NovelToon NovelToon

โยนาทันแห่งเซบูลอน

เกรสที่1 ข้าคือผู้เป็นใหญ่

"องค์ราชา พระองค์ทรงตัดสินพระทัยดีแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ"

"ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ การทำสงครามกับอาณาจักรคาลิลที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเราแบบนั้นมันจะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ"

"พระองค์ลองทรงตัดสินพระทัยใหม่ไหมพ่ะย่ะค่ะ"

เสียงของเหล่าขุนนางยศสูงต่างพูดถกเถียงขึ้นเพื่อให้ราชาของตนเองนั้นได้ลองคิดทบทวนดูใหม่ เกี่ยวกับเรื่องการทำสงครามกับอาณาจักรคาลิลที่มีความสัมพันธ์กันทางการค้า การฑูตและการทหารมาอย่างช้านาน

"พวกเจ้ากลัวหรอ"

น้ำเสียงอันเยือกเย็นของราชาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าของพวกขุนนางหิวเงินบ้าอำนาจกำลังพูดถกเถียงเกี่ยวกับประโยคของตนเองทั้งๆ ที่พวกเขานั้นไม่แม้แต่จะกล้าลงสนามหรือใช้มือตนเองแตะต้องดาบเสียเองด้วยซ้ำ เพียงรอรับความดีความชอบจากเหล่าลูกหลานตนเองที่ส่งไปตายในสนามรบอย่างเปล่าประโยชน์ และตายลงกลายเป็นเศษปุ๋ยให้กับพื้นดิน

เหล่าขุนนางที่ได้ยินจึงเงียบลงแล้วนั่งลงโดยที่ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมาเหมือนกับก่อนหน้านี้ ทำเอาราชาที่เห็นยิ้มมุมปากขึ้นมาด้วยความสมเพช หากไม่ติดที่ว่าเหล่าขุนนางพวกนี้มีกองกำลังทหารจำเป็นสำหรับเขาอยู่ล่ะก็ ป่านนี้คงได้กลายเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้ในสวนแก้วของเขาไปแล้ว

"พวกเจ้าเอาแต่หดหัวอยู่ในกะลาทำให้พวกอาณาจักรยิบย่อยเติบโตขึ้นมาทำตัวกร่าง"

"แต่ในตอนนี้พระผู้เป็นเจ้าได้มอบสิ่งล้ำค่ามาให้ นั่นคงเป็นสาสจากพวกท่านที่เราจะต้องทำสงครามได้แล้ว"

ราชาพูดขึ้นแล้วลูบหัวเด็กผู้หญิงวัยสี่ขวบผมสีดำสวมชุดสีขาวในอ้อมแขนที่กำลังหลับอยู่อย่างอารมณ์ดีก่อนจะจบการประชุมสภาไว้เพียงเท่านี้ ก่อนที่ราชาจะเดินออกไปจากห้องประชุมทิ้งให้เหล่าขุนนางที่เหลือต้องนั่งงงเป็นไก่ตาแตก

ราชาผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็นปีศาจแห่งสงครามผู้ถนงตน ราชาผู้มีนัยน์ตาสีแดงฉานดั่งปีศาจ เส้นผมสีดำคล้ำ ราชาแห่งอาณาจักรมาเรีย โอซิส ออฟ เดอะ ลีเบอร์ ราชาอันดับที่เจ็ดแห่งอาณาจักรมาเรียผู้สังหารพี่น้องตนเองและผู้เป็นบิดาเพื่อขึ้นครองบัลลังค์ในตอนที่ตนเองอายุเพียงสิบหกปี 

และผลงานชิ้นโบว์แดงใหม่ของเขาในตอนนี้ก็คือลูกสาวคนที่สามของตระกูล เด็กที่เกิดจากทาลเซอร์ที่เจ้าตัวดันไปพบเข้าในสนามรบจึงช่วยเอาไว้เพราะติดใจในพลังแห่งการรักษาจึงพากลับมายังวังหลวงและให้เกิดเนิดเด็กผู้หญิง ผู้มีนามว่า โคซีย์ เดอะ ลีเบอร์ เด็กที่เกิดมาพร้อมกับสัญลักษณะไฟตรงกลางหน้าอกแสดงถึงการเป็นเซบูลอนแห่งไฟ เธอนั่นโดนเลี้ยงประคบประงมมาอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่องมีแต่เกิน และนั่นก็ทำให้เหล่าลูกคนที่เหลือต้องกลายเป็นไลฝุ่นที่ร่องรอยอยู่ในอากาศอย่างคนไร้ตัวตนในสายตาของราชา ไม่แม้แต่จะเรียวแล

.

.

.

ขณะเดียวกัน เมืองหลวงของคาลิล

เสียงเรียกของพ่อค้าแม่ค้าร้านขายของดังขึ้น เสียงดนตรีบรรเลงบทเพลงคลื้นเครงสนุกสนาน เสียงพูดคุยของเหล่าผู้คนที่ออกมาเดินตลาด

"ขนมไหมคะ ขนมไหมคะ"

"หลบไป อย่าเกะกะขวางทางท่านเรเนอร์"

ชายผู้หนึ่งพูดขึ้นแล้วผลักเด็กหญิงที่กำลังขายขนมปังจนหกล้มลงไปกับพื้นเพียงเพราะเธอนั้นขวางทางเดินคนที่ชื่อเรเนอร์ ทำให้ขนมปังในตะกร้าของเธอกระจัดกระจายไปทั่วพื้น เมื่อเด็กหญิงเห็นแบบนั้นจึงรีบเก็บใส่ตลาดอย่างรวดเร็วด้วยความเสียดาย

"เดี๋ยวพี่ช่วยเก็บนะ"

ร่างของชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีดำปกปิดใบ้หน้าด้วยฮูดคลุมหัวพูดขึ้นแล้วนั่งลงช่วยเด็กหญิงเก็บขนมปังใส่ตระกร้าจนเสร็จแล้วหันไปมองยังผู้ชายที่ผลักเด็กหญิงล้ม

"พูดขอโทษเธอสะ"

ชายหนุ่มพูดขึ้นทำเอาอีกฝ่ายที่ได้ยินอดขำไม่ได้ แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ ชายสวมเสื้อคลุมเพื่อกระซิบอะไรบางอย่างข้างหู

"แกเป็นใครถึงสั่งฉันได้วะ ไอ้สวะ"

อีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำลงเพื่อกดดัน ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปหาพวกตนเอง หมัดถูกเหวี่ยงเข้าหูข้างขวาของอีกฝ่ายอย่างจังจนทำให้ล้มลงไปนอนกับพื้น ก่อนที่จะรีบลุกขึ้นพุ่งใส่ชายในชุดเสื้อคลุมอย่างไวหวังจะอัดสั่งสอนให้ราบจำ หมัดที่พุ่งเข้ามามีแสงสีฟ้าของพลังเวทน้ำ ชายหนุ่มที่เห็นทำเพียงเอนตัวหลบเล็กน้อยแล้วสกัดขาอีกฝ่ายให้ล้มลงไปนอนกับพื้น

คนที่ล้มลงไปนอนกับพื้นรีบลุกขึ้นอย่างไวแล้วพุ่งใส่ชายหนุ่มเหมือนเดิม ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูกันมากยิ่งขึ้นเพราะอยากจะรู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ แต่แค่นี้ก็ทำให้ทุกคนสามารถรู้ผลแพ้ชนะได้ง่ายๆ แล้ว มือของชายสวมเสื้อคลุมจับเข้าไปที่แขนชายตรงหน้าก่อนจะสกัดขาให้ล้มลงไป ในขณะที่ชายหนุ่มลงไปจับแขนอีกฝ่ายรวบรวมกันใช้เชือกมัด ฮูดที่คลุมหัวอยู่ก็ดันโดนลมพัดจนเปิดออก เผยให้เห็นนัยน์ตาสีอคามารีนเปร่งประกายดั่งท้องทะเล ผมสีบลอนด์ ทำเอาทุกคนที่เห็นรีบนั่งลงถวายความเคารพให้กับอีกฝ่าย

"ขอให้พรแห่งพื้นน้ำจงสถิตอยู่กับตัวท่าน"

ทุกคนต่างพูดพร้อมกันแล้วก้มหัวลงให้ชายหนุ่มตรงหน้า องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรคาลิล คาเมรอน ฮาเลสซ์ เจ้าชายลำดับที่หนึ่งที่กำลังจะได้ขึ้นครองบัลลันค์ อีกฝ่ายที่เห็นแบบนั้นก็ตกใจก่อนจะให้ทุกคนรีบลุกขึ้น

"นี่เงินค่าขนมปังที่ตกพื้นนะ ไว้วันหลังพี่จะมาอุดหนุนล่ะ"

ชายหนุ่มยื่นถุงเงินให้เด็กหญิงตรงหน้าก่อนจะสวมฮูดคลุมหัวกลับไปเหมือนเดิมแล้วรีบวิ่งเข้าไปในฝูงชนเพื่อไม่ให้เหล่าองครักษ์ที่ตามมานั้นตามมาเจอได้

กริ๊ง

เสียงกระดิ่งประตูร้านเหล้าดังขึ้นร่างของชายหนุ่มเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงบาร์

"ชับบาตีแก้วหนึ่งครับ"

เสียงสั่งเมนูเครื่องดื่มดังขึ้นเบาๆ บาร์เทนเดอร์สาวที่ได้ยินก็ชงน้ำยื่นเครื่องดื่มให้พี้อมกุญแจหนึ่งดอก ชายหนุ่มหยิบแก้วเครื่องดื่มขึ้นมากระดกก่อนจะขอตัวเดินขึ้นไปยังชั้นบนของร้านเหล้า ใช้กุญแจที่ได้มาไขห้องห้องหนึ่ง ก่อนจะปิดประตูลงเบาๆ เมื่อเดินเข้ามาในห้องโดยไม่ลืมที่จะล็อคประตู

ภายในห้องปรากฏกองเอกสารต่างๆ มากมายวางกระจัดกระจายอยู่เต็มบนพื้น ร่างของหญิงสาวผมสีดำไฮไลท์ด้วยสีม่วง นัยน์ตาดั่งอเมทิสต์ ผู้มีนามว่า สปิเนล ฟอร์สเตอไรด์ หรือที่ผู้คนส่วนใหญ่เรียกว่า นิล เจ้าของร้านเหล้าฮิลโล กำลังนั่งก้มหน้าอ่านเอกสารอยู่ ในมือข้างซ้ายถือกระบอกยาสูบ ควันสีขาวนวลถูกพ้นออกมาจากปากกระจับอมชมพู สายตาของอีกฝ่ายละจากกองงานของตนเองเพื่อหันขึ้นมามองหน้าผู้มาใหม่ ก่อนจะกลับไปอ่านเอกสารต่อเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร

องค์รัชทายาทที่เห็นว่าทุกอย่างปลอดภัยจึงถอดเสื้อคลุมออกแขวนไว้ที่พนัง ก่อนจะนั่งลงที่โซฟาตรงมุมห้องอย่างสบายใจ แล้วลูบหัวแมวตัวสีขาวที่นอนอยู่บนโต๊ะเล่น

"มีอะไรไม่ทราบ นายถึงหอบสังขารมาที่นี่ได้"

หญิงสาวถามอีกฝ่ายถึงเหตุผลที่มาที่ร้านเหล้าของเธอ หากให้ตั้งสมมติฐานความเป็นไปได้ ไม่โดดเรียนมาก็คงจะหนีการนัดเจอเหล่าลูกสาวของพวกขุนนางตระกูลสูงที่ส่งมาเข้าเฝ้าดูใจเผื่อลูกๆ ของตนเองจะไปสดุดตาขององค์รัชทายาทเข้า และได้เป็นคู่หมั้นอะไรทำนองนั้น

"ก็ข้าไม่อยากจะไปที่อาณาจักรมาเรียนี่น่า จากนี่ไปถึงนู่นข้าคงแห้งตายก่อน"

คาเมรอนพูดสบถออกมาอย่างหน่ายใจเมื่อรู้ว่าท่านพ่อของตนเองจะส่งตนไปที่อาณาจักรมาเรียที่อยู่ไกลแสนไกลเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวแทนของอาณาจักรให้ไปร่วมเฉลิมฉลองยินดีในวันเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์หญิงลำดับที่สามแห่งอาณาจักรมาเรีย

ถึงแม้คาเมรอนจะเคยเจอกับโคซีย์ เจ้าหญิงลำดับที่สามอยู่บ่อยครั้งในตอนที่ตนเองอายุสิบห้าสิบหกปี แต่พอช่วงหลังๆ ที่เขานั้นอายุได้สิบแปดปีก็ต้องตัวพันกันเป็นเกรียว ต้องคอยจัดการในหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง เพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็นราชาองค์ถัดไป ทำให้ชายหนุ่มแทบจะไม่ได้ไปหาโคซีย์เลยด้วยซ้ำ

"แล้วมันไม่ดีหรอ เห็นเมื่อก่อนนายเอาแต่คร่ำครวญอยากจะไปหาโคเซย์อยู่บ่อยครั้ง"

สปิเนลนั้นรู้ดีว่าคาเมรอนนั้นค่อนข้างจะสนิทสนมกับโคเซย์เป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าเขานั้นให้ความสำคัญกับเด็กผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับน้องสาวแท้ๆ ของตนเอง เพราะเมื่อก่อนเจ้าตัวเคยเข้าเฝ้าอีกฝ่ายในฐานะคู่หมั้นอยู่สองสามปีก่อนจะถอนหมั้นกันในเหตุผลที่ว่าสปิเนลนั้นได้พบกับคนที่ตนเองรักจริงๆ ด้วยหัวใจแล้ว ไม่ใช่ความรักจอมปลอมที่ต้องแสดงให้เหล่าคนใหญ่คนโตดู แต่ถึงจะถอนหมั้นไปคาเมรอนก็ยังคงวนเวียนไปมาหาสู่กับตนเองเหมือนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง

"โย่วนิล ข้าเอาเหล้าตามที่เจ้าสั่งมาส่งแล้วนะ"

ร่างของชายหนุ่มผมดำนัยน์ตาสีฟ้าดั่งน้ำทะเล ผู้มีนามว่า ลิโอ เจโรสด์ ลูกครึ่งมนุษย์ทาลเชอร์พูดขึ้นก่อนจะปิดประตูลง เจ้าของชื่อที่ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยก็หยิบถุงใส่เงินจำนวนหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะ ลิโอที่เห็นแบบนั้นก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้ตรงหน้าหญิงสาวเพื่อพูดคุยอะไรเล่นนิดหน่อยหลังจากกลับมาจากการเดินทาง

เกสรที่2 คินเดิล

โลกใบนี้ถูกขนานนามว่า คินเดิล โลกที่ผู้คนถูกแบ่งแยกออกเป็นสามเผ่าพันธุ์ มนุษย์ ปีศาจ และอมนุษย์ ปีศาจนั้นเกิดจากการที่ต้นไม้แห่งโยนาทันเกิดอาการเฉาทำให้เหล่าสัตว์หรือมนุษย์แถวนั้นได้รับผลกระทบและกลายร่างเป็นปีศาจ อมนุษย์ สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์แต่ก็ไม่ใช่ปีศาจ คอยปกป้องดูแลต้นไม้แห่งโยนาทันและคอยเป็นผู้พิทักษ์ให้กับพืนป่า มนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุด ถูกแบ่งออกเป็นสามประเภท มนุษย์ธรรมดา ทรานเซอร์ และ เซบูลอน

ทรานเซอร์คือคนที่มีพลังวิเศษหรือพลังเวทย์ ได้รับพลังมาจากต้นไม้แห่งโยนาทัน กลุ่มคนเหล่านี้ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่สำคัญมากๆ ในการดำเนินชีวิตให้คนปกติทั่วไปอยู่รอดได้

เซบูลอน ตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าที่ได้ลงมาสถิตยังร่างของมนุษย์ คนเหล่านี้จะถูกรับเลือกทั้งหมดเก้าคน เก้าธาตุ ตามรูปภาพรอยแกะสลักและบทความที่โบราณสถานในต้นไม้แห่งโยนาทันที่ใจกลางจักรวรรดิ บทความนั้นมีเนื้อหาว่า อนธเกรงกลัวต่ออัจจิมา เหมันต์เคลื่อนคลาปกคุมสาคเรศ เดชเดชาเหนือพนาดร พสุนทราสถิตอยู่คงเคียงข้างไรจินแม้นมารุตยังคงมุ่งหน้าสู่ความจริง

เหล่านักปราชญ์ผู้มีความสามารถมากมายเดินทางมาเพื่อศึกษาหาคำตอบจากบทความนี้เพื่อนำไปสู่การหยั่งรู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของเหล่าผู้คนที่มีพลังวิเศษ โดยเซบูลอนนั้นจะพิเศษกว่าเหล่าทรานเซอร์ตรงที่ว่าพวกเขาสามารถอัญเชิญเหล่าพระผู้เป็นเจ้าที่ลงมาสถิตยังตัวของตนเองได้ แต่ก็ต้องแลกมากับการเสียประสาทสัมพันธ์บางส่วนหากว่าเกินแรงของตนเอง หรืออันเชิญออกมาด้วยอารมณ์ที่ตรงกันข้ามกับพลังก็จะโดนปีศาจเข้าสิง เหล่านักปราชญ์เรียกอาการนี้ว่า อิบนุ 

มีผู้คนมากมายนั้นปราถนาต่อการมีพลัง พวกคนเหล่านี้ต่างมีความเชื่อว่าถ้าหากภาวนาทำใจให้งดงามดังเด็กแรกแย้มที่ต้นไม้โยนาทันจนกระทั่งใบไม้ร่วงโรยลงที่ผู้ภวานาตนคนนั้นก็จะมีพลังเนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขานั้นได้มองเห็นถึงความพยายามและจิตใจที่แท้จริง

.

.

.

ราชวังคาลิล

"เห้อ เจ้าเด็กนั่นมันลักลอบหนีไปอีกแล้ว เมื่อไหร่จะทำตัวให้สมกับการจะขึ้นครองบัลลังค์บ้างนะ"

หญิงสาวนัยน์ตาสีอความารีน ผมสีบลอนด์ปล่อยยาวในชุดสไตร์โรโคโค่สีดำพูดขึ้นเมื่อรู้ว่าหลานชายคนโตที่มีศักเป็นถึงองค์รัชทายาทที่กำลังจะได้ขึ้นครองบัลลังค์ต่อจากผู้เป็นบิดา แต่อีกฝ่ายกลับทำตัวไม่เอาไหน มัวแต่เที่ยวเล่นออกไปข้างนอกวัง ต่างจากผู้เป็นน้องที่คอนฝึกฝนตนเองอยู่ทุกวันเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น 

"อย่าว่าคาเมรอนเลยเพคะท่านอเดล ตอนที่เขาเป็นเด็กพวกเราก็เคร่งกับเขาเกินไป โตมาก็ควรให้เขาได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้เต็มที่นะเพคะ"

หญิงสาวนัยน์ตาสีดังทัวร์มาลีนที่เปร่งประกาย เส้นผมสีพีชยาว สวมชุดสไตร์โรโคโค่สีไข่ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานตอบกลับผู้มีศักเป็นแม่ยายของตนเอง อดีตราชินี อเดล ทริท ฌอง ติกวา หญิงสาวผู้มีอำนาจในวงชนชั้นสูงและหมู่เลดี้เป็นลำดับหนึ่ง เป็นหญิงสาวที่สามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างดีในตอนที่ราชาออกไปรบที่ต่างแดนเป็นเวลานาน เธอจึงถูกยกย่องให้เป็นราชินีแห่งนักปราชญ์ และหญิงสาวผมสีพีชผู้นี้มีนาม วิคติน่า ลีโอเนน ราชินีองค์ปัจจุบันของอาณาจักรคาลิล ผู้คนมากมายเรียกเธอว่า ลูกพีชแรกฤดู เนื่องจากรูปโฉมที่งดงามตามกิริยามารยาทรวมไปถึงความใจดีของเธอก็ทำให้ผู้คนต่างหลงรักในตัวของวิคติน่าเป็นอย่างมาก ถึงแม้การบริหารบ้านเมืองยังไม่เท่ากับอเดลราชินีองค์ก่อน แต่เรื่องพื้นฐานก็อยู่ในขั้นที่ค่อนข้างดีเอียงไปทางมาตรฐานของเหล่าเลดี้ แต่ที่วิคติน่านั้นได้กลายมาเป็นราชินีไม่ใช่เพียงหน้าตาที่สละสลวยหรือจิตใจดี แต่เพราะเธอเป็นทรานเซอร์ที่มีพลังในการสร้างเกราะน้ำด้วย

อเดลที่ได้ยินประโยคของอีกฝ่ายก็ทำได้แค่กุมขมับแล้วถอนหายใจกับการเลี้ยงลูกแบบตามใจจนเกินไป ซึ่งมันอาจจะส่งผลเสียในอนาคตได้ แม้นเธอจะเป็นพวกจริงจังกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้แต่ว่าเธอก็ใจดีกับเด็กในเวลาที่ไม่ได้ทำงาน 

"ท่านอเดลเพคะ คาเมรอนกลับมาแล้วเพคะ"

หญิงรับใช้กระซิบข้างหูของอเดลอย่างเบาๆ เมื่อได้รับแจ้งจากฝ่ายทหารองครักษ์

"บอกให้เขามาที่สวนดอกไม้หน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย"

หญิงสาวเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากห้องเพื่อไปรอที่สวนดอกไม้ที่ตนเองพูดเอาไว้เมื่อกี้ วิคติน่าที่คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีหรืออาจเกิดเรื่องที่ต้องบาดเจ็บกันขึ้นมาได้ จึงเดินตามอีกฝ่ายไป

"ท่านอเดลเรียกพบที่สวนเพคะองค์รัชทายาท"

สาวรับใช้เอ่ยขึ้นขณะที่คาเมรอนกำลังคุยอยู่กับหัวหน้าพ่อบ้านเกี่ยวกับชุดที่จะเตรียมใส่เดินทางไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรมาเรียในวันพรุ่งนี้ เมื่ออีกฝ่ายได้ยินประโยคพูดขอสาวรับใช้ก็ตอบตกลง ก่อนจะขอตัวไปทำธุระแล้วค่อยกลับมาคุยเรื่อแผนการเดินทางอีกรอบหนึ่ง

สาวรับใช้นำทางชายหนุ่มจนมาถึงยังสวนก่อนจะเดินกลับไป ภายในเต็มไปด้วยพรรณไม้มากมายรวมไปถึงผีเสื้อหลากหลายชนิด คาเมรอนนั้นเดินเข้าไปในสวนจนเจอเข้ากับท่านแม่และท่านย่าที่กำลังนั่งจิบชากันอยู่

"ถวายความเคารพท่านย่าและท่านแม่ครับ"

ชายหนุ่มก้มโค้งเพื่อถวายความเคารพแก่หญิงทั้งสองตรงหน้า ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะเงยหัวขึ้นปลายหอกสีเงินก็พุ่งเข้าใส่เขาก่อนจะไหวตัวทันแล้วเอียงตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด หอกเหวี่ยงเข้าตรงคอหวังคิดปริดชีพ ดาบสีทองถูกเสกออกมาสกัดกั้นหอกไว้ หญิงสาวไม่รีรอวิ่งเข้าใส่ชายตรงหน้าพร้อมโจมตีด้วยกระบวนท่าที่หลากหลาย คาเมรอนนั้นทำได้เพียงตั้งรับและปัดป้องหอกของอีกฝ่าย เพราะถ้าหากตัวเองพลาดขึ้นมาทำผู้มีศักเป็นย่าได้รับบาดแผลคงจะเป็นเรื่องแย่ไม่น้อย ร่างของชายหนุ่มถอยออกมาให้ห่างก่อนจะร่ายเวทสร้างโดมเกราะป้องกันขึ้น

"ในสนามรบไม่มีใครเขาเห็นใจหรอกนะ"

อเดลที่เห็นหลานชายของตนเองที่กางโล่ออกมาก็พูดขึ้น หากอีกฝ่ายยังทำตัวถะเหลถะไหลไม่เอาไหนล่ะก็ เธอนั้นก็จะขัดเกลามันขึ้นมาใหม่เอง ร่างของหญิงสาวยืนอยู่กับที่ใช้มือข้างขวายกหอกสีเงินขึ้นเหนือหัวไอความเย็นปรากฎขึ้นตามแขนข้างที่ยกจนสุดปลายหอกก่อนจะฟาดลง ที่พื้น ไอความเย็นพุ่งเข้าใส่คาเมรอนคริสตัลน้ำแข็งพุดขึ้นเหนือดินส่งไอความเย็นออกมา ในขณะที่คริสตัลจะถึงตัวของชายหนุ่ม วิคติน่าที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบกางโล่อีกชั้นให้อีกฝ่าย

บึ้ม

เสียงระเบิดดังขึ้นก่อให้เกิดแรงสั้นสะเทือนไปทั่วราชวัง ควันสีขาวที่เกิดจากไอความเย็นค่อยๆ สลายออกไป ปรากฎให้เห็นร่างของคาเมรอนที่กำลังร่ายเวทอยู่ ละอองน้ำจำนวนมากค่อยๆ เคลื่อนตัวลอยในอากาศมารวมกันเป็นประตูมิติทรงวงรี หัวของสัตว์ประหลาดร่างใหญ่เคลื่อนตัวออกจากประตูมิติ ไอร้อนถูกส่งออกมาเมื่อสัตว์ประหลาดตัวใหญ่นี้หายใจ มีรูปร่างคล้ายคลึงกับวาฬ ลำตัวยาวเหมือนมังกร มีขนาดตัวที่ใหญ่ หัวยาว หายใจออกมาเป็นไฟ มีฟันที่แหลมคมเรียงยาว ตามผิวหนังมีเกร็ดที่เหมือนกับโล่ สัตว์ประหลาดตัวนี้คือเลเวียธาน สัวต์ประหลาดแห่งท้องทะเล 

เมื่ออเดลเห็นการกระทำของอีกฝ่ายก็ทำให้เธอนั้นยิ้มมุมปากก่อนจะเริ่มร่ายเวทเหมือนกัน มวลพลังเวทสีขาวลอยมาพันที่แขนของหญิงสาว ด้ามหอกถูกแปรเปลี่ยนจากสีเงินกลายเป็นสีดำ เถาวัลย์กุหลาบสีม่วงขึ้นมาพันล้อมรอบด้าม ใบมีดเปลี่ยนเป็นสีม่วงมีลวดลายคล้ายกับฟ้าผ่า

"ทำอะไรกันน่ะ หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ"

ในขณะที่ทั้งสองกำลังร่ายเวทเสร็จพร้อมโจมตีก็มีเสียงตะโกนของชายหนุ่มผู้มาใหม่มาแต่ใกล้ เมื่ออเดลกับคาเมรอนหันไปมองก็เห็นชายหนุ่มผู้มีผมสีพีชนัยน์ตาสีฟ้าดั่งท้องทะเลก็ทำให้ทั้งคู่ต้องหยุดร่ายเวทในทันที เพราะชายผู้เข้ามาห้ามนี้ก็คือ เชลอน ฮาเลสซ์ องค์ชายลำดับที่สองแห่งอาณาจักรคาลิล ผู้มีศักดิ์เป็นหลานสุดที่รักของอเดลและมีศักดิ์เป็นน้องของคาเมรอน ทั้งคู่จึงยอมฟังอีกฝ่ายโดยไม่ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย

เมื่อทั้งคู่หยุดร่ายพลัง ประตูมิติที่อัญเชิญเลเวียธานมาก็ค่อยๆ สลายไป จากหอกสีดำก็สลายกลับไปเป็นหอกสีเงินตามเดิม ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ ทำเอาเชลอนที่เห็นก็ถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่ตีกันและมันก็คงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย พอเหตุการณ์เริ่มสงบลงชายหนุ่มก็เรียกให้ช่างเข้ามาซ่อมแซมราชวังส่วนที่พังลงก่อนจะไปนั่งลงที่โต๊ะเพื่อพูดคุยและดื่มชากัน

"เห้อ ผมขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเถอะครับท่านพี่ ท่านย่า หากผมไม่ได้ยินเสียงของเลเวียธานมีหวังพวกท่านทั้งสองได้ทำรายราชวังพังเป็นแน่ครับ"

ชาลอนเอ่ยขึ้นด้วยความเหนื่อยใจ เพราะเขานั้นได้ยินเสียงร้องของเลเวียธานในขณะที่กำลังซ้อมฟันดาบอยู่จึงรู้ได้ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่เขาจึงรีบขี่ม้ามายังราชวัง และก็เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ โดยคนปกตินั้นจะไม่ได้ยินเสียงของเลเวียธานยกเว้นตอนอันเชิญมาเต็มตัว ส่วนคนที่จะได้ยินตอนอันเชิญไม่เต็มตัวนั้นมีเพียงแค่เซบูลอนกับทรานเซอร์เท่านั้น ซึ่งชาลอนนั้นเป็นทรานเซอร์แห่งน้ำสายอัญเชิญที่ค่อนข้างจะหายาก ไม่ใช่เซบูลอยแต่สามารถอัญเชิญปีศาจมาได้ แต่การอัญเชิญก็ต้องแลกมากับอะไรหลายๆ อย่าง

"จะว่าไป ท่านพี่ต้องไปที่อาณาจักรมาเรียนิครับ ถ้าไม่รีบออกเดินทางอาจจะไปไม่ทันนะครับ เพราะเส้นทางค่อนข้างไกล"

ชายหนุ่มผมสีพีชพูดขึ้นเมื่อได้ยินข่าวมาว่าท่านพี่ของตนเองนั้นไก็การ์ดเชิญจากอาณาจักรพันธมิตรอย่างมาเรียให้ไปร่วมเฉลิมฉลองวันเกิดของเจ้าหญิง แต่พอคาเมรอนได้ยินก็ทำหน้าไม่รับบุญก่อนจะโดนอเดลใช้ฝ่ามือตีเข้าไปที่หลังของอีกฝ่ายอย่างแรง

"ไม่ต้องมาทำหน้าเป็นหมาหงอยเลย ตัวเองจะขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ทำตัวให้เหมาะสมหน่อย"

ชายหนุ่มที่โดนตีหลังก็หันไปมองคนตีด้วยความโมโหก่อนจะพบเข้ากับใบหน้าชั่วร้ายของอีกฝ่ายจึงหันกลับมาทำตัวสงบเสงี่ยบเจียมตัวแล้วใช้มือข้างขวาลูบตรงที่ตัวเองโดนตีอย่างงอนๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะกลับไปเถียงกันอีก ทำเอาชาลอนที่เห็นก็แอบยิ้มออกมา 

ใช้เวลาหลายชั่วโมงคาเมรอนก็ขอตัวไปคุยกับพ่อบ้านประจำตัวเรื่องการเตรียมของออกเดินทางและเส้นทางที่ใช้ ทั้งสองนั้นวางแผนเอาไว้ว่าจะใช้เส้นทางเบลเล่ เส้นทางหลวงที่จะตัดผ่านจักรวรรดิลิออร์ที่กั้นระหว่างอาณาจักรคาลิลและอาณาจักรมาเรียไว้ และผ่านภูเขาฮาทราที่เป็นภูเขาใหญ่กั้นอาณาจักรมาเรียไว้ ทำให้ข้าศึกบุกได้ยาก เมื่อตกลงอะไรกันเสร็จสรรพแล้วคาเมรอนก็เตรียมตัวออกเดินทางพร้อมกับอัศวินองครักษ์ประจำตัวอย่าง คาร์ล เฆซุส เขามีผมสีขาวและนัยน์ตาสองสี ข้างขวาสีมรกตส่วนข้างซ้ายสีขาว ซึ่งตาข้างซ้ายที่เป็นสีขาวนั้นไม่สามารถมองเห็น ชายหนุ่มนั้นมีลักษณะแบบนี้มาตั้งแต่กำเนิดและตัวของเขาเองก็มาจากอาณาจักรแชเฟอร์ อาณาจักรทางทิศตะวันออกที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่ขาวโพลน มีเพียงฤดูเดียวคือฤดูหนาว และเป็นอาณาจักรที่มีภูเขาขนาดใหญ่กั้นเป็นแนวล้อมรอบตัดขาดจากโลกภายนอก ส่วนทางทะเนั้นก็มีปีศาจอย่างงูทะเลคอยกันเอาไว้

"ท่านแม่ ข้าไปก่อนนะ ท่านย่าดูแลตัวเองด้วยล่ะ ชาลอนก็อย่าฝึกจนไม่ได้พักนะ ฝากบอกท่านพ่อด้วยล่ะหากท่านกลับมาว่าพี่ไม่อยู่"

คาเมรอนบอกลาทุกคนและพูดคุยกันอยู่สักพักก่อนที่ชายหนุ่มจะขึ้นรถม้าและออกเดินทางในทันที

เกสรที่3 ความทรงจำที่ปลิดปลิว

ใช้เวลาในการเดินทางอยู่สามวันคาเมรอนก็เดินทางมาถึงยังอาณาจักรมาเรีย เส้นทางทุกสายต่างถูกตกแต่งด้วยโคมไฟและดอกไม้สีสรรค์สวยงามตระการตา เสียงดนตรีบรรเลงเพลงที่ครื้นเครง ทำเอาชายหนุ่มที่อยู่ในรถม้าต้องเปิดผ้าม่านออกมาดูก็ต้องทำให้เขาประหลาดใจถึงความอลังกาลงานสร้างว่าทำไมถึงได้จัดใหญ่โตเพียงนี้ แต่ที่น่าแปลกใจกว่านั้นคือการที่มีเหล่าทหารของราชวงศ์เดินป่วนเปี่ยนเต็มไปหมด ซึ่งคาเมรอนก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไรเพราะปกติแล้วอาณาจักรมาเรียเคยเป็นพื้นที่ที่ปีศาจอยู่มาก่อน การที่มีเหล่าทหารมากมายเดินอยู่ก็อาจจะเป็นการคอยคุ้มกันประชาชน

"องค์รัชทายาท คาเมรอน ฮาเลสซ์ แห่งอาณาจักรคาลิล สเด็จแล้ว"

เสียงประกาศของทหารนายหนึ่งดังขึ้นเมื่อรถม้าประจำราชวงศ์แห่งอาณาจักรคาลิลมาถึง ร่างอันสง่างามของคาเมรอนเดินลงมาจากรถม้าด้วยท่าทีที่ดูมีสง่าราศี เสียงเป่าแตรดังขึ้นเมื่อชายหนุ่มเดินไปตามพรมแดงที่ถูกปูเอาไว้ 

"ท่านพี่คาเมรอน~~"

เสียงใสน่ารักของเด็กผู้หญิงดังขึ้น ร่างของเด็กน้อยในชุดเดรสซุ่มสีขาวสดใสวิ่งอาแชนมาหาชายหนุ่มผู้มาใหม่ ก่อนที่เจ้าของชื่อจะนั่งย่อเข่าลงอ่าแขนรับเด็กน้อยตรงหน้า 

"ท่านพี่คาเมรอน หนูคิดถึงท่านพี่ที่สุดเลย"

"พี่ก็คิดถึงโคซีย์เหมือนกัน สูงขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย"

คาเมรอนพูดแซวเด็กน้อยตรงหน้าอย่างสนุกสนานแล้วลูบหัวอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู ก่อนที่ทั้งสองจะจับมือกันแล้วเดินเข้าไปในราชวังเพื่อไปยังห้องพักของชายหนุ่มที่ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

ระหว่างทางที่เดินไปนั้นทั้งคู่ก็ได้คุยหยอกล้อกันเล่นจนมาถึงห้องพัก คาเมรอนจึงให้คาร์ลคอยดูแลเรื่องการขนย้ายของเพราะตนเองนั้นดันโดนโคเซย์ชวนไปเล่นเป็นเพื่อนซะแล้ว โดยเด็กหญิงก็ได้จูงมือพาชายหนุ่มออกมายังบริเวณหลังพระราชวังที่เป็นบริเวณลานกว้างขนาดใหญ่ 

"โย่ว รอน ไม่สิ ต้องเป็นองค์รัชทายาทมากกว่า"

ร่างของชายหนุ่มผมเหลือง นัยน์ตาสีมรกตเปร่งประกายในชุดฝึกซ้อมฟันดาบเดินมาหาชายหนุ่มผู้มาใหม่พร้อมเอ่ยขึ้นแล้งเดินไปตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ อย่างหยอกเล่นก่อนที่ทั้งสองจะหัวเราะออกมา 

"เจ้านี่ก็ยังหล่อเกินหน้าเกินตาเหมือนเดิมเลยนะราส"

คาเมรอนพูดขึ้นแล้วกอดคอเจ้าของชื่ออย่าง ซีราส เดอะ ลีเบอร์ เจ้าชายลำดับหนึ่งแห่งอาณาจักรมาเรีย ชายหนุ่มผู้มีรูปโฉมงดงามดั่งเทพในนิยายประกรนัมน์ มีความสามารถมากมายครบในทุกๆ ด้าน แต่เขานั้นกลับไม่มีโอกาสได้ขึ้นครองบัลลังก์หลังจากที่โคซีย์กำเนิดมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้คิดอะไรเหมือนตอนแรกที่คับแค้นใจเป็นอย่างมากว่าทำไมผู้มีศักธิ์เป็นบิดาของตนเองถึงได้เลือกน้องสาวที่ยังไมาบรรลุนิติภาวะขึ้นเป็นผู้สืบถอดบัลลังค์

ซีราสนั้นรู้ตัวดีว่าตนเองนั้นไม่สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ จึงตัดสินใจใช้ชีวิตไปวันๆ และสนุกสนานกับชีวิตของตัวเอง นั่นคือข้อดีที่เขาได้รับหลังจากหลุดพ้นจากป่วงโซ่ของการเป็นหุ่นเชิดที่ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีคนคอยกำหนดชีวิตเขา เขามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ต่างจากโคซีย์โดยสิ้นเชิงที่เธอนั้นแทบจะไม่มีโอกาสออกมานอกราชวังเลยด้วยซ้ำ และจะต้องมีคนคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา มีการจัดตารางงานให้ในทุกๆ สัปดาห์

ทั้งคู่คุยเล่นกันอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะมีเสียงเรียกของหญิงรับใช้เรียกโคซีย์ ก่อนจะพาเธอไปในราชวัง ทำให้ซีราสนั้นได้มีเวลาพาคาเมรอนไปเดินเที่ยวเล่นในสถานที่ต่างๆ ที่ถูกปรับปรุง

สระดอกบัวที่มีหงส์ขาวและปลาคาร์ฟสีงดงามต่างว่ายน้ำเล่น มีศาลาริมน้ำที่มีโต๊ะหมากรุกอยู่ตรงกลาง ในสมัยตอนเป็นเด็กพวกเขาทั้งสองเคยมาแอบตกปลากัน แต่ก็ดันถูกพ่อบ้านวิลเลียมจับได้ สุดท้ายก็ต้องโดนให้คัดข้อความว่าจะไม่ทำอีกแล้วลงในสมุดร้อยหน้า 

"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าต้นแอปเปิ้ลจะตายแล้ว"

ชายหนุ่มผมบลอนด์เอ่ยขึ้นเมื่อตนเองเห็นต้นแอปเปิ้ลที่ตนเคยเก็บกินตายลง

"นั่นสินะ ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าปีนขึ้นไปเก็บแต่สุดท้ายก็ตกลงมาจนโดนคุณวิลเลียมห้าม"

ซีราสพูดตอบเมื่อนึกขึ้นได้เกี่ยวกับเรื่องสมัยก่อนว่าอีกฝ่ายนั้นพยายามจะปีนต้นแอปเปิ้ลเพื่อเก็บมาให้เขากินจนพลาดท่าลื่นตกลงมาจนตัวเองบาดเจ็บ ทำเอาพ่อบ้านอย่างวิลเลียมตกใจเป็นอย่างมากจนต้องห้ามไม่ให้ทั้งสองปีนต้นไม้อีก คาเมรอนนั้นมองต้นแอปเปิ้ลอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งที่ชิงช้าไม้ที่ผูกอยู่กับกิ่งต้นแอปเปิ้ล

โครม

"รอน!!"

ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะแกว่งชิงช้าเสียงของกิ่งไม้ก็หักทำมห้เขาที่นั่งอยู่ต้องตกไปที่พื้นทำเอาซีราสที่เห็นก็ตะโกนออกมาอย่างเสียงดังด้วยความเป็นห่วง

"นายนี่มัน"

ชายหนุ่มผมสีพีชที่กำลังจะว่าอีกฝ่ายก็ขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งคู่ขำกันอยู่สักพักกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่ซีราสจะยื่นมือออกไปให้อีกฝ่ายจับมือลุกขึ้น 

"เอาไงดีล่ะ"

คาเมรอนพูดขึ้นขณะที่กำลังยืนมองชิงช้าที่อยู่กับพื้น

"นายก็เก็บกวาดสิ"

ซีราสพูดตอบอีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ทำเอาคนข้างๆ ที่ได้ยินหันมามอง

"แล้วทำไมต้องเป็นข้าล่ะ"

"ก็นายทำหักนิ"

"แล้วช่วยกันเก็บไม่ได้หรอ"

"เรื่องอะไรข้าต้องไปเหนื่อยกับสิ่งที่นายก่อไว้ด้วยล่ะ"

อยู่ดีดีทั้งสองก็ทะเลาะกันเกี่ยวกับเรื่องที่ใครจะเป็นคนเก็บกวาดสิ่งตรงหน้าพวกเขา  ทั้งคู่จ้องหน้ากันอยู่สักพักก่อให้เกิดแสงของเวทย์มนต์ขึ้นรอบตัวทั้งสองฝ่าย ฝ่ามือของใครบางคนจับเข้าที่หูของทั้งสองอย่างแรงจนทำให้เกิดเสียงร้องโอดโอยขึ้นมา เมื่อหันไปมองก็พบกับชายสูงอายุผมดำนัยน์ตาสีฟ้าในชุดพ่อบ้านสุดเนี้ยบ ทำเอาคาเมรอนกับซีราสที่เห็นถึงกับต้องกอดคอคืนดีกัน เพราะคนตรงหน้าเขาก็คือ วิลเลียม คินเลจ พ่อบ้านประจำตัวของชายหนุ่มผมสีพีช และเป็นคนที่คอยเลี้ยงดูทั้งสองมาจนโต 

"โตๆ กันแล้ว ยังจะตีกันอีก"

วิลเลียมพูดขึ้นด้วยอารมณ์เหนื่อยใจที่ชายหนุ่มสองคนตรงหน้าเขายังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต ชอบตีกันทุกเวลาที่สามารถทำได้ แต่ก็รักกันดี ก่อนที่ทั้งสองจะเก็บกวาดซากชิงช้าพร้อมกับวิลเลียมที่ยืนคุมอยู่

ในขณะที่ทั้งสามกำลังจะเดินออกไปที่ตลาดหน้าพระราชวังคาเมรอนก็หยุดนิ่งแล้วหันไปมองยังหน้าต่างบานหนึ่งในราชวังอยู่สักพักเหมือนกับว่ามีสายตาของใครบางคนจ้องมองมายังร่างของพวกเขาทั้งสามคน แต่ตรงนั้นกลับไม่มีใคร

"มีอะไรหรือเปล่ารอน"

ซีราสเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนตนเองยืนนิ่ง อีกฝ่ายทำเพียงปฎิเสธก่อนจะเดินตามทั้งสองไปแล้วพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

.

.

.

ในเวลาเดียวกัน ณ เมืองเทลา อาณาจักรโดรอน

กองทัพเหล่าร่างสิงรวมพลบุกหมูบ้านเทลา ร่างของผู้คนที่ถูกแทงด้วยของมีคมนอนตายเป็นจำนวนมาก เลือดสาดกระเซ็นเต็มไปทั่วทุกพื้นที่ ร่างกายมนุษย์บางคนถูกกัดฉีกกระชากเนื้อออกมาเป็นรอยฟันคน กลิ่น ของสนิมฟุ้งกระจายทำให้รู้ได้ว่าเหล่าศพพวกนี้พึ่งตายได้ไม่นาน หมู่บ้านที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนและเด็กมากมายวิ่งเล่นกันให้สนุกสนาน ขณะนี้กลับกลายเป็นลานประหาร

"ช่วยหนูด้วยเถิด นายท่าน"

มือที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจับไปที่ขาของม้าสีขาวชั้นดีราคาแพงพร้อมกับคำขอร้องวิงวอนต่อคนบนหลังม้า หยาดน้ำตาที่ไหลพล่าออกมาจากดวงตาน้อยๆ นั้นด้วยความทรมานจากการถูกหินจากบ้านทับทั้งสองข้าง ดาบอันคมกริบถูกชักออกมาฟันคอของเด็กหญิงผู้นั้นจนหัวกระเด็นออกไปอยู่ที่สวนดอกทิลลิบขาวก่อนจะถูกย้อมด้วยโลหิตจนเป็นสีแดง

"สกปรกที่สุดเลย คิล เอาดาบนี่ไปเผาทิ้งพร้อมกับเมืองโสโครกๆ นี่ด้วย"

ชายหนุ่มบนหลังม้าทำเพียงสบถแล้วโยนดาบที่ใช้ฟันคอเด็กหญิงไปให้อัศวินประจำตัวที่ชื่อคิล ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะสบถขึ้นอีกครั้งด้วยความไม่พอใจที่เลือดสกปรกๆ ของพวกชั้นต่ำเปรอะเปื้อนม้าสีงามที่ท่านพ่อของตนเองซื้อมาให้ด้วยราคาที่สูงก่อนจะขี่ม้าออกไปนอกเมืองเพื่อรอเชยชมปฎิมากรรมชิ้นใหม่

ในขณะที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนอัศวินผู้หนึ่งก็จุดคบไฟแล้วโยนลงสู่พื้น ก่อนที่ไฟจะลุกลามแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ใกล้ ก่อให้เกิดควันสีเทาขนาดใหญ่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ใบหน้าของชายบนหลังม้าที่กำลังมองอยู่จ้องมองผลงานด้วยรอยยิ้มที่แสนมีความสุขจนล้นเอื้อ

ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังเพลิดเพลินไปกับปฎิมากรรมชิ้นใหม่ก็ก่อให้เกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้น ไฟที่ลุกโชนกลับกลายเป็นสีแดงก่ำดั่งสีโลหิต กลิ่นคาวคลุ้งไปทั่วทุกพื้นที่ หญ้าที่เคยเขียวขจีกลับเปลี่ยนเป็นแห้งเฉาลง เสียงของอีการ้องสนั่นผสานเสียง เหล่าอัศวินต่างพากันเข้ามาคุ้มกันชายหนุ่ม

ภายในกองเพลิงนั้นกลับมีร่างของชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีดำเดินฮัมเพลงจังหวะช้าที่สื่อถึงอารมณ์อันแสนเศร้า และเจ็บปวด ร่างของชายหนุ่มหยุดลงที่ศีรษะของเด็กหญิงผู้นั้น ก่อนจะคุกเข่าลงแล้วหยิบศีรษะนั้นขึ้นมาโอบกอดเอาไว้ในอ้อมแขน ราวกับว่าเขานั้นรู้สึกถึงอารมณ์ของร่างไร้วิญญาณของอีกฝ่ายได้

'ดุจโชกช่วงปกรณ์วิที ดวงจิตต์นี้อาฆาตแค้นแสนสาหัส ดวงเนตรเนรมิตให้คืนชีพ จงกลายเป็นภูติผีอำมหิตที่กัดกินผู้คน'

ชายผู้นั้นร่ายเวทย์บางอย่างขึ้น ก่อให้เกิดกลุ่มก้อนเมฆสีดำมารวมกันเหนือเมือง เหล่าอัศวินที่เห็นท่าไม่ดีจึงพาชายหนุ่มบนม้าหนี แต่กลับถูกวงแหวนเวทขนาดใหญ่บนท้องฟ้ากั้นเอาไว้ไม่ให้ออก

"อร๊ากกกกกก"

"เสียงอะไร เสียงอะไร "

เสียงกรี้ดร้องของผู้หญิงดังกึกก้องไปทั่วแถวนั้น ฝูงอีการอยว่อนเป็นวงกลมเหนือศีรษะกลุ่มอัศวิน เสียงนกแสกร้องขึ้นภายในป่า ดวงตาสีเหลืองนับร้อยจ้องมองออกมาจากในป่า กลิ่นเหม็นเน่าของซากศพส่งกลิ่นคลุ้งทำให้เหล่าคนกลุ่มนั้นต้องปิดจมูกโดยเร็ว

"พวกมึงจะกลัวห่าอะไรวะ กลับไปกูจะให้ท่านพ่อไล่พวกมึงออกหมดทุกตัวเลย"

ชายหนุ่มบนหลังม้าสบถขึ้นด้วยถ้อยคำหยาบช้าเมื่อเห็นเหล่าอัศวินมือดีที่สุดภายในเมืองต่างหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเขาพูดเสร็จก็หันไปมองที่พื้น ก็พบกับร่างของเด็กหญิงคนนั้นที่เขาได้ตัดหัวไปแล้ว แต่ในครั้งนี้ปรากฏเพียงร่างที่ไร้หัว ทำเอาชายหนุ่มที่เห็นถึงกับโมโหขึ้นอย่างสุดขีด

"ตายห่าไปแล้วมึงยังจ้องเวรจองกรรมกับกูอีกหรอไอ้เด็กเหี้ยนิ เดี๋ยวกูจะให้มึงไม่ต้องไปผุดไปเกิด"

ชายหนุ่มผู้นั้นสบถอีกครั้งแล้วชักดาบออกมาฟันแขนทั้งสองข้างของเด็กหญิงจนขาด ก่อนจะฟันเข้าไปที่ลำตัวอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด

"ฮาฮาฮาฮ่า ตายไป ไอ้เด็กโสโครก"

ชายหนุ่มผู้นั้นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งทำให้เหล่าอัศวินต้องถอยตัวออกห่างแล้วยกดาบชี้ไปที่เขา

"อะไร"

เมื่อชายหนุ่มเห็นจึงหันไปมองตามทางที่ดาบชี้ก็พบกับร่างของหญิงสาวที่มีใบหน้าเป็นรอยไหม้จากกองเพลิงที่ไม่มีแม้แต่ดวงตา ปากหรือจมูก  มีเพียงใบหน้าที่ว่างเปล่ากับรอยแผลที่น่าสยดสยองมีน้ำสีเหลืองไหลออกมาส่งกลิ่นเหม็น ผมยาวสีขาว ผิวสีแดงที่ไม่มีหนังคลุมเผยให้เห็นชิ้นเนื้อและเส้นเลือด บริเวณคอนั้นไม่มีชิ้นเนื้อปกคลุม มีเพียงกระดูกที่ยึดเอาไว้ ในมือถือดาบที่ตัดคอของเธอเอาไว้

ร่างของชายหนุ่มที่เห็นก็ตกใจเป็นอย่างมากจนตกลงจากหลังม้าอย่างแรงก่อนจะรีบคลอนถอยหลังออกห่างอย่างลุกหลีลุกลน

"ฆ่านางสิ ฆ่านาง"

ชายหนุ่มหันไปหาเหล่าอัศวินแบ้วพูดออกมาแต่เมื่อมองเหล่าอัศวินแล้ว กลับไม่มีหัวแม้แต่คนเดียว ก่อนที่เงาสีดำจะโผล่ออกมาจากพื้นแบ้วตรึงเขาให้อยู่กับพื้นหญ้าที่มีไฟลุกลามออกมาจากปราสาท ร่างของเหล่าอัศวินโถมเข้าหาร่างของชายผู้นั้นแล้วฉีกกระชากชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายออกมาจนไม่เหลือชิ้นดี เสียงกรี๊ดร้องอันโหยหวนดังลั่นไปทั่ว ก่อนจะเงียบลงเมื่อร่างกายของชายหนุ่มขาดออกเป็นชิ้นๆ ใบหน้าที่ถูกไฟลวกจนระบุไม่ได้ถูกแขวนไว้ที่หน้าเมืองเทลา ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะหายไปพร้อมกับชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมพร้อมกับทิ้งดอกทิลลิบสีแดงที่ถูกเหยียบไว้ที่หัวของชายหนุ่ม

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!