NovelToon NovelToon

ทรราชเกิดใหม่ไหงกลายเป็นพ่อคนได้เนี่ย

ปฐมบท

ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ไม่รู้ว่าข้าสังหารศัตรูไปแล้วเท่าไหร่ มิติส่วนตัวของข้าเต็มไปด้วยชิ้นส่วนและวัตถุดิบมากมาย ข้าท่องเที่ยวไปตามดาวเคราะห์ที่อยู่เเถวสุดเขตจักรวาล เพื่อตรวจตราเหล่าศัตรูที่แฝงตัวเข้ามา เมื่อพบเจอก็เจรจา แต่ศัตรูทุกตนไม่เคยคุยดีด้วย เอะอะก็สังหาร เอะอะก็กะจะฆ่าฟันกันให้ตายไปข้าง

จนกระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ข้ายังคงทำหน้าที่ของตนเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ว่าจะสูญเสียดาวเคราะห์ไปบ้าง แต่ศัตรูก็ไม่อาจหนีรอดไปได้

แต่เพราะเเข็งแกร่งเกินไป หรือความดื้อรั้นของตนเอง ข้าไม่อาจร่วมมือกับเหล่าเทพเจ้าที่หยิ่งทรนงในอำนาจและศักดิ์ศรีได้ ข้าไม่อาจอยู่ร่วมกับพวกมันที่เห็นสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นเพียงมดปลวกผักปลา พวกมันโยนสิ่งมีชีวิตทิ้งขว้างให้เผชิญกับความทุกข์ตรมเจ็บปวดเพื่อให้ตนได้มาซึ่งของแลกเปลี่ยนบางอย่าง

เทพเจ้าต้องการความแข็งแกร่ง ต้องการสถาปนาให้ตนเป็นจ้าวจักรวาล เหล่าเทพชั้นสูงมากมายเข้าหาข้า เพื่อขอวัตถุดิบจากปีศาจสุดเขตจักรวาล ข้าเองก็เคยให้พวกมันไปนิดหน่อย แต่ผลที่เกิดกลับกลายเป็นว่าพวกมันนำไปทดลองกับมนุษย์ นำไปเข่นฆ่ากันเองเพื่อให้ได้มาซึ่งบัลลังก์

หลังจากนั้นข้าก็ไม่เคยให้สิ่งใดพวกมันอีก หลายครั้งก็เก็บสมบัติของเหล่าทวยเทพที่ตายตกหรือทำหายโดยไม่ยอมคืนเพราะอยากแก้เผ็ดที่นำวัตถุดิบจากปีศาจสุดเขตจักรวาลไปสร้างความเดือดร้อน

ท้ายที่สุดพวกมันก็คว่ำบาตรข้าต่างๆนานา พวกมันป่าวประกาศกับเหล่าสาวกว่าข้าคือทรราช ข้าคือจอมมารบ้าง ข้าศือเทพชั่วร้ายบ้าง สั่งให้เหล่าสาวกกำจัดข้าเมื่อพบเห็น และไม่ยอมให้ข้าใช้บริการดาวเคราะห์ต่างๆที่อยู่ภายใต้อำนาจของพวกมัน

เพราะพวกเทพหัวxวยนั่นรู้ดีว่าข้ามีพันธสัญญาสัจจะประทับกาย ทำให้ไม่สามารถทำร้ายเทพเจ้าได้ จึงเหิมเกริมองอาจบูลี่ข้า เพียงเเต่ข้าตบหน้าพวกมันก็ทำให้ร่างกายเจ็บปวดเกินบรรยาย จึงไม่อาจดัดนิสัยเทพโสโครกได้

วันเวลาผ่านไปพวกมันก็เล่นใหญ่กระทั่งยกทัพมารุกรานข้า แต่เพราะพันธสัญญาบัดซบข้าจึงต้องหลีกหลบพวกมัน ข้ายังคงทำหน้าที่ต่อไปแม้จะได้ชื่อว่าเป็นทรราช

จักรวาลนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก สุดเขตจักรวาลเองก็ห้อมล้อมดาวเคราะห์ต่างๆเป็นวงกลม การที่จะออกไปด้านนอกเขตจักรวาลได้นั้นต้องมีร่างกายและพลังที่เเข็งเเกร่งมากพอที่จะต้านทานเเรงบีบอัดและเเรงดึงกระชากมหาศาลที่สลับไปมาตลอดเวลาได้

ข้าเคยเห็นเทพอวดดีหลายตนทรนงองอาจพุ่งเข้าไปสุดเขตจักรวาล พวกมันล้วนถูกอัดและฉีกกระชากจนไม่มีชิ้นดี แม้กระทั่งอาวุดกับชุดเกราะก็ถูกทำให้กลายเป็นฝุ่นผง จากนั้นก็เขียนบันทึกเล่าขานว่าสุดเขตจักรวาลเป็นจุดสิ้นสุดของจักรวาลนี้ ไม่มีตัวตนใดสามารถต้านทานอำนาจของพระเจ้าได้

ข้าอ่านแล้วยังรู้สึกตลกเลย พวกมันบ้าหรือเปล่า เขียนในสิ่งที่ตัวเองไม่เห็นแล้วก็คิดเออเองว่าเป็นอำนาจเหนือจินตภาพ

ข้าก็อยากจะบอกว่าเป็นเพราะพวกมันกระจอกเลยไม่สามารถผ่านห้วงกั้นได้ ซึ่งเมื่อผ่านเจ้าไปก็จะพบกับเขตว่างที่ไร้พลังบีบอัด เขตนี้เต็มไปด้วยพลังมหาศาลสามารถดูดซับได้ไม่จำกัด และก็มีพวกปีศาจสุดเขตจักรวาลเต็มไปหมด

หากจะถามว่าข้ารู้ได้อย่างไร ข้าก็ขอถามกลับว่าเพราะอะไรพวกเทพขี้บูลี่ถึงหาข้าไม่เจอแม้มันจะค้นทั่วจักรวาล คำตอบนั้นง่ายแสนง่าย ก็เป็นเพราะข้าออกไปออกเขตแล้วอย่างไร

ข้ากะจะเจรจากับปีศาจพวกนั้น แต่เมื่อพวกมันเห็นข้าก็ไล่สังหารไม่หยุดหย่อน ท้ายแล้วเมื่อคุยไม่รู้เรื่องข้าก็ไล่ฆ่าจนพวกมันไม่เข้ามายุ่ง ข้าได้สร้างอาณาเขตให้ตนโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนานเท่านานก็ไม่มีปีศาจตัวไหนกล้าเข้าใกล้ เมื่อคิดว่าจักรวาลนี้คงปลอดภัยอีกพักใหญ่ข้าก็กะว่าจะไปเจรจากับเหล่าเทพเจ้า

แต่อนิจจังเมื่อข้ามเข้ามาก็เห็นเหล่าเทพต้อนรับด้วยกองทัพติดอาวุธเต็มศักดา แล้วก็ลงเอยด้วยการเจรจาไม่รู้เรื่อง

ข้าจึงเหนื่อยและเบื่อกับความคิดง่อยๆไร้สาระของเหล่าเทพเจ้า

“นี่พวกเจ้ากะจะไม่ยอมพูดจากันดีๆเลยหรือไร” ข้าเอ่ยถามพวกมันออกไป

“ทรราชเข่นเจ้าไม่จำเป็นต้องเจรจา” เสียงของแม่ทัพเทพเจ้าตอบกลับมา พวกมันกระชับอาวุธและร่ายมนตราเสริมพลังให้กับสัตว์เทพพร้อมรบเต็มรูปแบบ

“พวกเจ้าไม่กลัวปีศาจสุดเขตจักรวาลรึ” ข้าเอ่ยออกไปอีกครั้ง

“เฮอะ ทำไมพวกข้าต้องกลัวด้วย ปีศาจสุดเขตจักรวาลอะไรนั่นไม่มีอีกแล้ว เเกยังคงไม่รู้อะไร ว่าร้อยกว่าปีที่เเกไปมุดรูอยู่ที่ไหนสักแห่ง จักรวาลนี้สงบสุขเเล้ว เป็นเพราะเทพโครนอสและเทพซุสที่ยิ่งใหญ่คอยปกป้องไว้” เทพเเม่ทัพตนหนึ่งเอ่ย สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิเต็มอก

“อ้อเหรอ”

“หึ แกรู้ไหมว่าตอนที่แกหายหัว เทพโครนอสกับเทพซุสยกกองทัพเข้าปราบปรศาจสุดเขตจักรวาลครั้งแล้วครั้งเล่า จนตอนนี้จักรวาลสงบสุขเเล้ว พวกเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเจ้าอีกเเล้ว เพราะงั้นมันถึงเวลาที่พวกเราต้องกำจัดเจ้า” เสียงของเเม่ทัพเทพเอ่ยอีก ข้าหรี่ตาลง

“ปีศาจสุดเจตจักรวาลรึ ข้ามั่นใจนะว่าไม่มีตัวใดหลุดเข้ามาได้ อืม หรือมีตัวที่ซ่อนจากสัมผัสข้าได้วะ เอาเถอะ ยังไงก็ช่างทสรุปคือพวกเข้าต้องการกำจัดข้าทิ้งว่างั้น” เสียงของข้าเอื้อนเอ่ยออกไป เหล่าเทพเจ้าต่างกระชับอาวุธในมือเเน่น

“ตั้งค่ายกลปราบมหาเทพมารทรราช ใช้พลังให้เต็มที่ ข้าเชื่อว่าด้วยพลังของเทพหมื่นตนจะต้องเอาชนะทรราชตนนี้ได้” เสียงของแม่ทัพเทพเจ้าเอ่ย พวกมันต่างตั้งค่ายกลที่คิดว่าดีที่สุด

ค่ายกลนี้สำหรับข้ามันก็แค่ของเด็กเล่น ต่อให้พวกมันทุ่มพลังเทพมากกว่าหมื่นตนก็ไม่อาจจะจัดการปีศาจสุดเขตได้แม้แต่ตัวเดียว นับประสาอะไรจะเอามาจัดการข้า เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเเล้วข้าเองก็เบื่อเช่นกัน ทำหน้าที่ยาวนานจนไม่รู้จะทำไปอีกเพื่ออะไร ตอนที่อยู่นอกจักรวาลข้าเองก็นึกว่าจะสามารถหลุดพ้นจากพันธะสัญญาได้ แต่โชคไม่เข้าข้าง พันธะยังคงอยู่ และมันก็เป็นตัวการที่ทำให้ข้าไม่สามารถออกไปไกลจากเขตจักรวาลได้มากนัก ข้าเคยพยายามทุ่มพลังจนเดิมพันด้วยชีวิต แต่มันก็หยุดกึกไม่ไปไหนต่อ ท้ายแล้วก็ทำภารกิจเเสนเบื่อต่อไปจนถึงตอนนี้

เมื่อข้ารู้ว่าจักรวาลนี้ไม่ใช่ที่ของข้า ข้าจึงขี้เกียจอยู่ทำหน้าที่ต่อ ข้ากระชับดาบที่เสียบข้างเอวไว้เเน่น ตั้งท่าโจมตี เหล่าเทพชะงัก แต่ไม่นานก็หัวเราะเยาะ

“ฮ่าๆ แกก็รู้ว่าด้วยพันธะสัญญาทำให้แกไม่สามารถทำอะไรพวกจ้าได้ ไม่งั้นร่างแกจะระบิดจนตาย” เสียงของเทพเจ้าตนหนึ่งบอก คัวข้าเเสยะยิ้ม

“อา ในเมื่อพวกเจ้าต้องการกำจัดข้าอยู่แล้ว ข้าก็จะทำให้สมหวังเลยละกัน เฮ้อ ที่ข้ายอมทำลายตัวเองก็เพราะเบื่อพวกเทพเจ้าเฮงซวยอย่างพวกเจ้าที่ทำxวยอะไรไม่ได้ก็มาใส่ร้ายข้าว่าเป็นตัวทำลายความสงบ ไอ้พวกโลกสวย ที่ไม่เคยสู้กับปีศาจสุดเขตจักรวาล แล้วมาพาลว่าข้าสำออย วันๆเอาแต่จัดการปีศาจอ่อนแอ เหอะ เพราะข้าติดสัจสาบานประทับกาย ทำให้ไม่สามารถลงมือทำร้ายพวกเทพเชี่ยอย่างพวกเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ปล่อยให้ปากดีอยู่เช่นนี้หรอก ใจจริงก็อยากตบให้เลือดกบปากเรียงเป็นรายๆ แต่สัจสาบานประทับกายมันไม่ยอมให้ทำ

สุดท้ายก็เป็นตัวข้าที่โดนบูลี่จนโดดเดี่ยว ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร พอนานๆเข้าข้าก็เบื่อ ตอนนี้ข้าเลยตัดสินใจทำลายตัวเองเสีย” ข้ากล่าวออกไป สีหน้าเหล่าเทพเจ้าต่างแสดงความยินดีออกมา

“แหม แค่พูดแปบเดียวก็ดีใจใหญ่เชียวนะ หวังแย่งสมบัติของข้าล่ะสิ แต่คนอย่างข้าคงไม่ตายไปเปล่าๆหรอก ไอ้พวกหัวxวย” ข้ากล่าวออกไป จากนั้นก็สะบัดดาบ

“สะบั้นภพ” คำกล่าวสั้นๆ เทพที่ยิ้มดีใจต่างถูกคลื่นคมดาบตัดสะบั้นจนขาดกระจาย

“ยังไม่หมด อัก เก็บแม่งให้หมด” ข้าสะบัดคลื่นมิติเก็บเกี่ยวสมบัติของเหล่าทวยเทพ เก็บแม้กระทั่งร่างไร้วิญญาณของพวกมัน ข้าอาจเดิมพันกับมิติส่วนตัว หวังว่าจะไม่ระเบิดปลดปล่อยของข้างในออกมาให้เทพโลภมากที่อยู่นอกรัศมีดาบได้เก็บเกี่ยว แต่หากไม่เป็นดังที่คิดก็ไม่ได้ติดใจอะไร อย่างไรเสียของสะสมของข้าคงทำให้จักรวาลวุ่นวายไปพักใหญ่แน่

เพราะผิดสัญญาร่างข้าจึงสลายเป็นเถ้าธุลี

เทพที่คอยดูอยู่ต่างรอลุ้นหวังเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร ทันใดนั้นความบรรลัยก็บังเกิด เมื่อปีศาจสุดเขตจักรวาลบุกเข้ามา มันเป็นแค่ปีศาจง่อยๆ ตัวเดียวแต่ดันไม่มีเทพตนไหนจัดการได้ และเเล้วความฉิบหายก็เกิดไปทั่วทั้งจักรวาล

………

ตอนที่ 2 หวนคืนอีกครั้ง

อึก..

เสียงหนึ่งดังขึ้น เปลือกตาค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นภาพเพดานห้องสี่เหลี่ยมแคบๆห้องหนึ่ง เขาหลับตาอีกครั้งแล้วทบทวนเรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น

เขามีชื่อว่าอาร์ต เป็นเพียงสามัญชนธรรมดาทั่วไป หลังจากจบมหาวิทยาลัยก็ได้งานรับจ้างเป็นพนักงานขนซากมอนสเตอร์เงินเดือนสี่พันบาทที่โรงงานเเห่งหนึ่ง ชีวิตของเขาก็ดำเนินปกติทั่วไป ต้องระมัดระวังในเรื่องของรายจ่ายไม่ให้ติดลบ แต่เเล้วชีวิตก็ผันเปลี่ยนเมื่อโชคเข้าข้างถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งสี่ใบ ชีวิตของเขาก็ดีขึ้น อาร์ตได้พบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง ทั้งสองมีลูกด้วยกันหนึ่งคน

แฟนสาวของเขาเห็นว่าอนาคตเป็นเรื่องใหญ่ จึงปรึกษากับอาร์ตเกี่ยวกับแผนชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้าน การซื้อที่และนำเงินบางส่วนไปลงทุน และเพราะความเขื่อใจเขาจึงไว้ใจแฟนสาวทุกอย่าง กระทั่งลูกสาวอายุได้สองขวบ เรื่องราวชีวิตก็พลิกผัน อาร์ตถูกแฟนสาวหักหลัง เพราะความเชื่อใจจึงถูกนำข้อมูลส่วนตัวไปทำธุรกรรมหลายอย่างโดยไม่รู้ตัว และเเล้วคำสั่งศาลก็มาถึงมือเขา ศาลออกคำสั่งให้เขากับเเฟนต้องหย่าร้างกัน และอาร์ตกลายเป็นบุคคลล้มละลายทันทีโดยไม่มีการอุทร นอกจากนี้แฟนสาวยังทำเรื่องโหดร้าย เธอสั่งคนให้มาทุบทีอาร์ตและลูกสาว กะเอาให้ถึงตายแต่โชคดีมีพลเมืองดีมาเห็น อาร์ตกับลูกสาวอาการสาหัส เขาถูกนำไปปล่อยทิ้งไว้นอกกำเเพงให้ตายในที่ห่างไกลผู้คนเพราะเป็นบุคคลล้มละลายจึงไม่สามารถยื่นความช่วยเหลือได้ ส่วนลูกสาวยังถือว่าโชคดีที่รัฐยังให้สิทธิ์คุ้มครองเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี จึงถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล

ชะตากรรมของอาร์ตถือว่าสิ้นสุดแล้ว ขณะที่นอนแน่นิ่งอยู่อาร์ตได้สาปเเช่งออกมาไม่หยุดหย่อน เขาเคียดแค้นชิงชังตนเองที่โง่งมไร้สมองไม่คิดพินิจพิเคราะห์จนไว้ใจคนอื่นมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้วความโง่นั้นได้กลับมาทำร้ายตัวเอง

สิ่งที่เขาเป็นกังวลที่สุดคือลูกสาวของตน ไม่รู้ว่าจะพบเจอชะตากรรมอะไรบ้าง เขารู้ตัวดีว่าชีวิตของตนคงไม่พ้นคืนนี้

ขณะนั้นเองได้มีละอองแสงแปลกประหลาดมาสัมผัสตัวเขา ทันใดทันละอองแสงก็พุ่งเข้ามาทั่วทุกสารทิศ สร้างความเจ็บปวดราวกับตกนรกหมกไหม้ให้กับอาร์ต นอกจากความเจ็บปวดแล้วยังมีความทรงจำมากมายไหลหลั่งเข้ามาไม่หยุด หัวของอาร์ตราวกับว่าจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

อ้าก

เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น แต่เเม้จะตะโกนเท่าไรก็ไม่มีใครได้ยิน นอกกำเเพงไม่ใช่สถานที่จะมีคนมาเอาชีวิตไปทิ้ง โดยเฉพาะยามคำ่คืนเช่นนี้

กลับมาปัจจุบัน

เมื่ออาร์ตได้ทบทวนเรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ตัวเขาทำความเข้าใจได้ไม่ยาก อาร์ตลองส่งจิตตรวจสอบร่างกายก็รับรู้ทันทีว่านี้ไม่ใช่ความฝัน

เขาหวนกลับมาอีกครั้ง เพียงแต่อยู่ในยุคสมัยที่ต่างออกไป ตอนนี้ไม่รู้ว่าตนอยู่ดาวดวงไหน แต่สิ่งที่มั่นใจก็คือ ร่างกายของเขาไม่มีพันธสัจจประทับกายแล้ว

มวลพลัง อณูวิญญาณ เลือด เนื้อ กระดูกดั้งเดิมของเขาถูกหลอมรวมกับร่างนี้อย่างสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เช่นไร แต่มันได้เกิดขึ้นแล้วแม้ว่าเขาจะทำลายตัวเองไปแล้วก็ตาม

สิ่งที่กังวลคือเขากลัวว่าพันธสัจจะประทับกายจะติดมาด้วย แต่ไม่เลย ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีสิ่งจัญไรนั่นอีกแล้ว

อาร์ตมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า

"ไอ้เทพเจ้าหัวxวย เตรียมโดนคิดบัญชีได้เลย" อาร์ตเอ่ยออกมา ทันใดนั้นเขาก็เกิดเป็นห่วงลูกสาวขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก เพียงเเค่ความทรงจำในชีวิตมนุษย์ธรรมดาๆยี่สิบปีนิดๆ มันไม่อาจส่งผลกระทบกับความทรงจำอันยาวนานของเขาได้

แต่ไม่รู้ทำไม เขาในตอนนี้ถึงเป็นกังวลกับเด็กคนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้

"ต้องเข้าไปในกำแพงแล้วสิ" อาร์ตเอ่ยกับตัวเอง เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนพลางมองสำรวจร่างกายตัวเอง ตอนนี้เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ อาร์ตจึงสะบัดมือทีหนึ่ง ปรากฏช่องว่างมิติขึ้นมา ตอนนี้เขาสามารถใช้พลังดั้งเดิมได้ทุกประการ

อาร์ตเลือกชุดที่คิดว่าธรรมดาที่สุดมาใส่ ชุดที่ได้มาจากตลาดชาวบ้านดาวเรกะ ชุดพวกนี้เขาซื้อไว้เล่นๆตอนไปเที่ยวแก้เบื่อหลังจากจัดการปีศาจสุดเขตจักรวาล

ชุดของดาวเรกะมีความใกล้เคียงกับชุดสวมใส่ของที่นี่ ทำให้ปัญหาความสงสัยลดน้อยลง อาร์ตมองสำรวจรอบด้าน เขาไม่คุ้นกับป่าแห่งนี้ แม้ว่าจะทำงานเป็นลูกจ้างขนซากมอนสเตอร์จนมีความคุ้นเคยกับพื้นที่นอกกำเเพงหลายเเห่ง แต่สำหรับที่นี่แล้วนั้นกลับไม่คุ้นเลย เขาจึงลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าจนอยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นภูมิทัศน์ที่กว้างขึ้น

รอบกายเขาเป็นป่าไม้ผลัดใบ แถวนั้นมีเส้นทางเล็กๆสำหรับรถสี่ล้อสัญจร ทิศใต้เป็นภูเขากองขยะ นอกจากนั้นแล้วยังพบเห็นกระดูกมนุษย์กระจัดกระจายไปทั่ว ในส่วนของทิศเหนือมีกำเเพงเมืองห่างจากจุดที่เขาลอยอยู่ประมาณสิบกิโลเมตร ซึ่งไม่ถือว่าใกลนัก

"มิน่าเล่าถึงไม่คุ้นสถานที่ เพราะเราไม่เคยมาทำงานเเถวกองขยะนี่เลยต่างหาก สิ่งสำคัญตอนนี้คือไปหาลูกสาวที่อยู่โรงพยาบาล" อาร์ตเอ่ยกับตัวเอง เขาพุ่งตัวไปยังทิศทางกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว

ด้วยความเคยชินทำให้เขาปรับกลิ่นอายและเเรงกดดันให้ใกล้เคียงกับสภาพเเวดล้อมตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นโลกทั้งใบคงสั่นสะเทือนเป็นแน่

อาร์ตพุ่งไปยังทิศทางกำแพงเมือง เขาไม่รู้ว่าลูกสาวถูกพาไปโรงพยาบาลไหน เพราะก่อนที่เขาจะหมดสติเขาได้ยินเสียงพูดคุยของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการนำตัวลูกสาวเขาไปรักษาตามสิทธิเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี

กำแพงเมืองสูงหกเมตร บนกำเเพงมีพื้นที่เดินลาดตระเวรป้องกันภัย มีหอคอยสังเกตการณ์ทั้งสี่ทิศ ด้วยเหตุที่อาร์ตเป็นห่วงลูกจึงไม่อยากเสียเวลาเข้าทางประตู เขาเร้นกายพุ่งข้ามกำเเพงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครสังเกตเห็น

เขาไปหยุดอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงบาลที่ใกล้จุดที่เขากับลูกสาวโดนทำร้าย สัมผัสส่งเข้าไปสำรวจทั่วโรงพยาบาลจนกระทั่งเจอลูกของตนนอนแน่นิ่ง ร่างกายเต็มไปด้วยสายรยางค์มากมาย เครื่องช่วยหายใจกำลังทำหน้าที่ของมัน อกของลูกสาวขยับขึ้นลงตามจังหวะออกซิเจนเข้าออก

อาการของลูกสาวอยู่ในขั้นวิกฤต อวัยวะภายในแหลกเหลว กระดูกหักทั้งร่าง กะโหลกแตกบางส่วน หมัดในมืออาร์ตกำแน่น หลังจากที่เขาส่งพลังไปตรวจสอบทุกส่วนของลูก เขารู้ได้ทันทีเลยว่าทางโรงพยาบาลไม่ได้ทำการผ่าตัดจัดกระดูกและเย็บอวัยวะภายใน พวกเขาเเค่เพียงฉีดยาและเสียบสายออกซิเจน ไม่มีการใยดีชีวิตตัวน้อยเลยสักนิดเหมือนว่าสักแต่ทำตามหน้าที่ แต่หากทบทวนให้รอบคอบ ด้วยสภาพของลูกสาวที่หนักหนาสาหัส คงเป็นไปได้ยากที่จะทำการรักษาตามสิทธิของรัฐบาล แม้ต่อให้รักษาก็แทบไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิต

อาร์ตเร้นกายเข้าไปในห้อง เขายืนมองลูกสาวอยู่พักหนึ่ง

"ปิดกั้น ลวงตา" อาร์ตเอ่ย เขาใช้เวทมนตร์ปิดกั้นพื้นที่กับเวทภาพลวงตา เพื่อไม่ให้คนอื่นรับรู้ถึงสิ่งปกติ

"ไพลิน พ่อจะไม่ปล่อยให้ลูกต้องทรมานมากกว่านี้อีกแล้ว" อาร์ตเอ่ย อาการของไพลินนับว่ายากที่จะรอด แม้ว่าจะมีแพทย์ฝีมือดีมารักษาให้ก็ยากที่ลูกสาวเขาจะกลับมาเหมือนเดิม

แต่ว่าตัวเขามีวิธี ในมิติของเขาเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายตั้งเเต่ก้อนหินไปจนถึงวัตถุดิบจากปีศาจสุดเขตจักรวาล ของมีค่าจากดาวต่างๆก็อัดแน่นอยู่ในมิติของเขา สาเหตุหนึ่งที่เหล่าเทพเจ้าทำการบูลี่เขาก็เป็นเพราะของเหล่านี้ อาร์ตในอดีตไม่เคยแบ่งปันให้เทพเจ้าพวกนั้นแม้เเต่ชิ้นเดียว ไม่ใช่ว่าเขางก แต่เป็นเพราะเขาไม่ชอบขี้หน้าเทพปากหมาหวังแต่ผลประโยชน์

ในบรรดาของในมิติมีของหลายสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตลูกเขาได้ แต่อาร์ตจะต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด

"อิลิกเซอร์ ยารักษาทุกโรค ฟื้นฟูร่างกายของสิ่งมีชีวิตประเภทมนุษย์อย่างสมบูรณ์ สำหรับเทพเจ้าเเล้วมันก็แค่ยาทาแผลถลอก เราจะเอาของกระจอกนี่รักษาลูกเราไม่ได้" อาร์ตครุ่นคิดพักหนึ่ง ในที่สุดเขาก็นึกออก

"จริงสิ ยังมีของพวกนั้นอยู่ด้วยนี่ ไอ้สิ่งที่เทพเจ้ามันต้องการนักหนา สิ่งที่สามารถรักษาร่างกาย ฟื้นฟูพลัง และทำการพัฒนาร่างผู้หลอมรวมโดยไม่มีผลข้างเคียง สิ่งนี้เเหละเหมาะสมกับลูกสาวเราที่สุดเเล้ว" อาร์ตเอ่ยโพล่ง เขาค้นหาสิ่งนั้นในมิติพักหนึ่ง

"เจอแล้ว แกนบริสุทธิ์ของต้นไม้ประจำดาว หรือเรียกง่ายๆว่าแกนต้นไม้โลก ถ้าโลกขาดเจ้านี่ไป พลังงานของโลกก็จะไม่ฟื้นฟูอีก เอาแกนที่ใหญ่ที่สุดเลยแล้วกัน" อาร์ตเอ่ย แกนต้นไม้โลกเขามีจำนวนหนึ่ง ในอดีตมีโลกจำนวนหนึ่งถูกปีศาจสุดเขตจักรวาลบุกทำลาย พวกมันรวบรวมแกนโลกไว้เพื่อเหตุผลบางอย่าง และเขาก็ได้มาหลังจากสังหารพวกมันอีกที นอกจากแกนโลกแล้วยังมีเมล็ดพันธุ์ กิ่ง ผล และต้นไม้โลกอีกหลายต้น เขาก็เก็บๆไว้ในมิติ

อาร์ตมองแกนต้นไม้โลกในมือ เขาควบเเน่นพลังและทำการหลอมรวมเข้ากับร่างกายลูกสาวทันที

แสงสว่างเรืองรอง เป็นแสงที่ให้ความอบอุ่นและรู้สึกปลอดภัยราวกับว่าเป็นพลังแห่งอ้อมกอดมารดา ไม่มีการคุกคามมีเเต่ยอมเสียสละทุกสิ่งอย่างเพื่อลูก ด้วยพลังของอาร์ต ไม่นานแกนต้นไม้โลกก็หลอมรวมเข้ากับร่างกายลูกสาวของเขาเสร็จสิ้น

อาร์ตอุ้มลูกสาวของตนพลันเร้นกายออกจากโรงพยาบาล พุ่งไปยังบ้านที่ถูกยึดของตน อาร์ตเก็บของทุกอย่างในบ้านโยนเข้าไปในมิติ บ้านหลังนี้กำลังถูกธนาคารประกาศขาย และมีคำสั่งศาลให้เขาย้ายออกภายใน 30 วัน เขาตัดสินใจจะย้ายไปอยู่เมืองอื่น จะไปเริ่มต้นใหม่กับลูกสาว

"เอาล่ะ อดีตก็ส่วนอดีต สิ่งสำคัญคือปัจจุบัน ตอนนี้ก็ได้เวลาย้ายบ้านแล้ว" อาร์ตเอ่ย เอกสารสำคัญเขาเก็บไว้ในมิติหมดแล้ว จึงไม่น่ามีปัญหาเรื่องยืนยันตัวตน

เมื่อตรวจสอบอีกครั้งว่าไม่ลืมสิ่งใด อาร์ตก็อุ้มลูกสาวเหาะพุ่งออกไปนอกกำแพงทันที

...…..

ตอนที่ 3 กรงเล็บของปีศาจสุดเขตจักรวาล

กำแพงนั้นสร้างขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้พวกมอนสเตอร์เข้ามาสร้างความวุ่นวายให้กับผู้คนที่อาศัย แต่ละเมืองจะมีกำเเพงล้อมรอบตามแต่งบประมาณที่พวกเขาจัดสรร ความแข็งเเกร่งของกำแพงจึงแตกต่างกัน

ในยุคสมัยนี้ผู้คนต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากภัยพิบัติที่เกิดจากสิ่งเหนือธรรมชาติ เมื่อทั่วทั้งโลกมีดันเจี้ยนจำนวนมาก ข้างในนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ได้มาจากโลกนี้ พวกมันดุร้าย ป่าเถื่อน มุ่งหวังไล่ล่าฆ่าฟันมนุษย์ เมื่อดันเจี้ยนแตก สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นจะออกมา พวกมันจะยึดถิ่นฐาน สร้างอาณาเขต ทำรัง สร้างที่อาศัยตามแต่ประเภทเผ่าพันธุ์ และคอยรุกรานมนุษย์ร่ำไป

ข้างนอกกำเเพงเต็มไปด้วยอันตราย การจะเดินทางไปแต่ละเมืองมีหลายวิธี ซึ่งวิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือทางอากาศ แต่ก็แลกกับราคาแพงกว่าวิธีการปกติ

ส่วนการเดินทางที่นิยมมากที่สุดคือทางพื้นดิน ผู้คนจะเดินเท้า ปั่นจักรยาน ขี่จักรยานยนต์ หรือว่าจะเดินทางโดยรถส่วนตัวก็ได้ แต่ต้องดูแลความปลอดภัยของตัวเอง ทั้งนี้ยังมีบริการจากหน่วยงานต่างๆที่จะจัดขบวนส่งโดยมีนักล่าหรือทหารมากฝีมือให้การคุ้มกันจนถึงจุดหมาย ซึ่งค่าใช้จ่ายจะมากกว่าเดินทางด้วยตนเองหลายสิบเท่า

อาร์ตไม่ได้สนใจการใช้บริการแต่อย่างใด ด้วยความแข็งแกร่งของเขาจึงสามารถพาลูกสาวบินเหาะไปยังอีกเมืองได้ เมื่อเห็นกำแพงเมืองก็ลอยต่ำลงแล้วเปลี่ยนมาเดินเท้าแทนโดยมีลูกสาวหลับอยู่ในอ้อมกอด

หน้าประตูเข้าเมืองมีผู้คนเดินทางมาจากสถานที่ต่างๆ ส่วนใหญ่เเล้วมากับขบวนคุ้มกัน พวกเขาต่างต่อแถวเพื่อทำการลงทะเบียนเข้าเมือง อาร์ตเองก็เตรียมบัตรประจำตัวของตนกับของลูกสาว เขาได้เตรียมเงินสำหรับจ่ายค่าธรรมเนียมไว้

การเข้าเมืองต้องจ่ายค่าธรรมเนียม แต่ละเมืองนั้นจะมีค่าเข้าต่างกันขึ้นอยู่กับขนาดของเมือง และระดับคุณภาพ โดยค่าเข้าของเมืองนี้จะอยู่ที่ 40 เครดิต หรือ 2000 บาท ถ้าเป็นเด็กอายุไม่เกิน 12 ปีจะเสียครึ่งหนึ่ง

อาร์ตมีเงินติดตัวเพียงเเค่ 4000 บาท เงินนี้เขาซ่อนเมียไว้เพื่อซื้อของขวัญเซอร์ไพรส์วันครบรอบแต่งงาน แต่โดนหักหลังจนล้มละลายเสียก่อน ดังนั้นเงินที่ไม่มีใครรู้นี้จึงเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับย้ายที่อยู่ใหม่

อาร์ตเองได้วางเเผนไว้แล้วว่าถ้าเข้าเมืองได้ เขาจะนำของในมิติออกมาขายสักชิ้นสองชิ้นเพื่อใช้จ่ายเริ่มต้น จากนั้นก็ส่งลูกเข้าเรียน ส่วนตนก็จะหางานทำเลี้ยงชีพ

อาร์ตเข้าไปต่อเเถว รอไม่นานก็ถึงคิวของตน เจ้าหน้าที่ขอดูบัตรประจำตัวเพื่อใช้ในการลงทะเบียนเข้าเมือง

"อืม ชื่อ…..อายุ 25 กับลูกสาวชื่อ ….. อายุ 2 ปี คุณล้มละลายมาสินะครับ เฮ้อ ช่วงนี้มีคนล้มละลายเข้าเมืองหลายคนเลย โลกนี้มันย่ำแย่ขึ้นทุกวันเมื่อไหร่จะดีขึ้นก็ไม่รู้ เอาเถอะๆ ขอให้คุณกับลูกสู้ๆนะครับ ค่าธรรมเนียม 75 เครดิต หรือ 3 พันบาทครับ" เจ้าหน้าที่กล่าว อาร์ตพยักหน้าพร้อมกับยื่นเงินสดให้ เจ้าหน้าที่รับไปตรวจสอบและให้บัตรผ่านในที่สุด

"บัตรนี้มีอายุ 1 เดือนนะครับ คุณสามารถเข้าออกเมืองได้ตลอดช่วงเวลานี้ ถ้าหมดอายุก็ต้องทำบัตรใหม่ครับ หากคุณอยากจะเข้าออกแบบถาวรก็ต้องลงทะเบียนประชากรเมือง หรือไม่ก็ลงทะเบียนสมาคมนักล่า ขอใช้โชคดีนะครับ" เจ้าหน้าที่กล่าวและเปิดทางให้อาร์ตเดินเข้าไปในเมือง

"เป้าหมายแรกคือเอาของไปขายก่อนสินะ แล้วก็หาเช่าบ้านสักหลัง" อาร์ตเอ่ย

สังคมมนุษย์บนดาวเคราะห์ดวงนี้กำลังเข้าสู่ช่วงแปรเปลี่ยน เดิมทีความวุ่นวายเกิดจากภัยพิบัติธรรมชาติและศึกรัก โลภ โกรธ หลง ของมนุษย์ หากเปรียบเทียบกับดาวเคราะห์ส่วนใหญ่แล้ว ดาวโลกนี้ถือว่าสงบสุขโดยปกติ

แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงแปรเปลี่ยน จะเป็นช่วงที่พลังงานของดาวฟื้นฟูไม่ทันจากการบ่อนทำลายของสิ่งมีชีวิต หรือดาวถูกชิงแก่นต้นไม้โลกไปทำให้พลังงานเริ่มลดน้อยถอยลง ดาวจึงต้องนำพลังจากแหล่งอื่นมาใช้หล่อเลี้ยง จะทำการเชื่อมกับดาวที่มีพลังงานจำนวนมากเข้ามาผ่านช่องมิติ สิ่งมีชีวิตจากดาวดวงอื่นจึงเริ่มเข้ามาผ่านช่องมิตินั้น เรียกว่าดันเจี้ยน

จักรวาลนี้มีดาวเคราะห์จำนวนมากที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เเล้วเป็นสิ่งมีชีวิตปัญญาต่ำ นั่นจึงเป็นสาเหตุหนึ่งว่าทำไมดันเจี้ยนในดาวโลกถึงมีแต่พวกมอนสเตอร์ที่สื่อสารไม่รู้เรื่อง

การที่จะพบดันเจี้ยนที่มีสิ่งมีชีวิตทรงปัญญามีเพียงน้อยนิด ซึ่งเกิดได้ยากกับช่วงที่กำลังเริ่มแปรเปลี่ยน

ดังนั้นแล้วสิ่งมีชีวิตในดันเจี้ยนไม่ได้เข้ามารุกรานโลกเพราะพลังลึกลับ แต่เป็นเพราะโลกต้องการพลังเพื่อความอยู่รอดจึงต้องดึงสิ่งมีชีวิตจากโลกใบอื่นมาเกี่ยวข้องด้วย

มนุษย์ที่สร้างหายนะให้กับโลกจึงต้องพบเจอกับความฉิบหายกันทั่ว กว่าจะปรับตัวได้ก็มีผู้คนเสียชีวิตมากมาย สถานที่อยู่อาศัยบางส่วนถูกทิ้งแล้วหันมาสร้างกำเเพงป้องกัน

ฝ่ายมอนสเตอร์เองก็เริ่มทำรังสร้างอาณาเขต การจะปราบปรามนับวันยิ่งยากขึ้นทุกที ยิ่งมีดันเจี้ยนที่เข้าไม่ถึงแตกเพิ่มขึ้น มอนสเตอร์ก็เพิ่มจำนวนขึ้นเช่นกัน

แต่ถึงอย่างนั้นวัตถุดิบของมอนสเตอร์กลับเป็นของมีค่า สิ่งเหล่านั้นสามารถยกระดับเทคโนโลยี และยกระดับชีวิตของมนุษย์ได้

การที่มีพลังงานจากภายนอกเข้ามาก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษย์วิวัฒนาการ บางคนเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและจิตใจ มักเรียกกันว่าผู้อเวค

พวกเขาสามารถเสกไฟ รักษาเเผล ควบคุมสัตว์ และความสามารถอื่นอีกมากมายทำให้มีการจัดอันดับความเเข็งแกร่งของผู้อเวคขึ้น

ประโยชน์ของผู้อเวคคือพวกเขามีความสามารถเหนือมนุษย์ และสามารถหาเงินจากการเป็นนักล่าได้ดีกว่าคนทั่วไป

ถนนหลักมีผู้คนสัญจรมากมาย ทั้งเดินเท้าและการขับขี่พาหนะ ตามรายทางมีร้านต่างๆทำมาค้าขายหลากหลาย ตรงป้ายร้านจะติดสัญลักษณ์เฉพาะให้เห็น จากความเข้าใจของอาร์ต ร้านที่ติดสัญลักษณ์รูปหัวมังกรคือร้านที่รับซื้อวัตถุดิบจากมอนสเตอร์ ร้านที่ติดสัญลักษณ์ต้นหญ้าและมีรูปขวดยาคือร้านที่รับซื้อสมุนไพร วัตถุดิบสำหรับทำยา และซื้อยาที่ทำสำเร็จ

อาร์ตเลือกร้านที่มีทั้งสองสัญลักษณ์เพื่อสะดวกในการขายวัตถุดิบในมิติตน

กริ๊งๆ

เสียงกระดิ่งตรงหน้าประตูร้านดังขึ้น อาร์ตเดินอุ้มลูกเข้าไปตรงเคาน์เตอร์ที่มีพนักงานชายบริการอยู่ แถวนั้นมีผู้ใช้บริการอยู่จำนวนหนึ่ง เหมือนว่ากำลังเจรจาซื้อของบางอย่างอยู่

เมื่ออาร์ตเดินมาหยุดอยู่โต๊ะบริการ ผู้จัดการร้านจึงเข้ามาต้อนรับเพราะพนักงานบริการไม่ว่าง ชายคนนั้นมองอรุณตั้งแต่หัวจรดเท้าเเล้วถอนหายใจเหยีดครั้งหนึ่ง

"เฮ้อ คุณมาทำอะไร" ผู้จัดการร้านถามอรุณด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย

"ผมมาขายวัตถุดิบ" อาร์ตตอบกลับ

"ไหนเอามาดูซิ" เจ้าของร้านกวักมือ อาร์ตจึงนำมีดสั้นในมิติออกมาเล่มหนึ่ง เขาทำท่าทีว่ากำลังหยิบออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ

มีดสั้นที่สลักลวดลายมังกรอย่างวิจิตรปรากฏออกมาให้เห็น ผู้จัดการร้านทำหน้าเซ็ง

"นี่แกกะจะหลอกลวงกูว่าเป็นของมีค่าเหรอ ไอ้หนุ่ม กูอยู่วงการนี้มานาน แค่ดูก็รู้แล้วว่านี่มันของย้อมแมวมาขาย กูไม่ซื้อ" ผู้จัดการร้านตะคอกใส่ อาร์ตย่นคิ้วไม่เข้าใจ

"อะไร ยังไม่ได้ตรวจสอบก็มาบอกว่าไม่ซื้อแล้ว แม้ว่านี่จะเป็นมีดของเทพชั้นต่ำแต่มันก็คุณภาพดีกว่าอาวุธในร้านหลายร้อยเท่า ตรวจสอบก่อนสิครับแล้วค่อยพูด" อาร์ตเอ่ย ผู้จัดการร้านหน้าย่นคิ้วขมวด

"อุบ๊ะ เรื่องมากจังแก อย่าอ้างนักเลย มีที่ไหนวะมีดของเทพเจ้า โกหกหน้าด้านๆ ฮึ่ม ถ้าเเกไม่เชื่อก็เอาไปวางที่เครื่องนั่นสิ เดี๋ยวตรวจสอบให้ดู" ผู้จัดการร้านสวนกลับด้วยท่าทีไม่พอใจ อาร์ตจึงนำมีดสั้นไปวางตามที่เขาบอก จากนั้นเข้ากดปุ่มบางอย่าง มีแสงแสกนมีดทั้งเล่ม ไม่นานก็ขึ้นข้อมูลว่าเออเร่อ

"เห็นไหม เครื่องตรวจสอบไม่ได้ นั่นเเสดงว่าไม่มีข้อมูล หึ ของย้อมแมวแบบนี้กูไม่ซื้อ เอากลับไปเลย" ผู้จัดการร้านเอ่ย อาร์ตถอนหายใจ

"มันคงระดับสูงเกินไป งั้นขายนี่ก็แล้วกัน อิลิกซ์เชอร์" อาร์ตเก็บมีดสั้นเเล้วนำขวดนำ้ยาอิลิกซ์เชอร์ออกมา ผู้จัดการร้านมีท่าทีโกรธจัด

"นี่เเกคิดว่ากูหลอกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ยาวิเศษอิลิกซ์เชอร์มันหาได้ง่ายมากเลยรึไงวะ อย่ามาหลอกกูไอ้หนุ่ม" ผู้จัดการร้านตะคอกอีก ทำให้ผู้คนรอบข้างหันมาสนใจอาร์ต

"อะไรเนี่ยคุณ ของคุณภาพก็ขายไม่ได้ งั้นเจ้านี่ล่ะ" อาร์ตยังไม่ยอมแพ้ เขาเก็บน้ำยาแล้วนำเล็บของปีศาจสุดเขตจักรวาลออกมา เพียงแค่วางบนโต๊ะก็เกิดแรงกดดันมหาศาล แต่พริบตาเดียวแรงกดดันนั้นก็หายไปเพราะอาร์ตสะกดมันไว้

"อึก เมื่อครู่มันอะไรกัน" ผู้จัดการร้านเเสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา แต่แล้วเขาก็ปรับท่าทีอย่างรวดเร็ว

"ถ้าคุณไม่ซื้อของชิ้นนี้ผมก็จะไปขายร้านอื่น" อาร์ตเอ่ย ผู้จัดการมองอาร์ตสลับกับกรงเล็บขนาดกว้างหนึ่งเซนติเมตร ยาวสี่เซ็นติเมตร

"แกต้องใช้ลูกเล่นบางอย่างแน่ อย่ามาหลอกกูเสียให้ยาก ยังไงก็ไม่ซื้อเด็ดขาด" ผู้จัดการร้านเอ่ย อาร์ตพยักหน้า ไม่ซื้อเขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร นี่ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้เงินเขาคงไม่เอาของเสนอถึงสามชิ้น

ขณะที่อาร์ตกำลังจะเก็บกรงเล็บ

"ดะ เดี๋ยวก่อนครับคุณพี่"

.....

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!