NovelToon NovelToon

ดิโอเปอเรเตอร์2: ทางออก

ชั้นบนสุด

ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรและเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ...ที่นี่มันโคตรน่ากลัวชะมัดเลย ผมตื่นขึ้นมาและพบว่ากำลังนอนคว่ำหน้าอยู่เพียงคนเดียวบนพื้นปูนที่เย็นเฉียบตรงกลางระเบียงทางเดินท่ามกลางความมืดทึบทึมบนตึกที่ดูคล้ายกับว่าจะเป็นแฟลตหรืออพาร์ทเม้นท์ที่ไหนสักแห่ง ความคิดแวบแรกที่ผ่านเข้ามาในหัวของผมก็คือ นี่มันคงจะเป็นความฝันและเป็นฝันที่กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่อาจรู้ได้ว่าจะต้องเจอกับอะไรต่อไปแน่ๆ เลย บ้าจริง...ทำไมต้องเริ่มต้นความฝันน่ากลัวอะไรเบอร์นี้ด้วยวะ ผมคิดพลางยันร่างที่อ่อนระโหยกระปกกระเปลี้ยลุกขึ้นนั่ง หัวที่มึนตื้บของผมมันหนักอึ้งเหมือนมีใครแอบมาแงะกะโหลกเอาก้อนสมองออกไปแล้วยัดลูกตุ้มเหล็กใส่เข้ามาแทนงั้นแหละ

ผมสะบัดหัวไล่ความมึนงงและเผลอใช้มือทั้งสองข้างประคองหัวเอาไว้ ด้วยเกรงว่ามันจะทำให้คอหักพับไปด้วยน้ำหนักมหาศาลของมันเสียก่อน จากนั้นก็เริ่มสำรวจดูตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ก็ไม่พบความรู้สึกว่าเจ็บปวดที่ตรงไหนของร่างกายนอกจากไอ้หัวที่มันเอาแต่จะปวดตุ๊บๆ นี่แหละ ก่อนจะก้มมองนาฬิกาข้อมือแบบอนาล็อกเรืองแสงที่ผมชอบใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลา มันบอกผมว่าขณะนี้เวลาหกโมงตรงเผงแล้ว เดี๋ยวนะ!...ผมฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ หกโมงงั้นเหรอ?...แล้วมันหกโมงเช้าหรือหกโมงเย็นล่ะเนี่ย ตามปกติเวลาหกโมงไม่ว่าจะเข้าหรือเย็น มันก็ไม่ได้มืดตึ๊ดตื๋ออย่างนี้เสียหน่อย ต่อให้เป็นกลางหน้าหนาวก็เหอะ ผมหันมองไปรอบๆ ด้วยครับงุนงง พร้อมกันนั้นความหวาดหวั่นก็ก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ

อยู่ๆ แสงสว่างสีเหลืองอ่อนก็สว่างขึ้นมาแบบปุบปับฉับพลันจากห้องที่อยู่ถัดไปจากที่ผมนั่งมึนอยู่ไปประมาณสองห้อง มันสว่างออกมาจากประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่เพียงหนึ่งเดียวนั้นทางด้านขวามือ ถึงการปรากฎของมันจะแปลกประหลาดไปหน่อยก็เถอะ แต่แสงนั่นทำให้ผมพอที่จะมองเห็นสภาพรอบตัวได้บ้างแม้จะไม่ชัดเจนอะไรนัก แต่มันก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้างที่อย่างน้อยก็ไม่ต้องมะงุมมะงาหราอยู่ในความมืดโดยไม่รู้ทิศทางอีกต่อไป พอผมขยับลุกขึ้นยืนได้แล้วก็หันมาสำรวจสารรูปตัวเองในความสลัวอีกครั้ง มองเห็นตัวเองในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนที่น่าจะเป็นสีซีดและรองเท้าที่น่าจะหนังกลับสีน้ำตาลเข้มหรือไม่ก็สีดำที่สวมใส่อยู่ก็ยังดูดีไม่มีรอยฉีกขาดแต่อย่างใด แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกไม่คุ้นเคยกับสไตล์การแต่งตัวแบบนี้เลยสักนิด เอาจริงๆ นะ...ผมจำไม่ได้ว่าผมมีเสื้อผ้าแบบนี้ในตู้เสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไหร่ และหยิบมันมาสวมใส่อีตอนไหน ผมสาบานอย่างจริงจังให้เลยก็ได้ว่านี่มันไม่ใช่สไตล์การแต่งตัวของผมแน่ๆ เอ๊ะ!?...หรือว่าใช่หว่า? อยู่ๆ ก็เกิดไม่แน่ใจตัวเองขึ้นมาซะงั้น...มันยังไงกันวะเนี่ย ผมเหลียวมองไปรอบตัวอีกครั้ง บรรยากาศของที่นี่มันดูมืดทึบมัวซัวขมุกขมัวจนน่าอึดอัด นอกจากแสงไฟสีเหงอ่อนของหลอดไส้แรงเทียนต่ำสาดออกมาจากห้องนั้นแล้วก็ไม่มีแสงอื่นใดให้มองเห็นอีกเลย...แม้แต่แสงสว่างจากข้าวในหัวใจของผมเอง ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าทางด้านขวามือของผมเป็นช่องบันไดทางลงสู่ชั้นล่างได้อีก แต่มันก็มืดมิดไม่ชวนเชิญให้เดินลงไปสำรวจเลยสักนิดเดียว จู่ๆ ผมก็มีความรู้สึกกลัวบันไดนั่นขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ และรู้สึกเย็นสันหลังวาบสะท้านไปถึงไหนๆ จนต้องรีบเบือนหน้าหนีไปมองรอบๆ ตัวแทน

บริเวณโถงทางเดินทั้งด้านหน้าด้านหลังของผมนั้น มีข้าวของที่ถูกทุบทำลายจนพังยับระเกะระกะเต็มไปหมด ทั้งโต๊ะเก้าอี้ที่ล้มระเนระนาด เครื่องเรือนที่แตกหัก ถังขยะที่ตะเคงโค่โล่เทกระจาดทำให้เศษขยะหกออกมาเกลื่อนพื้น แม้กระทั่งกระถางต้นไม้ก็ยังอุส่าห์แตกเละเทะไม่มีชิ้นดีไปกับเขาด้วย สภาพเหมือนกับว่าที่นี่เคยเป็นแดนมิกสัญยีที่เพิ่งจะเกิดเหตุโกลาหลผู้คนหนีตายกันอลหม่านไปหมาดๆ อย่างนั้นแหละ มันดูสมจริงเกินกว่าจะเป็นแค่ความฝันไปไหมเนี่ย แล้วนี่คนอื่นๆ หายไปไหนกันหมดนะ

ทันใดนั้น สัมผัสของผมก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผมไม่เคยจะทำใจให้คุ้นชินกับมันได้เลยอย่างเด่นชัด ทำไม...ที่นี่มันถึง...เงียบจัง! ผมคิดมาถึงตรงนี้ ฉับพลันนั่นเองที่ทำให้โสตประสาทของผมสะดุดเข้ากับเสียงของความเงียบเข้าอย่างแรง! เงียบจนเกินไป มันเป็นความเงียบที่แท้ทรู เงียบบริสุทธิ์แสนสงัดปราศจากเสียงแปลกปลอมอื่นใดเข้าทาแทรกสักเอาะสักแอะ จนผมได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ในอก ทุกจุดชีพจร ผมคิดว่าได้ยินแม้กระทั่งเสียงเลือดที่ไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของผมเองด้วยซ้ำ และหัวใจในช่องอกมันก็เริ่มเพิ่มจังหวะรัวกระหน่ำแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนดังสนั่นเหมือนกลองเพลที่หลวงพี่ตัวตึงประจำวัดเกิดมันส์ในอารมณ์แล้วตีเป็นจังหวะสามช่ามาล่ะเหวยขึ้นมาทันทีทันใด ในขณะที่เสียงลมหายใจที่ถี่กระชั้นค่อยๆ แทรกเข้ามาพร้อมกับการจู่โจมของเซเดทโฟเบีย ใช่แล้ว... ผมเป็นโรคกลัวความเงียบทุกระดับมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมต้องพยายามจัดการสถานที่อยู่อาศัยของของผมให้ต้องมีเสียงอึกทึกอยู่เสมอจนเพื่อนบ้านระอากันไปทั้งซอย จะทำไงได้ล่ะ...มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ผมใช้ชีวิตเพียงลำพังของผมต่อไปได้โดยที่ไม่เสียสติหรือช็อคตายไปเสียก่อนเพราะความหวาดกลัวสุดขีดจากการที่ถูกความเงียบเล่นงานเข้าน่ะสิ

อารมณ์ตื่นกลัวของผมทะยานขึ้นอย่างไม่อาจหักห้ามได้ ผมทำได้แค่หันรีหันขวางอยู่กับที่อย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก มือและเท้าเริ่มเย็นเฉียบแต่กลับเปียกชุ่มไปหมด เหงื่อกาฬเริ่มผุดพราวเต็มบนหน้าผากแผ่นหลัง จั๊กแร้และขาหนีบจนชื้นไปหมดแล้ว ท้องไส้ปั่นป่วนมวนหนุนและเริ่มจะหายใจติดขัด ผมแน่ใจว่าตอนนี้ใบหน้าของผมต้องขาวซีดยิ่งกว่าไก่ต้มค้างคืนแน่นอน เกิดอะไรขึ้นวะ! ที่นี่ที่ไหน... แล้วตูข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงล่ะฟะเนี่ย!? ตกลงว่านี่มันเป็นความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่ฟะ! คำถามนับร้อยนับพันผุดขึ้นในสมองและกระเด้งกระดอนสะท้อนกลับไปกลับมาอย่างสับสนอลหม่านอยู่ในหัว...แต่มันก็ไร้ซึ่งคำตอบใดๆ กลับมาทั้งสิ้น

แต่แล้ว...คงจะเป็นจิตใต้สำนึกของผมเองที่มันตวาดลั่นใส่เสียงดังอย่างกับฟ้าผ่า 'หยุดนะ!.... ใจเย็นๆ และตั้งสติเดี๋ยวนี้เลย ไอ้...!!!' ผมคิดมาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องสะดุดกึก เอ๊ะ!...ผมชื่ออะไรวะ! อะไรกันเนี่ย...นี่ผมจำชื่อตัวเองไม่ได้! เป็นไปได้ไง...ถึงจะเป็นในความฝันก็เถอะ ผมก็ไม่ควรจะลืมชื่อตัวเองไปได้นี่นา เกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่! ผมพยายามนึกชื่อตัวเองเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก สมองของผมคงจะพังหรือไม่ก็กลายเป็นลูกตุ้มเหล็กไปแล้วจริงๆ ล่ะมั้งเนี่ย แต่การที่จิตใต้สำนึกตวาดเอาเมื่อครู่นี้มันก็ดูจะได้ผลเกินคาด เสียงกัมปนาทที่ดังขึ้นมาจากตรงไหนสักตรงในก้นบึ้งที่ลึกสุดหยั่งนั้น มันมีอำนาจมากพอที่จะทำให้ผมรู้สึกตัวและพยายามดิ้นรนเพื่อจะกลับมาควบคุมตัวเองให้ได้อีกครั้งโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมตัดสินใจลืมเรื่องชื่อเสียงเรียงนามของตัวเองไปก่อน แล้วยืนนิ่งหลับตานิ่งสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด แล้วผ่อนออกช้าๆ นับหนึ่งถึงสิบซ้ำไปซ้ำมาอย่างที่เคยฝึกรับมือกับความกลัวชนิดนี้มาก่อนแล้วหลายครั้งในตอนที่บังเอิญไปเจอมันเข้าแบบไม่ทันตั้งตัว ราวห้านาทีต่อมา...ผมก็สามารถเรียกสติกลับคืนมาได้นิดหน่อย แม้จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสติก็ตาม แต่ก็มากพอที่ผมจะใช้มันต่อกรกับความกลัวในหัวใจได้บ้าง จากนั้นผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พยายามบังคับขาตัวเองไม่ให้สั่นก่อนจะเริ่มก้าวเท้าตรงไปข้างหน้า เข้าหาแสงสว่างเดียวที่มีอยู่เพื่อตามหาความรู้สึกปลอดภัยที่เผ่นแน่บกระเจิดกระเจิงหายไปเพราะความหวาดกลัวของตัวเอง

เท่าที่สังเกตุเห็นในตอนนี้ โถงทางเดินตรงที่ผมกำลังเดินขาสั่นอยู่นี่น่าจะเป็นชั้นบนสุดแล้ว เพราะมีเพียงบันไดทอดลงไปสู่ความดำมืดข้างล่างนั่น ไม่มีชั้นบนให้ไต่ขึ้นไปอีก นั่นหมายความว่าตึกนี้ไม่มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปยืนชิลสูดโอโซนอันแสนสดชื่นได้สินะ ผมไม่รู้เลยว่าตึกนี้มันสูงกี่ชั้น แม้จะลองชะโงกมองข้ามราวระเบียงปูนสูงระดับลิ้นปี่ออกไปดู แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืด ความมืดที่ไม่ปกติ มันมืดเหมือนผืนพรมสีดำสนิทปูทาบทับเอาไว้ ไม่มีแสงใดๆ จากทิวทัศน์เบื้องล่างนั่นเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าทัศนวิสัยติดลบไปหลายเบอร์กันเลยทีเดียว แล้วความสงสัยที่คาใจมาตั้งแต่ต้นก็หวนกลับมาชวนให้คิดอีกครั้ง ตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเท่านั้น แต่ทำไมมันถึงได้มืดได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย หรือว่านาฬิกาของผมมันจะเจ๊งกะบ๊งไปแล้วล่ะกระมัง คิดได้ดังนั้นจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูอีกทีเพื่อความแน่ใจ เข็มวินาทีมันก็ยังคงกระดิกติ๊กๆ ไปข้างหน้าเป็นปกติดีอยู่นี่นา ตกลงว่าผมก็ยังหาคำตอบไม่เจออยู่ดีว่าตอนนี้มันเป็นหกโมงตอนเช้าหรือตอนเย็นกันแน่ "บ้าจริง!" ผมสบถใส่นาฬิกา

ผมลองยื่นหัวออกนอกราวระเบียงอีกครั้งเพื่อแหงนมองท้องฟ้าก็พบว่า ถึงแม้ว่ามันจะมืดไม่ต่างกันกับข้างล่างนั่น แต่มันกลับยังคงมีดวงจันทร์เสี้ยวสีเหมือนจะย้อมด้วยเลือดแดงฉานแขวนอยู่บนนั้นกับแสงของดวงดาวอีกสองสามดวงที่กะพริบวิบวับเหมือนกับกำลังเย้ยหยันผมอยู่ในที หรือผมจะคิดไปเองว่ามันเป็นอย่างนั้นก็ได้ซะล่ะมัง ว่าแต่...ดวงจันทร์อะไรจะมาแขวนอยู่กลางฟ้าในเวลาหกโมงอย่างนี้ฟะ!...ยูโรป้าเหรอ!? ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสนแฮะ ผมผละจากตรงที่ยืนงงอยู่ตรงนี้เข้าไปหาแสงสว่างจากห้องที่เปิดอยู่นั้นอย่างรวดเร็ว เพราะไม่อยากปล่อยให้ตัวเองอยู่ในความมืดสลัวที่น่าหวาดระแวงนี้นานมากไปกว่านี้แล้ว ด้วยความเร็วขนาดนี้มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าผมได้กลายร่างเป็นแมลงตัวจ้อยที่กำลังถูกแสงไฟล่อลวงให้บินเข้าไปติดกับของอะไรบางอย่างยังไงยังงั้นเลย

ข้าวของที่ล้มระเนระนาดจากภายในห้องล้นทะลักออกมาขวางทางเข้าระเกะระกะเต็มไปหมด ผมพยายามใช้เท้าเขี่ยๆ เพื่อเปิดทางจนเข้ามาถึงกรอบประตูจนได้ ก่อนที่จะลองยื่นหน้าเข้าไปกวาดตามองไปทั่ว สภาพภายในนั้นมันก็เละเทะไม่ต่างอะไรกับข้างนอกเลย มีไฟฉายขนาดใหญ่ใช้ถ่าน D สามก้อนที่พวกรปภชอบใช้กันตกอยู่หนึ่งกระบอกอยู่ที่ปลายเท้าของผมพอดิบพอดี จึงก้มลงเก็บมันขึ้นมาลองเปิดปิดดู เยี่ยมเลย...มันยังใช้งานได้ดี แถมยังไฟแรงเหมือนพร้อมจะแทงตาใครๆ ให้บอดสนิทไปทันทีที่ถูกสาดแสงเข้าใส่ราวกับเพิ่งจะเปลี่ยนถ่านใหม่มาเสียด้วย... ผมคิด แต่ก่อนที่จะเข้าไปสำรวจภายในห้องนี้ ผมตัดสินใจที่จะเดินไปสำรวจระเบียงทางเดินในความมืดสลัวนั่นเสียก่อนน่าจะดีกว่า ถือโอกาสทดสอบไฟฉายที่เพิ่งได้มานี่ด้วยเลย เผื่อว่าจะเจอทางออกไปจากที่ที่ชวนขนลุกนี้ได้ คิดได้ดังนั้นผมก็เปิดสวิตช์ไฟฉายแล้วหันไปเริ่มการสำรวจ เริ่มจากทางด้านซ้ายมือก่อนเลย

นั่นทำให้ผมพบว่า ห้องอื่นๆ ที่อยู่ถัดไปอีกห้าห้องนั้นถูกปิดสนิทและลูกบิดถูกล็อกจากข้างใน หลังจากเดินสำรวจไปจนสุดปีกตึกก็พบว่ามีประตูโครงเหล็กสนิมเกาะเขรอะที่ถูกคล้องโซ่เส้นโตและล็อกเอาไว้ด้วยแม่กุญแจตัวเกือบเท่ากำปั้นของนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวตอย่างแน่นหนา ปิดกั้นระหว่างผมกับบันไดหนีไฟที่ติดอยู่กับผนังนอกตัวตึกนั่น ผมลองจับมันเขย่าแรงๆ พร้อมกระชากดูแต่ก็ไม่ได้ทำให้มันสะทกสะท้านแล้วหลุดออกมาได้แต่อย่างใด ผมถอนใจเฮือกเบ้อเริ่มก่อนจะเดินย้อนกลับไปสำรวจปีกตึกฝั่งตรงข้าม โดยที่พยายามที่จะทำเป็นไม่สนใจบันไดอันมืดมิดตรงกลางตึกนั่น เพราะผมก็บอกไม่ถูกว่าทำไมถึงได้รู้สึกไม่ดีกับมันได้ถึงขั้นไม่แม้แต่จะอยากเหลือบตามองอย่างนี้

แล้วมันก็เป็นไปตามที่ผมได้คาดเอาไว้ ห้องทั้งหกทางฝั่งนี้ก็ถูกล็อกจากด้านในเหมือนกัน ที่สุดทางเดินของปีกตึกฝั่งนี้ก็มีประตูโครงเหล็กคล้องโซ่ล็อคกุญแจแน่นหนาเช่นกัน บ้าเอ๊ย...แบบนี้ถ้าเกิดไฟไหม้ลุกขึ้นพรึบพรั่บขึ้นมามาล่ะก็ มีหวังได้โดนครอกตายกลายเป็นไก่ย่างถูกเผากันยกชั้นแน่ๆ เลย...ผมคิด มันต้องมีลูกกุญแจสำหรับไขทั้งประตูทางหนีไฟนี่และประตูห้องพวกนั้นสิ ใช่แล้ว...ผมต้องหากุญแจมาเปิดประตูห้องที่ปิดล็อกพวกนั้นดู เผื่อว่าจะเจออะไรที่พอจะเป็นประโยชน์กับผมบ้าง หรือจะให้ดีกว่านั้น...บางทีผมอาจจะเจอลูกกุญแจสำหรับเปิดประตูเหล็กบันไดหนีไฟนี่ได้ เพื่อที่ผมจะได้ไม่ต้องเดินลงบันไดที่น่ากลัวตรงกลางตึกนั่นเพื่อไปหาทางออกจากที่นี่ข้างล่างนั่นก็ได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็อะไรก็ได้ที่จะให้คำตอบกับผมได้ว่าไอ้ตึกบ้าๆ นี่มันคืออะไรและเกิดอะไรขึ้นกันแน่...แต่จะไปหาที่ไหนล่ะ เออ...ก็ไม่แน่นะ มันอาจจะถูกเก็บไว้ในห้องที่เปิดไฟไว้นั่นก็ได้

สรุปว่าข้างบนนี้ไม่มีทางให้ลงไปข้างล่างได้เลยนอกจากบันไดหลักที่มืดตื้อตรงกลางตึกเท่านั้น และสิ่งที่ผมสงสัยอีกอย่างก็คือ ตึกนี้มันก็ดูท่าน่าจะสูงอยู่ไม่น้อยเลย แต่ทำไมไม่มีลิฟต์ฟะ! ถ้านี่มันเป็นความฝันล่ะก็... ทำไมถึงไม่ปวดฉี่แล้วสะดุ้งตื่นไปเข้าห้องน้ำเหมือนทุกทีที่เคยเป็นมาซะทีล่ะเนี่ย ผมล่ะอยากจะออกไปจากที่นี่ใจจะขาดเสียให้ได้ในตอนนี้เลย ก็ใครมันจะไปอยากจะติดแหง็กอยู่ในตึกมืดๆ และเงียบยิ่งกว่าป่าช้าอย่างนี้ล่ะ

ทันทีที่ผมแวบไปคิดถึงความเงียบสงัดที่อยู่รอบตัว ไอ้เจ้าอาการเซเดทโฟเบียก็กระโจนเข้ามาจู่โจมผมทันทีเหมือนกับว่ามันตั้งท่ารอทีอยู่ก่อนแล้ว ไอ้แอสโฮลเอ๊ย! อุตส่าห์เบนความสนใจตัวเองออกไปจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่นได้แล้วเชียว ถึงแม้เรื่องอื่นที่ว่านี่มันจะไม่มีอะไรให้น่าจดจ่อเลยสักนิดก็เหอะ ผมรีบหลับตาตั้งสติสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วเริ่มนับหนึ่งถึงสิบอย่างช้าๆ อยู่ตั้งสิบกว่ารอบ กว่าที่พอจะกลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง ก่อนจะเริ่มออกเดินกลับไปตามทางเดิม แต่ถึงจะบอกว่าพอจะควบคุมตัวเองได้แล้วอย่างนั้นก็เถอะ ผมก็ยังเดินขาสั่นเหมือนคนเป็นสันนิบาตลูกนกก็ไม่ปาน จนกระทั่ง...

ไม่รู้ว่าพระเจ้าหรือปิศาจตนไหนที่ดลบันดาลให้ผมเดินมาหยุดยืนที่เชิงบันไดกลางตึกแล้วสาดแสงไฟฉายลงลงไปในความดำมืดข้างล่างนั่นจนได้ ทั้งที่รู้สึกกลัวจนแทบจะหยุดหายใจไปเสียในบัดนาวอย่างนี้ สิ่งที่ผมเห็น...มันมีเพียงความมืดที่น่าขนลุกครอบคลุมอยู่โดยเฉพาะส่วนที่ต้องเลี้ยวลงไปขั้นบันไดชุดต่อไปที่ต่ำกว่านั่น แม้ไฟฉายในมือจะให้แสงสว่างที่เต็มคาราเบลเพียงใดก็ตาม แต่ผมก็ไม่คิดว่ามันจะช่วยให้ความปอดแหกของผมลดน้อยถอยลงไปได้เลยแม้สักกระผีก

ถึงกระนั้น ท่ามกลางความหวาดกลัวจนขี้ขึ้นไปอัดแน่นอยู่เต็มขมองนั้นเอง ในใจของผมมันก็ดันเกิดความคิดพิเรนแทรกขึ้นมาว่าทำไมถึงไม่ลงไปดูข้างล่างให้มันรู้แล้วรู้แรดไปเลยล่ะ แสงไฟก็มีอยู่ในมือแล้ว ถึงจะต้องฝืนทนต่อสู้กับความปอดแหกอย่างหนักหน่วงไปสักหน่อยก็เถอะ ผมอาจจะเจอทางออกไปจากที่นี่โดยไม่ต้องเสียเวลาไปค้นหาลูกกุญแจที่ไม่รู้ว่าจะมีอยู่หรือเปล่านั่น หรือไม่ก็อาจจะเจอกับใครๆ ที่ยังอยู่ในตึกนี้เหมือนกับผมก็เป็นได้นะ ใครจะรู้...ใช่มั้ย 'เออ...ถ้าจะคิดใหญ่เบอร์นี้แล้วก็ลงไปเลยสิฟะ!...จะรออะไร!?' ผมยุส่งตัวเอง แต่ทว่าความมืดข้างล่างนั่นมันก็ไม่ได้เย้ายวนใจหรือดึงดูดให้เดินลงไปหาเลยสักนิด ผมลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนตัดสินใจก้าวเท้าลงไปเหยียบบันไดขั้นแรกอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่แล้วก็ต้องชะงักแล้วรีบดึงเท้ากลับขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะเสียงขู่คำรามต่ำๆ ในลำคอของอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากข้างล่างนั่น "กรรรรร!"

"เชี่ย!" ผมเผลอสบถตาเบิกกว้างจ้องมองไปในความมืดข้างล่างนั่นเขม็งพลางถอยหลังกรูดๆ ไปหาแสงสว่างเดียวที่มีอยู่อย่างขวัญหนีดีฝ่อ ความกล้าบ้าบิ่นที่คอยยุส่งเมื่อครู่เปิดตูดโกยแนบไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้ และเพราะไม่ได้มองทางผมจึงสะดุดเข้ากับสตูลไม้ที่ล้มขวางทางอยู่ ทำให้หงายายเงิบล้มลงไปกองกับพื้นหน้าห้อง ไฟฉายหลุดมือกระเด็นเข้าไปข้างในห้อง และท้ายทอยของผมก็กระแทกเข้ากับอะไรบางอย่างที่ผมมองไม่เห็นเล่นเอามึนเกือบสลบเลยทีเดียว เมื่อกี้มันเสียงอะไรวะ! ผมถามตัวเองในใจอย่างแพนิคสุดชีวิต เสียงนั่นมันฟังดู้หมือวเหมือนกับสัตว์ขนาดใหญ่ที่ส่งเสียงขู่เพื่อข่มขวัญเหยื่อของมัน ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม ผมแน่ใจว่ามันไม่ใช่มิตรที่เอื้ออาทรต่อสุขภาพและพลานามัยของผมอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เสียงของมันเงียบไปแล้วและก็ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะบอกว่ามันจะไต่ขึ้นบันไดมาตามหาผม หรือว่ามันอาจจะกำลังซุ่มรอให้ผมเดินกลับลงไปหามัน หรือไม่ก็กำลังย่อตัวนิ่งตั้งท่าเตรียมตัวกระโจนขึ้นมาขย้ำคอผมอยู่ก็เป็นได้

คิดได้ดังนั้นผมก็ลนลานลุกขึ้นก่อนจะพยายามทั้งเตะทั้งเขี่ยข้าวของที่เกลื่อนกลาดเต็มวงกบประตูออกไปให้พ้นทางอย่างเร็วที่สุด ก่อนจะผลุบเข้าไปในห้องพร้อมกับคว้าลูกบิดปิดตามหลังแล้วล็อกทันที รู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยถ้าเจ้าตัวอะไรที่ทำเสียงชวนผวานั่นจะบุกเข้ามาล่ะก็ ผมก็น่าจะยังพอมีเวลาได้เตรียมตัวรับมือบ้าง แต่เพื่อความแน่ใจผมจึงลองเอาหูแนบประตูอยู่อีกเป็นครู่ใหญ่ ฉี่...ความเงียบบรรจงกระซิบเสียงเข้ามาในรูหูของผม โดยที่ไม่มีเสียงอะไรแปลกปลอมอย่างอื่นแทรกเข้ามาปะปนเลยสักนิด มันคงไม่ตามขึ้นมาหรอกน่ะไอ้ เอ่อ...กูชื่ออะไรวะ! บ้าไปแล้ว...จะเรียกชื่อตัวเองก็ดันจำไม่ได้อีก บัดซบครบวงจรจริงๆ! ก็ไม่รู้ว่าที่คิดแบบนั้นมันจะเป็นแค่การปลอบใจตัวเองหรือเปล่า แต่มันก็ทำให้ผมตัดสินใจหันกลับมาสนใจกวาดตามองดูสภาพภายในห้องก็แล้วกันเหอะ โห...เละยิ่งกว่าโจ๊กที่ต้มซ้ำไปซ้ำมาสักร้อยรอบซะอีกแน่ะ ดูๆ ไปแล้วก็ให้รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก นี่ถ้าไม่นับเรื่องความเสียหายของเฟอร์นิเจอร์แล้ว มันก็รกรุงรังเกือบจะไม่ต่างอะไรกับห้องนอนของผมเลยแหละ

ภายใต้แสงสีเหลืองสลัวของหลอดไส้แรงเทียนต่ำนั้น ตุ๊กตาฮัลโหลคิตตี้น้อยใหญ่หลายสิบตัวนอนตายกระจัดกระแจด เอ่อ...กรุณาอย่าผวนคำล่ะ!...อยู่ทั่วไปบนพื้น และหนึ่งในนั้นก็มีตุ๊กตาลูกเทพนอนขาชี้เพดานเด่จนกระโปรงสีชมพูเปิดอ้าซ่ารวมอยู่ด้วย ฟูกที่นอนถูกทึ้งเอาวัสดุภายในออกมากระจุยกระจายเกลื่อนไปหมด ผ้าปูที่นอนลายคิตตี้สีชมพูถูกกระชากออกมากองข้างเตียง แต่ไหงหมอนและหมอนข้างที่ก็เป็นคิตตี้สีชมพูเข้าชุดกันทำไมมันถึงได้ระเห็จไปกองอยู่ที่มุมห้องนู่นซะล่ะ ตู้เสื้อผ้าแบบน็อกดาวน์ล้มตะแคงประตูตู้พังยับ เสื้อผ้ากองมหึมาทะลักออกมากองเต็มพื้นรวมทั้งยกทรงและกางเกงในสีชมพูลายคิตตี้แบบผู้หญิงด้วย โต๊ะเครื่องแป้งและเก้าอี้กระจายเกลื่อนไปหมด โทรทัศน์จอแบน 42 นิ้วหน้าจอแตกร้าว เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็อยู่ในสภาพเละเทะชนิดที่ช่างซ่อมมุกคนบนโลกใบนี้ต่างพากันให้คำแนะนำว่า...ส่งเข้าศูนย์แยกขยะอิเล็กทรอนิคส์เถอะนะขุ่นเพ่...กันทั่วหน้าอย่างแน่นอนที่สุด จะมีเพียงแต่ตู้เย็นสีครามแบบประตูเดียวเท่านั้นที่ยังตั้งอยู่ตามที่มันควรจะเป็นที่ตรงมุมข้างประตูที่เปิดออกไปยังระเบียงด้านหลังห้องนั่น

บันทึก

ผมตัดสินใจที่จะเริ่มสำรวจห้องด้วยการเริ่มจากด้านหลังก่อน จึงเดินกระย่องกระแย่งข้ามข้าวของที่เละเทะบนพื้นตรงไปหาประตูทด้านหลังห้องแล้วเปิดมันออกเพื่อพบกับความ...ไม่มี! ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ที่หลังประตูนั่น นอกจากความมืดที่น่าขนลุกในความเวิ้งว้าง ราวกับเป็นปากทางเข้าสู่หลุมดำที่ไร้ทางออก ที่ขอบพื้นตรงปลายเท้าของผมมันสิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น เหมือนกับว่าตึกนี้กำลังลอยคว้างอยู่กลางอวกาศที่ไร้ทิวทัศน์ของหมู่ดวงดาวอย่างนั้นแหละ นั่นทำให้ผมใจหายวาบด้วยความกลัวว่าอาจจะถูกดูดให้หลุดออกไปลอยเคว้งคว้างอยู่ที่ข้างนอกนั่น จึงรีบถอยออกห่างพร้อมดึงประตูกระแทกวงกบโครมใหญ่

หลังจากที่ยืนแพนิคมองประตูหลังที่ปิดสนิทอย่างพยายามตั้งสติอยู่เป็นครู่ ในที่สุดผมก็ลดระดับอะดรีนาลีนลงได้เสียที ก่อนจะถอนใจเฮือกแล้วหันกลับมาให้ความสนใจกับประตูห้องน้ำแทน และพบว่าประตูพีวีซีนั่นถูกทุบทำลายจนมันหักพับที่กึ่งกลางบานคล้ายกับถูกถีบด้วยแรงมหาศาล ครึ่งบนของมันหล่นลงไปกองอยู่บนพื้นกระเบื้องห้องน้ำโดยที่ครึ่งล่างยังห้อยร่องแร่งติดอยู่กับบานพับอย่างหมิ่นเหม่ และทันทีที่ผมเผลอเอื้อมมือไปแตะแค่จึ๊งเดียวเท่านั้น เจ้าบานประตูใจเสาะก็รีบเร่งร่วงหล่นลงไปกองทับกับครึ่งบนของมันอย่างเร่งรีบราวกับพลัดพรากจากกันมานานแสนนานเต็มที ผมถึงกับต้องเผลอกลั้นใจหลับตาปี๋พร้อมกับทำคอย่นโดยไม่ตั้งใจเมื่อมันทำให้เกิดเสียงโครมครามดังลั่นห้องขึ้น ด้วยเกรงว่าอาจจะดังไปถึงหูของอะไรก็ไม่รู้ที่ขู่ไล่ผมในความมืดของบันไดนั่น ผมนิ่งอยู่ชั่วอึดใจเพื่อฟังเสียงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวข้างนอกห้อง แต่มันก็เงียบสนิทจนเกือบจะเกิดเซเดทโฟเบียเป็นรอบที่สามอยู่รอมร่อ ผมจึงรีบดึงความสนใจตัวเองออกจากการจดจ่อกับความเงียบนั่นแล้วเริ่มกวาดตามองสำรวจ

ภายในห้องน้ำนี่ก็เละตุ้มเป๊ะอย่างไม่ต้องสงสัย อ่างล้างหน้าและฝาโถชักโครกถูกกระชากออกมาจากที่ที่มันควรจะอยู่ลงไปแตกกระจายอยู่บนพื้นกระเบื้องสีขาวที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำ ดูเหมือนว่าจะเกิดการดิ้นรนต่อสู้กันขึ้นในนี้เสียด้วยสิ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีร่องรอยของคราบเลือดหรืออะไรก็ตามที่จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเกิดการบาดเจ็บจนเลือดตกยางออกให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว ผมขยับเข้าไปหากระจกกรอบพีวีซีทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยังอุตส่าห์จะมีสติ๊กเกอร์ลายคิดตี้ติดอยู่อีกให้พรึ่บ มันอยู่ทางขวาเหนือจุดที่เคยมีอ่างล้างหน้าติดตั้งอยู่

ไม่ใช่ว่าจะไปส่องสำรวจความหล่อของตัวเองในกระจกตอนนี้หรอกนะ หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ใครจะไปมีกะจิตกะใจกันล่ะ และถึงแม้ผมจะอยากทำอย่างนั้นจนใจจะขาดก็เถอะ แต่งปมก็คงไม่อาจที่จะทำได้หรอก เพราะว่ากระจกนั่นมันแตกละเอียดไม่มีชิ้นดีไปแล้วน่ะสิ แต่มันเป็นเพราะว่าผมสังเกตเห็นวัตถุบางอย่างถูกเหน็บเอาไว้ที่ด้านหลังกรอบกระจกกับผนังห้องนั่นต่างหากล่ะ เมื่อผมดึงออกมาดูก็เห็นว่ามันเป็นสมุดบันทึกปกหนังสีน้ำตาลอ่อนเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่ง และแน่นอนที่สุด...สติ๊กเกอร์รูปแมวคิตตี้ตัวบักเอ้บแปะหราอยู่กลางปก...ดูยังไงก็ไม่เข้ากันเลยสักนิด ผมคิดขณะเดินกระย่องกระแย่งกลับออกมาและตรงไปหย่อนก้นนั่งที่ปลายเตียง

เมื่อเปิดสมุดบันทึกเล่มนี้ดูก็พบว่าเป็นเจ้าของไดอารี่เล่มนี้เป็นสุภาพสตรีชื่อลินดา มันถูกเขียนด้วยลายมือที่ค่อนข้างจะเล็กมากแต่ก็ดูเป็นระเบียบพอสมควร ผมต้องดึงมาใกล้ๆ ตาเพื่อที่จะเขม้นมองจนตาแทบจะเหล่ พร้อมกับพยายามเมินความคิดที่คอยแต่จะคัดค้านและย้ำเตือนเรื่องสมบัติผู้ดีกับมารยาทอันดีงามซึ่งเอาแต่พร่ำบอกว่าเราไม่ควรจะไปรุกล้ำความเป็นส่วนตัวของคนอื่นนะวิ! แต่ก็นะ...ใครจะไปสนล่ะ นี่มันอาจจะมีเบาะแสอะไรที่ทำให้ผมรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่และจะต้องทำอย่างไรต่อไปบ้างก็ได้ เพราะฉะนั้น... หุบปากไปเลย! ผมตวาดใส่สมบัติผู้ดีของตัวเอง ก่อนที่จะเริ่มเปิดอ่านแบบผ่านๆ ตา ในช่วงแรกๆ มันก็เป็นเพียงแค่การบ่นระบายความในใจเรื่องอะไรต่างๆ นานาของคุณเธอก็ไม่รู้ โดยมากจะเกี่ยวกับคนอื่นๆ ที่ดันมาขวางหูขวางตาและทำอะไรไม่ถูกอกถูกใจของเข้าเธอนั่นแหละ ดูทรงยัยติ่งคิตตี้คนนี้แล้ว ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอน่าจะเป็นตัวตึงประจำตึกนี้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งมาถึงสามสี่หน้าสุดท้ายนั่นแหละที่มันทำให้ผมต้องเพ่งตาอ่านแต่ละคำช้าๆ และตั้งใจ

บันทึกวันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม 2022 เวลา 18.55 น. ฉันตกใจแทบตายที่อยู่ๆ ยายป้าข้างห้องก็เกิดสติแตกร้องโวยวาย วิ่งไปทุบประตูห้องนั้นทีห้องนี้ที แถมเอาแต่พูดว่า 'มันมาแล้ว มันมาแล้ว หนีออกไป' เป็นบ้าอะไรของป้าเนี่ย อยู่ดีไม่ว่าดีดั๊นนนน...เกิดจะมาสติแตกขึ้นมาไม่ได้เกรงใจผู้ใหญ่บ้านกำนันเมืองเอาเสียเลยอย่างนั้น ทำไมลูกหลานถึงได้ปล่อยให้ยายแก่สติไม่ดีนี่มากวนประสาทชาวบ้านชาวช่องอย่างนี้นะ แน่นอนว่าฉันไม่มีทางที่ฉันยอมปล่อยผ่านไปง่ายๆ หรอก คุณราเมศรับปากแล้วว่าจะจัดการให้ ฉันหวังว่ายัยป้านั่นจะถูกปราบให้ลดความบ้าคลั่งลงได้บ้างนะ

บันทึกวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2022 เวลา 18.45 น. วันนี้มันเป็นบ้าอะไรไปแล้ว เมื่อตอนหลังเที่ยงมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมง อยู่ดีๆ ก็รู้สึกว่าตัวตึกมันโยกเยกขึ้นมาเหมือนเกิดแผ่นดินไหว แต่นั่นมันก็เป็นแค่แป๊บเดียวก็หยุดไป แล้วฉันได้ยินเสียงเอะอะมะเทิ่งดังขึ้นมาจากชั้นล่าง ทีแรกฉันคิดว่าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่นี่จะไร้ซึ่งสมบัติผู้ดีกันได้ขนาดนี้ มันก็แค่แผ่นดินสะดุ้งนิดหน่อยเองนะ คงไม่มีอะไรเสียหายมากมายขนาดนั้นหรอก แล้วทำไมจะต้องเอะอะโวยวายเหมือนโลกจะแตกอย่างนั้นด้วย ฉันกำลังจะออกไปดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น ก็พอดีกับที่คุณราเมศวิ่งหน้าตื่นเข้ามาบอกฉันว่าให้อยู่แต่ในห้องและล็อกให้แน่นหนา อย่าเปิดประตูออกไปข้างนอกเด็ดขาด แล้วเขาก็วิ่งกลับออกไปโดยที่ไม่บอกเหตุผลอะไรเลยสักคำ และเขาก็ไม่รู้ตัวเลยว่าได้ทำพวงกุญแจหล่นลงบนพื้นหน้าห้องของฉัน ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นพวงกุญแจสำรองสำหรับทุกห้องในตึกนี้ ก็ทำไมจะไม่ได้ล่ะ...ในเมื่อเขาเป็นผู้ดูแลที่นี่นี่นะ

ฉันเก็บมันแล้ววิ่งตามไปเรียกเขา แต่ไม่ทันเสียแล้ว ฉันลองชะโงกหน้าออกไปดูที่ราวบันได ก็ทันเห็นว่าเขาวิ่งลงบันไดไปด้วยท่าทางเร่งรีบแปลกๆ แล้วตอนนั้นเองที่เสียงที่น่ากลัวนั่นดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังระงมไปหมด และก็มีเพื่อนข้างห้องต่างพากันวิ่งกรูกันตามลงไปข้างล่าง เหมือนกับว่าพวกเขาได้ยินเสียงของสี่สาวแบล็คพิงค์มาเปิดคอนเสิร์ตอย่างนั้นแหละ แต่ฉันกลัวเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นจึงรีบกลับมาที่ห้องปิดประตูแล้วล็อกมัน กว่าที่จะตั้งสติแล้วมาเริ่มเขียนบันทึกนี้ได้ก็ใช้เวลาตั้งนาน ฉันหวังว่าคุณราเมศจะกลับมาเคาะประตูเรียกก่อนจะค่ำนะ

บันทึกวันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม 2022 เวลา 19.13 น. เมื่อคืนวานนี้ฉันอดรนทนกระวนกระวายอยู่กับความสงสัยใคร่รู้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว และอีกอย่างฉันก็หิวจนแสบท้องไปหมดแล้วด้วย ฉันมันโง่เองที่ไม่ยอมออกไปซื้อของกินมาตุนไว้เหมือนอย่างที่เคยทำ ทั้งๆ ที่เลยวันช็อปประจำสัปดาห์มาตั้งสองวันแล้ว ถึงแม้ว่าฉันจะกลัวมากแค่ไหนก็เถอะ แต่ฉันก็ตัดสินใจออกจากห้องลงไปหาคุณราเมศตอนสองทุ่มสิบห้านาทีจนได้ แล้วฉันก็พบว่าข้างนอกนั้นมันมืดมาก ไม่รู้ว่าไฟฟ้าดับไปตอนไหน แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ ก็ไฟในห้องของฉันก็ยังสว่างโร่อยู่เลย ฉันต้องกลับเข้ามาเอาไฟฉายที่ยืมมาจากคุณราเมศตั้งแต่ตอนที่เกิดไฟฟ้าดับทั่วเมืองเมื่อเดือนที่แล้วเพื่อที่จะส่องทางลงบันไดไปหาเขาที่ห้องพัก ยอมเสียเวลานิดหน่อยดีกว่าเดินไปตกบันไดให้เจ็บตัวนะฉันว่า ถึงแม้ว่าจะลงไปเพียงแค่ชั้นล่างเพียงชั้นเดียวก็ตาม แต่ทางลงมันก็มืดมากเลยล่ะ

สภาพของระเบียงทางเดินเละเทะมากจนฉันคิดไม่ออกว่าอะไรที่จะเป็นสาเหตุให้มันเป็นไปได้อย่างนี้ ห้องของคุณราเมศเป็นเพียงห้องเดียวที่ยังคงมีแสงไฟเปิดอยู่เช่นเดียวกับประตูห้องที่เปิดอ้าอยู่ คุณราเมศไม่ได้อยู่ในห้องที่พังยับของเขา คนอื่นๆ ก็เหมือนกัน พวกเขาหายไปไหนกันหมดก็ไม่รู้ และฉันรู้สึกโชคดีมากจริงๆ ที่ไอ้หมาบ้าตัวนั้นมันไม่ได้อยู่ในห้องตอนที่ฉันเข้าไป และโชคดีกำลังสองที่ฉันเจอกล่องบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและน้ำดื่มอีกหลายขวด ฉันจำเป็นต้องถือวิสาสะหยิบเอาติดมือมาโดยพละการ แต่ก็ตั้งใจว่าจะบอกกับเขาและซื้อมาคืนทีหลังเมื่อเราเจอกัน หวังว่าเขาคงไม่ขัดข้องอะไรหรอกนะ

ตอนที่ฉันเดินกลับขึ้นมาถึงหน้าห้อง ฉันคิดว่าหูของฉันคงไม่ได้ฝาดไปอย่างแน่นอน เสียงอึกทึกโครมครามนั่นดังสะท้อนขึ้นมาจากชั้นล่างอีกแล้ว และคราวนี้เหมือนกับว่ามันกำลังเคลื่อนที่ขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ ฉันรู้สึกโชคดีเป็นที่สุดที่ไม่ได้เป็นพวกอยากรู้อยากเห็นจนยอมเดินกลับลงไปดู แต่รีบกลับเข้ามาในห้องและล็อคประตูอย่างเร็ว แค่นี้มันก็ทำให้ฉันกลัวลนลานหัวใจแทบจะหยุดเต้นอยู่แล้ว แต่มันยังมีเสียงขู่ที่เหมือนเสียงหมามาดังอยู่ที่หน้าประตูห้องด้วย ไม่รู้ว่าเสียงขู่นั่นมันจะเป็นของไอ้หมาบ้าตัวนั้นรึเปล่า แต่ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ฉันก็ไม่สบายใจอยู่ดี ทำไมโลกนี้จะต้องมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหมาด้วยนะ เสียงขู่นั่นมันทำให้ฉันกลัวจนทำอะไรไม่ถูก

ฉันคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าจะมีประตูอีกบานกั้นอะไรก็ไม่รู้ที่ขึ้นมาทำเสียงน่ากลัวอยู่ข้างนอกนั่น และฉันก็มีแต่ประตูห้องน้ำเท่านั้นที่พอจะพึ่งพามันได้ ตั้งแต่เมื่อคืนจนมาถึงตอนนี้ ฉันก็ไม่ได้ออกจากห้อ.......

บันทึกจบลงที่ตรงนี้ ดูเหมือนว่าเธอจะถูกขัดจังหวะจากอะไรบางอย่างแบบกะทันหัน จึงทำให้เขียนประโยคที่ตั้งใจไว้ไม่จบ แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ผมรู้สึกสับสนงุนงงและขนลุกไปพร้อมๆ กัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ที่มันถึงกับทำให้เธอหวาดกลัวจนยอมเข้ามาขังตัวเองอยู่ในห้องน้ำอย่างนี้ ...แล้วไอ้คุณราเมศนี่มันเป็นใครกันเหรอ บางทีผมอาจจะต้องลงไปหาคำตอบที่ห้องของเขางั้นเหรอ! ไม่เอานะ! เธอเขียนไว้ว่ามีอะไรก็ไม่รู้ที่ทำเสียงโครมครามอยู่ข้างล่างนั่นนี่นา แถมเมื่อตะกี้นี้ผมเองก็ยังได้ยินเสียงขู่แปลกๆ นั่นเหมือน กันกับที่เธอบอกไว้ด้วย มีความเป็นไปได้ว่ามันจะต้องเป็นอะไรที่เธอหมายถึงแน่ๆ

แต่ถ้าจะให้ผมจมจ่อมและยอมขังตัวเองอยู่ในห้องนี้เหมือนที่เจ้าของไดอารี่เคยทำก็คงเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน ผมไม่อยากถูกอะไรก็ไม่รู้นั่นบุกเข้ามาขัดจังหวะด้วยเหมือนกับที่เธอเจอหรอกนะ เอาไงดีวะทีนี้... ผมเริ่มกระวนกระวายใจและผุดลุกขึ้นแล้วเริ่มเดินกลับไปกลับมาพยายามคิดหาทางออกจากสถานการณ์ที่บีบคั้นอย่างนี้ คิดไปคิดมา...คิดมาคิดไป คิดสิคิดสิคาปูชิโน๊ เดี๋ยวนะ!... หญิงลีมาไงฟะเนี่ย! แต่คุณคิดเหรอว่าผมจะคิดออกน่ะ มาจนถึงตอนนี้แล้ว...ขนาดชื่อตัวเองผมก็ยังคิดไม่ออกเลยว่าผมเคยชื่ออะไร แล้วผมจะไปมีปัญญาคิดอะไรอย่างอื่นออกได้ล่ะ! สมองของผมหมุนติ้วๆ เหมือนวงล้อชิงโชคติดมอเตอร์จนตาจะลายตายไปเลยเสียให้ได้

อาวุธ!...ใช่แล้ว! ผมจำเป็นต้องมีอาวุธมาติดกายเพื่อความอุ่นใจสินะ คิดได้ดังนั้นผมจึงปิดสมุดบันทึกแล้วเอาซุกเหน็บไว้กับขอบกางเกงด้านหลัง จากนั้นก็เริ่มค้นหาอะไรก็ได้ที่มีหน้าตาที่ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นอาวุธได้บ้าง ผมคุ้ยเขี่ยตามใต้กองเศษเฟอร์นิเจอร์ที่แตกหักอยู่หลายนาที แต่ความหวังก็ดูเลือนรางและริบหรี่เสียเหลือเกิน ในห้องที่มีเจ้าของเป็นผู้หญิงอย่างนี้...จะมีผู้หญิงสักกี่คนกันที่จะมีอาวุธติดห้องไว้น่ะ ถ้าผมเป็นผู้หญิงคนนั้นแล้วมีอะไรบางอย่างบุกเข้ามาจะทำร้าย ผมจะใช้อะไรเป็นอาวุธเพื่อต่อสู้เอาตัวรอดได้บ้างนะ มาสคาร่าเหรอ! เอาไปปัดขนตาให้งอนชี้ฟ้าจนตามันบอดไปเลยไง หรือรองเท้าส้นสูงดีล่ะ! ใช่เลย!...เอาส้นรองเท้านั่นแหละตีมันเข้าไปให้หัวแบะตายไปซะ!...จะบ้าเรอะ!

แต่ว่าไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อผมเปิดดูลิ้นชักของโต๊ะหัวเตียงที่ถูกเหวี่ยงมานอนแอ้งแม้งอยู่ที่มุมข้างตู้เย็น ก็พบเข้ากับบอดี้การ์ดส่วนตัวของสุภาพสตรีเข้าให้ เบเร็ตต้ายี่สิบเอ็ดเอ จุดสองสองบ็อบแคทพร้อมกระสุนเต็มแม็กซ์เจ็ดนัด โอ...ขอบพระใจคุณผู้หญิงเป็นอย่างสู๊งงงงงงง! เธอเป็นนางฟ้าจากสวรรค์จริงๆ น้องติ่งคิตตี้คนสวยของผม... ถึงแม้มันจะดูเล็กเกินไปสำหรับมือใหญ่ๆ ของผู้ชายสายแดดดี้ที่เตี้ยและตันอย่างผมก็เถอะ แต่นี่มันคือความอุ่นใจแรกและอุ่นใจเดียวที่หาได้จากที่ที่น่ากลัวนี่เชียวนะ มีปืนให้ใช้มันก็ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว ในนาทีนั้นเองที่ผมตัดสินใจที่จะลงไปเผชิญหน้ากับความมืดและเจ้าของเสียงขู่ที่น่าขนลุกที่ข้างล่างนั่นด้วยความขี้ขลาดและหวาดกลัวจนขี้พร้อมจะขึ้นสมองอยู่ทุกวินาที... แต่ก่อนอื่น คงต้องขอลองค้นดูตามใต้สิ่งของที่ระเกะระกะพวกนี้ดูเสียหน่อยจะเป็นไรไป ถ้าเจออะไรอย่างอื่นที่น่าจะพอมีประโยชน์ได้บ้างมันก็คุ้มค่ากับเวลาที่ต้องเสียไปนี่นะ แต่...เอ่อ ถ้าไม่เจออะไรอีกเลยมันก็...เอาน่ะ มันต้องมีอะไรสักอย่างที่รอให้ผมค้นจนเจอบ้างสิ

หลังจากพยายามหาข้ออ้างมาประวิงเวลาตัวเองด้วยการทำเป็นค้นและคุ้ยหาสิ่งของอื่น ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์กับผมหรือเปล่าและรอให้ผมค้นเจออยู่ตรงไหนก็ไม่รู้นั้นเอง 'ไหนว่าตัดสินใจได้แล้วไงฟะ...ทำไมถึงไม่ยอมจะออกจากห้องนี้เสียทีล่ะเนี่ย' เสียงของความกล้าหาญท้วงถามขึ้น 'ไปแน่ๆ แต่ขอเวลาหาไอเท็มเพิ่มหน่อยจะเป็นไรไปฟะ' ความขี้ขลาดตะแบงเถียง จนผมรู้สึกแสบสีข้างขึ้นมาหน่อยๆ 'ไอเท็มบ้าบออะไรของแก ยอมรับมาเถอะว่าแกมันป๊อดจนไม่กล้าจะออกไปข้างนอกนั่นน่ะ...ทำเป็นมาหานู่นหานี่ อะด่อ... ไอ้ป๊อดเอ๊ย!' เจอความกล้าปรามาสเข้าให้แบบนี้ผมก็ถึงกับหน้าชาไปเหมือนกันนะ 'ไม่ใช่ซะหน่อยเฟ้ย! เรากำลังค้นหาพวงกุญแจต่างหากล่ะ จำได้ไหม...ในบันทึกเขียนบอกว่าเธอเก็บพวงกุญแจของนายคุณราเม็งอะไรนั่นได้นี่นะ อาจจะเจอกุญแจที่จะพาเราออกไปจากตึกบ้านี่โดยไม่ต้องลงไปในความมืดข้างล่างนั่นเลยก็ได้นะ ว่ามั้ย...ไอ้โง่!' ความขี้ขลาดของคนเรามักจะเก่งในเรื่องหาเหตุผลดีๆ มาแถจนได้นั่นแหละ และมันก็มักจะทำสำเร็จอยู่เสมอเสียด้วยสิ แถมมันก็ฟังดูมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ความกล้าหาญยอมสงบปากสงบคำลงได้อีกต่างหาก...อย่างน้อยก็ตอนนี้แหละน่า

ว่าแต่...เธอเอามันไปเก็บไว้ตรงไหนนะ ถ้าผมเป็นผู้หญิงคนนั้น...พอวิ่งเข้ามาในห้องได้แล้ว ผมก็น่าจะโยนมันไปที่...ผมหยิบผ้าปูที่นอนที่ถูกถลกออกจากฟูกแล้วไปกองอยู่ข้างเตียงขึ้นมาสะบัด แกร๊ก!... มีบางอย่างตกลงบนพื้นห้อง "นั่นไงเจอแล้ว!" ผมเผลอร้องออกมาอย่างลิงโลด พวงกุญแจพวงโตนั้นช่างมีลูกดกมากมายอะไรอย่างนั้น...น่าจะเกินตรึ่งร้อยดอกเลยนะเนี่ย ว่าแต่...ตึกนี้มีห้องพักมากมายขนาดนี้เลยเชียวเหรอ ก็ไหนว่ามีแค่สองชั้นไง ผมเก็บมันมาเหน็บห้อยไว้ที่หูร้อยเข็มขัดด้านหน้ากางเกงยีนอย่างงงๆ ก่อนจะกลับไปคุ้ยหาอะไรอย่างอื่นต่อไปอีกพักใหญ่ 'นี่คุณผู้ชาย...ยังจะหาเรื่องทำอ้อยอิ่งได้อีกเนอะ หากุญแจเจอแล้วก็ไปซะทีสิ' เมื่อถูกความกล้าหาญแซะขึ้นมาอีกครั้ง นั่นเองทำให้ผมหมดหนทางที่จะหาข้ออ้างมารั้งตัวเองให้อยู่นานๆ ในห้องนี้ต่อไปเสียแล้ว

นาฬิกาข้อมือบอกเวลาเจ็ดโมงสิบห้านาทีแล้ว เอาล่ะ...เราน่าจะพร้อมที่จะออกไปเผชิญกับอะไรก็ไม่รู้ข้างนอกนั่นแล้วล่ะ ก่อนที่จะถูกตัวเองแซะตัวเองเข้าอีก... ผมคิดอย่างฝืนใจคิด ทีนี้มาดูกันซิว่าว่าตอนนี้ผมมีอะไรอยู่ในมือบ้าง สมุดบันทึกหนึ่งเล่มที่ไม่รู้ว่าผมจะเก็บมันมาไว้กับตัวทำไม ไฟฉายกระบอกโตเกือบเท่าท่อไอเสียรถสิบล้อที่ไฟแรงส์เฟร่อร์หนึ่งกระบอก พวงกุญแจพวงมหึมาที่น่าจะใช้เปิดห้องได้ทุกห้องในโลกนี้เลยทีเดียวหนึ่งพวง แล้วก็ปืนพกสำหรับสุภาพสตรีอีกหนึ่งกระบอกพร้อมกระสุนเต็มพิกัด 'พร้อมแล้วนะ...ไอ้คนลืมชื่อตัวเอง! ถ้าแกอยากจะออกไปจากที่บ้าๆ นี่ล่ะก็นะ แกจะต้องลงไปข้างล่างนั่น เดี๋ยวนี้เลย...กล้าๆ หน่อยสิวะพวก' ผมปลุกใจตัวเองก่อนจะเดินลากขาไปหาประตู ระหว่างนั้นก็พยายามเงี่ยหูฟังเสียงความเงียบที่ดังมาจากอีกฝั่งไปด้วย พร้อมกับบังคับขาไม่ให้สั่นด้วยความยากเย็นแสนเข็ญอะไรอย่างนั้น "ต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากอีกแล้วสิ" ผมคิดออกมาดังๆ พลางทอดถอนใจเฮือกใหญ่ กระชับบาเร็ตต้ากระบอกน้อยไว้ในมือขวา และในที่สุดผมก็บังคับมือซ้ายที่ถือไฟฉายอยู่ให้เอื้อมไปคีบลูกบิดประตูแล้วเปิดออกไปสู่ความมืดข้างนอกห้องได้สำเร็จเสียที

ห้องคุณราเมศ

ก่อนที่จะทำสิ่งอื่นใดเมื่อออกจากห้องมาเผชิญหน้ากับความมืดของระเบียงทางเดิน ผมตัดสินใจตรงไปยังปีกตึกด้านที่ใกล้ที่สุดก่อนเลยเพื่อทำในสิ่งที่ใจคิดและหวังไว้ค่อนข้างสูง แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังอย่างแรงที่สุดในชีวิต ลูกกุญแจที่มีอยู่ในพวงนี้มีไว้สำหรับประตูลูกบิดเท่านั้น มันไม่ได้มีไว้สำหรับเปิดแม่กุญแจแบบล็อกสายยูเลยสักดอกเดียว...บ้าจริง ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ก็คงไม่ต้องเสียเวลาเดินไปดูที่อีกฝั่งของตัวตึกแล้วล่ะ โคตรจะเซ็งเลยว่ะ แต่ว่าผมก็ยังไม่ยอมแพ้ให้เสียหน้าหรอกนะ ผมตัดสินใจอีกครั้งที่จะลองใช้ลูกกุญแจที่ได้มานี้ไขเข้าไปสำรวจห้องที่เหลือทุกห้องบนชั้นนี้เสียก่อนก็ได้ เผื่อว่าจะเจออะไรที่สามารถใช้งานได้เพิ่มขึ้นมาอีกสักอย่างสองอย่างก็ยังดี หึหึ...ดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนที่คิดรอบคอบและตัดสินใจอะไรได้เข้าท่ามากเลยใช่ไหมล่ะ เอาตามตรงเลยนะ...อันที่จริงแล้ว ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมทำเป็นโยกโย้เถไปทางนั้นทีทางนี้ทีนั่นเป็นเพราะผมกำลังพยายามถ่วงเวลาตัวเองไม่ให้ลงไปพานพบกับความไม่รู้ในความมืดกว่าที่บันไดข้างล่างนั่นเร็วเกินไปต่างหากล่ะ!

07.34น. เวลาหมุนผ่านไปโดยไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ อย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็ต้องจำใจยอมรับว่าการกระทำอะไรแบบนั้นมันช่างสูญเปล่าเสียจริงๆ เพราะนอกจากที่ผมจะไม่ได้อะไรเพิ่มเติมมาเลยสักอย่างแล้ว ผมก็ยังต้องเสียเวลามากมายในการสุ่มหาลูกกุญแจที่ถูกตัองเพื่อไขห้องแต่ละห้องเพียงเพื่อจะได้เข้าไปเจอแต่ห้องสี่เหลี่ยมที่ว่างเปล่าและมืดตื๊ดตีํอเท่านั้นอีกด้วย และที่สำคัญก็คือความจริงที่น่าปวดใจที่ว่า ไม่ว่าจะพยายามประวิงเวลาให้เนิ่นนานออกไปอีกสักแค่ไหนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วผมก็หนีชะตากรรมของตัวเองไม่พ้นอย่างแน่นอน ใช่...ไม่มีใครบนโลกนี้ที่จะสามารถหนีพ้นไปจากชะตากรรมของตัวเองได้ นอกเสียจากจะเป็นผู้บรรลุนิพพานไปแล้ว ซึ่งแน่นอนเช่นกันว่าไม่ใช่ผม ท้ายที่สุด เวลาที่จะต้องลงไปข้างล่างนั่นก็ต้องมาถึงอยู่ดี แถมดูมันจะยิ่งเดินเร็วขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำเมื่อเราพยายามแข็งขืนฝืนเอาไว้

ผมผละจากห้องว่างห้องสุดท้ายมายืนทำใจอยู่ที่เชิงบันไดพร้อมกับสาดแสงไฟฉายเข้าใส่ความมืดด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่างผสมปนเปกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ที่เด่นชัดมากก็คือความตื่นระทึกและหวาดหวั่นจนสัมผัสได้ถึงความเปียกชุ่มชื้นแฉะจากเหงื่อที่ทะลักออกมาเต็มมือที่กำด้ามปืนแน่น แล้วผมก็ฝืนบังคับสองเท้าให้ก้าวลงบันไดสำเร็จจนได้ทั้งที่สั่นจนแทบจะก้าวขาไม่ไหวอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าผมจะค้นพบความกลัวที่เหนือกว่าอาการกลัวความเงียบเข้าให้แล้วล่ะมั้งนี่ สิ่งนั้นก็คือความมืดที่ครอบคลุมกลืนกินบันไดเอาไว้นั่น ซึ่งมันพยายามยัดเยียดความรู้สึกเย็นยะเยือกที่เสียดแทงทะลุเข้าไปถึงไขสันหลังจนเสียววาบๆ อยู่ตลอดเวลาที่ผมเผชิญหน้ากับมัน

และมันก็ทำสำเร็จได้อย่างงดงามโดยทีผมหมดสิ้นปัญญาที่จะต้านทานมันไว้ได้เสียด้วยสิ มันทำให้ผมลืมความเงียบบริสุทธิ์ที่ล้อมรอบตัวไปเสียสนิท ทุกย่างก้าวที่เท้าของผมเหยียบย่างต่ำลงบันไดไปแต่ละขั้น มันยิ่งเพิ่มความกดดันและหวาดกลัวให้ผมขึ้นเป็นทวีคูณ ยิ่งมันรวมตัวเข้ากับความเงียบระดับสงัดและความหวาดระแวงที่แสนจะตื่นระทึกด้วยแล้ว ผมหวังว่าหัวใจของผมคงจะไม่วายตายไปเสียก่อนที่จะได้ออกไปจากที่นี่หรอกนะ ผมพยายามสูดหายใจเข้าออกลึกๆ อย่างเต็มกำลังที่จะสกัดกั้นไม่ให้อาการเซเดทโฟเบียมันฉวยโอกาสแผลงฤทธิ์พ่นพิษซ้ำเติมให้ผมแย่หนักมากไปกว่่านี้

ในที่สุด ผมก็เดินลงมาถึงชานพักบันไดชุดแรก ก่อนที่มันจะวกลงต่ำแบบหักศอกเข้าสู่บันไดทางลงชุดต่อไป แล้วหยุดยืนขาสั่นอยู่ตรงนั้น ความกดดันเพิ่มพูนคูณทวีขึ้นเป็นร้อยเท่า เมื่อมองตามลำแสงไฟฉายลงไปในความมืดเบื้องล่าง หัวใจของผมแทบจะทะลุออกมาแดนซ์กระจายอยู่นอกอก ทันใดนั้นเอง ผมก็ต้องสะดุ้งผวาสุดตัวเกือบจะตีลังกาไปแปดตลบและตบท้ายด้วยสปินสองรอบกลางอากาศก่อนลงถึงพื้น กัดกรามแน่นพร้อมกลั้นหายใจแทบไม่ทันเพี่อไม่ให้เผลอหลุดส่งเสียงกรี้ดวี้ดว้ายกลายเป็นแต๋วไปซะก่อน กับเสียงกึกก้องกังวานที่ดังขึ้นมาจากเชิงบันไดข้างล่างนั่น "โฮ่งๆ!"

สิ้นเสียงชวนหัวใจวายนั้น เจ้าหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวโตที่หน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตรสุดๆ ก็โผล่พรวดเข้ามาในลำแสงของไฟฉาย มันวิ่งปรู๊ดปร๊าดขึ้นบันไดตรงเข้าหาผมด้วยท่าทางที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ามันกำลังดีอกดีใจที่ได้เจอกัน ดวงตาของมันสะท้อนแสงไฟฉายเป็นสีเขียวใสมาแต่ไกล นั่นแปลว่าเจ้าหมาตัวนี้ไม่ได้มีอันตรายใดๆ กับผมอย่างแน่นอน มันกระโจนเข้าตะกุยตะกายใส่ผมโดยไม่มีทีท่าว่าจะมุ่งร้ายแต่อย่างใดพร้อมกับส่งเสียงงื้ดๆ หงิงๆ ตามประสาหมาที่บ่งบอกถึงความเป็นมิตร นี่เองที่ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าเสียงขู่ที่ทำให้ผมต้องรีบหนีจนตาเหลือกเข้าไปในห้องนั้น ก็คงจะเป็นเสียงของเจ้านี่เองสินะ ผมถอนใจอย่างโล่งอก ความตื่นตระหนกของผมก็พลันสลายตัวลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ให้นึกขำกับความปอดแหกจนอดที่จะหัวเราะเยาะหยันตัวเองไม่ได้ ผมนั่งลงลูบหัวลูบตัวมันและมันก็พยายามจะเลียหน้าเลียปากผมอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นกัน

"ว่าไง ทำไมแกถึงมาอยู่ที่นี่ตัวเดียวล่ะ หือ" ผมพูดทักทายพร้อมกับสังเกตเห็นว่ามันสวมปลอกคอผ้าใบอันใหญ่ มีสร้อยคอด็อกแท็กอีกเส้นหนึ่งแขวนห้อยอยู่ใต้คอของมันด้วย ผมจับขึ้นมาส่องไฟฉายดูก็เห็นว่ามีตัวอักษรเอาไว้ด้วย อ่านได้ใจความว่า 'ผมชื่อบรู๊ค ระวัง! อย่าให้ผมอยู่ใกล้...' ตัวอักษรท้ายๆ ดูเลือนๆ ไปเพราะรอยขูดขีด จนทำให้อ่านต่อไม่ได้ ก็เลยไม่ต้องได้รู้กันล่ะว่าป้ายนี่จะบอกใครให้ระวังอย่าให้มันอยู่ใกล้กับอะไร ผมไม่แน่ใจว่า 'บรู๊ค' นี้จะเป็นชื่อของมันหรือชื่อของเจ้าของของมันกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ...เจ้าหมาตัวนี้เป็นหมาเพศผู้ที่โตเต็มวัย และหน้าตาท่าทางของมันดู...คุ้นหูคุ้นตาผมเอามากๆ เลยเหมือนกับว่าเคยเห็นมาก่อนจากที่ไหนก็ไม่รู้

หลังจากที่นั่งลูบหัวลูบท้ายทักทายกันอยู่นานหลายอึดใจ ผมก็วางมือลงบนหัวที่มีขนสีน้ำตาลยาวนุ่มหนาของมันเบาๆ "ไปด้วยกันนะบรู๊ค" ผมเลยตามเลยไปกับการเรียกชื่อนั้น มันเห่าตอบอย่างรู้ภาษาพร้อมกับแกว่งหางไปมา ท่าทางจะถูกฝึกมาเป็นอย่างดีซะด้วยนะเนี่ย ผมขยี้ขนบนหัวของมันก่อนที่จะลุกขึ้นสาดแสงไฟฉายลงไปยังพื้นเบื้องล่าง แล้วค่อยๆ ขยับเท้าก้าวเดินลงบันไดอย่างช้าๆ ถึงจะยังหวั่นใจอยู่ว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาจากความมืดอีกหรือเปล่า แต่อย่างน้อยในตอนนี้ผมก็อุ่นใจขึ้นมาได้นิดหน่อยที่มีเจ้าบรู๊คเดินเคียงข้างมาด้วย ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่หมาก็ตาม แต่มันก็คือสิ่งมีชีวิตตัวแรกที่ผมได้เจอในสถานที่ที่น่าขนลุกนี่

มีแสงไฟสีเหลืองอ่อนสาดแสงทาบบนพื้นคอนกรีตจากทางระเบียงทางเดินด้านขวามือที่เละเทะระเกะระกะไปด้วยสิ่งของแตกหัก และยังมีบันไดทางลงไปสู่ความมืดมิดของชั้นล้างได้อีก อ้าว...ก็ไหนบันทึกนั่นบอกว่าตึกนี้มีแค่สองชั้นไม่ใช่รึ แล้วนี่อะไร...บันไดนี่จะพาลงไปถึงไหนเหรอ บางทีอาจจะนรกล่ะมั้ง แล้วมันจะมีตัวอะไรไต่ขึ้นมาจากข้างล่างนั่นรึเปล่าวะ "บ้าชิบ! จะหลอนตัวเองทำไมเนี่ยหยุดคิดอะไรบ้าบอคอแตกอย่างนั้นเดี๋ยวนี้นะ" ผมกัดกรามพึมพำดุตัวเองก่อนจะรีบปัดความคิดที่ไม่พึงประสงค์ที่ผุดขึ้นมาทิ้งไปโดยเร็ว "แกต้องไปหาห้องคุณราเมศอะไรนั่นไม่ใช่รึไง ช่างหัวบันไดนั่นก่อนเถอะ รีบไปเร็ว!" ผมกระซิบบอกตัวเองเสียงแผ่ว "โฮ่ง" เจ้าบรู๊คส่งเสียงขึ้นเบาๆ แต่ก็ทำเอาผมสะดุ้งโหยงอย่างคนขวัญอ่อนและเมื่อผมมองไปที่มันก็เห็นมันกำลังแกว่งหางไปมาพร้อมกับเงยหน้ามามองผมเช่นกัน แถมเอียงคอเหมือนจะถามว่า 'เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ?' อะไรทำนองนั้น "เปล่า...ไม่มีอะไรหรอกบรู๊ค" ผมพูดกับมัน โอ...ไม่นะ นี่ผมเข้าใจภาษาหมาด้วยล่ะวุ๊ย!

เมื่อเยี่ยมหน้าไปมองดูระเบียงทางเดินที่มีแสงไฟสีเหลืองมัวๆ สาดส่องมานั้นก็เห็นว่าแสงสว่างนั่นมันมาจากห้องเดียวที่เปิดประตูอ้ากว้างอยู่ เป็นแสงจากหลอดไส้แรงเทียนต่ำเหมือนๆ กันกับห้องข้างบนที่ผมเพิ่งจะจากมา ผมลองส่องไฟฉายไปทางด้านซ้ายก็พบว่ามันก็มีแต่ห้องที่ปิดประตูเงียบอยู่ท่ามกลางความมืดไม่ต่างอะไรกับชั้นบนเลย จะมีผิดกันก็แค่ห้องที่มีแสงไฟเท่านั้นที่อยู่คนละฝั่ง ผมตัดสินใจที่จะไม่ไปเสียเวลาไล่เปิดประตูพวกนั้นอีกแล้ว และเมื่อผมหันกลับมาสนใจกับแสงจากห้องที่เปิดอ้าอยู่นั้น ผมก็รู้สึกเหมือนกับกลายร่างเป็นแมลงตัวจ้อยที่บินรี่เข้าหาแสงไฟไปในบัดดล ชั่วอึดใจต่อมาผมเข้ามาอยู่ภายในห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ภายในห้องนี้ก็มีสภาพไม่ต่างอะไรจากห้องข้างบนนั้นเลยในเรื่องของความเละตุ้มเป๊ะ สิ่งของต่างๆ ชำรุดเสียหายกลายเป็นขยะไปแทบทุกชิ้น เจ้าบรู๊คซึ่งวิ่งปรู๊ดนำหน้าผมเข้ามาก่อน มันตรงเข้าสำรวจก้มๆ เงยๆ ดมนู่นนี่นั่นไปทั่วตามประสาหมาของมัน ผมเหน็บปืนพกกระบอกจิ๋วเข้าทีขอบกางเกงด้านหลังข้างๆ สมุดบันทึกอย่างระมัดระวังเพราะไม่อยากเผลอทำปืนลั่นใส่แก้มก้นจนเป็นรูโบ๋ตายไปเสียก่อน ก่อนจะเดินกระย่องกระแย่งข้ามข้าวของที่ล้มระเนระนาดเกลื่อนพื้นตามเข้าไป พร้อมกันนั้นก็กวาดตามองสำรวจไปทั่วห้อง ตอนนี้ผมไม่ได้สนใจว่าจะต้องปิดประตูห้องหรือเปล่าแล้ว เพราะคิดว่าความรู้สึกที่้กิดขึ้นก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นแค่ความคิดมากจนหลอนไปเองทั้งนั้น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้มีอะไรอย่างที่คิดสักหน่อย

ผมตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าแบบน็อกดาวน์สีน้ำตาลทองตรงมุมห้องด้านในซึ่งเป็นอย่างเดียวที่ยังคงตั้งอยู่ดูเป็นปกติดี ไม่ได้ล้มระเนระนาดตามพวกพ้องเฟอร์นิเจอร์ของมันไปด้วยแต่อย่างใด จัดการเปิดประตูตู้ออกทันทีที่เดินไปถึงแล้วก็ต้องย่นหัวคิ้วเข้าชนกันโครมใหญ่ กับสภาพภายในตู้ที่ดูเรียบร้อยจนน่าประหลาดใจเบอร์ใหญ่มาก ทั้งๆ ที่ห้องทั้งห้องกลายเป็นสมรภูมิรบไปแล้วอย่างนี้ เสื้อยืดคอกลมสีขาวหลายตัวและเสื้อเชิ้ตแขนสั้นแบบผู้ชายอีกสามตัวที่ถูกรีดจนเรียบเป็นกลีบคมกริบแทบจะบาดคอคนใส่ให้ตายไปเลย ใส่ไม้แขวนเรียงรายบนราวเป็นระเบียบเนี๊ยบจนเว่อร์ กับกางเกงขายาวทั้งผ้ายีนส์และกางเกงสไตล์ซาฟารีถูกพับเป็นตั้งไว้อย่างดี รวมถึงพวกกางเกงชั้นในและถุงเท้าก็ยังถูกพับหรือม้วนเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ชิดมุมตู้ เหมือนอีตาราเมศอะไรนี่จะเป็นพวกเจ้าระเบียบเกินหน้าเกินตาผู้ชายทั่วไปงั้นแหละ เอ่อ...หมายถึงถ้าเอานิสัยส่วนตัวของผมที่ขี้เกียจตัวเป็นขนกับเรื่องงานบ้านมาเป็นบรรทัดฐานอ่ะนะ

ผมกวาดตามองไปทั่วตู้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เจออะไรอย่างอื่นที่น่าสนใจอีก แต่แล้วสายตาของผมก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่ถูกซุกเอาไว้ใต้กองถุงเท้าและตั้งของกางเกงชั้นในนั่น ผมเอื้อมไปดึงมันออกมาก็พบว่ามันคือซองปืนหนังสีน้ำตาลดำที่มีด้ามปืนสีดำเมื่อมเสียบคาอยู่ "ป้าดติโถ๊ะอะโบ๊ะจะมะฉะแม่เจ้า! อะไรฟะเนี่ย!" ผมอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ก่อนจะดึงเจ้าแม็กนั่มเหยี่ยวทะเลทรายมาร์คเจ็ด สีดำมะเมื่อมออกจากซองของมันมาพลิกซ้ายขวาหน้าหลังล่างบนสำรวจตรวจเช็คสภาพดูอย่างตื่นเต้น เจ้านี่มันน่าจะมีขนาดลำกล้องหกมิลลิเมตรและความยาวลำกล้องราวๆ เจ็ดจุดหกนิ้วเห็นจะได้ โว้วววว!...ยาวกว่าของผมอีกนะเนี่ย เอ่อ...ผมหมายถึงปืนบาเร็ตต้าที่เหน็บเอวของผมอยู่น่ะ มันบรรจุกระสุน .357 แม็กนั่มจำนวนเก้านัดไว้พร้อมเต็มแม็กซ์เสร็จสรรพ ในความรู้สึกของผม...หน้าตาของมันช่างใหญ่ยาวดูดุดันและน่าเกรงขามเป็นยิ่งนัก

ว่าแต่...อาวุธอานุภาพร้ายแรงอย่างนี้มันมาอยู่ในตู้เสื้อผ้าใต้กองกางเกงชั้นในของผู้ดูแลตึกห้องเช่าเนี่ยนะ...ได้ไงวะเนี่ย! ไอ้ปืนแบบนี้มันควรจะอยู่แต่ในเกมประเภทแอ็คชั่นเซอร์ไวเวอร์ประมาณว่าไล่ล่ายิงหัวซอมบึ้อะไรเทือกนั้นไม่ใช่เหรอ เอ๊ะ...หรือว่าอีตาราเมศอะไรนั่นจะเป็นเกมเมอร์ที่คลั่งไคล้อาวุธยุทโธปกรณ์ในเกมจนต้องหาซื้อมาเก็บสะสมไว้...เหรอ? เอาเข้าไป...จะเวิ่นเว้อเบอร์ใหญ่ไปหน่อยแล้วมั้ง...ไอ้คนลืมชื่อตัวเอง! ผมเบรคความคิดของตัวเองก่อนที่จะเตลิดตะเลยไปถึงดาวอังคาร แต่จะยังไงก็ช่างมันเลยเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็มีอาวุธปืนติดตัวอยู่ตั้งสามกระบอกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว บาเร็ตต้ากระบอกจิ๋วบรรจุกระสุนเพียบพร้อมที่เก็บมาจากห้องข้างบนนั่น กับปืนอนุภาพร้ายกาจอย่างเจ้าเหยี่ยวทะเลทรายกระบอกนี้ที่ก็กระสุนเต็มแม็ก์เช่นกัน แล้วก็...ไอ้ที่เหลืออีกหนึ่งกระบอกนั่น เอ่อ...อย่าไปพูดถึงมันเลยดีกว่า ปล่อยให้มันหย่อนโยนโหนห้อยตามประสาอยู่ตรงที่ประจำของมันตรงนั้นแหละดีแล้วล่ะ...เนอะ

ก่อนที่ผมจะเวิ่นเว้อเพ้อหนักไปกว่านี้ "โฮ่งโฮ่ง" เสียงเห่าของเจ้าบรู๊คดังขึ้น และเมื่อผมหันไปมองก็พบว่ามันกำลังยืนอยู่ข้างเตียงนอนที่เละตุ้มเป๊ะพร้อมกับแลบลิ้นใส่และแกว่งหางไปมาทำท่าเหมือนจะบอกว่า "เฮ้ ดูนี่สิ ผมเจออะไรด้วยล่ะ" หรืออะไรเทือกๆ นั้น ก่อนที่มันจะตะกายขาหน้าขึ้นเตียงไปคาบเอาสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ไว้ในปากแล้วหันมองมาที่ผม "อะไรน่ะบรู๊ค แกเจออะไร" ผมถามพร้อมเก็บปืนเข้าซอง ถือมันเดินอ้อมห้องไปหาเจ้าบรู๊ค "อะไรเนี่ย สมุดบันทึกอีกแล้วเหรอ" ผมดึงสมุดนั่นออกจากปากเจ้าหมาหน้ายิ้มพลางวางมือขยี้ขนนุ่มๆ บนหัวของมันเบาๆ ก่อนจะนั่งบนขอบเตียงแล้วหันมาสนใจกับบันทึกในมือ

อันที่จริงมันเป็นสมุดโน๊ตสำหรับเตือนความจำเสียมากกว่า สิ่งที่เขียนลวกๆ ด้วยลายมือไก่เขี่ยขนาดพอๆ กันกับหม้อแกงในโรงทานพวกนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นข้อความสั้นๆ ที่ไม่ได้มีใจความอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อย่างเช่น 'ห้อง 103 เปลี่ยนหลอดไฟห้องน้ำ' หรือ 'นัดซ่อมราวระเบียง 09.00น.' และ 'ลูกกุญแจประตูอยู่ที่ลูกเทพ' เฮ้อ...เสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ๆ ที่จะต้องมาเปิดอ่านอะไรพวกนี้ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลยสักนิด ผมเปิดผ่านๆ ตาอย่างเร็วไปจนถึงกลางเล่ม ข้อความสุดท้ายก่อนที่จะกลายเป็นหน้ากระดาษที่ว่างเปล่านั้นมันทำให้ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อย 'ผู้เช่ารายใหม่ห้อง 210 ค่าเช่าล่วงหน้าสามเดือน 6,400บาท ค้างชำระ 1,400 บาท นัดชำระวันที่สิ...' ข้อความนี้มันดูเหมือนจะเขียนไม่ทันจบประโยคก็มีอันต้องสะดุดหยุดเขียนกลางคัน แบบเดียวกับบันทึกของผู้หญิงห้องข้างบนเลย เอ...มันจะเกี่ยวกันไหมนะ ผมคิด

ผมโยนสมุดโน๊ตนั่นลงไปบนที่นอนเละๆ ตามเดิมอย่างไม่ใส่ใจ เจ้าบรู๊คทำเสียงงื้ดๆ หงิงๆในลำคอและกำลังมองหน้าผมพร้อมแกว่งหางคล้ายกับจะอยากถามว่าเป็นไง เจออะไรมั้ย ทำนองนั้นแหละ ผมขยี้หัวมัน "ก็แค่สมุดโน๊ตน่ะ ไม่มีอะไรหรอก" ผมบอกกับมันก่อนที่จะปลดเข็มขัดที่เอวเพื่อที่จะร้อยซองปืนเข้ากับหูกางเกงไปเหน็บไว้ข้างเอวเพื่อจะได้ไม่ต้องถือมันอยู่ตลอดเวลาให้หนัก และไม่ลืมคลำดูเจ้าบาเร็ตต้ากระบอกจิ๋วที่เหน็บไว้ที่ก้นเคียงข้างกับสมุดบันทึกให้แน่ใจว่ามันยังอยู่ดีไม่หนีไปไหน จากนั้นก็มองไปรอบๆ ห้องอีกครั้งด้วยความหวังว่าจะเจอสิ่งของอื่นใดที่อาจจะเป็นประโยชน์ได้อีกก็เป็นได้ แล้วก็ไม่เสียใจเลย เมื่อเจอเข้ากับกระเป๋าเป้สะพายไหล่สีดำตกอยู่ที่ปลายเตียงและเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก๊อตสีขาวแดงพาดอยู่กับราวตากผ้าที่ล้มตะแคงขวางประตูห้องน้ำ ดีเลย...ผมกำลังต้องการกระเป๋าสำหรับใส่ของจุกจิกอยู่พอดี ผมจัดการย้ายสมุดบันทึกกับปืนพกมาใส่ไว้ในกระเป๋าเป้แทนแล้วสะพายเอาไว้ ก่อนจะสวมเสื้อเชิ้ตทับลงไป เป็นการป้องกันไม่ให้กระเป๋ากระเด็นหลุดไปห่างตัวถ้าเกิดสะดุดหกล้มขึ้นมา

ในหัวของผมกลับมาวุ่นวายคิดอยู่กับเรื่องทางที่ผมจะไปต่อหลังจากที่ออกจากห้องนี้อีกครั้ง ทั้งๆ ที่มันก็ไม่น่าจะมีอะไรให้คิดมากมายเลยสักนิด ก็เห็นกันอยู่โต้งๆ ก่อนจะเข้ามาในห้องนี้แล้วว่า มันก็มีแค่เพียงบันไดทางลงไปชั้นล่างที่อยู่ตรงนั้นเท่านั้นที่จะเป็นทางที่ผมจะไปต่อได้ แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจของผมอยู่ตลอดเวลาก็คือความไม่รู้ของผมเองนี่แหละ ในบันทึกของผู้หญิงที่ชื่อลินดานั่น ผมไม่แน่ใจในประโยคที่เธอเขียนบอกว่า 'ถึงแม้จะลงไปแค่ชั้นล่างแค่ชั้นเดียว' นั้นมันควรจะหมายถึงว่าตึกนี้มีแค่สองชั้นเท่านั้นหรือจะหมายถึงนับจากชั้นบนลงมาชั้นเดียวกันแน่นะ ถ้ามันเป็นอย่างแรก... แล้วบันไดทางลงนั่นล่ะ...มันโผล่มาจากไหน!?

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!