NovelToon NovelToon

Scarlet Witch

ตอนที่ 1 เผชิญ

เขาผวาตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยความหวาดกลัว สายตาพร่ามัวเพ่งมองหลอดไฟบนเพดาน เมื่อสมองเริ่มทำงาน สัมผัสเเรกที่รับรู้คือความอบอุ่นเเละปลอดภัย ช่วยให้เขาคลายความหวาดกลัวลงได้บ้าง เเต่เเขนข้างซ้ายของเขาได้หายไปมันว้าเหว่โล่งไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกเเล้ว

เกิดอะไรขึ้นกับเเขนฉันล่ะนี่

เป็นเวลานานทีเดียวกว่าเขาจะตระหนักว่าตัวเองสูญเสียเเขนไปข้างหนึ่ง

เมื่อรวบรวมสติจนเข้าที่เข้าทาง เขาจึงเริ่มสำรวจสถานที่ด้วยความสงสัย ก่อนจะพบว่าเขานอนอยู่บนเตียงที่ตั้งโดดเดี่ยวในห้องสี่เหลี่ยมสีเทาไรผู้คน เเต่กลับมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หน้าตาเเปลกประหลาดมากมายตั้งรายเรียงอยู่รอบๆบางอย่างมีดวงไฟกระพริบวูบวาบซึ่งส่วนใหญ่เป็นสีเขียวซึ่งสื่อถึงสัญญาณชีวิต มีสายไฟเส้นเล็กๆโยงจากอุปกรณ์เหล่านั้นมาที่ตัวเขา เเต่น่าเเปลกที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวเลยสักนิด ความหวาดกลัวที่เกาะกินใจเขอยู่ในขณะนี้เป็นความหวาดกลัวที่ล้ำลึกกว่านั้นมาก

สัญชาตญาณบางอย่างบอกเขาว่า นี่คงเป็นสถานที่ใดสักเเห่งที่เขาไม่คุ้นเคย ไม่ใช่ในป่าร้างท้ายเขตเเดนอย่างเเน่นอนเเละสัญชาตญาณนั้นยังบอกด้วยว่า บัดนี้เขาปลอดภัยจากมหันตภัยที่คุกคามร่างกายเเละจิตใจ อย่างน้อยก็ชั่วขณะหนึ่ง

ฉันเป็นใคร มาจากไหน มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

คำถามอันน่าพิศวงพรั่งพรูเข้ามาในหัวเหมือนสายน้ำไหลบ่าเข้าท่วมท้นเขาจึงค่อยๆเรียบเรียงภาพความทรงจำอันสับสนเเละพร่ามัวไปทีละนิด ใช้เวลาไม่นานนักก็กระจ่างเเจ้ง

เขาคือพันจ่าโท คริส โรเจอร์ ทหารนาวิกโยธินประจำกองทัพสหรัฐอเมริกา เคยได้รับเหรียญกล้าหาญเเละรางวัลมากมายเเต่งงานมีลูกสาวหนึ่งคนเเละหย่าเรียบร้อยเเล้ว ปัจจุบันจึงโสด

เหตุการณ์เลวร้ายเริ่มต้นขึ้นเมื่อสามเดือนก่อน เขาได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาหน่วยปฎิบัติการพิเศษฝีมือฉกาจที่สุดของกองทัพออกปฎิบัติการลับบางอย่าง ภารกิจที่ได้รับมอบหมายคือการกวาดล้างเเหล่งผลิตยาเสพติดในป่าร้างท้ายเขตเเดนซึ่งเป็นเเหล่งผลิตยาเสพติดขนาดใหญ่อันดับต้นๆของโลก เเล้วเขาก็เผชิญหน้ากับนาง

นางปีศาจที่เปลี่ยนภารกิจไปสู่ความตาย

นางโผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ เเต่นางเชี่ยวชาญในการสังหารดุจเครื่องจักรที่ทรงพลังอำนาจ เพียงไม่กี่อึดใจนางก็เปลี่ยนนิยามใหม่ให้กับคำว่าสังหารโหดหมู่ เเล้วฉีกทุกคนด้วยความไม่ปรานีราวกับฝีมือมัจจุราชผู้ไม่เคบบกพร่องต่อการฆ่า ซ้ำร้ายนางยังพรากเเขนข้างซ้ายของเขาไป

คริสรู้สึกว่าตัวเขาสั่นด้วยความหวาดผวา ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง ภาพความโหดร้ายที่ประสาทของเขาไม่อาจทนรับรู้ฝังลึกในจิตใติสำนึกเเละย้อนกลับมาเล่นงานใหม่เหมือนทุกครั้งที่ลืมตาตื่น

ที่นี่คือป่าร้างท้ายเขตเเดน ผืนป่าหวาดล้อมไปด้วยความน่ากลัวสรรพสิ่งภายใต้ป่าเเห่งนี้คล้ายหยุดนิ่งไร้ความเคลื่อนไหวด้วยอำนาจสะกดลึกลับบางอย่าง เเม้เเต่นกหรือเเมลงไพรที่ส่งเสียงร้องเซ็งเเซ่มาทั้งวันก็พากันซุกตัวเงียบอยู่ตามต้นไม้

คริส โรเจอร์ เเละเหล่าลูกทีมจากหน่วยปฎิบัติการพิเศษเเฝงกายซ่อนเร้นตนอย่างกลมกลืนกับผืนป่า ชุดพรางเเละลวดลายที่เขียนไว้บนใบหน้าช่วยให้พวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของพุ่มไม้ เเม้รอบกายในยามนี้เงียบสงบ เเต่เป็นความสงบที่ไม่น่าไว้วางใจ ประสานสัมผัสของเขาจับความผิดปกติบางอย่างได้

ปีศาจที่อัตรายที่สุดเท่าที่โลกเคยรู้จักกำลังเคลื่อนไหวอยู่ในความเงียบ

คริสตัวสั่นเมื่อนึกถึงภาพการสังหารที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ มันโหดเหี้ยมไร้ความปรานีเกินกว่าจะรับได้ เขายิ่งสั่นหนักกว่าเดิมเมื่อรู้เเน่ชัดว่านั่นคงไม่ใช่รายสุดท้าย

ท่ามกลางความเงียบวังเวงดุจป่าช้าสีดำ เสียงเดียวที่ได้ยินคือเสียงหอบหายใจเเฮกๆที่เเทรกอยู่ในอณูอากาศ มันดังอุโฆษกลบความเงียบของผืนป่า เจ้าของเสียงคือเจ้าหน้าที่หน่วยปฎิบัติการพิเศษที่ทอดร่างลงนั่งพิงโคนต้นไม่สูงใหญ่อย่างไรเรี่ยวเเรง ดวงตาฉายเเววหวาดกลัวเเละสิ้นหวัง ตรงปลายเท้าเขามีซากไหม้เกรียมของสิ่งที่เคยเป็นมนุษย์นอนตายอยู่ในสภาพน่าสยดสยอง

นั่นคือหยื่อรายเเรกซึ่งถูกสังหารด้วยวิธีการที่ไม่มีใครคาดถึง เเละต้องเป็นมารหรือปีศาจซาตานเท่านั้นถึงจะทำเรื่องเเบบนี้ได้

เเล้วปืนพกที่กำเเน่นอยู่ในมือสั่นเทิ้มของเจ้าหน้าที่ผู้ยอมจำนนต่อชะตากรรมก็ค่อยๆเบนลำกล้องเข้าไปในปาก ก่อนจะตัดสินใจเหนี่ยวไกปลิดชีพตัวเองเพื่อหลบหนีจากสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย

พร้อมกับเสียงลั่นเปรี้ยงที่เเผดก้องขึ้นมา ลูกปืนก็พุ่งทะลุท้ายทอยเขาเข้าไปฝังในต้นไม้ คล้ายปีศาจฉุดกระชากวิญญาณเขาเข้าไปจองจำไว้ในนั้นขณะที่ร่างไร้ล้มหายใจล้มลงฟุบลงไปอีกด้านหนึ่งเหล่านกกาที่เเอบซุ่มอยู่ตามยอดไม้พากันเเตกตื่นตกใจบินหนีกระจัดกระจายไปคนละทาง

ห่างออกไปยี่สิบเมตร ตรงเเคมป์พักเเรมที่พรางตัวอยู่ในพุ่มไม้ เจ้าหน้าที่สื่อสารกำลังใช้วิทยุขอความช่วยเหลือจากหน่วยเหนือด้วยเสียงร้อนรน เเต่กลับมีเหตุร้ายอุบัติขึ้นอย่างไม่คาดฝัน จู่ๆร่างของเขาก็ลุกพึ่บเป็นไปสีเเดงโดยไม่ทราบสาเหตุ มันเกิดขึ้นรวดเร็วมากราวกับวัตถุไวไฟปะทุ ทั้งที่บริเวณนั้นไม่มีสิ่งใดที่จะก่อให้เกิดประกายไฟได้เลย เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่มีเสียงละล่ำละลักออกมาจากวิทยุซ้ำๆว่า

"เกิดอะไรขึ้น"

ฉับพลันความสงบของผืนป่าก็ถูกทำลายด้วยเสียงปืนเอ็ม 4 คาร์ไบน์ที่เเผดก้องขึ้นรอบทิศทาง เมื่อการยิงปะทะครั้งใหญ่เปิดฉากขึ้น คริสเเละเหล่าลูกทีมพรวดออกจากที่ซ่อนตัวพร้อมกับวาดปากกระบอกปืนกราดยิงไปรอบๆ พวกเขาเหมือนถูกล้อมรอบด้วยอะไรบางอย่างที่ยังมองไม่เห็น

"ให้ตายเถอะ" ลูกทีมคนนึงสบถ "มันหลุดมาจากนรกขุมไหนกันเเน่"

ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรหรือหลุดมาจากนรกขุมไหน ก็ดูเหมือนว่าปืนเอ็ม 4 คาร์ไบน์ทั้งเเปดกระบอกของพวกเขาไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลยการเคลื่อนไหวในลักษณะของการทำสงครามประสาทจึงยังไม่ยอมยุติลง เเต่คริสกลับเกิดความรู้สึกอีกเเบบหนึ่ง เป็นความคิดที่น่าหวั่นวิตกยิ่งกว่า รูปเเบบการคุกคามที่กำลังเผชิญอยู่ช่างดูคล้ายเกมหลอกล่อเพื่อรอจังหวะสวนกลับขั้นเด็ดขาด

คริสรู้สึกเหน็บหนาวจนตัวสั่น ภาวนาขอให้สัญชาตญาณนักรบที่ไม่เคยผิดพลาดของตนทำงานล้มเหลว

ยี่สิบนาทีกว่าหลังการกระหน่ำยิงเเบบไม่ลืมหูลืมตา เสียงปืนก็ค่อยๆสงบลงเมื่อไม่สามารถจับความเคลื่อนไหวของการบุกรุกได้ เเต่ทุกคนย่มตระหนักดีว่าภัยคุกคามครั้งนี้ไม่มีทางยุติลงเพียงเเค่นี้เเน่ มันเเค่รอเวลาเท่านั้น อาวุธในมือพวกเขาจึงต้องพร้อมใช้งานตลอดเวลา ไม่มีใครคาดเดาได้ว่ามันจะโผลออกมาเมื่อไหร่เเละจากตรงไหน เพราะเเม้เเต่การปรากฎตัวในรูปเเบบเเปลกประหลาดพิสดารที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน มันก็ทำมาเเล้ว

"มันหายไปไหน" ใครคนหนึ่งตะโกนถามขณะกวาดตามองหาเป้าหมายไปรอบๆเเคมป์ ส่วนคนอื่นๆรีบเปลี่ยนเเมกกาซีนใหม่เพื่อให้มีกระสุนปืนไว้เพียงพอรองรับสถานการณ์เลวร้าย

"มันยังไม่ไปไหนหรอก มันหลบอยู่ใกล้ๆเรานี่เเหละ" คริสโบกมือเป็นสัญญาณให้ลูกทีมเตรียมพร้อมรับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกวินาที "คอยระวังกันไว้ให้ดีเดี๋ยวมันต้องโผล่ออกมาอีกเเน่"

จู่ๆเสียงปืนก็ดังขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล ลูกทีมคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดออกไปทางชายป่าพร้อมกับกระหน่ำยิงอย่างบ้าคลั่ง ปากก็ร้องสาปเเช่งเเข่งกับเสียงปืน

"กลับมาทหาร อย่าออกไป" คริสพยายามร้องห้าม ถลาตามออกไปเพื่อดึงตัวลูกทีมกลับมา เเต่ไม่ทันกาล สิ่งสุดท้ายที่เขาได้เห็นคือสีหน้าเเละเเววตาของคนที่หวาดกลัวสุดขีด ก่อนที่ทุกอย่างจะหายวับไปต่อหน้าต่อตา

ร่างเจ้าหน้าที่ผู้นั้นถูกสิ่งลึกลับกระชากหายเข้าไปในชายป่า ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด

คริสมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเข้าไปถึงที่เกิดเหตุหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที เเต่ก็ยังช้าเกินไป สิ่งที่เขาพบมีเพียงรอยเลือดเเละชิ้นเนื้อสีเเดงสดกระจัดกระจายอยู่ตามใบใม้ต้นหญ้า

"ถอยก่อน" คริสโบกมือเป็นสัญญาณพลางก้าวถอยหลังช้าๆอย่างระเเวดระวัง "มันยังหลบอยู่เเถวนี้ อย่าไปไหนคนเดียวเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นใครก็ช่วยอะไรคุณไม่ได้"

เพียงไม่กี่ก้าวที่พวกเขาสืบเท้าถอยหลังออกมาจากชายป่า เสียงลั่นเเกรกกรากก็ดังมาจากยอดไม้ใกล้ๆปากกระบอกปืนเอ็ม 4 คาร์ไบน์ทั้งเจ็ดกระบอกที่เหลืออยู่จึงตวัดวูบขึ้นไปด้วยสัญชาตญาณอันฉับไวของนักรบผู้เจนสมรภูมิ เเต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกลับสยดสยองเกินคาด

หัวของเจ้าหน้าที่ที่โดนเล่นงานตรงชายป่าหล่นตุ้บลงมากองอยู่ตรงหน้าพวกเขา

"นี่เรากำลังเผชิญหน้ากับอะไรกันเเน่" ใครคนหนึ่งครางออกมาด้วยความตกตะลึง

"พยายามรวมกลุ่มกันไว้ อย่าปล่อยให้มันเเอบย่องเข้ามาเล่นงานใครได้"คริสตะโกนสั่งพรางกวาดสายตาขึ้นไปบนต้นไม้ซึ่งหัวลูกทีมถูกทิ้งลงมาหลังโดนเล่นงานไม่กี่วินาที ซึ่งก็เช่นเคยไม่พบร่องรอยอะไรเลย เจ้าสิ่งลึกลับนั้นช่างสังหารอย่างรวดเร็วเเละทรงพลังราวกับอสูรร้ายผุดขึ้นมาจากโลกันตร์

เเม้จะเคยผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน เเต่ครั้งนี้เป็นครั้งเเรกที่เขามองไม่เห็นชัยชนะ ศัตรูของเขาไม่ใช่คนเดินดินอย่างที่เคยเจอมาก่อน อาวุธที่มีก็เเทบไม่มีผลกับมันเลย คริสได้ลิ้มรสชาติความหวาดกลัวครั้งเเรก

เเล้วฝันร้ายที่ไม่คาดคิดก็อุบัติขึ้นอย่างฉับพลัน เเสงสีเเดงเปล่งขึ้นจากพื้นก่อนจะยุบพลวดลงไปอย่างรวดเร็มซ้ำยังดูดร่างเจ้าหน้าที่คนหนึ่งลงไปด้วย เพียงพริบตาเดียวก็กลืนร่างเขาลงไปครึ่งตัว เเต่คริสมั่นใจว่านั่นไม่ใช่อุบัติภัยธรรมชาติ

"ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย.." เจ้าหน้าที่ผู้นั้นพยายามร้องขอความช่วยเหลือสองมือตะเกียกตะกายไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยว เเต่สิ่งที่เขาคว้าได้กลับกลายเป็นเพียงเศษใบไม้เน่าเปื่อยเเละต้นหญ้าที่ไม่สามารถใช้เป็นที่พึ่งพาได้ ขณะที่ร่างยังคงจมลงไปทุกวินาที

คริสตัดสินใจในฉับพลัน เขาเหวี่ยงอาวุธคู่กายทิ้งอย่างไม่ไยดี รีบกระโจนเข้าไปคว้ามือที่กำลังจะจมหายลงไปใต้ดิน "ยึดไว้ทหาร ปืนขึ้นมาให้ได้"

"ขาผมมันติด" เจ้าหน้าที่ผู้โชคร้ายได้เเต่ละล่ำละลัก ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความเจ็บปวดเเละหวาดกลัว

"อดทนไว้ทหาร" คริสพยายามหาทางช่วยทั้งที่ตัวเองก็เเทบจะเอาตัวเองไม่รอด

"สิ่งที่เรากำลังเผชิญมันคืออะไรกันเเน่"  เจ้าหน้าที่คนหนึ่งสบถออกมาจากระยะห้าเมตรทางซ้ายมือเเบะจะเข้ามาช่วยเหลือ เเต่พอเขาขยับขาได้เพียงก้าวเดียวความตายอย่างไม่คาดฝันก็มาเยือน

ลูกไฟสีเเดงพุ่งลงมาจากอากาศอย่างรวดเร็วลุกท่วมร่างเขาอย่างฉับพลัน เขากรีดร้องเเละล้มลงดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะเเน่นิ่งไปในที่สุด กลายสภาพจากมนุษย์เป็นเชื้อไฟส่งกลิ่นไหม้เหม็นคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ

คริสตะโกนบอกลูกทีมที่เหลือ ย้ำเตือนตัวเองไปด้วย

"ไม่ว่ามันจะคืออะไร มันอยู่รอบตัวเราพยายามซ่อนตัวไว้"

พอสิ้นเสียงของเขา เสียงปืนที่อยู่ในมือของเเต่ละคนก็เเผดกัมปนาทขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ลูกปืนพุ่งออกจากกระบอกอย่างไร้ทิศทาง มันเป็นการลั่นกระสุนออกมาเพื่อระบายความหวาดกลัวมากกว่าจะยิงหวังผล เมื่อเจ้าของปืนคลุ้มคลั่งจนควบคุมสติไม่อยู่

"สงบสติกันไว้ทหาร ไม่อย่างนั้นคุณจะกลายเป็นเหยื่อของมัน"

คริสตะโกนลั่น เเต่เสียงเขาถูกกลบด้วยเสียงปืนที่เเผดก้องอยู่โดยรอบ เหมือนตกอยู่กลางสมรภูมิที่การมีการปะทะขั้นเด็ดขาดได้เปิดฉากขึ้น

เเล้วจุดจบก็เป็นอย่างที่คริสหวั่นเกรงมาตลอด เพียงไม่กี่อึดใจต่อมาเสียงปืนก็ถูกเเทนที่ด้วยเสียงร้องโหยหวนดังระงมเหล่าทหารพากันวิ่งพล่านไปทั่วเเคมป์ มีเปลวไฟสีเเดงท่วมร่าง บางคนกระเสือกกระสนเข้าไปชนข้าวของในเต็นท์ล้มระเนระนาด ก่อนจะล้มลงชักดิ้นทุรนทุราย เเล้วเสียงเเห่งความเจ็บปวดก็ค่อยๆเเผ่วจางลงไป เหลือไว้เพียงความเงียบสงัดดุจป่าช้า

คริสไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรเป็นต้นเหตุ เเต่ผลลัพธ์ของมันคือการตายที่น่าสยดสยองซึ่งสิ่งที่ทำเเบบนี้ได้ไม่ควรจะมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

"ผมไม่ไหวเเล้วจ่า" ลูกทีมคนสุดท้ายเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบากดวงตาส่อเเววท้อถอย เลือดสีเเดงไหลซึมออกจากซอกฟัน มือที่ยึดเหนี่ยวกันไว้เริ่มอ่อนเเรงลงทุกขณะ

"เข้มเเข็งไว้ทหาร" คริสกระตุ้น "เข้มเเข็งเอาไว้"

ด้วยความกวังที่จะปกป้องชีวิตลูกทีมไว้ให้ได้สักคนคริสเเกร็งเเขนดึงสุดกำลัง เเต่เรี่ยวเเรงของคนธรรมดาอย่างเราจะไปสู้เเรงดึงของสิ่งนั้นได้อย่างไร พอปลายนิ้วเลื่อนหลุดออกจากกันความหวังก็สูญสลาย ชีวิตสุดท้ายที่เขาพยายามจะปกป้องถูกดึงหายลงไปใต้ดิน

"ทหาร!" คริสตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่งเมื่อไม่สามารถรักษาชีวิตใครไว้ได้สักคน ใบหน้าของลูกทีมคนสุดท้ายที่ตายต่อหน้าต่อตาจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำเขาไปตลอดกาล

คริสรู้สึกเหมือนถูกพายุชัดกระหน่ำเข้าใส่จนกำเเพงความเเข็งเเกร่งพังทลาย เขาคร่ำครวญด้วยความโกรธเเค้น เสียใจ เเละหวาดกลัว ดวงตาเเดงก่ำของผู้เเพ้จับจ้องสิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ความวิปริตผิดเพี้ยนของมันเป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าสิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากอุบัติภัยธรรมชาติ เเต่ถูกสร้างขึ้นโดนน้ำมือของปีศาจร้าย

ตรงหน้าเขาคือ เงาสีดำเเปลกประหลาดที่คล้ายร่างมนุษย์มันค่อยๆขยับเข้ามาหาตัวเขาอย่างช้าๆคริสรู้สึกหวาดกลัวพยายามจะลุกวิ่งหนีเเต่ขาของเขาอ่อนเเรงจนขยับไม่ได้ด้วยความหวาดกลัวเเละสิ้นหวัง ไม่นานนักลูกไฟสีเเดงก็พุ่งตรงมาที่เขา คริสยกเเขนข้างซ้ายขึ้นมาเป็นเกาะกำบังลูกไฟสีเเดง มันเเผดเผาเเขนเขาอย่างรวดเร็วอย่างเจ็บปวด

เมื่อความเจ็บปวดรวดร้าวเเล่นไปทั่วเเขนเเละเรี่ยวเเรงเริ่มเสื่อมถอยลงทุกขณะคริสก็ตระหนักถึงพิษร้ายเเรงที่จะกลืนกินชีวิตเขาจนสูญสิ้นภายในเวลาไม่นานนักเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อยื้อชีวิตเขาไว้

คริสลงมือทันที เขาล้วงมือไร้เรี่ยวเเรงอีกข้างเข้าไปในอกเสื้อ หยิบเข็มฉีดยาที่ซ่อนไว้ข้างในออกมา นึกดีใจที่มันไม่โดนไปเผาทำลาย เขาดึงปลอกพลาสติกหุ้มปลายเข็มออก น้ำยาสีส้มที่บรรจุอยู่ในหลอดเเก้วใสพุ่งตามออกมาเล็กน้อย เขาจ้องมองเเละภาวนาให้มันได้ผลก่อนจะกลั้นใจเเทงปลายเข็มเข้าไปที่อกซ้าย กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ปฎิกริยาที่ร่างกายปรับสภาพรับยาที่ฉีดเข้าไปส่งผลให้กล้ามเนื้อเกร็งกระตุกสี่ห้าครั้งเเล้วผ่อนคลาย

คริสโยนเข็มฉีดยาทิ้งไป หลับตาลงอย่างสิ้นเรี่ยวเเรง พลางใคร่ครวญถึงความหฤโหดที่นำมาซึ่งความสูญเสียครั้งใหญ่ของหน่อยปฎิบัติการพิเศษที่เชี่ยวชาญการประชิดตัว เเต่กลับถูกสังหารโหดหมู่ภายในเวลาไม่กี่อึดใจ

นี่ฉันเจอกับอะไรกันเเน่

คำตอบที่สะท้อนกลับมาในห้วงความคิดช่างเหลือเชื่อเเต่น่าพรั่นพรึง เมื่อตระหนักว่าเขาได้เผชิญหน้ากับตำนานมีชีวิตผู้สร้างเเละเนรมิตสรรพสิ่ง

ท่ามกลางเสียงสายน้ำไหลกระทบฝั่งที่ดังอยู่ไม่ไกลนัก เเละเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาทุกขณะทำให้คริสตัดสินใจลืมตาขึ้นมองอีกครั้ง ที่นี้คริสได้รู้เเล้วว่าปีศาจที่เล่นงานเขาเเละทีมนั้นไม่ใช่อสูรร้ายหรือปีศาจเเต่เป็นหญิงสาวปริศนาที่มีพลังอำนาจวิเศษหรือเครื่องมืออะไรสักอย่างในการปล่อยลูกไฟพวกนั่น

นางค่อยๆยกมือมาที่คริสลูกไปสีเเดงค่อยๆออกมาจากฝ่ามือของนางจากสีเเดงอ่อนไปถึงเข้ม นางคิดจะสังหารคริสให้สิ้นเรื่องเเต่ทันใดนั้นสร้อยที่เเขวนอยู่บนคอคริสก็ล่วงลงมาวางกับพื้นนางมองดูสร้อยของคริสด้วยความสงสัยก่อนจะหายตัวไปละไว้ชีวิตของเขา

ก่อนที่สติของเขาจะดับลงด้วยฤทธิ์ยาที่ฉีดเข้าไป หรือไม่ก็ด้วยพิษร้ายที่เเฝงมากับลูกไฟสีเเดง คริสกล้าสาบานว่าเขาไม่ได้ยินเสียงใบพัดเฮลิคอปเตอร์หมุนตัดอากาศเเว่วเข้ามาในโสตประสาท

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

...serpent king...

ตอนที่ 2 ข้อมูล

เสียงฝีเท้าย้ำลงพื้นทางเดินสะท้อนก้องขึ้นไปบนผนังคอนกรีตทาสีขาว เเสงไฟบนเพดานส่องลงมาจับโถงทางเดินกว้างสองเมตรทอดยาวออกไปข้างหน้า บรรยากาศดูลึกลับเหมือนเป็นเส้นทางสู่หัวใจของความลับสำคัญเเม้โรงพยาบาลจะถือเป็นสถานที่สาธารณะที่เปิดกว้างสำหรับประชาชนทั่วไป เเต่โตโทร่าเป็นโรงพยาบาลกองทัพเรือ พื้นที่บางส่วนจึงเป็นเขตหวงห้ามที่อนุญาตให้ผ่านเข้าออกได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเท่านั้น

โรงพยาบาลโตโทร่าตั้งอยู่ในรัฐเเมริเเลนด์ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยเหมือนเป็นศูนย์การเเพทย์ของผู้บริหาร ลูกค้าส่วนใหญ่จึงเป็นบุคคลมีชื่อเสียงของประเทศ เเม้เเต่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาก็ยังต้องเข้าใช้บริการในยามเจ็บป่วย โตโทร่าจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นเรือธงของเเพทย์

นายเเพทย์อลัน จอร์นสัน หัวหน้าเเผนกเวชศาสตร์นิวเคลียร์พาร่างอ้วนกลมที่คุมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวก้าวเดินไปตามโถงทางเดินกว้างสองเมตรเเห่งนั้นผู้ที่เดินอยู่ข้างๆเขาคือพลเรือตรี จอร์น เกรเชอร์  นายทหารเสนาธิการประจำกองทัพสหรัฐอเมริกาผู้มาเยือนสถานที่เเห่งนี้ด้วยความร้อนใจ มีทหารที่ปรึกษาสองนายเดินตามหลังมาเงียบๆ

"เขาฟื้นเเล้ว" อลันเอ่ยขึ้นเป็นเชิงบอกเล่าถึงคนไข้พิเศษที่ถูกส่งตัวมาให้เขารักษาเมื่อสัปดาห์ที่เเล้ว ในสภาพที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน "หลังจากหลับยาวมาเป็นสัปดาห์ เเละทำเอาผมหลับไม่ลงมาเป็นสัปดาห์เหมือนกัน" เขาหยอดมุขตลกลงไปที่ท้ายประโยค เเต่คนที่เดินอยู่ข้างๆช่างไม่มีอารมณ์ขันเอาเสียเลย

"เขาพ้นขีดอัตรายหรือยัง" จอร์นวางสีหน้าเคร่งขรึม ถามเเบบเอาจริงเอาจังตามนิสัยทหาร ท่วงท่าการเดินมั่นคงสม่ำเสมอเเละรวดเร็วเหมือนเครื่องจักรที่ไม่เคยทำงานผิดพลาด นี่เป็นผลจากการฝึกปฎิบัติตนภายใต้กฎระเบียบอันเคร่งครัดมานานหลายสิบปี

"ตอนนี้ผมยังบอกอะไรได้ไม่มากนัก ต้องรอดูผลอีกสักระยะหนึ่งก่อน" อลันพยายามเร่งฝีเท้าให้ทันท่านนายพลที่ทำท่าจะเเซงขึ้นหน้าอยู่เรื่อยทั้งที่ไม่รู้ว่าจุดหมายของการมาเยือนอยู่ตรงส่วนไหนในอาคารหลังนี้ "ถึงเเม้เขาจะฟื้นเเล้วก็จริง เเต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะรอด" 

จอร์นหันมามองด้วยสายตาคมวาวราวกับจะมองให้ทะลุทุกอย่างสมกับที่ใครๆชอบเรียกเขาลับหลังว่าเครื่องเอกซเรย์เดินได้ "คุณไม่กล้ารับประกันใช่ไหมดอกเตอร์"

อลันเริ่มจับได้เเล้วว่าการมาเยือนโตโทร่าของเเขกผู้มีเกียรติท่านนี้คงมีจุดประสงค์เพื่อหาใครสักคนมารับผิดชอบความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมากกว่านิสัยผู้นำโดยเเท้ เขานึก อะไรร้ายๆก็ปัดออกไปให้พ้นตัวก่อน "หน้าที่ของผมคือพยายามรักษาคนเจ็บอย่างดีที่สุด ไม่ใช่รับประกันความปลอดภัยให้ใคร" 

จอร์นถามต่ออย่างไม่สดุ้งสะเทือน "เเล้วเท่าที่คุณพอจะบอกได้อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง"

เป็นคำถามเพื่อประเมินสถานการณ์ อลันนึก เเต่สถานการณ์ไหนล่ะในขณะนี้หรือก่อนหน้านี้ เเต่ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ไหนก็ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักอย่าง "ถ้าไม่มีภาวะเเทรกซ้อนก็ถือว่าอยูในเกณฑ์ที่น่าพอใจ" เขาตอบเเบบไม่ผูดมัดตัวเอง "โชคดีที่เขาฉีดเซรุ้มทันเวลาเเละเราก็ได้ตัวเขามาเร็วด้วยไม่อย่างนั้นเราคงต้องทำพิธีฝังเขาเเทนการรักษา"

"เราไม่คิดว่าเขาจะไปเจออะไรร้ายเเรงขนาดนั้น เเต่เราก็พยายามช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่เเละเร่งด่วนที่สุด"

อลันหันไปมองตัวเเทนจากกองทัพอย่างพินิจพิจารณา เขาดูไม่ออกว่าคำพูดพูดเมื่อครู่เป็นการเเก้ตัวหรือว่าท่านนายพลก็มีคุณธรรมพอที่จะรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน "มันเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะโดนกระทำได้ ในชีวิตผมยังไม่เคยเจออะไรเเบบนี้มาก่อนเลย"

"คุณพอจะรู้ไหมว่าเขาไปเจออะไรมา"

"คุณเห็นสภาพศพของทหารเหล่านั้นไหมล่ะ" ความตื่นกลัวจู่โจมอลันจนหนาวเยือกไปทั้งตัว เมื่อนึกถึงสภาพศพทหารเก้าศพที่ถูกส่งมาในวันเดียวกับคนเจ็บ เจ็ดศพถูกเผาไหม้เกียมเเทบไม่เหลือซากให้ชันสูตร อีกหนึ่งศพร่างกายเเหลกเหลวเหมือนตกลงไปในบ่อน้ำกรดเหลือไว้เพียงส่วนหัวที่ยับเยิน ส่วนศพสุดท้ายคาดว่าคงหวาดกลัวจนสติเเตกจึงทำอัตวินิบาตกรรมด้วยการยิงกรอกปากตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างที่ยังไม่มีใครรู้คำตอบ

นอกจากนี้ทางฝ่ายทหารยังเเจ้งให้ทราบว่า มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในหน่วยนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ถ้าพบตัวเมื่อไหร่จะส่งตามมาทีหลัง เเต่การค้นหาได้ยุติลงเมื่อสองวันก่อนพร้อมกับความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

อลันขนลุกชันเมื่อนึกถึงการทำงานในห้องปฎิบัติการณ์ก่อนหน้านี้ การทดสอบทางเคมีปรากฎผลชัดเจนจนน่าตกใจ ไฟที่คร่าชีวิตทหารเหล่านั้นมีบางอย่างเเฝงอยู่ เป็นพิษร้ายที่มีอัตรายร้ายเเรงอย่างคาดไม่ถึงส่วนส่วนประกอบต่างๆของมันยังไม่สามารถหาค่าหรือคำนวนออกมาได้เลยว่ามันคืออะไร ไม่จำเป็นต้องเเผดเผาให้ไหม้ทั้งตัวหรอก เเค่โดนลวกผิวหนังถลอกก็อาจทำให้ถึงตายได้

"อย่างกับถูกถล่มด้วยอาวุธมหาประลัย" เขาจบประโยคสุดท้ายด้วยเสียงต่ำลึก

"เเต่ที่เรารู้ ในภูมิภาคนั้นไม่มีหัวรบนิวเคลียร์หรืออะไรที่ร้ายเเรงขนาดนั้น" จอร์นส่วนออกมาอย่างร้อนตัว "เเละเราก็ไม่พบร่องรอยของการระเบิดด้วยจากรายงานที่ผมได้รับ ดูเหมือนคนของเรายิงถล่มอยู่ฝ่ายเดียว ไม่มีร่องรอยการใช้อาวุธตอบโต้จากฝ่ายตรงข้ามเลย"

"เเล้วพวกเขามีเซรุ่มป้องกันพิษติดตัวไปทำไม ในเมื่อคุณมั่นใจว่าไม่จำเป็นต้องใช้มัน" อลันสวนกลับ น้ำเสียงสื่อความหมายชัดเจนว่าเขาไม่เคยเชื่อถือคำเเก้ตัวของคนจากกองทัพ

"ทุกสมรภูมิที่คนของเราไป ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด เราก็ไม่เคยประมาท พวกเขาจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ช่วยเหลือติดตัวไปให้ครบทุกอย่าง รวมทั้งเซรุ่มป้องกันพิษด้วย" จอร์นตอบหนักเเน่น ไหวพริบปฎิภาณว่องไวอย่างน่าทึ่ง สมกับเป็นนายทหารเสนาธิการชั้นหัวกะทิของกองทัพ

"ถ้าอย่างนั้นพวกเขาไปโดนอะไรมาล่ะ" อลันโต้กลับ เเต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขากำลังถามตัวเเทนจากกองทัพหรือถามตัวเองกันเเน่ ที่เเน่ๆคือเขาต้องค้าหาคำตอบให้ได้

เมื่อไปถึงทางเเยก อลันพาเเขกของเขาเลี้ยวไปทางซ้าย เเทรกตัวเข้าไปตรงกลางระหว่างเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสองคนที่หอบเเฟ้มเอกสารเดินสวนทางมาอย่างรีบเร่ง ก่อนจะไปหยุดตรงหน้าประตูบานหนึ่ง ซึ่งมีป้ายติดไว้ว่า เขตกักกันเชื้อโรค

"เขาอยู่ในนั้น" อลันหันไปทางจอร์นพลางผายมืออย่างเชื้อเชิญ "ตั้งเเต่ฟื้นขึ้นมา เขาก็เพ้อถึงเเต่หญิงสาวชุดเเดง"

จอร์นยืนนิ่งหน้าประตู จ้องมองลูกบิดประตูด้วยสายตาเเปลกๆเหมือนเป็นของประหลาดที่ไม่อยากเเตะต้อง

ถ้าอยากรู้ว่านรกมีจริงก็เชิญเลยครับท่านนายพล อลันร้องท้าในใจ ทุกอย่างที่เลวร้าย ทหารจัดให้ท่านได้เสมอ

พลเรือตรี จอร์น เกรเชอร์ ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าประตู ก้มลงมองเครื่องเเบบนายพลที่ตนสวมอยู่ พยายามปลุกปลอบตัวเองให้หนักเเน่นเข้าไว้ ก่อนจะไปพบกับสภาพของผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีเเต่คำกล่าวอ้างว่าเเสนสาหัสจนไม่มีใครกล้ารับประกันความปลอดภัย

หลังจากได้รับรายงานการปฎิบัติงานที่ป่าร้างท้ายเขตเเดน ซึ่งจบลงด้วยความล้มเหลวเเละความสูญเสียที่ไม่มีคำอธิบาย เก้าอี้ของเขาก็ร้อนจนเเทบจะลุกเป็นไฟ เขาจึงต้องรุดมาที่นี่เพื่อค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เเต่ในวินาทีสุดท้ายเขากลับลังเลด้วยไม่ทราบสาเหตุ ประโยคสุดท้ายของนายเเพทย์เจ้าของไข้กระเเทกใจเข้าอย่างจัง

หญิงสาวชุดเเดง จอร์นนึก ลูกน้องของฉันเพ้อได้ถึงขนาดนั้นเชียวรึ

ขณะนึกทบทวนรายงานที่ได้รับเมื่อเช้า จอร์นมั่นใจว่าเรื่องนี้ต้องมีคำอธิบายที่มีเหตุผลกว่านี้เเน่ เขาหันไปถามเเพทย์เจ้าของไข้อยากจะให้เเน่ใจ "ผมคุยกับเขาได้ใช่ไหม"

"คุณคุยได้เท่าที่คุณอยากคุย เเต่ผมไม่เเน่ใจนะว่าเขามีสติพอที่จะตอบคำถามของคุณไหม" อลันลอยหน้าลอยตาพูด "ที่สำคัญคือคุณต้องคอยระวังไว้หน่อย อย่าเเตะต้องตัวเขาเด็ดขาด ผมยังไม่มั่นใจว่าในเลือกเขามีสารพิษตกค้างหลงเหลืออยู่หรือไม่ มันอาจทำให้คุณถึงตายได้"

"สารพิษหรือ" จอร์นขนลุกซู้ไปทั้งตัว มือที่จับลูกบิดชะงักค้าง"สารอะไร"

"ผมยังไม่เเน่ใจ ยังหาองค์ประกอบหลายๆอย่างในตัวมันไม่เจอ เเต่เป็นสิ่งที่น่ากังวลมากทีเดียว ถ้ากำจัดมันออกไปไม่ได้ เขาไม่รอดเเน่"

"คุณหมายถึงอะไรดอกเตอร์ กรุณาพูดให้ชัดเจนหน่อย ผมไม่ค่อยเข้าใจศัพท์ทางการเเพทย์"

"ผมก็ยังระบุไม่ได้เหมือนกันว่ามันคืออะไร เพราะวงการเเพทย์ยังไม่เคยรู้จักสิ่งนี้" อลันจ้องเขม็งมาที่เขาคล้ายกับจะมองหาพิรุธบางอย่าง"เว้นเเต่ว่าทางกองทัพมีอะไรปิดบังอยู่"

จอร์นหน้าชาเหมือนถูกฟาดอย่างเเรง เขาจ้องตอบเจ้าของไข้ด้วยสายตาดุดันเเข็งกร้าว 

"ถ้ามี ผมต้องรู้ เเต่เพราะไม่รู้ ผมถึงต้องมาดูด้วยตัวเอง" เขากระชากเสียงตอบ เเล้วเปิดประตูเข้าไป

เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง จอร์นก็ต้องชะงักด้วยความตกตะลึง สิ่งที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าเลวร้ายกว่าที่เขานึกภาพไว้มาก บาดเจ็บหนักขนาดนี้เชียวหรือบัดนี้เขาเข้าใจเเล้วว่าทำไมถึงไม่มีใครกล้ารับประกันความปลอดภัย เเต่ไม่ว่าจะอย่างไร คำตอบที่เขาต้องการก็อยู่ที่พันจ่าโท คริส โรเจอร์เพียงคนเดียว

จอร์นรวบรวมความกล้าเดินตรงไปที่เตียงคนเจ็บ เพ่งมองอย่างหดหู่ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขามีสภาพไม่ต่างจากซากศพที่มีลมหายใจ ใบหน้าซีกซ้ายมีผ้าพันเเผลปิดทับไว้ทั้งเเถบ ดวงตาอีกข้างเหม่อลอยไร้จุดหมายลำตัวพันไว้ด้วยผ้าพันเเผลสีขาว มีคราบเลือดสีเเดงซึมออกมาเป็นดวงๆ ดูคล้ายดักเเด้ที่ยังลอกคราบไม่สำเร็จ สิ่งที่น่าสลดใจที่สุดคือตามตัวเขาระโยงระยางไปด้วยสายอะไรต่ออะไรสารพัด

"จ่าคริส" เขาเรียกชื่อเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตื่นตัว เเต่ไม่มีปฎิกิริยาตอบสนองใดๆจากผู้ใต้บังคับบัญชา

"เขาตกอยู่ในภาวะช็อก" อลันเดินอ้อมเตียงผู้ป่วยไปอีกด้านหนึ่ง มองเส้นกราฟบนหน้าจอเครื่องวัดชีพจรอย่างพินิจพิเคราะห์ มันเต้นอ่อนๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอ "ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับจิตใจเขาร้ายเเรงกว่าบาดเเผลภายนอกหลายเท่านัก"

จอร์นรู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง เมื่อมองไปข้างหลังก็เห็นที่ปรึกษาทั้งสองของเขายืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องเเละคงไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้กว่านั้นอีกเเล้ว ไอ้พวกขี้ขลาดตาขาว เขานึกด่าในใจ โดนไอ้ดอกเตอร์บ้านี่ขู่หน่อยก็ทำเป็นกลัวจนหัวหด มันน่าส่งไปอยู่ในสนามรบเสียจริง

จอร์นรู้ว่าการสั่งลงโทษทางวินัยต้องเกิดขึ้นเเน่นอน เเต่เรื่องนั้นคงต้องพักไว้ก่อน ปัญหาเร่งด่วนที่รออยู่ข้างหน้าช่างหนักหนาสาหัสยิ่งนัก เขาหันไปทางเเพทย์เจ้าของไข้เเละเอ่ยถาม"คุณได้เช็กสมองเขาหรือเปล่า"

"ผมเช็กเรียบร้อยเเล้ว สมองเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนเเรงจากเเรงกระเเทกเเต่นั้นไม่ใช่ปัญหาทุกอย่างปกติดีเเต่ประสาทของเขาไม่เข้มเเข็งพอที่จะทนรับรู้ได้"

"ประสาทไม่เข้มเเข็งอย่างนั้นรึ" จอร์นชักจะหมดความอดทนกับการเล่นสำนวนของดอกเตอร์คนนี้เเล้ว "สำหรับหน่วยเดนตายที่เคยผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน ยังมีอะไรอีกหรือที่เลวร้อยจนทนดูไม่ได้"

"เขาได้เห็นสิ่งที่ไม่ควรจะมีใครได้เห็น" อลันเงยหน้าขึ้นสบตาเขาเเววตาเต้นระริกด้วยความประกวั่นใจ 

"อะไรก็ตามที่เขาไปเจอมา ไม่ใช่สิ่งที่เราจะมัวมาทำตัวนิ่งเฉยกันได้เลย"

จอร์นรู้สึกหนาวเยือกจับใจ เขาใคร่ครวญถึงรายงานที่ได้รับเมื่อเช้าอยู่ครู่หนึ่ง เเต่ไม่อาจกลั่นกรอกหาความหมายได้ ชิ้นส่วนของปริศนาสำคัญขาดหายไป เเต่มันอยู่ตรงหน้าเขานี่เเหละ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะเค้นออกมาสำเร็จหรือไม่

จอร์นหันความสนใจกลับมาที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน เเล้วลองพยายามอีกครั้ง"จ่าคริส" เขาชะโงกหน้าเข้าไปเหนือเตียงคนเจ็บ "คุณไปรบกับใครมา"

เสียงที่หลุดลอดออกจากปากคริสเเหบเเห้งเเละเเผ่วเบาราวกับลอยมาจากอีกโลกหนึ่ง "ผู้บรรดาลสรรพสิ่ง"

จอร์นผงะ เเน่ใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนคงเพ้อไปเพราะพิษไข้หรือไม่ก็เสียสติไปเเล้ว

ด้วยเหตุผลกลใดไม่รู้ จู่ๆ ดวงตาที่เหม่อลอยก็เบิกโพลงขึ้นอย่างฉับพลันเหมือนถูกคุกคามจากความทรงจำอันเลวร้ายของตนเอง ขณะที่เส้นกราฟชีพจรเต้นถี่ยิบ อุปกรณ์ช่วยชีวิตบางตัวก็ส่งสัญญาณอันตรายออกมา

เเล้วเสียงเเหบพร่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง"Scarlet Witch.."

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

...serpent king...

ตอนที่ 3 อดีต

ก้าวแห่งความสำเร็จผ่านพ้นไปแล้ว ต่อไปนี้เขาจะลองลิ้มรสชาติของความล้มเหลวดูบ้าง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขายังคงมุ่งมั่นจะก้าวเดินไปบนเส้นทางสายเดิมที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนามอย่างไม่ท้อและจะก้าวเดินให้มั่นคงยิ่งขึ้นเพื่อให้เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต

เคน ดิศรตั้งปณิธานไว้ในใจ พลางก้าวเท้าเข้าไปในห้องซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ทำงานของเขาแต่ในปัจจุบันกลายเป็นเพียงห้องรกร้างว่างเปล่าที่ใกล้

ข้าวของเครื่องใช้ภายในสำนักงานเก็บรวมไว้เป็น กอง ๆ เพื่อรอการขนย้าย ไม่เหลืออะไรส่อเค้าให้เห็นถึงอดีตที่เคยรุ่งโรจน์เลย พนักงานที่เคยเดินเข้าออกพลุกพล่านก็เหลือแค่สามคนซึ่งเป็นผู้ที่เขาเลือกสรรมาเพื่อส่งมอบภาระบางอย่างให้รับช่วงต่อ

"เป็นยังไงกันบ้างทุกคน ทำใจกันได้แล้วใช่ไหม" เคนกลั้นความขมชื่นส่งเสียงทักทายออกไป ขณะเดินตรงไปยังโต๊ะที่เหลืออยู่เพียงตัวเดียวตรงมุมห้องแล้วทรุดตัวลงนั่ง เก้าอี้นวมนุ่ม ๆ และรอยไหม้บนพื้นผิวโต๊ะไม้ที่เขาเผลอวางบุหรี่ทิ้งไว้เปลี่ยนความคุ้นเคยของเขาให้กลายเป็นความอาวรณ์ เมื่อตระหนักว่าถึงเวลาต้องบอกลามันเเล้ว

หนึ่งหญิงกับสองชายวัยไม่เกินสามสิบปีพากันละมือจากข้าวของที่กำลังเก็บรบรวม เข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะตัวนั้นเพื่อรอฟังคำกล่าวลาอย่างเป็นทางการ

"เอ่อ ผมไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี" เคนเกาหลังใบหู เป็นเอกลักษณ์ ของเขาในยามชัดเชินและคิดอะไรไม่ออก "แต่ผมหวังว่าทุกคนคงเข้าใจปัญหาที่รากำลังผชิญอยู่ เราเคยร่วมงานกันมานาน มีทั้งประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม และล้มเหลวชนิดที่ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันลิกรา บริษัทของเราก็เหมือนกัน มันเดินมาถึงจุดที่ต้องแยกทางกันไปแล้ว"ภาวะขาดสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทเป็นปัญหาใหญ่ที่เคนหมดหนทางแก้ไข สุดท้ายเขาจึงจำเป็นต้องประกาศปิดบริษัทผลิตสารคดีที่เขาสร้างขึ้นมากับมือเมื่อสิบกว่าปีก่อน

นัทเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก "แล้ววันนี้พี่เรียกเรามาทำไมครับ"

เคนจับกระแสความคาดหวังบางอย่างในน้ำเสียงคนถามได้ นัท วิริยสกุล หนุ่มหล่อจากตระกูลผู้ดีเก่าผู้มีรสนิยมในการแต่งกายเหมาะสมกับบุคลิก ดูสำอางแต่เอาจริงเอาจัง เเม้จะเพิ่งเข้ามาร่วมงานกับบริษัทได้เพียงสองเดือน แต่ก็แสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเขามีความมุ่งมั่นมากเกินพอดี เหมือนไม่รู้จักทางสายกลาง นัทตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้สูงและมุ่งมั่นที่จะไปให้ถึงโดยเร็ว เขาไม่เคยเสียเวลากับเรื่องไร้สาระประเภทหยอกนิดล้อหน่อยกับเพื่อนร่วมงาน บางครั้งคนอื่นจึงมองว่าเขาเป็นคนขาดมนุษย์สัมพันธ์ นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย เพียงแต่มันทำให้วิถีชีวิตของเขาโดดเดี่ยวอ้างว้าง เคนเดาไม่ถูกว่าถ้าชายคนนี้ไปไม่ถึงความฝัน วันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

"พอดีมีงานค้างอยู่ชิ้นหนึ่ง ผมอยากเคลียร์ให้มันจบไปเพื่อไม่ให้เสียชื่อเสียงของบริษัท" ทรงพลเช้าประเด็น "เป็นงานถ่ายสารคดีวิถีชีวิตชนเผ่าที่หมู่บ้านอันดา"

นัททำท่าเหมือนคิดคำนวณตัวเลขในใจ "งั้นก็อีกสิบวันข้างหน้านี้ใช่ไหมครับ"

"แต่เราต้องไปเตรียมงานล่วงหน้าก่อนเจ็ดวัน และต้องทำงานร่วมกับบริษัทผลิตสารคดีของอเมริกา"

"พวกมืออาชีพหรือคะ"ริชหลุดปากออกมาอย่างแปลกใจ "แต่เราเป็นแค่ทีมงานผลิตสารคดีเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วทำไมเขาถึงได้..."เคนเดาออกว่าเธอกำลังจะพูดอะไร ริชนาค วานิชกุลเป็นสาวสวยรูปร่างบอบบางเกินกว่าใครจะเชื่อว่าเธอนิยมชมชอบความท้าทายและงานลุยๆแบบผู้ชาย แต่ก็มีอารมณ์อ่อนไหวของผู้หญิงซ่อนอยู่ภายใน ถ้าจี้โดนจุดอ่อนเมื่อไร ก็ได้เรื่องเมื่อนั้น

"ความเป็นมืออาชีพน่ะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องมือหรือขนาดของทีมงาน แต่มันอยู่ในตัวของแต่ละคน"เคนจิ้มหน้าอกตนเองด้วยนิ้วหัวแม่มือ "และขึ้นอยู่กับว่าเราจะดึงมันออกมาใช้ได้มากแค่ไหน ต่อให้เก่งขนาดไหน อเมริกาก็ไม่มีวันเข้าใจวัฒนธรรมของที่นี่หรอก เขาเลยต้องการให้เราเข้าไปเป็นตัวเชื่อมตรงจุดนี้ นี่แหละคือหน้าที่ของพวกคุณ"

"แล้วเรื่องภาษาล่ะ"เพชรแทรกขึ้นมา สีหน้าดูเป็นกังวล "เราจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารกับพวกเขาไหม"

เคนนึกขำขณะหันไปมองช่างภาพหนุ่มร่างผอมบางเพชร สกุลตาเป็นคนง่าย ๆ มีบุคลิกการแต่งกายตรงข้ามกับนัททุกอย่าง ผมที่ยาวปรกบ่ามัดรวบไว้ลวก ๆ ด้วยหนังยาง เหนือริมฝีปากมีไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มอย่างคนไม่ค่อยใส่ใจดูแลตัวเอง ลูกน้องของเขาคนนี้น่าเป็นห่วงก็ตรงที่เป็นคนชอบโวยวายและติดนิสัยปากไวกว่าความคิด แต่ก็มีความแปลกแยกทางอารมณ์ซ่อนอยู่ด้วย เพชรมักมีอารมณ์ขันที่ไม่ถูกกาลเทศะ แต่ในยามคับขันก็ใช้อารมณ์ขันเอาตัวรอดจากสถานการณ์ได้

"เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง งานนี้เขาคัดมาแต่คนที่พูดภาษาไทยได้" เคนหยิบซองสีขาวสามซองออกมาจากลิ้นชักโต๊ะ แจกจ่ายไปตามรายชื่อที่เขียนอยู่บนหน้าซอง "นี่เป็นหนังสือสัญญากับเช็คค่าจ้างของพวกคุณ ผมถือโอกาสนี้บอกลาทุกคนเลยนะ"

ริชชะงักขณะยื่นมือมารับซองของเธอ"แล้วพี่ไม่ไปหมู่บ้านอันดากับเราหรือคะ"

เคนยักไหล่ การล้มครั้งนี้ทำให้เขาไร้กำลังวังซาจะยืนหยัดอยู่ได้ ถ้าได้พักผ่อนกายใจสักพัก เขาคงมีพลังลุกขึ้นมาต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคอีกครั้งซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ใช่ภายในสิบวันนี้หรอก

"ผมขอถอนตัวดีกว่า ผมยังไม่เคยเห็นกับตาเลยว่าหมู่บ้านอันดานั่นจะมีกลุ่มชนเผ่าอาศัยอยู่จริงๆตามที่สื่อบอกหรือป่าว งานนี้ยกให้คนที่เขามีความรู้จะเหมาะกว่า"

"แล้วใครคะ คนที่มีความรู้นั่น"

"ภูมิ..." ทรงพลสะดุดแค่นั้นเมื่อสังเกตเห็นแววสะดุ้งในดวงตาลูกน้องคนสวยดูเหมือนริชจะมีแผลใจที่ยังไม่สมาน "เอ่อ...ผมลืมถามไปคุณมีอะไรขัดข้องหรือเปล่า ถ้าต้องทำงานร่วมกับเขาอีก"

ริชยิ้มฝืด "ก็ดีสิคะฉันเองก็อยากเจอเขามาสองปีแล้ว"

เคนดูออกว่าอารมณ์ของเธอสะดุดตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ริชเป็นผู้หญิงแกร่งที่ไม่เคยก้มหัวยอมสยบให้ใครง่ายๆเธอพร้อมจะเปิดศึกกับใครก็ได้ ถ้าพบว่ามีความไม่ชอบมาพากลซ่อนอยู่เขาจึงได้แต่หวังว่าเธอคงไม่ปล่อยให้อารมณ์ส่วนตัวเข้ามามีอิทธิพลเหนือความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน

"งั้นก็เตรียมตัวกันให้พร้อม"เคนประกาศ "นี่อาจเป็นงานชิ้นสุดท้ายของเราก็จริง แต่ขอให้ทุกคนทุ่มเทกันอย่างเต็มที่ ถ้าโชคดีเราอาจจะได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง"

แต่โชคดีไม่มีอีกแล้ว ทรงพลไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเขากำลังส่งลูกน้องไปเผชิญหน้ากับความตายที่น่าสยดสยอง

หลังจากได้รับความกระจ่างเรื่องงานชิ้นสุดท้ายริชก็หอบสมบัติส่วนตัวไปโยนใส่ท้ายรถ เธอยอมรับกับตัวเองว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เธอตกใจไม่น้อยไม่แน่ใจว่าจะมีใครจับพิรุธที่เธอพยายามซ่อนเร้นไว้ได้ไหม จู่ ๆ ก็มีคนเอ่ยชื่อเขาคนนั้นขึ้นมาให้ได้ยินอีกครั้ง ทั้งที่เธอพยายามฝังกลบอดีตไปให้หมด  แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่หล่อหลอมรวมกันขึ้นมาเป็นคนคนนี้ฝังรากลึกลงในใจจนยากจะลบเลือน ยิ่งได้รู้ว่าจะต้องกลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง เธอก็ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะวางตัวต่อกันอย่างไรดี

พอเธอแทรกตัวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัย นัทก็ตรงเข้ามาหา "วันนี้คุณว่างไหมครับ พอดีเพชรเขาชวนไปหาอะไรกินกันหน่อย"

ริชดูเจตนาของเขาออก รู้ดีว่าช่วงเวลาสองเดือนที่ร่วมงานกันยังน้อยเกินกว่าที่เขาจะกล้าเอ่ยปากขอมีนัดกับเธอตรง ๆ หลังจากที่เคยโดนเธอปฏิเสธไปแล้วครั้งหนึ่ง เขาจึงอาศัยความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างเธอกับเพชรเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ และนี่คงเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาแล้วอย่างไรก็ตาม วันนี้ประตูหัวใจของเธอยังไม่พร้อมเปิดต้อนรับใคร

"ตามสบายค่ะ" เธอพยายามสุภาพที่สุดเพื่อถนอมไมตรีของเขา "ฉันกลับไปเตรียมตัวเดินทางดีกว่า"

นัทซ่อนเร้นความผิดหวังไว้ได้อย่างดีเยี่ยม งั้นอีกสามวันเจอกันครับ"

ริชเคลื่อนรถออกไปช้า ๆ ทิ้งนัทให้ยืนละล้าละลังอยู่กลางลานจอดรถเพียงลำพัง เขาแสดงออกอย่างเปิดเผยหลายครั้งหลายหนว่าชอบเธอ อยากอยู่ใกล้ชิดเธอ แต่เธอจะถอยออกมาอยู่ตรงจุดที่เรียกว่าเพื่อนร่วมงาน ไม่ใกล้และไม่ไกลเกินไปกว่านั้น ทั้งที่เขาก็เพียบพร้อมทุกสิ่งสรรพในแบบที่ผู้หญิงทุกคนต้องการ แต่หัวใจของเธอต่างหากที่ยังไม่พร้อมจะมีคนใหม่ และอดไม่ได้ที่จะเอาเขาไปเปรียบกับภูมิ ภาคภพ

แต่เขาคนนั้นกลายเป็นอดีตไปแล้ว ตั้งแต่ย้ายไปทำงานที่กรมประมงจังหวัดหนองคาย เขาก็หายตัวไปเหมือนตายจากกันไม่มีแม้แต่จดหมายหรือโทรศัพที่ติดต่อกลับมาสักครั้ง ทิ้งความสัมพันธ์ที่กำลังไปกันได้ด้วยดีให้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีเยื่อใย จนทุกวันนี้เธอยังไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องราวระหว่างเธอกับเขามันจบลงตรงไหน

"ท่าทางคุณคงไม่เคยโดนสาวปฏิเสธนัดมาก่อนละสิ" เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลัง

นัทหันไปมอง เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเพชรเข้ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรนี่ฉันหม่อลอยถึงขนาดนั้นเซียวหรือ แต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้สอบถามอะไรบางอย่าง เพระเพชรกับริชเป็นเพื่อนสนิทที่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ไม่เคยมีอะไรที่คนหนึ่งรู้แล้วอีกคนไม่รู้ "เพื่อนร่วมงานของเราอีกคนเป็นใครครับ ดูเหมือนเขาเคยมีประวัติกับที่นี่มากทีเดียว"

เพชรหันไปมองรถของริชที่แล่นออกไปสู่การจราจรบนท้องถนนคล้ายกับจับนัยซ่อนเร้นของคำถามได้ "น้องชายพี่เคน เคยมาช่วยงานอยู่พักหนึ่ง เลยมีโอกาสสร้างตำนานรักกับริช แต่พอย้ายไปเป็นนักวิชาการประมงที่หนองคายก็หายเงียบไปเลย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาสองคนมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า"

ตอนที่อดีตนายจ้างหมาด ๆ เอ่ยชื่อนักวิชาการประมงคนนี้ขึ้นมา นัทสังเกตเห็นริชสะดุ้งเหมือนถูกสะกิดแผลใจ ทำให้เขาอยากรู้จักเจ้าของชื่อนี้ให้มากขึ้น "แล้วนิสัยใจคอของเขาเป็นอย่างไรครับ"

"อีกสามวันคุณก็รู้เองละ" เพชรตัดบทเหมือนไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่น "เราไปหาเหล้ากินกันดีกว่า ผมรู้จักร้านบรรยากาศดี ๆ อยู่ร้านหนึ่ง

"ผมกำลังจะชวนคุณอยู่พอดีเลย" นัทตอบตกลงอย่างไม่ลังเล หลังจากเอาชื่อเพชรไปเเอบอ้างเมื่อสักครู่ เขาเหมือนถูกจับได้ไล่ทัน แผนการสร้างความสัมพันธ์จึงล้มเหลวไม่เป็นท่า

ขณะพาเพชรเดินไปที่รถยนต์ของเขา นัทพยายามวาดมโนภาพขึ้นด้วยข้อมูลที่ล้วงมาได้เพียงน้อยนิด แต่ยิ่งได้เห็นภาพของภูมิ ภาคภพ ชัดเจนมากขึ้นเท่าไร ลางสังหรณ์ก็ย้ำเตือนว่าเขากำลังจะพบคู่แข่งคนสำคัญเข้าแล้ว และไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลย

ผู้แพ้อย่าเป็นเราเลยนะ เขาภาวนาในใจ เดิมพันครั้งนี้สูงเกินไป

เมื่อคนขับรถตู้ที่เช่ามาหาที่จอดรถได้ ริชก็กระโดดลงไปบิดตัวยึดเส้นยึดสายคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางไกลที่น่าเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปช่วยเพื่อนร่วมงานทั้งสองขนสัมภาระจากท้ายรถตู้ลงมากองบนสนามหญ้าหน้าตึกหลังใหญ่ ตัวหนังสือบนป้ายขนาดใหญ่หน้าตึกหลังนั้นเขียนบอกไว้อย่างชัดเจนว่าที่นี่คือจุดหมายของการเดินทาง ที่ว่าการอำเภออันดา

"นัดพี่ภูมิไว้กี่โมงล่ะ" เพชรร้องถามขณะยกกระเป๋าใบสุดท้ายลงมาจากท้ายรถตู้สีขาว

"บ่ายโมงตรง" นัทดูนาฬิกาข้อมือ "เหลืออีกสิบห้านาที"

งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ ฉันชักหิวแล้ว" ริชบอก

"ไม่รอพี่ภูมิก่อนหรือ" เพชรทักท้วง "อีกสิบห้านาทีเองนะ"

"ไม่ต้องรอให้เสียเวลาหรอก คงอีกนานกว่าเขาจะมา รายนั้นน่ะสายประจำ" ชลดาตอบเสียงเด็ดขาด เธอไม่เคยมั่นใจอะไรมากเท่านี้มาก่อนเลยพอคว้ากระเป๋าขึ้นสะพายบ่าได้ เธอก็ก้าวฉับ ๆ ข้ามไปอีกฟากหนึ่งของถนนก่อนจะชะงักเท้ากึก เบื้องหน้าเธอปรากฎภาพที่น่าพิศวงงุนงง

"อะไรกันนั่น ...

...โปรดติดตามตอนต่อไป...

...serpent king...

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!