NovelToon NovelToon

Power Of Beauty แท่นบัลลังก์ตรงนั้นคือที่ของฉัน

อารัมภบท

ลีโทจิน่า การ์ด ลูกสาวนอกสมรสของ อูเน่อ การ์ด ถูกพี่น้องต่างมารดารังแก สุดท้ายก็ได้พบรักแท้กับเจ้าชายนิวกินฮาร์ด รัชทายาทองค์เดียวของอาณาจักรนิวกินฮาร์ด และได้เสวยสุขเป็นองค์ราชินี

"นิยายบ้าอะไรวะ ก็เห็นเล่มหนาดีอยู่หรอก ทำไมถึงได้น้ำเน่าขนาดนี้ เห็นปลวกเจาะขนาดนี้แล้วยังลดความสิ้นคิดของพล็อตเนื้อเรื่องไม่ได้เลย"

"อ่านอะไรอยู่น่ะเจช"เพื่อนสาวอีกคนที่นั่งอ่านหนังสือถามขึ้นด้วยความใคร่รู้ เพราะเห็นเธอคิ้วขมวดตั้งแต่ช่วงแรกที่เปิดหนังสือเก่าๆ ตรงหน้าอ่านอีกครั้ง

"ไม่รู้เหมือนกัน เห็นเก่าดีนึกว่าจะเป็นตำราจอมเวทหรือมนต์ขลังอะไรพวกนั้น แต่นี่อะไร กลายเป็นนิยายน้ำเน่าไปซะงั้นน่ะสิ"เจนิสบ่นอุบอิบมือพลางเปิดหน้าต่อไป เพื่อนของเธอได้แต่ขำคิกคักอย่างไม่ใส่ใจ เพราะรู้นิสัยของเพื่อนดี อย่างเจนิสต้องอ่านหนังสือกุนซือข้าศึกอะไรทำนองนั้นมากกว่า เพราะนิสัยดิบเถื่อนของเธอนั้นต่างก็เป็นที่เลื่องลือจนได้กลายมาเป็นพลทหารหญิงที่มีเสียงลือเล่าอ้างถึงความโหดเหี้ยมในการฝึกรบ แม้แต่ปืนไฟฟ้ายังเอาเธอไม่ลง แต่ตอนนี้กลับมาอ่านนิยายรักสาวน้อย ต้องเป็นขั้วตรงข้ามไปธรรมดา

เจนิสอ่านเรื่องราวนั้นต่อไปเพื่อฆ่าเวลารอรับน้องชายของเธอ เธอไม่มีทางเลือกอื่นมากนักหลังจากเลือกมานั่งรอที่ห้องสมุดแห่งนี้

ไหนจะโดนพี่ต่างแม่รังแกแล้วยังตอนท้ายก็ไปให้อภัยอีกเนี่ยนะ ไม่สมเหตุสมผลเลย ต้องลอบฆ่ายามวิกาลสิ ขัดใจโว้ย เธอบ่นอุบอิบในใจเพราะกลัวจะรบกวนเพื่อนอีกคน

จนกระทั่ง

ข้าทนเสียงบ่นของเจ้าไม่ไหวแล้ว ถ้าหากเรื่องราวของข้ามันไม่ถูกใจเจ้าก็ลิขิตเรื่องราวเอาเองซะไป!!

ขวับ

เธอหันไปตามเสียงที่ได้ยินด้านข้าง แต่ไม่มีใครอยู่ใกล้เธอสักคน เมื่อกี้ได้ยินเสียงดังก้องในหู แน่ใจว่าต้องมีคนพูดกับเธอเป็นแน่ แต่...ทำไมไม่มีใครเลยล่ะ สิ่งสุดท้ายที่สรุปได้อย่างเดียวคือเธอต้องไปตรวจโรคน้ำในหูแล้วล่ะ ...เธอก้มลงมองไปยังหนังสืออีกครั้งก่อนจะมีแสงสว่างจ้ายิ่งกว่าสปอตไลต์ทะลุออกมาจากหน้าหนังสือ เจนิสหน้าเหวอเพราะตกใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ลมพัดแรงออกมาจากหน้ากระดาษผัดเข้าที่ใบหน้าทำให้เส้นผมปลิวสยายไปด้านหลัง จู่ๆ ตัวหนังสือภาษาอังกฤษหลายร้อยตัวลอยหลุดออกมาจากแผ่นกระดาษแล้วเรียงตัวเป็นวงล้อมรอบตัวเธอหลายชั้น

เธอถูกผลักอย่างแรงจากด้านหลัง พอหันไปมองกลับพบว่ามีตัวเธออยู่ข้างหลังอีกคน...ไม่สิ ตอนนี้เธอวิญญาณหลุดออกจากร่างต่างหาก! พระเจ้าจ๊อช ร่างพลังงานเบาบางของเธอโปร่งใสและลอยละลิ่วไปกับเนื้ออากาศ นี่คือเธอตายแล้วใช่ไหม .. แล้วต้องทำอะไรต่อ..ไม่ทันได้ให้ตั้งตัวอีกรอบ จู่ๆ ก็เกิดหลุมดำขนาดใหญ่เทียบกับกลางหน้ากระดาษของหนังสือ มันก่อตัวขึ้นจับกันเป็นน้ำวนสีดำและดูดตัวอักษรภาษาอังกฤษเข้าไปข้างใน เห้!เดี๋ยวสิ มันกำลังจะดูดเธอเข้าไปด้วย หรือนี่เธอกำลังจะตกลงไปในนรกน่ะ ปกติแล้วคนตายจะต้องมียมทูตมารับไปสิ แต่สถานการณ์ของเธอต่างออกไปนิดหน่อย ตรงที่เธอได้ยมทูตขี้เกียจทำงานจนต้องใช้มนต์ดำดูดวิญญาณเลยอย่างนั้นหรือ!

แม้แต่ตอนที่หลุดออกจากกายหยาบ สมองของพลังงานเจ้ายังโง่งมได้เพียงนี้ มนุษย์หนอมนุษย์ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ในเมื่อเจ้าแสดงออกว่าเกลียดหนังสือของข้าออกปานนั้น จงไปเที่ยวเล่นในที่ที่เจ้าเกลียดเถอะ!!

....

-

เฮือก!!!

เจนิสฟื้นจากการหมดสติได้จากน้ำถูพื้นสกปรกถูกสาดใส่ ความเย็นจากของเหลวสีดำทำเอาเธอสะท้านไปทั้งตัวก่อนจะยกมือขึ้นโอบกอดตัวเองเอาไว้ด้วยความหนาว

"ฟื้นแล้วก็ไปถูพื้นในครัวซะสิ จะนั่งโง่ทำไมอีก ท่านพี่ทำขวดแยมแตกเพราะเธอนั่นแหละ เพราะฉะนั้นรับผิดชอบซะ" โรสลิน การ์ด สาวอ้วนท้วมผิวซีดทั้งยังมีกระอยู่เต็มใบหน้า ยืนเท้าเอวต่อว่าฉันที่นั่งสั่นงกๆ เป็นเจ้าเข้า

....เดี๋ยวนะ แล้วฉันรู้ได้ไงเนี่ย หมายถึง ฉันรู้ว่ายัยอ้วนนั้นชื่ออะไร แถมยังรู้ด้วยว่าท่าพี่ที่พูดถึงคือเพนโนโลปี้ พี่สาวของยัยนี่อีกที แล้วทำไมโดนแค่น้ำสาดทำไมฉันถึงได้สั่นขนาดนี้กันได้วะเนี่ย ร่างกายของฉันเย็นเฉียบราวกับภายในไม่มีเลือดไหลเวียนเลย

"ฉะ....ฉันชื่ออะไร.." ฉันเอ่ยปากพูดเสียงแผ่ว ไม่อยากเชื่อความคิดในสมองตัวตัวเอง

"นี่!!โดนน้ำสกปรกสาดจนเชื้อโรคมันกินสมองเธอเลยหรือไงฮะ หรือจะแกล้งความจำเสื่อมดีล่ะ ยัยโง่ลีโทจิน่า!!" ทันทีที่ได้ยินชื่อนั้นออกมาจากปากยัยโง่นั้น สมองฉันขาวโพลนไปหมด อย่างกับคนบ้าสติหลุดเพราะสิ่งที่เป็นความคิดสุดพิสดารในหัวมันดันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ฉันลุกขึ้นและวิ่งออกมาจากตรงนั้นเพื่อหาที่สงบอารมณ์ก่อน ถึงไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนแต่ขาสองข้างมันวิ่งเอง แม้ว่าข้างหลังจะได้ยินว่า นังลีทแกตายแน่ ก็ตามที

ขาของฉันทรุดฮวบลงอย่างหมดแรง หายใจหอบถี่ด้วยความเหนื่อยล้า มาหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่นี่คือที่ฉัน... ไม่สิ เจ้าของร่างนี้มาบ่อยๆ สินะ

งั้นมาเรียบเรียงตั้งแต่ตอนแรก ...

มีเสียงตาลุงแก่ๆ มากระซิบ บอกให้ฉันลิขิตเรื่องเอง แล้วไหนจะมนต์ดำ...ตัวหนังสือพวกนั้นที่มันลอยขึ้นมา ต้องเป็นเพราะไอ้ผีเฒ่านั่นผลักวิญญาณของฉันเข้ามาในหนังสือแน่ ให้ใช้ชีวิตในนิยายน้ำเน่าเนี่ยนะ แถมยังเป็นร่างกายของนางเอกอีก ให้ตายสิวะ ถ้าได้ใช้ชีวิตแบบนั้นฉันคงได้อ้วกวันละหลายรอบจริงๆ

เอาล่ะ

เมื่อกี้คงเป็นพี่น้องต่างแม่ ไอ้เเก่หัวงูอูเน่อนั่น มีปัญญาผลิตลูกแต่ไม่มีปัญญาเลี้ยง

ฉันยกแขนเล็กๆ เท่ากิ่งไม้ของตัวเองขึ้นสำรวจร่างกาย มีรอยแผลเก่าใหม่อยู่ให้เห็นทุกที่ ผอมแห้งแบบนี้ไงถึงได้สู้ยัยอ้วนนั่นไม่ได้ แล้วนี่มันอะไร.. เสื้อผ้าเก่าจนเป็นรูหลายรูแล้วทำได้แค่หาเศษผ้ามาเย็บปะติดเอาเนี่ยนะ ถึงจะรู้ว่าจุดจบของเรื่องจะจบแฮปปี้ แต่ฉันต้องมาลำบากช่วงต้นของเนื้อเรื่องฉันไม่เอาด้วยหรอก ถ้าหากต้องกระโดดขึ้นโต๊ะอาหารเพื่อแย่งเนื้อวัวกับยัยโรสฉันก็จะทำ ต้องอยู่รอดให้ได้ก่อนที่จะได้พบรักกับเจ้าชายและไปเสวยสุขนั่งกินนอนกิน จากนั้นก็ทำอะไรสักอย่างที่ทำให้เนื้อเรื่องเปลี่ยน เพราะถ้ารอให้เนื้อเรื่องดำเนินต่อไปจนจบ ฉันก็จะกลับบ้านไม่ได้ เดิมทีนี่มันเป็นเพียงเรื่องที่เเต่งขึ้น และการที่เราเข้ามาในนี้ที่เป็นจิตวัญญาณของคนจริงๆ เราจะต้องกลายเป็นตัวแปรการกระทำของตัวละครในเรื่อง ไม่อย่างนั้นฟันเฟืองจะหมุนต่อไปจนจบและเริ่มใหม่ ฉันก็จะหลุดออกไปไม่ได้ทางเดียวก็คือเปลี่ยนเนื้อเรื่องและแก้ไขตอนจบ ถึงอย่างนั้นทุกการกระทำมีผลกระทบตามมาเสมอ แค่ระวังไม่ให้ตัวเองตายจนกว่าจะถึงตอนจบสิ ไม่งั้นวิญญาณเราคงได้สังเวยให้กับหนังสืออาถรรพ์เล่มนี้แน่

พอตั้งสติได้แล้ว อย่างน้อยก็ต้องล้างเนื้อล้างตัวก่อนที่จะกลับบ้าน จากนั้นก็กลับห้องตัวเองไปวิดพื้นสักห้าร้อยครั้งดีไหมนะ ไม่สิ ร่างยัยนี่แขนเท่ากิ่งไม้แตกยอดอ่อน สามครั้งคงได้ปวดร้าวไปทั้งตัว

มองซ้ายมองขวา อยู่ไหนนะ... นั่น! เจอแล้ว แอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่น้ำใสพอจะให้ล้างเนื้อล้างตัวได้ ฉันคลานไปนิดหน่อยก็ถึง จากนั้นชะโงกหน้ามองแอ่งน้ำ ก่อนจะใช้มือกวักน้ำใสขึ้นล้างหน้าตัวอีกอีกรอบแล้วทำเอาฉันอึ้งไปเลย เงาสะท้อนบนผืนน้ำนี่มันใช่ฉันตอนนี้จริงๆ หรอ ยัยนางเอกของเรานี่มันแจ่มว้าวสุดๆ ไปเลย ในหนังสือไม่เห็นจะบอกเลยว่ายัยนี่งามอย่างกับมิสยูนิเวิร์ดแน่ะ แน่ล่ะเพราะบางหน้ามันขาดหายไป โลกนี้จะมีแข่งความสวยแบบนั้นไหมนะ ก่อนจะตัดสินใจนั่งปักหลักอยู่ข้างแหล่งน้ำ เดี๋ยวสิ..ถ้าเกิดว่ามีล่ะ ประกวดสาวงามแห่งอาณาจักร ฉันหลุดพ้นจากที่นี่ได้ ถ้ามีเงินแล้วหนีออกไปใช้ชีวิต

ไม่ได้สิ แบบนั้นมันจะต้องใช้ชีวิตที่ดิ้นรนเกินไป เพราะช่วงสุดท้ายเราก็ต้องนั่งกินนอนกินนี่นา เอาไว้ค่อยคิดทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ต้องกลับไปที่บ้านแล้วไปเคลียใจกับพี่สาวทั้งสองคนกันดีกว่า ไหนจะท่านผู้หญิงที่เป็นนายใหญ่ของบ้านอีก ช่างประไร แค่จัดการกับคนที่มันรังแกฉันก็พอ เอาให้กลัวจนไม่กล้ามายุ่ง จะได้ทำอะไรสะดวกขึ้น

อยู่ที่นี่ถ้าเป็นน้องนางเอกจะต้องโดนรังแก แต่ถ้าเป็นฉัน มันจะต้องไม่เกิดขึ้นแน่

....

....

ให้ตายเถอะ ฉันลืมไปเลยว่าตอนนี้ฉันอายุแค่สิบสามปี...

"ปล่อยนะยัยขี้ข้า แกไม่ตายดีแน่!!" โรสลินตะหวาดเสียงดังเพราะฉันกำลังดึงทึ้งเส้นผมสีดำของเธออยู่ ส่วนเธอก็ดึงของฉันกลับเหมือนกัน สภาพตอนนี้แย่สุดๆ ถึงจะมีแรงใจในการต่อสู้มากแค่ไหนแต่ว่าฉันอายุสิบสาม ส่วนยัยนั่นอายุ16ปี แถมยังแรงเยอะเพราะพลังงานจากไขมันที่สะสมไว้ทุกส่วนของร่างกายอีก ฉันคิดน้อยไปจริงๆ แต่ถ้าจะให้ปล่อยตอนนี้มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีต่างหาก

"แกนั่นแหละ อ้าปากพูดว่าขอโทษสิ แล้วฉันจะปล่อยแกไป"ฉันพูดออกไปเพื่อสู้ฝีปากกับยัยนี่เป็นนัยว่า ฉันไม่ยอม

"แกบ้าไปแล้วรึไง สมองกลับหรือไงฮะ"ยัยอ้วนนี่ดูเหมือนจะเดือดขึ้นมากว่าเดิมเลยแฮะ เธอถึงผมของฉันแรงขึ้น เจ็บเหมือนหนังที่หัวจะหลุดออกมาทั้งแผ่นเลยให้ตาย แต่ถ้าฉันปล่อยตอนนี้มีหวังได้โดนดึงจนตัวปลิวแน่ เลยปล่อยมือแค่ข้างเดียวจากที่ยัยนั่นก้มอยู่ กำลังจะเงยหน้าขึ้นมาได้อีกหน่อย ฉันใช้จังหวะนั้นยกแขนข้างที่ว่างเหวี่ยงหมัดขึ้นชกไปที่ใบหน้านุ่มนิ่มโดนสันจมูกเธอเต็มๆ

ผลั่ก อึก!

แน่นอนว่าเธอเซออกไป แรงที่ดึงผมฉันก็คลายออก รีบรวบผมขึ้นมัดจุกทันทีก่อนที่เธอจะได้สติจากนั้นก็ใส่หมัดเข้าไปที่ขมับขวาของเธอเเบบสุดแรงเกิด ให้ตายสิวะ ไขมันนั่นช่วยโอบร่างกายเธอจนหมัดของฉันทำอะไรไม่ได้ มันนิ่มไปหมดทุกส่วนเลย ปกติแล้วถ้าเป็นร่างของฉัน ถึงจะหนักร้อยโลก็ต้องร่วงกันบ้าง แต่พอเป็นร่างกายนี้ผอมเกินไปจนแทบไม่มีแรงเล...ย

รึเปล่านะ

โรสลินล้มลงไปกองกับพื้น และส่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างกับเป็นเสียงไซเรนของรถพยาบาล ทำให้สาวใช้ต้องรีบวิ่งเข้ามาบริเวณนี้

"กรี้ดด!..คุณหนู... เจ็บไหมคะ ใครทำคะ....เร็ว!รีบมาแบกคุณหนูซะ....."สาวใช้ในชุดเมดรีบปรี่เข้ามา เธอน่าจะชื่อเทียเป็นสาวใช้ประจำตัวสินะ เหอะ ขนาดสาวใช้ตัวจริงยังใส่เสื้อผ้าดีกว่าฉันอีก.. เธอมองฉันอย่างไม่อย่างเชื่อสายตา และคงไม่เชื่อว่าฉันเป็นคนทำ

"กรี้ดด!!...ฉะ...ฉันจะฆ่ามัน...ฮืออ"ยัยไซเรนตัวโข่งร้องกรี้ดออกมาอีกครั้งก่อนที่สาวรับใช้จะได้สติรีบพาหามเจ้านายตัวเองออกไป คาดว่าน่าจะไปห้องหมอ ส่วนสาวใช้คนอื่นๆ ก็พากันมองมาที่ฉันแล้วซุบซิบก่อนเสียงนั่นจะหายไปเพราะมีผู้หญิงอีกคนปรี่เข้ามา

"เกิดอะไรขึ้นน่ะ...แกก่อเรื่องอะไร! นังเด็กเหลือขอ" สายตาของเธอมองมาที่ฉันด้วยความรังเกียจและเอ่ยถามอย่างวางอำนาจ เมียหลวงนี่เองสินะแม่ของยัยหมูตอนนี่เอง

และใช่ ฉันก่อเรื่องนนั่นเอง และเป็นฉันเองที่ต่อยจมูกลูกป้าจนหักเลือดอาบน่ะสิ ถ้าไม่ใช่ฉันจะเป็นผีทหารที่ไหนกัน

"ท่านพี่ลื่นล้มเพราะจะเข้ามากระชากหัวข้าค่ะ เพราะท่านพี่มีน้ำหนักมาก...ก็เลยทำให้จมูกกระแทกพื้น...ไม่ทันได้ลุกขึ้นทรงตัว เธอก็ลื่นขมับขวาไปกระแทกกับโต๊ะค่ะท่านป้า.."

"ใครป้าเธอไม่ทราบ แล้วก็เรื่องนี้ฉันจะไม่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ แน่ รอให้โรสพักผ่อนให้เรียบร้อยก่อนค่อยว่ากันอีกที ฉันจะสืบสวนด้วยตัวเอง ถ้าสรุปเป็นฝีมือเธอล่ะก็ ฉันจะไม่หยุดที่ปล่อยเธอออกไปนอนข้างถนน ทีนี้ไปทำงานได้แล้ว!"ยัยป้ามหาประลัยร่ายยาวอย่างกับชาตินี้ไม่เคยพูดหรืออย่างไงนะ ยิ่งรอยย่นบนหน้ากับไฝเม็ดใหญ่ที่คางนั่นขยับเพราะเธอเอ่ยปากพูดมันดูน่าขนลุก แต่เธอก็มีอานาจอย่างที่ว่าจริงๆ เพราะเธอคือนายหญิงใหญ่ที่คอยจัดการเรื่องในบ้าน โดยท่านดยุกอูเน่อไม่สามารถเข้ามาสอดได้

ฉันทำได้เพียงก้มหน้าอย่างสงบเสงี่ยมไปก่อน จนเธอเดินปลีกออกไปเพื่อไปดูลูกสาวคนเล็ก สาวใช้คนอื่นก็รีบแยกย้ายกันไปทำงานของตน

ฉันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องกลับเข้าห้องตัวเองเพราะตอนนี้มันก็มืดแล้วด้วย

...

ขณะเรื่องราวทุกอย่างที่เจนิสในร่างลีโทจิน่ากำลังทำเอาไว้ดำเนินไป ร่างกายบอบบางที่ยืนภายในมุมมืดกำลังจ้องมองอยู่...จ้องมองลูกสาวคนเดียวของตัวเองตั้งแต่เดินเข้าไปหาเรื่องพี่สาว จนกระทั่งเดินกลับเข้าห้อง เธอยืนดูอยู่ตรงนั้นตลอด...

....

วันนี้ฉันสบถกับตัวเองไปกี่รอบกันนะ แค่วันแรกด้วยซ้ำ.. ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปอีกฉันได้เป็นโรคประสาทตายแน่ ความจริงแล้วที่บอกว่าเคลียใจน่ะ ฉันโกหก เพราะแค่เดินเข้าไปในห้องโถงบ้านแล้วยัยนั่นก็ด่ากราดที่ฉันวิ่งหนีออกไป ในสมองตอนนั้นลืมไปหมดแล้วว่าจะพูดอะไร แค่รู้สึกว่า ขอสักวิธีที่ทำให้เธอหุบปากใหญ่ๆ นั่นลงได้ จึงเดินเข้าไปกระชากผมยาวๆ ของเธอและกะจะขู่ให้อยู่เงียบๆ บ้างเท่านั้นเอง แต่เธอดันมาดึงผมฉันกลับนี่สิ

ห้องของน้องนางเอกไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แค่เตียงไม้กับผ้าห่มผืนเก่าที่ส่งกลิ่นหอมเพราะเธอใส่ใจดูแลและซักมันเป็นประจำ นอกนั้นมีเพียงชุดโต๊ะเขียนหนังสือที่ไม่มีหนังสือกระดาษหรือดินสอวางอยู่เลยสักชิ้นเดียว ถัดมาคือตู้เสื้อผ้าไม้เก่าๆ ที่ประตูตู้หลุดออกไปแล้ว ภายในนั้นมองเห็นเพียงเสื้อผ้าชุดเดียว..

อย่าบอกนะว่าเธอผลัดใส่แค่สองชุดน่ะ...

ก๊อก ก๊อก

ไม่ทันได้หงุดหงุดใจนานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นซะก่อน ใครนะ...

"แม่เข้าไปนะลูก..."

แม่หรอ..

หญิงสาวคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา ในมือถือตระกร้าเล็กๆ มาหนึ่งใบ ในนั้นมีขนมปังอยู่สองก้อนและแยมแอปเปิ้ลหนึ่งโหล หน้าตาเธอซูบผอมและดูสุขภาพไม่ดีเสียเลย ผมสีบลอนด์ นัยตาสีแดงเหมือนกันกับฉัน แม่จริงๆ สินะ

"ท่านแม่.. "

"นั่งเถอะลูกรัก... แม่แค่เเวะเอาข้าวมาให้ เดาว่าลูกคงยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหม"

แหม คนที่สมควรจะได้กินคือท่านแม่ก่อนเลยคนแรก

"หนูไม่ค่อยหิว แม่กินก่อนเลยค่ะ"ฉันตอบเลี่ยงไป แต่ที่บอกให้เธอกินก่อนคือความรู้สึกจริงๆ นะ

"งั้นมากินด้วยกัน" เธอตบที่พื้นที่เตียงไม้ ฉันจึงเดินไปนั่งข้างๆ และเราแบ่งขนมปังกันคนละก้อน

ในขณะที่กินขนมปังที่ทั้งแข็งทั้งจืดนั่น แม่มองฉันตลอดเหมือนกับมีอะไรจะพูด และใช่

"ลูกรัก แม่เห็นสิ่งที่ลูกทำวันนี้..."เธอพูดเสียงอ่อนทั้งยังในดวงตาสีแดงของเธอดูอ่อนล้าและโศรกเศร้า

"แม่จะดุหนูหรอคะ"ฉันจงใจทำเสียงออดอ้อนเพื่อให้เธอยังรู้สึกว่าฉันอายุแค่สิบสามอยู่ ไม่ใช่คนล้มช้างเมื่อตอนเย็น

"เปล่าหรอกจ๊ะ แม่เชื่อลูก...เชื่อมาโดยตลอด ที่จริงแล้ว...แม่แค่รู้สึกว่าควรจะมาถามลูก ว่าลูกต้องการอะไร..ในชีวิตนี้"

"หนูจะเป็นจักรพรรดินีค่ะท่านแม่"ฉันพูดเสียงเเข็งขึ้นมาทำให้เธอตะลึงงันไปชั่วครู่ ก่อนที่สายตาจะกลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิม

"งั้นหรอ..งั้นแม่ขอให้ลูกทำสำเร็จนะ แม่เชื่อว่าลูกต้องทำได้...พักผ่อนเถอะจ๊ะ ไม่รักลูกนะ"เธอพูดพลางลูบหัวของฉันความอบอุ่นที่ควรจะก่อขึ้นในใจ แต่มันไม่มีอะไรแบบนั้นเลย เพราะฉันไม่ใช่ลูกสาวของเธอ และตามความจริงแล้วเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของแม่เหมือนกันที่ไม่มีอำนาจปกป้องลูกสาวตัวเอง และสุดท้าย...เธอจะต้องตายและทิ้งลูกสาวเอาไว้ในนรกเเห่งนี้คนเดียว

ก่อนที่แม่จะเดินออกจากประตูไปฉันจำเป็นต้องพูดอะไรบางอย่าง

"ท่านแม่...ต้องรักษาสุขภาพตัวเองนะคะ คิดซะว่าเป็นสิ่งเดียวที่ทำเพื่อหนูได้"เธอหันกลับมายิ้มอย่างอ่อนโยนและปิดประตูลง

....เมื่อปิดประตูลง ซิเฟียน่าล้มลงกับพื้นที่หน้าห้องลีโทจิน่า ลูกสาวของเธอคนนี้สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ลูกของเธออีกต่อไปแล้ว เธอเป็นลูกสาวของคนผู้นั้น และเป็นมาตลอด นึกว่าจะหนีความจริงพ้นแล้วซะอีก...

....

นี่มันชักจะเกินไปแล้ว จะโทษที่ตัวละครมันชั่วช้าหรือนักเขียนที่วางพล็อตแบบนี้กันนะ แล้วฉันต้องมาทนลำบากแบบนี้แค่วันเดียวก็แทบทนไม่ไหว แล้วลีโทจิน่าที่ต้องอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็กล่ะ แม่ของเธอที่เหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง ร่างกายทรุดโทรมและต้องตายไปด้วยโรคแทนการข้าปิดชีพตัวเอง..คิดว่าจะแค่ใช้ชีวิตเพื่อให้รอดพ้นรอเสวยสุข แต่กุนซือขงเบ้งสอนไว้ว่า

เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอยเพราะเชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาส

เราจะรอเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้แล้วสิ คำตอบที่พูดกับท่านแม่เมื่อกี้คงจะเป็นคำตอบที่พูดอำเล่นเฉยๆ ไม่ได้แล้วล่ะ

เดาว่าปีศาจแก่นั้นได้โมโหตาแดงเขี้ยวงอกแน่ ถ้ารู้ว่านางเอกของละครน้ำเน่าของตัวเองมันมีนิสัยดิบเถื่อนแค่ไหน

-

ฉันนอนคิดมาทั้งคืนแล้วว่า จะใช้ใบหน้าหากิน ต้องมีใครอีกหลายคนในดินแดนนี้ที่หลงใหลในรูปลักษณ์นี้บ้างแหละหน่า แต่หยุดก่อน ฉันไม่ได้มีความคิดจะหากินกับเรื่องค้าประเวณีหรอก แค่คิดว่าจะใช้ใบหน้าน่ารักนี้ยังไงดีให้มีประโยชน์สูงสุด และมีแผนเอาไว้แล้วด้วย

แต่ก่อนอื่นเลย รูทีนที่ต้องตื่นตีสี่เพื่อออกกำลังกายนี่มันบ้าอะไรกัน นึกว่าจะทิ้งของพรรนี้เอาไว้กับกายหยาบซะอีก ตอนนี้ตาฉันสว่างโร่เลยล่ะ แต่ร่างกายนี้ไม่พร้อมกับการฝึกหนักเท่าไหร่ เป้าหมายแรกที่ต้องทำคือการหาโปรตีนให้ร่างกายซะก่อน และตอนนี้มันเช้าเกินไปที่สาวใช้จะตื่น สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่ห้องครัวจนได้

ดูจากสภาพแล้วนางเอกคงไม่ได้รับอนุญาตให้กินอาหารแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ รวมถึงแม่ด้วย...

แต่ฉันเป็นนางเอกที่ไหนล่ะ ฉันคือพลทหารหญิงที่เลื่องลือด้านความดิบเถื่อนต่างหาก... หลังจากย่องเบาเข้ามาในห้องครัวได้สำเร็จ ตั้งใจว่าจะเอาตะกร้าใส่เสบียงอาหารเพื่อเข้าป่าไปศูนย์บัญชาการลับ (ตั้งชื่อเอง) แต่นึกขึ้นได้ว่ายังมีแม่อีกคนที่ต้องดูแลเธอให้ดี ฉันแอบทำอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าขนมปังโง่ๆ หนึ่งก้อนสำหรับหนึ่งมื้อนั่น ก่อนจะใช้ทักษะสกิลของร่างกาย (คิดไปเอง) ที่ว่องไวและเบาเหมือนสายลม แอบย่องเข้าห้องนอนของแม่ก่อนจะวางอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบห้าหมู่ไว้บนโต๊ะ และย่องออกมา ฟ้าสางแล้วเมื่อมองเห็นแสงจากพระอาทิตย์จึงรีบชิ่งไปยังศูนย์บัญชาการลับในป่าลึกทางฝั่งใต้ของปราสาท ซึ่งที่นั่นถูกปล่อยให้รกร้างด้วยความตั้งใจเพราะติดกับฝั่งชายแดนของอาณาจักรอื่น

พอจะนึกภาพออกว่าที่นั่นคือสถานที่แบบไหน มันเคยเป็นศาลาสำหรับนั่งพักจิบน้ำชาเล็กๆ ของพวกชนชั้นสูง แต่เพราะมันใกล้กับเส้นแบ่งชายแดนเกินไปจึงห่วงกับความปลอดภัย คงจะกลัวโดนลอบฆ่าได้ง่ายน่ะสิ...

แต่แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน มันจะได้ตกมาเป็นของฉันได้ไงล่ะ น่าแปลกที่กลางป่ากลางดงแบบนี้ มีแค่สวนศาลานี้เท่านั้นที่ดูไม่รก เหมือนกับได้รับการดูแลอย่างดี ช่วงแรกลีทได้แต่เเอบอยู่บนต้นไม้ไกลๆ เพื่อสังเกตการณ์แต่ก็ไม่เคยเห็นใครมาที่นี่เลย จึงวางใจและแอบหอบหนังสือที่ยืมมาจากห้องสมุดหลวงมาอ่านเท่านั้น

เด็กนี่โง่เป็นบ้าเลย แค่เห็นว่าไม่เคยมีคนมาที่นี่จึงคิดว่ามันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรอ แล้วใครกันล่ะที่ดูแลศาลาพักผ่อนนี้น่ะ ฉันมั่นใจว่ามีคนเป็นเจ้าของมัน และลีทก็ไม่เคยถูกจับได้ ฉันก็ต้องการจะเช็กบางอย่างเหมือนกัน...

ก่อนอื่น ในป่าในดงแบบนี้..เด็กผู้หญิงคนเดียวมาที่นี่แต่ไม่เคยได้รับอันตรายจากสัตว์เลยสักครั้ง มันหมายความว่าไงกันล่ะ

ใช่ มีคนปกป้องเธออยู่ไกลๆ ส่วนหญิงสาวที่รับรู้ได้เพียงความสงบนั้นก็ชอบใจและมาที่นี่บ่อยๆ

เมื่อนั่งลงยังเก้าอี้ที่คุ้นเคยก็พาทำให้เคลิ้ม ความทรงจำที่แสนสงบสุขเริ่มแล่นเข้ามาในหัว

''รู้แล้วน่า..ว่าชอบที่แบบนี้น่ะ"ฉันพึมพำกับตัวเอง เพราะหัวใจมันเต้นรัวไม่เป็นส่ำทำเอาอยู่ไม่สุขเลยน่ะสิ

ขวับ

"ออกมา!"ซิกเซนต์ สัญชาตญาณนักราตเวรของฉันมันทำงานขึ้นมาทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ในรัศมีครอบคลุมปลายสายตามีความเคลื่อนไหว

"ไม่งั้นฉันจะไปหาแกเอง!" ฉันขู่ไปแบบส่งๆ เพราะยังไม่ระบุได้แน่ชัดว่าคนหรือสัตว์ อาจจะเป็นแค่กระต่ายป่าก็ได้

"ก็ได้ๆ ให้ตายเถอะ เจ้าทำข้าขนลุกนะ"จู่ๆ เด็กชายตัวน้อยที่เหมือนจะอายุพอๆ กับฉัน..หมายถึง ในร่างลีทน่ะนะ พอเขาเดินมาใกล้ๆ แล้วก็ได้เห็นชัดขึ้น เส้นผมสีดำสนิทกับดวงตาสีฟ้าของน้ำทะเล เสื้อผ้าหน้าผมที่ถูกดูแลอย่างดี ลูกคนรวยนี่เอง

เขาเดินเข้ามานั่งบนศาลา ตรงข้ามกับเธอ

"บอกชื่อมา"ฉันไม่วางใจเขาอยู่ดีแม้จะเป็นเด็ก ไอ้พวกลูกชนชั้นสูงแถมยังเป็นผู้ชายนี่แหละ จิ้งจอกเด็กดีๆ นี่เอง

"อันเควสโต ชาร์ลวิน..." เขาเอ่ยปากด้วยความภาคภูมิใจพร้อมทั้งผายมือทาบอกเป็นกิริยาตามมารยาทในการแนะนำตัว

"...."

"เจ้าจะบอกว่าไม่รู้จักอันเควสโตงั้นหรอ...."

"..."เออว่ะ อันเควสโตคือใครกันล่ะวะนั่น ค้นหาในเศษเสี้ยวความทรงจำแล้วคิดไม่ออก

"...เหลือเชื่อเลย เจ้าไปอยู่ไหนมาเนี่ย"เด็กหนุ่มตรงหน้าเกาหัวแกร็กๆ ด้วยความงุนงง

"หุบปากซะ ฉันไม่สนหรอกว่าอันเควสโตคืออะไร ที่ฉันต้องการรู้ไม่ใช่ชื่อของนายด้วยซ้ำ" ฉันพูดอย่างระแวดระวัง ไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น โฮ่ พอได้วาดมาดนักรบในร่างเด็กแบบนี้แล้วรู้สึกแปลกชะมัด

"งั้นหรอ.. แม้แต่ชื่อของข้า..เจ้ายังไม่รู้จัก คงไม่จำเป็นหรอกมั้งว่าข้าทำไมถึงอยู่ที่นี่"ไอ้หมอนี่ เป็นเด็กเป็นเล็กแต่ก็ยังรู้จักวางมาดแฮะ

"หรือจะบอกว่านายเป็นเจ้าของที่นี่กันล่ะ"ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าต้องมาต่อล้อต่อเถียงกับเด็ก

"เปล่าหรอก... เเค่คิดว่าไม่เคยเห็นคนมาที่นี่ ยกเว้นเจ้า ข้าเลยให้คนคอยดูเเลมัน"

โอเค คำตอบผิดคาด นึกว่าจะตอบว่าเป็นของตัวเองซะอีก ถึงจะตอบเพราะโกหกฉันก็จะเชื่อแน่ๆ

"แอบดูฉันมานานแค่ไหนแล้ว"

"ไม่เอาน่า... เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกชอบถ้ำมองผู้หญิงงั้นรึ ข้าแค่เห็นเด็กผู้หญิงคนเดียวชอบเข้าป่ามาก็ต้องคอยสังเกตน่ะสิ"

นั่นก็จริงของเขา งั้นหมอนี่จะบอกว่าตัวเองคอยเล่นเป็นองครักษ์พิทักหญิงสาวในพงไพรรึยังไงนะ

"....."

"หมดแล้วรึ คำถามของเจ้าน่ะ...งั้นถึงคราวของข้าบ้าง"

"เจ้าเป็นใคร"

"คนธรรมดา"

"หมายถึงชื่อ...?"

"ลีโทจิน่า"

"ชื่อยาวชะมัด จิน่าแล้วกัน"

"ใครอนุญาตให้เรียกแบบนั้น"

"ข้าอนุญาตตัวเอง"

....

เพราะสายตาเรียบนิ่งและหยิ่งผยองที่เป็นอัญมณีสีแดงประกายนั่นหรือเปล่า มันถึงได้สะกดจิตใจของเด็กชายให้หลงใหลอยากมองอีกไม่มีที่สิ้นสุด จนทำให้เขาเผลอไผลคิดว่าตัวเองกลายเป็นคนชอบสิ่งสวยงามที่มีค่าหายากเกินจะเอื้อมไปซะแล้ว...

...

หลังจากวันนั้นที่ฉันได้มีเพื่อนคนแรก ไม่ว่าฉันจะไปที่นั่นอีกกี่ครั้งก็จะเจอหมอนั่นนั่งอยู่บนศาลาอยู่ก่อนตลอด และทำเหมือนว่ากำลังรอเราอยู่ด้วย แม้จะอยากพูดประโยคที่ว่าฉันแก่พอจะเป็นแม่แกได้เลยนะไอ้หนู แต่ก็ทำได้เพียงคิด เพราะมีเพื่อนที่เป็นคนรวยอยู่ข้างกายนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แน่นอนว่าไอ้เด็กคนนี้ไม่ใช่เจ้าชายที่เราต้องไปพบรักด้วยแน่นอนเพราะว่า สถานที่พบรักก็คือตรอกซาโน่ในเมือง และฉันตั้งใจว่าจะไม่ไปเหยียบที่นั่นเด็ดขาด และอีกยังตอนนี้คงยังไม่ถึงเวลานั้น

"เจ้ามาช้านะ"เด็กหนุ่มทักทายด้วยความอารมณ์ดี วันนี้มีชากับของว่างมาด้วยแฮะ แปลว่าเตรียมตัวมาดีเลยสิท่า หลังจากต้องแบ่งอาหารที่จิ๊กมาจากห้องครัวมาโดยตลอด

"ใครขอให้นายรอกันล่ะ"

"ใจดำเสียจริง..ว่าแต่ ทำไมเจ้าถึงได้พูดจาประหลาดๆ แบบนั้นล่ะ เจ้าไม่ใช่คนของจักรวรรดินี้หรอ"

"มะ..หมายถึงอะไร" ...จักรวรรดิงั้นหรอ นี่ไม่ใช่การใช้ชีวิตภายในอาณาจักรดินแดนเดียวหรอกหรอ?

"จิน่า.. เจ้าต้องไปเรียนหนังสือนะ" ไอ้หมอนี่มันจะบอกว่าฉันโง่สินะ ก็ต้องโง่สิ ในหนังสือไม่ได้มีอะไรแบบนี้นี่ ทั้งในความทรงจำของร่างนี้ก็ไม่มีสักนิด

"ข้า...ไปเรียนไม่ได้หรอก..ข้าไม่มีเงินมากพอ"ไหนๆ ก็ได้รับสายตาเห็นใจหรือสมเพชจากดวงตาคู่สีฟ้าสุกสว่างนั่นแล้วเปิดโอกาสขอสปอร์นเซอร์เลยแล้วกัน!

"ข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเอง ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป" พับผ่าสิ!ไอ้เด็กนี่มันดันมาซื่อเอาตอนนี้จนได้สิน่า ไม่รู้จักการลงทุนกับคอนแท็กเอาซะเลย แต่พอมองไปยังเด็กน้อยไร้เดียงสานี่ที่มีความแน่วแน่จะสอนเราขนาดนั้นแล้วปฏิเสธไม่ลงเลยแฮะ เอาเถอะ อย่างน้อยการจ้องจะขอเงินจากเด็กรุ่นลูกนี่มันดูไร้ศักดิ์ศรีชะมัดเลย แถมการได้รู้เรื่องชาติตระกูลของโลกนิยายนี้อาจจะช่วยได้ในการไต่สู่ความสำเร็จของเป้าหมายก็ได้

"เป็นไง ดูเจ้าไม่ตื่นเต้นเลยนะ"

"เปล่าหรอก ตื่นเต้นสิ...ตื่นเต้น..มากเลย"

"ใช่แล้ว มันต้องอย่างนี้สิ นักเรียนของข้า"

ฉันจะฆ่าไอ้เด็กนี่คนแรกเลย

หลังจากที่ตกปากรับคำว่าจะเรียนหนังสือกับหมอนั่นแล้วก็ถือว่าเป็นอาจารย์ที่เก่งใช้ได้ นอกจากจะได้รับความรู้ที่เหมือนเขาเป็นลูกโลกจำลอง รู้ทุกสถานที่ทุกมุมโลกแล้ว ยังเป็นเครื่องคิดเลขเดินได้อีกต่างหาก แถมในหัวนั่นคงจะมีเมมโมรี่เป็นห้องโถงสมุดใหญ่ไว้แยกความรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์การเมืองการปกครองอีก ถ้าเป็นในโลกของเราเขาคงถูกจัดอยู่ในกลุ่มพวกเนิร์ด ส่วนฉันคงเป็นพวกชอบเบ่งกล้ามล่ะมั้ง เเละเขามันใจดีแม้แต่กับไส้เดือนตัวเล็กๆ ด้วย

ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว หลังจากที่ได้ทำการอัดสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและออกกำลังกายเพิ่มความมีน้ำมีนวลเรียบร้อย จนตอนนี้คงเรียกว่าอยู่ในเลเวลของลำต้นแล้วล่ะ

ซึ่งตอนนี้ก็แค่เอาหน้างามๆ นี้ไปให้ท่านบาร์ติเย่ ช่างตัดเสื้อพิจารณาดูว่าหน้าตาเบ้าหน้าฟ้าประทานของนางเอกจะมัดใจแมวมองได้ไหม นี่แหละงานที่ฉันวางแผนไว้ เพราะวันก่อนบังเอิญเข้าเมืองมาซื้อเครื่องเขียนตามที่ท่านอาจารย์หนูน้อยสั่งการไว้เเละได้เห็นเข้ากับใบประกาศหาสาวงามพอดี

ก่อนอื่นคงต้องแสร้งเดินไปชนกับเขาที่นั่งจิบกาแฟอยู่ตรงนั้นและ..

ปัก

โอ้ย!

"นังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า วิ่งมาอย่างนี้ได้ยังไง ไม่มีคนสั่งคนสอนรึ" บาร์ติเย่ที่โดนกาแฟลวกมือเพราะฉันตั้งใจโดนชนให้กาแฟมันกระฉอก พอมันยิ่งเกิดความเสียหายมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้สบตากับเขายิ่งมากเท่านั้น

"ขอโทษค่ะท่าน ฉันไม่ดูทางเอง"ฉันตั้งใจเปิดผ้าคลุมออกช้าๆ เพื่อที่จะได้สร้างกิมมิคเล็กๆ ได้ และมันได้ผล เขามองหน้าฉัน คิ้วที่ขมวดเข้าหากันก่อนหน้านี้และริมฝีปากที่เผยอข้างเพราะกำลังคาดไม่ถึงกับการได้พบเจออัญมณีเม็ดโต แม้แต่ฉันที่เป็นทหารยังคิดว่าความสวยของนางเอกมันขายได้ แล้วคนที่อยู่ในวงการความงามจะเหลืออะไร

"เอ่อ..เอาเป็นว่าฉันจะไม่ถือโทษและลืมเรื่องเมื่อครู่ไป...ถ้าหากว่าเลดี้จะนั่งคุยกับฉันสักเดี๋ยว" ใบหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้งเพียงเสี้ยววินาที

"ยินดีค่ะท่าน ถ้าสิ่งนั้นสามารถชดใช้ให้กับท่านได้"ฉันตั้งใจนอบน้อมเพื่อที่เขาจะได้คิดว่าฉันหลอกล่อง่าย เมื่อกี้ยังเรียกฉันว่านังเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอยู่เลยแท้ๆ วงการบันเทิง ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือโลกข้างนอกนั่น

"บอกข้าสิว่าเลดี้เป็นคนของลูกสาวบ้านไหนกัน ถึงได้มีใบหน้าชวนสะกดคนแปลกหน้าเช่นนี้"เขาพูดเสียงอ่อนโยน ในตาสั่นเครือเหมือนพวกคลั่งแฟชั่นที่เห็นแค่นางแบบก็จินตนาการว่าจะเป็นอย่างไรหากผลงานของตนมาประดับอยู่กับหุ่นสไตล์แบบนี้

"ข้าคือลูกสาวคนเล็กของตระกูลการ์ดค่ะท่าน ชื่อว่าลีโทจิน่า การ์ด"ฉันเอ่ยแนะนำอย่างนอบน้อมพร้อมกับจำท่าทางของชาร์ลวินมาใช้ด้วย

"ลูกสาวคนเล็ก...ลีโทจิน่า ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะเหมาะกับเลดี้ดี...ส่วนฉัน บาร์ติเย่ ลูโน่ เจ้าของอาณาจักรบาร์ติเย่ เป็นอาณาจักรแฟชั่นที่ข้าออกแบบเอง ตอนนี้กำลังหาโมเดลที่เข้ากับชุด ทันทีที่ข้าเห็นเลดี้ นั่นทำให้ข้ารู้ได้ทันว่าอาณาจักรของข้ามีที่ยืนสำหรับเลดี้อย่างแน่นอน..ถ้าหากเลดี้สนใจ..."

"ท่านคะ...นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่มีคนหยิบยื่นให้ฉันเลยค่ะ...เพียงแต่ว่า ปัญหาทางบ้านของฉัน..."

"ถ้าหากเลดี้ยอมตกลงเเละเซ็นสัญญาตอนนี้ ข้าจะเพิ่มเงื่อนไขพิเศษให้อีกหนึ่งข้อ เลดี้จะได้เป็นโมเดลอันดับหนึ่งของบาร์ติเย่ ทันทีที่เลดี้ลงนามเสร็จ"

.....

หลังจากกลับถึงบ้าน ความวุ่นวายที่เงียบหายไปหลายวันนั้นกลับมาอีกครั้ง เพราะแผลของโรสเริ่มหายแล้ว แต่ก็ต้องใส่เฝือกที่จมูก และมีรอยช้ำดำเขียวตามตัว เพโนโลปี้กลับบ้านหลังจากกลับจากโรงเรียนประจำช่วงวันหยุด

หลังจากได้รับรู้ว่าน้องสาวของตนถูกตีด้วยกิ่งไม้ จึงเกิดอาการคัดค้านสายตาสินะ คงไม่เชื่อว่าฉันจะทำได้อย่างไร และยิ่งไปกว่านั้นคืออยากระบายอารมณ์ความกดดันจากทำข้อสอบประจำสัปดาห์ไม่ได้

เพราะตั้งแต่ฉันก้าวเท้าเข้าเขตธรณีประตูบ้านไปสาวใช้ก็รีบวิ่งเข้ามาชาร์จด้านหลังเเละบอกว่าคุณหนูใหญ่ต้องการพบ

แน่นอนว่าฉันขัดอะไรไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าการจะได้จัดการกับนังโง่นี่มันเร็วเกินไปหน่อยไหม

"เข้าไปนะคะท่านพี่"ฉันเคาะประตูเเละส่งเสียงเรียกเป็นมารยาท

จากนั้นก็ก้าวเข้าไปภายในห้องพักแสนจะโอ่อ่าและเรียบหรูต่างจากที่พักของฉันกับแม่ลิบลับ

"นั่งสิ ลีท" เธอนั่งอยู่บนโซฟารับรองขนนุ่มที่ฉันไม่แม้จะเคยเห็นมันสักครั้ง

ฉันเดินไปนั่งตรงข้ามกับหล่อนอย่างเงียบเชียบ เราทั้งคู่เกลียดกัน แต่ต่างคนกำลังเล่นเกมสงครามประสาทโดยการระงับอาการเกลียดชังที่มีต่อกัน

"ดื่มชาสักหน่อยสิ"เธอพูดเสียงเรียบ พร้อมทั้งยกกาน้ำชา เป็นนัยบังคับว่ายังไงก็จะรินสินะ

"ขอบคุณค่ะ "ฉันถือแก้วชาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างส่วนเธอก็รินชาร้อนใส่ในแก้วที่ฉันถือ

"สีหน้าดูดีนะ มีเรื่องอะไรน่ารื่นรมย์หรือเปล่า"เธอพูดถามเสียงเรียบทั้งยังค่อยๆ บรรจงรินชาให้

"เปล่าหรอกค่ะ น้องแค่พักผ่อนเพียงพอเท่านั้น"ฉันตอบเสียงเรียบ สายตาจ้องไปที่ถ้วยชาเช่นเดียวกัน

"งั้นหรอ จะบอกว่าพี่ๆ ไม่อยู่เธอจึงได้พักสินะ"

จ๊อกกก ฟู่

"..." ฉันไม่ตอบอะไร เพียงแต่จ้องหน้าเธอเงียบๆ ส่วนนังตัวดีนี่รู้ว่าชามันล้นออกจากถ้วยแล้วแต่ยังตั้งใจรินมันต่อไปเพื่อให้มันลวกมือฉัน ถึงรู้อย่างนั้นแต่ฉันก็ตั้งใจให้เธอรินมันต่อโดยที่ไม่ชักมือออก แค่น้ำร้อนลวก ฉันทนปืนไฟฟ้าได้หลายนาทีทั้งยังเคยผ่าตัดลูกกระสุนแบบสดมาแล้ว แค่นี้ไม่มีเหตผลให้ฉันต้องกลัวเลยสักนิด

"หึ..คิกคิก...น้องนี่ช่างคุยด้วยสนุกจริงๆ ตอนนี้ออกไปเถอะ พี่จะพักสักหน่อย"เธอหัวเราะอย่างกับคนไม่สมประกอบ หรือจริงๆ แล้วเธอมีปัญหาด้านสติปัญญาหรือเปล่านะ

"ท่านพี่...รู้หรือเปล่าคะว่าเมืองคานอยู่อาณาจักรใด"ฉันถามเธอ

"...."

"ตอบไม่ได้งั้นหรือคะ... งั้นเปลี่ยนคำถามดีกว่า... มีอาจารย์ที่สถานศึกษาท่านใดบอกท่านไหมคะ ว่าท่านเป็นแค่นังโง่อวดดี"ฉันเอียงคอถามด้วยความใคร่รู้เสียจริง และคำถามฉันทำให้เธอแปลกใจหรือเปล่านะ เพราะตอนนี้เธอกัดฟันและสองมือกำหมัดแน่น อะไรน่ะ กำหมัดจะต่อยฉันรึไง

"อะไรกันคะท่านพี่... กำหมัดเพราะอยากออกเเรงเเขนรึเปล่าคะ...แย่หน่อยนะคะที่กำปั้นน่ะ มันเอาไว้เพื่อเป็นอาวุธต่อสู้กับศัตรูที่อ่อนปวกเปียก..อย่างท่านพี่โรสที่โดนไปเมื่อหลายวันก่อนน่ะค่ะ...ส่วนแบบท่านพี่นั่นเรียกว่ากายภาพบำบัดค่ะ... คุยกับท่านพี่สนุกจริงเชียว งั้นน้องขอตัวก่อนนะคะ"ฉันกำลังด่าเธอว่าโง่อยู่ยังไงล่ะนังประสาทกลับ ถือว่าเตือนแล้วกันว่าถ้ามายุ่งกับฉันอีกฉันจะให้เธอแบบเพิ่มโบนัดทบต้นทบดอกเลย

ฉันหันกลับกลับออกมาจากที่ห้องรับรองแขกแต่ขณะที่กำลังก้าวเท้าออกจากประตู ลมเย็นๆ ก็ผ่านหน้าฉันไป และตรงหน้าก็พบถ้วยเซรามิกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่ตรงทางเดิน ดีที่เอี้ยวหัวหลบทัน นังโง่นั่นเสียสติไปแล้วรึไง

"ท่านพี่นี่ช่าง...โง่และอวดดีจริงๆ ค่ะ เล่นปาสิ่งของอันตรายแบบนี้แปลว่าเงินทองที่ใช้ส่งเสียค่าเล่าเรียนให้ท่านเสียเปล่าแล้วสินะคะ....แต่ไม่เป็นไรค่ะ ค่าถ้วยชานี้ น้องจะชดใช้ให้เอง ..."ฉันพูดจบก็เดินออกจากรังของสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจยิ่งว่ามดแมลง ให้ตายสิ ฉันอยากฉีกยัยบ้านั่นเป็นชิ้นๆ ซะจนเกือบทนไม่ไหวซะแล้ว

พอก้มลงไปเก็บเศษถ้วยชาเซรามิกมาไว้บนมือก่อนที่จะลุกขึ้นยืน หันเท้ากลับลงไปยังบันได แต่ตรงประตูห้องของพี่สาวที่แสนดีกลับมีใครบางคนยืนกอดอกพิงประตูอยู่ เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเดียวแถมยังติดกระดุมให้ครบทุกเม็ดหน่อยก็ไม่ได้

ดวงตาสีดำ แต่เรือนผมกลับเป็นสีขาวสว่างราวกับเป็นเจ้าชายน้ำแข็ง แถมยังเป็นหนุ่มหน้าตาดีอีก แต่จะให้นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ...เอาเถอะ ยังไงนี่คงจะเป็นสถานการณ์เหมือนกันกับที่เราเจอชาร์ลวินแปลว่าเนื้อเรื่องมันเปลี่ยนแปลงตั้งแต่นางเอกของเรื่องอย่างฉันใส่ใจกับการสร้างกล้ามให้ตัวเองกับแม่แล้วล่ะนะ

"ส่งมันมานี่สิ"เขายื่นมือออกมาและแผ่ฝ่ามือหนาเพื่อจะรับเศษถ้วยแตกนี่น่ะหรอ

"ไม่เป็นไรค่ะท่าน...ฉันจะนำมันไปทิ้งเองค่ะ"ฉันตอบเสียงเรียบ ถ้าเขาอยู่ตรงนี้แต่แรกแปลว่าเขาก็ได้ยินทุกอย่างแล้วน่ะสิ ต้องสังเกตและจำให้ได้ว่าเขาเป็นใครกันแน่

"ท่านงั้นหรอ....เธอกำลังจิกกัดพี่อยู่หรือยังไง"เขาเลิกคิ้วแล้วมองฉันด้วยความไม่อยากเชื่อ แต่อะไรอีกล่ะ พี่งั้นหรอ ฉันมีพี่น้องกี่คนกันแน่เนี่ย ไม่อย่างนั้นเขาเเค่ล้อเลียนฉันเพราะเรื่องเมื่อกี้มากกว่าสินะ

"อย่าล้อเล่นด้วยอะไรแบบนั้นดีกว่าค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ลาก่อนค่ะ"ฉันก้มหัวให้เล็กน้อย เป็นไปได้มากสุดก็คงเป็นแขกของพ่อคงไม่ต้องเจอกันอีก

"ไม่ใช่ขอตัวก่อน แต่เป็น ลาก่อนงั้นหรอเนี่ย"เขาพูดด้วยความอารมณ์ดีก่อนจะเดินสวนเธอไปอีกทาง และเลี้ยวเข้าไปในห้องของเพโนโลปี้

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!