเสียหลักไปนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นก็มีมือของคนที่คิดว่าเขาจะมาใกล้ผมรับเองไว้ อาจเป็นเพราะพี่ทะเลมัวแต่ต่อว่าแม่ของผมอยู่ เขาเลยไม่ทันได้ระวังจนคุณท้องฟ้าต้องเข้ามาช่วยประคองตัวผมไว้ แต่ผมก็ไม่ได้โกรธพี่ทะเลหรอกนะ ผมก็ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือเปล่า พี่เขากำลังปกป้องความรู้สึกของผมอยู่ แต่เขาก็ว่าแม่ผมด้วย ผมไม่รู้ว่าตัวเองครวคิดรู้สึกยังไงดีในตอนนี้

'เด็กบ้าง! กล้าดียังไงมาสั่งสอนฮัน ' แม่ร้องโวยลั่นอย่างน่าอาย

'ผมไม่คิดสั่งสอนใครหรอกครับ ผมแค่อยากเตือนให้คุณคิดถึงความรู้สึกของคลื่นน้ำบ้าง น้องอาจยังเด็ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าน้องจะไม่รับรู้อะไรเลยนะครับ' ถูกอย่างพี่ทะเลว่า ถึงผมจะยังเป็นเพียงเด็กที่อายุแค่แปดปี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไม่รับรู้อะไรเลย ผมอาจรู้อต่ไม่พูดก็ได้นะ

'พ่อฝากน้องด้วยทะเล ให้คลื่นน้ำิยู่กับลูกนั่นแหละ ถ้าก้อนเมฆตื่นจะได้เล่นเป็นเพื่อนกัน' อดจะแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมใครๆต่างก็ใช้น้ำเสียงที่อ่อนโยนและนุ่มนวลกับพี่ทะเลกันหมด ไม่ว่าจะคุณท้องฟ้าหรือแม้กระทั่งคุณนภาอด ผิดกับตอนที่คุณกับแม่ผมลิบลับเลย

'ได้ครับ' พี่ทะเลตอบรับคำก่อนจะหันมาจับมือผมเอาไว้แน่น ไม่แม้แต่จะหันไปขออนุญาตจากแม่ของผม

'ลงไปรอที่ร้านกาแฟข้างล่างนะ เดี๋ยวฟ้าตามไป' ก่อนไปคุณท้องฟ้าหยิบเงินในกระเป๋าสตางค์ของตัวเองมายื่นให้พี่ทะเล เห็นมีแบงค์สีเทาอยู่สามใบ

'อื้อ' พี่ทะเลพยักหน้ารับ เก็บเงินยัวใส่กระเป๋ากางเกงลวกๆ แล้วยื่นมือมาจับมือผมอีกครั้งก่อนจะพาเดินมาจากที่ตรงนี้น

'คลื่นน้ำิยากกินอะไรไหมครับ?' เมื่อลงมาถึงที่ร้ายกาแฟข้างหน้าตึกโรงบาลพี่ทะเลก็พาผมไปนั่งที่โต๊ะว่าง

'พี่ครับ' ผมนั่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยเรียกคนที่นั่งดูเมนูของร้านอยู่

''ครับ?' พีทะเลละสายตาจากเมนูขึ้นมามิงสบตากับผมอย่างตั้งใจฟัง มันทำให้ผมรู้สึกมากที่พี่เขาให้ความสนใจกับผมมากขนาดนี้

'แม่....จะทิ้งผมไปใช่่ไหมครับ?' ผมชั่งใจอยู่นานมากว่าจะพูดออกไปดีไหม แต่ผมแค่อยากหาคำตอบให้กับสิ่งที่ตัวเองคิด เพราะแม่ไม่เคยบอกอะไรเลย หลังจากวันนั้นที่กลับมาจากบ้านของคุณนภาอด แม่ก็บอกกับผมว่าจะต้องไปตรวจดีเอ็นเอ แล้วย้ายไปอยู่กับพ่อ แต่แม่ไม่เคยบอกว่าทำไมหรือเพราะอะไร

'คลื่นน้ำ' พี่ทะเลทีได้ยินคำถามของผมก็นิ่งไป

'แม่บอกว่าจะให้ผมไปอยู่กับพ่อ มันหมายความว่าแม่จะทิ้งผมให้อยู่กับพ่อใช่ไหมครับ? ผมจะไม่ได้อยู่กลับแม่เหริครับ?' นั่นคือสิ่งที่ผมเข้าใจ แม่ไม่้คยบอกว่าเราจะย้ายไปิยู่กับพ่อ แม่น้ำตลอดว่าผมต้องไปอยู่กับพ่อ นั้นเท่ากับว่ามีผมที่จะไปอยู่กับพ่อแต่แม่ไม่ได้ไปด้วย

'พี่ก็ไม่รู้เหมืินกันครับ แต่ถ้าเเป็นอย่างนั้น คลื่นน้ำจะอยู้ได้ไหมครับ?' พี่ทะเลส่ายหน้าเบาๆ มือข้างที่ว่างก็ยกมือขึ้นลูบหลังเด้กน้อยที่ยังคงหลับไม่ตื่น เหมือนว่านี่จะเป็นเวลานอนของเด็กหกขวบนะครับ

'ผมไม่รู้ ผมไม่เข้าใจ แล้วพ่อจะให้ผมิยู่ด้วยเหรอครับ?' ผมตอบไม่ได้ว่าผมจะอยู่ได้ไหม ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมต้องไปอยู่จริงๆเหรอ? เหมือนผมจะรู้แต่ก็ไม่รู้ เหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ

'แน่นอนครับ คุณพ่อจะต้องให้คลื่นน้ำิยู่ด้วยแน่นอน' พี่ทะเลพูดออกมาอย่างมั่นใจ

'.....' ผมได้แต่นั่งคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ทีเกิดขึ้นเท่าไหร่ที่สมองของเด็กวัยเจ็ดปีกว่าจะคิดและเข้าใจได้

'คลื่นน้ำครับ' พี่ทะเลเอ่ยเรียกหังจากที่เห็นผมเงียบไปนาน

'ผมไม่ค่อยเข้าใจ แต่ถ้าผมต้องอยู่กับพ่อผมก็ต้องอยุ่กับคุณนภัอดแล้วก็คุณท้ิงฟ้าด้วยใช่ไหมครับ?' ผมพยายามเรียบเรียงความคิดของตัวเองแล้วเอ่ยถามไปตามที่เข้าใจ

'ไม่ใช่คุณนภัสแต่เป็นเเต่เป็นคุณแม่ แล้วก็ไม่ใช่คุณท้องฟ้า แต่ต้องเรีกว่าพี่ท้องฟ้าต่างหาก'

'ฟ้า หมายความว่า...' พี่ทะเลที่กำลังนั่งคุยกับผมอยู่ชะงักค้างก่อนจะหันไปมองทางต้นเสียงด้วยสีหน้าและท่าทางที่ตกใจ

'อืม ตามที่ลัลดาพูดนั่นแหละ' ร่างสูงใหญ่ของพี่ท้องฟ้าเดินมานั่งลงที่นั่งข้างๆของพี่ทะเลพลางเอี้ยวตัวไปรับร่างเล็กของก้อนเมฆจากพี่ทะเลมาอุ้มเอาไว้เอง

'คุณพ่อคุณแม่ล่ะ?' พี่ทะเเอ่ยถามในสิ่งที่ผมเองก็สงสัย

'คุยกันเรื่องคลื่นน้ำิยู่' เสี้ยววินาทีหนึ่งที่ดวงตาคนเหลือบมามองผมแล้วก็เลื่อนกลับไปมองใบหน้าของคนข้างตัวต่อ

'น้องก็ต้องมาอยู่กับเราใช่ไหม?' ผมได้แต่นั่งเงียบฟังบทสนทนาของผู้ใหญ่ตรงหน้า ที่พี่ท้องฟ้าพูดด่อนกน้านี้หมายความว่าผมคือลูกของคุณนภาดล เป็นน้องชายของพี่ท้องฟ้า แล้วต้องไปอยู่ที่บ้านกับพ่ออละพี่ชายใช่ไหม?

'ก็เลือกเอาว่าจะอยู่บ้านไหน? จะอยู่กับพ่อแม่หรืออยู่กับเรา' พี่ทั้งสองมองสบตาอย่างเข้าใจกัน คงมีแต่ผมที่ไม่เข้าใจพวกเขา

'ผม.....จะไม่ได้อยู่แม่แล้วใช่ไหมครับ?'ผมต้องการคำยืนยันในเรื่องนี้ ต้องการคำตอบที่แน่ชัด แม้ใจผมจะรู้ดีอยู่แล้วว่าความจริงมันเป็นยังไง แต่ผมก็อยากได้ยินชัดๆ กับหู ไม่ใช่เข้าใจไปเองแบบนี้

'คลื่นน้ำ' พี่ทะเลมองหน้าผมอย่างลำบากใจ

'พี่ครับ ผม...' ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ขอบตาของผมมันร้อนผ่าวไปหมด ลำคอก็จุกแน่นจนพูดอะไรไม่ออก

'อื้อ~' แต่ก่อนที่น้ำตาของผมจะได้ไหลออกมาก็มีเสียงเล็กร้องครางอื้ออึงในลำคอขัดขึ้นมาเสียก่อน

'ไงครับ ตื่นเต้นแล้วเหรอคนเก่ง?' พี่ทะเเห็นว่าก้อนเมฆตื่นแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนหน้าผากเล็ก

'คุณพ่อ' รอยยิ้มเล็กๆ ที่ติดจะงัวเงียของคนที่เพิ่งตื่นนอนทำเอาผมหยุดมองไม่ได้ นี่เป็นครั้งที่ผมได้้เจอกับก้อนเมฆในตอนที่เขาตื่นนอน

'ดื่มน้ำก่อนนะ' พี่ทะเลหันไปหยิบกระบอกน้ำออกมาจากกระเป๋าเป้เปิดฝาแล้วเทน้ำใส่ที่ฝาส่งให้คนตัวเล็กดื่ม

'ใครฮะ?' ดวงตากลมใสเเป๋วกวาดมองสถานที่นอบเข้าที่ตัวเองอยู่ย่างสนใจก่อนนะมาหยุดสายตาที่ผม

'พี่คลื่นน้ำ น้องชายคุณป๊าครับ' พี่ทะเลแนะนำผมให้ก้อนเมฆได้รู้จัก ผมเกร็งนิดหน่อยเมื่อถูกตาดกมโตจ้องมองมาที่ผมด้วยความสนอกสนใจ

'คลื่นน้ำ?' เสียงเล็กทวนชื่อของผมอย่างงงๆๆ

'ทักทายน้องหน่อยสิครับคลื่นน้ำ' พี่ทะเลที่เห็นผมนิ่งไปก็หันมายิ้มใจดีให้อย่างทุกครั้ง

'เอ่อ...สวัสดี' มันคงดูเป็นคำทักทายที่ไง่ที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

'สวัสดีฮะ หนูชื่อก้อนเมฆนะ เรามาเล่นกันเถอะ' อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง ใบหน้าน่ารักเต็มใจไปด้วยยิ่มสดใสและวินาทีนั้นผมก็ได้รู้ว่าโลกของผมมันอาจไม่เงียบเหงาและโดดเดี่ยวิีกต่อไป น้ำตาที่พาจจะไหลให้ได้ในก่อนหน้านี้แห้งเหือดไปตอนไหนก็ไม่อาจทราบได้ หัวใจกระหน่ำเต้นรัวเร็วราวกับเป็นโรคล้ายแรง มุมปากขยับยิ้มขึ้นเองอย่างที่ไม่เลยเป็นมาก่อน ยิ่งเห็นมือเล็กๆ นั่นยื่นมาตรงหน้า ผมก็ยิ่งตื่นเต้น มันไม่ต่างจากการค้นพบเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ในตอนนั้นผมก็มาคิดได้ว่าบางทีผมอาจต้องยอมเสียบางอย่างเพื่อให้ได้บางสิ่งมาแทนวินาทีท่ี่ยื่นมือออกไปสัมผัสกับฝ่ามือนุ่มนิ่มโลกใบใหม่ของผมก็ได้ถูกสร้างขึ้น

ท้องฟ้า ทะเล ก้อนเมฆ คลื่นน้ำ มันอาจจะเหมาะกันที่สุดแล้วก็ได้

--------------------------------------------

ฝากเอ็นดูเด็กๆ ของเราด้วยนะคะ

เรื่องนี้ไม่เน้นดราม่า ไม่เน้นสาระ ไม่เน้นอะไรเลย

เรามาขายความน่ารักของน้องก้อนเมฆเท่านั้นค่ะ!

บทที่ 2 WHERE & BLUE :01

01

ก้อนเมฆ

....................

'ก้อน' ผมร้องเรียกเจ้าเด็กตัวขาวที่นอนแผ่เต็มเตียงรอให้พี่ชายที่แสนดีอย่างพี่ทะเลมาอ่านนิยายก่อนนอนให้ฟัง ก็อย่างนี้แหละครับ เด็กหกขาวก็ยังต้องฟ้องนิทานก่อนนอนเป็นเรื่องปกติ และเรื่องที่เจ้าเด็กก้อนนี่ชอบมากที่สุดก็คงจะเป็นหนูน้อยหมวกแดง เห็นเจ้าตัวเขาบอกว่าอยากจะเป็นนายพรานไปช่วยหนูน้อยหมวกแดงกับคุณยายออกมาจากท้องหมาป่า แต่ผมไม่เห็นด้วยหรอกนะ อย่างก้ินเมฆน่ะ เป็นได้มากสุดก็แค่หนูน้อยหมวกแดงผู้ใสชื่อเท่านั้นแหละ ส่วนหมาป่าน่ะเหรอ ? หึ เดี่ยวก็รู้ว่าใครจะได้เป็น

'อย่างมาเรียกก้อนนะ! ' เสียงเล็กร้องโวยวายกลับมา ใบหน้าน่ารักงอน้ำและเริ่มบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อยๆ เห็นแบบนั้นแล้วคิดว่าผมจะกลัวเหรอ? เปล่าเลย ยิ่งอีกฝ่ายมีท่าทางที่ไม่พอใจมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งชิบใจ

'ทำไมเรียกไม่ได้?' ผมเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นเตียงที่ว่าข้างเจ้าเด็กที่นอนเกินที่นอกจากจะนอนกินที่แล้วยังนอนดื่มอีกด้วยตอนกลางคืนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ทั้งมือทั้งเท้าดิ้นขิงเพื่อนร่วมห้ิงยังไงรู้ไหม?

ปิ้งป่อง! นอนกอดไงครับ อยากดิ้นก็ดิ้นไปสิ ดิ้นมากเท่าไหร่ก็กอดให้แน่นขึ้นยิ้งกว่าแค่นี้ก็หลับสบายทั้งคืนถึงเช้าแล้วครับ แถมยังใันดีอีกด้วย

'ก็ไม่ให้เรียกไง' ตากลมจ้องหน้าผมเขม็งแากเล็กๆ ก็ขมุบนมิบต่อว่าผมไปด้วย

'ก็จะเรียกไง' ผมไหวไหล่เบาๆ ทำเป็นไม่สนใจแต่แอบลิบมองปฎิกริยาของคนข้างตัวไปด้วย สงสัยพี่ทะเลยังเคลียร์งานไม่เสร็จหรือไม่ก็อาจจะกำลังวุ่นวายอยู่กับพี่ชายของผมอยู่ก็ได้เลยไม่เดินเข้ามาเล่านิทานให้พวกเราฟังสักที

'ไมาให้เรียก!' เสียงแหลมเล็กร้องดังขึ้นอีกครั้ง ผมแอบเบ้หน้าเบาๆ เมื่อรู้สึกว่าเสียงเล็กๆ ของคนที่อายุน้อยกว่ามันทำผมแสบแก้วหูได้ดีเหลือเกิน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงชอบที่จะฟังเสียงโวยวายขอฃอีกฝ่ายอยู่ดี

'เด็กดื้อเสียงดังแล้ว' ผมว่าเสียงดุใครๆ ในบ้านต่างรู้กันเป็นอย่างดีว่าพลังที่มีอานุภาพทำลายล้างมากที่สุดก็คือเสียงร้องของก้อนเมฆนี่แหละ

'ไม่ได้ดื้อนะ! ' พอโดนว่าเข้าให้ก็หน้างอเสียงดังใส่อีก ก็ตามนิสัยเจ้าตัวเขาแหละไม่พอใจอะไรก็จะหน้าบึ้งแล้วก็ใช่เสียงแหลมๆนั่นโต้เถียงกลับมา

'ถ้าไม่ดื้อก็ต้ิงื่อห้าเรานะ' ผมรีบพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทันที ก้อนเมฆน่ะถึงจะดื้อไปบ้างแต่ก็หัวอ่อนเชื่อฟังง่ายอยู่นะครับ

'ทำไมต้องเชื่อด้วย' คิ้วเรียวขมวดเข้าหาก้นแน่นอย่างไม่เข้าใจ ท่าทางดื้อๆ นั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูเป็นเด็กแสบๆ ซนๆ แต่ก็น่ารักในเวลาเดียวกัน

'ก็เราโตกว่า' ผมให้เหตุผลออกไป ถ้าแม้มันไม่น่าจะเรียกว่าเป็นเหตุผลได้เลยก็เถอะแท้จริงแล้วมันก็อค่ข้ออ้างดีๆ นี่เอง แต่ทำไงได้ล่ะ แกล้งตีเนียนไปก่อนก็แล้วกันวัน

'ก็ได้' ใบหน้าน่ารักทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ ผมลอบยิ้มกันตัวเองโดยที่อีกฝ่ายไม่เห็น ก็บอกแล้ว่าก้อนเมฆน่ะหัวอ่อน

'ไปโรงเรียนห้ามให้ใครมายุ่งเข้าใจไหม?' ผมขยับเข้าไปใกล้ร่างที่เล็กกว่าแล้วอุ้มให้ร่างเล็กๆ นั่งขึ้นมานั่งนบตัวของผมอย่างเบามือและระมัดระวัง

'ไม่เข้าใจ หมายถึงมีเพื่อนเหรอ?' ก้อนเมฆที่นั่งคร่อมทับอยู่บนตักของผมขมวดคิ้วเองอย่างไม่เข้าใจ

'มีเพื่อนได้ แต่แค่เพื่อนนะ ห้ามให้ใครมาเจ็บ' ผมอธิบายออกไปอย่างรวบรัดไม่รู้ว่าพี่ทะเลกับพี่ท้องฟ้าจะเปิดประตูห้องเข้ามาตอนไหน ถ้าพวกพี่เขาเปิดเข้ามาเห็นตอนนี้คนที่จะแย่คือผม พี่ท้องฟ้าจะต้องรู้แน่ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ ก็พี่ชายของผมน่ะฉลาดจะตายฉลาดจนน่ากลัวเลย

'จีบคืออะไร? เหมือนรำไทยไหม?' พูดจบมือเล็ดก็ยกยิ้มจีบแบบรำไทยให้ผมดู

'คนละจีบแล้ว!' ถึงกับต้องยกมือขึ้นผมตัวเองด้วยความปวดหัว ได้แต่บอกกับตัวเองในใจว่าน้องยังเด็กอยู่ เรื่องแบบนี้น้องอาจจะยังไม่เข้าใจ ผมที่โตดว่าก็ต้องค่อยๆ สอนน้องไปเรื่อยๆ

'อ้าว เหรอ?' เจ้าก้อนเมฆหัวเราะแห้งๆ กลับมาให้ผมรู้สึกมันเขี้ยวเพิ่มขึ้นมากว่าเดินอีก

'ห้ามให้ใครมาชอบ ห้ามให้ใครมาแตะโดนตัว ห้ามจับมือ ห้ามหอมแก้ว ห้ามจุบ ห้ามมีแฟน ห้าม..'ผมร่างยาวเมื่อคิดได้ว่าถ้าไปโรงเรียนแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับเด็ดหน้าหน้าน่ารักแบบนี้โดนรุมทิ้งชัวร์

'พอ! ถ้าห้ามอีกก็ไม่ต้องไปเรียนแล้ว! ' มือเล็ดยกยิ้มปิดแากผมแน่นแล้วร้องโวยวายออดมา หน้าบี้งอีกแล้ว

'เออ นั่นแหละ สัญญามาก่อนว่าจะไม่ชอบคนอื่นจะไม่สนใจคนอื่นมากกว่าเรา' ผมยกนิ้วก้อยยื่นไปตรงหน้าหวังให้อีกฝ่ายเอานิ้วของตัวเองมาเกี่ยวกันเพื่อเป็นการสัญญา

'สัญญา คลื่นน้ำก็ห้ามสนใจคนอื่นมากกว่าเรานะ'ใบหน้ากลมพยักหน้ารับหงึกหงักพร้อมยื่นนิ้วก้อนมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของผม

'สัญญา' รอยยิ้มกว้างปรากฎขึ้นบนเป็นหน้าของทั้งคู่

การที่ได้อยู่ด้วยกันมาหลายเดืิอนมันทำให้พวกเราผูกพันกันมาก ไม่ว่าจะทำอะไรหรือไปไหนก็มีแค่พวกเรา หลังจากที่พวกผู้ใหญ่จัดการเรื่องวุ่นวายน่าปวดหัวจบพรุ่งนี้เราทั้งคู่ก็จะได้โรงเรียนกันแล้ว ความน่าตื่นเต้นมาพร้อมความกังวล ลึกๆ ก็คือความกดลัว กลัวว่าอีกฝ่ายจะมีสังคมใหม่แล้วลืิมตัวเอง ผมไม่รู้ว่าคงอยู่เลือนหายไปผมก็ไม่อาจจะรู้ได้ ก็ได้แต่หวังว่าเราจะยังคงมีเราเหมือนอย่างในวันนี้

คลื่นน้ำที่มีก้อนเมฆน่ะ มันดีมากๆ เลยนะ แต่ก็ไม่รู้ว่าก้อนเมฆจะคิดยังไงที่มีคลื่นน้ำอยู่ด้วย

'ก้อน' ผมเอ่ยเรียกร่างผมมากบางที่คุ้นตาพลางยืนทิบไปด้วย ขนาดออกกำลังกายอยู่บ่อยๆ แต่พอมาวิ่งเร็วๆ แบบนี้ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ

'มาช้า!' ก้อนเมฆในวัยสิบสองปีตวัดสายตามมองหน้าผมอย่างไม่พอใจ คิ้วเรียววิ่งชนกันแน่น ใบหน้าก็บึ้งตึงไปตามระดับความโกรธ

'ก็อาจารย์ปล่อยเลท' แอบชอบถอนหายใจเบาๆเมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย นี่เพิ่งโกรธเลเวลาหนึ่งครับง้อไม่ยากหรอก

'รอตั้งนานแล้วนะ' ปาดเล็กยังคงเบะอยู่เหมือนเดิม แถมอีกฝ่ายก็ไม่ยอมลุกเดินมาหาผมอีกด้วย

'ขอโทษ' ผมบอกออกไปอย่างรู้สึกผิดจรืงๆ ครั้งนี้ผมผิด ผมไม่เถียง น้องจะโกรธก็ไม่แปลก ก็ปมเล่นมารับเขาช้าไปเกือบหนึ่งชั่วโมงเลยนี่

'บอกให้ย้ายมาเรียนโรงเรียนเดียวกันก็ไม่ยอม'ยังครับ ยังไม่เลิกบ่นให้ผม โกรธเลเวลาหนึ่งก็จะแบบนี้แหละ จะบ่นๆ จนกว่าจะเหนื่อยแล้วหยุดไปเองครับผมก็มีหน้าที่หน้าไปเรื่อยๆ นั่นแหละ

'แล้วทำไมก้อนไม่ย้ายมา?' งงนิดหน่อยแต่ไม่เข้าใจมาก มาบอกให้คนอื่นย้ายแล้วทำไมตัวเองไม่ย้ายมาวะ? โรงเรียนที่ผมเรียนอยู่ตอนนี้ก็ขึ้นชื่อประถม เป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ เลยด้วย

'ก้อนไม่ชอบนี่ เรียนนานชาติดีว่าตั้งเยอะ'

ถ้าบอกว่าค่าเทอมของผมแพงแล้วนั้นของก้อนเมฆนี่ไม่ต้องพูดถึง นานชาติทีมาตรฐานระดันดับโลดแพงแบบขายบ้านเรียนได้เลย แต่โชคดีที่บ้านเรารวยมันเลยไม่เป็นปัญหา แต่มันก็มีปัญหาหาตรงที่ผมต้องมารับอีกฝ่ายกลับนี่แหละ ก็จริงที่บ้ายเรารวยมากและบ้านเราก็มีรถหลายคัน มีคนไปรับไปส่ง แต่บางครั้งเจ้าตัวเล็กของบ้านก็มีอารมณ์อยากจะนั่งรถโดยสารบ้างอยากจะไปนู่นไปนี่แบบที่ให้ผมพาไปโดยไม่เพิ่งคนขับรถขิงที่บ้าน แน่นอนว่าผมทำให้ได้ อย่างวันนี้ก็นัดกันจะไปกินไอศกรีมก่อนกลับบ้านแต่เพราะอาจารย์ประจำวิชาของผมปล่อยเลทเลยทำให้กว่าจะมาหาอีกฝ่ายได้ก็ใช้เวลาไปเยอะ นี่ขาดโรงเรียนอยู่ไม่ไกลกันมากนะ ยังเล่นผมหอบเลย

ก็งงกับตัวเองว่าวิ่งมาทำไม ทำไมขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ครับจ้างมาวะ

'แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะพูดไทยชัด?' ยกมือขึ้นกอดอกมองเด็กตัวขาวนิ่ง ก้อนเมฆเกิดที่อังกฤษและอยู่ที่นั่นมาตลอดจนกระทั่งเกือบหกขวบก็ย้ายมาอยู่ไทยอย่างถาวร แต่ถึงจะพูดภาษาไทยได้ อ่านออกเขียนได้ แต่ก็ไม่ชัดเจนและถูกต้องเท่าที่ควรจะเป็น ยิ่งมาเรียนโรงเรียนนานชาติที่ภาษาในโรงเรียนคือภาษาอังกฤษ เจ้าตัวยิ่งพ่นภาษาอังกฤษไฟแลบ กลับบ้านมาบางทียังลืมตัวเลย ผมที่เป็นคนสอนภาษาไทยให้ในเวลาที่ว่างก็ต้องกุมขมับอยู่บ่อยๆ เรื่ิองพูดนี่ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่าเรื่องเขียนเลยครับ

'นี่ก็ชัดแล้วนะ' เจ้าตัวเเสบว่าออกมาอย่างมั่นใจ

'ใครบอกเหรอ?' เอาความมั่นใจมากขนาดนั้นมาจากไหนวะ?

'ชัดที่สุดในคลาสแล้ว!' เสียงเกลมเล็กร้องโวยกลับมา

'ขี้โม้' ผมเบ้ปากเขาๆ ผมว่าเจ้าเด็กที่ชื่อซินหรืออะไรสักอย่างที่เป็นเพื่ิอนเขาน่ะยังพูดชัดกว่าอีกทั้งที่อีกฝ่ายเป็นลูกครึ่งหน้าฝรั่ง ผิดกับก้อนเมฆที่เป็นคนไทยแท้ๆ แค่ไปเกิดและโตที่อังกฤษเฉยๆ

'ว่าอีกจะไม่คุยด้วยแล้วนะ งอน' แขนเรียวเล็กยกขึ้นกอดอกตัวเองแน่น ใบหน้าน่ารักอง้ำมากขึ้นกว่าเดิม ท่าทางที่บ่งบอกว่างอนทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคออย่างเอ็นดู

'ต้องง้อยังไงถึงจะหายงอน? แม้จะจำไม่ได้แล้วว่าก้อนเมฆงอนผมกี่ครั้งต่อสัปดาห์หรือตั้งแต่ที่รู้จักกันมาก้อนเมฆใช้คำว่างอนไปมากเท่าไหร่แล้ว ผมไม่เคยจำ ผมจำได้แค่ว่าผมจะต้องเป็นฝ่ายง้ออีกฝ่ายตลอด แต่ทุกครั้งที่ทำก็ทำด้วยความเต็มใจทั่งนั้น มันดีเสียอีกที่คนให้ง้อน่ะ เพราะทุกครั้งหลังจากที่ผมง้อก้อนเมฆได้แล้วผมก็จะได้เห็นรอยยิ้มกว้างๆ บนใบหน้าของเขา มันดีจริงๆ นะ

'ต้องซื้อขนมมาให้เยอะๆ' เจ้าอ้วนเอ๊ยมันเขี้ยวว่ะ

'เดินมาจับมือแล้วจะพาไปซื้อขนม' ผมว่าพร้อมยื่นมืออกไปรอให้คนเดินเข้ามาจับ

'ก็ได้' คำตอบรับสั้นๆ แบบไม่มีเล่นตัวมาพร้อมกับรอยยิ้มชนๆ มือเล็กที่หนุ่มนิ่มเหมือนมาร์ชเมลโล่วางลงบนมือของผมได้อย่างพอดิบพอดี ผมกระชับฝ่ามือให้แน่นขึ้นแล้วจูงคนที่ตัวเล็กกว่ามากให้เดินไปด้วยกัน

วันนี้ิาจต้องเสียงเงินเยอะหน่อย แต่มันก็คุ้มค่าล่ะนะ

'อันนี้ใครให้มา?' ตุ๊กตากระต่ายสีขาวตัวเล็กขนาดสิงฝ่ามือถูกยื่นมาตรงหน้าของผมพร้อมกับน้ำเสียงแข็งๆ ที่เอ่ยถามออกมา

'เพื่ิอนในห้อง' ผมเหลือมองคนถามเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงมาทำการบ้านต่อ แต่เชื่อเถอะว่าสมาธิของผมไม่ได้จดจ่ออยู่ที่การบ้านวิชาคณิตศาสตร์อีกต่อไป

'ผู้หญิงผู้าย' ก้อนเมฆในวัยสิบสี่ปียื่นมือมาปิดการบ้านของผมอย่างเอาแต่ใจเมื่อเห็นว่าไม่ยอมสนใจเขา ใครบอกกันล่ะว่าผมไม่สนใจเขาน่ะ

'ผู้หญิง' ผมเอนหลังกับพนักเก้าอี้ตอบกลับสบายๆ พลางลอบอมยิ้มกับตัวเองในตอนที่เห็นใบหน้าบึ้งตึงระดับสามของอีกฝ่าย ระดับอารมณ์โกธรที่มาเกินครื่่งทำเอาผอารมณ์ดีขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด ทั้งที่ก่อนหน้านี้กำลังปวดหัวอยู่กับการบ้านแท้ๆ

'เอาไปทิ้ง' บอกเสียงแข็งพร้อมทำท่าจะโยนต๊ะตาตัวน้อยลงถังขยะข้างโต๊ะทำงาน

'ทิ้งทำไม' ผมรีบคว้าแขนเรียวเอาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ทำอย่างที่ใจคิด ผมไม่ได้หวงของในมือเล็กหรอกครับ ผมแค่อยากแหย่เจ้าตัวแสบเฉยๆ

'ไม่ชอบ' แต่ผมชอบนะ หมายถึง ชิบเวลาที่ก้อนเมฆดูหวงผมแบบนี้

'น่ารักดีิออก' ผมว่ายิ้มๆ

'อะไรน่ารัก?' ดวงตาคู่กลมหรี่มิงผมอย่างไม่พอใจ

'ก็ของนี่ไง' จริงๆ ผมหมายถึงเขานั่นแหละ แต่ถ้าพูดไปก็ไม่ได้เห็นอารมณ์ฉุนเฉียวของอีกฝ่ายสิครับ ถ้าเป็นแบบนั้นผมคงไม่รู้หรอกว่าก้อนเมฆหวงผมมากขนาดไหน

'ไม่เห็นน่ารักเลย' เจ้าเด็กแสบจับตุ๊กตาในมือพลิกดูไปมาแล้วก็เบะปากเบ้หน้าออกอย่างไม่ชอบใจ

'น่ารักจะตาย' เห็นแบบนั้นแล้วก็ยิ่งอยากแกล้งมากขึ้นกว่าเดิม

'ไม่น่ารัก! เค้าน่ารักกว่าตั้งเยอะ!'โวยวายเสียงดังแล้วก็โยนตุ๊กตากระต่ายที่น่าสงสารนั่นลงถังขยะที่ว่างเปล่าไปหน้าตาเฉย

ร้ายใช่เล่นนะเจ้าเด็กคนนี้

'เค้า?' ผมทวนคำพูดของอีกฝ่ายอย่างงงๆ แต่ภายในใจนี่เต้นเสียงดังโครมกับคำแทนตัวน่ารักๆ นั่นแล้ว

'งื้อ~ ได้ยินเพื่อนผู้หญิงคนไทยในคลาสเรียกแทนตัวเองแบบนี้แล้วมันติด' พอรู้ว่าตัวเองหลุดพูดอะไรออกมาเจ้าก้อนสีขาวของผมก็ยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองส่งเสียงแง้วๆ ออกมาอย่างน่าเอ็นดู

'น่ารัก' ผมฉีดยิ้มกว้าจนปากแทบจะฉีกถึงรูหู น่ารักเก่าขนาดนี้ไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะ?

'เพื่อนเค้าเหรอ?' พอได้ยินผมพูดแบบนั้นก้อนเมฆก็ชะงักนิ่งไปแวบหนึ่ง มือเล็กยกออกจากใบหน้าของตัวเองแล้วมองสบตากับผมนิ่ง

'เปล่า ก้อนเมฆ ผมติบตามที่คิดออกไป

'แฮ! ถ้าอย่างนั้นเค้าเอาอันนี้ไปทิ้งเนอะ',โยนทิ้งลงถังขยะไปแล้วยังจะมาชี้ถามอีก! เจ้าตัวแสบยิ้มเปล่ออกมาก่อนจะก้มไปหยิบตุ๊กตาที่น่าสงสารขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าคนใจร้ายจะเอามันไปโยนทิ้งนอกห้องนะครับ

'เสียดาย' ผมว่าเสียงอ่อย ตอนที่รับมาก็ตั้งใจว่าจะเอามาให้ก้อนเมฆนั้นแหละ ไม่ได้รับมาเพราะอยากได้หรือชิบพออะไรคนให้หรอก ก็เห็นมีนน่ารักเีก็เลยรับๆ มา

'แต่เค้าไม่ชอบ!' ดุจังโว้ย!

'เอาไปให้ลูกคนขับรถสิ' ถ้าจะทิ้งก็น่าเสียดาย ถึงมันจะไม่ได้ราคแพงอะไรมากนักแต่นั่นก็เงิน น่าเสียดายออกนะ

'จริงด้วย! น้องเพิ่งคลอดนี่' เจ้าก้อนสีขาวของผมตาโตเมื่อนึกขึ้นไป

'อืม เอาไปให้น้องเล่นก็ได้' โชคดีที่ถังขยะใบนี้ยังไม่เยได้ใช่ เพราะอย่างนั้นตุ๊กตาตัวนี้ก็ถือว่ายังสะอาดดีอยู่

เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ผมได้รู้ว่าเจ้าเด็กก้อนเมฆขี้หวงสุดๆ ไปเลย

'คลื่นน้ำ! คลื่นน้ำ! คลื่นน้ำ! คะ...' ก้อนเมฆในวัยสิบหกปีกระโดโลดเต้นไปมาบนเตียงที่มีผมนอนหลับอยู่ แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะนอนหลับต่อไปได้เพราะถูกเจ้าเด็กแสบรบกวนเวลานอนตอนกลางวันไปเสียแล้ว

'เรียกอรกคำเดียวกัดลิ้นขาดเลยนะ' ผมสืมตาขึ้นจ้องหน้าคนที่ยังไม่ยอมหยุดกระโดดไปมาบนเตียง ค่อนข้างจะหงุดหงิดไม่น้อยที่ถูกบั่นป่วนขนาดนี้ แต่เพราะอีกฝ่ายคือก้อนเมฆ ผมเลยทำอะไรไม่ได้

'ไม่เรียกก็ได้' พอได้ยินผมพ฿ดออกไปอย่างนั้น เจ้าตัวดื้อก็เม้มปากแน่ลงมานั่งพับเพียบเรียบร้อยอย่างสงบเสงี่ยมบนเตียงทันที

เออ ให้มันได้อย่างนี้สิ ไอ้ตัวแสบ!

('เมื่อไหร่จะกลับ? กลับมาได้แล้ว') เสียงใสที่ดังมาตามสายทำให้ผมที่กำลังเหนื่อยล้าจากการทำงานส่งอาจารย์หายเหนื่อยขึ้นมาได้เป็นปลิดทิ้ง

'งานเสร็จก็กับแล้ว' เหลือบมองงานตรงหน้าแล้วก็มีกำลังใจที่จะทำขึ้นมาอีกครั้งเหลืออีกไม่เยอะแล้ว คาดว่าคืนนี้น่าจะเสร็จ

('แล้วงานจะเสร็จเมื่อไหร่') ก้อนเมฆในวัยสิบแปดปีเอ่ยถามผมเสียงอ่อย ผมพอจะนึกสีหน้าและท่าทางของคนปลายออกป่านนี้น่าจะกำลังนั่งกอดเข่าทำหน้าหงิยอยู่บนเตียงในห้องนอนของผมแน่ๆ

'คงเสร็จหรอกมีเด็กโทรมาป่วนทุกวันแบบนี้' ถึงจะแสร้งทำเป็นบ่นออกไป แต่จริงๆ ผมชอบมากเลยนะ แม้จะห่างกันมาร่วมหนึ่งอาทิตย์ได้แล้วแต่ิีกฝ่ายก็มันจะโทรมาหาอยู่ทุกวัน คำถามก็ซ้ำๆ เดิมๆ งานเสร็จหรือยัง? จะกลับเมื่อไหร่? หรือไม่ก็บอกให้รีบทำให้เสร็จเร็วๆ คำพูดที่ดูอ้อมโลกไปมาแต่รวมๆ แล้วก็คือคิดถึงนั่นแหละ

('กลับ! มา! ได้! แล้ว! อย่า! ให้! ต้อง! โม! โห! ') คำสั่งที่โคตรเอาแต่ใจดังมาตามสายพอสั่งจบก็กดวางสายไปเสียดื้อๆ ทิ้งให้ผมเคว่าอยู่เพียงตามลำพัง

'ไอ้ดื้มเอ๊ย! ' ทั้งที่ไม่ชอบให้ใครมาออกคำสั่งดูเหมือนว่าก้อนเมฆจะคือข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียวของผม ปากที่พยายามจะเม้มแน่นก็ฉีดออกกว้าง เป็นแบบนี้งานคงต้องเสร็จภายในคืนนี้แล้วล่ะ

และก็เป็นอย่างที่คิด ผมทำงานเสร็จภายในคืนนั้น อยากจะนอนแผ่ให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ก็คิดได้ว่ามีบางสิ่งที่อยากจะทำก่ินนอน เฮี้ยวตัวไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ตีสามกว่าแล้ว เจ้าก้อนของผมคงหลับไปแล้วส่งข้อความไปบอกว่าพรุ่งนี้จะไปรับหลังเลิกเรียนแล้วก็ปล่อยให้ตัวเองนอนหลับไปทั้งอย่างนั้นด้วยความเหนื่อยล้า

KKonMekh

วันนี้เลิกเร็ว ไปรอที่ห้างนะ 14:32

KKhlunNam

14:49 โอเค

ผมมองข้อความล่าสุดที่เพิ่งคุยกับเจ้าเด็กแสบไปเมื่อราวๆ หนึ่งชั่วโมงก่อน ข้อดีของโรงเรียนนานาชาติคือจะไม่เรียนหนักเหมือนโรงเรียนรัฐบาล เวลาเลิกเรียนจึงไม่เย็นมากนัก บางวันบ่ายๆ ก็เลิกเรียนแล้วเพื่อให้เด็กนักเรียนได้มีเวลาว่างในการทำกิจกรรมนอกห้องเรียน รวมไปถึงการเน้นที่จะลงมือปฏิบัติจริงมากกว่าการนั่งท่องตพราหรือเรียนแต่ในหนังสือ ก้อนเมฆเรียนโรงเรียนนี้มาตลอดตั้งแต่หกขวบจนตินนี้ก็แีสุดท้ายแล้ว น้องชิบโรงเรียนนี้มาก ต่างจากผมที่ตินแระถมถึงมัธยมต้นเรียนโรงเรียนเอกชน แต่พอเข้ามัธยมปลายก็ไปสิบเข้าโรงเรียนรัฐบาลที่เป็นอันดับๆ ของประเทศเพราะิยากจะทดสอบวัดระดับความรู้ความสามารถของตัวเองแล้วก็กลองเปลี่ยนบรรยากาศในการเรียนดูบ้าง ซึ่งมันก็ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ควร ส่วนปัจจุบันตินนี้ผมก็ิยู่มหา'ลัยปีสิงแล้ว ผมยังคงอยู่บ้านไม่ได้ย้ายไปอยู่หอกรืออยู่คอนโดเหมือนพวกเพื่อนๆ

ชีวิตของผมพอเลิกเรียนก็มักจะตรงกลับบ้านทันที เพราะมีอีกหนึ่งผมต้องคอยไปรับจากที่โรงเรียน แต่หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ผมจำเป็นที่จะต้องไปค้างที่คินโดเพาระมีงานที่ต้องทำส่ง ผมไม่สะดวกที่ให้เพื่อนมานั่งทำงานกันที่บ้าน ผม้ลยต้องค้างที่คินโดและให้เพื่อนๆ ไปทำงานที่นั่นกัน แม้มันจะเป็นงานเดี่ยวแต่การนั่งจับกลุ่มทำด้วยกันก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ใครเสร็จก่อนก็ช่วยเพื่อนต่อ มีแต่เมื่อคืนแหละครับที่แยกย้ายกับทำก้องใครห้องมัน พอมาวันนี้ผมก็ไปเรียนตามปกติแล้วก็มารอรับเด็กแสบที่ห้างตามที่ใครอีกคนได้บอกเอาไว้

เดินเข้ามาในห้างพลางกวาดสายตามิงไปริบๆ มือก็เตรียมจะกดฌทรหาอีกฝ่ายไปด้วย แต่อล้วสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร่างผิมบางที่คุ้นตากำลังยืนคุยกับใครบางคนที่ผมไม่รู้จักอยู่

"ขอไลน์เหรอ? เอาเบอร์ไปเลยก็ได้ เราใจดี เราชื่อก้อนเมฆ' เสียงทุ้มหวานที่ผมรู้จักดีขึ้นมาจากร่างเพรียวบางของเด็กวัยมัธยมปลาย คิ้วผมกระตุกยิกๆ ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น แต่เพราะอยากจะรอดูไปก่อนเลยขยับเดินเข้าไปใกล้อีกนิดแล้วยกมือขึ้นกอดอกยืนดูเหตุการณ์ตรงหน้าต่อไป

'ขอบคุณนะ เราชื่อน้ำหนาว" สาวน้อยใสในชุดนักเรียนมัธยมปลายชื่อดังวาดยิ้มกว้างขึ้นเต็มใบหน้าดงาน ใช่ เธอสวย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักในเรื่องนี้

'เอาเลขห้องด้วยเปล่า? มานั่งเล่นได้นะห้องกว้างแอร์เย็นแถมฟรีไวไฟ" ไม่มีหรอกหวงตัว มีแต่เสนอตัวให้เขา ไม่รู้ว่าตกลงใครเป็นคนเข้าไปจีบใครกันแน่ แต่เห็นแบบนั้นแล้วโคตรน่าหงุดหงิดเลย

"ถ้ายังไม่เลิกกระรี้จะตี้ให้ตายคามือเลยนะ" สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ืนดูต่อไปไม่ได้ต้องเดินออกไปขัดทสนทนาของทั้งสองคน

"Shit!" คนถูกขัดกันมามองหน้าผมด้วยความตกใจพร้อมกับคำสบถที่ไม่น่ารัก

"เวลาเจอหน้ากันแบบนี้เหรอ" ผมตวัดสายตามิงใบหน้าขาวเนียนที่เริ่มชีดลงเรื่อยๆ ิย่างไม่สบอารมณ์

วันนี้มีเคลียร์กันยาวแน่

"เอ่อ แหะๆ ขอโทษครับ" ตากลมกลอกมิงไปมาเลิ่กลั่กก่อนจะหยุดลงแล่วจบตรงที่หัวเราะอห้งๆ พร้อมจ้องหน้าผมตาแป๋วทำหน้าชื่อตาใสใส่เหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิด

"งับที่กน้าสิ!" ผมสวนกลับเสียงอข็ง

คิดว่าน่ารักมากเหรอวะ"

เออ ด็น่ารักไง แต่นี่ไม่ใช่เวลา ตินนี้คือหัวร้ินมาก มาทำตัวน่ารักยังไงก็เอาไม่ิยู่ว่ะใจเย็นไม่พอ

"อุ้ย" คนตัวเล็กกว่าสะดุ้ง้บาๆ ก่อนจะหัวเราะแก้เก้ออดมาเมื่อรู้ว่าครั้งนี้ผมไม่ใจอ่อนเหมืินที่ผ่านมา

"เอ่อ สวัสดีค่ะ เป็นพี่ชายของก้อนเมฆเหรอคะ?" หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวเอ่ยทักผมขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองได้ตัวตนในวงสนทนาด้วย

"อืม พี่" ผมตอบรับกลับไปโดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ทีใบหน้าเรียวได้รูปสวยไม่วางตา ก้อนเมฆที่ถูกผมจ้องมากๆ เข้าก็เริ่มอยู่ไม่สุข ข้างขมับขาวมีเม็ดเหงื่อซึงออกมาให้ได้เห็น มือไม้ก็เริ่มอยู่ไม่นิ่ง

"สะ..." น้องที่ชื่อน้ำหวานอะไรสักอย่างทำท่าจะยกมือขึ้นไหว้ผม

"ที่พี่ไม่ได้แปลว่าพี่" แต่ผมก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน

"คะ?" เธอมองหน้าผมอย่างงงๆ เหมือนอยากจะถามต่อว่าผมหมายถึงอะไร

"ไม่ได้แปลว่าพี่แล้วแปลว่าอะไร? แปลว่าพ่อเหรอ?" ปากดีไปเถอะ เดี๋ยวจะได้ร้องไม่ออก

"เปล่า แปลว่าผัว" ก็ให้มันรู้กันไปว่าใครจะแน่กว่ากัน

"หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ ใบหน้าสวยมีิาการตกใจถึงขึ้นช็อกเล็กน้อย ไม่ต่างจากใครอีกคนที่ผมยืนมองหน้าอยู่ ก้อนเมฆถึงกับตาโตอ้าปากค้างกับสิ่งที่ผมพูดออกไป

"เฮ้ย! ยังไม่ได้เป็นโว้ย! ไอ้บ้า!" พอตั้งสติได้ก็ร้องโวยวายออกมาทั้งที่หน้าแดงหูแดงไปหมด ก็ไม่รู้ว่าโกรธหรือเขินกันแน่ แต่เรื่ิงนั้นเอาไว้ก่อน ผมมีเรื่องที่สำคัญว่าต้องจัดการ

"กลับบ้าน! เดี๋ยวทำให้เป็นวันนี้เลย! "ไม่รอให้อีกฝ่ายำด้ร้องโวยวายหรือขัเขืน ผมรีบลากแขนเรียวเล็กออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจด้วยสาวน้อยคนนั้นจะคิดยังไง เพราะยังไงเราก็คงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สองหรอก หรือต่อให้เจอกันเพราะความบังเอิญแล้วยังไง? เธอจะกล้าเข้ามายุ่งกับคนของคนอื่นหรือไงกัน

บทที่ 3 WHTTE & BLUE :2

02

คลื่นน้ำ (20)

------------------------------------------------

'โอ้ย! เบาหน่อยสิ เจ็บนะ" เจ้าเด็กแสบร้องโวยเสียงดังหน้างอ มือเรียวขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆสงสังหัวจะไปกระแทกกับของประตูรถตอนจับตัวอีกฝ่ายยัดเข้าไปในรถ ผมชะงักไปนิดเมื่อรู้ตัวเผลอทำให้ใครอีกคนเจ็บเข้า

"ก็ทำให้เจ็บไง" แต่เพราะกำลังโมโหอยู่ผมเลยแสร้งทำเมินแล้วว่ากลับเสียงแข็ง ปิดประตูรถแล้วถอนหายใจยาว ยังไม่ทันไรผมก็ใจอ่อนแล้ว แค่เห็นน้องเจ็บผมก็ไม่กล้าที่จะเกือบนาทีถึงได้เดินไปขึ้นรถฝั่งคนขับ

"เมื่อกี้ทำอะไร?" ขับรถออกมาจากห้างได้สักพักใหญ่แล้วแต่ก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา คนข้างตัวผมนั่งนิ่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยขึ้นมาผิดจากทุกที สุดท้ายก็เป็นผมเองที่ทนไม่ไหวเลยต้องเอายปากถามขึ้นมาก่อน

"ทำอะไร?" ก็เขามาของเบอร์" คนตัวเล็กกว่าสะดุ้งเบาๆ แล้วทำทีเป็นใจกล้าว่าออดมาหน้าตาย

"แล้วก็ให้เหรอ?" ใจง่ายไปไหมวะ?

"โตแล้วจะทำอะไรก็ได้ โสดไงจะแจกเบอร์ให้ใครก็ได้" เจ้าตัวแสบว่าออกมาอย่างไม่ยี่หระ ผิดกับผมที่กำลังเดือดได้ที่เลยล่ะ

"พูดอีกทีกูตีปากแตกนะ" ตวัดตามองยกนิ้วชี้หน้าอีกฝ่ายอย่างคาดโทษ ปากดีจริงๆเลย

"อย่างหยากับน้อง!" โวยวายเก่งจริงๆแล้วนั่นใช่เรื่องที่ควรสนใจไหมวะ?

"น้องเหี้ยไร? กวนตีนขนาดนี้เดี๋ยวเจอดี!"ก็ไม่ได้คิดเอาไว้ว่าเจอหน้ากันครั้งแรกในรอบหนึ่งสัปดาห์อีกฝ่ายจะทักทายกันด้วยคำสบถหรอกนะ แถมเจอกันรอบยนี้ยังมาเจอใหสภาพที่ไอ้ตัวดื้อกำลังก้อร่อติดอยู่กับผู้หญิงคนอื่นอีก ไม่ตบให้หัวทิ่มก็บุญเท่าไหร่แล้ว

"้ค้าจะฟ้องคุณป๊า!" ทำอะไรไม่ได้ก็ฟ้องพ่อตลอดแหละ ตั้งแต่เด็กยันโต โคตรดื้อโคตรเอาแต่ใจเลย

"เออดี! ฟ้องไปเลย บอกให้หมดด้วยนะว่าเราเป็นอะไรกัน' ผมตวัดเสียงอข็งใส่อย่างที่เริ่มจะอารมณ์เสียอีกริบ ก่อนหน้านี้ก็พยายามทำให้ใจเย็นลงแล้ว ผมไม่เคยคิดอยากทะเละกับน้อง ถ้ามีปัหากันก็อยากคุยกันด้วยเหตุผล ไม่ิยากใช้อารมณ์

"เป็นอะไร? ไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อยอ้อ เป็นพี่น้องไง เอ หรือเป็นอาหลานนะ?"แต่ดูท่าว่าอีกฝ่ายจะเก่งเรื่องกวนอารมณ์เหลือเกิน เด็กบ้า วันๆ ไม่ทำอะไรกรอกนอกจากปั่นหัวผมให้เป็นบ้าเรื่อยๆ อล้วผมก็เป็นไอ้บ้าที่คอยไล่ตามอีกฝ่ายไม่ไปไหน วิ่งวนมันอยู่อย่างนั้นเหมือนหาทางออกไม่เจอแต่ต่อให้มีทางออกจริงๆ ผมก็คงไม่ไผไหนอยู่ดี

"เป็นผัวเมีย" ผมว่าออกมาด้วยท่าทีสบายๆ เรื่องไม่ได้มีคนกวนประสาทเก่งอยู่แค่คนเดียวหรอกนะครับ

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้กัน!" ผมอยากจะตีปากเล็กๆ ที่ชอบโวยวายเสียงดังนั้นจึงสัญญาจะตีให้ร้องไม่ออกเลย แต่ตีด้วยปากของผมนะ ไม่ใช่มือ

"เป็นตอนนี้ไหมล่ะ? บนรถก็ได้ เร้าใจดี" พูดจบก็ทำท่าจะตบไฟเลี้ยวเข้าข้างทางย้ำบ่อยนักขะทำให้เป็นเดี๋ยวนี้แหละ

เพี๊ยะ!

"มึงหื่นเกินไปละพี่" ฝ่ามือเล็กที่พาดลงมาเต็มแรงที่ต้นแขนของผมกับสีหน้านิ่งๆของคนข้างตัวมันโคตรจะขัดกันเลย ผมแอบซี๊ดปากเบาๆ เพราความแสบที่ต้นแขน

"มึงกับใคร?" หันมองอีกฝ่ายตาดุในตอนที่รถติดไฟแดง วันนี้ไอ้เด็กแสบของผมหลุดคำหยาบมาหลายรอบแล้ว ไม่รู้ไปติดมาจากไหน ปกติไม่พูดคำพวกนี้หรอก ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะมาพูดกูมึงกับน้องนะคือถ้าไม่สุดๆ จริงๆ จะไม่พูดเลย แต่วันนี้ไม่ไหวแล้วไงหัวร้อนสุดอะไรสุด

"นิดๆ หน่อยๆ เอง" ทีอย่างนี้ล่ะมาทำเสียงอ่อยอยากจะจับมาฟาดแรงๆ ให้หายดื้อสักที แต่ก็รู้ว่าตีไปก็เท่นั้น เจ็บมือเปล่าๆ ครับ ตีให้ตายก็ไม่ช่วยอะไรหรอก

'กลับไปไม่รอดแน่' ผมไม่ชอบเวลานั่งเถียงกันตอนขับรถเพราะผมเหมือนเสียเปรียบไง จะทำอะไรอีกฝ่ายก็ไม่ได้ มีแต่โดนกระทำตลอด เมื่อกี้ก็ตีซะไหล่สะท้านเลย มือก็ไม่ใช่เบาๆ อย่าให้ได้เอาคืนนะเว้ย จะเล่นให้หนักเลย

"จะทำอะไร? อย่างนะ สู้นะเว้ย คนเขาเป็นลูกมีพ่อมีแม่ จะทำอะไรก็เกียรติกันหน่อย" ถ้าถามว่าก้อนเมฆกวนตีขนาดไหน? ก็ตอบได้เลยว่ากวนตีนฉิบหายเลย

"พ่อมึงก็พี่กูนี่แหละ" กลัวตายล่ะ

เอ๊ะ! บอกแล้วไงว่าอย่างหยาบกับน้อง" ก็ใครแม่งกวนตีนก่อนวะ?

"ทำตัวไม่ว่าน่ารักก่อนเองนะก้อน" จะให้คนอื่นมาพูดดีด้วยแต่ตัวเองนี่น่าพูดดีตายแหละ

"เรียกก้อนอีกละ" ปากเล็กเเบะออกอย่างขัดใจ

"อย่าเปลี่ยนเรื่อง" ถ้าเป็นปกติผมคงรีบง้ออีกฝ่ายไปแล้ว แต่นี่ไม่ปกติไง

หมายถึงอารมณ์ผมนะ ไม่ปกติ ไม่ง้อหรอก เดี๋ยวเด็กมันจะได้ใจ

"แล้วเค้าทำอะไรล่า~" ความก้อนเมฆคือพอทำผิดก็จะเริ่มทำตัวน่ารักให้คนอื่นใจอ่อน ความน่ารักความขี้อ้อนนี่มาเต็มสุดอะไร ฉลาดนักเรื่องเอาตัวรอดเนี่ยทำเป็นเสียอ่อนเสียงหวานแถมทำหน้าชื่อตาใสใส่อีก

"ลับหลังนี่เป็นอย่างนี้ตลอดเหรอวะ? คือปล่อยให้ห่างสายตาไม่ได้เลยใช่ไหม? จะต้องเที่ยวแจกเบอร์หว่านเสน่ห์ชาวบ้านเขาไปทั่วอย่างนี้เหรอก้อน?"ผมว่าอย่างหัวเสีย เป็นใครมาเจอแบบนี้ไม่หัวเสียบ้างวะ? ลองถ้าคนของตัวเองไปหยอกล้อกับคนอื่นก็ต้องโมโหกันทุกคนแหละ

"เขามาขิงเองหรอก นี่ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ยืนหล่อๆ เขาก็้ข้ามาหาเอง นี่ก็ลำบากใจเหมือนกันที่เกิเมาหล่อ" มั่นหน้าไปอีก มั่นใจให้ห้ามั่นหน้าให้สิบ ก็ถ้าคนที่พูดไม่ใช่ก้อนเมฆผม็ตบหัวทิ่มไปแล้ว ในขณะที่ผมกำลังจริงจังแต่อีกฝ่ายก็ยังเล่นไม่เลิก

"แล้วทำไมไม่ปฎิเสธ ยังจะไปเล่นหูเล่นตากับเขาิีก" ปกติก็พูดไปสิว่าไม่ให้หรือให้ไม่ได้ อต่นี่ไม่มีหรอกปฎิเสธน่ะ นอกจากจะไม่ปฏิเสธแล้วยังมีหน้าชนวเขาไปห้องอีก แบบนี้ไม่เรียกว่าอ่อยก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วนะครับ

โคตรเชิญชวนเลย

"ก็เขาสวย" เดี๋ยวจะศพไม่สวยนะ

"แต่มึงมีผัวแล้ว!" ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะวะเนียนๆ ไปก่อน

"ก็บอกว่ายังไงได้กัน! ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย เป็นแค่พี่น้องอย่าเยอะน่า" พี่น้องท้องชนกันไหมล่ะมึง"

"พี่น้องเขาไม่จูบกันนะก้อน" ผมว่าเสียงนิ่งแล้วหันไปสบตากับคนข้างตัวในตอนที่รถติดไฟแดงอีกครั้ง

"พูดอยู่นั้นแหละ อยากให้คุณป๊ากับคุณพ่อรู้มากเลยหรือไง?!" พอเถียงสู้ไม่ได้ก็โวยวายเสียงดังหน้าอใส่ เป็นแบบนี้ตั้งแต่หกขวบจนตอนนี้สิบแปดแล้ว โคตรดื้อเลย

"เออ อยากให้รู้จะตายอยู่ละ" เบื่อที่จะต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวคนอื่นรู้เหมือนกันและ

"จะให้อะไร? รู้ว่าเราจูบกัน กอดกันแต่ไม่ได้เป็นอะไรกันเหรอ?" ใบหน้าเรียวได้รูปเชิดขึ้น ปากเล็กขมุบขมิบบ่นไม่หยุดเถียงเก่งฉิบหายเลย

"ก็ใครมันไม่ยอมคบวะ? ขอไปหลายรอบแล้วนะ" ยกมือขึ้นเสยผมอย่างข่มอารมณ์ ใ่ว่าผมไม่เคยพูดเรื่องคบเป็นแฟน นี่พูดไปหลายรอบแล้ว แต่ไอ้ตัวดื้อมันไม่ยอกม บ่ายเบี่ยงตลอด สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละไม่ได้เป็นแฟน ิยู่กันแบบพี่น้องที่จูบกันได้กอดได้

"ก็ยังไม่พร้อมนี่!" ถามกี่ทีก็บอกยังไม่พร้อมๆ

"ไม่พร้อมอะไร? จะรอเรียนจบก่อนหรือไง?" เออ แล้้วแต่เหอะ ตามใจเลย ทุกวันนี้คือยอมหมดทุกอย่างแล้วไง

"มันไม่แปลกๆ เหรอ? เราเป็นพี่น้องกันมาตลอดเลยนะ แล้วจู่ไ จะมาเปลี่ยนเป็นแฟน มันอบบ.." เสียงทุ้มหวานเอ่ยพึงพพออกมาก่อนจะค่อยๆ เบาลงแล้วเงียบหายไปผมชะงักเหลือตามองหน้าขาวที่เริ่มขึ้นสีแดงระเรื่อบนสองข้างแก้วของอีกฝ่ายแ้วก็ต้องหลุดยิ้มออกมา

"เขิน?" ท่าทางแบบนี้มีอย่างเดียวครับเดาได้ไม่ยากเลย

"....." เจ้าก้อนเมฆนิ่งไปเลยที่ได้ยินแบบนั้นดวงตาหลอดมองไปมาก่อนจะแล้วแสร้งยื่นมือมาเปิดเพลงในรถแล้วเบือนหน้าหนีออกไปมองข้างนอกรถแทน ทำทีเป็นไม่ได้ยินที่ผมพูด แต่หน้ากลับขึ้นสีเข้มมาดขึ้นก่อนเรื่อยๆ จนลามไปถึงใบหู

"ก้อน" ผมเอ่ยเรียกดีอีกครั้ง เห็นว่าท่าทางแบบนั้นแล้วอดจะเอ็นดูฉันมันเขี้ยวไม่ได้ทำไมต้องน่ารักขนาดนี้วะ? แล้วแบบนี้จะไม่ให้ผมหวงได้ยังไงกัน?

"อะไร?" ปากขานติบแต่ไม่ยอมหันมามองหน้ากันตรงๆ

"เขินเหรอ?" ผมแกล้งถามออกไปทั้งที่รู้ดีอยู่แล้ว ก็อยู่กันมาตั้งสิบกว่าปีแล้วทำไมเรื่องแค่นี้ผมจะดูไม่ออก

"ตัวเงียบๆ ได้เแล่า เค้าจะฟังเพลงแหน่! มีหันมาทำหน้านิ่งใส่ด้วย เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่แล้วครับ

แสบจริงๆ เจ้าเด็กคนนี้

"ลืมไปหรือเปล่าว่าใครมันสัญญาว่าโตขึ้นจะแต่งานกัน?" ขอวัดประโยคเด็ดขึ้นมามาใช้หน่วย เดี๋ยวถ้าไม่พูดย้ำบ่อยๆ แล้วเด็กมันจะลืมครับ

มันเป็นสัญญาในวัยเด็กของเราทั้งคู่ตอนนั้นไปเที่ยวบ้านที่หัวหินของพี่ทะเลกันผมจับน้องนั่งตักแล้วเราก็คุยกัน ลากพาเข้าเรื่องแต่งาน พูดหลอกล่อน้องนิดๆ หน่อยๆน้องก็ตกลงอย่างง่ายดาย ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นผมสิบปีแล้วน้องก็แค่แแดปีเอง จะด่าว่าแต่แดดก็ไม่โกรธครับ เพราะเรื่องจริง แต่เด็กแก่แดดในวันนั้นก็คือคนที่รัดมั่นคงในวันนี้นะครับผม

"เออ จำได้น่า แต่แบบ กูเพิ่งเดรด 12เองนะพี่มึง ใจเย็นเนอะ" ใบหน้าหล่อใสตามแบบเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่เขานิยมกันหันมาทำหน้าเบื่อหน่ายใส่ผม ท่าทางที่เหมือนจะเอื้อมระอาแต่ก็เขินไปด้วยมันดูตลกจนผมกลั้นยิ้มเอาไว้แทบไม่ิยู่ แต่ก็ต้องมาชะงักเพราะคำพูดคำที่ดูไม่น่ารักขิงอีกฝ่ายเข้า ดื้อใหญ่แล้วนะเดี๋ยวนี้

"กูมึงกับใครนะ?" ตวัดสายตาดุๆ ใส่อีกครั้ง

ผมไม่ค่อยชอบให้น้องพูดคำหยาบ ไม่ได้เคร่งเรื่องมารยาทอะไร แต่แค่คิดว่าคำหยาบพวกนี้มันไม่เหมาะกับน้องเลย ถึงจะรู้ว่าน้องไม่ได้จริงนะอะไรก็เถอะ แต่ก็ไม่อยากให้ติดเป็นนิสัย ิย่างผมเวลาคุยกับเพื่อนก็ดิบเถื่อนขั้นสุด ถึงจะเป็นการเหตุหยอกล้อกันกับเพื่อนแต่ถ้าคนอื่นมาเห็นก็ดูไม่ดีหรอด ผมไม่อยากให้น้องเป็นแบบนั้น อยู่บ้านผมก็ไม่พูดหยาบกับน้อง จะพยายามไม่หลุดคำหยาบให้ได้ยิน้ลย อต่ก็มีวันนี้แหละที่หลุดบ่อย ยิมรับว่าหัวร้อนมากเพราะิีกฝ่ายทำตัวน่าโมโหจริงถ้าไม่ติดว่าขับรถอยู่ก็อยากจะจับมาฟาดทุกครั้งที่อีกฝ่ายทำตัวดื้อใส่

"อรรถสน่า" คนตัวเล็กว่าพร้อมหัวเราะคิกคักขอบอกชอบใจอย่างน่าหมั่นไส้

"ทำไมยิ่งโตยิ่งดื้อวะก้อง?" นี่คำเป็นถามที่ผมค้างคาใจมาตลอดเกือบสิบสองปีที่อยู่ด้วยกันมา

อยากถามพี่ทะเลเหมือนกันว่าเลี้ยงลูกมายังไงให้ดื้อและซนได้ขนาดนี้ ผมเองก็ถูกพี่ทะเลเลี้ยงมาเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าตัวเองไม่ได้ดื้อและหน้ามึนเท่านี้เลย ผมไม่รู้ว่าก้อนเมฆแสบสันแบบนี้ได้ใครมา พี่ทะเลก็ออกจะเรียบร้อยสุภาพน่ารัก พี่ท้องฟ้านี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าไม่ได้ชื่อทะเลก็เหนื่อยหน่อยนะเวลาคุยกับคุณเขาน่ะเหมือนพี่เขาก็ไม่ค่อยอยากขยับปากพูดใครสักเท่าไหร่ พูดน้อยสุดในบ้านแล้ว ให้นับจำนวนคำที่พี่ท้องฟ้าพูดในหนึ่งปียังดูน้อยว่าก้อนเมฆพูดทั้งหมดหนึ่งเดือนเลยครับ แต่อย่าหว่านิทาเลย คือพูดก็พูดเถอะพอพี่ท้องฟ้าอยู่กับพี่ทะเลทีไรก็เหมือนกับเป็นคนละคนถ้าถามว่าใครทำตัวน่าหมั่นไส้ที่สุดในบ้านผมตอบได้เลยว่าพี่ท้องฟ้า พูดไปก็อาจจะยังไม่เข้าใจ เอาไว้เจอแล้วก็จะรู้เองแหละครับ

"ดื้อแล้วรักเปล่า?" เจ้าตัวแสบแผลงฤทธิ์อีกแล้วครับ ผมที่กำลังขับรถอยู่เกือบจะหักพวงมาลัยเข้าข้างทางเพราะใบหน้าเนียนที่ยื่นเข้ามาใก้ลกับหน้าของผมเสียงทุ้มหวานที่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มอ้อนๆ ตามแบบฉบับของเจ้าตัว

ตัวก็แค่นี้เอาอะไรมาน่ารักเยอะแยะวะ?

ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ? นี่มองเฉยๆ ยังเหนื่อยเลยใจเต้นแรงจนเหนื่อยไปหมดแล้วเนี่ย!

"ไม่" ผมเเกล้งตีหน้านิ่งตั้งใจขับรถต่อไปทั้งที่หัวใจกำลังทำงานหนัก ใจผมมันเต้นแรงมากมากจนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วทั้งหู บางครั้งก็กลัวเสียงมันจะดังเกิดไปจนใครอีกคนได้ยินเข้า

น่าอายนะครับที่เก๊กขรึมแต่ใจเต้นดังขนาดนี้ ถ้าเจ้าตัวแสบรู้เข้าผมโดนล้อตายเลย

"อ้าว!" ก้อนเมฆร้องเสียงหลบหน้าเหวทันทีที่ได้ยินผมตอบปฏิเสธ

"เป็นอะไรกันเหรอจะให้มารักน่ะ?" แกล้งหันไปมองสบตากับอีกฝ่ายหน้านิ่ง ขู่ให้เด็กมันกลัวครับ

"เหน๊! ทำเป็น น้อยใจเหรอ? โอ๋ๆ นะ" แต่ก้อนเมฆก็คือก้อนเมฆครับ กวนตีน

"รำคาญว่ะก้อน" ผมปัดมือเล็กที่ยื่นมาเกาคางผมออก ทำอย่างกับผมเป็นลูกแมวที่ชอบให้เกาคางลูบหัวไปได้

คิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะใจอ่อนเหรอ?

เออ ไม่ใช่แค่ใจอ่อนไง แม่งเหลวเป็นน้ำแล้ว!

"ง้อๆ เดี๋ยวคืนนี้ไปนอนด้วย เดี๋ยวให้กอดทั้งคืนเลย" เด็กอะไรโคตรขี้อ่อย มีอย่างที่ไหนบอกจะไปนอนห้องผู้ชาย แถมยังให้เขานอนกอดอีก เสอนตัวสุดอะไรสุด แล้วถามว่าผมชอบไหม? ก็คือขนาดนี้แล้วก็ไม่น่าถามไง ถ้าวาร์กลับบ้านได้ก็คือวาร์ปแล้ว นึกโมโหอยู่เหมือนกันที่กรุงเทพรถติดอะไรเยอะแยะขนาดนี้

"ไม่กลัวถูกจับได้หรือไง?" ผมแกล้งถามหยั่งเชิงกลับไป ปกติเห็นกลัวคุณพ่อกับคุณป๊าจะเหลือเกินเวลาผมเรียกให้มานอนที่ห้องด้วยกัน ทำเป็นบ่นนู่นบ่นนี่แต่ก็เห็นมานอนกับผมแทบทุกคืน แล้วเวลาผมไปนอนที่ห้องด้วยก็ทำเล่นตัวเหลือเกิน เล่นตัวเก่งตั้งแต่เด็กยังโต จะว่าเป็นเด็กฉลาดรู้ทันผมก็พูดได้ไม่เต็มปาก เหมือนอีกฝ่ายแค่กวนประสาทหาเรื่องปั่นอารมณ์ผมเล่นก็เท่านั้น

"ทำเหมือนแอบคบชู้เลย" ก็ใครมันขี้กลัวจนต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ วะ? ผมนี่ไม่ได้กลัวเลยวะว่าพี่ท้องฟ้ากับพี่ทะเลจะรู้เรื่องความสัมพันธ์ขิงเรา คือใจจริงนี่อยากให้รู้ฉิบหาย แต่เด็กมันกลัวครับ ก็ตามใจ้ขาอยากให้หลบๆ ซ่อนๆ ก็ได้ ทำให้ได้หมดแหละ ขัดได้ที่ไหนกันล่ะ?

"แฟนยังไม่มีเลย" คบชังชู้อะไร แฟนก็ไม่มี จะมีชู้ได้ไงวะ

"ก็ต้องอย่างนั้นอยู่แล้วเปล่า? คือตำแหน่งแฟนของตัวเป็นของเค้าไง เป็นคนอื่นไม่ได้"

นี่ไง! เด็กมันอ่อย แถมยังฉลาดพูดอีก ใครบ้างจะรักไม่หลง เป็นแบบนี้แล้วผมจะไปไหนได้?

"กกั๊ก" ถึงจะว่าออกไปอย่างนั้นแต่ผมก็ค่ินข้างจะพอใจในคำพูดขิงอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย

"ไม่ได้กั๊ก เขาเรียกว่าจองไว้ก่อน นี่ก็จิงตำแหน่งแฟนเค้าไว้ให้ตัวอยู่นะ" เจ้าตัวแสบยังคงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด และสิ่งที่พูดออกมานั้นก็สร้างความพึงพอใจให้กับผมได้มากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว อย่างน้อยก็ไม่ได้มีแต่ผมที่อยาดจะเป็นแฟนน้อง น้องเองก็อยาดจะเป็นแฟนผมเหมือนกัน

"สักทีเถอะก้อน รอนานแล้ว"

จำได้เลยว่าผมขออีกฝ่ายคบครั้งแรกคือตอนที่น้องขึ้นกรดสิบแล้ว มันเป็นตอนที่ผมมั่นใจความรู้สึกของตัวเองมาก ผมไม่อยากที่จะเก็บความรู้สึกที่มีเอาไว้อีกต่อไปเลยบอกกับน้องไปตรงๆ น้องไม่ได้ปฎิเสธผมในทันที น้องเองก็พูดความรู้สึกที่มีต่อผมออกมา แต่ตอนนั้นน้องก็ยังเด็ก แค่สิบหกปีเอง น้องเลยยังไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ น้องขอเวลากับผม ซึ่งผมก็ยินดี หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของพวกเราก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มันก้าวหน้ามากขึ้นในทุกๆ วัน ผมถามถึงความรู้สึกน้องอีกครั้งในหกเดือนต่อมา น้องก็บอกว่าขอเวลาอีกเพราะรู้สึกว่ามันยังเร็วไป ผมยังคงรอต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้องขึ้นเกรดสิบเอ็น ผมขอน้องคบอีกครั้ง น้องปฏิเสธกลับมาโดยให้เหตุผลว่ายังไม่พร้อมผมก็หน้าชานิดๆ แต่ก็ยังรอต่อ

น้องทำทุกอย่างเหมือนเดิม เหมือนที่เราทำให้กันและกันมาตลอด เรากอดกันหอมแก้มกัน และเราก็จูบกัน จูบแรกของผมกับน้องเกิดขึ้นหลังจากที่ผมสารภาพความรู้สึกของตัวเองที่มีกับน้องออกไปครั้งแรก ความสัมพันธ์ที่เหมือนกับแฟนแต่ไม่ใช่แฟนเริ่มขึ้นหลังจากวันนั้น วันที่ผมพูดทุกความรู้สึกและขอน้องคบครั้งแรก ผมถามย้ำถึงความรู้สึกของน้องอีกครั้งก่อนที่น้องจะขึ้นเกรดสิบสอง น้องบอกว่าน้องรู้สึกแบบเดียวกับผม น้องชอบผม แต่น้องยังไม่พร้อมที่จะคบ ผมเลยไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะรู้หน้าที่ตัวเองดีว่าทำได้แค่รอเท่นั้น หลังจากนั้นผมไม่ถามน้องอีกถึงเรื่องความรู้สึกหรือการคบหากัน จนล่าสุดก่อนวันเปิดเทอมของผมหนึ่งวัน น้องก็เดินเข้าก็เดินเข้ามาบอกกับผมว่าน้องรักผม และน้องอยากให้ผมรอน้องก่อน ขออย่าให้ผมเปลี่ยนใจหรือท้อไปก่อน ผมที่ได้ยินอย่างนั้นจะตอบอะไรได้นอกจากบอกออกไปว่ารอ นายแค่ไหนก็จะรอ

"รออีกหน่อยไม่ได้เหรอ?" เสียงทุ้มหวานอ่อนลงตากลมช้อนขึ้นมองสบกับผมด้วยแววตาหงอยๆ

"เมื่อไหร่วะก้อน? คนรอมันก็ท้อนะ" ผมถอนหายใจแรง ถามว่าเหนื่อยไหมที่ต้องวิ่งไล่ตามอีกฝ่าย?ตอบอย่างไม่ตอแหลเลยนะว่าโคตรเหนื่อย ท้อด้วย ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้ใกล้ชิดกัน ให้ความสัมพันธ์และความรู้สึกของเราเดินไปในทิศทางเดียวกันผมรู้ว่าน้องก็ให้ความร่วมมือเป็นิย่างดี น้องจับมือผมแล้วเดินไปด้วยกัน แต่พอเดินไปแล้วมันก็ไปได้ไม่สุดไงมันยังมีอะไรบางย่างที่มารั้งน้องไว้ทำน้องเดินไปกับผมต่อไม่ได้ สุดท้ายเราก็เดินวนกันอยู่ที่เดิม

"ตัดพ้อเก้ง เค้าขอแค่สอบติดมหา'ลัยก่อน" แขนเรียวยื่นมากกอดตัวของผมเอาไว้แน่น ใบหน้าหล่อติดหวานซบลงบนไหล่ของผมอย่างออดอ้อนเหมือนทุกครั้งที่เจ้าตัวเขาชอบทำเวลารู้ว่าผมโกรธ นี่เป็นอีกหนึ่งวิธีง้อของก้อนเมฆ

"อีกตั้งนาน"นี่เพิ่งจะเทอมหนึ่งเอง อีกตั้งหลายเดือนเลยนะครับ

"ก็นี่ไง เค้าอยากตั้กใจเรียนก่อน ถ้าเป็นแฟนกันแล้วเค้าเอาแต่กังวลเรื่องเรียนเรื่องสอบเข้าแล้วไม่ได้สนใจตัว เดี๋ยวตัวก็คิดมากอีก" ก้อนเมฆยังคงไม่ยอมแพ้ ร่างเล็กขยับเข้ามากอดผมแน่นขึ้นแถมยังช้องตาขึ้นมองพูดเสียงอ้อนๆ อีก

"จะเป็นหรือไม่เป็นก็คิดมากเหมือนกันแหละ" ทำอย่างกับทุกวันนี้ไม่คิดมากเลยเนอะ ในหัวนี่คิดเรื่องต้องไปแล้วห้าสิบเปอร์เซ็น อีกสี่สิบคือคิดเรื่องเรียนและเรื่องงาน ส่วนที่เหลือก็เรื่องจิปาถะ

"ไม่เหมือนสิ พอเป็นแฟนแล้วคนเราจะเซนซิทีฟมากขึ้นกว่าเดิม" ผละตัวออกมาจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง จู่ๆ ก็เข้าโหมดซีเรียสขึ้นมาเฉย คือไว้ที่ผมพยายามบิ้วอารมณ์ก่อนหน้านี้นี่ไม่มีผลเลยเหรอวะ?

"ทำมาเป็นรู้ดี" พูดอย่างกับตัวเองเคยมีแฟนรอบรู้ไปหมด เก่งจังนะเรื่องทฤษฎี ภาคปฏิบัติขอให้ได้แบบนี้บ้างนะ เก่งให้จริงเถอะ ถ้าไม่เชียวเดี๋ยวจะเคี่ยวให้

"ก็เค้าเห็นเพื่อนเค้าเป็นแบบนี้ ตอนเป็นเพื่อนกันก็ยังเฉยๆ แต่พอคบกันเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตอนเป็นเพื่อนกันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ตอนคบเป็นแฟนกีน"ท่าทางที่ดูจริงจังผิดจากก่อนหน้านี้ทำให้ผมรู้ว่าน้องเองก็คงกังวลเรื่องการคบหาของเราอยู่ไม่น้อย ไม่ใช่ว่าน้องไม่มีเหตุผลในการปฏิเสธเรื่องการเป็นแฟน ผมว่าน้องก็คงคิดมาดีแล้ว บางทีน้องอาจไม่ได้อยากปฎิเสธแต่น้องคงมองว่านี่อาจดีที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้แล้วก็ได้

หัวใจของผมมันพองโตจนคับอก แถมคราวนี้ยังเต้นแรงกว่าเดิมอีกด้วย

ก้อนเมฆก็คือก้อนเมฆ น่ารักยังไงก็ยังคงน่ารักอยู่อย่างนั้น ผมไม่เคยรู้สึกผิดหวังหรือรู้สึกเสียใจที่เลือกรักเด็กคนนี้ น้องเปรียบเหมือนแสงสว่างในความคิดของผม เป็นดั่งแสงสีขาวเพียงหนึ่งเดียวที่มีค่า เป็นสีขาวในชีวิตที่มืดมนของผม

"เออๆ พูดมากว่ะ ตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ ยังไงก็ต้องรออยู่แล้วเปล่า ไปไหนได้ด้วยเหรอวะ?" ต่อให้น้องไม่บอกให้รอ ผมก็ยังคงรอ เพราะรู้ดีว่าตัวเองไม่มีที่ไหนให้ไป ก้อนเมฆเป็นทุกอย่างสำหรับผม ผมไปไหนไม่ได้หรอก

ก็ตกอยู่ในวังวนของก้อนเมฆจนหาทางออกไม่ได้แล้วนี่

"ก็ตัวเค้าไง" เจ้าตัวแสบว่าเสียงใสพร้อมฉีกยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้ามาคอลเคลียกับแก้มของผม

เออ ถ้าแหกโค้งตามทั้งคู่ก็ไม่ต้องแปลกใจนะ เด็กมันร้ายขนาดนี้ ไม่สติแตกก็โคตรของความอดทน

"เออ รักขนาดนี้ยังไม่ได้เป็นแฟนเลย" ผมปล่อยมือข้างหนึ่งออกจากพวงมาลัยมาลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างเบามือก่อนจะหันหน้าไปกดจูบบนหน้าผากเนียนที่แนบอยู่กับข้างแก้มของผมด้วยความรักใคร่

เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว ยกเว้นแฟนเธอ

"ไม่น้อยใจสิ เค้าก็รักตังไง จริงๆ เราก็รักกันอ่าเป็นแฟนหรือไม่เป็นก็ไม่สำคัญนะ"

คนเราจะมีความอดทนมากน้อยแค่ไหนกัน? ถ้าคนที่คุณรักมากมาส่งเสียงงุ้งงิ้งอยู่ข้างหู แถมคลอเคลียเก่งเหมื่อนลูดแมวขี้อ้อน ส่วนความแสบซนก็ไม่ต่างจากลูกหมาปีเกิ้ล แต่คุณกลับทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่าควบคุมสมาธิไม่ให้ขับรถแหกโค้งหรือเสยตูดคันหน้า

โอเค วันนี้อาจไม่ใช่วันของผมก็ได้ สู้ต่อไปนะคลื่นน้ำ

"เป็นแฟนมันหวงได้หึงได้ แต่เป็นพี่น้องมันทำไม่ได้" ความแตกต่างมันมีเยอะ ผมอยากมีสทธ์ทุกอย่างในตัวน้อง ไม่ได้จะคบกันเพื่อนหวงบังคับน้องให้เป็นในแบบที่ผมต้องการ ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่ ผมชอบที่ก้อนเมฆเป็นตัวของตัวเองแบบนี้ แต่ผมก็อยากที่จะมีลิทธิ์ของความเป็นแฟนกันยู่ในมือ อย่างน้อยถ้าจะหึงหวงก็ได้ไม่รู้สึงแปลกๆ

"โห อย่าพูดเหมือนเมื่อกี้ตัวไม่ได้เหวี่ยงใส่คนที่เข้ามาขอบเบอร์เค้าได้เแล่า?" เจ้าเด็กดื้อแสร้งทำตาโตใส่ผมก่อนจะยกยิ้มล้อเียนกลับมา

"กวนตีนว่ะก้อน" แอบเขินนิดๆ ที่ถูกอีกฝ่ายล้อเลียนเลยยกมือขึ้นดันหนัาเล็กๆ นั่นให้ถอยออกห่าง อยู่ใกล้มากๆ แล้วอยากจะจับมาปั้นๆ เป็นก้อนแล้วกลืนลงท้องเหลือเกินจะน่ารักไปไหนวะ

บางทีที่หมาป่ากลืนหนูน้องหมวกแดงลงท้องไปอาจเป็นเพราะหนูน้อยหมวกแดงน่ารักเกิไปก็ได้ เหมือนผมในตอนนี้ที่อยากจะจับเด็กข้างตัวมากกลืนลงท้องให้มันรู้แล้วรู้รอดจะได้ไม่ต้องไปทำตัวน่ารักให้ใครได้เห็นนอกจากผม

มันดูโรคจิตไปหรือเปล่าครับ?

"อย่าคิดมากสิ เค้าเริ่มเครียดตามแล้วนะ" คิ้วเรียววิ่งนกันอีกริบ แากเล็กเบะออก หน้าตาโคตรดื้อเลย

"เออ" ดูก็รู้เลยว่าใครเป็นทาส ไม่ใ่ทาสแมวนะครับ นี่ทาสเมีย

"เอออีกละ" กับอีแค่คำว่าเออนี่หน้างอเป็นตูดอีกแล้วครับ ถ้าผมไม่ชอบให้น้องพูดคำหยาบ ก้อนเมฆก็จะไม่ชิบให้ผมใช้คำว่าเออเหมือนกัน เห็นน้องบอกว่ามันเหมือนปมไม่อยากคุยด้วย มันดูเป็นที่รุนแรง เหมือนไม่ใส่ใจอะไรทำนองนั้น ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ก็พยายามทำให้อยู่ แต่บางครั้งมันก็ติดไง

"ถ้าไม่หยุดพูดจะจับจูบแล้วนะ" ไม่รู้หรือไงว่าขับรถมันต้องใ้สมาธิมากแค่ไหน? วันนี้น้องทำผมเสียงสมาธิไปหลายรอบแล้ว เกือบได้ไปประกันชี้นหนึ่งที่ทำมาแล้วไหมล่ะ รถพังไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นอะไรกันขึ้นมานี่โดนสวดยับแน่

"ถ้าจูบแล้วตัวจะหายหงุดหงิดหรือเปล่า?" เอียงคอถามตาแป๋ว

อ่อย! ขี้อ่อย! ก้อนเมฆเป็นเด็กขี้อ่อย ขอติด#ก้อนเมฆเป็นเด็กร้ายการ

"ขับรถอยู่ อย่าเพิ่งมาอ่อย" ผมไม่เคยอยากร้องเรียนเรื่องการตราในกรุงเทพหานครเท่าวันนี้มาก่อนเลย ผมสามารถไปร้องเรียนที่ไหนได้บ้างครับ?ผมไม่สามารถทนกับความขี้อ่อยของเด็กข้างๆ ได้อีกต่อไป ถ้าแวะจอดข้างทางก่อนสักแปปจะเป็นอะไรไหม?ถ้ากลับบ้านช้าว่าปกติสักนิดหน่อยพี่ทะเลจะสงสัยไหมครับ?

"กลับไปจูบที่บ้านก็ได้" เจ้าตัวต้นเรื่องก็ยังคงไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด แถมยังมาบอกเสียวใสทำท่าร่าเริงอีก

จุ๊บ!

"ก้อน!" ผมร้องเรียกอีกฝ่ายเสียงดังเมื่อข้างแก้มของผมถูกริมฝีปากนิ่มกดประทับลงมาหนักๆ จนเกิดเสียงดังขึ้น

"จ๋า~" ยังจะมาขานรับเสียงหนาวอีก!

"เดี๋ยวเจ็บตัว" หันไปมองตาดุอย่างคาดโทษ ถ้ารถแหกโค้งหรือผมทนไม่ไหวขึ้นมาจะทำยังไง?

แอบสงสัยตัวเองอยู่เหมือนกันว่านั่งทนมาได้ยังไงตั้งเกือบชั่วโมง แต่ถ้าจะคิดกันจริงๆ แล้วคงต้องคิดย้อนกลับไปอีกหลายปีว่าที่ผ่านมาผมปล่อยให้น้องอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงตอนนี้ได้ยังไงกัน

"ตัวจะดีเค้าเหรอ?" ตากลมเบิกกว้างขึ้นนิดๆเหมือนตกใจกับสิ่งที่ผมพูด ก็ผมเคยตีน้องที่ไหนกันล่ะ

"จะจับแดก" แต่อย่างผมไม่มานั่งตีให้เจ็บมือหรอกครับ บอกแล้วตีไปก็ไม่คุ้ม ตีให้ตายก็ไม่กายดื้อหรอด มีทางเดียวเท่านั้นแหละที่จะทำให้เด็กแสบๆแบบนี้หายดื้มหายซ่าได้ จับฟัดให้จมเตียงนั่นแหละ เอาให้นอนซมไแไหนไม่ได้เลย เดี๋ยวก็หมดฤทธิ์แล้วก็ไม่กล้าดื้อไปเอง

"เห็นพูดอย่างนี้มาหลายรอบละ แต่ก็ไม่เห็นมำสักครั้งเลย" ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มที่มุมปากอย่างท่าทางส่งมาให้ผม ท่าทางดื้อๆ นั่นทำเอาผมอยากจะจอดรถแล้วจับอีกฝ่ายมาฟัดให้มันรู้แล้วรอด

"ถ้ายังไม่หยุดพูดจะทำมันในรถนี่แหละ" เอ่ยเสียงเข้มพร้อมตวัดตามมองสบอย่างจริงจังเพื่ิอบอกให้รู้ว่าคราวนี้ผมจะเอาจริงแล้ว ถ้าอีกฝ่ายยังไม่หยุดที่จะอ่อยและท้าทายผม ผมได้ทำจริงๆ แน่ ขีดความอดทนของผมมันมีจำกัดเหมือนกันนะครับ ทนมาได้ถึงขนาดนี้ก็นับว่าโชคดีของเจ้าเด็กดื้อแล้ว แต่เพราะผมรักน้องมากเกินกว่าที่จะทำเรื่องแบบนั้นได้ ผมอยากถนอมน้อง ถึงตัวเองจะมีความต้องการแค่ไหนแต่ก็ไม่อยากทำให้น้องแปดเบื้อน

อยากให้ก้อนเมฆยังคงเป็นก้อนเมฆที่ขาวบริสุทธิ์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

"อุ้ย!" เมื่อเห็นท่าทีที่จริงจังของผมร่างเล็กก็สะดุ้งเบาๆ ก่อนจะขยับกลับไปนั่งเรียบร้อยเหมือนตอนขึ้นรถมาแรกๆ

ผมได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบาๆ ให้กับความแสบเกินกัดของอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าน้องจะดื้อจะซนหรือจะมีอีกกี่ความน่าปวดหัวเข้ามาให้ผม ผมก็ยังคงรักก้อนเมฆที่เป็นแบบนี้ หลงรักในความดื้อตาใส หลงรักในความง้อแบบเนียนๆหลงรักในความออดอ้อนแบบฮบับของก้องเมฆ หลงรักทุกๆ อย่างที่เป็นก้อนเมฆ

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!