คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลอวิ๋น EP.1
คุณหนูใหญ่กับตระกูลอวิ๋นEp.2
เด็กสาวค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบนเนินเขาจำลอง มุมปากยกขึ้นอย่างมีเลศนัย
หากชายผู้นั้นไม่ได้มีรูปร่างคล้าย ซ้ำยังสวมใส่อาภรณ์เยี่ยงองค์รัชทายาท อวิ๋นลั่วเฟิงผู้ตกหลุมรักองค์รัชทายาทอย่างหมดใจคงไม่เข้าใจผิด นางคงไม่เร่งรุดไปฉุดกระชากจนถูกกล่าวหาว่าลวนลามบุรุษรูปงาม
แน่นอนว่าถ้าหากเรื่องมีเพียงเท่านี้ ผู้คนคงไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนางและบุรุษรูปงามผู้นั้นผิดไปดังที่เกิดขึ้น
ส่วนสำคัญก็คือเมื่อชายผู้นั้นถูกนางรั้งตัวไว้ เขาก็เริ่มโวยวายหาว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลอวิ๋นพยายามบังคับขู่เข็ญให้เขาไปเป็นทาสบำเรอของนาง น่าเศร้าที่อวิ๋นลั่วเฟิงพูดไม่เก่ง และตื่นตระหนกจนปกป้องตัวเองไม่ได้ พอเงียบเข้าเลยกลายเป็นว่ายืนยันความผิดของตนไปโดยปริยาย
พอนึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว หญิงสาวก็แอบถอนใจอยู่ภายใน “อวิ๋นลั่วเฟิงนางนี้เป็นถึงหลานสาวผู้สูงศักดิ์ของท่านแม่ทัพแท้ๆ แต่กลับโง่เขลาเสียจริง! ละครตบตาง่ายๆ แค่นี้ก็มองไม่ออก แถมยังหลงผิดคิดใช้ชีวิตตัวเองเป็นเครื่องมือต่อรองหัวใจรัชทายาท! หากองค์รัชทายาทไม่รับสั่งลงมาเอง ใครจะกล้าสวมอาภรณ์ของพระองค์ออกมาเดินกลางถนนกันเล่า”
รัชทายาทเกาหลิงเป็นบุรุษรูปงามที่สุดแห่งแคว้นหลงหยวน ทรงเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถอันโดดเด่น! ด้วยคุณสมบัติและฐานันดรเพียบพร้อมถึงเพียงนี้ ใครเล่าจะอยากแต่งงานกับเศษขยะ
นางก็พอจะเข้าใจความตรอมตรมนั้นอยู่หรอกนะ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใด เพื่อรักษาเกียรติของพระองค์ไว้ เกาหลิงถึงขนาดใส่ร้ายป้ายสีอวิ๋นลั่วเฟิงให้กลายเป็นหญิงไร้ยางอายผู้ละทิ้งสถานะการหมั้นหมายไปฉุดกระชากบุรุษรูปงาม
ตอนนั้นเอง ชิงเหยียนสาวรับใช้ส่วนตัวของอวิ๋นลั่วเฟิงก็รีบรุดเข้ามา ใบหน้าที่เดิมตื่นตระหนกเมื่อเห็นเด็กสาวนั่งอยู่บนเนินเขาจำลองก็พลันเปลี่ยนเป็นความดีใจ นางผลุนผลันวิ่งไปหาอวิ๋นลั่วเฟิงพลางหอบหายใจ “คุณหนูเจ้าคะ นายท่านกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านรับสั่งให้คุณหนูไปพบท่านที่ห้องหนังสือ”
“ท่านปู่กลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ”
อวิ๋นลั่วเฟิงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง นี่นางลืมไปได้อย่างไรว่าวันนี้คือวันกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของยอดแม่ทัพอวิ๋นลั่ว! เมื่อไม่นานมานี้เจ้าของร่างเดิมได้แต่เฝ้ารอให้วันนี้มาถึงอย่างใจจดใจจ่อ! ใครเล่าจะรู้ว่านางต้องมาด่วนตายไปเพราะแผนร้ายเสียก่อนจะได้พบกับท่านปู่ ผู้ที่นางเฝ้าคิดถึงมายาวนานนับสิบปี
“ไปสิ พาข้าไปพบท่านปู่ที ตาแก่นั่น!”
นางได้สติแล้วหยิกแก้มน้อยๆ ของชิงเหยียนที่ดูน่าอร่อยราวผลแอปเปิ้ล ใบหน้าสวยสะพรั่งประดับไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
หลังจากนั้น นางจึงรีบรุดไปยังห้องทำงานทันทีโดยไม่รอชิงเหยียน
…
ภายในห้องเขียนหนังสือของแม่ทัพใหญ่ ปรากฏร่างชายชราผมสีดอกเลานั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าว่างเปล่า สายตามองไปยังหญิงสาวชุดขาวผู้ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างเคร่งขรึม
อวิ๋นลั่วเฟิงยืนหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน นางก้าวเข้ามาในห้องนี้ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงก่อน แต่ท่านแม่ทัพก็ไม่เอ่ยอะไรแม้เพียงครึ่งคำ เอาแต่จ้องมองนางด้วยสีหน้าว่างเปล่าอยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นว่าแม่ทัพอวิ๋นลั่วไม่พูดอะไร นางก็จะไม่เป็นฝ่ายพูดก่อนแน่นอน
ในที่สุดแม่ทัพอวิ๋นลั่วก็ไม่อาจกักเก็บโทสะไว้ได้ เจ้าของใบหน้าชราเอ่ยถามเสียงเข้มอย่างเคร่งเครียด “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้กระทำเรื่องราวฉาวโฉ่ต่อหน้าธารกำนัล เจ้าไม่คิดจะอธิบายหน่อยรึ”
“ท่านปู่ต้องการให้ข้าอธิบายอย่างไร” นางหัวเราะเบาๆ “ในเมื่อท่านเลือกที่จะเชื่อข่าวลือจากคนนอกมากกว่าฟังหลานสาวแท้ๆ ของตัวเองอยู่แล้ว ฉะนั้นสิ่งที่ท่านได้ยินมาก็ถูกต้องแล้วทั้งหมด ข้าไม่มีอะไรที่จะต้องอธิบาย”
“โอหังนัก!”
แม่ทัพอวิ๋นลั่วฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะเสียงดังปังจนมันหักออกเป็นสองเสี่ยง สละชีพในหน้าที่สังเวยแก่โทสะของชายชรา
คุณหนูใหญ่กับตระกูลอวิ๋นEp.3
“นี่หรือพฤติกรรมที่เจ้าแสดงออกต่อหน้าปู่ของเจ้า!”
“ปู่อย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
อวิ๋นลั่วเฟิงหัวเราะก่อนเอ่ยตอบ “ยามท่านปกป้องรักษาดินแดน ท่านเคยเหลียวแลหลานสาวของท่านบ้างหรือไม่ ยามที่ข้าต้องทนทุกข์จากคำหยามเหยียด มีใครบ้างไหมยืนหยัดอยู่เคียงข้างข้า ยามมีคนใส่ร้ายป้ายสีข้า ข้าหวังเพียงจะมีใครสักคนมาปกป้อง แล้วตอนนั้นท่านอยู่ที่ไหน”
หากเพียงแม่ทัพอวิ๋นลั่วไม่ไปปกป้องดินแดน อวิ๋นลั่วเฟิงคนเก่าจะต้องประสบกับโชคชะตาอันแสนโหดร้ายนี้หรือไม่ จะต้องถูกใส่ร้ายจนวอดวายเช่นนี้หรือเปล่า
ดังนั้น นางจึงเก็บกักความขุ่นเคืองนี้ไว้ในใจตั้งแต่ท่านปู่ทิ้งนางไปเมื่อตอนอายุสี่ขวบ และไม่เคยกลับมาอีกเลยจวบจนบัดนี้
นั่นเป็นเพราะความน้อยเนื้อต่ำใจที่ฝังลึกอยู่ในร่างนี้ ที่ทำให้นางเอ่ยวาจากับชายชราเช่นนั้น
เมื่ออวิ๋นลั่วเฟิงกล่าวจบ นางก็รู้สึกได้ว่าร่างกายเบาหวิวขึ้นทันใดราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก นางรู้ว่าเป็นเพราะนางได้เอ่ยในสิ่งที่เจ้าของเดิมของร่างนี้อยากจะเอ่ยไปหมดแล้ว ร่องรอยความเสียใจที่ยังหลงเหลืออยู่จึงเลือนหายไปในที่สุด
คำกล่าวโทษของหลานสาวทำให้อวิ๋นลั่วผู้โกรธเกรี้ยวสงบลง ร่างชราอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเก้าอี้ รอยยิ้มขมขื่นประดับอยู่บนใบหน้า
เขารู้ดีว่าติดหนี้หลานสาวไว้มากเพียงใดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้อยคำของนางในตอนนี้ได้โบยตีลงมาบนหัวใจของชายชราอย่างไร้ความปรานี สร้างความอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว ที่สุดแล้วก็ทำได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง
แต่ไหนแต่ไรมา การอุทิศตนต่อหน้าที่และรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์อันดีต่อคนรอบข้างนั้นไม่อาจอยู่เคียงคู่กันได้อย่างราบรื่น เช่นเดียวกับความจงรักภักดีและครอบครัว เพื่อฮ่องเต้แล้วเขาจำต้องทิ้งหลานสาวผู้มีอายุเพียงสี่ขวบไว้เบื้องหลังและออกเดินทางไปยังชายแดน สิบปีที่อยู่ห่างบ้านนั้น นางต้องทนอยู่อย่างไรกับการเป็นผู้ที่ไม่อาจฝึกฝนพลังฌานได้
ทว่าเมื่อกลับมาถึง เขากลับไม่สนใจว่าอะไรถูกผิดและเอ่ยตำหนิหลานสาวเพียงเพราะได้ยินข่าวลือ
“เฟิงเอ๋อร์เอ๋ย…” อวิ๋นลั่วยกมือที่หยาบกร้านและสั่นเทาไปทางอวิ๋นลั่วเฟิง ก่อนจะวางมือลงอย่างอ่อนแรงในที่สุด “ปู่ได้ทำผิดต่อเจ้าแล้วยังผิดต่อตระกูลอวิ๋นทั้งหมด พ่อแม่เจ้าสละชีวิตเพื่อแผ่นดิน แต่ปู่กลับไม่ดูแลเจ้าให้ดี”
ชั่วขณะนั้น แม่ทัพอวิ๋นลั่วผู้เคยแกร่งกล้าพลันดูแก่ลงไปอีกหลายปี
ก่อนหน้านี้เขาโกรธหลานสาวเพราะผิดหวังในตัวนาง! ทว่าเขาลืมไปเสียสนิทว่านางเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่อายุสามขวบ พอเข้าอายุสี่ขวบเขาก็มาทิ้งไปอีกคน ไม่มีใครอยู่อบรมสั่งสอนนางตั้งแต่ยังเล็ก แล้วจะหวังให้นางเติบโตขึ้นมาเป็นแบบที่เขาต้องการได้อย่างไร
เขายังจำได้เลือนรางถึงตอนที่ต้องจากบ้านไป เสี่ยวเฟิงตัวน้อยรั้งตัวเขาไว้ อ้อนวอนไม่ให้จากนางไปไหน
ทว่าเพื่อประชาชนแห่งดินแดนหลงหยวน เขาจำต้องทิ้งนางไปอย่างไร้หัวใจในที่สุด
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวไปพักผ่อนก่อน” อวิ๋นลั่วเฟิงกล่าวอย่างเฉื่อยฉา และกะพริบตาอย่างง่วงงุน
เห็นความเฉยชาบนใบหน้าเด็กสาวแล้ว ดวงตาของอวิ๋นลั่วพลันสะท้อนความรู้สึกผิดลึกล้ำ เขาอ้าปากคล้ายอยากจะเอื้อนเอ่ยบางสิ่งออกไป ทว่ากลับพูดไม่ออกจึงได้แต่เงียบไป
“ไปเถิด”
ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจแล้วโบกมือเป็นสัญญาณให้นางไปอย่างอ่อนล้า คำพูดไม่กี่คำดูจะทำให้แม่ทัพใหญ่หมดเรี่ยวแรงเสียสิ้น ชายชราทรุดตัวลงบนเก้าอี้แล้วหลับตา
ในตอนนี้แม่ทัพอวิ๋นลั่วดูไม่เหลือพลังเปี่ยมล้นดังเช่นในสนามรบอีกต่อไป ชายชราดูเปราะบางราวกับเปลวเทียนกลางสายลมที่พร้อมจะดับได้ทุกเมื่อ อวิ๋นลั่วเฟิงเห็นเช่นนั้นก็สะท้อนใจจนแทบทนไม่ได้ ทว่านางก็ไม่กล่าวอะไรอีก เพียงแต่หันหลังเดินออกจากห้องไป
อวิ๋นลั่วลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อร่างสีขาวนั้นหายลับไปแล้ว ชายชราจ้องมองไปยังพื้นที่ว่างเปล่าของห้องเขียนหนังสือด้วยสีหน้าขมขื่นแล้วจึงเอ่ยถาม “ชิงหย่า นี่ข้าทำผิดไปจริงหรือ”
คุณหนูใหญ่กับตระกูลอวิ๋นEp.4
พลันประตูลับของห้องทำงานก็เปิดออก ปรากฏร่างชายหนุ่มบนรถเข็นค่อยๆ ขยับตัวมาข้างอวิ๋นลั่ว
บุรุษผู้นี้ช่างสง่างามและภูมิฐาน ลักษณะท่าทางแฝงสัมผัสแห่งความเศร้า ผิวขาวซีดเฉกเช่นคนป่วย มองดูราวกับจะทรุดล้มลงได้ทุกเมื่อ ใครเห็นเป็นต้องสมเพชเวทนา น่าเศร้าใจที่บุรุษรูปงามทว่าเฉยชาผู้นี้ต้องมานั่งอยู่บนรถเข็น เจ็บไข้และพิกลพิการดูราวกับไม่อาจรับภาระหนักหนาใดๆ ได้เลย
“ท่านพ่อ ท่านจากนางไปตั้งแต่อายุสี่ปี ท่านไม่รู้ถึงการดูถูกเหยียดหยามที่นางต้องเผชิญ ส่วนตัวข้าผู้เป็นอาเองก็ไม่อาจลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อคุ้มครองหรือปกป้องนางได้ นางถึงได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ กลายเป็นเด็กสาวผู้ไม่สนใจไยดีสิ่งใด”
เสียงของชายหนุ่มเป็นดังเช่นน้ำพุหวานฉ่ำ ทำให้จิตใจผ่องใสขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ทว่าหากมีใครผ่านมาได้ยินสรรพนามที่เขาใช้เรียกอวิ๋นลั่วก็คงรู้สึกตกใจเป็นแน่
เป็นที่รู้กันดีว่าแม่ทัพอวิ๋นลั่วมีบุตรชายสองคน ในอดีตนั้นบุตรคนหน่ึ่งมีความสามารถเหนือกว่าอีกหนึ่ง นั่นคือชิงหย่า นายน้อยคนที่สองแห่งตระกูลอวิ๋น เมื่ออายุได้สิบห้าปีก็สำเร็จวิชาระดับสูงสุดของการเป็นผู้ฝึกฌานขั้นกลาง และอีกเพียงไม่นานก็จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ฝึกฌานขั้นสูง
ในแคว้นหลงหยวนมีผู้ฝึกฌานขั้นสูงอยู่เพียงสองคนเท่านั้น นั่นคือแม่ทัพอวิ๋นลั่ว และอีกคนคือปราชญ์แห่งราชวงศ์
ทว่าทั้งสองก็ใช้เวลาถึงสี่สิบปีกว่าจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคแห่งการฝึกฝนควบคุมฌานระดับสูงได้
ซึ่งอวิ๋นชิงหย่าตอนนั้นอายุเพียงสิบห้าปี!
การก้าวขึ้นเป็นยอดผู้ฝึกฌานขั้นกลางตั้งแต่อายุสิบสองเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องภาคภูมิใจ ทว่าดูเหมือนอวิ๋นชิงหย่าในอดีต ผู้สำเร็จเป้าหมายตั้งแต่ยังเยาว์จะลืมไปว่าต้นไม้ที่โดดเด่นในป่านั้น มักถูกโค่นทำลายโดยลมเสมอ
ระหว่างการแข่งขัน เขาได้สยบคู่แข่งและทำให้ครอบครัวของคู่ต่อสู้โกรธแค้นยิ่ง ในที่สุดเขาก็ร่วงหล่นลงจากยอดเขา แต่ใครเล่าจะรู้ว่าอวิ๋นชิงหย่าผู้ที่น่าจะตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่!
“ชิงหย่า เจ้าเองก็ทรมานมามากนัก” อวิ๋นลั่วหัวเราะขมขื่น ความรู้สึกผิดเปี่ยมล้นอยู่ในน้ำเสียง “ถ้าไม่ใช่เพื่อตระกูลอวิ๋น เจ้าคงไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ พลังนั่นแข็งแกร่งเกินไป ถ้าหากพวกนั้นรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่คงไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ และคงไม่ให้อภัยตระกูลอวิ๋นด้วย”
อวิ๋นชิงหย่าหลุบตาลงเล็กน้อย ปิดบังความเศร้าหมองภายในนั้นเอาไว้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชาและสงบนิ่ง “ถึงจะยังมีชีวิตอยู่แล้วอย่างไร ชีวิตข้ายามนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับตาย พลังข้าสูญสลายไปแล้ว ข้าทำได้เพียงแค่ทนอยู่ต่อไปอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในร่างพิกลพิการนี้ หลานข้าโดนดูถูกเหยียดหยามอยู่ข้างนอกนั่น ข้าก็ลุกขึ้นปกป้องนางไม่ได้ ถ้าหากเป็นเมื่อสิบปีก่อนต่อให้ข้ากับท่านไม่อยู่ ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอะไรเฟิงเอ๋อร์น้อยได้ แต่ตอนนี้น่ะหรือ เพื่อตระกูลอวิ๋นแล้ว ข้าไม่อาจปล่อยให้ใครรู้ได้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”
ในปีนั้น ตอนที่ถูกกองกำลังสังหารไล่ล่า เขาฉุดลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสของตัวเองหลบหนีไป ไม่ถึงวันถัดมา ข่าวการตายของเขาก็แพร่กระจายไปทั่ว ทว่าขุมพลังนั่นไม่เชื่อว่าเขาตาย พวกมันจึงส่งคนมาเฝ้าสอดแนมตระกูลอวิ๋นอยู่ทุกวัน สุดท้ายเขาจึงหลบซ่อนอยู่ในห้องลับและไม่ออกมาอีกเลยตลอดเวลาสิบกว่าปีมานี้
การขังตัวเองอยู่ในความมืดมิดตลอดสิบกว่าปีไม่ได้ช่วยให้อาการเจ็บป่วยของเขาดีขึ้น ซ้ำมีแต่จะทำให้แย่ลง
สิ่งที่น่าสิ้นหวังยิ่งกว่านั้นคือสถานพลังของเขาถูกทำลายลงระหว่างการหลบหนี เขาสูญสิ้นทุกสิ่ง ความแข็งแกร่งสูญสลาย และไม่อาจฝึกพลังอะไรได้อีก
ถ้าหากไม่คิดถึงใจของท่านพ่อผู้สูญเสียพี่ชายของเขาไปก่อนหน้านี้ และเขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นท่านพ่อต้องมาฝังศพลูกตัวเองอีกคน เขาคงเลือกฝังกลบความเจ็บปวดและตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว
“ชิงหย่าเอ๋ย” เมื่อได้ยินคำของอวิ๋นชิงหย่า อวิ๋นลั่วก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ถึงจะให้โลกภายนอกจะรู้ไม่ได้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แต่เฟิงเอ๋อร์น้อยก็ยังเป็นหลานของเจ้า ตอนนี้นางโตพอแล้ว ถึงเวลาที่ต้องให้นางรู้ว่าเจ้า อาของนางนั้นยังมีชีวิตอยู่”
พลันประตูลับของห้องทำงานก็เปิดออก ปรากฏร่างชายหนุ่มบนรถเข็นค่อยๆ ขยับตัวมาข้างอวิ๋นลั่ว
บุรุษผู้นี้ช่างสง่างามและภูมิฐาน ลักษณะท่าทางแฝงสัมผัสแห่งความเศร้า ผิวขาวซีดเฉกเช่นคนป่วย มองดูราวกับจะทรุดล้มลงได้ทุกเมื่อ ใครเห็นเป็นต้องสมเพชเวทนา น่าเศร้าใจที่บุรุษรูปงามทว่าเฉยชาผู้นี้ต้องมานั่งอยู่บนรถเข็น เจ็บไข้และพิกลพิการดูราวกับไม่อาจรับภาระหนักหนาใดๆ ได้เลย
“ท่านพ่อ ท่านจากนางไปตั้งแต่อายุสี่ปี ท่านไม่รู้ถึงการดูถูกเหยียดหยามที่นางต้องเผชิญ ส่วนตัวข้าผู้เป็นอาเองก็ไม่อาจลุกขึ้นยืนหยัดเพื่อคุ้มครองหรือปกป้องนางได้ นางถึงได้เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ กลายเป็นเด็กสาวผู้ไม่สนใจไยดีสิ่งใด”
เสียงของชายหนุ่มเป็นดังเช่นน้ำพุหวานฉ่ำ ทำให้จิตใจผ่องใสขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ทว่าหากมีใครผ่านมาได้ยินสรรพนามที่เขาใช้เรียกอวิ๋นลั่วก็คงรู้สึกตกใจเป็นแน่
เป็นที่รู้กันดีว่าแม่ทัพอวิ๋นลั่วมีบุตรชายสองคน ในอดีตนั้นบุตรคนหน่ึ่งมีความสามารถเหนือกว่าอีกหนึ่ง นั่นคือชิงหย่า นายน้อยคนที่สองแห่งตระกูลอวิ๋น เมื่ออายุได้สิบห้าปีก็สำเร็จวิชาระดับสูงสุดของการเป็นผู้ฝึกฌานขั้นกลาง และอีกเพียงไม่นานก็จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ฝึกฌานขั้นสูง
ในแคว้นหลงหยวนมีผู้ฝึกฌานขั้นสูงอยู่เพียงสองคนเท่านั้น นั่นคือแม่ทัพอวิ๋นลั่ว และอีกคนคือปราชญ์แห่งราชวงศ์
ทว่าทั้งสองก็ใช้เวลาถึงสี่สิบปีกว่าจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคแห่งการฝึกฝนควบคุมฌานระดับสูงได้
ซึ่งอวิ๋นชิงหย่าตอนนั้นอายุเพียงสิบห้าปี!
การก้าวขึ้นเป็นยอดผู้ฝึกฌานขั้นกลางตั้งแต่อายุสิบสองเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องภาคภูมิใจ ทว่าดูเหมือนอวิ๋นชิงหย่าในอดีต ผู้สำเร็จเป้าหมายตั้งแต่ยังเยาว์จะลืมไปว่าต้นไม้ที่โดดเด่นในป่านั้น มักถูกโค่นทำลายโดยลมเสมอ
ระหว่างการแข่งขัน เขาได้สยบคู่แข่งและทำให้ครอบครัวของคู่ต่อสู้โกรธแค้นยิ่ง ในที่สุดเขาก็ร่วงหล่นลงจากยอดเขา แต่ใครเล่าจะรู้ว่าอวิ๋นชิงหย่าผู้ที่น่าจะตายไปแล้วกลับยังมีชีวิตอยู่!
“ชิงหย่า เจ้าเองก็ทรมานมามากนัก” อวิ๋นลั่วหัวเราะขมขื่น ความรู้สึกผิดเปี่ยมล้นอยู่ในน้ำเสียง “ถ้าไม่ใช่เพื่อตระกูลอวิ๋น เจ้าคงไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ อยู่แบบนี้ พลังนั่นแข็งแกร่งเกินไป ถ้าหากพวกนั้นรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่คงไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ และคงไม่ให้อภัยตระกูลอวิ๋นด้วย”
อวิ๋นชิงหย่าหลุบตาลงเล็กน้อย ปิดบังความเศร้าหมองภายในนั้นเอาไว้ เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชาและสงบนิ่ง “ถึงจะยังมีชีวิตอยู่แล้วอย่างไร ชีวิตข้ายามนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับตาย พลังข้าสูญสลายไปแล้ว ข้าทำได้เพียงแค่ทนอยู่ต่อไปอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ในร่างพิกลพิการนี้ หลานข้าโดนดูถูกเหยียดหยามอยู่ข้างนอกนั่น ข้าก็ลุกขึ้นปกป้องนางไม่ได้ ถ้าหากเป็นเมื่อสิบปีก่อนต่อให้ข้ากับท่านไม่อยู่ ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอะไรเฟิงเอ๋อร์น้อยได้ แต่ตอนนี้น่ะหรือ เพื่อตระกูลอวิ๋นแล้ว ข้าไม่อาจปล่อยให้ใครรู้ได้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่”
ในปีนั้น ตอนที่ถูกกองกำลังสังหารไล่ล่า เขาฉุดลากร่างที่บาดเจ็บสาหัสของตัวเองหลบหนีไป ไม่ถึงวันถัดมา ข่าวการตายของเขาก็แพร่กระจายไปทั่ว ทว่าขุมพลังนั่นไม่เชื่อว่าเขาตาย พวกมันจึงส่งคนมาเฝ้าสอดแนมตระกูลอวิ๋นอยู่ทุกวัน สุดท้ายเขาจึงหลบซ่อนอยู่ในห้องลับและไม่ออกมาอีกเลยตลอดเวลาสิบกว่าปีมานี้
การขังตัวเองอยู่ในความมืดมิดตลอดสิบกว่าปีไม่ได้ช่วยให้อาการเจ็บป่วยของเขาดีขึ้น ซ้ำมีแต่จะทำให้แย่ลง
สิ่งที่น่าสิ้นหวังยิ่งกว่านั้นคือสถานพลังของเขาถูกทำลายลงระหว่างการหลบหนี เขาสูญสิ้นทุกสิ่ง ความแข็งแกร่งสูญสลาย และไม่อาจฝึกพลังอะไรได้อีก
ถ้าหากไม่คิดถึงใจของท่านพ่อผู้สูญเสียพี่ชายของเขาไปก่อนหน้านี้ และเขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นท่านพ่อต้องมาฝังศพลูกตัวเองอีกคน เขาคงเลือกฝังกลบความเจ็บปวดและตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว
“ชิงหย่าเอ๋ย” เมื่อได้ยินคำของอวิ๋นชิงหย่า อวิ๋นลั่วก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ “ถึงจะให้โลกภายนอกจะรู้ไม่ได้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ แต่เฟิงเอ๋อร์น้อยก็ยังเป็นหลานของเจ้า ตอนนี้นางโตพอแล้ว ถึงเวลาที่ต้องให้นางรู้ว่าเจ้า อาของนางนั้นยังมีชีวิตอยู่”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!