NovelToon NovelToon

สรรค์ประทานพร2

หน้า10-11

...****** 10 ********...

หากเซี่ยเหลียนก็รู้สึกว่าคำอย่าง 'องค์ไท่จือ” ของฮวาเฉิงนั้น ไม่เหมือนยามที่ ผู้อื่นเรียกเขาว่า "องค์ไท่จือ” เลย

“เจ้าบ่าวที่จูงข้าเดินตอนอยู่บนเขาอวี่จวินก็คือเจ้ากระมัง” เซี่ยเหลียน

ถาม

รอยยิ้มที่มุมปากฮวาเฉิงหยักลึกขึ้นไปอีก เซี่ยเหลียนค่อยพบว่าประโยค นี้ดูจะกำกวมไปหน่อย จึงรีบแก้เสียใหม่ “ที่ข้าจะพูดคือ ผู้ที่ปลอมตัวเป็น เจ้าบ่าวมาจูงข้าเดินบนเขาอวี่จวินเป็นเจ้ากระมัง”

ฮวาเฉิงกลับกล่าวว่า "ข้ามิได้ปลอมตัวเป็นเจ้าบ่าว"

หากจะพูดเช่นนี้ เอาเข้าจริงก็ถูกของเขาอีกนั่นแหละ ตอนนั้นเด็กหนุ่ม มิได้โกหกว่าตนเองเป็นเจ้าบ่าวอย่างนั้นอย่างนี้แต่ประการใด ประโยคเดียว เขาก็มิได้พูดด้วยซ้ำ เพียงแค่หยุดตรงหน้าเกี้ยวแล้วยื่นมือออกมา เชียเหลียน ต่างหากที่เดินไปกับเขาเอง!

“เอาเถอะ แล้วเหตุใดตอนนั้นเจ้าถึงมาอยู่ที่เขาอวี่จวินได้เล่า”

“คำถามนี้ของท่าน คำตอบย่อมไม่พ้นสองแบบนี้” ฮวาเฉิงกล่าว “แบบ แรก ข้าตั้งใจไปหาองค์ไท่จื่อโดยเฉพาะ แบบที่สอง แค่เดินผ่านมาพอดี เผอิญ ข้าว่างมาก ท่านว่าคำตอบไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน”

พิจารณาจากการที่เขามาแกร่วอยู่ข้างกายตนเป็นเวลาหลายวัน เซี่ยเหลียนก็ตอบว่า “อย่างไหนน่าเชื่อถือกว่ากันไม่กล้ากล่าว แต่เจ้าก็ดูเหมือน ว่างมากจริง ๆ นั่นแหละ”

เขาทั้งเดินวนและใช้สายตาเวียนสำรวจฮวาเฉิงรอบหนึ่ง ก่อนจะ พยักหน้า “เจ้า...ไม่ค่อยจะเหมือนที่เขาร่ำลือกันเท่าไรเลย"

ฮวาเฉิงเปลี่ยนท่านั่ง แต่ยังคงใช้มือยันแก้ม เอ่ยถามพลางมองหน้า เขา “เอ๋ แล้วเช่นนั้นองค์ไท่จื่อรู้ได้อย่างไร ว่าข้าคือพิรุณโลหิตเชยบุปผา”

ในสมองเซี่ยเหลียนเต็มไปด้วยภาพร่มที่อยู่ภายใต้ฝนโลหิตคันนั้น เสียงกรุ๊งกริ้งของโซ่เงิน และเกราะข้อมือสีเงินเย็นเฉียบ พลางคิดในใจ “เจ้าก็ ไม่ได้ปิดบังอย่างจริงจังเสียหน่อยนี่

...******* 11 ********...

“ไม่ว่าจะลองหยั่งเชิงอย่างไร เจ้าก็ไม่มีหลุดแม้แต่น้อย จะต้องเป็น ระดับมหากาฬอย่างแน่นอน ชุดของเจ้าแดงดุจใบเฟิง ดุจโลหิต และเหมือน กับว่าไม่มีอะไรที่เจ้าไม่รู้ ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ ทั้งไม่มีอะไรที่ต้องเกรงกลัว กิริยา ท่าทางเช่นนี้ นอกจาก “พิรุณโลหิตเชยบุปผา” ที่ทำให้ทวยเทพต่างหน้าถอดสี เมื่อกล่าวถึง ก็ดูจะไม่มีใครอื่นให้นึกถึงแล้ว"

ฮวาเฉิงยิ้ม “พูดเช่นนี้ จะถือว่าท่านกำลังชมข้าได้หรือไม่”

เซี่ยเหลียนนึกในใจ “เจ้าฟังไม่ออกจริง ๆ หรือว่าเดิมทีก็ชมเจ้าอยู่

นั่นแหละ

ฮวาเฉิงเก็บงำรอยยิ้มลงไปเล็กน้อย ถามอีกว่า “กล่าวมามากมายปานนี้ แล้ว ไยองค์ไท่จื่อไม่ถามข้าด้วยเล่า ว่าข้าเข้าใกล้ท่านด้วยวัตถุประสงค์ใด”

เซี่ยเหลียน “หากเจ้าไม่อยากบอก ข้าถามไปเจ้าก็ไม่บอกข้าอยู่ดี หรือไม่ ที่บอกมาก็มิใช่ความจริง"

ฮวาเชิงกลับกล่าว "นั่นก็ไม่แน่ อีกอย่าง ท่านจะไล่ข้าไปเสียก็ยังได้”

“ต่อให้ตอนนี้ข้าไล่เจ้าไป เจ้ามีอิทธิฤทธิ์แก่กล้าปานนี้ หากเจ้าคิดจะทำ เรื่องอะไรไม่ดีขึ้นมาจริง ๆ แค่แปลงโฉมก็กลับมาใหม่ได้แล้วมิใช่หรือ”

ขณะที่ทั้งคู่กำลังหัวเราะให้กันอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงอะไรบางอย่างกลิ้ง ขลุก ๆ ทำลายความเงียบสงบอันแสนสั้นของอารามผูฉี เมื่อหันไปมองก็พบว่า ไม่มีใคร มีเพียงไหดินสีดำใบน้อยกลิ้งอยู่บนพื้นเท่านั้น

มันคือไหดินที่ใส่ป้านเยวไว้นั่นเอง เดิมทีเซี่ยเหลียนวางไว้ส่ง ๆ ข้างเสือ แต่ไม่รู้ว่ามันล้มลงไปเองตั้งแต่เมื่อไร พอกลิ้งไปจนถึงหน้าประตู ก็ถูกประตูที่ ฮวาเฉิงเป็นผู้ทำขึ้นบานนั้นขวางกั้นเอาไว้ มันจึงกระแทกตัวเองกับบานประตู ครั้งแล้วครั้งเล่า เซี่ยเหลียนกลัวว่ามันนั่นแหละจะแตกเสียเอง จึงเดินไปเปิด ประตูออกให้ ไหดินใบน้อยจึงกลึงขลุก ๆ ออกนอกประตูไปจนถึงพื้นหญ้า

เซี่ยเหลียนตามหลังมันไป พอไหดินใบน้อยกลิ้งไปจนถึงพื้นหญ้า ก็ตั้ง ขึ้นเอง เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นเพียงไหใบหนึ่งเท่านั้น แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือน ว่ามันกำลังแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าดูดาวอยู่ก็ไม่ปาน

หน้า12-14

...****** 12 *********...

ฮวาเฉิงเดินออกมาข้างนอกอีกคน จึงได้เห็นเซี่ยเหลียนกล่าวกับให้ใบ นั้นว่า "ป้านเยว่ เจ้าพื้นแล้วหรือ"

ดีที่ตอนกลับมาจากทะเลทรายก็ล่วงเข้ายามดึกแล้ว มิเช่นนั้นหากใคร มาเห็นเซี่ยเหลียนออกมายืนถามไหใบหนึ่งดึก ๆ ตื่น ๆ ว่า เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง คงได้แตกตื่นกันยกใหญ่แน่

ผ่านไปครูใหญ่ ก็มีเสียงอู้อี้ดังออกมาจากไหใบนั้นว่า “แม่ทัพฮวา” เซี่ยเหลียนยอบกายลงนั่งข้างไห “ป้านเยว่ เจ้าออกมาดูดาวหรือ อยาก

ออกมาดูข้างนอกไหไหม"

ฮวาเฉิงยืนเอนกายพิงต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ พลางกล่าว “นางเพิ่งจะ ออกจากเมืองป้านเยว่มา ให้อยู่ในไหต่ออีกสักพักจะดีกว่า”

ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ป้านเยว่ก็อยู่ในแคว้นป้านเยว่มาร่วมสองร้อยปี ต้องเปลี่ยนที่กะทันหันเช่นนี้ อาจจะปรับตัวยากอยู่บ้าง เซี่ยเหลียนเลยกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าอยู่ข้างในอีกสักระยะจะดีกว่า พักฟื้นอีกหน่อยก็แล้วกัน ที่นี่เป็น สถานที่บำเพ็ญเพียรของข้า เจ้าไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”

ไหใบนั้นโงนเงนสองที ไม่รู้ว่าอยากบอกอะไร ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เซี่ยเหลียนก็กล่าวออกมา “ป้านเยว่ ความจริงแล้วครั้งนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับ เจ้าเลย งูหางแมงป่องของเจ้าเป็น...”

ป้านเยว่เอ่ยขึ้น “แม่ทัพฮวา ตอนนั้นข้าไม่อาจขยับตัว แต่ข้าได้ยิน หมดแล้ว”

ได้ฟังเช่นนั้น เซี่ยเหลียนก็อึ้งไป เพิ่งรู้ก็คราวนี้ว่า ที่แท้ตอนนั้น เผยชีว เพียงสะกดการเคลื่อนไหวของป้านเยว่ แต่มิได้ผนึกการรับรู้ของนาง เขาจึง กล่าวว่า "...ก็ดี"

ได้ยินทั้งหมดแล้วก็ดีเหมือนกัน

ไหใบนั้นถามอีก “แม่ทัพฮวา แล้วแม่ทัพเสี่ยวเผยจะเป็นอย่างไรต่อไป หรือเจ้าคะ”

เซี่ยเหลียนเอาสองมือซุกแขนเสื้อ “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่า...กระทำ

...******* 13 ********...

ความผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์"

เงียบไปครู่หนึ่ง ไหใบนั้นก็โงนเงนอีกสองที ครานี้เซียเหลียนนับว่ามอง ออกแล้ว ที่มันส่ายเช่นนี้ ที่แท้หมายถึงพยักหน้านั่นเอง

บ้านเยว่ “ความจริง แม่ทัพเสี่ยวเผยไม่ใช่คนเลวเช่นนั้น"

"อย่างนั้นหรือ"

“เจ้าค่ะ” ป้านเยว่กล่าวต่อ "เขาเคยช่วยข้า”

ไม่รู้อย่างไร ในสมองของเซี่ยเหลียนพลันนึกออกอีกหลายเรื่อง

ป้านเยว่มักถูกทุบตีอยู่เป็นนิจ หากใช้คำพูดของเด็กหย่งอันคนอื่น ๆ มากล่าวก็คือ นางมีหน้าตาที่ "วอนถูกทุบตี

หลังจากที่รู้จักนางแล้วเป็นนาน เซี่ยเหลียนถึงค่อยรู้เรื่องนี้ เพราะไม่ว่า ป้านเยว่จะทุกข์ทนกับการถูกทุบตีสักเพียงใด นางก็ไม่เคยปริปากบอกใคร จน กระทั่งวันหนึ่ง เซี่ยเหลียนเห็นพวกเด็ก ๆ จับหน้านางกดลงไปกับโคลน จึงได้ รู้ว่ารอยเขียวช้ำเหล่านั้นมีที่มาอย่างไร

แต่พอผ่านไประยะหนึ่ง ครั้นถามนางอีกครั้ง นางกลับจำได้แค่ว่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งช่วยฉุดนางขึ้นมาจากปลักโคลน และยังให้นางยืมผ้ามา เช็ดหน้า นางเลยต้องเอาผ้าผืนนั้นที่ซักสะอาดแล้วไปคืนเขา ส่วนอย่างอื่นก็ จำไม่ได้แล้ว

ใครตีนาง นางจำไม่ได้ แต่คนที่ช่วยนางแม้เพียงครั้งเดียว นางจะจดจำ ไปชั่วชีวิต

ป้านเยว่กล่าวอีก “ถึงแม้เค่อหมัวด่าว่าข้าถูกเขาล่อลวงให้ลุ่มหลง ถูก คนเขาหลอกใช้ แต่ไม่ว่าเขาจะหลอกใช้ข้าหรือไม่ ข้ารู้ดีว่า ที่เปิดประตูเมือง ในตอนนั้นเป็นการตัดสินใจของข้าเอง"

เซี่ยเหลียนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แต่บางส่วนในหัวใจพลันอ่อนนุ่มลง สักพักเขาก็ตบ ๆ ไหใบนั้น “เอาละ มันผ่านไปแล้ว อา จริงสิ ป้านเยว่ ฮวาเซี่ยเป็นชื่อปลอมนะ อีกทั้งข้าก็เลิกเป็นแม่ทัพมานานแล้ว เจ้าไม่ต้องเรียก ข้าว่าแม่ทัพฮวาแล้วก็ได้"

...******* 14 ********...

บ้านเยวถาม “เช่นนั้นข้าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไรดีเจ้าคะ"

นี่กลับเป็นปัญหาเช่นกัน หากป้านเยว่ก็เรียกเขาอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า องค์ไท่จือขึ้นมาอีกคน คงจะรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ ตรงไหฝากเป็นจ

เซียเหลียนเดิมทีก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการเรียกขานอะไรอยู่แล้ว เพียงแค่ อยากหาหัวข้ออื่นขึ้นมาคุยบ้างก็เท่านั้น

“เช่นนั้นก็ตามแต่ใจเจ้าเถอะ จะเรียกแม่ทัพฮวาต่อไปก็ได้”

เพียงแต่ตรงนี้ มีผู้ใช้แซ่ฮวาตัวจริงอยู่ทั้งคน เรียกขึ้นมาก็อาจจะเกิด ความสับสนได้ ครั้นพอคิดดูอีกที จึงนึกได้ว่า แม้จริง ๆ แล้ว ฮวาเซีย” จะ เป็นชื่อปลอม โดยการเอาคำแรกของฉายา “ฮวากวานอู่เงิน" (เทพยุทธ์มงกุฎ บุปผา) มาเป็นแซ่ เช่นนั้น “ฮวาเฉิง” ก็น่าจะเป็นชื่อปลอมเช่นกัน พวกเขาต่าง ก็ตั้งชื่อปลอมโดยใช้แซ่เดียวกัน ช่างบังเอิญเสียจริง ๆ

เวลานี้เอง ก็ได้ยินบ้านเยว่กล่าวขึ้น “ขอโทษนะเจ้าคะ แม่ทัพฮวา”

เซี่ยเหลียนเหลียวหน้ากลับมา กล่าวอย่างอึดอัดกลัดกลุ้มอยู่บ้าง “ป้านเยว่ เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่ขอโทษข้าอยู่ร่ำไป” หน้าตาเขาคงไม่ถึงกับว่าใคร เห็นเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกกระมัง

ป้านเยว่ “ข้า...อยากช่วยเหลือปวงประชา!"

เซี่ยเหลียน "..."

ป้านเยว่ “แม่ทัพฮวา ตอนนั้นท่านกล่าวไว้เช่นนี้"

เซี่ยเหลียน “???”

เขารีบจับไหดินเอาไว้ “เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวสิ!”

ป้านเยวถาม “เดี๋ยวอะไรเจ้าคะ"

เซี่ยเหลียนชำเลืองมองฮวาเฉิงที่ยืนเอามือกอดอกอยู่ใต้ต้นไม้ พลางถาม นางเสียงเบา “ตอนนั้นข้าพูดเช่นนี้จริง ๆ น่ะหรือ”

ประโยคนี้เป็นคำพูดติดปากของเขาสมัยอายุสิบกว่าขวบชัด ๆ ตลอด หลายร้อยปีมานี้ก็ไม่น่าจะเอามาพูดอีก แรกได้ฟังเซี่ยเหลียนยังรู้สึกสะเทือนใจ เกินกว่าจะรับไหว ทว่าป้านเยว่กลับกล่าวยืนยัน “ท่านแม่ทัพ ท่านเคยพูดเจ้าค่ะ”

หน้า15-16

...******* 15 *********...

เซี่ยเหลียนยังพยายามดิ้นรน “ไม่เคยกระมัง..."

“ไม่นะเจ้าคะ ท่านเคยพูดจริง ๆ มีอยู่คราหนึ่ง ท่านถามข้าว่าโตขึ้น อยากเป็นอะไร ข้าบอกว่าไม่รู้ ท่านก็บอกว่าไม่รู้ได้อย่างไรว่าโตขึ้นแล้วอยาก ทําอะไร ข้าเลยถามแม่ทัพฮวาว่าแล้วท่านเล่า ท่านก็บอกว่า ความฝันของท่าน ตอนเด็กก็คือ อยากช่วยเหลือปวงประชา!” ป้านเยว่กล่าวอย่างขึงขัง

อย่างนี้นี่เอง

“นี่แน่ะ! ป้านเยว่ คำพูดลอย ๆ เช่นนี้ เจ้าจะจดจำฝังใจไปทำไม!" “คำพูดลอย ๆ อย่างนั้นหรือ แต่แม่ทัพฮวา ข้ารู้สึกว่าท่านพูดออกมา อย่างจริงจังมากเลยนะเจ้าคะ"

เซี่ยเหลียนจนปัญญา ได้แต่แหงนหน้าขึ้นมองฟ้า “ฮ่า ๆ อย่างนั้นหรือ

เป็นได้กระมัง ข้าเคยพูดอะไรไว้อีกบ้าง ข้าก็จำไม่ได้แล้ว" “ท่านยังเคยพูดว่า “เจ้าต้องทำในสิ่งที่เจ้าคิดว่าถูกต้อง! “อะไรก็ไม่อาจ ขวางเจ้าได้!” “ต่อให้ตกลงไปในหล่มโคลนสักร้อยครั้ง ก็ต้องพยายามลุกขึ้นมา

ใหม่ให้ได้!” และอะไรอื่น ๆ ทำนองนี้แหละเจ้าค่ะ”

ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าจะต้องเป็นฮวาเฉิงที่อยู่ใต้ต้นไม้ได้ยินเข้าจึง หัวเราะแน่นอน

ต่อให้เซี่ยเหลียนอยากอุดปากไหก็อุดไม่อยู่แล้ว นึกในใจว่า “เพ้อเจ้อ เสียนี่กระไร ทำไมข้าจึงชอบพูดคำประเภทนี้เข้าไปได้นะ...ข้ามิใช่คนแบบนั้น เสียหน่อย...ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือไร

ป้านเยว่ “แต่ว่าข้าก็ไม่รู้เสียแล้ว ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง”

ได้ฟังเช่นนั้นเซียเหลียนก็ชะงัก

ป้านเยว่ “ข้าอยากทำอย่างที่แม่ทัพฮวาพูด ช่วยเหลือปวงประชา แต่ สุดท้ายข้าก็ทำลายป้านเยว่จนสิ้นชาติไปเสียแล้ว" นางกล่าวปานละเมอ “อีกทั้งไม่ว่าข้าจะพยายามสักแค่ไหน ผลก็จะ

...******* 16 *********...

ลงเอยด้วยความเลวร้ายทุกที แม่ทัพฮวา ข้ารู้ว่าที่ข้าทำมันไม่ดี แต่ท่านช่วย บอกข้าได้หรือไม่ ว่าตกลงแล้วข้าทำไม่ดีที่ตรงไหนกันแน่ ข้าควรทำอย่างไรจึง จะทำได้อย่างที่ท่านพูด...ช่วยเหลือปวงประชา”

“...” เซี่ยเหลียนอึ้งไปครู่หนึ่ง “ขอโทษด้วยนะป้านเยว่ ช่วยเหลือ ปวงประชาต้องทำอย่างไร คำถามนี้เมื่อก่อนข้าไม่เคยรู้คำตอบ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่รู้”

เงียบกันไปครู่หนึ่ง ป้านเยว่ก็กล่าวอีก “แม่ทัพฮวา พูดกันจริง ๆ แล้ว ข้ารู้สึกว่าสองร้อยปีมานี้ ข้าไม่รู้เลยว่าตนเองได้ทำอะไรไป ช่างล้มเหลวจริง ๆ”

ฟังนางพูดเช่นนี้ เซี่ยเหลียนก็ยิ่งอึดอัด นึกในใจว่า "เช่นนั้นข้าไม่ยิ่ง ล้มเหลวกว่ารี แถมข้ายังอยู่มาตั้งแปดร้อยปีเชียวนะ....

จากนั้นก็ปล่อยให้ป้านเยว่ดูดาวอยู่ในไหไปเงียบ ๆ คนเดียวต่อ ส่วน เซี่ยเหลียนกับฮวาเฉิงกลับเข้าไปในอาราม

พอปิดประตู เซี่ยเหลียนก็กล่าวขึ้น “ป้านเยว่ตั้งใจรั้งอยู่ที่ด่านป้านเยว่ เอง มิใช่เพราะกลายเป็นผีอำมหิตถึงได้ถูกขังไว้ที่นั่น”

นางฝังใจมาตลอดว่าตนเองคือผู้เปิดประตูเมือง และไม่เคยเอาคำว่า “ทำเพื่อปวงประชา' มากล่าวอ้างเลย

เพื่อให้เหล่านักรบของแคว้นป้านเยวได้ระบายความแค้น หลุดพ้นได้เร็ว ขึ้น จึงปล่อยให้เค่อหมัวพาพวกทหารมาฆ่าตนครั้งแล้วครั้งเล่า

เซียเหลียนส่ายหน้าพลางกล่าว “ความจริงแล้ว หากแม่ทัพเสี่ยวเผย ไม่อยากเก็บกองทหารป้านเยว่เหล่านั้นไว้จริง ๆ ทั้งไม่อยากถูกสวรรค์ชั้นบน ค้นพบเรื่องเหล่านี้ ก็แบ่งภาคลงมาลอบจัดการทหารบ้านเยว่เหล่านั้นเองยังได้

ไยต้องใช้วิธีเยี่ยงนี้ด้วย"

ฮวาเฉิง “พลังของร่างอวตารจะถูกลดทอนลง ตอนเผยซิ่วแบ่งภาค มาเป็นอาเจาท่านก็เห็นแล้ว ครั้งเดียวไม่อาจปลดปล่อยกองทหารบ้านเยว่ ที่มากมายปานนี้ได้ มิสู้ใช้คนเป็น ๆ มาป้อน ปราณพยาบาทถึงจะสลายเร็ว ขึ้น ทั้งยังเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด”

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!