NovelToon NovelToon

[จบ]บงกรเร้นเมฆา - XiCheng (Mpreg) [ปรมาจารย์ลัทธิมาร]

Intro

...Intro...

ยุทธภพมีเรื่องแปลกประหลาดมากมาย หนึ่งในเรื่องแสนประหลาดคือการที่บุรุษเพศสามารถตั้งครรภ์ให้กำเนิดบุตรได้ โดยทั่วไปจะเรียกกันว่า เกอ ลักษณะเด่นของเกอนั้นคือจะมีปานแดงบนร่างกายและมีรูปลักษณ์ต่างกันไป บ้างเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว บ้างเป็นรูปดอกโบตั๋น บ้างเป็นรูปดอกอวี้หลัน

ในปัจจุบันนี้ บุรุษที่เรียกกว่าเกอนั้นมีไม่มากนัก แต่ใช่ว่าจะไม่พบเห็นเลย อีกทั้งยังไม่สามารถแสดงตัวเด่นชัดได้มากนักว่าตนนั้นเป็นเกอ เพราะเนื่องจากยังมีคนบางจำพวกยังดูถูกเหยียดยามเกอ ว่าเป็นเพศที่อ่อนแอ มีหน้าที่แค่ผลิตลูกให้เท่านั้นและไม่ยอมรับในฐานะเซียนบ้างก็มี

ถึงแม้ภายนอกจะเหมือนบุรุษเฉกเช่นทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับบุรุษทั่วไปนั้นเพศเกอจะอ่อนด้อยกว่าด้านพละกำลังเป็นส่วนใหญ่ และง่ายต่อการถูกข่มเหงรังแก ฉะนั้นหลายคนจึงเลือกปกปิดเพศรองของตนเอาไว้ และใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ดังเช่น เจียงหวั่นอิ๋น ประมุขแห่งสกุลเจียง คนที่รู้ความลับว่าเขาเป็นเกอนั้นมีเพียง เจียงเฟิงเหมียนอวี๋ฮูหยิน เจียงเหยี่ยนหลี่ และเว่ยอู๋เซี่ยน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ได้จากไปพร้อมกับความลับนี้ที่จะต้องปกปิดไว้ตลอดกาล

โดเนทค่าขนนได้ที่ true wallet 062 520 7040

บทที่ 1 แรกพบพาน

...บทที่ 1 แรกพบพาน...

ท่าเรือสัตตบงกชในยามบ่ายนี้เหล่าศิษย์ตระกูลเจียงกำลังฝึกวิทยายุทธกันอย่างขยันข้นแข็งกว่าทุกวัน ด้วยว่าวันนี้ประมุขเจียง เจียงหวั่นอิ๋น ลงมาควบคุมการฝึกด้วยตนเองไม่เหมือนทุกวันที่เป็นหน้าที่ของท่านอาจารย์ เจียงรุ่ย ศิษย์เอกคนสนิทของท่านประมุข ทำให้บรรยากาศการฝึกของวันนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียดที่แผ่ออกมาจาก ซานต๋วเฉิงโฉ่ว

"พวกเจ้ามีแรงกันแค่นี้หรือไร? แข็งแรงกว่านี้!" เสียงตวาดที่ดังออกมาจากบัลลังค์ดอกบัวทำให้ชาวบ้านที่มามุงดูต่างคิดไปในทางเดียวกันว่า ประมุขเจียง เจียงหวั่นอิ๋นนั้นช่างเหมือนกับ อวี๋ฮูหยินสมัยยังมีชีวิตอยู่มิมีผิดเพี้ยน

"เอาหละ วันนี้พอแค่นี้ก่อน" เสียงประมุขเจียงดั่งขึ้นเมื่อเห็นว่าตะวันคล้อยลงต่ำแล้ว และวันนี้เหล่าลูกศิษย์ทำได้ดีพอสมควร

 "พวกเจ้าคนไหนที่ต้องเดินทางไปอวิ๋นเซินปู้จี่อฉู่ในวันพรุ่งนี้ก็กลับไปเตรียมข้าวของให้เรียบร้อยซะ เอาหละ แยกย้ายกันได้"

พูดจบก็เดินกลับเข้าไปยังเขตเรือนประมุข เหล่าลูกศิษย์และชาวบ้านที่มาดูการฝึกก็แยกย้ายกันไปเช่นกัน

*ยามไฮ่ (๒๑:๐๐ - ๒๒:๕๙ น.)

ร่างบางกว่าบุรุษทั่วไปของเจียงหวั่นอิ๋นกำลังนั่งทำบัญชีของพ่อค้าต่างแดนที่มาส่งสินค้าอยู่บนพื้นหน้าต๊ะหนังสือตัวเล็กที่เจ้าตัวมักมานั่งทำเอกสารหรืออ่านหนังสือก่อนเข้านอนเสมอ ก่อนที่จะได้ยินเสียงเคาะที่หน้าประตูดังขึ้น

"เข้ามา" เจียงหวั่นอิ๋นเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่ซักถามผู้ที่อยู่หน้าประตูให้มากความนัก เวลานี้เหล่าศิษย์จะไม่เข้ามายุ่มย่ามในเขตเรือนประมุขอย่างแน่นอนหากไม่มีเรื่องสำคัญ และแน่นอนอยู่แล้วเจียงหวั่นอิ๋นรู้ดีว่าใครที่มาหาเขาในเวลานี้เสียงประตูเปิดออกพร้อมร่างเด็กหนุ่มวัยย่างสิบห้า เดินเข้ามาภายในห้องนอนของประมุขอย่างคุ้นเคย

 "อาเหนียง" เสียงของ เจียงลู่จิว ที่กำลังเดินมาที่โต๊ะอ่านหนังสือของประมุขเอ่ยขึ้น เจียงหวั่นอิ๋น ตวัดสายตาขึ้นมองบุตรชายแสดงความไม่พอใจเล็กน้อย

เจียงลู่จิว เป็นบุตรชายคนเดียวของประมุขเจียง เจียงหวั่นอิ๋น ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามารดาของเด็กหนุ่มเป็นใคร ส่วนใหญ่รู้เพียงว่าช่วงระยะเวลาหนึ่งเมื่อราวๆ สิบห้าปีก่อนประมุขเจียงได้ออกท่องยุทธภพและฝากฝั่งงานประมุขให้ศิษย์เอกเจียงรุ่ยช่วยดูแล ผู้คนตีความไปต่างๆ นานาว่าประมุขเจียงรู้สึกผิดในใจว่าตนเป็นคนฆ่าพี่ชายบุญธรรมของตัวเอง เว่ยอู๋เซี่ยน จึงได้ออกท่องยุทธภพเพื่อทบทวนตนเอง แต่ราวๆ หกเดือนให้หลัง ประมุขเจียงกลับมาพร้อมกับทารกวัยหนึ่งเดือนเศษและประกาศว่า เจียงลู่จิวคือบุตรชายของตนและเป็นว่าที่ประมุขคนถัดไป โดยไร้เงาผู้เป็นมารดาของเด็กชาย

"ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกข้าว่าอาเตี๋ย" เจียงเฉิงเอ็ดบุตรชายแต่ทว่าไม่จริงจังนัก 

"ว่าแต่ เจ้ามีอันใดกับข้ารี นี่ยามไฮแล้วทำไมเจ้ายังไม่นอน พรุ่งนี้เจ้าจะต้องเดินทางไปอวิ๋นเซินปู้จี่อฉู่แต่เช้า เจ้าจักเดินทางเหนื่อยเอาหรอก" ประมุขเจียงว่าพร้อมกับปิดบัญชีที่ทำค้างไว้แล้วหันมาสนใจบุตรชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า

"เรื่องนั้นแหละขอรับ อาเหนียงพรุ่งนี้ข้าจะต้องไปร่ำเรียนที่กูซูแล้ว อีกหลายเดือนกว่าจะกลับมา วันนี้ข้าขอนอนกับอาเหนียงนะขอรับ" เจียงลู่จิว ร่ายยาวออกมาให้มารดาของตนใจอ่อน ใช่ แท้จริงแล้ว เจียงหวั่นอิ๋นคือมารดาของเจียงลู่จิว เด็กหนุ่มรู้เรื่องนี้เมื่อราวๆ สามปีก่อนด้วยความบังเอิญเห็นปานแดงรูปดอกเหลียนฮวาที่กำลังเบ่งบานบนไหล่ข้างขวาของเจียงหวั่นอิ๋น และด้วยความที่เขาเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก จึงได้รู้ความลับของเจียงหวั่นอิ๋นว่าที่จริงแล้วเป็นบุรุษที่สามารถตั้งครรภ์ได้หรือที่เรียกว่า เกอ นั่นเอง เจียงหวั่นอิ๋นเองยอมรับกับลูกชายโดยง่ายว่าตนเป็นมารดาผู้ให้กำเนิด แต่ไม่ได้บอกว่าบิดาของเจียงลู่จิวเป็นใคร

"เอาอย่างนั้นก็ได้ เจ้าไปเตรียมผ้ามาปูข้างเตียงของข้าซะ ข้าขอเก็บเอกสารพวกนี้ก่อน ประเดี๋ยวข้าตามเข้าไป" เจียงหวั่นอิ๋นบอกกับบุตรชายพร้อมกับลูบศีรษะเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู ทางด้านเยงลู่จิวก็ฉีกยิ้มตาหยีจนดวงตากลมสีทองนั้นหายไปก่อนจะรีบให้เตรียมฟูกนอนก่อนที่อีกคนจะเปลี่ยนใจ

"อาเหนียง"

"หืม" เจียงหวั่นอิ๋นขานรับบุตรชายที่นอนอยู่ด้านล่างของตั๋งเตียง

"ข้าจะได้พบอาเตี๋ยของข้าหรือไม่ขอรับ" เจียงลู่จิวเอ่ยถามขึ้น เจียงหวั่นอวิ๋น

เมื่อได้ยินคำถามนั้นของบุตรชายก็ชะงักไปนิด สายตาจดจ้องไปที่เพดานราวกับว่ากำลังมองหาสิ่งผิดปกติบนนั้น

 "อาเหนียง" เสียงของเจียงลู่จิวทำให้เขาหลุดจากภวังค์

"สักวันเจ้าคงได้เจอ" เจียงหวั่นอิ๋นตอบบุตรชายเสียงแผ่วเบา

"ข้าขอถามถึงอาเตี๋ยอีกสักข้อได้หรือไม่ขอรับ" เจียงลู่จิวลุกขึ้นมานั่งและมองหน้ามารดาด้วยสีหน้าจริงจัง

"หึ ร้อยวันพันปีเจ้าไม่ยักกะถามถึงเขา เอาสิเจ้าอยากรู้อะไรละ ถ้าข้าตอบได้ข้าจะตอบ"

"เขาเป็นคนแบบไหนหรือขอรับ"

"..." เจียงหวั่นอิ๋นนิ่งไปสักพักเหมือนกำลังระลึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา

"อาเตี๋ยของเจ้าเป็นคนดี สุขุม เป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่ง... "

"หากว่าอาเตี๋ยเป็นคนดีจริง ทำไมพวกท่านถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน อีกทั้งยั่งทิ้งให้อาเหนียงเลี้ยงดูข้าคนเดียวละขอรับ" เจียงลู่จิวเอ่ยขัดเจียงหวั่นอิ๋นขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

"อาลู่..เรื่องบางเรื่องมันมีอะไรมากกว่านั้น เจ้ารู้ไว้แค่ว่าอาเตี่ยเจ้ามิผิดอะไรผิดที่ข้าคนเดียวเจ้าเข้าใจหรือไม่...เอาละๆ นี่ก็ดีกมากแล้วพรุ่งนี้เจ้าต้องออกเดินทางแต่เช้านอนซะ" เจียงหวั่นอิ๋นเอ่ยตัดบทแล้วพลิกตัวไปอีกด้าน เจียงลู่จิวทำหน้างอเล็กน้อย รับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากให้เขาซักถามไปมากกว่านี้เจียงลู่จิวล้มตัวลงนอนครุ่นคิดกับสิ่งที่รับรู้เกี่ยวกับบิดาของเขา บุรุษรูปงามงั้นหรือ ใครๆ ก็บอกว่าเจียงลู่จิวนั้นรูปงาม อีกทั้งหน้าตาไม่ค่อยเหมือนกับเจียงหวั่นอิ๋นสักเท่าไหร่ถึงแม้อีกฝ่ายคือบุรุษรูปงามอันดับห้าของยุทธภพแต่ใบหน้านั้นจะติดดุ ในขณะที่ใบหน้าของเจียงลู่จิวนั้นเหมือนมีรอยยิ้มประดับใบหน้าตลอดเวลา

 'หรือว่าข้าจะหน้าเหมือนอาเตี๋ยนา' เจียงลู่จิวนึกคิดอยู่ในใจก่อนจะผลอยหลับไป

*ยามจื่อ (๒๓:๐๐ - ๐๐:๕๙ น.)

เจียงหวั่นอิ๋นนอนไม่หลับรู้สึกกังวลกับสิ่งที่บุตรชายเอ่ยถามในวันนี้ เจียงลู่จิวในวัยสิบห้าถึงเวลาสมควรไปร่ำเรียนวิทยายุทธกับตระกูลหลาน ที่อวิ๋นเซินปู้จื่อตามธรรมเนียม ในใจเจียงหวั่นอิ๋นไม่อยากให้บุตรชายไปที่นั่น แต่ตนไม่สามารถหาเรื่องหลีกเสี่ยงไม่ให้บุตรชายไปได้ กลัวว่าเด็กฉลาดอย่างเจียงลู่จิวจะนึกสงส้ย และซักถามจนเขาเผลอหลุดออกไปว่าใครคือบิดาของเจียงลู่จิว

"เฮ้อ~" เจียงหวั่นอิ๋นทอดถอนหายใจพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง มองลงไปยังข้างล่างของเตียง บุตรชายของเขากำลังหลับตาพริ้ม นิจพิเคราะห์ใบหน้าของบุตรชายแล้วอยากจะถอนหายใจอีกสักครายิ่งโตยิ่งเหมือนบิดาไม่มีผิด กลัวอีกฝ่ายจะรู้ความลับเข้าคนที่รู้ว่าเขาเป็น เกอ ก็ได้จากไปหมดแล้ว ก็มีแต่เว่ยอู๋เชี่ยนในร่างโม่เสวียนอวี่ที่รู้เรื่องนี้และเขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่บอกใครแน่นอน 

"แค่หกเดือนเอง เขาคงไม่รู้หรอก" เจียงหวั่นอิ๋นกระซิบกับตัวเองก่อนล้มตัวลงนอนอีกครา

*ยามเฉิน (๐๗: ๐๐ - ๐๘ :๕๙)

เจียงหวั่นอิ๋นออกมาส่งเหล่าศิษย์ที่ต้องไปร่ำเรียนที่อวิ่นเซินปู้อฉู่ที่หน้าประตู

ป้อมบงกช "ที่อวิ่นเซินปู้จี่อฉู่นั้นมีกฎมากมายพวกเจ้าทุกคนจะต้องอยู่ในกฎระเบียบ

ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนตามที่ท่านอาจารย์สอนเข้าใจไหม และที่นั่นไม่เหมือนเหลียนฮวา

พวกเจ้าจะวิ่งซนเอะอะมะเทิ่งเหมือนที่นี่ไม่ได้เข้าใจหรือไม่!" เสียงอันเข้มงวดของ

ประมุขเจียงเอ่ยขึ้น

"ขอรับ!" เหล่าศิษย์ขานรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

"ลู่จิว เจ้ามาหาข้า" ประมุขเจียงเอ่ยเรียกบุตรชายเข้าไปหา

"ขอรับอาเตี่ย" กล่าวพร้อมเดินเข้าไปหาอีกฝ้าย เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเจียงลู่จิวจะเรียกเจียงหวั่นอิ๋นว่า อาเตี๋ย ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพื่อความปลอดภัยของสกุลเจียง จะให้ยุทธภพภายนอกรู้ไม่ได้ว่าประมุขผู้ปกครองสกุลเจียงเป็น เกอ หากมีผู้ประสงค์ร้ายรู้เข้าจะเป็นอันตรายต่อทุกคนในสกุลเป็นอย่างยิ่ง

"เจ้าอยู่ที่นต้องตั้งใจเรียน ห้ามก่อปัญหาและห้ามเถลไถลตามพี่ชายเจ้าเป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่" เจียงหวั่นอิ๋นกล่าวถึง จินหรูหลั่น ที่จะไปเรียนในปีนี้ด้วย หึ ดูก็รู้ว่าเจ้าลูกกระต่ายนั่นแค่อยากไปเล่นซนกับสหายรัก หลานซือจุย กับหลานจิ่งอี๋มากกว่าไปร่ำเรียน

"ขอรับอาเตี่ย ลูกจะตั้งใจเรียน"

"มีอีกอย่างที่ข้าอยากจะขอกับเจ้าได้หรือไม่" เจียงลู่จิวมองใบหน้าของอาเหนียงที่ตึงเครียดขึ้นมาด้วยสีหน้างงงวย แต่ก็มิวายพยักหน้าตอบรับ

"ไปอยู่ที่นู้น ถ้าไม่จำเป็นเจ้าอย่าได้ไปวุ่นวายกับศิษย์ตระกูลหลานมากนัก เจ้ารับปากข้าได้หรือไม่" ทุกคนรู้ดีว่าประมุขเจียงนั้นไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนสกุลหลานมากนักแต่ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร

"ขอรับ" ถึงจะมีความสงสัยในใจแต่ก็ตอบรับออกมาเพื่อให้อาเหนียงสบายใจเจียงหวั่นอวิ๋นลูบหัวบุตรชายด้วยรอยยิ้มก่อนที่เจียงลู่จิวจะกลับไปรวมกลุ่มกับเหล่าศิษย์สี่ถึงห้าคนที่จะต้องไปอวิ่นเซินปู้จี่อฉู่

"เอาหละ พวกเจ้าออกเดินทางกันได้แล้ว" สิ้นเสียงประมุขเจียงเหล่าศิษย์ก็ทำความเคารพแล้วหันหลั่งเดินออกไปที่ท่าเรื่อเพื่อออกเดินทาง เจียงหวั่นอิ๋นมองบุตรชายเดินออกไปจนสุดสายตา ได้แต่ภาวนาในใจว่าให้ความลับเป็นความลับตลอดไป

'ท่านอย่าได้ใคร่สงสัยในตัวเจียงลู่จิวเลยหนา หลานซีเฉิน'

เซินปู้จื่อฉู่ , กูซูหลาน

*ยามเซิน (๑๕:๐๐ - ๑๖:๕๙)

เจียงลู่จิวและศิษย์คนอื่นๆ ของสกุลเจียงใช้เวลาสองวันหนึ่งคืนในการเดินทางมายังกูซุหลาน โดยหยุดพักที่ตำบลไฉ่อีหนึ่งคืน ช่วงสายของอีกวันจึงได้ออกเดินทางต่อจนกระทั่งเดินทางถึงกูซูหลานในยามเซิน

"ข้าเจียงลู่จิวและเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของสกุลเจียงขอรับ" เจียงลู่จิวกล่าวกับกับ

เวรยามที่เฝ้าอยู่ประตูของตระกูลหลานแห่งกูซูพร้อมกับยื่นป้ายหยกผ่านทาง

"คณะเดินทางจากตระกูลเจียงคงเดินทางมาเหนื่อย พวกท่านตามศิษย์ตระกูล

หลานคนนั้นไปเถิด เขาจะนำพวกท่านไปยังเรือนพำนักขอรับ" ศิษย์ตระกูลหลานผู้หนึ่งกล่าวขึ้นพร้อมกับผายมือไปยังศิษย์ที่นำทางไปที่พัก

"ลำบากพวกท่านแล้ว" เจียงลู่จิวเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ทำให้เหล่าศิษย์ตระกูลหลานมองใบหน้าของเจียงลู่จิวด้วยความสงส้ยว่าช่างคุ้นตายิ่งหนักเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็ต้องหยุดความสงสัยไว้แล้วพาเหล่าศิษย์สกุลเจียงไปยังเรือนพำนัก

"ถึงแล้วขอรับคุณชายเจียง"

"ขอบใจท่านมากที่นำทางมา" เจียงลู่จิวเอ่ยขึ้น

"วันนี้พวกท่านสามารถพักผ่อนได้ตามสบาย เราจะมีพิธีฝากตัวเป็นศิษย์ในวันพรุ่งนี้ขอรับ" เอ่ยพร้อมเดินจากไปด้วยความสงสัยว่าคุณชายเจียงผู้นั้นช่างเหมือนใครสักคนที่ตนคุ้นเคย

หลังจากศิษย์สกุลหลานผู้นั้นเดินออกไปเจียงลู่จิวกับเหล่าศิษย์พี่ก็แยกย้ายกันพักผ่อนหลังจากเดินทางกันมาเหน็ดเหนื่อย ในตอนเย็นเจียงลู่จิวนั่งตรงที่ม้าหินอ่อนหน้าเรือนด้วยสีหน้าเป็นกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกนอกเขตการปกครองของสกุลเจียงเลยก็ว่าได้ ถึงแม้จะเคยออกล่าภูตผีบ้าง แต่ไม่เคยออกนอกเขตเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เจอกับศิษย์รุ่นเยาว์จากสกุลต่างๆ ที่นอกเหนือจาก จินหลิง ลูกชายของท่านป้าเหยี่ยนหลี่ที่แวะเวียนมาเที่ยวเล่นที่เหลียนฮวาอู้เป็นประจำ เจียงลู่จิวนั้นกลัวว่าตนจะทำขายหน้าในฐานะศิษย์และทายาทของสกุลเจียงเสียเหลือเกิน

วันรุ่งขึ้น

*ยามซื่อ (0๙:๐๐ - ๑๐:๕๔)

เหล่าศิษย์จากสกุลต่าง เริ่มทยอยเข้ามาห้องเรียน เจียงลู่จิวมองคนนั้นคนนี้ด้วยความสนอกใจและตัวเขาเองก็ถูกคนเหล่านั้นมองด้วยความสนใจเช่นเดียวกัน

"อาลู่"

"จินหลิงเกอ" เจียงลู่จิวเอ่ยทักผู้มาใหม่ด้วยความดีใจ หลายเดือนแล้วที่ตนไม่ได้พบพี่ชายคนนี้ เนื่องจากอีกฝ่ายคงยุ่งๆ กับการจัดการหลายๆ อย่างในสกุลจินแห่งหลันหลิง หลั่งจากการตายของ จินกวงเหยา ตัวเขานั้นพอรู้เรื่องนี้อยู่บ้างแต่ไม่รู้รายละเอียดมากนัก

"น่าแปลกใจที่ท่านน้าปล่อยเจ้าออกมาข้างนอกได้" จินหลิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นในที่ เพราะท่านน้าของเขานั้นเข้มงวดกับน้องชายคนนี้มากถึงขั้นไม่ยอมปล่อยให้ออกมาจากเขตเหลียนฮวาอู้เลยสักครั้งแต่ยังไม่ได้คุยกันมากนักก็ต้องแยกย้ายกลับไปนั่งที่โต๊ะประจำตัว เนื่องจากประมุขหลาน หลานซีเฉิน ท่านอาจารย์ หลานฉี่เหริน และ หานกวงจวิน หลานวั่งจีเดินเข้ามาภายในห้อง ทั้งสามเดินไปที่ด้านหน้าของห้องและหันหน้ามาที่เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของสกุลต่างๆ

"เอาหละ เริ่มพิธีฝากตัวเป็นศิษย์สกุลหลานได้" ท่านอาจารย์หลานฉี่เหรินพูดขึ้นก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะประจำโดยมีหลานซีเฉิน และหลานวั่งจี หยกคู่สกุลหลานยืนขนาบข้างเหมือนเช่นเคย

เจียงลู่จิวและศิษย์สกุลเจียงคนอื่นๆ ยืนขึ้นและเดินออกไปตรงกลางทางเดินเพื่อทำพิธีฝากตัวและมอบของบรรณาการเล็กๆ น้อยๆ จากเหลียนฮวาอู้

"ข้าน้อย เจียงลู่จิวบุตรชายของเจียงหวั่นอิ๋นประมุขแห่งอวิ่นเมิ่งเจียง และเหล่าลูกศิษย์รุ่นเยาว์จากสกุลเจียงรู้สึกเป็นเกียตรอย่างยิ่งที่ได้มาศึกษาเหล่าเรียนที่กูซูหลานแห่งนี้ และเพื่อฝากตัวเข้าเป็นศิษย์ ประมุขเจียงได้มีของขวัญเล็กน้อยมามอบให้ท่านอาจารย์ กล่องนี้ภายในเป็นชาดอกบัว ชาขึ้นชื่อของอวิ่นเมิ่ง ขอให้ท่านอาจารย์รับไว้ด้วยขอรับ" เจียงลู่จิวกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมแต่ทว่าหนักแน่น พร้อมทั้งเจียงหรงศิษย์ของสกุลได้ถือกล่องไม้สลักลายดอกบัวเก้ากสีบเดินออกมาข้างหน้ายื่นให้หลานซือจุยที่รอรับอยู่แล้ว

ท่านอาจารหลานฉี่เหรินมองเจียงลู่จิวด้วยความพออกพอใจ ดูท่าทางทายาทสกุลเจียงคนนี้เอางานเอางาน ฉลาดหลักแหลม แถมยั่งมีท่านอบน้อมไม่เหมือนเจ้าแซ่เว่ยคนนั้น 

"เอาหละ ข้ารับพวกเจ้าเป็นศิษย์แล้วเงยหน้าขึ้นได้" สิ้นเสียง เจียงลู่จิวเงยหน้าขึ้นสบตากับท่านอาจารย์พร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้เล็กน้อยพลันได้พินิจใบหน้าของเจียงลู่จิวเป็นครั้งแรก ทำให้หลานฉี่เหริน หลานวั่งจีและหลานซีเฉิน จ้องมองใบหน้านั้นด้วยความงงงวยปนสงสัยแต่ก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้

"อะแฮ่ม...สกุลต่อไป" ท่านอาจารย์หลานฉี่เหรินกระเอมหนึ่งครั้งเพื่อเรียกสติของตนเองให้กลับคืนมา

เจียงลู่จิวกลับไปนั่งที่ แต่รู้สึกได้ถึงสายตาใครบางคนจ้องมา เมื่อมองกลับไป

ก็เจอประมุขหลานกำลังมองมาที่เขา ถึงจะอดแปลกใจไม่ได้ที่ถูกจ้องมองแต่ก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายตามมารยาท หลานซีเฉินยิ้มน้อยๆ ตอบกลับ แต่ภายในหัวของประมุขหลานกลับคิดมิตก

 'เหมือนมากจริงๆ จากเจ็ดในสิบส่วน'

...TBC....

บทที 2 ทุกสิ่งล้วนน่าสงสัย

...บทที 2 ทุกสิ่งล้วนน่าสงสัย...

เสียงเหล่าลูกศิษย์รุ่นเยาว์ของทุกระกูลกำลังเปล่งเสียงท่องกฎตระกูลหลานกว่าสามพ้นห้าร้อยข้อออกมาจากในห้อง เจียงลู่จิวเตรียมตัวมาแล้วว่าตนจะต้องอยู่ในกฎระเบียบมากมายเหล่านี้จากคำบอกเล่าของศิษย์พี่ของเขาที่เคยมาเรียนที่กูซู แต่พอมาเจอของจริงนั้นเขาก็ได้รับรู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมาเทียบไม่ได้เลยกับความจริงตรงหน้าตระกูลหลานสมกับที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพชิตเสียจริง

"วันนี้พอแค่นี้ก่อน" เสียงท่านอาจารย์หลานฉี่เหรินดังขึ้น

"พวกเจ้าทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎของสกุลหลานอย่างเคร่งครัด ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ เข้าใจหรือไม่"

"ขอรับ! / เจ้าค่ะ!" เหล่าศิษย์ขานรับ

"พวกเจ้าแยกย้ายได้ พรุ่งนี้ก่อนยามซื่อ* (๑๙:๐๐ ๑๐:๕๙ น.) ให้มารวมตัวกันที่ลานฝึกกระบี่" ว่าจบอาจารย์หลานฉี่เหรินลุกขึ้นยืน เหล่าศิษย์ทุกคนจึงรีบลุกขึ้นทำความเคารพก่อนที่ท่านอาจารย์จะเดินออกจากห้องไป

ระหว่างเดินออกจากห้องหลานฉี่หรินแอบมองเจียงลู่จิวเล็กน้อยและเก็บความฉงนไว้ในใจ ทางด้านหลานซีเฉินและหลานวั่งจียังไม่ได้เดินตามท่านอาออกไป "ซยงจ่าง?" หลานรั่งจีเรียกพี่ชายด้วยความสงสัยหลานซีเฉินหันไปยิ้มน้อยๆ ให้น้องชาย เขารู้ว่าหลานวั่งจีสงสัยอะไร เขาเองก็สงสัยไม่ต่างกัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏอยู่ตรงนี้ล้วนไม่สมเหตุสมผลกันอย่างยิ่ง

"ไม่มีอะไรหรอก เจ้าไปพักเถิดวังจี" หลานวั่งจีคำนับพี่ชายก่อนเดินออกไป

"เจ๋ออู๋จวิน" หลานซีเฉินหันไปตามเสียงเรียกก็พบกับ หลานซือจุยและหลานจิ่งอี๋ที่เดินเข้ามาหา "พวกเจ้ามีอะไรรึ?" หลานซีเฉินถามด้วยรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าอย่างเช่นเคย

"ข้ากับซือจุยขออนุญาตพาคุณชายจินลงเขาไปที่หมู่บ้านข้างล่างได้หรือไม่ขอรับ" หลานจิ่งอี๋ เด็กหนุ่มที่หลายๆ คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาช่างไม่เหมือนคนสกุลหลานเอ่ยถามขึ้น

"ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเร่งด่วนที่ต้องทำ พวกเจ้าพักผ่อนกันตามสบายเถิด หากจะออกไปข้างนอกก็รีบกลับก่อนประตูจะปิดละกัน" หลานซีเฉินเอ่ยอย่างใจดีตามแบบฉบับของตน

"ขอรับ" ทั้งสองรับปาก

ตอนนี้กลายเป็นว่าหลานซีเฉินเป็นผู้อาวุโสคนเดียวที่ยังอยู่ในห้อง เขาคิดว่าเด็กๆ พวกนี้คงอึดอัดเล็กน้อยและไม่กล้าพูดคุยกันมากนัก เห็นดั่งนั้นควรเดินออกไปให้เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พักผ่อนกันได้ตามสบาย ระหว่างเดินออกไป ที่โถงทางเดินเขาต้องเดินผ่านศิษย์จากสกุลเจียงที่อยู่ด้านนอกสุด ก็อดที่จะหยุดมองเจียงลู่จิวไม่ได้

"ขออภัยคุณชายเจียง ข้ามีเรื่องจะถามได้หรือไม่" หลานซีเฉินเอ่ยขึ้นเมื่อหยุดอยู่หน้าเจียงลู่จิว

"ได้ขอรับ เจ๋ออู๋จวิน" เจียงลู่จิวเอ่ยด้วยความนอบน้อมพร้อมกับคำนับอีกฝ่ายตอนนี้เองเจียงลู่จิวได้เห็นใบหน้าหลานซีเฉินแบบใกล้ๆ เป็นครั้งแรก ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีทองคู่นั้นอย่างนิ่งงัน

"คุณชายเจียง"

"คุณชาย.......คุณชายเจียง" เจียงลู่จิวสะดุ้งเล็กน้อยเหมือนตื่นจากภวังค์กระนั้นก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

 "ขออภัยขอรับ เมื่อครู่เจ่ออู๋จวินถามข้าว่าอย่างไรหรือขอรับ"

"ปีนี้คุณชายเจียงอายุเท่าไหร่แล้วหรือ?"

"สิบสี่ย่างสิบห้าขอรับ"

"งั้นหรือ~เอาหละ ข้าไม่กวนพวกท่านแล้ว เชิญพักผ่อนกันตามสบายเถิด หากขาดเหลืออะไรสามารถแจ้งศิษย์สกุลหลานได้เสมอ ข้าขอตัวก่อน" หลานซีเฉินสิ่งยิ้มให้ศิษย์สกุลเจียงก่อนเดินจากไป เจียงลู่จิวมองตามแผ่นหลังอันสง่านั้นอย่างครุ่นคิดในใจ

"อาลู่ เมื่อครู่เจ๋ออู๋จวิน คุยอะไรกับเจ้าหรือ" จินหลิงที่มองเหตุการณ์อยู่ไกลพอสมควรเดินเข้ามาถาม พร้อมๆ กับสองสหายสกุลหลานที่เดินเข้ามาหา

"ไม่มีอะไรขอรับ เจ๋ออู๋จวินแค่มาทักทายทั่วไป" เจียงลู่จิวเลี่ยงที่จะตอบคำถามจินหลิง ฝากตัวเป็นศิษย์วันแรกเขาก็ทำผิดกฎซะแล้ว เจียงลู่จิวนึกขอโทษในใจเพราะไม่อยากให้พี่ชายซักไซร้ไปมากกว่านี้ เรื่องนี้เขาจะต้องหาคำตอบด้วยตนเอง

"อ้อ อาลู่เจ้าจะลงไปเที่ยวหมู่บ้านกับเกอไหม" จินหลิงเอ่ยชวนญาติผู้น้องเจียงลู่จิวมองไปที่ศิษย์สกุลหลานสองคนข้างหลังของญาติผู้พี่แล้วนึกถึงคำขอของอาเหนียงขึ้นมาว่าไม่อยากให้ตนเกี่ยวของกับคนสกุลหลานมากนัก

เจียงลู่จิวส่งยิ้มน้อยๆ ให้พี่ชายตามแบบฉบับของตนแล้วเอ่ยขึ้น 

"ไม่ดีกว่าจินหลิงเกอ ข้าว่าจะไปอ่านหนังสือเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้ดีกว่า" ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล 

"เจ้าจะขยันเกินไปแล้วอาลู่ ถึงเจ้าจะไม่อ่านหนังสือ ความรู้ของเจ้าอีกทั้งวิชากระบี่ก็ไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว" จินหลิงเอ่ยอยากให้ญาติผู้น้องไปด้วย

"หากคุณชายเจียงไม่อยากไปก็ไม่ต้องไปบังคับหรอก จินหลิง" หลานซือจุยเข้ามาแก้ไขสถานการณ์

"แต่..."

"วันหลังเราค่อยชวนคุณชายเจียงไปด้วยยังได้น่าจินหลิง" หลานจิ่งอี๋เอ่ยทับไม่อยากให้จินหลังบังคับอีกฝ่าย

"ก็ได้ๆ งั้นเดี๋ยวข้าซื้อของมาฝากนะ เรือนเจ้าอยู่ฝั่งตะวันตกใช่หรือไม่เดี๋ยวตอนเย็นข้าไปหา" จินหลิงยอมในที่สุด เจียงลู่จิวพยักหน้าตอบรับ

"หากคุณชายเจียงต้องการหาหนังสือเพิ่มเติม สามารถไปที่หอคัมภีร์ได้นะขอรับ อยู่ทางเดียวกับทางที่เดินไปเรือนฝั่งตะวันตก" หลานซือจุยเอ่ยกับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร

"ขอบคุณคุณชายหลานที่ชี้แนะ" เจียงลู่จิวยิ้มให้อีกฝ่าย ใครๆ ก็บอกว่าเขานั้นมีรอยยิ้มการค้า เพราะอย่างนั้นเจียงลู่จิวมักจะใช้ยิ้มของตนให้เป็นประโยชน์เสมอเมื่อต้องการบางสิ่งหรือประณีประนอมบางอย่าง แม้แต่อาเหนียงที่ใครก็ว่าโหดยังแพ้รอยยิ้มออดอ้อนของเขาอย่างราบคาบ

"รอยยิ้มนั่น...."

"จิ่งอี๋" หลานซือจุยปรามเพราะรู้ว่าคนปากไวอย่างหลานจิ่งอี๋ต้องการพูดอะไร

"พวกเราไปกันเถอะ ขอตัวขอรับคุณชายเจียง" ทั้งสี่คำนับให้กัน จินหลิงหน้างอเล็กด้วยความขัดใจ เขาหนะไม่อยากจะยอมรับความจริงหรอกนะว่าญาติผู้น้องเขาเหมือนใคร!

ในคราแรกเจียงลู่จิวว่าจะเดินกลับเรือน แต่พอนี้กถึงคำพูดของหลานซือจุยก็นึกสนใจขึ้นมา จึงได้ลองเดินไปที่หอคัมภีร์เผื่อว่าที่นั่นจะมีหนังสือที่น่าสนใจนอกเหนือจากหนังสือที่เขาเคยอ่านเมื่อตอนที่อยู่ที่เหลียนฮวาอู้ เมื่อเดินเข้าไปภายในหอคัมภีร์เจียงลู่จิวก็อดที่จะตกใจไม่ได้กับห้องหนังสือที่เต็มไปด้วยคัมภีร์ต่างๆ มากมาย เด็กหนุ่มยิ้มอย่างถูกใจ ก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจอย่างตื่นเต้น

"เจ้าเป็นใครหนะ" เจียงลู่จิวตกใจเล็กน้อย ตอนแรกเขานี้กว่าไม่มีใครอยู่ภายในห้องแห่งนี้ แต่จู่ๆ ก็มีเสียงใครบางคนดังขึ้นมา เด็กหนุ่มค่อยๆ หันกลับไปมองตามทิศทางของเสียงก่อนจะเจอชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบนิดๆ นั่งอยู่มุมห้องกับกองกระดาษที่มีลายมือที่ค่อนค่างตวัดแต่ก็ดูออกว่าที่คัดอยู่นั้นคือกฎสกุลหลาน

"เอ่อ...ข้าน้อยเจียงลู่จิวจากอวิ่นเมิ่งเจียงขอรับ" เด็กหนุ่มคำนับอีกฝ่ายเพราะดูท่าแล้วอีกคนคงอายุมากกว่า เมื่อสังเกตดีๆ ชายหนุ่มตรงหน้าเขาไม่น่าจะใช่คนสกุลหลานเพราะอีกฝ่ายแต่งกายด้วยชุดสีดำแดง ผ้าผูกผมสีแดง แต่ทำไมมานั่งคัดกฎสกุลหละ ไปทำอะไรผิดมาหรือเจียงลู่จิวคิดในใจ แต่ท่าทางของชายคนนี้ช่างเหมือนกับใครสักคน

"เจียงลู่จิว เอ๋~เจ้าเป็นศิษย์จากสกุลเจียงหรือ" อีกฝ่ายเอ่ยด้วยท่าทีตื่นเต้นพร้อมเข้ามาหาเด็กหนุ่ม

"ขอรับ เอ่อ ท่านคือปรมาจารย์อี๋หลิง?" เอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ

"ถูกต้องๆ" เว่ยอู๋เซี่ยนตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริง "เจ้ามาก็ดีแล้ว อยู่คุยเป็นเพื่อนข้าได้ไหม ข้าเบื่อที่จะมานั่งคัดกฎสามร้อยจบจะแย่แล้ว"

"ท่านทำผิดอันใดมาหรือขอรับถึงได้ถูกลงโทษ" เจียงลู่จิวเอ่ยถามด้วยความ

"แหะๆ" เว่ยอู๋เซี่ยนสิ่งยิ้มแหยๆ กลับมาให้ 

"คือข้าโดนท่านอาจารย์หลานจับได้ตอนที่กลับเข้ามาในสำนักพร้อมเทียนจื่อเซียวหนะ"

"อย่างนั้นหรือขอรับ งั้นข้าอยู่เป็นเพื่อนผู้อาวุโสเว่ยระหว่างที่ท่านอยู่ที่นี่นะขอรับ" เจียงลู่จิวเอ่ยอย่างใจดี เว่ยอู๋เซี่ยนพยักหน้าด้วยความดีใจ นานๆ ที่จะเจอศิษย์สกุลเจียงสักทีเขาหนะมีเรื่องมากมายในเหลียนฮวาอู้ที่อยากรู้ในช่วงที่เขาจากมาทางด้านเจียงลู่จิวก็เดินสำรวจเพื่อหาหนังสือที่ตนสนใจสักพักก็กลับมาพร้อมกับหนังสือสามสี่เล่มแล้วนั่งลงตรงข้ามกับเว่ยเซี่ยนที่กำลังคัดกฎด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย เขาอยากพูดคุยกับท่านลุงใหญ่เว่ยอู่เซี่ยนบ้างเพราะไม่เคยได้เจอเลยสักครั้ง

อีกทั้งเขารู้ว่าอาเหนียงเป็นห่วงท่านลุงเสมอมาแต่ก็นั่นแหละ อาเหนียงปากแข็งเป็นที่หนึ่งผ่านไปสักพักเจียงลู่จิวที่อ่านหนังสืออยู่นั้นพึ่งสังเกตเหตุเห็นปานแดงรูปดอกโบตั๋นเล็กๆ บนข้อมือของเว่ยอู๋เซี่ยนจนอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ 

"ท่านเป็นเกอ" เว่ยอู๋เซี่ยนเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเด็กหนุ่มตรงหน้าเอ่ยขึ้น

"ก็ไม่เชิงหรอก ที่จริงต้องบอกว่าร่างของเจ้าโมเสวียนอวี่นี่ต่างหาก" เว่ยอู๋เซี่ยนบอกอย่างไม่ยีระ

"ท่านกังวลหรือไม่" เจียงลู่จิวเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้สงสัย

"ไม่มีอะไรต้องกังวล ข้าปรมาจารย์อี๋หลิงไม่มีใครกล้าทำอะไรข้าหรอก" เว่ยเซี่ยนกล่าวด้วยความมั่นใจ เด็กหนุ่มคิดตามก็จริงอย่างที่เว่ยเชี่ยนพูด ใครจะกล้าต่อกลอนกับปรมาจารย์อี๋หลิงอีกทั้งข้างกายยังมีหานกวงจวินที่คนทั้งยุทธภพต่างก็รู้ว่าพวกเขาเป็นอะไรกันอีกด้วย ถ้าสักวันหนึ่งความลับของอาเหนียงถูกเปิดเผยเจียงลู่จิวมั่นใจว่าฝืมือระดับ ซานตัวเฉิงโฉ่ว ย่อมเป็นที่ยอมรับและเกรงกลัวไม่น้อย พอคิดดังนั้นก็คลายความกังวลไปได้เล็กน้อย

"ฮ้า~ เสร็จซักที" เสียงของเว่ยอู๋เซี่ยนทำให้เด็กหนุ่มกลับมาสนใจที่ปัจจุบัน

"ว่าแต่ ข้าก็เคยไปเหลียนฮวาอู้ครั้งนึงนะ ทำไม่เห็นเจ้าอยู่ในกลุ่มลูกศิษย์ละ?"เว่ยอู๋เซี่ยนเอ่ยถามขึ้น

"ถ้ามีแขกจากข้างนอกมา อาเตี๋ยจะไม่อนุญาตให้ข้าออกมาจากเขตเรือนประมุขขอรับ" เด็กหนุ่มตอบ ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้กับเว่ยอู๋เซี่ยน

"อาเตี่ยรี อาเตี๋ยเจ้าคือใคร?"

"อาเตี่ยของข้าคือประมุขเจียงขอรับ" และในตอนนี้เว่ยอู่เซี่ยกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่ตนพึ่งรู้ 

"จะ..เจ้าหมายถึงประมุขเจียง เจียงเฉิงนะหรือ?" เจียงลู่จิว อมยิ้มน้อยๆกับท่าทีของอีกฝ่ายก่อนจะเอ่ยตอบ 

"ใช่ขอรับ ท่านลุงเว่ย"

"นะ...นี่เจียงเฉิงมีลูกโตขนาดนี้แล้วรึ แล้วทำไมหลานจ้านไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง" เว่ยอู๋เซี่ยนตัดพ้อออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตั้งสติและมองหน้าหลานชายอย่างวิเคราะห์

'โครงหน้ากับจมูกเหมือนอาเฉิง แต่ส่วนประกอบอื่นบนใบหน้าไม่เหมือนอาเฉิงเลยแฮะ'

"เด็กน้อย แล้วอาเหนียงของเจ้าเล่าเป็นแม่นางจากตระกูลใด?" คำถามของเว่ยอู๋เซี่ยนทำให้เจียงลู่จิวชะงักไปเล็กน้อย

"ข้าไม่มีอาเหนียงขอรับ..."

"เว่ยอิง" ก่อนที่เว่ยอู๋เซี่ยนจะซักถามไปมากกว่านี้ ก็มีผู้มาใหม่เอ่ยเรียกขึ้นเจียงลู่จิวลุกขึ้นคำนับอีกฝ่าย หลานวั่งจีพยักหน้าเล็กน้อย

"หลานจ้าน เจ้ามาก็ดีแล้ว ทำไมเจ้ไม่บอกข้าว่าอาเฉิงมีลูกแล้ว" ว่าพร้อมหน้างอใส่อีกฝ่ายเล็กน้อย

"ไม่ควรพูดเรื่องของคนอื่น" หลานวั่งจีตอบกลับแบบประหยัดคำพูดเช่นเคย

"เจ้าเสร็จหรือยัง"

"อืมเสร็จแล้ว กลับเรือนกันเถอะ ข้าคิดถึงเทียนจื่อเซียวจะแย่" ว่าพร้อมลุกขึ้นยืน 

"ข้าไปก่อนนะลู่จิว เดี๋ยววันหลังข้าไปเล่นด้วย"

"ขอรับ" เด็กหนุ่มงงงั้นเล็กน้อย ท่านลุงเว่ยพึ่งถูกลงโทษเรื่องสุรามิใช่หรือทำไมยังกลับเรือนไปดื่มสุราอีกใช่ว่าอวิ่นเซินปู้จื่อฉู่ห้ามดื่มสุรามิใช่หรอกหรอตามกฎที่เจียงลู่จิวท่องเมื่อเช้า เด็กหนุ่มมองผู้อาวุโสสองคนสลับกันไปมา หลานวั่งจีมองเขาเล็กน้อยด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคยก่อนเดินนำออกไป ตามด้วยเว่ยอู๋เซี่ยนที่โบกมือให้เขาจนลับสายตาย เจียงลู่จิวส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะเก็บหนังสือเข้าชั้นดังเดิมแล้วจึงเดินกลับเรือน

*ยามฉวี่ (๑๙:๐๐ - ๒๐:๕๙)

เรือนเหมันต์

หลานวั่งจียืนนิ่งอยู่หน้าเรือนหมันต์เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยเซียวทำนองเศร้าสร้อยแว่วออกมาจากด้านใน นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินอีกฝ่ายเล่นเพลงทำนองที่แสนเศร้าเช่นนี้ "ซยงจ่าง" เคาะประตูพร้อมเอ่ยเรียกอีกฝ่าย เสียงดนตรีหยุดลงพร้อมกับเสียงเอ่ยอนุญาตจากด้านใน

"เข้ามาสิ วั่งจี"

"เรื่องงานประชุมเซียน" หลานวั่งจีเอ่ยขึ้นเมื่อนั่งลงฝั่งตรงข้ามหลานซีเฉิน

"งานจะมีอาทิตย์หน้าที่หลันหลิงนี่ เจ้ากังวลสิ่งใดหรือวั่งจี"

"ซยงจ่างยังรู้สึกผิด" เอ่ยออกมาเพียงเท่านั้นหลานซีเฉินก็รับรู้ได้ว่าน้องชายกังวลเรื่องอะไร ตั้งแต่เหตุการณ์ที่วัดกวนอิมหลานซีเฉินยังลงโทษตัวเองอยู่เสมอว่าตนนั้นเป็นผู้ลงมือฆ่าพี่น้องร่วมสาบานทั้งสองคน ใหญ่ตายเพราะเพลงที่เขาสอนจินกวงเหยา จิกวงเหยาตายก็ยังเป็นเพราะเขาเชื่อคนง่ายเกินไป และเรื่องความทรงจำอันลางเลื่อนของเขาเมื่อสิบห้าปีก่อนที่เขาหาคำตอบยังไม่ได้ หลานซีเฉินส่งยิ้มขมขื่นให้หลานวั่งจี 

"มีหลายเรื่องที่พี่รู้สึกผิดในใจ วั่งจี"

"ท่านไม่ต้องไป" หลานวั่งหมายถึงประมุขหลานไม่ต้องไปที่หลันหลิงจินเพื่ตอกย้ำความรู้สึกของตนเอง 

"ไม่ได้หรอกวั่งจี พี่เป็นประมุขมีหน้าที่ที่ต้องทำ จะเอาความกังวลส่วนตัวมาข้องเกี่ยวได้อย่างไร" หลานวั่งมองหลานซีเฉินด้วยสีหน้าสงบนิ่งเหมือนเคย แต่หลานซีเฉินรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขาเพียงใด

"แล้วเรื่องพิธีแต่งงานของเจ้ากับคุณชายเว่ยเล่า ไปถึงไหนแล้ว" หลานซีเฉินเปลี่ยนเรื่อง หลังจากเหตุการณ์ที่วัดกวนอิมทั้งสองก็เปิดเผยความรู้สึกต่อกันและได้มาคุกเข่าต่อหน้าท่านอาเพื่อขออนุญาตเป็นคู่บำเพ็ญเพียร ท่านอานั้นแม้จะไม่ค่อยปลื้มเว่ยอู๋เซี่ยนนัก แต่ก็อยากให้ทำพิธีแต่งงานให้เหมาะสมเกียรติ

"เว่ยอิงไม่อยากจัดพิธีมากมาย กำลังปรึกษากับผู้อาวุโส" หลานซีเฉินพยักหน้าเข้าใจ 

"หากมีเรื่องอะไรให้พี่ช่วย เจ้าบอกด้ไม่ต้องเกรงใจ" หลานซีเฉินตอบน้องชายด้วยรอยยิ้มอบอุ่น

"เว่ยอิงอยากให้เจียงหวั่นอิ๋นมาด้วย" หลานวั่งจีพูดขึ้น

"ในงานชุมนุมเซียนครั้งนี้พี่จะลองเอ่ยถามประมุขเจียงดู แต่ถึงอย่างไรเจ้ากับคุณชายเว่ยควรเชิญประมุขเจียงด้วยตัวเองอีกครา" หลานวั่งจีพยักหน้ารับเข้าใจในสิ่งหลานซีเฉินบอก

100%

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!