NovelToon NovelToon

ลำนำชิงฮวา

บทที่ 1 ห้องกระจก

ใครปลุกเขา

หลับใหลอยู่หลายหมื่นปีเหตุใดจึงตื่นขึ้น

พัดดอกเหมยหมุนลิ่วลมกรีดเส้นเลือดร้อนระอุสาดกระเซ็นเป็นลายคล้ายดอกเหมยบานสะพรั่งก่อนจะกลับสู่มือเจ้าของ ทั่วแดนสวรรค์พร้อมใจคุกเข่าให้กับการปรากฏตัวของบุรุษอาภรณ์ขาวพิสุทธิ์ผู้มากด้วยราศี เสียงสรรเสริญก้องกังวานราวตีระฆังสวรรค์ดังไกลถึงสามหุบเขาเซียน ฝูงนกบินเป็นเกลียวคลื่นหยอกล้อแสงสว่างสีทองยามอัสดง ท่ามกลางความแตกตื่นของภูติผีปีศาจและมารร้าย

"นี่หรือ ท่านเทพบรรพกาลหมิงกวงชิง"

ชายวัยกลางคนล้อมด้วยกลุ่มควันดำทมิฬยกยิ้มพึงพอใจราวกับเจอเรื่องสนุก มือขวายกขึ้นสูงสะบัดเพียงนิดเหล่ากองทัพในควันดำพุ่งทะยานโจมตีทหารสวรรค์ไม่สนแม้ผู้มาใหม่จะเก่งกาจแค่ไหน ประมุขมารซ่างกวนฮุ่ยหลิน คิดก่อการใหญ่นำทัพมารบุกรุกพื้นที่แห่งทวยเทพหวังยึดครองทั้งสามพิภพ 

เสียงฆ่าฟันดังระงมทั่วทั้งบริเวณ หมิงกวงชิงยืนนิ่งหลับตาช้า ๆ มือหนึ่งโบกพัดดอกเหมยอย่างโอนอ่อน ประสาทสัมผัสเริ่มเพิกเฉยต่อการรบราเหมือนเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง ประมุขมารเห็นท่าทีไม่ยินดียินร้ายก็บังเกิดโทสะ เพลิงกัลป์แดงลุกโชนเผาตำหนักบรรดาเทพทั้งหลาย ต่างต่อสู้และอ้อนวอนขอให้เทพบรรพกาลช่วยหยุดมันที

"กลับไป"

เพียงคำเดียวเหล่าทัพมารก็ชะงักด้วยกลัวเกรงอำนาจบารมีที่กดดันตนอยู่ ประมุขมารโกรธเลือดขึ้นหน้าง้างดาบคู่หมายหั่นเนื้อเทพผู้สูงส่งเป็นชิ้น ๆ ถึงต้องตายอย่างไรก็จักทำให้สวรรค์แสนโสมมนี้สิ้นสลายไปพร้อมกัน

พูดไม่รู้จักฟัง

หมิงกวงชิงแววตาเรียบเฉยปล่อยพัดดอกเหมยที่สั่นรุนแรงออกไปเผชิญ เพียงเสี้ยวเพลาเดียวพัดอันงดงามก็ทะลุทรวงอกตัดหัวใจของซ่างกวนฮุ่ยหลินขาดครึ่ง โลหิตสาดพื้นสวรรค์เป็นรอยด่างแทนสีขาวสะอาดตา

"คืนฮูหยินข้า..."

ประมุขมารน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะทรุดลงแทบเท้าหมิงกวงชิง

พอสิ้นแม่ทัพเหล่าทหารมารก็แตกกระเจิงคนละทิศ มันจบเร็วกว่าที่คิดประมุขมารคิดเช่นนั้น เขายังไม่ทันได้หายเคียดแค้น ยังไม่ทันได้ทวงความเป็นธรรมให้ฮูหยินที่รักสุดดวงใจ ความปรารถนาสุดท้ายไม่ถูกเติมเต็ม

จุดจบคือกลายเป็นผุยผง

"เผ่ามารน่ารังเกียจ"

.

.

.

"ท่านพ่อของข้าเล่า เจียวจิ้น"

เจ้าของชื่อนั่งตัวตรงแข็งทื่ออย่างกับท่อนไม้ นั่นไม่ผิด เจียวจิ้นคือหุ่นกระบอกไม้ที่ถูกชุบขึ้นมาเพื่อเป็นเพื่อนเล่นและองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ให้กับบุตรชายเพียงคนเดียวของประมุขมารประมุขน้อยซ่างกวนฮวาเหลียง เจียวจิ้นไม่ได้ตอบอะไรออกไปทำแค่คลุมเสื้อขนสัตว์บนไหล่เจ้านาย

"เจ้าทำหูทวนลมรึ?"

ซ่างกวนฮวาเหลียง ขึ้นเสียงใส่เจ้าหุ่นกระบอกซื่อบื้อ เส้นผมสีขาวและชายผ้าดำสนิทสะบัดตามแรงหันของเจ้าตัว อารมณ์ร้อน ขี้ขลาด ไม่ได้ครึ่งของมารดาที่มีแต่ความอ่อนโยน ไม่ได้แม้เสี้ยวของบิดาที่กล้าหาญไร้สิ่งกลัวเกรง ประมุขน้อยในทุกสายตาแดนมารเป็นเช่นนั้น

เมื่อเจียวจิ้นไม่ตอบก็คร้านจะซักไซ้ ฮวาเหลียงก้าวเท้าเดินนำออกจากห้องพัก แต่แล้วจำต้องหยุดเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองสว่างทั่วหล้า ปีกนกกระพือว่อนเรียงตัวจัดขบวนสวยงาม เบื้องบนสะท้านไหวราวถูกถล่ม เรื่องอัศจรรย์เกิดขึ้นในรอบหลายพันปี ตะวันจันทราขึ้นเคียงคู่กันอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีเหตุแปลกประหลาดเกิดขึ้นได้

"งดงามเหลือเกิน แต่ทำไมข้าถึงรู้สึกไม่ยินดีเลย"

"ท่านคิดมาก"

เจียวจิ้นมักชอบพูดเพื่อให้เขาสบายในเสมอ วันนี้กลับใช้ไม่ได้ผล ลางสังหรณ์มันตีขึ้นจนแน่นหน้าอก เมื่อกวาดสายตามองรอบตัวก็พบความเงียบสงัด เหล่ามารน้อยใหญ่หายไปไหนกันหมด ประมุขน้อยฉายสีหน้าวิตกกังวล พลางนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเองหลับนานกว่าปกติพอตื่นขึ้นมาก็เจอเพียงเจียวจิ้นผู้เดียว ท่านพ่อทำอะไรกันแน่

"ท่านพ่ออยู่ที่ใด ตอบข้า!"

ไร้การตอบกลับประมุขน้อยโทสะกัดกินยกเท้าขึ้นถีบกลางอกเจียวจิ้นจนหงายหลังกระแทกพื้น หุ่นกระบอกไม่ตอบโต้ปล่อยให้ฮวาเหลียงทุบตีตนอยู่อย่างนั้น เจียวจิ้นมีประมุขน้อยเป็นนาย ร่างกาย วิญญาณ จิตใจ เป็นของซ่างกวนฮวาเหลียงทั้งหมด จะเป็นหรือตายแค่เพียงชี้นิ้วสั่งเศษไม้ตนนี้ก็พร้อมให้ท่านตัดสินด้วยความเต็มใจ

"ท่านประมุขให้ข้ามารายงานท่านว่าจะผนึกตนเองในถ้ำเลี่ยงเฟิ่งเพื่อซึมซับพลังให้แกร่งกล้าขึ้น ประมุขน้อยอย่าได้ห่วง"

บุรุษหนุ่มชุดดำรูปร่างสง่าผ่าเผยคุกเข่ารายงานข่าวคราวตรงหน้า ทว่าไม่ยอมสบตาเขา ทุกคนดูเหมือนมีเรื่องปิดบังไว้มากมาย ฮวาเหลียงคงไม่มีทางรู้เลย จริงหรือที่ท่านพ่ออยู่ในถ้ำเลี่ยงเฟิ่ง เหตุใดไม่บอกด้วยตนเองก่อนจะไป โดยธรรมชาติซ่างกวนฮุ่ยหลินรักใคร่บุตรชายเพียงคนเดียวมาก จะทำอะไรก็บอกเขาตลอด บัดนี้มันไม่ใช่

"ข้าจะไปหาท่านพ่อ--"

"ท่านประมุขยังกำชับอีกว่า ให้ท่านช่วยขัดขวางเทพบรรพกาลหมิงกวงชิงที่ต้องการกำจัดเผ่ามารในระหว่างที่ท่านประมุขอยู่ในถ้ำ"

"จะบ้ารึ!! ได้ชื่อว่าเป็นเทพบรรพกาลเชียวนะตัวข้าจะเอาอะไรไปสู้ ข้าทำไม่เป็นสักอย่าง ข้าไม่คู่ควรให้ท่านพ่อมาฝากฝังเผ่าพันธุ์มารไว้กับข้า จงกลับไปบอกท่านพ่อเสีย" แต่ไหนแต่ไรมาประมุขมารไม่เคยต้องให้ลูกออกหน้าแทน หวงเสียยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ แมลงตัวนิดก็ไม่ให้ตอม แทบไม่อยากเชื่อว่าท่านพ่อจะให้เขารับมือกับเทพบรรพกาลผู้ตื่นจากการหลับใหล

"กาลนี้ท่านเทียบเขาไม่ได้หากแต่เป็นกาลในอดีตต่างหากเล่า ก่อนที่เทพบรรพกาลจะขึ้นสวรรค์ท่านมีโอกาสกำจัดเขาเพียงเท่านี้เผ่ามารของเราก็จักกลับมารุ่งโรจน์ไร้ผู้ใดทำลายลงได้ ท่านคิดเห็นอย่างไรประมุขน้อย"

"ข้าจะไปในกาลนั้นได้อย่างไร มันผ่านมาเกือบแสนปีแล้วมิใช่หรือ"

ตามตำนานก่อนที่เทพบรรพกาลหมิงกวงชิงจะทำความดีความชอบได้ขึ้นสวรรค์ตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าปี นั่นก็ผ่านมาเกือบครบแสนปีแล้วทว่าต่อมาหมิงกวงชิงก็หลับใหลไปหลายหมื่นปีโดยไม่มีผู้ใดรู้สาเหตุ ต่างคิดว่าท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกจนกระทั่งวันนี้เกิดปรากฏการณ์เหลือเชื่อนานา ชี้ให้เห็นว่าเป็นการต้อนรับการกลับมาของหมิงกวงชิง

"ห้องกระจกของประมุขมาร"

"ราชครูลู่หรง ห้องกระจกนั้นแม้ท่านประมุขก็ยังไม่สามารถเข้าได้"

น้ำเสียงของเจียวจิ้นคล้ายน้ำเย็นนิ่งสงบ จากที่เงียบอยู่นานเมื่อได้ยินประโยคเลอะเลือนของราชครูลู่หรงประจำวังมาร ห้องกระจกแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาสมัยบรรพบุรุษพิภพมารรุ่นแรก หลังจากประมุขคนแรกสิ้นชีพไปก็มิมีผู้ใดสามารถเปิดห้องนี้ออกแม้แต่ผู้เดียวจึงถูกปล่อยทิ้งร้างอยู่ใต้พื้นพิภพ

นักเล่านิทานพเนจรเล่าว่าหากได้เข้าไปแล้วสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นในอดีตก็จักได้เห็น อยากแก้ไขสิ่งใดย่อมทำได้ทุกช่วงเวลาแม้ผ่านมานานเท่าใดทว่ามีข้อดีย่อมมีข้อเสีย กล่าวคือเด็ดบุปผาสะเทือนถึงสวรรค์ ผลที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงอดีตนำพาสิ่งที่ไม่คาดคิดมาสู่ปัจจุบัน ผู้กระทำการต้องรอบคอบทุกก้าวที่เดินเหยียบลงไป

"ใครจะรู้ ประมุขน้อยอาจจะถูกลิขิตให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สร้างความรุ่งเรืองแก่เผ่ามาร" ลู่หรงสบนัยตาสั่นไหวดั่งลูกนก ฮวาเหลียงไม่เคยทำประโยชน์ให้บ้านเมืองดีแต่สร้างปัญหาให้ท่านพ่อตามแก้ หากว่านี่เป็นลิขิตชะตาของเขาจริง ๆ เพื่อครอบครัวตนเองแล้วนี่หาใช่เรื่องยากเย็นอะไร แค่เพียงสังหารหมิงกวงชิงเท่านั้นเอง มือของเจียวจิ้นกระตุกชายแขนเสื้อเขาพลางส่ายศีรษะเบา ๆ

ราชครูลู่หรงมักมีปากเสียงกับเจ้าหุ่นกระบอกบ่อยครั้ง เจียวจิ้นคงไม่เชื่อใจอีกฝ่ายแต่ถึงอย่างไรลู่หรงก็อยู่กับฮวาเหลียงมาตั้งแต่ถือกำเนิดทั้งยังพร่ำสอนวิชามากมายให้แก่ตน ประมุขน้อยแสดงออกว่ารำคาญเท่าใดในใจกลับเทิดทูนเสมือนบิดา 

"ข้าจะลอง"

"นี่ท่าน!!" เจียวจิ้นหันขวับทำคิ้วขมวดใส่เพื่อเตือนให้รู้ว่าเจ้านายกำลังคิดทำเรื่องเลวร้าย

"ราชครูลู่นำทางข้าไปเดี๋ยวนี้"

ลู่หรงพยักหน้านำทางคนวัยแรกรุ่นอารมณ์ร้อนด้านหลังมายังหลุมขนาดใหญ่ที่มีประตูไม้สลักลวดลายสัญลักษณ์ประจำเผ่ามารกั้นขวาง เพียงราชครูลู่แตะมันก็เปิดออกเผยเป็นอุโมงค์ทางเดินยาว คบเพลิงตามแนวกำแพงสว่างวาบขึ้นทีละดวงยามก้าวเดิน อากาศหนาวเย็นจนเป็นไอออกจากปาก ไม่รอช้าเจียวจิ้นกระชับเสื้อขนสัตว์บนไหล่ประมุขน้อยให้มิดชิดกว่าเดิม

จนสุดทางปรากฏเป็นประตูสีทมิฬสูงเลยศีรษะหลายเท่า เจียวจิ้นขึ้นมายืนข้างหน้าเจ้านายเผื่อสถานการณ์พลิกผัน ลู่หรงชี้ไปยังแท่นวางลูกแก้วขนาดเท่ากำปั้นเปรอะโลหิตแห้งกรังของประมุขมารหลายต่อหลายรุ่นที่พยายามเปิดประตูห้องกระจก เลือดของผู้ที่ถูกลิขิตไว้เท่านั้นจึงจะสามารถทำให้ประตูบานนี้ขยับเปิดออก ราชครูลู่เชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองเมื่อยามประมุขน้อยลืมตาเป็นครั้งแรก

เดิมทีประมุขมารรุ่นแรกเป็นเทพที่โดนเนรเทศจนจิตมารเข้าครอบงำ

โลหิตครึ่งเทพครึ่งมารของซ่างกวนฮวาเหลียงอาจเป็นสิ่งที่ลูกแก้วต้องการ

"ท่านต้องหยดเลือดของท่านลงบนลูกแก้วตรงนั้น"

"ได้" ราชครูลู่ยื่นมีดสั้นให้ประมุขน้อย เจียวจิ้นเห็นดังนั้นจึงปัดออก ลู่หรงหัวเราะในลำคอกับการกระทำไร้มารยาทของหุ่นกระบอก สายตามารน้อยตวัดมองไม่พอใจ มือเรียวยกหยิกต้นแขนเจียวจิ้นไปที

"ครั้งหน้าข้าจะฆ่าเจ้า เจียวจิ้น"

"ข้าเป็นห่วงท่าน" ประมุขน้อยไม่เคยสัมผัสเลือดสักหยด บัดนี้ใจกล้าบ้าบิ่นเพียงเพราะคำยั่วยุของลู่หรง

ฉึก!

คมมีดกรีดบนฝ่ามือขาว โลหิตสีแดงเข้มไหลหยดกระทบลูกแก้วใส ฮวาเหลียงหันหน้าหนีบาดแผลตัวเอง เขาไม่ชอบให้ร่างกายบาดเจ็บ ไม่ชอบกลิ่นคาวเลือดไม่ว่าจากใครก็ตาม เมื่อราชครูลู่พยักหน้าเป็นอันว่าเพียงพอแล้วเจียวจิ้นรีบรุดฉีกเศษผ้านำมาพันไว้รอบแผลบนมือเจ้านาย

"คงไม่ใช่ข้าที่ถูกลิขิต"

เมื่อไม่มีอะไรไหวติงแม้แต่น้อย ฮวาเหลียงจึงถอนหายใจเตรียมจะกลับที่พักโดยมีเจ้าหุ่นกระบอกทำหน้าเรียบเฉยทว่าเหตุใดจะไม่รู้ว่าเจียวจิ้นกำลังหงุดหงิดขั้นสุด ลู่หรงเดินมาดักห้ามเบื้องหน้าให้พวกเขารอจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริง เสียงจิปากเบา ๆ ของเจียวจิ้นทำให้ประมุขน้อยอ้าปากเหวอ ก่อนนั้นเจียวจิ้นไม่เคยแสดงออกมากขนาดนี้

"ข้าหิวแล้ว เจ้าจะมาขวางข้าทำไมลู่หรง"

"รออีกสักพัก มันต้องมีอะไรสักอย่างข้ามั่นใจ"

"ท่านก็รอไปคนเดียวเถิด ข้าจะพาประมุขน้อยไปพัก" ราชครูลู่ยิ้มบางเบาเพียงมุมปาก ดวงตาหาได้ยิ้มอย่างที่เห็นไม่

ครืดด

เสียงบางอย่างคล้ายของหนักเคลื่อนตัวตรงบานประตูสีนิล ทั้งสามจดจ้องสิ่งนั้นด้วยความตื่นตระหนก ฮวาเหลียงก้มมองฝ่ามือของตัวเองไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเปิดประตูที่คล้ายถูกปิดตายนี้ได้ ลู่หรงระบายยิ้มกว้างภูมิใจในลางสังหรณ์อันแม่นยำ ไม่เสียแรงที่เฝ้าชุบเลี้ยงประมุขน้อยมาเป็นอย่างดี

"เป็นไปได้อย่างไร"

บานประตูแง้มออกปรากฏเป็นแสงสีขาวสว่างจนดวงตาพร่ามัว ราชครูลู่เดินนำเด็ก ๆ เข้าไปใกล้แสงนั้นก่อนจะยื่นพู่ห้อยตุ๊กตาไม้ตัวเล็กขนาดหัวแม่มือให้ประมุขน้อยแขวนไว้ข้างเอว

"เจียวจิ้นจะไปกับท่าน เพียงแต่เขาเป็นหุ่นกระบอกไม่สามารถเดินทางผ่านกระจกด้วยร่างแปลงได้ จิตของเขาจะอยู่ในตุ๊กตาตัวนี้จนกว่าจะถึงที่หมาย" ลู่หรงอธิบายเกี่ยวกับตัวตนของเจียวจิ้น ซ่างกวนฮวาเหลียงรับฟังเป็นอย่างดีผิดกับเจ้าของบทสนทนายืนจ้องราชครูลู่เขม็ง

อย่างไรนี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ประมุขน้อยจะพิสูจน์ความจงรักภักดีต่อเผ่ามารให้ทุกคนประจักษ์

"อย่ากลัว เด็กดีของข้า" ฝ่ามือคุ้นเคยลูบศีรษะปลอบประโลมลูกศิษย์ ลู่หรงอ่อนโยนเฉพาะสถานการณ์ที่สำคัญนอกเหนือจากเวลาแบบนี้เขาก็เดาอุปนิสัยไม่ออกเลยสักนิด ไม่รู้ว่าใจจริงคิดเห็นเช่นไร 

ดวงจิตของเจ้าหุ่นกระบอกลอยมาอยู่ในตุ๊กตาไม้ข้างเอว คำนับอาจารย์ด้วยความเคารพกว่าทุกครั้ง ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วันนี้ เพื่อกำจัดศัตรูช่วยเหลือญาติพี่น้องเผ่ามารแล้วประมุขน้อยต้องทำให้ดีที่สุด

ซ่างกวนฮวาเหลียงก้าวเข้าไปยังแสงสว่างเมื่อหันกลับมาก็ไร้เงาราชครูลู่และทุกสิ่งอย่าง รอบด้านขาวโพลนยินกระดิ่งส่งเสียงราวนำทาง กริ๊ง ครั้งแรงเดินหนึ่งก้าว กริ๊ง ครั้งที่สองเดินสองก้าว กริ๊ง ครั้งสุดท้ายหยุดเดิน

โถงสีขาวกลายเป็นหมอกควันกำลังสลายตัวเปิดเผยสิ่งที่ปกปิดไว้ กระจกห้าร้อยบานหมุนล้อมรอบกายประมุขน้อย สะท้อนผู้คนที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักเรื่องราวในอดีตถูกบันทึกไว้โดยบรรพบุรุษรุ่นแรกที่ประสบพบเจอมา ซ่างกวนฮวาเหลียงชะงักเท้าเมื่อภาพของเด็กหนุ่มนอนหลับตาพริ้มภายใต้แสงนวลของดวงจันทร์ปรากฏแก่สายตา

เขามั่นใจว่าเด็กนั่นคือหมิงกวงชิง

แล้วเหตุใดประมุขรุ่นแรกจึงได้พบกับหมิงกวงชิง เผ่ามารถือกำเนิดก่อนเทพบรรกาลผู้นี้กว่าสองพันปีเห็นจะได้

"บรรพบุรุษรุ่นแรกไม่ได้มีแค่ประมุขมารเสียหน่อย อาจจะมีผู้ที่สามารถเปิดประตูห้องกระจกนี้ได้อีกคน สิ่งที่ข้าได้เห็นก็จะถูกบันทึกไว้ที่นี่เหมือนกัน" ฮวาเหลียงพึมพำกับตัวเอง กระจกบานนั้นส่องแสงเชิญชวนให้ยื่นมือแตะต้อง

แสงสว่างน่าหลงใหลดึงร่างประมุขน้อยหายวับเข้าไปยังห้วงเวลาในกระจก ห้องนี้จึงมืดลงอีกครั้ง

ประมุขน้อยจับศีรษะมึนงงถูกดูดเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว ปรับสายตามองเบื้องหน้าเป็นชายวัยกลางคนกับหญิงสาวงามสะคราญปานล่มเมืองพร้อมบริวารรับใช้มากมาย

"โอ้ ท่านคงจะเป็นซ่างเซียนที่ข้าน้อยภาวนาเชิญลงมาจากภูเขาทุกคืนวันเพื่อให้ท่านช่วยสั่งสอนชิงเอ๋อร์บุตรชายคนโตของข้า นับว่าจวนเสนาบดีฝ่ายบู๊แห่งนี้มีวาสนายิ่งนัก ขอท่านซ่างเซียนเมตตารับชิงเอ๋อร์เป็นศิษย์ท่านด้วยเถิด"

"หากท่านปรารถนาสิ่งใดพวกข้าน้อยยินดีจะหามาเพื่อท่านเพียงแค่ท่านรับบุตรชายข้าเป็นศิษย์ ท่านเซียนเมตตาชิงเอ๋อร์น้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ"

สองชายหญิงคุกเข่าเอาหน้าผากโขกพื้นขอความเห็นใจ ทำอย่างไรดี ซ่างกวนฮวาหลียงไม่ใช่เซียน วิชาความรู้มิได้เลิศล้ำพอจะสอนผู้ใด พร่ำเรียกเจียวจิ้นที่กลายเป็นตุ๊กตาไม้ในใจแต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ หรือนี่อาจเป็นโชคชะตาเปิดโอกาสให้สังหารหมิงกวงชิงได้โดยง่าย

ง่ายดายเพียงนี้จริงหรือ

"อะแฮ่ม ข้าขอไปดูเทพ- เขาหน่อยแล้วกัน" ฮวาเหลียงยกยิ้มหลังจากลับสายตามายังห้องของเทพบรรพกาลน้อย

เด็กหนุ่มอายุราวแปดขวบปีใช้แขนเล็ก ๆ เป็นที่หนุนนอน ท่ามกลางตำราเรียนกองเป็นพะเนินสูงท่วมหัว หมึกสีดำบนพู่กันเปรอะเปื้อนกระดาษวาดภาพจนมองไม่ออกว่าวาดสิ่งใด ซ่างกวนฮวาเหลียงทิ้งตัวหย่อนนั่งข้างเด็กขี้เซา เท้าคางมองใบหน้าไร้พิษภัยยามหลับใหล ช่างน่าเอ็นดูเสียจริง

ใครกันจะใจร้ายสังหารเด็กน้อยได้ลง

"เจ้านี่นะ เป็นเด็กตลอดไปไม่ได้หรือไง" นิ้วเรียวจิ้มสันจมูกเล็กเบา ๆ บิดามารดาหมิงกวงชิงหน้าตาดีทั้งคู่ ไม่แปลกที่เขาจะได้ยินข่าวซุบซิบจากปีศาจสาวอาวุโสว่าเทพบรรพกาลรูปงามเพียงใด หมอนี่โตขึ้นคงเป็นดั่งข่าวลือพวกนั้น

รอเขาโตกว่านี้ค่อยจัดการตามแผนแล้วกัน

"ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นใคร" เด็กหนุ่มปรือตามองเมื่อรู้สึกถึงผู้มาเยือน

ห๊ะ

ผู้อาวุโส?

ใครกันแน่ที่เป็นไอ้แก่

"ข้าเหลียงฮวา เป็นอาจารย์คนใหม่ของเจ้า แล้วก็ข้าเด็กกว่าบิดาเจ้ามากนะห้ามเรียกผู้อาวุโส!!" ประมุขน้อยลุกขึ้นโวยวายเสียใหญ่โต มันเป็นความจริงนี่ที่เขาอายุน้อยกว่าบิดาเจ้าเด็กตาใสตั้งเกือบแสนปี กล้าดีอย่างไร

ไม่ถูกต้อง

จงสำรวม สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ

เขายังเด็กนัก เขามิรู้ความ

"ผู้อาวุโสเป็นอาจารย์ข้าหรือ" สายตาแป๋วแหววเช่นนั้นไร้เดียงสานัก แต่ว่า

เจ้านั่นแหละไอ้แก่!!

.

.

.

"เหตุใดท่านไม่บอกความจริงว่าประมุขสิ้นแล้ว"

"ข้าไม่อยากให้เขาวู่วามในห้วงเวลานั้น ไม่รู้ว่าใครลิขิตกัน"

...-บทที่ 1-...

บทที่ 2 พัดดอกเหมย

"ถ้าไม่รังเกียจเชิญท่านเซียนพักที่ห้องนี้นะขอรับ"

ที่นี่ไม่ได้ใหญ่โตเท่าวังมารแต่ก็มิได้เล็กจนอึดอัด ทั้งห้องส่วนใหญ่ประดับด้วยสีขาวเขียวสบายตา ต่างจากสีทึบทะมึนที่ห้องเก่าของเขา โลกมนุษย์น่าอยู่กว่าที่จินตนาการ ผู้คนแย้มยิ้มไม่ปั้นหน้าบึ้งตึงเหมือนปีศาจทั่วไป อาหารการกินหลากหลายและรสชาติดีกว่าเลือดสัตว์เนื้อดิบเป็นไหน ๆ

ข้ารับใช้ก้มหัวคำนับหนึ่งครั้งก่อนปิดประตูห้อง หากรู้ตัวตนจริง ๆ ละก็คงไม่มีใครทำความเคารพเขาเช่นนี้ ช่างปะไร มนุษย์พวกนี้ไม่มีวันรู้หรอก

โชคดีที่หมิงกวงชิงถือกำเนิดมาในตระกูลร่ำรวยซ้ำยังพ่วงด้วยตำแหน่งเสนาบดีของบิดาผู้เป็นพระชามาดาของฮ่องเต้องค์ก่อน กล่าวคือหญิงงามล่มเมืองสะเทือนฟ้าผู้นั้นคือพระราชธิดาองค์เล็กโอรสสวรรค์ บัดนี้เปลี่ยนแผ่นดินรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่บ้านเมือง เทพบรรพกาลมีภูมิหลังที่เหลือเชื่อจริง ๆ ต้องเรียกว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด

สมแล้วที่เป็นต้นแบบของพระเอกนิยายประโลมโลก

"เจียวจิ้นเจ้าหลับนานเกินไปแล้วนะ คอยดูเถอะตื่นเมื่อไรข้าจะกัดหูเจ้าให้ขาด!" ฮวาเหลียงกัดฟันกรอดพลางเขย่าตุ๊กตาไม้หัวสั่นหัวคลอน

'ผู้อาวุโส'

'ผู้อาวุโสหลับหรือยังขอรับ'

อยากจะกัดลิ้นตาย บอกกี่ครั้งว่าห้ามเรียกเจ้านั่นก็ยังกวนบาทาเขาร่ำไป ไม่รู้ว่าจงใจหรือเคารพอย่างใสซื่อ เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่สนสักวันเขาต้องตัดลิ้นเด็กผีนี่ให้ได้ วันนี้ต้องสั่งสอนล่วงหน้าสักหน่อยแล้ว

"เจ้าเด็กบ้---"

"ผู้อาวุโสขอรับ ข้าเห็นท่านยังไม่ได้แตะอาหารสักนิด ข้าเลยเตรียมมาให้แล้วก็ ข้า ข้าจะมายกน้ำชาฝากตัวเป็นศิษย์ของท่าน" มือเด็กน้อยหอบทั้งสำรับอาหารและชุดถ้วยชาพะรุงพะรัง ดวงตาหลุบต่ำมองเท้าไม่กล้าเงยหน้าสบตาเขา ฮวาเหลียงได้แต่กลืนคำด่าทอลงลำคอแห้งผาก 

น่าเอ็นดูนัก

สุดท้ายซ่างกวนฮวาเหลียงจำต้องดึงกวงชิงน้อยเข้ามาหลบน้ำค้างในห้องพักตน สองมือเล็กงุ่นง่านกับการจัดเตรียมสำรับให้ว่าที่อาจารย์ ทว่าเขาแอบกินขนมในครัวมาจนอิ่มแปล้แล้วน่ะสิ เด็กหนุ่มมองหน้าเขาสลับกับอาหารบนโต๊ะ เห็นแบบนี้ใครจะปฏิเสธลง ตะเกียบคีบทุกจานเข้าปากพร้อมส่งยิ้มอ่อนโยนให้เด็กตาใสที่กำลังนั่งจ้องเขาจนกระทั่งข้าวหมดถ้วย หมิงกวงชิงจึงเก็บสำรับทันที เด็กดีเสียจริง

แทนที่ด้วยถ้วยชาสำหรับการคำนับอาจารย์ ฮวาเหลียงไม่รู้พิธีรีตองของพวกเซียนพวกมนุษย์อะไรมากนักจึงได้แต่นั่งอมยิ้มมองท่าทางจริงใจของเจ้าเด็กน่ารัก แต่ถ้วยชาที่จ่อปากเขาอยู่นี่ต้องดื่มใช่หรือไม่ น่าจะใช่ หากดื่มจอกเดียวจะดูไม่เต็มใจไหม เขาต้องดื่มทั้งกาเพื่อแสดงความจริงใจสิ

"หมดแล้ว" หมิงกวงชิงอ้าปากค้างตะลึงกับภาพแปลกประหลาด อาจารย์ของตนยกกาน้ำชากรอกปากจนหมดเกลี้ยง ไม่เคยพบเคยเจอผู้ใดแตกต่างเช่นนี้แต่ก็หลบสายตาในที่สุด

"มีสิ่งใดหรือกวงชิงน้อย" ฮวาเหลียงเห็นเทพบรรพกาลตัวจ้อยเขี่ยเท้าเล่นเหมือนมีสิ่งใดอยากพูดจึงกลั้นใจถามออกไป

"สะ สีผมท่านงดงามแปลกตานัก" ก้มหน้างุดกว่าเดิม หมิงกวงชิงตอนยังเล็กไม่ได้ครึ่งของเทพหมิงกวงชิงเลย

"ลองสัมผัสดูไหม" ประมุขน้อยสางเกศาเงินยาวสลวยยื่นใส่มือให้ลูกศิษย์จำเป็นจับ มือเล็ก ๆ ค่อยสัมผัสเส้นผมอย่างเบามือ ผมสีเงินหายากบนโลกมนุษย์นักไม่แปลกที่หมิงกวงชิงจะดูตื่นเต้น

เด็กน้อยลูบไม่กี่ทีก็วางเส้นเกศาคืนบนมือเรียวเช่นเดิม ซ่างกวนฮวาเหลียงลอบสังเกตใบหูแดงระเรื่อของเด็กตรงหน้า ใจอันแข็งกระด้างทั้งยังดำอำมหิตพ่ายแพ้ให้แก่ร่างเด็กของเทพสงครามอย่างนั้นหรือ ประมุขน้อยอยากหยิกตัวเองเสียพันทีเผื่อสติจะดีขึ้น เขาต้องวิปลาสเป็นแน่แท้ที่เห็นศัตรูน่ารักน่ากอด

"ศ ศิษย์ขอลา ไม่รบกวนอาจารย์แล้ว"

รอยยิ้มพรายของท่านอาจารย์ทำให้หมิงกวงชิงพูดติดขัดลิ้นพันกันวุ่นวาย มือน้อยตบปุหน้าอกตัวเองหลังปิดประตูให้อีกคนพักผ่อน หัวใจระส่ำระส่ายอย่างห้ามไม่อยู่

แรกพานพบ ติดตรึงใจชั่วนิรันดร์

หากชีวิตมนุษย์มีอายุขัยไม่กี่สิบปีหมิงกวงชิงก็ยินดีให้ภาพท่านอาจารย์เหลียงฮวาอยู่ในใจไม่กี่สิบปีที่เหลือนี้ พูดถึงอากาศรอบกายก็เริ่มร้อนให้ใบหน้าเห่อแดง เด็กหนุ่มก้าวเท้าฉับเร่งไปยังห้องตัวเองระหว่างทางเดินสะดุดชนเสาตกบันไดไปบ้างไม่เป็นไร คุ้มแล้ว

"รอศิษย์นะขอรับ ท่านอาจารย์เหลียงฮวา"

.

.

.

รุ่งเช้ามาเยือน ข้ารับใช้ในจวนเสนาบดีขยันขันแข็งเตรียมน้ำล้างหน้าไว้ให้ตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ถ้าเป็นที่ภพมารประมุขน้อยไม่มีทางตื่นก่อนไก่เช่นนี้หรอก เมื่อสะลึมสะลือแง้มผ้าม่านออกก็เผยร่างเด็กชายแปดขวบปีมัดผมรวบสูงกำลังตวัดดาบฝึกวรยุทธไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ตัวเขาแปดขวบยังนั่ง ๆ นอน ๆ บนตักมารดาอยู่เลย ราชครูลู่หรงก็เอาแต่ถอนหายใจใส่หากว่าได้เจ้าเด็กนี่ไปเป็นศิษย์อีกคนคงเลื่อนขั้นเป็นศิษย์เอก เขาก็จะเป็นสุนัขหัวเน่าทันที

ซ่างกวนฮวาเหลียงเท้าคางบนขอบหน้าต่างชื่นชมความเก่งกาจของหมิงกวงชิง แววตามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวสมกับผู้ครองตำแหน่งใหญ่โตบนสวรรค์ แขนขาคล่องแคล่วว่องไวกวาดเอาดอกเหมยบนพื้นกระจายขึ้นอากาศ ปลายกระบี่คมกริบตวัดเฉือนกลีบดอกไม้งามออกเป็นสี่ส่วน ราวฉายภาพซ้ำจนอาจารย์จอมปลอมเกือบเผลอส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตะลึง

แล้วเหลืออะไรให้ข้าสอนบ้าง

เคร้ง!

"ทะ ท่าน" ร่างกายชุ่มเหงื่อเสียหลักถอยหลัง กระบี่เงาวับในมือร่วงกระทบพื้นเสียงดังเมื่อเห็นว่ามีอีกคนแอบมองตนอยู่ ท่านอาจารย์กำลังประเมินฝีมือที่ยังไม่ก้าวหน้าไปไหนของเขาอยู่เป็นแน่ ดูได้จากสายตาเรียบนิ่งคู่นั้นทำใจเด็กหนุ่มหล่นไปยังตาตุ่ม 

ร่างสูงโปร่งชายผ้าสีดำพลิ้วไสวตัดกับเส้นผมสีเงินส่งให้อาจารย์ของเขาเหมือนภาพวาดเซียนที่มักวาดยามว่าง ท่านเหลียงฮวาหยุดลงเบื้องหน้ายื่นมือสัมผัสศีรษะเด็กน้อยโยกโคลงเคลงเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มเจิดจ้าดั่งน้ำชะโลมต้นไม้ห่อเหี่ยวในจิตใจให้กลับมาเบ่งบาน หมิงกวงชิงหน้าแดงอีกครั้ง

"เก่งมากแล้วเด็กดี" ซ่างกวนฮวาเหลียงจำมาจากราชครูลู่หรงอีกที เด็กเก่งต้องชมแบบนี้ถึงจะมีกำลังใจเรียนหนัก เอ๊ะ ไม่ได้ จะให้ศัตรูเก่งกว่าเขาไม่ได้ ลงมือตอนนี้ก็โหดเหี้ยมเกินไปรอตอนโตก็กลัวฝีมือจะเทียบไม่ถึง เมื่อใดเจียวจิ้นจะตื่นสักที หัวจะระเบิดอยู่แล้ว

"วันนี้เป็นวันแรก เรามาสร้างความสนิทสนมกันก่อนดีกว่า" ประมุขน้อยสูดหายใจพยายามเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มสบายหูเพื่อไม่ให้หลุดภาพลักษณ์เซียนผู้สูงส่ง หมิงกวงชิงเองก็น่าจะคิดเช่นเดียวกันถึงได้พยักหน้ารัว ๆ น่าเอ็นดู

ปัญหามันอยู่ที่เขาไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาทำร่วมกันได้บ้าง ฮวาเหลียงไม่เคยมีสัมพันธไมตรีที่ดีกับใครสักคนยิ่งกับเด็กเล็ก จะว่าไป ตอนเจอกันครั้งแรกหมิงกวงชิงน่าจะกำลังวาดรูปอะไรสักอย่าง เด็กนี่ชอบวาดรูปงั้นหรือ การจะทำให้อีกฝ่ายประทับใจต้องเอาตัวเองเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมที่ผู้นั้นชื่นชอบ ในขณะเดียวกันดอกเหมยจากต้นก็ร่วงหล่นลงบนฝ่ามือพอดีราวจับวาง

เหมือนจะคิดออก

คนเฒ่าคนแก่บอกว่าเทพบรรพกาลมีพัดดอกเหมยเป็นอาวุธ เหตุใดเล่าในเมื่อท่านผู้นั้นจับดาบจับกระบี่ได้คล่องแคล่วปานนี้หรือว่าไม่ชอบถืออะไรหนัก ๆ กระนั้นหรือ ช่างเถิด วันนี้เขาจะบังอาจสร้างพัดดอกเหมยเลียนแบบขึ้นมาถึงจะไม่ใช่อาวุธวิเศษเหมือนของจริงแต่ก็ใช้เป็นเครื่องมือดับร้อนได้นี่นา เพียงเอ่ยปากขอวัสดุที่ต้องใช้ประดิษฐ์เหล่าข้ารับใช้ก็หามาให้ทันที เป็นลูกหลานเศรษฐีดีเยี่ยงนี้นี่เอง แต่ท่านพ่อเขาก็เป็นถึงประมุขมารตามใจเขาทุกอย่างไยต้องอิจฉาเจ้าเด็กนี่ด้วยเล่า

"ท่านอาจารย์ เรากำลังจะทำสิ่งใดกันหรือขอรับ" หมิงกวงชิงกวาดสายตามองอุปกรณ์หลากหลายบนโต๊ะหินอ่อน มีพู่กันกับสีน้ำอีกด้วย เด็กน้อยตาวาวมองอาจารย์ตนด้วยความคาดหวัง

"พัดดอกเหมยที่สวยกว่าอันนั้น" สวยกว่าของเทพบรรพกาลอย่างไรเล่า

"พัดดอกเหมย?"

ซ่างกวนฮวาเหลียงยักคิ้วยกยิ้มร้ายกาจเพียงแต่มันทำให้เด็กหนุ่มกลัวจนหน้าแดงกระมัง ว่าที่ประมุขมารกับว่าที่เทพสงครามสุมหัวกันต่อรูปร่างพัดที่มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลก พู่กันในมือฮวาเหลียงสั่นจนเส้นกิ่งต้นเหมยยึกยือไม่น่ามองแต่ดันมีเทพผู้มากพรสวรรค์นั่งข้าง ๆ เส้นยึกยือจึงกลายเป็นกิ่งที่มีดอกเหมยแต่งแต้มสีสันสมบูรณ์แบบ นอกจากประดิษฐ์พัดแล้วประมุขน้อยก็ไม่เก่งอะไรอีกเลย อับอายขายขี้หน้าอนาคตผู้นำเผ่ามารชะมัด

หันไปมองยังหนุ่มน้อยที่ตั้งใจวาดดอกไม้ปกปิดความผิดพลาดของอาจารย์ตน หมิงกวงชิงมีความตั้งใจจดจ่อกับทุกสิ่งที่ต้องการทำให้สำเร็จนั่นเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่มัดหัวใจสาวน้อยสาวใหญ่เชียวล่ะ ขนาดเขายังเผลอมองอีกฝ่ายเสียเคลิบเคลิ้มจนกระทั่งหมิงกวงชิงยิ้มออกมาพร้อมชูพัดขึ้นเหนือศีรษะ พัดกระดาษวาดลวดลายดอกเหมยด้านหนึ่งส่วนอีกด้านเด็กหนุ่มได้เขียนตัวอักษรบางอย่างลงไป เขาเหม่อจนไม่รู้ว่าเด็กนี่เขียนอะไรทว่ามันก็ไม่เกี่ยวกับเขา

"ศิษย์จะเก็บไว้อย่างดี พัดดอกเหมยนี้เป็นของชิ้นแรกที่อาจารย์มอบให้ศิษย์"

เก็บไว้อย่างดีมิยอมให้ห่างกาย

หมิงกวงชิงแนบพัดไว้กับอกตนเองราวกับว่ามันเป็นของรักของหวง ฮวาเหลียงเบี่ยงสายตาหนีในวังมารเขามีพัดเช่นนี้หลากหลายสีสันหลากหลายขนาดอันไหนพังก็เปลี่ยนใหม่ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางหวงแหนเช่นนั้น นอกจากท่านพ่อ เจียวจิ้น และลู่หรงที่ไม่ค่อยแสดงออกเท่าไร เด็กนี่เป็นคนที่สี่ที่เห็นความสำคัญกับสิ่งที่เขามอบให้

นึกขำฮวาเหลียงยังไม่เคยเห็นพัดดอกเหมยของจริงเพียงได้ยินลักษณะจากคำบอกเล่าเท่านั้น ไม่รู้ว่าพัดเล่มนี้เลียนแบบได้คล้ายคลึงกี่ส่วนแต่เท่าที่มองนี่งามกว่าของเทพบรพกาลอยู่มากโข

ลูกศิษย์เขาซะอย่าง

"เจ้าเก่งรอบด้านเพียงนี้ อาจารย์มิรู้ว่าจะสอนอะไรให้เจ้าแล้ว"

"มีหลายสิ่งที่ศิษย์ยังไม่รู้ต้องการอาจารย์ช่วยชี้แนะ" ท่านอาจารย์ของเจ้าก็ยังไม่รู้อะไรเลยเหมือนกัน

"ย่อมได้ แต่อาจารย์ไม่เชี่ยวชาญวรยุทธจึงจะขอนั่งดูความก้าวหน้าของเจ้าเงียบ ๆ แล้วกัน"

"เพียงเท่านี้ศิษย์ก็ซึ้งใจแล้ว" เจ้าเด็กนี่จะดูโตกว่าอายุเกินไปหรือไม่ ซ่างกวนฮวาเหลียงคิดอยู่ในใจเหลือบมองหมิงกวงชิงที่ลุกไปฝึกซ้อมวรยุทธเป็นระยะ ไม่วายหันมาส่งยิ้มใสซื่อโง่เง่าให้ประมุขน้อยได้หัวเราะในลำคอ 

เด็กคนนี้มีความแค้นอะไรกับเผ่ามารกันนะ ยามเติบใหญ่ถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคนลงมือทำร้ายสิ่งมีชีวิตเผ่าเดียวกับเขาได้ลง

เป็นเด็กตลอดไปมิได้หรือ

"ท่านอาจารย์..." หมิงกวงชิงสีหน้าวิตกเมื่อเห็นแววตาฉงนของประมุขน้อย

"โตขึ้นเจ้าอยากทำอะไรรึ"

"ศิษย์อยากเข้าวังเป็นแม่ทัพไร้พ่าย ถึงตอนนั้นศิษย์จะสามารถปกป้องครอบครัวและปกป้องท่าน..." ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาทว่ายังสามารถจับใจความได้

"ไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย ขอเพียงเจ้ามุ่งมั่นตั้งใจไม่โอนอ่อนทุกสิ่งที่เจ้าปรารถนาจะมาอยู่ในมือเจ้าเอง" ราชครูลู่ศิษย์ไม่เอาไหนผู้นี้ขอยืมประโยคสวยหรูมาใช้ก่อนนะ

เด็กหนุ่มดวงตาสั่นไหวคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นแววตายากหยั่งมันลึกล้ำคล้ายว่าคำถามที่ตั้งขึ้นมีคำตอบปรากฏขึ้นชัดเจนแล้ว หมิงกวงชิงเดิมทีมีชะตาเป็นแม่ทัพปกป้องบ้านเมืองไม่เกี่ยงศึกเล็กศึกใหญ่ คุณงามความดีเป็นที่ประจักษ์และได้รับความศรัทธาจากประชาชนล้นหลามด้วยเหตุนี้จึงได้ขึ้นเป็นเทพสงครามบนสวรรค์ 

คำพูดเล็กน้อยของฮวาเหลียงคงไม่เกิดผลอะไรมากนัก เด็กหนุ่มมีความตั้งใจของตัวเองอยู่เป็นทุนเดิม อย่างไรหมิงกวงชิงต้องเป็นผู้ครอบครองตำแหน่งแม่ทัพไร้พ่ายแน่นอน

ซ่างกวนฮวาเหลียงยืดอกภูมิใจในตัวลูกศิษย์ แต่แสดงออกอย่างนั้นไม่ได้ ช่างน่าเสียดาย เขาน่าจะย้อนมาตอนหมิงกวงชิงแรกเกิดจะได้ขโมยกลับไปเลี้ยงที่เผ่ามารเสียเลย เอ เท่าที่เห็นภาพในกระจกเหตุการณ์ที่เด็กน้อยนอนหลับคาพู่กันเป็นบานที่บรรพบุรุษมารเจอหมิงกวงชิงครั้งแรก แล้วบรรพบุรุษรุ่นแรกของเขาจะมายุ่งเกี่ยวกับเด็กนี่ได้อย่างไร อาจจะพยายามมาสังหารเหมือนเขากระมัง

"ท่าน--คุณชายน้อย เหตุใดเจ้าถึงสวมเสื้อผ้าสีขาวเปื้อนง่ายเช่นนี้ทุกวันเลยเล่า" ถึงจะเป็นชุดที่กระฉับกระเฉงง่ายต่อการฝึกซ้อมทว่ากลับเป็นสีขาวสะอาด พอหมิงกวงชิงแสดงหลายกระบวนท่าชายผ้าก็กลายเป็นสีหมองเพราะคลุกดินคลุกฝุ่น ซื่งหากใส่สีทึบ ๆ ไม่ดีกว่าหรือ

"ศิษย์ขอบังอาจถามท่านก่อนว่าเหตุใดท่านถึงสวมสีดำทั้งตัว" ไม่แปลกที่จะมีผู้ใดสวมใส่เสื้อผ้าสีดำ เพียงแต่บนตัวอาจารย์เป็นสีดำชนิดเดียวกันหมดแยกไม่ออกว่าชั้นผ้าซ้อนกันอยู่ที่ใด ซ่างเซียนในหนังสือไม่เคยพบเจอว่าสวมชุดเช่นนี้กัน

"อาจารย์ไม่ได้คิดอะไรมาก ทางครอบครัวมักสวมเช่นนี้เป็นปกติ ไม่ได้มีความหมายอื่นแฝงหรอก" จริงอย่างว่า เผ่ามารมักสร้างตัวตนให้มืดครึ้มกลมกลืนกับสถานที่ที่แสงตะวันส่องไม่ถึง แทนที่จะใส่ให้มันตัดกันสุดท้ายเขาเลือกไม่ได้ อยู่สังคมไหนก็ต้องไหลตามสังคมนั้น

"เจ้าตอบอาจารย์ได้หรือยัง"

"มันทำให้ศิษย์ดูเป็นคนดี ขาวสะอาด บริสุทธิ์ ไร้มลทิน"

...-บทที่ 2-...

บทที่ 3 คำตอบคือท่าน

"ประมุขน้อย ข้ากลับมาแล้ว"

ตุ๊กตาไม้หล่นจากข้างเอวโอบล้อมด้วยกลุ่มควันก่อนจะเผยร่างชายหนุ่มคนสนิทก้าวออกมาเผชิญหน้าประมุขน้อยช้า ๆ เจียวจิ้นกลับมามีเนื้อหนังเช่นเดิมหลังหาทางออกจากตุ๊กตาไม้ไม่เจอ เขาไม่เคยหลับใหลอย่างที่ประมุขน้อยบ่นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกเจียวจิ้นรับรู้ทั้งหมด รับรู้ด้วยว่าจิตใจของซ่างกวนฮวาเหลียงตอนนี้ไม่ได้นึกถึงเผ่ามารแม้แต่น้อย

"เจียวจิ้นเจ้าปล่อยให้ข้าอยู่คนเดียวตั้งหลายเดือน ข้าอยากบีบคอเจ้านัก"

"สุดแล้วแต่ท่านเถิด" เจียวจิ้นคุกเข่าเงยหน้าเผยลำคอให้อีกฝ่ายกำได้ถนัดมือ ถึงบีบแรงเท่าใดเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเพราะแท้จริงเป็นเพียงหุ่นกระบอกตัวหนึ่ง ต้องขอบคุณประมุขมารที่มอบร่างกายไร้ความรู้สึกนี้ให้ทว่ามีเพียงร่างกายที่ไร้ความรู้สึก เหตุใดนายท่านจึงไม่ยอมมอบจิตใจที่ไร้ความรู้สึกมาให้แทน

ซ่างกวนฮวาเหลียงเดินผ่านเจียวจิ้นไปยังมุมอ่านหนังสือ วันนี้เขาอารมณ์ดีไม่อยากทำโมโหใครให้เสียบรรยากาศ เพราะอะไรหรือ จะเพราะอะไรถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์ตัวเล็กของเขาเก่งขึ้นอีกแล้วน่ะสิ คราวนั้นผ่ากลีบดอกไม้คราวนี้หลบหลีกน้ำค้างไม่ให้โดนกระบี่สักหยด สรรหาคำมาเยินยอไม่ไหวแล้ว ประมุขน้อยยิ้มร่าถือหนังสือกลับหัวก็ยังมิรู้ตัวเพียงแค่คิดว่าเขาจะหากิจกรรมอะไรมาทำร่วมกับหมิงกวงชิงอีกจึงจะดี เด็ก ๆ น่ะเบื่อการเรียนที่ซ้ำซากและเขานี่แหละจะมาปฏิวัติวงการของราชครูลู่

เจียวจิ้นยังคงคุกเข่าสองมือบนหน้าขากำแน่น มีเพียงใบหน้าที่เรียบนิ่ง ภายในทรวงร้อนระอุราวภูเขาไฟใกล้ปะทุ ลาวาเดือดดาลในดวงตาไร้ประกาย หากว่าประมุขน้อยทราบเรื่องที่พวกเทพสังหารบิดาของตนจะไม่มีทางที่รอยยิ้มปิติเช่นนี้ประดับอยู่บนใบหน้าได้ ประมุขน้อยไม่มีทางใกล้ชิดเอ็นดูอนาคตเทพสารเลว 

ความขุ่นมัวพลันสลายไป

"ไปตลาดกัน" เสียงวางหนังสืออย่างรุนแรงแล้วโพล่งขึ้นมาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นประมุขน้อยที่รั้งแขนเจียวจิ้นให้ลุกตาม

เมืองมนุษย์ทำการค้าขายทุกช่วงเวลา ฮวาเหลียงเริ่มชินกับที่นี่เสียแล้วคนข้างกายเขาก็จำเป็นต้องชินด้วยเหมือนกัน คาดว่าจะได้อาศัยอยู่บนโลกนี้อีกนาน ทว่าตลาดไม่ใช่จุดที่ควรเริ่มต้นหรอกเขาแค่อยากหาของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ตอบแทนความพยายามของลูกศิษย์ตัวน้อย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าหมิงกวงชิงชื่นชอบการวาดภาพดังนั้นเขาจึงอยากมอบพวกกระดาษพู่กันให้

"ท่านอาจารย์จะไปที่ใดหรือขอรับให้รถม้าไปส่งไม่ดีกว่าหรือ ท่านนี้คือผู้ใดกันขอรับ" ก้าวไม่ทันพ้นประตูใหญ่ก็พบกับหมิงกวงชิงที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง ไม่แปลก เด็กนี่เป็นญาติกับคนพวกนั้น เสียงเจื่อยแจ้วถามคำถามมากมายจบด้วยถามถึงเจ้าหุ่นกระบอกข้างตัวเขา ลืมคิดไปเสียสนิท

"ผู้นี้คือเหลียงจิ้น น้องชายอาจารย์เอง"

"ที่แท้ก็เป็นอาจารย์อานี่เอง ศิษย์ขอคารวะขอรับ" หมิงกวงชิงก้มหัวอย่างนอบน้อมทว่าเจียวจิ้นปิดปากเงียบ ไม่ปฏิเสธแต่ก็หาได้ยอมรับ

"ท่านอาจารย์ให้ศิษย์ไปด้วยนะขอรับ ศิษย์จะเป็นเด็กดีไม่รบกวนท่านกับอาจารย์อาเลย" เด็กหนุ่มก้มหน้ามองปลายเท้าเขี่ยดินไปมา เด็กก็คือเด็กต้องการเที่ยวเล่นเป็นธรรมดา ฮวาเหลียงจะปฏิเสธน้ำเสียงเว้าวอนนั้นได้อย่างไร

"ตามใจเจ้า"

.

.

.

ท้ายสุดก็ยกโขยงกันมาสี่ห้าคนประมุขมารน้อย หุ่นกระบอก เทพเด็กรวมผู้ติดตามอีกสองคน เดินทีเดียวก็บังถนนมิด ไม่คาดคิด ไม่คาดคิด สายตาพ่อค้าแม่ขายหลายคูจดจ้องมายังเส้นผมของฮวาเหลียงแล้วหันไปซุบซิบกันออกรสออกชาติ เขาที่พยายามทำตัวสงบเสงี่ยมอยู่นานเป็นอันต้องแกล้งตวัดมองแผ่ไอมารทุกย่างก้าวจนคนแถวนั้นเริ่มหายใจไม่ออก

"ประมุขน้อย..." เจียวจิ้นสัมผัสไหล่เป็นเชิงปลอบให้ใจเย็นลงเพราะคนรับใช้ที่ติดตามมาด้วยก็ได้รับผลกระทบด้วย ยกเว้นหมิงกวงชิงเดินไม่รู้ร้อนรู้หนาวอยู่ข้างกายก่อนมือเล็กจะกระตุกแขนเสื้อผู้เป็นอาจารย์

"ท่านอาจารย์ขาศิษย์ล้าเหลือเกิน" เด็กหนุ่มเบะปากนวดขาไปพลาง แต่ยังคงส่งรอยยิ้มหวานบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก

เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำ เด็กแปดขวบไม่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาทว่าหมิงกวงชิงไม่สมเป็นเด็ก ทำทุกอย่างที่เด็กในรุ่นเดียวกันไม่ทำ บางทีในอนาคตที่เทพบรรพกาลมีหัวใจน้ำแข็งอาจจะเป็นผลพวงมาจากความเก็บกดตอนยังเด็ก 

"ขี่หลังอาจารย์เถิด เจ้าตัวแค่นี้อาจารย์ของเจ้าแบกไหวอยู่แล้ว" หากมอบความอบอุ่นให้เสียมาก ๆ ตอนนี้ หมิงกวงชิงจะเป็นเทพสงครามที่มีแต่ความอ่อนโยนไร้การเข่นฆ่าและเผ่ามารจะรอดปลอดภัย 

"ท่านอาจารย์...ขอรับ" หมิงกวงชิงยิ้มแป้นคารวะหนึ่งครั้งก่อนแขนเล็กจะค่อย ๆ กอดบ่าฮวาเหลียงที่ย่อตัวมารออยู่ก่อนแล้ว ท่ามกลางสายตาเย็นเยียบดุจดาบคมของเจียวจิ้น

เดิมทีประมุขน้อยนิสัยมุทะลุหาความนิ่มนวลในจิตใจไม่ได้ แม้แต่เจียวจิ้นเพื่อนคนเดียวยังไม่เคยได้เห็นด้านอ่อนโยนเช่นนี้ ไฟริษยาลุกโชนส่วนลึกของดวงตาเรียบนิ่ง เขาหวังว่าสักวันหนึ่งประมุขน้อยจะมอบความอบอุ่นให้เช่นไอ้สารเลวคนนี้

ซ่างกวนฮวาเหลียงแบกเด็กชายหน้าตาจิ้มลิ้มขี้อายเดินตะลอนจากต้นยันท้ายสุดของตลาด ทว่าก็หาได้มีสิ่งของที่ต้องการ เขาไม่แน่ใจว่าหมิงกวงชิงชอบอะไรเป็นที่สุดเพราะไม่ว่าเขาจะหยิบจับสิ่งใดให้เจ้าตัวก็มักจะรับไว้ด้วยรอยยิ้มไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง คล้ายว่าชมชอบทุกอย่างแต่อีกทางหนึ่งก็คล้ายว่าไม่ชอบอะไรเลย

"เด็กดี เจ้าชอบอะไรเป็นพิเศษหรือไม่" ถึงเวลาที่ประมุขน้อยสวมบทอาจารย์ผู้แสนดี หมั่นทำดีกับเด็กนี่เข้าไว้เราจะอยู่รอด

"ท่านอาจารย์" หมิงกวงชิงเอ่ยข้างใบหูแผ่วเบาราวลมพัดผ่าน

"ว่าอย่างไรเล่า เจ้าชอบสิ่งใดอาจารย์จักได้เลือกให้เจ้าได้ถูกตอบแทนที่เจ้าตั้งใจเรียนเป็นเด็กดีของอาจารย์" ฮวาเหลียงไม่อยากอ้อมค้อมแล้วหากประวิงเวลาไปมากกว่านี้เกรงว่าจะค่ำมืดเสียก่อน

"ข้าชอบท่าน"

ถ้อยคำไร้เดียงสาออกจากปากบุตรชายของเสนาบดีหมิง ใบหูเล็กแดงเถือกไม่ด้อยไปกว่าปรางแก้มใส กวงชิงก้มหน้าซบบ่าผู้เป็นอาจารย์หลบท่าทีเขินอายดั่งดรุณีน้อยวัยแรกแย้ม ฮวาเหลียงหัวเราะเบา ๆ ให้ความน่าเอ็นดูของเด็กหนุ่มตัวจ้อย เด็กหนอเด็กคิดสิ่งใดพูดสิ่งนั้นทว่าไม่แปลกใจนักที่เด็กเล็กจะชื่นชอบผู้ที่ปฏิบัติดีกับตัวเอง ถือว่าสิ่งที่เขาทุ่มเทไปไม่ไร้ประโยชน์ หมิงกวงชิงไม่เกลียดเขาแล้ว นับว่าเผ่ามารจะปลอดภัยได้หรือไม่

"ศิษย์ที่ไหนจะไม่ชอบอาจารย์ตัวเอง หากเจ้าเอาใจออกหากจากอาจารย์นั่นจึงเรียกว่าศิษย์อกตัญญู"

"ไม่ใช่เช่นนั้นขอรับ...ศิษย์ชอบท่านจากใจจริง" เด็กไม่รู้ความพยายามอธิบายความรู้สึกอย่างแท้จริง ซื่อตรงเสียจนอดอมยิ้มไม่ได้ หมิงกวงชิงเห็นอีกคนส่ายศีรษะอย่างไม่จริงจังจึงเงียบปากไป ถึงพูดอย่างไรท่านอาจารย์ก็เข้าใจเป็นสิ่งอื่นอยู่ดี

"ปล่อยศิษย์ลงเถิดขอรับ ศิษย์หายเมื่อยแล้ว" คุณชายหมิงลงจากแผ่นหลังที่เฝ้าแบกตนมาตลอดครึ่งวันด้วยสีหน้าเซื่องซึม

"งั้นอาจารย์จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาชมบุปผางามเผื่อเจ้าจะนึกออกว่าชอบสิ่งใด"

"บุปผางามหรือขอรับ" สวนดอกไม้รึ หนุ่มน้อยคิดในใจ

"ถูกต้อง บุปผางาม" ประมุขน้อยเหลือบมองเจียวจิ้นที่มีดวงตาบ่งบอกถ้อยคำชัดเจนว่า เด็กนี่เพิ่งอายุได้แปดขวบปีไม่เหมาะสมกับสถานที่เชยชมบุปผางามเช่นนั้นแต่แล้วความละอายเป็นของใคร ไม่ใช่ของซ่างกวนฮวาเหลียงแน่นอน ยิ่งเรียนรู้เร็วยิ่งมีภูมิคุ้มกันมาก

"ข้าไม่ให้ท่านไป" เจียวจิ้นรั้งข้อมือประมุขน้อยไว้ คนเอ่ยปากชวนยังไม่เคยไปสถานที่คาวโลกีย์ที่ใดเลยด้วยซ้ำริจะสอนคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องพรรค์นี้

"กล้ามากนะที่บังอาจออกคำสั่งกับข้า" แต่ไหนแต่ไรเจ้าหุ่นกระบอกมักทำตัวเป็นพี่เลี้ยงมากกว่าเพื่อนเล่นจนน่ารำคาญ ซ่างกวนฮวาเหลียงสะบัดมือเย็นเฉียบของอีกฝ่ายทิ้งอย่างไม่ไยดี เขาเกลียดคนที่บงการชีวิตเขาที่สุด แม้แต่ท่านพ่อก็ยังไม่เคยชี้นิ้วออกกฎกับชีวิตเขาสักครั้ง อยากทำอะไรก็ทำได้ไม่ต้องเห็นหัวผู้ใด พอเจียวจิ้นเข้ามาก็กลายเป็นบิดาอีกคนที่มีนิสัยห้ามนั่นห้ามนี่เป็นขั้วตรงข้ามของบิดาเขาตัวจริง

"มันหาใช่สถานที่ที่ท่านควรไป ในนั้นมีแต่พวกบ้าตัณหาไร้จิตสำนึกข้าไม่อยากให้ท่านแปดเปื้อน"

"งั้นหรือ แต่ใครสนข้าจะไปก็ต้องได้ไปเจ้าห้ามข้าไม่ได้"

.

.

.

ตะวันใกล้ลับฟ้า โคมสีแดงสว่างไสวหยอกล้อกับแสงสุริยารำไร สิ่งปลูกสร้างขนาดเกือบเท่าครึ่งหนึ่งของจวนเสนาบดีหมิงตั้งตระหง่านกลางเมือง ผู้คนสัญจรขวักไขว่แวะเข้าออกตลอดทั้งวัน หญิงสาวงามพักตร์แต่งกายด้วยผ้าเนื้อบางสีสันฉูดฉาดไม่ต่างจากใบหน้าที่แต้มเติมเครื่องประทินโฉมจนต้องเหลียวหลัง เสียงหวานหยดย้อยของพวกนางทำให้ลูกค้าควักถุงเงินจ่ายหนักไม่อั้นไม่กลัวหมดตัว

หอคณิกาซูเมิ่งเลื่องชื่อเรื่องอาหารเลิศรส ดนตรีไพเราะกังวานเสนาะหู ทั้งสตรีรูปโฉมเป็นรองแค่เทพเซียน ภายในโอ่อ่าประด้วยผ้าพริ้วบางสีแดงขาวสลับกันพาดห้อยยาวลงมาจากชั้นบนสุดจนเกือบถึงพื้นชั้นล่างสุด เปิดหน้าต่างด้านบนให้แสงจากตะวันและจันทราข้างนอกส่องมายังใจกลางหอสวรรค์ กลิ่นดอกไม้นานาพรรณปนเปแทนที่จะฉุนแสบจมูกกลับหอมฟุ้งน่าประหลาด ดรุณีบรรเลงเพลงรื่นรมย์เต้นรำยั่วเย้าอวดเรือนร่างงดงามให้บุรุษเกิดราคะ

ซ่างกวนฮวาเหลียงให้ผู้ติดตามสองคนจากจวนเสนาบดีรออยู่ข้างหน้าประตู ส่วนเจียวจิ้นเดิมตามเงียบ ๆ ไม่ปริปากพูดสีหน้าทะมึนอยู่เบื้องหลัง เขาจูงมือคุณชายน้อยปรี่เข้ามาทันที ยอมรับว่าเขาเองตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้มาเหยียบหอคณิกาเป็นครั้งแรก หันมองคนข้างกายไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นสถานที่ราวภาพฝันเช่นนี้ เพราะหมิงกวงชิงทำหน้าเรียบนิ่งไม่ต่างจากเจียวจิ้นเลย

เด็กคนนี้แท้จริงเป็นอย่างไร

"ไอหยา! คุณชายน้อยทั้งสามเชิญนั่งตรงนี้เจ้าค่ะ ตรงนี้เลยนะเจ้าคะ เด็ก ๆ รับแขกหน่อยเร็ว!!" ยืนตะลึงความงดงามไม่นานก็มีหญิงวัยกลางคนถือผ้าเช็ดหน้าโบกไปมา สีปากฉูดฉาดเสียงแหลมบาดแก้วหูคนฟัง ตรงมายังพวกเขาสามคนพร้อมเชิญนั่งโต๊ะตัวที่สามารถมองเห็นการร่ายรำของนางคณิกาได้ชัดเจน ก่อนการแสดงอีกรอบจะเริ่มแม่นางน้อยดั่งบุปผาหลากสีสันก็พากันมานั่งเกยตักคนละสองฟาก

เสื้อผ้าเนื้อบางเบาทว่ารัดดันทรวงอกขึ้นเป็นร่องเนินอวบถูไถบริเวณต้นแขนของประมุขน้อยพลางรินสุราป้อนถึงปาก ดวงตากลมเบิกโพลงด้วยความหฤหรรษ์ที่ไม่เคยพบเจอ หญิงสาวเอาอกเอาใจนวดไปตามบ่าไหล่ที่แบกเจ้าเด็กเทพมาให้คลายปวดล้าฝีมือแม่นางปากแดงดีไม่น้อยจนฮวาเหลียงเกือบเอนหลังซบดรุณีหมอนวดคนนี้เสียแล้วติดที่ว่ามีสายตาสองคู่จ้องเขม็งมายังเขาราวจะแล่เนื้อเถือหนัง 

หมิงกวงชิงยังเด็กจึงไม่ค่อยมีแม่นางคนไหนเกาะแกะเป็นพิเศษนัก แต่เจียวจิ้นนี่สิบุปผางามถึงขนาดล้อมหน้าล้อมหลังแย่งกันป้อนสุราชั้นดีจนเจ้าตัวตัดรำคาญโดยการเปลี่ยนสายตาเป็นแข็งกร้าวทำให้นางคณิกาเกิดอาการสั่นกลัวกระทั่งลุกไปเอาใจโต๊ะอื่น

"ท่านอาจารย์ ศิษย์อยากกลับจวนแล้ว" 

"เดี๋ยวสิ อาจารย์ยังไม่ได้ดูการแสดงอีกชุดนึงเลย" หมิงกวงชิงทำท่าจะลุกขึ้นแต่ก็ถูกรั้งให้นั่งลงเช่นเดิม ดวงตาเป็นประกายเงางามสะกดให้เด็กหนุ่มยอมแพ้นั่งรอดูการร่ายรำชุดต่อไปแต่โดยดี

กลุ่มหญิงสาวแน่งน้อยตัวอ่อนช้อยโหนผ้าสีแดงลงมายังใจกลางซูเมิ่ง รอยยิ้มประดับใบหน้าหวานทำลายหินผาอ่อนระทวย สะบัดชายผ้าเย้ายวนคนนั้นทีคนนี้ที บ้างก็จับผ้ามาดอมดมบ้างก็ไหลตามโฉมสะคราญ มัวเมารสสุราไม่สู้มัวเมาอิสตรี มองดูแล้วเหมือนคนบ้าที่วิ่งตามภาพหลอน

กริ๊ง

เสียงกระดิ่งหยุดตรงหน้าซ่างกวนฮวาเหลียง หญิงสาวโดดเด่นจากกลุ่มบุปผางามของค่ำคืนนี้ นางกรีดกรายนิ้วเรียวลูบไล้กรอบหน้าของประมุขน้อยที่จดจ่อกับการลิ้มรสน้ำเมา ทั้งหมิงกวงชิงและเจียวจิ้นต่างคิ้วขมวดนั่งกอดอกท่าเดียวกันมองคนที่เริ่มหูแดงลามถึงต้นคอเพราะสุราที่ใครต่างพูดว่าชั้นดี

"ข้าเลือกคุณชายรูปงามท่านนี้ เยวียนเอ๋อร์ขอป้อนสุราท่านด้วยปากของข้า" บุรุษน้อยใหญ่ส่งเสียงโห่ร้องเสียดายที่ตนไม่ถูกเยวียนเอ๋อร์แม่นางผู้เลอโฉมและแพงที่สุดในหอซูเมิ่งเลือก ประมุขน้อยอ้ำอึ้งทำตัวไม่ถูกเปลือกตาหยาดเยิ้มก็แทบจะปิดมีเพียงหูที่สามารถรับรู้เรื่องราวได้ มือเรียวบางรั้งคอฮวาเหลียงให้รับสุราจากปากสีชาดของนาง รสฝาดอมเปรี้ยวบางคราก็ออกรสหวานละมุนทั่วโพรงปากไหลลงสู่ลำคอจนร้อนวูบวาบ

เพล้ง!

นางรินสุราลงจอกที่สองไม่ทันได้ยกดื่มก็ถูกมือของเด็กหนุ่มปัดกระเด็นกระจัดกระจายเต็มพื้นโต๊ะ หมิงกวงชิงจ้องดวงตาหวาดหวั่นนั้นเย็นยะเยือก หลบสายตาไปเจอเจียวจิ้นอีกด้านร่างแน่งน้อยก็วิ่งพรวดหนีหายเข้าไปในห้องเก็บตัวของพวกนาง 

"พาท่านอาจารย์กลับกันเถิดขอรับ" หมิงกวงชิงหันไปเอ่ยกับเจียวจิ้นที่พยักหน้าส่ง ๆ

ประมุขน้อยดื่มไปไม่กี่จอกก็โงนเงนนั่งไม่ติดพื้น เลื้อยไหลไปตามขอบโต๊ะ แก้มเนียนพาดบนแขนขึ้นสีแดงระเรื่อเหมือนคนจับไข้ เส้นผมสีเงินยุ่งเหยิงจากการขยี้ไปมาคลายความเวียนศีรษะของเจ้าตัว สุราแดนมนุษย์พิศดารกว่าแดนมารเห็นทีจะเป็นเรื่องจริง พวกมนุษย์มักชอบบ้าบิ่นไม่น้อยหน้าไปกว่าเผ่ามารแต่ก็ไม่คิดว่าจะชอบของแรงเช่นนี้ ฮวาเหลียงเหมือนโดนพิษจู่โจมไม่สามารถประคองสติได้เลย

"เจียวจิ้น อุ้ม" โลกหมุนเร็วเกินไปเขาเดินกลับเองไม่ได้แน่ สองมือชูขึ้นร้องเรียกนามที่แท้จริงของคนสนิท เจียวจิ้นถอนหายใจหนักก่อนจะช้อนตัวเจ้านายเมาหัวทิ่มแนบอก แขนเรียวโอบรอบคอตามสัญชาตญาณ ขณะหมิงกวงชิงคอยระวังอยู่ด้านข้างป้องกันสาวงามที่พร้อมพุ่งเข้ามาประชิดตัวพวกเขาทั้งสาม

ขายังไม่ก้าวออกจากธรณีประตูผู้ติดตามของจวนเสนาบดีคนหนึ่งก็รีบรายงานข่าวที่ได้รับมาจากเบื้องบน 

"คุณชาย บุปผาในสวนท้ายวังเบ่งบานแล้ว ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ท่านเข้าวังไปเดินชมเป็นเพื่อนพระองค์"

...- บทที่3 -...

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!