NovelToon NovelToon

ดิโอเปอเรเตอร์: ผู้ควบคุม

เรื่องมันมีอยู่ว่า...

หวัดดี...ผมชื่อชาตรี ผมอายุ44ปี บ้านเกิดของผมอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ผมอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์โทรมๆ ราคาถูกแห่งหนึ่งย่านชานเมือง ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยมีทุกอย่างเท่าที่มนุษย์เงินเดือนพึงจะมีได้ หน้าที่การงานที่ดี ทั้งสถานะทางสังคมที่ยอดเยี่ยม ผู้คนนับหน้าถือตา เคยมีชีวิตหลังแต่งงานที่สงบสุขและราบรื่นมาตั้งเกือบยี่สิบปี เคยอยู่ในบ้านหล้งใหญ่ที่แสนสบาย มีรถขับ มีเงินใช้ไม่เคยขาดมือ...ฟังดูชีวิตผมก็โอเคดีใช่ไหมล่ะ

นั่นดิ...แล้วไปไงมาไงทำไมถึงมาตกอับอยู่ในสถานที่แบบนี้ได้ล่ะ...พวกคุณบางคนอาจจะสงสัย และคงมีอีกไม่น้อยที่ไม่สนใจเพราะมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรที่คุณจะต้องมาอยากรู้เรื่องราวของผมซะหน่อย...จริงมั้ย? แต่ไม่ว่าจะยังไง...ผมก็จะเหลา เพราะอยากจะเล่าให้พวกคุณได้รับรู้อยู่ดี...ผมไม่บังอาจไปบังคับให้พวกคุณต้องอ่านหรอกนะ แค่อยากให้พวกคุณอ่านเรื่องของผมจบจนถึงบทสุดท้ายเสียก่อน หลังจากนั้นพวกคุณก็ค่อยติดสินใจอีกที...ว่าจะอ่านหรือไม่อ่านดี โอเคนะ...เยี่ยมเลย เรามาเริ่มกันเถอะ

ช่วงสามปีที่อายุผ่านเข้าเลขสี่มานี้ อะไรๆ รอบตัวผมมันก็ดูแย่ไปเสียหมดทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่มีปากเสียงกับเมียด้วยเรื่องผู้หญิงที่ผมบังเอิญได้รู้จักคนนั้น ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าความสนิทสนมกันอย่างรวดเร็วกับเธอมันจะบานปลายจนกระทั่งปลายไปบานอยู่ในโรงแรมม่านรูดในคืนที่เหล้ามันพาไปหลังจากจบงานฉลองพนักงานบริษัทคืนนั้น พูดแล้วจะหาว่าขิง...เอาจริงๆ ให้ดิ้นตาย เธอเป็นฝ่ายเข้าหาผมเองเลยแหละ เป็นคุณจะทำไงถ้ามีผู้หญิงที่ทั้งสวยและเชฟบ๊ะขนาดนั้นเข้ามากระซี้กระซิกด้วยน่ะ...ใครจะไปอดใจไหว...ใช่ไหมล่ะ?! แค่เธอจิกตามองพร้อมกับส่งยิ้มที่มุมปากอวบอิ่มและแดงแช๊ดมาให้ ผมก็เดินตามเธอต้อยๆ อย่างกับถูกมนตร์สะกดแล้ว ไม่ถึงสองอาทิตย์ต่อมาเมียผมก็จับได้คาหนังคาเขา ตอนที่ผมกับผู้หญิงคนนั้นกำลังเข้าเข็มเข้าด้ายเพราะปลายบานกันอยู่ในม่านรูดห้องประจำ ผมไม่รู้ว่าถูกแอบสะกดรอยตามมาตั้งแต่ตอนไหน รู้เพียงแค่หลังจากนั้น...เราก็บ้านแตกพร้อมกับหัวผมที่ถูกเธอทุบแทบจะบุบด้วยขวดเบียร์ไปเลยน่ะสิ

ผมต้องระเห็จออกมาจากบ้านที่เคยเป็นเรือนหอของเราโดยที่มีสมบัติติดตัวแค่ปิกอัพหนึ่งคันที่ผมยังต้องส่งค่างวดต่อไปอีกราวครึ่งปี กับกระเป๋าใส่เสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นเข้ามาอยู่ในห้องเช่าโทรมๆ ราคาถูกแห่งนี้ไง และเชื่อผมเถอะ...ถ้าคุณปล่อยให้ความซวยเข้ามาเยือนในชีวิตได้ครั้งหนึ่งแล้วล่ะก็ เตรียมใจไว้ได้เลย...มันจะไม่ยอมสร่างซาไปง่ายๆ หรอก เพราะครั้งต่อๆ ไปก็จะวิ่งตามกันเข้ามาเป็นพรวน! ไม่รู้ว่าทางบริษัทรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ไม่ถึงอาทิตย์ต่อมา...ซองขาวก็ถูกร่อนมายัดใส่มือผมพร้อมจดหมายเชิญออก...ด้วยเหตุผลที่ว่า 'ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่การเป็นผู้นำในองค์กร' นั่นเองที่ทำให้บทบาทของผู้จัดการแผนกของผมมีอันต้องจบลงโดยไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ

ชีวิตของผมมันยังเฮงซวยมากกว่านี้ได้อีกนะ หลังจากนั้นไม่กี่วันเพื่อนรักที่คบกันมานานเกือบยี่สิบปีก็กลับมาหักเหลี่ยมโหดใส่ผมได้อย่างเลือดเย็นที่สุด แต่จะว่าไปก็ไปโทษมันฝ่ายเดียวก็คงไม่ถูกนัก เพราะผมเองนี่แหละที่ดันไปเห็นเป็นสิ่งดีงามไปกับมันด้วย ทั้งที่สมควรจะห้ามปรามเสียมากกว่า...เห็นว่าเพื่อนกำลังเดือดร้อนโดนนักเลงคุมโต๊ะบอลตามกระทืบเอา สาเหตุมาจากติดหนี้พนันบอลเป็นเงินตั้งครึ่งแสนแล้วไม่มีปัญญาใช้คืน จนต้องมานั่งปรับทุกข์กับผมขอให้ช่วยหาทางออกให้ ก็รู้แหละว่าลำพังตัวเองยังเอาไม่รอด ทั้งตกงานทั้งหางานใหม่ก็ยังไม่ได้ แต่ก็นะ...เพื่อนทั้งคนเชียวนะ เมื่อมันเกิดเดือดร้อนขึ้นมา ผมในฐานะเพื่อนก็ต้องพยายามหาทางช่วยสิ จะทิ้งให้มันเป็นไปตามยถากรรมได้ไง คิดกันไปปรึกษากันมาก็มาลงเอยด้วยการกู้ยืมเงินนอกระบบที่มันบังเอิญหันไปเจอใบปลิวโฆษณาเงินกู้ซึ่งแปะไว้ตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ตรงเสาไฟที่เรานั่งคุยกันอยู่ อะไรมันจะเหมาะเจาะขนาดนั้น

"สงสัยว่าต้องลองใช้บริการแล้วล่ะว่ะ" มันพูดกับผม ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่คิดจะห้ามปรามมัน "เขาบอกว่าต้องมีคนค้ำประกันด้วยว่ะ...เอาไงดีวะไอ้ตรี" มันหันมาถามผมหลังจากที่โทรไปถามรายละเอียดตามเบอร์โทรนั่น ด้วยความที่ต่างคนต่างก็จนตรอกด้วยกันทั้งคู่ หัวก็เลยทื่อมะลื่อจนคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออก นั่นแหละ...ก็เลยกลายเป็นว่าตัวผมเองที่อาสาเป็นคนค้ำให้มันด้วยความเต็มใจทั้งที่ไม่น่าจะเต็มใจเลยสักนิด หารู้ไม่ว่ามันเข้าอีหรอบหนีเสือปะจระเข้ชัดๆ แถมยังจะหนักกว่าเก่าด้วยซ้ำ ใครๆ ก็รู้ว่าพวกหมวกกันน็อคมันเหี้ยมโหดตะโปดออดขนาดไหน ดีไม่ดีจะมหำโหดยิ่งกว่าพวกนักเลงคุมโต๊ะบอลเสียด้วยซ้ำไป เพราะคุณอาจจะได้ไปลงเอยด้วยการนั่งยางโชว์ชาวบ้านเล่น...ก็เป็นได้!

ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมถูกมันถีบหัวส่งเข้าสู่ความมืดแปดด้านไปเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีใครให้หันหน้าไปพึ่งพาอาศัยได้เลยสักคน เงินตั้งห้าหมื่นพร้อมดอกเบี้ยร้อยละยี่เชียวนะที่มันทิ้งเอาไว้ให้ผมดูต่างหน้า ผมกดโทรตามมันจนโทรศัพท์แทบจะลุกเป็นไฟ มีแต่เสียงผู้หญิงตอบกลับมาแทนตลอด "ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก" หนักเข้าเธอก็บอกมาดื้อๆว่า "หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่เปิดบริการค่ะ" ผมนี่แทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งและตกอยู่ในสภาพจนตรอดอย่างแท้ทรูก็คราวนี้เอง นี่ก็ใกล้ถึงวันจ่ายดอกของเดือนที่สองเข้ามาทุกที ส่วนเงินต้นไปต้องพูดถึงมันให้ปวดตับเลยจะเป็นพระคุณอย่างใหญ่หลวง ไม่มีปัญญาหรอกครับ แค่ดอกเบี้ยหลักหมื่นนี่ก็อ้วกออกมาทั้งไส้นอนตายกลายเป็นเขียดตากแห้งแล้ว ส่วนเรื่องการที่จะตามไปทวงถึงที่บ้านของมันนั้นก็ลืมไปได้เลยเพราะว่าไอ้มาวินมันก็เป็นประเภทไร้ญาติขาดเมียเหมือนกันกับผมเป๊ะ โบราณเขาถึงว่าไว้...ฝนตกขี้หมูไหล คนที่มีอะไรเหมือนๆกันมักจะดึงดูดเข้าหากัน! ชีวิตบัดซบระดับสิบจริงๆ เฮ้อ...บ่นมาจนเหนื่อยเลยผม

เอาเถอะ ถึงยังไงชีวิตมันต้องเดินหน้าต่อไปล่ะนะ นี่ก็เกือบสามเดือนเข้าไปแล้วที่ผมยังหางานใหม่ไม่ได้เลย ท่อน้ำเลี้ยงจึงอุดตันสนิทสวนทางกับรายจ่ายที่ประเดประดังเข้าใส่จนหัวฟูหน้ายู่ยี่ ตำแหน่งงานผู้จัดการแผนกอย่างที่เคยทำก็ไม่มีที่ไหนประกาศรับสมัครให้เห็นเลยสักที่ เห็นทีว่าผมคงต้องลดสเปคงานลงมาให้ต่ำที่สุดเท่าที่อีโก้ของผมมันจะยอมรับได้เสียแล้วล่ะ เกือบจะตลอดเวลาวันละหลายชั่วโมงที่ผมก้มหน้าก้มตาจมอยู่กับหนังสือพิมพ์และมือถือที่ต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตราคาถูกความเร็วระดับหอยทากลากสปีด สูบบุหรี่แทบจะมวนต่อมวนจนที่เขี่ยบุหรี่พอกพูนอย่างกับเป็นอนุสาวรีย์ถุงลมโป่งพองไปแล้ว พยายามค้นหางานอะไรก็ได้ที่จะช่วยต่อลมหายใจให้ยาวออกไปอีกหน่อย เงินทดแทนการเลิกจ้างที่ได้มาก็ร่อยหรอลงและหมดไปรวดเร็วเหมือนกับมันละลายกลายเป็นไอน้ำโดนแดดได้งั้นแหละ

อีกแค่ห้านาทีจะหกโมงเย็นซึ่งจวนได้เวลานัดแล้ว เป็นความเครียดระดับที่จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ทุกวินาทีมันพุ่งปรี้ดจนปวดขมับตุบๆ เมื่อสามวันก่อนเจ้าของห้องเช่ามาเคาะประตูทวงค่าเช่าที่ค้างจ่ายมาสองเดือน ซึ่งผมประสบความสำเร็จในการตอแหลเจรจาขอยืดเวลาจ่ายค่าเช่าออกไปได้อีกสามวัน "มะรืนนี้หกโมงเย็นนะยะ!" เสียงยัยมนุษย์ป้าดังก้องไปมาในหัวผมตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมา...บ้าไปแล้ว! แค่สามวันผมจะไปหามาจากไหนได้ทันวะ เงินในบัญชีของผมมันก็เหลือติดอยู่แปดสิบบาทไม่พอจะซื้อพิซซ่าได้ด้วยซ้ำ ที่สำคัญคือ...มันกดออกมาใช้ไม่ได้! ยังดีที่ผมรอบคอบพอที่จะซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จติดห้องกล่องใหญ่ไว้กันตายไปได้อีกเกือบเดือน แค่คิดถึงเส้นเหลืองๆที่พองอืดอยู่ในชามผมก็แทงจะอ้วกแล้ว...แหวะ!

และสามวันที่ว่าก็กำลังจะหมดลงไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว มันคือเวลาที่มนุษย์ป้าจะมาทวงเงินค่าห้อง! เห็นทีต้องทำใจกล้าหน้าด้านยอมฟังนางสำรากคำเยินยอเพราะผมจำเป็นที่จะขอผลัดวันออกไปอีกหน่อย ผมกล้ำกลืนอาการปั่นป่วนมวนวูบโหวงในช่องท้องเมื่อคิดถึงเรื่องสยองที่กำลังจะเกิดขึ้น รู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตห่วยๆ อย่างช่วยไม่ได้ ทิ้งตัวลงนอนแผ่อย่างหมดแรงบนเตียงแคบๆ ที่ยับยู่ยี่ ซกมกและรกรุงรังไปด้วยหนังสือพิมพ์ประกาศรับสมัครงานที่มีแต่รอยกากบาททิ้งจนเกือบเต็มหน้าทุกฉบับ ผมคว้ามันขึ้นมาหนึ่งแผ่นกวาดตาดูผ่านๆ อย่างคนหมดอาลัยตายอยากที่ไม่มีความหวังอะไรในชีวิตต่อไปอีกแล้ว...แต่แล้วผมก็เห็นมัน!

กรอบเล็กๆ ตรงมุมด้านล่างซ้ายนั่นไม่รู้ว่าหลงหูหลงตาไปได้อย่างไรเ หมือนกับว่ามันเพิ่งจะโผล่ขึ้นมาจากเนื้อกระดาษเอาตอนนี้งั้นแหละ

'รับสมัครผู้ดูแลความเรียบร้อยในสถานที่ด่วน ไม่จำกัดวุฒิ ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ ค่าตอบแทน 3,000บาทต่อชั่วโมง สนใจติดต่อ โทร.088 888 8880 ตลอด24ชั่วโมง'

ผมขยี้ตาพร้อมกับดีดตัวลุกขึ้นมานั่งอ่านซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าสายตาไม่ได้หลอกตัวเอง ผู้ดูแลความเรียบร้อยในสถานที่เหรอ งานบ้าอะไรวะนั่น! แต่ที่ดึงดูดสายตาที่สุดก็ตรงชั่วโมงละ 3,000 บาทนี่แหละ ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ยะ ใครมาลงประกาศมั่วซั่วอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ ไม่มีการพิสูจน์อักษรกันก่อนตีพิมพ์รึไง ถึงแม้ผมจะไม่แน่ใจว่านี่มันเป็นเรื่องเล่นตลกของใครหรือเปล่า แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าหัวใจของผมพองโตคับอกด้วยความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ผมรีบคว้าโทรศัพท์อย่างไวและไม่ลังเลที่จะกดเบอร์โทรแปลกๆ นั่นอย่างรวดเร็ว กลัวจะพลาดโอกาสเพราะมีคนสมัครตัดหน้าไปเสียก่อน ลองดูวะ...ยังไงก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี่หว่า นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

เสียงตื้ดแรกดังยังไม่ทันจบ ก็ถูกปลายสายก็กดรับ เหมือนกับว่ากำลังรอให้ผมโทรมาอยู่ก่อนแล้ว... รับเร็วเกินไปรึเปล่าวะ...ผมคิด "สวัสดีครับ คือ...ผมเห็นประกาศรับสมัครงาน" ผมพูดอย่างไม่แน่ใจ "ครับ...ขอบคุณที่โทรหาเรา ยินดีต้อนรับผู้ร่วมงานคนใหม่ คุณพร้อมที่จะทำงานคืนพรุ่งนี้เลยใช่ไหมครับ" เห้ย! นี่มันกะจะมัดมือชกกันแบบนี้เลยเหรอวะเนี่ยะ! "ขอหมายเลขบัญชีธนาคารของคุณด้วยครับ เราจะจ่ายค่าแรงล่วงหน้าให้คุณหนึ่งวัน หลังจากนั้นถ้าคุณยังสามารถทำงานต่อไปได้ เราจะจ่ายให้คุณหลังหมดเวลางานในแต่ละวันทันที ส่วนรายละเอียดงานเราจะมีให้คุณตอนที่คุณมาถึงนะครับ"

เสียงนุ่มๆ ของผู้ชายจากปลายสายพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนหุ่นยนต์ และนั่นทำให้ผมรู้สึกว่าเกิดอาการมึนๆ เบลอๆ จากน้ำเสียงของเขาขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ถึงแม้จะมีเสียงเล็กๆ จากมุมหนึ่งของจิตใต้สำนึกของตัวเองกู่ร้องคัดค้านขึ้นมาว่านี่มันไม่แปลกไปหน่อยรึไง...อยู่ดีๆ ใครก็ไม่รู้มาบอกว่าจะจ่ายเงินให้ก่อนทั้งที่ยังไม่ได้เริ่มทำงานเลย...ไม่สิ ทั้งที่ผมยังไม่ได้รับปากว่าจะทำงานให้เลยด้วยซ้ำไปต่างหากล่ะ แต่มันก็เป็นเหมือนแค่เพียงเสียงแมลงกรีดปีกที่ดังมาจากดินแดนที่ไกลแสนไกลจนผมไม่คิดจะหยุดใส่ใจจะฟังมัน...ก็ใครจะไปสนล่ะ ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าผมบอกหมายเลขบัญชีให้เขาไปตอนไหน "ดีครับ...เราจะส่งผู้นำทางไปให้คุณ กรุณามาให้ตรงเวลาพรุ่งนี้หกโมงเย็นนะครับ ยินดีที่ได้ร่วมงาน สวัสดี" แล้วสายก็ตัดไปทันที

ผมนั่งนิ่งอึ้งงงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ มือก็ยังถือโทรศัพท์แนบหูค้างไว้อย่างนั้นเหมือนถูกสะกดจิต อึดใจต่อมาเสียงเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นพร้อมกับการสั่นเบาๆ ทำให้ผมได้สติและดึงมันออกจากหูมาดู คุณพระ! ผมต้องตาลุกโพลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ โอพระเจ้าจ๊อด...มันยอดด้วน! มันคือเสียงแจ้งเตือนว่ามีเงินเข้ามาในบัญชีธนาคารของผม 36,000บาท ผมแทบจะเก็บอาการตื่นเต้นดีใจเอาไว้ไม่อยู่ มือไม้สั่นไปหมดตอนที่ลนลานเปิดแอปธนาคารดูให้แน่ใจ ใช่แล้ว! ยอดเงินคงเหลือของผมมันอยู่ที่ 36,080.00บาทไม่ผิดแน่

ด้วยค่าแรงขนาดนี้ บวกลบสะระตะแล้ว นั่นหมายความว่าผมต้องทำงานสิบสองชั่วโมงต่อวันตั้งแต่หกโมงเย็นถึงหกโมงเช้า...มันเกินเวลาทำงานปกติไปสี่ชั่วโมง แต่เทียบกับค่าจ้างรายชั่วโมงแล้วผมก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหายังไง จะมีงานที่ไหนจ่ายค่าจ้างบ้าระห่ำอย่างที่นี่อีกไหม ถึงแม้ส่วนลึกในใจมันจะมีคำถามขึ้นมาว่านี่มันพิลึกพิลั่นเกินไปหน่อยเหรอ และผมรู้สึกถึงความกังวลนั้นก็รบกวนจิตใจตลอดเวลาเกี่ยวกับความแปลกประหลาดของผู้จ้างงานรายนี้ แต่ถึงอย่างไรความตื่นเต้นกับจำนวนเงินที่ได้รับและจะได้รับอีกถ้า...ถ้าผมยังสามารถทำงานต่อได้อีก!? เอ่...มันหมายความว่าไงวะนั่น! ความนึกคิดทั้งหมดทั้งมวลของผมมีอันต้องสะดุดลงเพราะสะดุ้งสุดตัวกับเสียงเคาะประตูรัวๆเกือบจะเป็นจังหวะสามช่า ดังสนั่นชวนผวาตามแบบฉบับของมนุษย์ป้าเจ้าของห้องพักนั่นเอง ผมมองดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์...หกโมงตรงเคารพธงชาติ...เวลานัดเป๊ะๆ ตรงเวลาจุงเบยนะป้า! ผมคิดก่อนจะลุกพรวดพราดไปเปิดประตูก่อนที่มนุษย์ป้าจะพังประตูเข้ามาข้างในเสียก่อน

สังหรณ์

ผมจัดการจ่ายเงินค่าห้องให้มนุษย์ป้าสำเร็จลงๆ ได้อย่างทุลักทุเล เพราะป้าแกไม่สันทัดกับเรื่องเทคโนโลยีเอาเสียเลย นางยืนยันที่จะรับเป็นเงินสดเท่านั้น ผมเลยจำเป็นต้องเดินออกไปกดเงินที่ตู้ATMหน้าร้านสะดวกซื้อตรงปากซอยมาให้นาง ผมแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าสารรูปของผมตอนนี้จะต้องทำให้สาวแคชเชียร์ในร้านคนนั้นที่บังเอิญหันมาเห็นผมยืนอยู่ที่ตู้กดเงิน จะต้องเกิดอาการผวาแปดตลบกับลุคผู้ชายทรงโจรที่มาปล้นจริงจังเป็นแน่แท้ทรู ด้วยผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรังหนวดเคราไม่ได้โกนมาหลายวันพร้อมเสื้อผ้ายับยู่ยี่พอๆกับใบหน้าในบรรยากาศโพล้เพล้จวนจะมืดแบบนี้ ไม่แน่ว่าจะมีกลิ่นตุๆ แถมไปด้วยหรือเปล่า โห...ชีวิตหรือวะเนี่ยะ! เมื่อกดเงินเสร็จผมถือโอกาสแวะเข้าไปซื้อเบียร์กระป๋องมาครึ่งโหลพร้อมกับบุหรี่หนึ่งคอตตอลและแกล้มนิดหน่อยจากร้านสะวกซื้อ โดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจสายตาหวาดระแวงของบรรดาพนักงานในร้านที่จับจ้องมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ผมอดขำจนยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเหลือบตามองดูสีหน้าโล่งใจของพวกเขาและเธอขณะที่ผมกำลังเดินออกจากร้านมา

กว่าทุกอย่างในด่านนี้จะจบลงได้ ยังมีสิ่งที่ผมรับรู้อีกแย่างก็คือ...ด้วยระยะทางเพียงแค่นี้ทั้งที่ไม่ได้รีบเร่งเดินหรือวิ่งสักหน่อย แต่ทำไมมันถึงได้ทำให้ผมเหนื่อยจนออกอาการหอบหายใจแรงได้ขนาดนี้ และผมก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าพักหลังมานี้ จะมีเสลดติดคอบ่อยๆ จนต้องกระแอมรัวๆ เพื่อเคลียร์ให้คอโล่ง แถมบางครั้งหายใจแล้วมีเสียงวี้ดๆ ดังออกมาจากในลำคออีกด้วย เมื่อกลับมาถึงที่พัก...ผมต้องทนเจอกับพายุลมปากของมนุษย์ป้าเข้าอีกชุดใหญ่กับเรื่องที่ผมขอผัดผ่อนค่าห้องนางนั่นแหละ สรุปใจความก็คือ...ด่าล่วงหน้าเอาไว้ก่อนกันผมผลัดค่าเช่าในครั้งต่อไปนั่นเอง มองการณ์ไกลจริงๆเลยป้า! แต่ผมก็สบายอกสบายใจเกินกว่าจะมานั่งถือสาป้าแก เป็นครั้งแรกที่ผรู้สึกผ่อนคลายนับจากวันที่ฝ่ามรสุมชีวิตอันแสนหนักหน่วงมาตลอดครึ่งปีหลังนี้

ปาเข้าไปจะห้าทุ่มแล้ว ผมเลิกเล่นโซเชียลซึ่งเป็นความบันเทิงเพียงอย่างเดียวที่มีอยู่ในตอนนี้ก่อนจะโยนโทรศัพท์ไปที่ีข้างหมอนหนุนที่กำลังเน่าได้ที่ แต่ก็ยังคงนั่งอยู่บนขอบเตียงในแสงสีเหลืองสลัวจากโคมไฟตั้งโต๊ะหัวเตียงที่เปิดไว้ มือซ้ายถือกระป๋องเบียร์มือขวาคีบุหรี่ที่เพิ่งจุดอัดควันเข้าปอดช้าๆ ขณะที่เริ่มหวนกลับมาครุ่นคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ชั่งโมงที่ผ่านมา ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอยู่ๆ ผมก็ได้งานทำโดยที่ไม่ต้องส่งใบสมัครหรือเรซูเม่หรือแม้แต่สัมภาษณ์งานให้เหนื่อยเมื่อยสองตุ้มเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเหมือนไอ้บ้าที่ตะบี้ตะบันค้นหางานอย่างเอาเป็นเอาตายยังไงก็หาไม่เจออยู่เลย

อืม...ว่าแต่ตำแหน่งผู้ดูแลความเรียบร้อยในสถานที่นี่มันเป็นยังไงนะ ทำไมพวกนั้นถึงได้ต้องการคนทำงานมากถึงขนาดกล้าไว้ใจโอนเงินตั้งสามหมื่นกว่าบาทมาให้ผมก่อนทั้งที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ากันเลยสักนิด อีกอย่าง...พวกนั้นไม่แม้แต่จะถามชื่อที่อยู่หรือรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผมเลยสักคำ ไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าเกิดผมเชิดเงินหนีไป เอ่อ...เดี๋ยวนะ...ผมทำอย่างนั้นไม่ได้อยู่แล้วนี่นา ตำรวจสมัยนี้แกะรอยเก่งจะตายไป แค่สืบจากเลขบัญชีธนาคารของผมไม่กี่ชั่วโมงผมก็คงต้องเดินเหงาๆ เข้าฮ่องกงแหง๋ๆสิ

แล้วผู้ชายที่รับโทรศัพท์นั่นดูจะมั่นอกมั่นใจว่ายังไงผมก็ไม่มีทางปฏิเสธงานนี้ได้ อย่างกับว่าเขารับรู้ถึงความจนตรอกของผมที่มันกำลังบีบบังคับไล่งับจับไข่ผมอยู่งั้นแหละ ที่สำคัญตอนนี้ผมก็ได้เริ่มใช้เงินของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าเกิดว่าพวกนั้นเปลี่ยนใจเรียกเอาเงินคืนตอนนี้ ผมจะทำยังไงดีวะ แต่ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่...เท่าที่ฟังผู้ชายคนนั้นพูดมา พวกเขากำลังต้องการคนทำงานนั่นชนิดเร่งด่วนมากถึงมากที่สุดอย่างแน่นอน...ผมมั่นใจในเรื่องนี้ แล้วที่บอกว่า...ถ้าผมยังสามารถจะทำงานต่อไปได้นั้นมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ หรือมันเป็นงานที่ยากมากจนพวกเขากลัวว่าผมจะถอดใจเพราะไปไม่รอดงั้นรึ จะอะไรยังไงก็ไม่มีการอ้าแง้มแย้มคำใบ้ให้ผมได้คิดต่อเลยสักนิด

เฮ้อ! พายเรือในอ่างชัดๆ...คิดไปคิดมาก็วนกลับมาที่คำถามเดิมอีกจนได้สิน่า ผมถอนใจยาวอัดควันเข้าปอดอีกครั้งพยายามหาช่องว่างในกองอนุสาวรีย์เพื่อจะยัดก้นบุหรี่เข้าไปและดับมันจนได้ ซดเบียร์กระป๋องสุดท้ายจนเกลี้ยงก่อนจะโยนมันทิ้งลงพื้นข้างเตียง ไม่ได้ดื่มมาซะนานก็ชักจะมึนค่อนไปทางเมามากเสียแล้วสิ ผมขยับขึ้นเตียงแล้วล้มตัวลงนอนแผ่ตัดสินใจว่าจะเลิกคิดหาเหตุผลในเรื่องที่ไม่มีเหตุผลนี่เสียที เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ผมจะไปตามที่เขานัดก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ขอนอนก่อนดีกว่า คิดมาถึงตรงนี้ผมก็ผล็อยหลับแบบปุบปับเหมือนสับสวิตช์

ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเสียงทุบอะไรสักอย่างดังปึงๆ อยู่ใกล้ๆ หู ผมขยับตัวงัวเงียลุกขึ้นนั่งเบลออยู่ครู่ใหญ่เพราะมึนหัวจากฤทธิ์เบียร์ รู้สึกแน่นหน้าอกนิดหน่อยและรับรู้ถึงความเหนียวหนืดของเสลดในลำคอจนต้องกระแอมอยู่ตั้งหลายครั้ง กว่าที่เสลดจอมดื้อจะหลุดออกจากคอเพื่อให้ผมกลืนมันกลับลงไปในท้อง และนั่นก็ทำให้คอผมก็โล่งขึ้นมาอีกหน่อยนึง ทั้งห้องมืดตื๊ดตื๋อเพราะแสงโคมไฟหัวเตียงถูกปิดไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เสียงทุบปึงๆ นั่นก็ยังดังอยู่ไม่หยุดหย่อน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นจังหวะเนิบๆ ช้าๆ คล้ายกับว่าคนทุบกำลังอ่อนล้าโรยแรงเต็มที แต่มันก็ยังดังเสะเทือนเข้าไปในอกอยู่ดี เหมือนเหมือนเสียงเบสจากลำโพงคอนเสิร์ตที่ถูกยืดจนยาน เมื่อผมรวบรวมสติกลับคืนมาได้ความขุ่นมัวก็เริ่มปะทุขึ้นในอารมณ์แล้วทวีคูณขึ้นกลายเป็นโมโห "เชี่ยเอ๊ย!ไอ้บ้าที่ไหนมันมาทุบอะไรหาพ่องตอนนี้วะ!" ผมพึมพำสบถพร้อมกับควานมือหาโทรศัพท์จนเจอแล้วกดเปิดดูเวลา '03:13น.' ผมส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เอี้ยวตัวเพื่อเอื้อมมือไปเพื่อจะเปิดไฟหัวเตียงทแต่...

ไม่มี! ไม่มีอะไรเลย...ได้ไงวะ!? โต๊ะหัวเตียง โคมไฟ กองหนังสือพิมพ์ อนุสาวรีย์ก้นบุหรี่แม้กระทั่งพื้นห้องที่รกเหมือนชุมชนมิกกี้เมาส์ของผมมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ในแสงสีขาวมัวๆ ของหน้าจอโทรศัพท์นั้นผมลองควานมือไปรอบๆ ตัวเท่าที่จะเอื้อมถึง แต่มันก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงนอนกับความมืดทึมทึบที่อยู่รอบตัวผม ความตื่นตระหนกถาโถมเข้าใส่อย่างรุนแรง ผมทะลึ่งพรวดลุกจากเตียง ลนลานรีบเปิดไฟฉายจากมือถือขึ้นส่องไปรอบตัว หัวใจรัวกระหน่ำเต้นโครมครามแทบจะทะลุออกมานอกอกชนิดที่ว่า ถ้าแข่งกับเสียงทุบนั่นแล้ว ก็จัดได้ว่าดังสูสีกันเลยทีเดียว ประตู หน้าต่างและผนังห้องหายไปหมดทั้งสี่ด้านถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดเหมือนหลุมดำที่มองไม่เห็นแม้แต่โครงร่างของสิ่งใดๆ รัศมีแสงสว่างจากไฟฉายกลายเป็นลูกกลมที่ทำจากแสงขนาดพอๆ กับลูกฟุตบอลเนื่องจากถูกบีบอัดด้วยความดำมืดน่าขนลุกนั่น เสียงทุบนั่นก็ยังคงดังต่อเนื่องฝ่าความมืดมาหาผมจากทางด้านหน้านี่เอง

ปึง...ปึง...ปึง...เป็นจังหวะช้าๆ แต่หนักหน่วง ผมกลั้นใจก้าวเท้าไปข้างหน้า พยายามยื่นไฟฉายส่องนำไปค้นหาต้นเสียง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไรได้เลย แล้วอีกเสียงที่น่าขนลุกยิ่งกว่าก็แทรกเข้ามา มันเป็นเสียงคร่ำครวญของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ฟังดูเหมือนว่าเขากำลังตกอยู่ในความหวาดกลัว เจ็บปวดและทุกข์ทรมานแสนสาหัสแทรกสลับมากับเสียงทุบนั่น จากแว่วๆ แผ่วเบาก็ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ในทุกก้าวที่ผมขยับเท้าเข้าไปหา "ได้โปรด...ช่วยผมด้วย เปิดประตูให้ผมที...ใครก็ได้" เสียงวิงวอนของเขาแหบแห้ง อ่อนระโหย สิ้นหวังและหวาดกลัวอย่างเหลือแสน ที่สุดปลายรัศมีแสงสว่างผมมองเห็นกรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เลือนลางอยู่ในความมืดตรงหน้า เสียงทุบและคร่ำครวญดังลอดออกมาจากตรงนั้น

อยู่ๆ จุดสีแดงเล็กๆ ก็สว่างขึันมาที่ขอบบนของสายตาแล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นวงแสงสีแดงทึบทึมอยู่เหนือกรอบนั่น มันสว่างพอจะเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผมรู้สึกหนาวสั่นสะท้านถึงตับไตและไข่นุ้ย เมื่อเดินเข้าไปใกล้พอที่จะมองออกว่ามันคือกรอบสี่เหลี่ยมของประตูเหล็กสีแดงคล้ำเก่าคร่ำคร่าหน้าตาคล้ายประตูตู้คอนเทนเนอร์ที่มีสลักขัดเอาไว้ แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ได้หนามากนักหรอก เพราะไม่เช่นนั้นคนที่อยู่ข้างในคงไม่น่าจะส่งเสียงเล็ดลอดออกมาให้ผมได้ยินดังขนาดนี้เป็นแน่ ลมหายใจผมเริ่มติดขัดเพราะสูดอากาศเข้าออกเร็วเกินไป "มีใครอยู่ข้างนอกมั้ย...ช่วยผมด้วย เปิดประตูให้ผมที...ได้โปรด" เขาสะอื้นร่ำไห้วิงวอน ผมคิดว่าเสียงของเขาฟังดูคุ้นหูแปลกๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นเสียงใคร ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปตบที่ประตูพร้อมกับร้องถาม "คุณ...คุณโอเคมั๊ย เป็นอะไรมากรึเปล่า?" ผมพูดเสียงดังเกือบจะกลายเป็นตะโกนพลางคลำหาสลักที่ขัดประตู "รอเดี๋ยวนะ ผมจะเปิด..." "อย่าเปิด!"ผมพูดยังไม่ทันจบประโยคเสียงตวาดอันดุดันและเฉียบขาดก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมสะดุ้งสุดตัวหันตัวกลับไปมองทางต้นเสียงทันที

ชายคนนี้โผล่มาจากไหนแล้วเข้ามาในห้องของผมได้ยังไง ผมส่องไฟฉายในมือไปข้างหน้า จ้องมองร่างชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างตื่นตระหนก และเมื่อเขาก้าวเข้ามาอยู่ในรัศมีสีขาวแคบๆ ของลูกบอลแสงไฟฉายโทรศัพท์ ผมถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความตกใจผงะถอยหลังชนประตูเหล็กจนไฟฉายเกือบจะหลุดมือ เชี่ยไรเนี่ย! ทำไมใบหน้าของผมถึงไปอยู่บนหน้าของเขาอย่างนั้นล่ะ! ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมหนวดเครา ทั้งรูปร่างและส่วนสูง สารรูปเดียวกันกับผมในตอนนี้ไม่มีผิดเพี้ยน สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ผมก็ไม่เคยมีฝาแฝดมาก่อนเลยในชีวิต แล้วนี่เขาเป็นใคร ทำไมถึงได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับถ่ายเอกสารไปจากผมอย่างนั้น!

แต่จะว่าไปแล้วก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่แปลกไปจนน่าขนลุกที่สุดก็คือ ดวงตาคู่นั้นมันมีพื้นที่ตาขาวมากกว่าปกติ ในขณะที่ตาดำของมันหรือผมหรือเขา...เป็นเพียงจุดสีดำเล็กๆ เท่าหัวเข็มหมุดมัน...ผม...เขา...ยื่นหน้าเข้ามาจนปลายจมูกแทบจะชนกัน จุดดำเล็กๆ นั่นจับจ้องที่ตาของผมไม่กระพริบเลยแม้สักครั้งเดียว "นาย...ต้อง...ไม่...เปิด...ประตู" เขาพูดเน้นทีละคำเหมือนกับจะฝังถ้อยคำเหล่านั้นให้ลึกลงไปใต้จิตสำนึกของผมตลอดกาล แล้วรูดำบนตาขาวนั้นก็ขยายวงรัศมีกว้างขึ้นอย่างรวดเร็วจนพื้นที่ตาขาวหายวับไป กลายเป็นความดำมืดที่พวยพุ่งออกมาร้อมกับความเหน็บหนาวโถมเข้าทิ่มแทงเนื้อหนังทะลุทะลวงเข้าไปถึงไขกระดูกก่อนจะเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะของผมอย่างรวดเร็ว "ได้โปรด...เปิดประตูให้ผมที" เสียงวิงวอนนั่นแว่วมาเข้าหูจากที่ที่ไกลแสนไกล แล้วทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผม...ก็ดับวูบลง

เดินขึ้นเขียง

ผมถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงเคาะประตูที่ดังลั่นคับห้องก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...เป็นจังหวะช้าแต่หนักหน่วง "ใครมาแต่เช้าวะ" ผมพึมพำเมื่อรู้สึกตัวงัวเงียลืมตาขึ้นมาในแสงสว่างของเวลากลางวันตรงหน้าประตูห้องน้ำ มือถือยังกำแน่นไว้ในมือ ไฟฉายยังเปิดค้างอยู่ ผมลุกขึ้นนั่งพลางมองดูนาฬิกาในโทรศัพท์ มันบอกเวลา 11:45น. "อ้าว...ไม่เช้านี่หว่า" ผมขยี้ตาและอ้าปากหาว เสียงเคาะประตูก็ยังดังไม่หยุด "ครับๆ...มาแล้วครับ" ผมขานรับออกไปพลางยันร่างลุกขึ้นสะบัดหัวไล่ความมึนงงเดินเซเล็กน้อยไปที่ประตู เสียงเคาะนั่นเงียบไปดื้อๆ "ใครครับ?" ผมถามพร้อมกับดึงประตูห้องเปิดแล้วมองออกไป...แต่

ไม่มีใครสักคนที่หน้าประตู...ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกแหกตามองกับสิ่งที่เกิดขึ้น "อ้าว! อะไรของแม่งวะ" ลองยื่นหน้าออกไปดูทั้งซ้ายขวาแต่ก็ไม่เห็นมีเงาของหมะ...เอ่อ ใครเลยสักคน ผมขยับจะเดินออกไปดูนอกห้องแต่เท้าก็ดันเตะโดนกล่องกระดาษใบหนึ่งซึ่งวางขวางอยู่ที่พื้นกลางบานประตูเสียก่อน ผมก้มลงหยิบมันขึ้นมามันเป็นกล่องเครื่องจีพีเอสใหม่เอี่ยมไฉไลเช้งกระเด๊ะ มีกระดาษสีขาวเขียนโน๊ตแปะที่หน้ากล่อง 'ขอบคุณที่ร่วมงานกับเรา นี่คือผู้นำทางของคุณ กรุณาใช้มันนำทางไปยังที่หมาย เราได้ปักหมุดไว้ให้แล้ว โปรดไปให้ตรงเวลา' ผมถอยกลับเข้าห้องตาจ้องอยู่ที่กล่องในมือด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก...ขอบคุณที่ร่วมงานกับเรางั้นเหรอ...อะไรของมันหว่า

ใช่แล้ว!...เมื่อวานผมเพิ่งจะได้รับการจ้างงานและจะต้องเริ่มงานตอนหกโมงเย็นวันนี้นี่นา...ใช่ๆๆ ในที่สุดความทรงจำของผมกลับคืนมาเข้าที่เข้าทางเสียที "แม่เจ้าโว้ย! งานนี้เขาลงทุนจริงไรจริงว่ะ"ผมพูดกับกล่องในมือ ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมาได้อีกอย่าง...พวกนั้นรู้ที่อยู่ของผมได้ยังไงวะ ไม่เห็นจะจำได้เลยว่าได้บอกที่อยู่ให้ไปตอนไหน...มันชักจะยังไงเสียแล้วสิงานนี้ มีความแปลกประหลาดในทุกขั้นตอนเลยนะเนี่ย ผมเริ่มจะรู้สึกกลัวขึ้นมาหน่อยๆ ซะแล้วสิ ชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าจะถอนตัวเสียตั้งแต่ตอนนี้ดีมั้ย แต่เอาเถอะ...ผมตัดสินใจว่าจะต้องหาคำตอบในเรื่องนี้ให้ได้ และที่ที่ผมจะต้องไปเพื่อหาคำตอบนี้ก็คือที่ที่พวกเขาอยู่นั่นแหละ หลังจากนั้นค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเดินหน้าหรือถอยหลังก็คงจะยังไม่สาย

จะว่าไปแล้วมันก็มีเรื่องที่ยังคาใจผมอยู่อีกอย่าง ผมพยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ค้นหาสาเหตุที่ผมไปนอนอยู่หน้าห้องน้ำ...แต่จนแล้วจนรอดก็นึกไม่ออก นี่ผมละเมอเดินงั้นเหรอ จำได้ว่าเมื่อคืนผมซัดเบียร์กระป๋องเข้าไปครึ่งโหลจากนั้นก็ตั้งใจว่าจะนอนเสียทีและหลังจากนั้นก็... ไม่มี...ไม่มีความทรงจำที่บอกได้เลยว่าผมไปนอนตรงนั้นได้อย่างไร สาบานได้ว่าผมไม่เคยมีอาการละเมอเดินมาก่อนไม่ว่าจะตอนเป็นเด็กหรือตอนไหนๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว เป็นไปได้ไหมว่าความเครียดที่สะสมมาเป็นปี บวกกับความวิตกกังวลเรื่องงานที่ผมเพิ่งจะได้มาเมื่อคืนอาจจะทำให้เกิดอาการละเมอเดินขึ้นมาได้...แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรมันก็ดูจะไม่สามารถอธิบายอะไรให้กระจ่างได้เลย

เวลา 16.30น. ผมขับดีแม็กซ์สเปสแคปสีดำ ปิกอัพคู่ใจออกเดินทางบ่ายหน้าไปทิศตะวันตกตามที่เครื่องจีพีเอสบอก มันพาผมตรงออกจากเมืองไกลออกไปเรื่อยๆ ในเส้นทางที่ผมไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ยิ่งระยะทางเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ความไม่สบายใจก็เพิ่มมากขึ้นทวีคูณตามไปด้วย จนกลายเป็นกระวนกระวายใจไปแล้วในตอนนี้ เพราะสองข้างทางที่ผ่านมาบรรดาตึกรามบ้านช่องเริ่มลดน้อยลงไปทุกที สวนทางกับต้นไม้และที่ว่างรกร้างที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกทีจนกลายเป็นป่าละเมาะ และกลายเป็นป่าทึบในที่สุด สิ่งปลูกสร้างสุดท้ายก่อนที่จะกลายเป็นป่าโดยสมบูรณ์ ก็คือปั๊มน้ำมันที่มีโลโก้เป็นรูปเปลวไฟสีน้ำเงินและมีวงกลมสีแดงอยู่ตรงกลางที่ดูเก่าแก่ทรุดโทรมเหมือนทิ้งร้างมานานแล้วสักพันปีทางฝั่งขวามือ

ผมขยับตัวด้วยความเมื่อยขบจากการขับรถอันยาวนาน มองดูท้องฟ้าข้างหน้าก็เห็นว่ามีกลุ่มเมฆดำกำลังเคลื่อนตัวดูทมึนมาแต่ไกล เหลือบมองนาฬิกาข้อมือมันบอกเวลา17.45น. นั่นทำให้ความกังวลใจของผมพุ่งทะลุปรอท นี่ผมขับรถมาร่วมชั่วโมงกว่าแล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงจุดหมายเลย "บ้าเอ๊ย!...มันไกลขนาดนี้เลยหรือวะ" ผมสบถ อารมณ์หงุดหงิดเพราะเริ่มจะจิตหงุดเงี๊ยว เอ่อ...ถ้าไม่ว่าอะไรล่ะก็ ไม่ต้องผวนคำก็ได้นะ บุหรี่ที่เพิ่งจะแกะเมื่อชั่วโมงก่อนหมดไปครึ่งซองแล้ว ผมดึงมวนใหม่ออกมาจุดสูบดึงควันเข้าปอด มองไปข้างหน้าเห็นแต่ถนนสี่เลนที่พุ่งตรงเข้าไปในป่า ยังคงมองไม่เห็นอาคารที่จะเป็นสถานที่ทำงานเลยสักหลังเดียว

"อีก 300 เมตรเลี้ยวซ้าย" อย่างกับว่ายัยเจ้จีพีเอสจะอ่านใจผมได้งั้นแหละ อยู่ๆ ก็ส่งสียงเตือนเป็นเสียงทื่อๆ ของผู้หญิงขึ้นทำให้ผมสะดุ้งโหยง "เวรเอ๊ย!" ผมสบถ รีบชะลอความเร็วลงมองหาป้ายบอกทางหรืออะไรก็ได้ที่จะบอกว่ามีทางแยกหรือทางเลี้ยวอยู่ข้างหน้านั่น แต่เท่าที่เห็นก็ไม่มีอะไรเลยนอกจากถนนที่ว่างเปล่า ไม่มีรถสวนหรือขับตามมาสักคัน กับดงไม้ที่ขึ้นรกเรื้อทั้งสองข้างทาง "อีก100เมตรเลี้ยวซ้าย" และ "อีก50เมตรเลี้ยวซ้าย" อีเจ้จีพีเอสร้องบอกทางมารัวๆ แต่ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าจะมีทางไหนให้เลี้ยวที่ตรงไหน "คุณผ่านจุดเลี้ยวมาแล้ว กรุณากลับรถมาอีกครั้ง"

"เห้ย! ได้ไงวะ!" ผมร้องออกมาดังลั่นพร้อมทุบพวงมาลัยผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างลืมตัว "ห่าไรเนี่ย! ไม่อยากจะเชื่อเลย" ผมกัดฟันพูด รีบบังคับรถจอดข้างทางผูกหัวคิ้วเข้าด้วยกันพลางเกาหัวแกรกๆ พยายามมองหาเส้นทางที่อาจจะพลาดหลุดหูลอดตาไป แต่มันจะเป็นอย้างนั้นไปได้ไงกันเล่่ ก็ผมมองหาจนตาทบจะปลิ้นอยู่ตลอดนี่นา สงสัยว่าพิกัดอาจจะผิดหรือไม่ก็ระบบนำทางเจ๊งกะบ๊งไปแล้วมั้งนี่ ผมมองนาฬิกาข้อมือ อีกห้านาทีจะหกโมง "แม่ง...งานนี้ท่าจะชวดแล้วมั้งกู" ผมบ่นอย่างหัวเสียก่อนจะตัดสินใจวกรถกลับทางเดิม กะว่าจะกลับไปตั้งหลักที่ปั๊มน้ำมันสุดท้ายที่ขับผ่านมาก่อนดีกว่า ครั้นพอผมกลับรถตั้งลำได้ เสียงเตือนจากระบบนำทางก็ดังขึ้นอีกครั้ง "อีก50เมตรเลี้ยวขวา" สายตาของผมมองไปตามที่มันบอกโดยอัตโนมัติ บ้าไปแล้ว! ฝั่งขวามือนั่นมีทางให้เลี้ยวอยู่จริงๆ ด้วย "เห้ยไรวะ!...ได้ไง!" ผมอุทานด้วยความงุนงงพลางดีดก้นบุหรี่ออกไปนอกหน้าต่างก่อนจะตบไฟเลี้ยวและหมุนพวงมาลัยเลี้ยวตัดถนนเข้าไปทันที

มันเป็นทางลาดยางมะตอยขนาดพอให้รถสวนกันได้สองคันพอดีแต่ไม่มีเส้นแบ่งเลน เหมือนจะเป็นถนนส่วนบุคคลที่ทอดลึกเข้าไปในป่า มีต้นไม้ใหญ่ใบหนาทึบขนาบข้างทางแผ่กิ่งก้านคลุมไว้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขับรถลอดอุโมงค์อย่างไงอย่างงั้นเลย มันกั้นแสงจากฟ้าที่มีอยู่อยู่น้อยนิดเอาไว้แทบจะหมดสิ้น จนทำให้ทางข้างหน้ามืดมัวเหมือนตอนพลบค่ำ กอปรกับที่เมฆฝนคงกระจายครอบคลุมมาถึงบริเวณนี้แล้วด้วยแหละ นั่นยิ่งทำให้มืดหนักกว่าเดิมจนผมต้องเปิดไฟหน้ารถและป้ดไฟสูงอย่างไม่รีรอ บรรยากาศรอบด้านดูวังเวงน่ากล้วดีพิลึก เจอของแปลกเบอร์ใหญ่ขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่มีความคิดที่จะถอยกลับอีกไปวะ...ผมเริ่ม ตั้งคำถามกับตัวเอง "บัดซบจริงๆเลย!" ผมคิดในใจด้วยเสียงอาฉีเสียงหล่อ "อีก300เมตรจะถึงจุดหมาย" ยัยเจ้จีพีเอสบอกเสียงเนิบนาบ ยิ่งมาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้แล้ว เสียงเจ้แกก็หลอนดีไม่หยอกเลยแหละ

ครู่ต่อมาผมก็ออกจากอุโมงค์ต้นไม้มาสู่ที่โล่งกว้างใหญ่ที่ถูกล้อมรอบด้วยแนวป่าทึบทุกทิศทาง "อีก100เมตรจะถึงจุดหมาย" เออ...รู้แล้ววุ๊ย บอกซะละเอียดยิบเชียวนะ! ตอนนี้เมฆสีเทาหนักอึ้งแผ่ขยายตัวครอบคลุมท้องฟ้าและลอยต่ำเตรียมพร้อมจะเทน้ำลงมาเต็มที่แล้ว ทางลาดยางมะตอยก็ได้สิ้นสุดลงแล้วเปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีตทอดตรงไปหาตัวตึกขนาดกลางแทน ผมลองกะคร่าวๆ ดูแล้วตึกนั่นไม่น่าจะเกินสิบชั้นหรอก มันตั้งตระหง่านโดดเด่นแต่ดูทมึนและอยู่ผิดที่ผิดทาง ลักษณะคล้ายกับเป็นอพาร์ทเม้นท์หรือหอพักราคาถูกที่ดูจากสภาพแล้วยังไงก็ไม่ใช่ตึกร้างแน่นอน มันน่าประหลาดก็ตรงที่ทำไมถึงได้มาสร้างอยู่กลางป๋าห่างไกลชุมชนได้ขนาดนี้ล่ะ? "ขอแสดงความยินดี...ขณะนี้คุณได้เดินทาวมาถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...ขอให้โชคดีจงเข้าข้างคุณ...ลาก่อน" อีเจ้จีพีเอสบอกกับผมด้วยเสียงหลอนๆ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เครื่องจะชัตดาวน์ตัวเองไปดื้อๆ

ผมเลื่อนรถเข้าจอดในช่องของลานจอดรถบริเวณหน้าตึก ข้างๆ กับสเปสวากอนสีดำสภาพกลางเก่ากลางใหม่ที่ดูคุ้นตาผมแปลกๆ กับรถมอเตอร์ไซค์อีกสามคันจอดเรียงกันอยู่ ถัดไปก็เป็นรถเอสยูวีสีขาวอีกคันในสภาพสะอาดเอี่ยมเรี่ยมแร้เรไรแสดงถึงความใส่ใจเป็นอย่างดีของเจ้าของ นั่นทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าถึงอย่างไรที่นี่ก็ยังมีคนอื่นๆอยู่ด้วยแน่ๆ ผมลงจากรถมายืนแหงนหน้ามองตัวตึกและรับรู้ได้ว่ามันเป็นที่ที่เงียบสงบมาก เงียบ จริงๆ เงียบเกินไป...จนไม่มีแม้แต่เสียงนกป่า กบ เขียดหรือหรีดกริ่งเรไรร้องระงมมาให้ได้ยินสักแอะ ทั้งที่มีป่าทึบแวดล้อมทุกด้านอย่างนี้

ผมจุดบุหรี่ขึ้นสูดควันอีกมวน แสงจากฟ้าอ่อนล้าโรยแรงลงจนเกือบจะมืดและเมฆดำหนักอึ้งลอยต่ำลงทุกที ในขณะที่แสงสว่างจากโคมไฟสนามหน้าตึกเริ่มทำงานของมัน "เอ...รถคันนี้" ผมพึมพำอย่างไม่แน่ใจ มองสำรวจรถปิคอัพสีดำที่จอดสงบนิ่งอยู่ข้างๆ เพราะมันสะดุดตาผมมาก ตัวรถมีฝุ่นจับไปทั่วทั้งคันจนแทบจะกลายเป็นสีเทาไปแล้ว ที่กระจกด้านข้างเต็มไปด้วยชั้นฝุ่นหนาเตอะเขรอะขระ แถมยังมีคนมือบอนเอานิ้วไปเขียนว่า 'พ่อจ๋า...อาบน้ำให้หนูหน่อยเถ๊อะ...พลีสสสสส' ถ้าถึงกับจะต้องอ้อนวอนกันขนาดนี้ล่ะก็ ผมพนันหมดทั้งตัวรวมกางเกงในได้เลยว่าเจ้าขารถคันนี้ต้องตัวเป็นขนไปแล้วแน่ๆ ผมเดินไปส่องดูที่ท้ายรถ "อ้าว...แล้วกัน...ไม่มีทะเบียนเหรอ อืมย์...แต่มันเหมือนจริงๆ นะเนี่ยะ..." ผมพูดคนเดียวเบาๆ ก่อนจะมองนาฬิกาข้อมือ มันบอกเวลา18.00น.ตรงเป๊ะ เออ...แช่งมั่งรถมันเหอะวะ...ผมคิดพลางยักไหล่ โยนกันบุหรี่ลงพื้น ขยี้มันด้วยปลายเท้าแล้วออกเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังระเบียงทางเข้าตึก เป็นขณะเดียวกับที่ฝนเม็ดเกือยเท่าหัวแม่โป้งมืออันแสนจะเย็นฉ่ำเริ่มโปรยปราย...

ป้อมยามขนาดมาตรฐานตั้งอยู่ติดกับเชิงบันไดด้านขวาประตูทางเข้าภายใต้ชายคาระเบียงตึก รปภหนุ่มที่น่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมแต่งตัวเต็มยศยืนตัวตรงแหน่วเหมือนหุ่นจ่าเฉยเวอร์ชั่นรปภอยู่ที่หน้าประตูกระจกบานสวิงคล้ายกับกำลังรอต้อนรับผมอยู่งั้นแหละ...ถ้า ผมไม่คิดหลงตัวเองจนเกินไปอ่ะนะ เขาสวมหมวกแก๊ปสีดำปักอักษรภาษาอังกฤษคำว่า 'ซิเคียวริตี้' สีเหลืองอยู่บนหัว และกำลังมองมาที่ผมตอนที่ผมเดินตรงเข้าไปหา "สวัสดีครับคุณ..." เขาเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มที่ดูฝืดฝืนแปลกๆ จนทำให้ดูเหมือนกำลังยิงฟันใส่ผมเสียมากกว่า กับน้ำเสียงเหมือนพยายามจะร่าเริงและท่าทางแข็งๆ เกร็งๆ ยังไงพิกล แววตาของเขาก็มองมาที่ผมอย้่งหวาดระแวง อย่างกับกลัวว่าผมจะวิ่งเข้าไปกัดคออย่างงั้นแหละ

ผมกระแอมไล่เสลดก่อนจะพูด "เอ่อ...ครับ สวัสดี...คือผมมาทำงานเป็นวัน เอ้อ...คืนแรกน่ะครับ" ผมตอบ "อ้อ...ครับ คุณคงเป็นผู้ดูแลคนใหม่สินะครับ" ฟังจากสำเนียงเสียงพูดแล้ว ผมอนุมานได้ว่าเขาต้องมาจากทางภาคเหนือเช่นเดียวกับผมแน่ๆ...ฟันธง! ท่าทางของเขาผ่อนคลายลงได้นิดหน่อย "ใช่ครับ...แต่ผมไม่รู้ว่าห้อง เอ่อ...ผู้จัดการอยู่ไหน ผม..." ผมพูดไม่ทันจบประโยคเขาก็พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับกุลีกุจอรีบเปิดประตูให้ผม เหมือนกับจะรีบไล่ผมให้ไปให้พ้นๆ จากเขาให้เร็วที่สุดงั้นแหละ "ครับๆ เชิญติดต่อที่เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์เลยครับ" เขาพูดเร็วปรื๋อจนลิ้นแทบจะพันกันพลางดึงบานกระจกเปิดออกให้ผมพร้อมทำมือเชื้อเชิญ ทำให้ผมมองเห็นว่าที่ข้อมือขวาของเขามีรอยสักรูปผีเสื้อที่มีปีกลายหัวกะโหลกตัวเบ้อเร่อพาดอยู่ ผมตัดสินใจไม่พูดอะไรต่อนอกจากกล่าวขอบคุณแล้วเดินผ่านประตูเข้าไปข้างใน "โชคดีนะครับ คุณผู้ดูแล" เขาอวยพรตามหลังมา ผมขมวดคิ้วและหันกลับไปมองเห็นเขาดึงประตูปิดแล้ววิ่งกลับเข้าไปในป้อมด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนชอบกล "อะไรของมันวะ" ผมพึมพำพลางส่ายหน้าและมองเลยออกไปด้านนอกที่ตอนนี้ฝนลงเม็ดหนาขึ้นและฟ้าก็มืดลงอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว ก่อนจะหันกลับมาสนใจกับสภาพภายในห้องโถงตึก

ภายในห้องโถงในโทนสีขาวนี้ค่อนข้างกว้างพอสมควร เคาเตอร์ประชาสัมพันธ์ตั้งอยู่ด้านในสุด ทางด้านซ้ายมือเป็นบันไดทางขึ้นซึ่งผมทันเห็นด้านหลังไวๆ ของผู้ชายในชุดเสื้อสีฟ้าอ่อนกางเกงสีน้ำตาลเข้มที่ก็น่าจะเป็นพนักงานทำความสะอาดที่เดินขึ้นไปข้างบน มีลิฟท์สีแดงสามตัวเรียงกันอยู่ทางด้านขวา ถัดเข้าไปด้านในฝั่งด้านข้างของเคาเตอร์มีโถงทางเดินแยกไปทางขวา และมีกระจกเงาบานใหญ่ติดอยู่ และมันก็กำลังทำหน้าที่สะท้อนภาพของผมที่เดินเข้าประตูมา พื้นกระเบื้องเลือบสีขาวสะท้อนแสงมัวๆ ของฟลูออเรสเซนต์บนเพดานทำให้ห้องดูสว่างขึ้นมากเลยทีเดียว ที่หลังเคาเตอร์ผมเห็นหัวคนๆ หนึ่งที่น่าจะเป็นผู้หญิงโผล่ขึ้นมาครึ่งหัว ดูเหมือนว่าเธอกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำอะไรอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจมากเกินไปหน่อย

"ขอโทษครับคุณ..." ผมเอ่ยทัก แล้วก็เห็นว่าเธอสะดุ้งเฮือกใหญ่และดีดตัวลุกขึ้นยืนเหมือนตุ๊กตาโจรสลัดเด้งออกจากถังตอนโดนดาบเสียบ เธอเป็นหญิงสาวหุ่นเพรียว เอวบางร่างน้อยดูน่าทะนุถนอม เธออยู่ในชุดเดรสกึ่งทางการสีม่วงอ่อน ใบหน้าสวยใสของเธอซีดเผือดตาเบิกกว้างอย่างตกใจสุดชีวิตจ้องตรงมาที่ผม...เชี่ย! นี่กูหน้าต้องเหมือนผีเบอร์ไหนวะ เธอถึงได้ตกใจเบอร์นี้!...ผมคิด "เอ่อ...ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณตกใจ...คือผม" ผมพยายามพูดให้เธอผ่อนคลายแต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะดึงสติตัวเองกลับมาได้อย่งรวดเร็วกว้าผมเสียอีก หญิงสาวปรับสีหน้าให้กลับมามีรอยยิ้มที่มองมาตากดาวเสาร์ก็รู้ว่าเธอต้อวใช้ความพยายามทำปลอมให้ดูเหมือนรอยยิ้มพิมพ์ใจให้ได้มากที่สุด

"สะ...สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยคะ" เธอถามเสียงสั่นทำให้ผมชักกังวลกับท่าทีของเธอ "คุณโอเคมั้ยครับ...ไม่สบายรึเปล่า" ผมถาม "เอ่อ...เปล่าค่ะ ฉันสบายดี" เธอตอบและถามผมซ้ำ "มีอะไรให้ช่วยคะ" ผมมองดูเธออยู่อึดใจหนึ่ง ถ้าไม่นับเรื่องหน้าขาวซีดล่ะก็นะ...เธอก็ดูสวยมากเลยทีเดียว "โอเคครับ...คือผมเพิ่งจะมาทำงานเป็นคืนแรกน่ะครับ ผมอยากคุยกับผู้จัดการ..." "อํอ...คุณผู้ดูแลคนใหม่นี่เอง สักครู่นะคะ" เธอรีบพูดแทรกขึ้น...อีกแล้ว! คนที่นี่มันยังไงกันวะ จะรอให้คนอื่นพูดจบก่อนไม่ได้รึไง...ผมนึกฉุนกับมารยาทของพนักงานที่นี่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่มองดูเธอหันไปค้นแฟ้มเอกสารในตู้ด้านหลัง "นี่ค่ะ แฟ้มรายละเอียดสัญญาจ้างงานของคุณ กรุณาอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วนด้วยนะคะ" เธอหันกลับมาพูดกับผมด้วยสีหน้าดูมีเลือดฝาดขึ้นมานิดหน่อย พลางยื่นแฟ้มเอกสารแบบพลาสติกสีดำมาให้ผม ผมรับมาเปิดอ่านแบบผ่านๆ ตาเพราะคิดว่ามันก็เป็นสัญญาจ้างงานปกติทั่วๆ ไปนั่นแหละน่า...ไม่มีจะมีอะไรมากเลย

ผมหยิบปากกาที่วางบนเคาน์เตอร์หน้าแผ่นป้ายสามเหลี่ยมที่เขียนบอกว่า 'ประชาสัมพันธ์' มาจรดปลายลงที่ช่องเซ็นชื่อ "คุณอ่านละเอียดแล้วหรือคะ" อยู่ๆ หญิงสาวก็โพล่งถามขึ้น "ครับ...มีอะไรรึเปล่า?" ผมเลิกคิ้วมองหน้าเธอ "เอ่อ...เปล่า เปล่าค่ะ" เธอปฎิเสธ ผมจึงจัดการเซ็นชื่อลงไปให้เรียบร้อยก่อนจะส่งคืนให้เธอ เธอรับไปถือไว้มีทีท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง...ที่ไม่ใช่ "ออฟฟิศของคุณอยู่ทางนั้นค่ะ ห้องเดียวด้านซ้ายมือ ขอให้โชคดีนะคะ..." เธอพูดโดยไม่เว้นวรรคหายใจหายคอเสร็จแล้วก็นั่งลงก้มหน้าก้มตาทำอะไรของเธอต่อทันทีโดยไม่สนใจผมที่ยืนเอ๋อแดกทำตาปริบๆ ผมคิดจะชวนเธอคุยต่ออีกสักหน่อย แต่ด้วยท่าทีที่เธอแสดงออกมาอย่างนั้น ผมจึงเปลี่ยนใจถอยหลังออกมาแล้วเดินตรงไปตามทางที่เธอบอก

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!