เสียงความวุ่นวายภายในบ้านร้างหลังหนึ่ง ในหมู่บ้านคนรวย หมู่บ้านใจกลางเมืองกรุง เมืองที่ไม่เคยหลับใหลเลยสักครั้ง ร่างสูงของ"ร้อยตำรวจตรี คเชนทร์ นาถเสถียร"เดินก้าวเข้ามาในจุดเกิดเหตุ ด้านนอกมีเหล่าบรรดาไทยมุงมายืนออกันเต็มไปหมด นักข่าวสายอาชกรรมต่างพากันยืนรอทำข่าวด้วยใจจดจ่อ
"สวัสดีครับผู้หมวด นั้นคือนายสงวนเจ้าของบ้านคนใหม่ครับ" จ่าพิชิตรีบรายงานทันที
"สอบปากคำแล้วหรือยัง" ชายหนุ่มถาม
"เขารอคุยกับผู้หมวดครับ ไม่ยอมปริปากอะไรเลย" ผู้หมวดหนุ่มจึงเดินเข้าไปหาพยานสำคัญ
"สวัสดีครับ คุณสงวน" ชายหนุ่มเดินเข้าทัก
"สวัสดีครับผู้กอง ผมสงวนเป็นเจ้าของใหม่ที่นี่"
"คุณสงวนพอจะเล่าได้ไหมครับ ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นยังไง"
นายสงวนมีท่าทีนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดถึงเหตุการณ์ที่ตนได้ไปพบเจอ พร้อมกับลูกน้องสองสามคน
ย้อนกลับไปก่อนเกิดเหตุการณ์
"อ้าวสวัสดีครับคุณสงวน สรุปว่าคุณสนใจจะซื้อบ้านหลังนี้ใช่ไหมครับ" นายธานี นายหน้าจัดซื้อบานและที่ดินเข้ามากล่าวทักทาย ว่าที่เจ้าของบ้านคนใหม่
"บ้านหลังนี้ ถ้าซ่อมแซมก็คงจะซ่อมไม่เยอะเท่าไหร่ ผมให้ลูกน้องเข้ามาสำรวจและถ่ายรูปไปให้ดูก่อนหน้านี้แล้ว ผมชอบนะ ผมเอาเลยก็แล้วกัน" นายธานีมีท่าทีดีใจอย่างปิดไม่มิด เมื่อรู้ว่าตัวเองขายบ้านหลังนี้ได้
"ถ้างั้นเรามาเซ็นสัญญาการโอนกรรมสิทธิ์กันได้เลยครับ" นายธานีหยิบเอกสารสำคัญทั้งหมดออกมา นายสงวนก็อ่านข้อมูลในเอกสารทั้งหมดอย่างพึงพอใจ ก่อนจะจรดปลายปากกาลงเซ็น
เขาเล่าให้นายตรวจหนุ่มฟังพร้อมกับแนะนำ ให้เรียกนายธานีมาสอบปากคำด้วย
"นายธานีเป็นนายหน้าหาบ้าให้ผม ลองไปถามเขาดูเพิ่มเติมนะครับผู้หมวด" คเชนทร์จึงเรียกจ่าพิชิต พร้อมกับกระซิบบอกงานที่จะให้ไปทำ จ่าพิชิตรับทราบและรีบออกไปดำเนินการตามคำสั่งทันที
"จริงๆผมกะจะเข้ามาทำความสะอาดตั้งอาทิตย์ก่อน แต่ก็ต้องมีเรื่องให้เลื่อนออกไป เห็นว่าบ้านหลังนี้มีห้องใต้ดิน ผมกะจะทำห้องเก็บไวน์ แต่ดันไปเจอถังเหล็กนี้เสียก่อน" นายสงวนหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ต่อ
"ผมกะจะขยับถังเหล็กนี้ออก แต่ว่ามันกลับมีน้ำหนัก ที่หนักมาก แถมตัวถังก็มีการปิดที่มิดชิดเป็นอย่างดี ผมสงสัยก็เลยให้ลูกน้องผมงัดฝาถังออก ก็นั่นแหละครับผู้หมวด แค่คิดก็สยองแล้ว" แค่คิดก็สยดสยองแล้ว เขาจำได้ติกดตาติดใจเลย
"ดูท่านะครับหมวด ถังนี้คงถูกเก็บมานานมากแล้ว สนิมจับจนเขรอะเลยละครับ" เขายังพูดถึงสิ่งที่ได้เห็นมาให้ผู้หมวดหนุ่มฟัง สายตาก็มองหน่วยพิสูจน์หลักฐาน ที่กำลังเก็บรวบรวมหลักฐานอยู่
"ผู้หมวดครับ หมอเปรมจะเอาถังนี้ไปตรวจสอบที่ห้องแล็บครับ เห็นแกบอกว่า ศพที่พบน่าจะโดนฆาตกรรมมาหลายปี เขาไม่อยากจะสูญเสียเบาะแสสำคัญ ถ้ายังจะตรวจสอบที่นี่ครับ"
"ให้เคลื่อนย้ายไปที่สถาบันนิติเวชได้เลย ยังไงก็ต้องเอาไปที่นั่นอยู่แล้ว"
นายตำรวจหนุ่มรับคำ ก่อนจะเดินไปแจ้งหมอเปรมว่าสามารถย้ายไปได้เลย เหลือไว้แค่เจ้าหน้าที่บางส่วนที่ยังคงเก็บหลักฐานแวดล้อมอยู่ หมอหนุ่มและทีมแพศย์จึงได้ทำการเคลื่อนย้ายศพออกไป ฝ่ายนักข่าว เมื่อเห็นว่ามีการย้ายถังออกมา ก็รีบถ่ายรูปกันแทบจะทันที เสียงฮือฮาดังไปทั่วบริเวณ
ทางด้าน"นายแพทย์ เปรม อัศวมนต์"นายแพทย์นิติที่รับผิดชอบชันสูตรในคดีนี้ เขาและผู้ช่วยเริ่มนำศพของเหยื่อออกมา สภาพศพ เป็นผู้หญิงในชุดเต็มตัว เป็นเสื้อผ้าสไตล์เก่าที่เป็นที่นิยมในยุคประมาณยี่สิบปีก่อน ภายในถังเหล็กพบเม็ดพลาสติกกลมสีดำและขาวเป็นจำนวนมาก และยังมีของเหลวสีเขียวจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบว่า ของเหลวชนิดนี้ เป็นสีย้อมชนิดหนึ่ง สิ่งของที่แช่อยู่ในของเหลวนั้นมีกระเป๋าถือนั้นมีเครื่องสำอาง หวีและที่ดัดขนตา สมุดบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ และแหวนสองวง หนึ่งในแหวนสลักคำว่า"นีรนุช"อยู่บนตัวแหวน และมีจี้โลหะอีกหนึ่งอัน "ซึ่งตัวอักษรเริ่มรางเลือนไปแล้ว
"เป็นอย่างไรบ้างคะคุณหมอ" อนงค์นาถ แพทย์หญิงที่เป็นผู้ช่วยถามอย่างสนใจ
"คงต้องตรวจอย่าละเอียดนะแหละครับ แต่คงจะยากนิดนึง เพราะศพถูกแช่มานานจนมีบางส่วนเสียหายไปแล้ว" หมอพูดอย่างใช้ความคิด เขามองศพที่ถูกชำระล้างออกแล้วอย่างชั่งใจ
"ตอนนี้พยานหลักฐานที่สำคัญ ก็คือสมุดบันทึกโทรศัพท์นี้ หากเราสามารถเห็นสิ่งที่เขียนข้างในได้ อย่างน้อยเราก็มีโอกาสที่จะยืนยันตัวตน ของผู้หญิงคนนี้ได้ แต่เนื่องจากสมุดโทรศัพท์ถูกแช่ในของเหลวมานานมากมาหลายปี ถ้าเราจะกู้เนื้อหา ก็คงจะยากมาก" หมอหนุ่มคิดอย่างถอดถอนใจ
หลังจากลงมือผ่าชันสูตร หมอเปรมก็พบกับเรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่า เมื่อเขาพบว่า มีศพทารกอยู่ในครรภ์ของเหยื่อด้วย และที่สำคัญมีอายุครรภ์ได้เก้าเดือนแล้ว
"จากการตรวจสอบ เธอโดนของแข็งทุบตีที่ด้านหลังศีรษะหลายครั้ง จนเธอเสียชีวิต" ชายหนุ่มได้แต่คิดสงสารผู้ตาย ที่ต้องมาจบชีวิตลงแบบนี้ ทั้งที่กำลังตั้งครรภ์จนใกล้จะคลอดแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการยืนยันตัวตนของเหยื่อออกมา จากรายชื่อผู้สูญหายเมื่อประมาณปีพุทธศักราช 2530 พวกเขาไปค้นหาผู้หญิงที่มีรูปร่างผอม มีส่วนสูงประมาณ 160เซนติเมตร อย่างไรก็ตาม จากการเงื่อนไขคัดกรองดังกล่าว ก็ยังไม่เพียงพอ มีผู้สูญหายมากมายที่มีลักษณะแบบนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงฝากความหวังไว้กับหลักฐานในถังเหล็ก ดังนั้นทางตำรวจจึงปรับทิศทางการสืบสวนใหม่
"ถังเหล็กมีความจุ 55 แกลลอน ในตัวถังมันยังมีตัวเลขที่พิมพ์ไว้อยู่ แล้วก็มีชื่อโรงงานพิมพ์ไว้ด้วย โรงงานตั้งอยู่แถวลาดกระบังนี้เอง" คเชนทร์พูดอย่างมีความหวัง หลังจากนั้นเขาจึงเตรียมมุ่งหน้า ไปยังโรงงานนี้ทันที
เมื่อมาถึงโรงงาน หมวดหนุ่มก็แจ้งความประสงค์ออกไป เจ้าของโรงงานก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
"สวัสดีครับผู้หมวด มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ" เจ้าของโรงงานคนปัจจุบันถามอย่างสงสัย คเชนทร์ก็ยื่นภาพถังใบนั้นให้เจ้าของโรงงานดู หนุ่มแว่นก็รับมาดูแบบงงๆ
"้อ้อ อันนี้นะครับ มันคือปีที่ผลิต ซึ่งมันผลิตในปี 1985 ครับ นับจากวันนั้นมาก็สามสิบกว่าปีได้มั้งครับ ถังเหล็กนี้ ใช้บรรจุสีย้อมผ้าชนิดหนึ่งนะครับผู้หมวด เห็นว่าสีย้อมชนิดนี้หลังปี 1993 ก็ไม่ได้ผลิตออกมาอีกแล้วครับ" วิชิตเจ้าของโรงงานพูดอธิบายอย่างใจเย็น
เมื่อได้คำตอบแล้ว คเชนทร์ก็เชิญธานีและสงวนมาสอบปากคำใหม่ ซึ่งธานีก็บอกไม่รู้เลย เขาไม่เคยลงไปในชั้นใต้ดินสักครั้ง ฝ่ายสงวนก็บอกว่า เขาเห็นมันครั้งแรก ตอนที่แจ้งความไปนั่นแหละ เมื่อไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม เขาก็ปล่อยตัวไป แต่ก่อนจะไป ธานีก็ให้ข้อมูลสำคัญมาว่า
"ผู้หมวดครับ ลองไปถามคุณทรงกลดดูนะครับ เขาเป็นเจ้าของคนก่อนคุณสงวน เห็นเขาว่าภรรยาเจ้าของเก่าหายไป เห็นว่าหนีตามชู้ ลองไปสอบถามดูนะครับ" ธานีราวกับชี้ทางให้ชายหนุ่ม คเชนทร์ขอบคุณธานี ก่อนจะปล่อยนายหน้าหนุ่มใหญ่ไป
"ผู้หมวดครับ ผมไปตรวจสอบมาว่า ก่อนบ้านหลังนี้จะถูกขายมาถึงนายสงวน บ้านหลังนี้เคยมีเจ้าของมาแล้วสี่รายครับ" ชายหนุ่มยื่นมือไปรับรายชื่อเจ้าของบ้านทั้งสี่รายมาอ่านดู
"ขอบใจมากนะจ่า เดี๋ยวมีความคืบหน้ายังไง มาแจ้งผมด้วย" ชายหนุ่มกล่าวออกมา ก่อนที่จ่าพิชิตจะออกไป
เมื่อชายหนุ่มมาไล่เรียงเจ้าของบ้านคนที่สี่ นายทรงกลดก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
"จะว่าอย่างไรดีละครับ ตั้งแต่ผมซื้อบ้านหลังนี้มา มันก็มีของมันมาอยู่แล้ว และผมก็ไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับมันเลย"ทรงกลดพูดพลางเอามือลูบแขน เขารู้สึกขนหัวลุก เมื่อได้รู้ว่า ตัวเองได้อยู่ในบ้านที่มีศพมานานหลายปี
"คุณลองติดต่อไปที่คุณพจน์นะครับ ผมซื้อบ้านมาจากเขาแหนะ" ทรงกลดแนะนำนายตำรวจหนุ่ม เมื่อเห็นว่าสอบถามแล้วไม่ได้อะไรเพิ่มเติม ชายหนุ่มก็ปล่อยนายทรงกลดให้กลับไป
เมื่อคเชนทร์และทีมสืบสวน ตรวจสอบไปเรื่อยๆก็ทราบได้ว่า ถังเหล็กใบนี้มีมาตั้งแต่เจ้าของบ้านคนแรกแล้ว นั้นก็คือ "นายเปรมชัย ชลธรรม" เจ้าของสถานบันเทิงชื่อดังในสมัยก่อน ปัจจุบัน กิจการของนายเปรมชัยก็มีนายเปรมปรีดิ์ ชลธรรม ลูกชายคนโตบริหารอยู่ หลังเกษียณตัวเอง นายเปรมชัยก็ย้ายไปพำนักที่จังหวัดลำปางกับภรรยา
"เราต้องลองสอบถามเพื่อน และผู้อาศัยใกล้เคียงดู เผื่อได้อะไรบ้าง เผื่อจะมีใครรู้จักครอบครัวนี้" ชายหนุ่มพูด ก่อนที่ทุกคนจะลองไปสอบถามชาวบ้านละแวกนั้น
"อุ้ย..คุณตำรวจมาถูกที่แล้วค่ะ ดิฉันก็พอรู้มาบ้างว่า" แล้วหญิงข้างบ้านคนนั้นก็เล่าสิ่งที่พอจะรู้ให้ผู้หมวดหนุ่มฟัง
"เนี่ยตอนนั้นคุณเปรมชัยมาชวนสามีดิฉันลงทุนเรื่องการทำโรงงานพลาสติกนะคะ สามีดิฉันก็ร่วมลงทุนไปไม่น้อยเลยตอนนั้น แต่ก็ทำได้ไม่นาน ก็มีเรื่องการทุจริตนะคะ สามีดิฉันก็เลยถอนหุ้นออก ตอนนี้ได้ยินแค่ว่า โรงงานปิดกิจการไปแล้ว"
หลังจากสอบถามพอได้ข้อมูลที่มีประโยชน์มาบ้าง คเชนทร์พยายามคิดว่ามีจุดไหนที่มันจะสามารถเชื่อมโยงกันได้บ้าง
"ผู้หมวดครับ เท่าที่ผมทราบมาว่า โรงงานของนายเปรมชัย เมื่อก่อนทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับดอกไม้เทียม หญ้าเทียม และผลิตภัณฑ์อื่นๆด้วย ทั้งถ้วยชามพลาสติกก็ใช่ครับ เห็นว่าสินค้าค่อนข้างไม่ได้มาตรฐาน ก็เลยโดนสั่งปิดไปในปี2530ครับ" ดาบบัญชาพูดรายงานเกี่ยวกับสิ่งที่เขาไปได้ได้ข้อมูลมา
"จับตามองนายเปรมชัยต่อไป เราอาจจะได้เบาะแสชิ้นสำคัญก็ได้" ดาบบัญชาและจ่าพิชิตต่างก็รับคำอย่างแข็งขัน ชายหนุ่มตั้งมั่นเอาไว้ว่า เขาจะทวงความยุติธรรมให้กับเหยื่อรายนี้ให้จงได้ เขาขอสัญญา
"ผู้หมวดครับ ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมมาแล้วครับว่า โรงงานเคมีที่ตั้งใกล้ๆกับโรงงานของนายเปรมชัย ใส่สีย้อมสีเขียวลงในถังเหล็กด้วยครับ"จ่าพิชิตรีบรายงานข้อมูล พร้อมกับยื่นเอกสารให้กับชายหนุ่มไปด้วย
"โรงงานพลาสติกของนายเปรมชัยก็เคยมีการสั่งซื้อจากที่นี่เหมือนกันนี่ มีการสั่งซื้อสีย้อมสีเขียวไปจำนวนล็อตหนึ่ง" หมวดคเชนทร์ค่อยๆเปิดอ่านดูข้อมูลต่างๆ ตอนนี้ข่าวการพบศพหญิงสาวครรภ์แก่ใกล้คลอด ถูกพบเป็นศพในถังเหล็กกำลังเป็นที่โจษจันกันไปทั้งประเทศ
"ใช่ครับ ส่วนใหญ่จะเอาไว้ใช้ในอุตสาหกรรมทั้งหมด เพื่อย้อมหญ้าเทียม พืชพลาสติก และผลิตภัณฑ์อื่นๆด้วยครับ" ดาบพิชัยพูดต่อ
"ผู้หมวดครับ มีสายปริศนาโทรเข้ามาครับ" ร้อยเวรหน้าห้องรีบโทรหาหมวดคเชนทร์ทันที
"สวัสดีครับผู้หมวดคเชนทร์" เสียงแปร่งๆที่ผ่านเครื่องดัดเสียงดังแว่วเข้ามา
"ฟังผมนะ ผมรู้ว่าถังเหล็กนี้มาจากไหน แต่ผมไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนที่อยู่ในถังชื่ออะไร แต่ผมรู้จักกับนายเปรมชัยดี" หมวดคเชนทร์รีบบันทึกเสียงของชายลึกลับเอาไว้จนหมด
"ก่อนหน้านั้นสามปี เขาได้ไปมีชู้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานในโรงงานพลาสติก ผมบอกได้แค่เพียงเท่านี้" จากนั้นสายก็หลุดไป ชายหนุ่มเปิดฟังเสียงที่บันทึกเอาไว้ ถูกเปิดฟังอีกครั้ง
"ผมคิดว่าเราควรไปหาคุณเปรมชัยสักทีนะ จัดเตรียมตั๋วเครื่องบินให้ผมด้วย ผมจะไปตามคุณเปรมชัยที่ลำปาง" จ่าพิชิตรีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว และคืนนั้นตำรวจหนุ่มก็บินไปเชียงราย พร้อมกับผู้ติดตาม และประสานงานไปยังตำรวจในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อชายหนุ่มเดินทางไปถึง ก็มุ่งตรงไปยังบ้านของนายเปรมชัยทันทีในตอนเช้า บัดนี้นายเปรมชัยในวัยแปดสิบปี หลังจากตำรวจหนุ่มมาเยี่ยมถึงบ้าน นายเปรมชัยก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือมากเท่าไหร่ แต่ก็ยินยอมให้เข้าไปในบ้านได้ เพื่อตอบคำถามสองถึงสามข้อ
"นายเปรมชัย จำถังใบนี้ได้ไหมครับ" ผู้หมวดถามโดยทันที ไม่ยอมเสียเวลา พร้อมกับยื่นรูปภาพให้นายเปรมชัยดู
"คุณเคยใช้ถังเหล็กแบบนี้ในโรงงานของคุณหรือไม่" เขาซักถามข้อต่อไปทันที
"ไม่ครับผู้หมวด โรงงานของผมไม่เคยใช้ถังเหล็กแบบนี้" นายเปรมชัยกล่าวปฏิเสธไป
"แล้วโรงงานของคุณเคยใช้สีย้อมสีเขียวไหม" เขาถามต่อ
"ไม่ครับ โรงงานของผมไม่เคยใช้สีย้อมชนิดนี้มาก่อน โรงงานของผมไม่จำเป็นจะต้องใช้สารเคมีเหล่านี้" ยิ่งนายเปรมชัยปฏิเสธมากเท่าไหร่ เขายิ่งมั่นใจว่านายเปรมชัยคือคนที่เขาต้องการตัวอยู่ และชายหนุ่มได้ถามคำถามสุดท้ายไปว่า
"คุณมีชู้หรือไม่" ชายหนุ่มยิงคำถามที่ได้มาจากบุคคลปริศนา แต่เปรมชัยกลับยอมรับมัน โดยบอกว่า
"ครับ ผมเคยมีชู้และนอกใจภรรยา แต่มันเรื่องเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนโน้น แล้วผมก็ได้ลืมไปแล้วว่า ผู้หญิงที่ผมเคยคบ รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง" ชายชรากล่าวออกมาในที่สุด จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ติดตามมา ก็ได้หยิบชุดเครื่องมือเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ออกมาวางไว้บนโต๊ะ ถ้าหากได้ดีเอ็นเอของนายเปรมชัย ก็สามารถนำไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอทารกในครรภ์ของผู้หญิงในถังเหล็ก ว่าเป็นลูกของนายเปรมชัยหรือไม่
"คุณยินดีที่จะมอบดีเอ็นเอของคุณหรือไม่" ผู้หมวดหนุ่มถาม หลังจากที่นายเปรมชัยได้ยินก็รีบลุกขึ้นทันที เพราะเขาถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่หยาบคายมาก กับการร้องขอของนายตำรวจหนุ่ม
"กรุณาออกจากบ้านผมไปด้วยครับ เด็กๆส่งแขก" พูดจบ นายเปรมชัยก็เดินเลี่ยงออกไปทันที
ทางด้านฝั่งห้องปฏิบัติการในกรุงเทพ การกู้สิ่งของหลักฐานในถังเหล็กก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างเต็มที่ จากความพยายาม ในที่สุดช่างเทคนิคก็สามารถกู้คืนได้ส่วนหนึ่งของสมุดโทรศัพท์ได้แล้ว และสิ่งที่พวกเขาว่า ในบรรทัดที่สองของหน้าหนึ่ง มีชื่อของนายเปรมชัยไว้ข้างหลังอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังได้เขียนชื่อที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ในเขตพื้นที่เอาไว้ชัดเจน และในอีกหน้าหนึ่งของสมุด ยังเขียนชื่อ"นีรนุช สุขนิยม"และเบอร์โทรไว้ด้านล่างด้วย
"ช่วยตรวจสอบชื่อนีรนุช สุขนิยมให้ผมทีนะครับ คุณองอาจ" หมอเปรมยื่นรายชื่อให้อีกฝ่ายรีบดำเนินการ ทางด้านหมู่องอาจได้รับข้อมูลสำคัญก็รีบโทรรายงานหมวดคเชนทร์ทันที
"ครับผู้หมวด ผมกับผู้เผด็จกำลังจะไปตรวจสอบก่อน ครับๆ" หลังจากวางสายแล้ว ทั้งคู่ก็รีบไปพบผู้หญิงที่ชื่อนีรนุช อย่างน้อยก็พอจะได้รู้ว่าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายเป็นใคร
ผู้กองเผด็จและหมู่องอาจได้มาตามที่อยู่ในสมุดบันทึก ก่อนจะพบว่า นีรนุชยังอาศัยอยู่ที่คอนโดแห่งนี้เหมือนเดิม และยังใช้เบอร์โทรศัพท์เบอร์เดิมที่ยังสามารถติดต่อได้ ผู้กองเผด็จจึงสามารถติดต่อนางได้ทันที
"สวัสดีครับ ใช่คุณนีรนุชใช่ไหมครับ ผมร้อยตำรวจเอกเผด็จและนี้คือหมู่องอาจ ขออนุญาตสอบถามอะไรบ้างสักครู่ได้ไหมครับ" หญิงชราก็พยักหน้าอย่างยินยอม พร้อมกับเปิดประตูต้อนรับนายตำรวจทั้งสองให้เข้าไปในห้อง หลังจากที่ผู้กองหนุ่มอธิบาย หญิงชราก็กล่าวออกมาอย่างมั่นใจว่าผู้หญิงในถังเหล็กคือใคร
"นั้นนะ นังแก้วกาหลง ศุภมงคล เป็นเพื่อนของฉันเองแหละคะคุณตำรวจ" หญิงชราพูดพลางหยิบอัลบั้มรูปเก่าๆออกมา พร้อมกับหยิบรูปหญิงสาวรูปร่างผอมบาง ใบหน้าสวยงามออกมายื่นให้กับตำรวจ
"เมื่อสามสิบปีก่อน ฉันกับนังแก้วเคยทำงานที่โรงงานพลาสติกด้วยกัน ฉันกับนังแก้วอายุไม่ห่างกันนัก ก็เลยเป็นเพื่อนกันได้ ตอนนั้นพศ.2526 ฉันอายุยี่สิบหก ส่วนนังแก้วยี่สิบห้า เราทั้งคู่ต่างพากันไปสมัครงานที่โรงงานพลาสติกของนายเปรมชัยทั้งคู่" หญิงชราหยุดเล่า พร้อมกับนึกถึงเรื่องเก่าๆไปด้วย
"นังแก้วมันมาเช่าห้องๆนี้ แล้วอาศัยอยู่คนเดียวตอนที่เข้ามาในกรุงเทพใหม่ๆ หลังจากที่เข้าไปทำงานที่โรงงานดอกไม้พลาสติก นังแก้วเป็นคนที่นิสัยดีมาก ไม่ว่ามันจะทำอะไรก้มักจะมาปรึกษาฉันตลอด" เธอหยุดพูดแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม
"มันฝันไว้ซะสวยหรูว่าอยากมีบ้านหลังงามในกรุงเทพ แล้วจะพาพ่อกับแม่ของมันมาอยู่ด้วย แล้วก่อนมันจะหายไป มันมาบอกฉันว่า มันกำลังจะมีลูก แต่นังแก้วมันยังไม่ได้บอกหรอกนะว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง" นางหยุดพูดไปครู่หนึ่งก่อนจะเริ่มเล่าใหม่อีกครั้ง
"แล้วคุณป้าเคยถามคุณแก้วไหมครับ ว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง" ผู้กองเผด็จถามต่อ
"ฉันก็ถามมันนะ แต่มันไม่ได้บอกจริงๆ ฉันเลยถามไปอีกว่า ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันจะรับผิดชอบและแต่งงานเอามันเป็นลูกเป็นเมียไหม นังแก้วก็ตอบมาว่าผู้ชายขอมันแต่งงานแล้ว และเขาจะรับผิดชอบทุกอย่าง แต่นังแก้วมันบอกมาว่า ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันแต่งงานแล้ว มีลูกด้วยกันสามคน ตอนนั้นฉันยังตกใจ เมื่อรู้ว่าเพื่อนฉันมันเป็นเมียน้อย" และป้านีรนุชยังเล่าอีกว่า
"มันโทรมาหาฉัน ร้องไห้ฟูมฟายว่าผู้ชายที่เคยบอกว่าจะแต่งงานกับมัน ไม่มีท่าทีที่จะอยากแต่งงานกับมัน" ผู้กองหนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าให้กับหญิงชรา นางรับมาเช็ดออกลวกๆ
"มันบอกว่า เคยโทรไอ้ผู้ชายคนนั้น แต่เมียเขาดันเป็นคนรับ นังแก้วก็เลยเล่าเรื่องทุกอย่างให้เมียเขาฟังจนหมด ว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
"แล้วทางนั้นเขาว่ายังไงกับคุณแก้วครับป้า"หมู่องอาจชักถามต่อ
"มันก็บอกเขาไปหมด รวมเรื่องที่มันกำลังท้องด้วย หลังจากนั้นไม่นานไอ้ตัวผู้ชายก็โทรกลับมาหานังแก้ว นังแก้วบอกว่าผู้ชายคนนั้นโกรธมันมาก และจะขู่ฆ่ามันด้วย มันกลัวมากก็เลยรีบโทรหาฉัน" หญิงชรามองไปรอบๆห้องด้วยความเศร้าสร้อย
"หลังจากที่มันโทรมาหาฉัน ด้วยความที่ฉันเป็นห่วงมัน ฉันก็เลยรีบมาหามันที่นี่" ป้านีรนุชพูดไป น้ำตาไหลไป
"พอฉันมาถึงที่นี่ ฉันก็เห็นว่าประตูห้องของมันไม่ได้ล็อก ฉันเดินเข้ามาในห้องนี้ มองไปรอบๆก็ไม่เจอนังแก้ว หาทั่วห้องก็ไม่เจอ ฉันเองก็ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน ฉันจึงนั่งรอมันอยู่ที่นี่ ฉันรอมันนานมาก นานจนรู้ไม่ตัวเลยว่ารอมันข้ามวันไปแล้ว แต่นังแก้วมันก็ไม่กลับมาอีกเลย" หญิงชราพูดออกมาอย่าเจ็บปวด และเสียใจ ไม่มีคืนไหนเลยที่เธอไม่นอนฝันร้าย เธอตั้งใจจะรอแก้ว จนวันหนึ่งเธอมีเงินเก็บมากพอ ก็เลยซื้อห้องนี้เป็นของตัวเองซะเลย
"แล้วป้าได้ไปแจ้งความคนหายไว้ไหมครับ" ผู้กองเผด็จถาม
"ไปสิ ฉันไปแจ้งความที่สน.ใกล้ๆนี่แหละ แต่ตำรวจมันถามว่าเป็นญาติของคนที่หายไปหรือเปล่า ฉันเลยตอบไปว่าไม่ใช่ ฉันเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น" หญิงชราตอบกลับไป
"แต่ตำรวจกลับตอบมาว่า นังแก้วมันอาจจะไปซื้อของที่ไหนหรือเปล่า ตำรวจที่ฉันไปแจ้งความในตอนนั้น มันไม่ความกระตือรือร้นอะไรเลย มันไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลย เดิมทีฉันก็ให้ข้อมูลทั้งหมดกับตำรวจไปแล้วนะ ทั้งเรื่องผู้ชายที่เป็นผัวของนังแก้ว ทั้งที่ไอ้นั่นมันข่มขู่นังแก้วด้วย แต่ฉันไม่รู้จักชื่อผู้ชายคนนั้น และฉันกลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อนังแก้วด้วย เรื่องพวกนี้ฉันจึงไม่ได้แจ้งไปด้วย"หญิงชราถอดถอนใจ
"ปีแล้วปีเล่าที่กาลเวลามันผ่านไป นังแก้วมันก็หายตัวไปเลย จนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่มีข่าวนี้ออกมา ฉันก็คงจะเฝ้ารอมันอยู่แบบนี้ ฉันตั้งใจไว้แล้วละคุณตำรวจ ว่าจะรอจนกว่าจะเจอมันอีกครั้ง ในที่สุดก็เจอมันสักที" หญิงชราพูดทั้งที่น้ำตานองหน้า สองตำรวจหนุ่มได้แต่มองป้านีรนุชด้วยความสงสารจับใจ
"จากปากพยานแล้ว ผมมีความเชื่อว่า นายเปรมชัยมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนางสาวแก้วกาหลง และเมื่อเธอตั้งครรภ์ก็มีความเป็นไปได้ว่า เธอก็คงจะไปบอกเรื่องนี้กับนายเปรมชัย แต่นายเปรมชัยก็คงหลอกลวงเธอ เธอจึงโทรไปที่บ้านของนายเปรมชัย แต่เผอิญภรรยาของนายเปรมชัยรู้ แน่นอนว่าเขาย่อมต้องการบันดาลโทสะที่มีต่อนางสาวแก้วกาหลง และกำจัดเธอในที่สุด" ผู้กองเผด็จก็สรุปเรื่องราวทั้งหมด ฝ่ายผู้หมวดคเชนทร์ก็ยังคงเฝ้าจับตามองนายเปรมชัยอยู่
"ให้ผู้หมวดคเชนทร์ออกหมายเรียกนายเปรมชัยได้เลย ผมมั่นใจว่าจะต้องมีคนคิดหลบหนีแน่" ผู้กองหนุ่มพูดเสียงเข้ม คนร้ายเสวยสุขมานานมากพอแล้ว ควรจะถึงเวลาชดใช้กรรมให้เหยื่อสักที
"ขอบใจมากนะหมู่องอาจ ผมจะรีบดำเนินการทันที ขอบใจมาก" หลังจากวางสายจากหมู่องอาจแล้ว ชายหนุ่มก็หันมาพูดกับจ่าพิชิต
"ตอนนี้เราทราบชื่อเหยื่อแล้ว เธอชื่อแก้วกาหลง เดี๋ยวผมจะประสานงานขอหมายเรียกตัวนายเปรมชัย แต่ถ้ายังขัดขืนค่อยออกหมายจับ"
"ครับผู้หมวด ถ้าหากนายเปรมชัยทำจริงๆ เท่ากับว่ามันคงเป็นคนที่ชั่วที่สุดแล้วละครับ กินอิ่มนอนหลับลงไปได้ยังไง" จ่าพิชิตพูดออกมาอย่างเคียดแค้น
ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่า นายเปรมชัยกำลังหิ้วกระเป๋าเดินทางออกมาใส่ท้ายรถยนต์ ท่าทางของอีกฝ่ายดุลุกลี้ลุกลนจนผิดสังเกต
"ขอกำลังเสริมด่วน ผู้ต้องสงสัยมีท่าทีที่จะหลบหนี" ชายหนุ่มรีบส่งสัญญาณให้กับสายสืบที่กำลังซุ่มอยู่ เพียงไม่นานนายเปรมชัยก็ออกมาจากบ้าน แล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็วเพียงลำพัง
เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มปรากฏตัวออกมา นายเปรมชัยตกใจจนลนลาน ชายชรารีบขับรถหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็หนีไปได้ไม่ไกลนัก ก็ถูกชุดสืบสวน ที่นำกำลังโดยผู้หมวดคเชนทร์
"ผมจะฟ้องพวกคุณทุกคน ไอ้อีนักข่าวคนไหนที่ทำผมเสียหาย ผมจะฟ้องให้หมด" นายเปรมชัยเกรี้ยวกราดด่าทอทุกคน ภายในชั่วข้ามคืน ภาพของนายเปรมชัยก็ถูกโชว์หราทุกแพลตฟอร์ม เสียงสาปแช่งก่นด่า
สุดท้ายนายเปรมชัยก็ให้การรับสารภาพว่าลงมือฆ่าแก้วกาหลงจริง เขากับเธอมีความสัมพันธ์กันหลังจากแก้วกาหลงเข้ามาทำงานได้ไม่นาน หลอกลวงเธอ บนความใสซื่อของหญิงสาว และทำตัวให้เธอสงสารเห็นใจ จนเธอตกหลุมพรางที่วางเอาไว้ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เมื่อแก้วกาหลงตั้งครรภ์ เขาหลอกเธอหลังจากที่เธอ โทรไปหาภรรยาของเขา หลอกให้เธอไปหาที่โรงงาน พร้อมกับทำร้ายเธอจนเสียชีวิต จากนั้นก็ได้ย้ายศพของเธอกลับมาที่บ้าน จริงๆเขาตั้งใจจะนำศพไปโยนทะเล เขาจึงนำศพของเธอไปยัดลงในถังเหล็กย้อมสี แต่ถังมันหนักเกินไป เขาจึงทิ้งไว้ในห้องใต้ดินนั้นเอง
"ตอนที่ลงมือ คุณมีใครที่ช่วยไหมคุณเปรมชัย" ผู้หมวดคเชนทร์เค้นถาม
"มี แต่พวกมันตายกันไปหมดแล้ว" นายเปรมชัยจึงบอกชื่อคนที่ร่วมลงมือจำนวนสองคน นายตำรวจจึงให้จ่าพิชิตเอารายชื่อฝ่ายตรวจสอบเช็คประวัติให้
รุ่งเช้า ทางการได้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับคดีหญิงสาวในถังเหล็ก โดยระบุว่านายเปรมชัยและพวกอีกสองคนเป็นคนลงมือสังหาร แต่เนื่องจากนาย เขียว นานวล และนายบังเอิญ สมยา ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ก็ยังคงเหลือนายแต่นายเปรมชัยที่ต้องรับกรรมที่ก่ออย่างเดียว
แต่หลังจากนั้นไม่นาน สำนักข่าวทุกสำนักก็ต้องกลับมาพาดหัวข่าวเรื่องที่นายเปรมชัยอีกครั้ง เนื่องจากรับแรงกดดันไม่ไหว เขาจึงผูกคอตายหนีความผิด พร้อมกับเขียนจดหมายไว้ด้วยว่า
"นังนั้นมันสมควรตายแล้ว" พร้อมกับกระแสสังคมที่ก่นด่าไปยังนายเปรมชัย จนภรรยาของนายเปรมชัยทนไม่ไหว หนีไปอยู่ต่างประเทศกับลูกชายทั้งสาม ส่วนทารกน้อยในครรภ์ของแก้วกาหลง ดีเอ็นเอของทารกน้อยกับนายเปรมชัย มีความตรงกันถึง 99.93 เปอร์เซ็นต์ จากผลรายงานนี้ ตรงตามความคาดหมายของตำรวจ แก้วกาหลงคือชู้รักของนายเปรมชัยจริงๆ หญิงสาวได้ซื้อความรักสามเส้านี้ด้วยความตายของเธอ และในหน้าสมุดโทรศัพท์ ยังได้แนบกระดาษไว้แผ่นหนึ่ง และกระดาษแผ่นนั้นได้ถูกเขียนขึ้นมาโดยแก้วกาหลงที่ได้เขียนถึงนายเปรมชัย ในเนื้อความของจดหมาย ระบุได้ถึงความสิ้นหวังของเธอ
"อย่าโกรธที่ฉันพูดความจริงเลย " นั้นคือข้อความสุดท้าย ก่อนที่เธอจะถูกตัดสินชีวิตจากชายที่มาลวงหลอกเธอ
"หมอเปรมค่ะ ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ เลิกงานแล้วไปผ่อนคลายหน่อยก็ดีนะ" หมออรชวนหมอเปรมไปด้วย ซึ่งชายหนุ่มก็พยักหน้าตกลงที่จะไปกับเพื่อนร่วมงานด้วยกัน
"ว้าว..วันนี้กรุงเทพก็คงฝนตกหนักแน่วะมึง นายแพทย์เปรม ผู้ที่ชื่นชอบการจำศีลอยู่ที่บ้าน ออกมาเที่ยวได้"ชาญวิทย์ เจ้าหน้าที่ประจำแผนกนิติเวชเอ่ยแซวหมอหนุ่มที่เดินเข้า ด้วยรูปลักษณ์ที่สูงถึงร้อยแปดสิบ ผิวขาวหน้าแบบโอปป้าเกาหลีที่สาวๆชอบ
"ผมก็มาเที่ยวได้น่าวิทย์ แต่คุณก็น่าจะรู้ช่วงงานที่แผนกเราก็ค่อนข้างวุ่นวายน่าดู" ชาญวิชย์พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
"ไม่คาดคิดนะคะ ว่าเราจะได้ทำงานที่ค่อนข้างยากมากขนาดนี้" อรได้แต่สงสารเหยื่อที่เสียชีวิตไป จากความมักง่ายของคนๆเดียว
"อย่าหาว่าผมเข้าข้างนายเปรมชัยนะ คุณแก้วกาหลงเองก็มีส่วนผิดที่ไปเป็นมือที่สามด้วยนะแหละ แต่ก็อย่างว่า นายเปรมชัยก็หลอกและให้ความหวังเธอเยอะ ฟังจากรูปการณ์ที่ผู้กององอาจไปฟังจากเพื่อนของคุณแก้วกาหลงมา เห็นป้าที่ชื่อนีรนุชบอกมาว่า เธอค่อนข้างหัวอ่อนและเชื่อคนง่ายเหมือนกัน " พูดจบก็ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม
"ผมว่าหยุดพูดเถอะ อย่างน้อยเธอก็เสียไปแล้ว นายเปรมชัยถึงจะไม่ได้รับกรรมที่ก่ออย่างสาสม ถึงไม่ชิงฆ่าตัวตาย เขาก็อยู่ได้ไม่อีกกี่ปีหรอก" หมอหนุ่มหยุดพร้อมกับยกแก้วเครื่องดื่มของตนชนกับหมออร
"วันที่ชันสูตรศพนายเปรมชัย และประวัติทางการแพทย์ นายเปรมชัยเป็นมะเร็งระยะสามแล้ว" ชาญวิทย์กับหมออรถึงกับมองหน้ากัน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานนั้น เปรมก็รู้สึกราวกับว่ามีใครมองเขาอยู่ ชายหนุ่มก็หันกลับไปมอง ร่างที่สูงกว่าเขาไม่กี่เซ็นยกแก้วขึ้น แล้วชูมาทางเขา ชายหนุ่มจึงตอบกลับไปในแบบเดียวกัน เพียงชั่วครู่ นายตำรวจหนุ่มก็เดินมาหาหมอเปรมที่โต๊ะ ก่อจะทักทายทุกคน ที่นั่งอยู่ตรงนั้น
"อ้าว ผู้หมวดคเชนทร์ สวัสดีค่ะ เชิญนั่งกับพวกเราก็ได้นะคะ" หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มกล่าวเชื้อเชิญอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม นานๆที่จะได้เจอผู้หมวดหนุ่มคนดังสักครั้ง
"สวัสดีครับ เรียกผมว่าเชนทร์ก็ได้ครับคุณ..."
"อรค่ะ หมวดเชนทร์ ส่วนนี้วิทย์ค่ะ" หญิงสาวตอบกับด้วยรอยยิ้มหวาน พร้อมกับแนะนำเพื่อนชายอีกคนไปด้วย
"ครับคุณอร คุณวิทย์ ส่วนคุณหมอเปรม คงไม่ต้องแนะนำแล้วละมั้งครับ เพราะพวกเราก็ทำงานร่วมกันออกจะบ่อยๆ" คเชนทร์พูดกบอีกฝ่ายพร้อมกับนั่งลงข้างๆ นัยน์ตาคมพราวระยับราวกับเห็นของเล่นที่ถูกใจ สำหรับเขาหญิงก็ได้เป็นชายก็ดี แล้วอีกอย่างหมอเปรมก็ตรงสเปคเขาทุกอย่าง ชายหนุ่มมองพอจะรู้ว่า อีกฝ่ายมีรสนิยมแบบใดมาบ้าง
"ครับ ไม่จำเป็นต้องแนะนำอยู่แล้ว เราเองก็พอจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดี" ใบหน้าหล่อแบบไอดอลเกาหลียิ้มให้อีกฝ่าย แค่มองตาก็พอจะเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายแล้ว
"ว่าแต่ผู้หมวดนี่ก็เก่งมากนะครับ ปิดคดีที่ยุ่งยากนี้ได้ไว" ชาญวิทย์กล่าวอย่างชื่นชม
"ไม่หรอกครับ เป็นเพราะพวกคุณด้วยส่วนหนึ่ง และทางทีมงานทุกคนที่ช่วยกันมากกว่า" ชายหนุ่มกล่าวอย่างถ่อมตน
ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของหมอเปรม และบังเอิญเป็นวันหยุดของหมวดคเชนทร์ด้วยเช่นกัน เมื่อสมควรแก่เวลา ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับ หมออรก็กลับไปก่อนหน้านั้นแล้วตามไปด้วยชาญวิทย์
"คุณหมอกลับยังไงครับ" ชายหนุ่มถาม พลางมองอีกฝ่ายอย่างสื่อความนัย
"ผมขับรถมา แล้วเจอกันนะคุณตำรวจ" หมอหนุ่มพูดจบก็เดินแยกออก คเชนทร์จึงเดินตามอีกฝ่ายไป
"ยังมีอะไรกับผมอีกไหมครับ" เมื่อเดินมาถึงรถหมอหนุ่มก็เปิดคำถามใส่ทันที
"เปล่าครับ ผมก็แค่มาส่งคุณ ที่สำคัญ รถผมจอดอยู่ตรงนี้" พูดจบก็ชี้ไปยังรถของตัวเองที่จอดข้างๆรถหมอหนุ่ม
"โอเค ผมไปละ ขอบคุณที่มาส่ง" หมอหนุ่มหันหลังเตรียมขึ้นรถ โดยไม่ทันระวังตัวของเขาก็ถูกดันติดกับรถของตัวเอง พร้อมกับใบหน้าของนายตำรวจหนุ่มก้มลงมากระซิบข้างใบหู
"ผมสนใจในตัวคุณหมอ เตรียมตัวรับมือของผมให้ดีละ เพราะผมจะคอยไปกวนใจคุณหมอเรื่อยๆแน่นอน" เมื่อได้พูดในสิ่งที่คิดไว้แล้ว ก็ปล่อยตัวหมอหนุ่มไปทันที ฝ่ายเปรมเมื่อโดนแบบนั้นก็มองอีกฝ่ายตาขวาง
"ไอ้หมอนี้นี่ พูดดีๆไม่ได้หรือไง" เขาได้แต่ด่าอีกฝ่ายในใจ
"ด่าผมในใจละสิ หึหึ ไปละฝันดีนะครับคุณหมอ" เมื่อได้กวนอีกฝ่ายจนพอใจ ชายหนุ่มก็เดินไปขึ้น โดยปล่อยให้เปรมได้แต่มองตามอย่างเคืองๆ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!