"เคร้ง!"
เสียงแตกหักของแก้วกาแฟที่ถูกปาลงบนพื้นดังสนั่น
"ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ พวกแกบริหารจัดการยังไง! ฉันกลับไปฮ่องกงแค่เดือนเดียว!ทำไมเงินทุนในบริษัทหายมากมายขนาดนี้!"
เสียงตะคอกอย่างเกรี้ยวกราดของ ชายวัยกลางคนอายุราวๆ40ปี พูดกับหญิงสาวตรงหน้า
"ด..ดิฉันไม่คิดว่าจะมีข่าวเสียหายเกิดขึ้นกับผลิตภัณฑ์ของเราแบบนี้ค่ะ ในโซเชียลเป็นข่าวปลอมแท้ๆ แต่หุ้นกลับตกลงถึง30% ทำให้ดิฉันเลินเล่อขายหุ้นออกไป ดิฉันขออภัยจริงๆค่ะ ฉันผิดไปแล้วค่ะคุณพันธ์ชิระ"
หญิงวัยกลางคนพูดพลางก้มหัวผงกๆด้วยความรู้สึกผิด ตรงหน้าโต๊ะทำงานของชายคนนั้น
ขณะเดียวกันก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น หญิงสาวในชุดนักศึกษาร่างเพรียวบางเดินเข้ามา ใบหน้าสดใสยิ้มกรุ่น
"พ่อคะ~ ลิริน อยากได้กระเป๋าใหม่จังเลยค่ะ พ่อดูนี่สิ สวยมากเลย พ่อคิดว่าไง"
เธอเอาโทรศัพท์เปิดรูปกระเป๋าแบรนด์เนมรุ่นใหม่ล่าสุดให้ผู้เป็นพ่อดูพลางทำหน้าออดอ้อน
"ออกไปก่อน" ชายวัยกลางคนทำสีหน้าเคร่งเครียดบอกกับหญิงวัยกลางคนก่อนหน้าให้ออกไป
ลิรินพึ่งสังเกตเห็นว่ามีพนักงานอยู่ด้วยจึงรีบสวัสดีหญิงวัยกลางคนนั้นแล้วยิ้มเหยเก"ป้ากรแก้วสวัสดีค่ะ"
หญิงวัยกลางคนพยักหน้าน้อยๆแล้วเดินออกไป
เมื่อเห็นว่าพนักงานเดินออกไปแล้วลิรินถึงหันมาหาคนเป็นพ่อ เธอรู้สึกว่าสีหน้าของพ่อวันนี้ดูไม่ค่อยแจ่มใสเท่าไหร่ จึงรีบเก็บโทรศัพท์กลับไปแล้วนั่งลงข้างๆ
"ที่บริษัทที่ปัญหาอะไรรึเปล่าคะ ทำไมวันนี้พ่อดูเครียดๆ"
นายพันธ์ชิระ เผยสีหน้าเคร่งเครียด เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญและรักใคร่ลูกสาวคนนี้มาตลอด แต่ ณ เวลาเขาแทบไม่มีกะจิตกะใจจะพูดอะไรเลย
บริษัทของเขาที่ก่อตั้งมา15ปีถูกกระแสข่าวกุขึ้นโจมตีจนแทบจะล้มละลาย ถึงแม้ว่าจะทำธุรกิจมาหลายสิบปี แต่เจอสถานการณ์ปัญหาแบบนี้ เขาก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน
ลิรินเห็นสีหน้าพ่อแย่ลงกว่าเดิมก็อดใจหายไม่ได้
"หรือว่าที่บริษัทมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ "
"เห้อ! ลิริน ลูกไม่เห็นข่าวบ้างเหรอ ผลิตภัณฑ์ของเราโดนโจมตี กว่าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ก็สูญเสียไปหลายสิบล้านแล้ว "
เมื่อได้ยินดังนั้นลิรินถึงกับเบิกตามองผู้เป็นพ่อด้วยความเหลือเชื่อ พูดขึ้น
"อะไรนะคะ หลายสิบล้าน? แล้วช่วงหุ้นตกเราไม่ได้ซื้อเก็บไว้หรอคะ?"
" นั่นแหละปัญหา ช่วงเดือนก่อนที่พ่อมัวแต่ยุ่งกับกิจการที่ฮ่องกง ไม่ได้ดูแลทางนี้ ก็นึกว่าจะข้อผิดพลาดอะไร ที่ไหนได้ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แล้วพวกป้าๆของแกก็ไม่ยอมถือไว้ ปล่อยหุ้นให้นายทุนใหญ่คนหนึ่งไปโดยไม่ถามพ่อสักคำ ตระกูลเราเหลือหุ้นแค่35%เท่านั้น" นายพันธ์ชิระถอนหายใจดวงตาเจือแววหมดหวัง พลางยกมือขึ้นพิงศีรษะ
" นายทุนใหญ่? นายทุนใหญ่คือใครหรอคะ?"
" คนคนนี้เขาไม่แสดงตัว เห็นว่าชื่อ คุณกิตติธัชแต่คงเป็นตัวปลอม คงให้คนอื่นมาซื้อให้ หากเป็นเขาจริงพ่อคงติดต่อเขาได้แล้ว แต่นี่กลับตามตัวไม่ได้ "
ลิรินเม้มปาก เข้าไปกอดคนเป็นพ่อ
" พ่ออย่าเครียดเลยน้า เครียดมากไปจะหน้าเหี่ยวไวเอานะคะ ลิรินอยากให้พ่อของลิรินเป็นหนุ่มหล่อแบบนี้ไปนานๆ"
เธอหัวเราะคิกคักพยายามสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายลง
นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นพ่อมีท่าทีเคร่งเครียดแบบนี้ ลิรินแอบรู้สึกกังวลอยู่ในใจลึกๆ แต่ก็ยังพยายามแสดงท่าทีออกมาเพื่อไม่ให้พ่อเครียดจนเกินไป
แต่แม้ว่าจะคิดได้แบบนั้นเธอก็ไม่รู้ว่ากิจการนี้จะต้องทำยังไงต่อไป ถ้าเธอมีความรู้เรื่องธุรกิจมากพอคงจะช่วยพ่อได้ แต่ตอนนี้เธอกลับทำได้แค่ให้กำลังใจเท่านั้น
—————————————————————
เช้าวันต่อมา
ณ มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านกลางกรุง
รถสปอร์ตหรูสีแดงคันหนึ่งเคลื่อนที่มาจอดหน้าบริเวณทางเข้าตึกของคณะ สายตาผู้คนนับสิบมองอย่างอิจฉาตาร้อน พลันมีเสียงซุบซิบดังขึ้นหลังจากคนในรถก้าวออกมา
้เป็นหญิงสาวคนหนึ่งร่างสูงเพรียวบางในชุดนักศึกษากระโปรงสั้นเลยหัวเข่าขึ้นสองนิ้ว เผยให้เห็นทรวดทรงองค์เอวและเรียวขาขาวที่โดนเด่นเกินใคร ก้าวเท้าออกมาจากรถแล้วเดินสับขึ้นตึกคณะไป โดยไม่สนใจสายตารอบข้าง
" ดูสิ ขนาดที่บ้านจวนจะล้มละลายแล้วยังสาระแนทำตัวไฮโซอยู่อีก ไม่รู้เอาความมั่นหน้ามาจากไหน"
"ถึงว่า พ่อทำงานแทบตายให้ลูกสาวผลาญเงินจนหมด ไม่แปลกที่จะล้มละลาย สมน้ำหน้า!"
ทันใดนั้นก็มีชายหนุ่มชุดนักศึกษาสูงขาวหล่อเหลาเดินเข้ามา
"พวกเธอพูดถึงใคร" เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น
"กรี้ด พี่คิณ! พี่คิณคุยกับฉัน "
รุ่นน้องปีหนึ่งคนนั้นหันไปพูดกับเพื่อน ทำท่าทางระริกระรี้
"สรุปพูดถึงใคร ใช่ลิรินรึเปล่า" คิณคิ้วขมวดพูดขึ้นอีกรอบ
สองสาวชะงักไปสีหน้าบูดเบี้ยวลงเมื่อตระหนักได้ว่ารุ่นพี่ในดวงใจกำลังถามถึง ยัยไฮโซตกอับคนนั้น
"ใช่ค่ะ พวกเรากำลังพูดถึงยัยลิริน พี่น่าจะไม่รู้ ที่บ้านมันหนะกำลังจะล้มละลายแล้ว พึ่งพ้นศาลมาได้เดือนเดียวหุ้นก็ถูกขายออกไปกว่าครึ่งแล้ว ซ้ำราคายังตก30%อีกต่างหาก คิก! แต่ว่าพี่อย่าไปสนใจมันเลยค่ะ จนถึงตอนนี้มันก็ยังไม่รู้ตัวว่..."
"หุบปาก! ถามก็ตอบจะพล่ามมากทำไม"
หญิงสาวคนนั้นถูกสายตาคมมองอย่างหยามหยันก็เสียใจหนักมากและกระทืบเท้าจากไปด้วยความโมโห
คนรอบข้างที่เห็นก็รู้สึกอิจฉาตาร้อน ที่เดือนมหา ลัยอย่างรุ่นพี่คิณให้ความสำคัญกับลิรินขนาดนี้ได้ยินว่ามันเข้ามาปีหนึ่งก็เริ่มอ่อยพี่คิณตั้งแต่เทอมแรก เเสร้งทำท่าตกจากแสตนตอนซ้อมลีด เพื่อให้พี่เขาอุ้มรับ น่ารังเกียจจริงๆ
———————————————————————
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นภายในห้อง
"สวัสดีครับคุณพันธ์ชิระ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ"
ร่างสูงใหญ่สวมเสื้อเชิ้ตสีดำ ริมฝีปากแดงที่แต่งแต้มจากไวน์ชั้นดี ขยับขึ้นลง มือข้างหนึ่งรินไวน์แดงใส่ในแก้ว พลางยกขึ้นจิบเป็นพักๆ อีกมือหนึ่งถือคุยโทรศัพท์
" คุณตวัน เราก็รู้จักกันมานานแล้ว เรื่องโรงงานผลิตในปีนั้นก็เป็นคุณที่ช่วยเหลือผม ตอนนี้ผมเจอวิกฤตอยากจะขอความช่วยเหลือจากคุณสักครั้งจะได้มั้ยครับ "
เสียงปลายสายเอ่ย
เมื่อไวน์แดงผละออกจากริมฝีปากทำให้มองเห็นมุมปากได้รูปหยักยิ้มขึ้นเล็กน้อย กรอบหน้าทรงเหลี่ยมแนวกรามสันที่ชัดเจน แววตาดุดันจนทำให้หญิงสาวหลายคนต้องสั่นสะท้าน
" ได้สิครับ ผมยินดีอย่างยิ่ง คุณพงษ์ชิระจะเอาเท่าไหร่ดีล่ะ?"
" ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า คิดไม่ผิดที่ผมกับคุณคบหากันมานาน ผมต้องการ100ล้านครับ ที่เหลือผมพอจะหามาจัดการเองได้ ไม่รบกวนคุณตวันไปมากกว่านี้แล้วครับ"
เสียงคุณตวันเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะดังขึ้น
"ผมให้คนโอนไปแล้วนะครับ สัญญาส่งไปทางดิจิตอลแล้ว รบกวนคุณพงษ์ชิระด้วยนะครับ"
"ฮ่าฮ่าไม่มีปัญหา สัญญานี้ผมเซ็นต์ให้แน่นอนไม่ทำคุณตวันขาดทุนแน่นอนครับผม"
เสียงชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างปิติใจ ก่อนสายจะถูกตัดไป
หลังสายตัดไป นัยตาสีดำขลับฉายแววเจ้าเล่ห์ควงโทรศัพท์สองสามคราแล้วโยนลงด้านข้าง จิบไวน์แดงอีกครั้งแล้วพูดกับคนข้างหลัง
"ไปบอกให้นายอาร์วินขายหุ้นนั้นทิ้งซะ แล้วจุดเพลิงเผาโกดังของนายพันธ์ชิระทิ้ง"
"ครับท่าน!"
————————————————————————
บาร์xxx
เห็นรถสปอร์ตหรูคันสีแดงจอดอยู่ ในใจของคิณ
ก็รู้สึกกังวล ตอนนี้เขามั่นใจว่าลิรินต้องมาดื่มที่นี่แน่นอน
ดังนั้นขายาวจึงก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องผ่านการตรวจตราใดใดทั้งสิ้น ผู้ตรวจทั้งสองเมื่อเห็นเขายังต้องโค้งคำนับอย่างเคารพ
[VIP ZONE]
หญิงสาวชุดเดรสแดงเพลิงรัดรูป นั่งไขว่ห้างจิบแอลกอฮอล์อย่างเหม่อลอย เเสงสีเสียงกระทบเข้าโสทประสาททุกส่วน แต่เธอในยามนี้กลับไม่อินไปกับมันเลยสักนิด
พ่อของเธอกำลังเจอปัญหา แม่ของเธอทิ้งไปตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนเธอก็เคยทำตัวหยิ่งยโสจนไม่มีเพื่อนคบ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เธอเหนื่อยกับมันจริงๆ
แต่ก็โทษใครไม่ได้ เพราะส่วนมากก็เป็นเธอที่ทำตัวเองทั้งนั้น ทุกคนคงจะเกลียดเธอน่าดู เธอเป็นลูกที่ไม่สามารถช่วยพ่อแก้ปัญหาได้ และเป็นลูกที่แม่ไม่รัก ส่วนเพื่อนๆนั้น ก็ไม่มีใครรับความวางตัวสูงส่งของเธอได้เลยสักคน
มีเพียงแอลกอฮอล์และที่แห่งนี้เท่านั้นที่จะเยี่ยวยาจิตใจและอยู่เป็นเพื่อนเธอจนถึงรุ่งเช้า ถึงแม้จะพึ่งเลิกม.มา เเต่เธอก็ไม่รู้สึกอยากกลับบ้าน เพราะเดาว่าถ้ากลับไปก็คงไม่พ้นต้องแอบร้องไห้ในห้องคนเดียว
ดวงตาพราวเสน่ห์ที่เหม่อลอยลางเลือนอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นคนที่มาใหม่ เป็นชายร่างคุ้นเคย รุ่นพี่ที่เธอหลงรัก พี่คิณ เธอยิ้มบางๆให้กับเขา
"พี่คิณมาได้ยังไงคะ?"
ใบหน้าขาวเนียนในยามนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เธอเงยหน้าถาม ดวงตากลมโตมองด้วยความตื่นเต้นและแปลกใจ
"ลิรินเมาแล้ว มาพี่พากลับบ้าน"
เขาทำท่าจะอุ้มเธอ แต่ลิรินก็ไม่ยอม
"ไม่เอา ลิรินอยากดื่มอยู่ตรงนี้ ลิรินไม่อยากกลับไปเห็นสีหน้าทุกข์ใจของพ่อ ลิรินอยากอยู่ตรงนี้ไปเรื่อยๆ พี่คิณมาแล้วพี่คิณอยู่เป็นเพื่อนลิรินได้มั้ย"
เสียงของเธอทั้งเชื่องช้าและยืดยาว แทบจะฟังไม่เป็นคำ เพราะอู้อี้อยู่ในลำคอ
"กลับไปที่บ้านก่อนพี่ก็มีเรื่องจะคุยกับพ่อลิรินด้วย"
"หา? พี่คิณมีเรื่องจะคุยกับพ่อลิรินหรอคะ? เรื่องอะไรหรอคะ?"
เธอถามด้วยสีความงุนงง
พี่คิณกับคุณพ่อไม่เคยเจอกัน เขาจะไปหาคุณพ่อด้วยเรื่องอะไรล่ะ
"เรื่องธุรกิจนั่นแหล่ะ บางทีพี่อาจจะช่วยอะไรได้บ้าง "
คิณยิ้มให้เธอด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ลิรินรู้สึกอบอุ่นมาก เมื่อเห็นรอยยิ้มและน้ำเสียงของเขาที่เหมือนโอบกอดเธอไว้
อีกทั้งยังบอกว่าจะช่วยธุรกิจของคุณพ่อ
ลิรินอยากกอดเขามานานแล้ว แต่ได้แต่เก็บงำไว้ตลอดตอนนี้เธอดื่มจนเมามายสติแทบเลือนหาย ทำให้สติสัมปชัญญะไม่สามารถฉุดรั้งความต้องการของเธอไว้ได้อีก
แขนยาวโอบคอของคนตรงหน้า ดึงเขาเข้ามาใกล้แล้วประกบริมฝีปากลง ไม่รู้ว่าเธอไปเอาทักษะมาจากไหน แต่เธอเพียงทำตามสัญชาตญาณภายในและปล่อยใจไปตามอารมณ์
ลิ้นนุ่มสอดแทรกเข้าไปเพื่อกอบโกยเอาความหอมหวานจากคิณ ทว่าแทนที่จะเห็นการขัดขืนของคิณ เขากับยอมอ่อนไปกับเธอ ปล่อยให้เธอกอบโกยกำไรไปจากเขาจนพอใจ
ทั้งสองแลกลิ้นสัมผัสความหวานซึ่งกันและกันอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งลิรินพอใจ เธอผละออกจากเขา มองหน้าคิณ อย่างฉงน
"พี่คิณไม่รังเกียจลิรินหรอคะ? "
"หืม รังเกียจเรื่องอะไร?"
คิณมองใบหน้าน้อยๆที่แดงก่ำและถูกดวงตาหยาดเยิ้มคู่นั้น
"ไม่รู้สิ แต่คนอื่นไม่มีใครรักลิรินเลย"
เธอยังปั้นหน้าฉงนสงสัยด้วยความเมามาย น้ำเสียงเจือแววเศร้า
เขาหัวเราะนิดๆไม่ตอบคำถามแต่ใช้มืออุ้มเธอเดินไปบนรถ ตอนนี้เธอยอมให้เขาอุ้มขึ้นอย่างว่าง่าย
จนกระทั่งทั้งสองมาถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่โอ่อ่าของนายพงษ์ชิระ
กริ่งหน้าบ้านถูกกดไม่กี่ครั้งก็มีพ่อบ้านออกมาเปิดประตูต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม พ่อบ้านมีท่าทีแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะเหลือบไปเห็นคุณหนูลิรินที่นอนอยู่ในรถ จึงรีบเชิญให้แขกขับรถเข้ามา
———————————————————————
ภายในห้องรับแขก โซฟาหนังสีน้ำตาลเนื้อดีตัวใหญ่ เรียงรายเป็นเครื่องวงกลม ตรงหน้ามีโต๊ะแจกันมีวางถ้วยน้ำชาอยู่สองใบ
นายพันธ์ชิระที่เห็นคิณมาส่งลูกสาวตัวเองจึงให้การต้อนรับเป็นอย่างดี สั่งคนให้ไปยกน้ำชามาให้ พลางพูดคุยกับเขา
"ลุงพันธ์ไม่ต้องเกรงใจหรอกครับ ลิรินเป็นรุ่นร้องที่ดีคนหนึ่งผมก็สนิทกับเธอ แค่มาส่งนิดหน่อยแบบนี้ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย"
" ว่าแต่ เห็นลิรินบอกว่าคิณมาที่นี่ต้องการจะคุยอะไรกับลุง มีเรื่องอะไรรึเปล่า?"
คิณกลับมามีสีหน้าจริงจังขึ้น
" ผมเห็นข่าวบริษัทของลุงแล้วครับ จะเป็นไปได้ไหมครับถ้าผมจะช่วยซื้อหุ้นในมือคุณลุงมาไว้ก่อน แล้วค่อยคืนให้คุณลุง ผมยินดีซื้อในราคาสูงกว่านี้30%"
นายพันธ์ชิระเบิกตากว้างด้วยความตกใจ จากนั้นจึงขมวดคิ้ว ถามเพื่อความแน่ใจ
"คิณ เธอพูดว่าอะไรนะ?"
"ผมยินดีซื้อหุ้นจากคุณลุงในราคาเดิมก่อนหน้านี้ครับ และวันหน้าเมื่อคุณลุงอยู่ตัวแล้วผมก็จะขายคืนให้คุณลุงครับ"
นายพันธ์ชิระตกตะลึง
เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากไหนทำไมถึงมีเงินมากมายขนาดนั้น?
"ตาคิณ เธอนามสกุลอะไรนะ"
" วงศ์กรภัทร ครับ"
เมื่อได้ยิน นายพันธ์ชิระยิ้มขึ้นทันทีด้วยความพอใจ
"นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นลูกเจ้าของไนท์คลับที่ชานสะเเคว เจ้าลิรินไปสนิทกับพ่อหนุ่มตระกูลดีแบบนี้ได้ยังไงล่ะเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า"
นายพงษ์ชิระตบใหล่เขาอย่างเป็นกันเอง
พ่อของตาคิณคือเศรษฐีที่เคยเป็นหุ้นส่วนของเขาตอนยังทำธุรกิจอสังหาก่อนจะเปลี่ยนมาทำผลิตภัณฑ์ของตัวเอง
แต่เมื่อนึกถึงที่ว่าเขาจะช่วยซื้อหุ้นไว้ก่อน ก็รู้สึกแปลกใจ
"แล้วพ่อคิณคิดยังไงจะช่วยลุงหละ มันเป็นมูลค่าสูงมากนะ"
"มิตรภาพระหว่างผมกับลิรินเรื่องนี้เล็กน้อยมากครับ"
ด้วยคำพูดกำกวมของเขาทำให้นายพงษ์ชิระชะงักคิ้วขมวดย่นจนเป็นปม ดวงตาลู่ลงพลางคิดในหัวไปต่างๆนาๆ
หรือลูกเราจะมีความสัมพันธ์ถึงขั้นนั้นกับหนุ่มคิณแล้ว?
และดูเหมือนว่าคิณจะอ่านความกังวลของลุงพงษ์ออก จึงรีบอธิบาย
"ไม่ใช่แบบนั้นนะครับ คือในฐานะรุ่นพี่น่ะครับ"
จากนั้นก็เห็นว่าสีกน้าของเขาดีขึ้น
"ฮ่าฮ่า งั้นก็ดีๆ แต่ขอบคุณพ่อคิณมากนะที่ยื่นมือเจ้ามาช่วย เพียงแต่ลุงพึ่งจัดการเรื่องเงินเสร็จตอนเช้านี้เองลุงขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักไปแล้วน่ะ แะเค้าก็ช่วยลุงเรียบร้อย ตอนนี้ยังไม่มีปัญหาเรื่องเงินเท่าไหร่ ไม่ต้องห่วงตาแก่อย่างลุงยังไม่ล้มหรอก"
นายพงษ์ชิระพูดพลางหัวเราะ
เห็นอย่างนั้นคิณก็พยักหน้าเข้าใจ
"เอาแบบนั้นก็ได้ครับ"
ทั้งสองคุยสัพเพเหระกันซักพักก่อนคิณจะลากลับ
เช้าวันที่24ธันวาคม2566
"สำนักข่าวทั่วประเทศ นำเสนอข่าวใหญ่เรื่องอดีตธุรกิจพันล้านที่ล้มลงในชั่วข้ามคืน สาเหตุมาจากโกดังเก็บของมูลค่า60ล้านถูกเพลิงไหม้กระทันหันและราคาหุ้นที่ตกลงก่อนหน้าอีก30%เงินทุนสำรองไม่สามารถรองรับวิกฤตินี้ได้ ทำให้นายพันธ์ชิระเจ้าของธุรกิจมูลค่าพันล้านต้องหล่นลงจากตำแหน่งเศรษฐีของไทย"
เสียงประกาศข่าวในทีวีดังต่อเนื่อง และในจอทีวีก็คือภาพเพลิงลุกไหม้โกดังที่ว่านั้น...
ชายหนุ่มวัย28ปี นั่งจิบไวน์แดงอยู่บนโซฟาหนังตัวใหญ่ ภายในห้องที่ตกแต่งสไตล์อิตาลี่
เขามองดูข่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย เสียงทุ้มต่ำน่าดึงดูดเอ่ยขึ้นพร้อมกับวางแก้วไวน์ในมือลง
" เจนิเฟอร์พาคนไปพาตัวนายพันธ์ชิระมา"
"ครับท่าน!"
————————————————————————
ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลรัตนพิรมย์
คฤหาสน์หลังใหญ่โอ่อ่า ที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์มูลค่าหลายสิบล้าน
แม่นมในชุดแม่บ้านสีครีมนวล ใบหน้าเหี่ยวเต็มไปด้วยความกังวล รีบก้าวเท้าเดินเข้ามาในห้องทำงานของนายพันธ์ชิระ
" คุณท่านคะ พวกมันมาอีกแล้วค่ะ ทำยังไงดีคะ "
สีหน้าของนายพันธ์ชิระก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน มือสองข้างกุมศีรษะวางศอกลงบนโต๊ะ
หลายวันมานี้เขาเครียดจนสมองแทบระเบิด เจ้าหนี้อย่างคุณตวันส่งคนมาทวงหนี้ไม่เว้นวัน
แต่ตนก็ไม่มีเงินจะคืนให้เขา ทำให้ต้องขอยืดเวลามาถึงสามเดือน และวันนี้ก็คือวันสุดท้ายที่คุณตวันได้ให้โอกาสเขาหาเงินมาคืน
แม่นมมองดูท่าทางของคุณท่านก็อดสิ้นหวังไม่ได้ ใครๆก็รู้ว่าพวกมาเฟียนั้นโหดร้ายและใจดำแค่ไหน
หากว่าคุณท่านไม่สามารถหาเงินมาคืนพวกมันได้
ไม่รู้ว่าพวกมันจะทำอะไรกับครอบครัวรัตนพิรมภ์บ้างก็ไม่รู้
นายพันธ์ชิระสูดหายใจลึกแล้วพ่นลมออกมายาวๆจากนั้นจึงสาวก้าวไปยังโถงรับแขก
. . .
เมื่อมาถึงก็ต้องสบเข้ากับสายตาไม่เป็นมิตรของลูกน้องคุณตวันราวสิบคน สังเกตุเห็นว่าวันนี้คนพวกนี้พกปืนที่เอวมาด้วย ต่างจากครั้งก่อนๆ ในใจของนายพันธ์ชิระก็ดิ่งวูบทันที
หากให้เดาก็คงจะถูกพาตัวไปวันนี้ ในสัญญาคือการยึดทรัพย์สินที่ดินและทุกอย่างที่เป็นของเขารวมถึงสิ่งสำคัญของตระกูล
ในช่วงเย็นของวันที่ 24 ธันวาคม 2566
รถหรูเทียบจอดในโรงจอดรถของบ้านตระกูลรัตนภิรมย์
ลิลินก้าวออกมาจากรถ ถือกระเป๋าคอเล็คชั่นใหม่สีแดงใบหนึ่ง ใบหน้าเธอดูเหนื่อยล้า
" อาทิตย์หน้าก็สอบแล้ว ขี้เกียจจัง "
บ่นเสร็จเธอก็เดินเข้าไปในตัวบ้านเพื่อพักผ่อนจากการเรียน
แต่ทว่า เมื่อเดินเข้าไปก็ต้องพบกับป้านวลที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นกลางบ้าน
" ป้านวล! เกิดอะไรขึ้นหรอคะ ป้าร้องไห้ทำไม "
เธอทิ้งกระเป๋าแล้วรีบวิ่งเข้าไปประคองป้านวลที่แทบจะหมดแรงจากการร้องไห้
" คุณหนู ฮือ...คุณท่าน คุณท่านถูกพวกมันพาตัวไปแล้วค่ะ "
เสียงสะอึกสะอื้นดังมาหลังป้านวลพูดจบ ป้านวลอยู่เป็นแม่บ้านที่นี่มาหลายสิบปี ในใจรู้สึกผูกพันกับครอบครัวรัตนภิรมย์มาก
" ใครคะ? ใครพาคุณพ่อไปไหน ? "
" เจ้าหนี้ค่ะ เจ้าหนี้ที่คุณท่านไปกู้เงินมาพวกมันเป็นมาเฟีย มันเอาทุกอย่างของบ้านนี้ไปหมดแล้วค่ะ ฮือๆ รวมถึงคุณท่านด้วยค่ะคุณหนู "
สิ่งที่ป้านวลบอก ราวกับเป็นสายฟ้าผ่าลงกลางใจของลิลิน เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมองภายในบ้าน
สิ่งที่เธอเห็น คือบ้านโล่งๆที่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์แม้สักชิ้น สิ่งของสำคัญทั้งหมดไม่หลงเหลืออยู่
" มันเป็นใครคะ! หนูจะให้ตำรวจไปจัดการมัน! "
ความโกรธพุ่งขึ้นสุดขีด เธอมีแค่พ่อเพียงคนเดียว และบ้านหลังนี้ที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิด ใครมันกล้าพรากสิ่งสำคัญของเธอไป
" ป้าก็ไม่รู้ค่ะ ป้าอยากแจ้งตำรวจแต่ป้าก็ไม่รู้อะไรเลย ตลอดที่ผ่านมา คุณท่านแบกรับเรื่องเหล่านี้เพียงคนเดียวมาโดยตลอด คุณท่านไม่เปิดเผยข้อมูลอะไรเลยค่ะ ฮือๆ "
ฝ่ามือเล็กกำหมัดแน่น ลิลินเดินเข้าไปในห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ
" มันต้องมีสิ มันต้องมี ฉันต้องหาที่อยู่ของพวกมันให้ได้ คอยดูเถอะ พวกมาเฟีย ฉันจะพาตำรวจไปจับกุมพวกแกให้สิ้นซากไปเลย "
ลิลินค้นหาเอกสารบนโต๊ะอย่างบ้าคลั่ง น้ำตาบนใบหน้างามไหลเผาะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอารมณ์โกรธ หรือเป็นเพราะอารมณ์เสียใจ
ในตอนนี้จิตใจเธอสับสนวุ่นวายไปหมด แต่กระนั้นก็ยังมีความหวาดกลัวในใจ กลัวว่าหากเธอช้าไป พ่อจะเกิดอันตรายขึ้น
ครอบครัวเพียงคนเดียวของเธอ เธอต้องปกป้องไว้ให้ได้
และไม่นานสายตาของลิลินก็พบเข้ากับกระดาษเล็กๆเเผ่นหนึ่ง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!